[เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนพิเศษ 2 [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนพิเศษ 2 [จบ]  (อ่าน 13589 ครั้ง)

ออฟไลน์ Thearz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



******************************************************************************************************************

อันดับแรกผู้เขียน ขอแจ้งไว้ ณ ที่นี้ว่า นิยายเรื่องนี้ เป็นนิยาย ฉบับรีเมค จากนิยายเรื่อง "I Hate You : รักน้องชาย เสือกได้กับพี่" ที่ผู้เขียน เคยแต่ง และลงเอาไว้เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว (ที่เวปนี้แหละ) แต่เนื่องด้วยในเวลานั้น ไม่สะดวกที่จะกลับมาแต่งต่อจนจบ

เหตุผลที่ไม่ได้มาแต่งต่อจนจบ คือ

1) ตามที่ผู้เขียนเคยแจ้งไว้ ว่าผู้เขียนมีแรงบันดาลใจในการแต่งนิยายเรื่องนี้ จากแฟนเก่า
ในช่วงที่ผู้เขียนกำลังแต่งและเผยแพร่นิยาย ผู้เขียนอยู่ในสถานะโสด จนกระทั่งวันหนึ่ง ผู้เขียนละทิ้งสถานะนั้น และมีคนครองใจ และได้ปรึกษากับเพื่อนคนนึง ว่าควรจะหยุดแต่ง เพื่อไม่ให้เกิดการระหองระแหงกับแฟนคนปัจจุบันในตอนนั้น (นั่นหมายถึงว่าตอนนี้ผู้เขียนไม่มีพันธะใด ๆ กับใคร) เพราะอย่างที่บอกว่า ได้แรงบันดาลใจมาจากแฟนเก่า กลัวต้องมาทะเลาะกัน

2) ผู้เขียนตั้งใจจะตัดจบ โดยการแต่งตอนจบไว้แล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ลง เพราะ โน๊ตบุคเกิดอาการงอแง ขึ้นจอฟ้า!! (หลายคนอาจสงสัยว่าเกี่ยวกันหรอ? เกี่ยวครับ เพราะ...) ผู้เขียน ลืม แอคเคาท์ และรหัส ! เพราะปกติก็ใช้ฟังค์ชั่น เข้าระบบตลอดกาล จึงทำให้ลืมไปในที่สุด
จึงขออภัยด้วยใจจริง

หลังจากเวลาผ่านมาเนิ่นนาน ผู้เขียนรู้สึกคิดถึงนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา แต่พบว่าได้ถูกลบออกไปแล้ว (ตามกฏของเล้า)
จึงได้ทำการเขียนขึ้นมาใหม่ โดยพล็อตเรื่องจะยังคงเดิม แต่จะมีการเสริมไอเดียใหม่ ๆ ของผู้เขียนเข้าไปบ้าง (จำของเก่าได้ประมาณหนึ่ง) จึงใคร่ขอให้ทุกท่านฝากติดตามผลงานของข้าพเจ้าด้วยครับ และขอปฏิญาณด้วยสัตย์จริงว่า จะแต่งต่อจนจบแน่นอนครับ




ตอนที่ 0 ทบทวน


ณ ร้านนมแห่งหนึ่งใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัย

“อิ่มแล้วหรอ? ทำไมวันนี้กินน้อยจัง?” ผมกล่าวถาม หนุ่มน้อยที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“ไม่ค่อยหิวอ่ะครับ” ภูตอบพร้อมสีหน้าที่แสดงออกชัดเจนว่ากำลังกังวลใจอยู่ ซึ่งผมเองก็พอจะเดาได้ว่าภูกำลังกังวลเรื่องอะไร
“อืม มีอะไรรึเปล่า?”
“ช่วงนี้พี่ผมมันจับตาดูผมตลอด แถมยังขู่อีกว่าจะเอาเรื่องของเราไปบอกพ่อ” ภูกล่าว

ผมถอนหายใจแล้วพยายามชวนน้องภูคุยเรื่องอื่น ทั้งที่ในหัวผมก็ยังกังวลเรื่องที่ภูพูดไม่น้อยเหมือนกัน

ผมกับภู เราคบกันมาเกือบ 1 ปีแล้ว เราเจอกันด้วยความบังเอิญ และเริ่มคุย เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น แต่ตลอดระยะเวลาที่คบกันมา ความสัมพันธ์ระหว่างเราค่อนข้างสั่นคลอน เพราะทางครอบครัวของภู ไม่ยอมรับในเรื่องของเพศที่สาม ทำให้เราต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ แอบคนกันตลอดมา

ผมชื่อ “โซ่” ปัจจุบันอายุ 21ปี เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ตอนนี้อยู่ปีสองแล้ว ตอนนี้ผมคบอยู่กับเด็กคนนึง ชื่อ “ภู” เป็นเด็กหนุ่ม หน้าตาดี ผอม ตัวขาว สูงโปร่ง เรียกได้ว่าเป็นพิมพ์นิยมของเด็กมัธยมสมัยนี้เลยก็ว่าได้ ปัจจุบันภูอายุ 17 ปี กำลังจะจบชั้นมัธยมปีที่หกแล้ว อุปนิสัยของภู เป็นคนที่มีนิสัยดี มักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเสมอ เป็นคนที่จริงจัง และทุ่มเทให้กับเรื่องเรียน แต่ในเรื่องของความรัก ภูกลับเป็นคนที่ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง

และอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญในความรักครั้งนี้ “ไอ้ภพ!” ไอ้ภพเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของภู อายุเท่ากันกับผม เรื่องหน้าตาก็ไม่ค่อยห่างกันเท่าไหร่ แต่ถ้าพูดถึงนิสัยก็คงบอกให้มองภาพได้อย่างชัดเจนว่า ภูเป็นส่วนที่สว่างของพระจันทร์ และไอ้ภพเป็นอีกด้านนึงที่แทบจะไม่เคยเจอแสงไปตกกระทบเลย

“พี่โซ่ครับ ใกล้ห้าโมงเย็นแล้ว ผมต้องกลับแล้วครับ”
“อืม ต้องรีบกลับก่อนไอ้ภพสินะ”
“ครับ” ภูตอบแล้วพยักหน้าหงึก
“ถ้างั้น ดูแลตัวเองด้วยนะ นั่งรถเมล์ก็อย่าหลับล่ะ เดี๋ยวเลยป้ายอีก” ผมแซว
“ฮ่า ๆๆ อย่าแซวดิ แล้วพี่จะกลับเลยไหมครับ?”
“ยังหรอก ต้องรอไอ้ยักษ์ซ้อมบาส แต่อีกเดี๋ยวก็คงเลิกแล้วแหละ”
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ” ภูกล่าวแล้วเดินออกจากร้านไป

ผมนั่งมองภูเดินออกไปจนลับตา พร้อมกับความกังวลใจในหัว ที่คิดอยู่เสมอว่า ครั้งนี้อาจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้มาคุยกันแบบนิ้อีกก็ได้ ไม่ใช่เพราะเราจะตายจากกันหรอก แต่เพราะพี่ชายตัวดีของภูต่างหาก ที่มักจะขัดขวาง และกีดกันความรักระหว่างเรา ซ้ำยังเคยขู่เอาไว้ว่าถ้าผมยังไม่เลิกยุ่งกับภู มันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อมัน ซึ่งก็คงจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะดูเหมือนพ่อของมันที่เป็นอดีตทหารก็คงจะแอนตี้เรื่องเพศที่สามอยู่เหมือนกัน

แต่ไม่ว่าความรักครั้งนี้จะลงเอยยังไง ผมก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าผมจะเต็มที่กับความรู้สึกที่มีต่อภูให้มากที่สุด จะทำทุกวันที่เรายังมีกันให้คุ้มค่ามากที่สุด ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะจบลงด้วยความเจ็บก็ไม่เป็นไร

“เห้ย! เหม่ออะไรอยู่?” ไอ้ยักษ์กล่าว พร้อมกับเกาลูกบาสกระแทกมาที่หัวผมเบา ๆ
“หืม? เปล่านี่”
“เปล่าอะไร กูมานั่งตั้งนานแล้วเนี่ย ถามอะไรก็ไม่ตอบ”
“อ้าว หรอ? โทษที”
“แล้วตกลงกินอะไรยัง? กูหิวแล้วไปหาข้าวกินกัน”
“เออ ไปดิ”
“สะพายกระเป๋าให้หน่อย” ไอ้ยักษ์บอกแล้วยื่นกระเป๋าที่เต็มไปด้วยหนังสือของมันมาให้ผม ซึ่งผมก็จำใจรับมา
“ไอ้ภาระ!”
“อย่าบ่น ๆ”


<----O<<::::::======[ ฝากติดตามด้วยนะครับ ]======::::::>>O---->
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2017 10:53:42 โดย Thearz »

ออฟไลน์ Thearz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ตอนที่ 1 เข้าค่าย เดินทาง

“พี่โซ่ครับ ใกล้ห้าโมงเย็นแล้ว ผมต้องกลับแล้วครับ”
“อืม ต้องรีบกลับก่อนไอ้ภพสินะ”
“ครับ” ภูตอบแล้วพยักหน้าหงึก
“ถ้างั้น ดูแลตัวเองด้วยนะ นั่งรถเมล์ก็อย่าหลับล่ะ เดี๋ยวเลยป้ายอีก” ผมแซว
“5555 อย่าแซวดิ แล้วพี่จะกลับเลยไหมครับ?”
“ยังหรอก ต้องรอไอ้ยักษ์ซ้อมบาส แต่อีกเดี๋ยวก็คงเลิกแล้วแหละ”
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ” ภูกล่าวแล้วเดินออกจากร้านไป

สิ่งที่อยู่ในหัวของผมตอนนี้มีเพียงความกังวลใจ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราจะเป็นยังไงต่อไป ถึงแม้ว่าผมจะคอยตอกย้ำตัวเองอยู่เสมอว่าไม่ว่าความรักของเรามันจะจบอย่างไร เราก็จะพยายามทำให้แต่ละวันที่ยังมีกันและกันอยู่ให้ดีที่สุด เพราะอย่างน้อย ถ้ามันจะจบ ก็ไม่ได้จบเพราะเรารักกันน้อยลง หรือเลิกรักกัน

ปัจจุบัน

“เหม่ออีกแล้ว ช่วงนี้ใจลอยบ่อยเกินไปแล้วนะ” ไอ้ยักษ์บ่น เพราผมไม่ทันได้ฟังสิ่งที่มันกำลังพูด เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องน้องภู
“หืม? หรอ?”
“เออ ก็กูถามว่าพรุ่งนี้ต้องไปค่ายอาสาแล้ว ของที่ต้องใช้ซื้อมาครบหมดรึยัง มึงก็เอาแต่นั่งเหม่อ”
“เออ ขอโทษที”
“ยังคิดเรื่องไอ้เด็กนั่นอยู่อีกหรอวะ?” ไอ้ยักษ์ถาม ผมแอบค้อนมันนิด ๆ ที่ใช้คำว่า ไอ้เด็กนั่น แทนที่จะเรียกชื่อ
“เปล่าหรอก”
“ผ่านมา 3 เดือนแล้วนะเว้ย เลิกคิดมากแล้วเดินหน้าต่อได้แล้ว”

ไอ้ยักษ์ เป็นเพื่อสนิทที่สุดคนเดียวของผมในตอนนี้ และเป็นรูมเมทของผมด้วย เรารู้จักกันตอนเข้าปีหนึ่ง ตอนนั้นมันดูเป็นเด็กโข่งมากกว่าคนที่เพิ่งจบมัธยมมาซะอีก ด้วยความที่ตัวมันใหญ่สมกับชื่อของมัน แต่ถึงกระนั้น ไอ้ยักษ์เป็นคนที่ชอบเล่นกีฬามาก จึงทำให้ระยะเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมา มันกลายเป็นนักกีฬาที่เก่งระดับต้น ๆ ของมหาวิทยาลัยไปเลย และถึงแม้ว่าจะมีสาว ๆ เข้ามาจีบมันอยู่หลายคน แต่มันก็ไม่เคยสนใจใครซะที อ้างว่า มันชอบเล่นกีฬามากกว่า ขี้เกียจคอยดูแลเอาใจใส่ใครให้วุ่นวาย

“3 เดือนแล้วยังไง มันไม่ได้ลืมกันได้ง่าย ๆ นะเว้ย” ผมบอก
“เออ รู้แล้วน่า แต่มึงควรจะยอมรับความจริงแล้วเดินหน้าต่อได้แล้ว กูไม่ชอบที่เห็นมึงเป็นแบบนี้เลย”
ผมถอนหายใจ
“โอเค กูก็แค่กำลังกังวล ว่าภูมันจะเป็นอะไรรึเปล่า เพราะได้ยินว่าพ่อมันรู้เรื่องที่มันคบกับกูแล้ว”
“คงไม่มีอะไรหรอก”
“อืม กูก็หวังอย่างนั้น แล้วเมื่อกี้ถามว่าอะไรนะ”
“ไอ้ทึ่มเอ้ย!” ไอ้ยักษ์ด่า
“ไอ้โข่ง” ผมสวนกลับทันควัน  แล้วต่างฝ่ายต่างหัวเราะออกมา อย่างน้อยก็มีไอ้ยักษ์นี่แหละที่ไม่เคยทิ้งผมไปไหน และพยายามกวนผม ทำให้ผมหัวเราะได้เสมอ

หลังจากนั้นผมกับไอ้ยักษ์ก็ออกไปซื้อของใช้จำเป็นที่จะเอาไปค่ายอาสาวันพรุ่งนี้

วันต่อมา

“เอาละค่ะ อย่างที่พี่บอกไปนะคะว่าค่ายอาสาครั้งนี้เราจะไปช่วยพัฒนาโรงเรียนที่อยู่ในเขตชนบทกันนะคะ และโรงเรียนที่เรากำลังจะไปกันนี้ประสบภัยจากพายุ จนตัวอาคารเสียหายหลายแห่ง ซึ่งกิจกรรมหลัก ๆ ที่เราจะไปทำกันคือ...” เสียงพี่ปีสามประกาศกำหนดการและกิจกรรมด้วยโทรโข่ง ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจฟังมากนักเพราะมัวแต่เถียงอยู่กับไอ้ยักษ์เรื่องที่มันลืมเอาผ้าเช็ดตัวมา
“กูบอกให้มึงหยิบมาแล้วนะ”
“อ้าว ผ้ามันก็ตั้งอยู่ข้างกระเป๋ามึง แต่มึงลืมหยิบมา แล้วจะมาโทษกูได้ไงวะ?”
“ไม่รู้แหละ มึงต้องเอาผ้าเช็ดตัวมึงมาให้กูใช้ด้วย”
“ไอ้สองคนนี้ ทะเลาะอะไรกันอีกวะ?” ไอ้นุถาม (ไอ้นุเป็นเพื่อนร่วมห้อง อยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่ไม่สนิทเท่าไอ้ยักษ์)
“ก็ไอ้ยักษ์มันลืมหยิบผ้าเช็ดตัวมาแล้วโทษกู” ผมบอก
“เวร เรื่องแค่นี้ ปกติมึงก็ใช้ด้วยกันไม่ใช่หรอวะ” ไอ้นุบอกแล้วหัวเราะที่เรามานั่งเถียงกันเพราะเรื่องแค่นี้

สำหรับพวกเพื่อนในกลุ่มผมแล้ว การที่ผมกับไอ้ยักษ์มักจะตีกันด้วยเรื่องแปลก ๆ มันดูเป็นเรื่องปกติไปแล้ว คงเพราะเราสนิทกันมากจนถ้าเป็นเรื่องที่จริงจังเมื่อไหร่เราจะคุยกันให้เข้าใจมากกว่า

หลังจากที่เราเริ่มออกเดินทาง ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามปกติ เสียงเพลงดังขึ้น บางคนอดใจไม่ไหวก็ลุกไปเต้น นั่นรวมถึงไอ้ยักษ์ด้วย ส่วนผม แม้ว่าเพลงที่กำลังเปิดจังหวะมันจะมันส์แค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกรื่นเริงขึ้นมาเลย เพราะในสมองของผมคิดแต่เรื่องน้องภู

“พี่โซ่ ว่างอยู่รึเปล่า?”
“อื้ม ทำไมหรอ?”
“ผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วย” ทันทีที่ได้ฟังประโยคนั้น ใจของผมก็สั่นไหว เพราะผมพอจะเดาออกว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร เสียงของภูสั่นเครือจนทำให้ผมแน่ใจว่าสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่นั้นกำลังจะเกิดขึ้นจริง ๆ
“อื้ม ไม่เป็นไรนะ” ผมพยายามคุมเสียงให้เป็นปกติให้มากที่สุด
“ผมขอโทษ... ขอโทษที่ผมรักตัวเองมากเกินกว่าที่จะสู้เรื่องนี้ไปด้วยกันได้”
“อย่าคิด...”

ไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคสายก็ถูกตัดไป พร้อมกับเสียงหนึ่งที่ลอดผ่านเข้ามา พูดว่า “พอ!” ในตอนนี้ใจของผมเหมือนกับถูกกระชากออกไป ผมเคยคิดว่าผมทำใจเอาไว้แล้ว และผมจะยอมรับเรื่องนี้ได้ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ง่ายเลย แม้แต่คำพูดสุดท้ายที่ผมอยากจะบอกกับภู ก็ยังพูดไม่ได้เลย สุดท้ายก็คงต้องให้คำนั้นคอยบอกย้ำกับตัวเอง

“อย่าคิดมากนะ”

“เฮ้ย ถึงแล้ว ตื่นได้แล้ว” ไอ้ยักษ์ปลุกผมเมื่อเรามาถึงที่หมาย

หลังจากที่เรามาถึง รุ่นพี่ก็เรียกรวมตัวเพื่อเช็คความเรียบร้อยและบอกกำหนดการณ์อีกครั้ง

“เอาละค่ะ น้อง ๆ คะ พี่ลืมบอกไปว่าการมาทำกิจกรรมค่ายอาสาครั้งนี้ ไม่ได้มีแค่พวกเราเท่านั้น ยังมีเพื่อนจากมหาลัยอื่นมาร่วมด้วยเช่นกัน ซึ่งนอกจากกิจกรรมพัฒนาโรงเรียนแล้ว เราเรายังมุ่งเน้นในเรื่องของความสามัคคีของพวกเราทุกคนด้วยนะคะ”

หลังจากนั้นพวกเราก็ต้องเข้าไปรวมตัวกับเพื่อนต่างมหาลัยที่มาถึงก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อรับทราบกำหนดการณ์และกิจกรรมต่าง ๆ อีกครั้ง โดยมีวิทยากรที่ทางโรงเรียนเตรียมเอาไว้เป็นผู้ที่คอยควบคุมดูแลการมาออกค่ายในครั้งนี้

“สวัสดีครับ พี่ชื่อพี่ต้อมนะครับ ได้รับหน้าที่ให้มาดูแลน้อง ๆ” วิทยากรคนหนึ่งแนะนำตัว
“อยากเข้าห้องน้ำว่ะ” ไอ้ยักษ์กระซิบข้างหูผม
“มึงก็ไปสิ”
“มึงก็ไปกับกูสิ”
“ไม่เอาอ่ะ อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้” ผมแกล้งมัน เพื่อเอาคืนที่มันว่าผมตอนอยู่บนรถ
“กูไม่ไหวแล้ว เร็ว ๆ”
“น้องตรงนั้น มีอะไรสงสัยไหมครับ?” เสียงวิทยากรตะโกนถาม ทำให้ทุกคนหันมาทางผมกับไอ้ยักษ์
“เอ่อ เพื่อนผมมันอยากเข้าห้องน้ำอ่ะครับ”
“อ่อ ห้องน้ำอยู่ตรงขวามือด้านข้างอาคารครับ”
“งั้นพวกผมขอไปเข้าห้องน้ำนะครับ” ไอ้ยักษ์บอกพร้อมยกมือขออนุญาต
“ตามสบายครับ”
“เร็ว ๆ ไปกับกู”

สุดท้ายผมก็ถูกมันลากตัวมาด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากมาหรอก แค่อยากแกล้งมันเท่านั้นเอง

“กูรอข้างนอกนะ” ผมบอกแล้วยืนรอไอ้ยักษ์อยู่ตรงด้านหน้าห้องน้ำ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายสองคนที่เป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่น กำลังเดินตรงมา หนึ่งคนในนั้นมองหน้าผมแล้วแสดงอาการตกใจออกมาเล็กน้อย ซึ่งก็ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นัก วินาทีนั้นผมทั้งรู้สึกตกใจ และโกรธในเวลาเดียวกัน เพราะคน ๆ นั้นคือ ”ไอ้ภพ” พี่ชายของน้องภู มันคือคนที่ทำให้ผมกับภูต้องเลิกกัน
“เสร็จแล้ว”

ไอ้ยักษ์ออกมาจากห้องน้ำพอดี

“เฮ้ย ไอ้ยักษ์!” คนที่มากับไอ้ภพร้องทักไอ้ยักษ์
“อ้าว ไอ้กร มาด้วยหรอกวะเนี่ย?”
“เออ มึงอ่ะ หน้าอย่างนี้ไม่น่ามาค่ายอาสาได้นะ 555” แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะเฮฮากันไปตามประสาคนรู้จักกัน ปล่อยให้ผมกับไอ้ภพยืนเงียบกันทั้งคู่

ผมรู้ว่ามันรู้จักผม แต่ไม่แน่ใจว่ามันรู้ ว่าผมรู้จักมันไหม

“เออ นี่เพื่อนกู ชื่อภพ ไอ้ภพนี่ไอ้ยักษ์เพื่อนกูตอนม.ปลาย” ไอ้กรแนะนำ หลังจากนั้นไอ้ยักษ์ก็แนะนำผมให้เพื่อนมันรู้จัก
“ไม่ได้เจอตั้งนานมึงเตี้ยลงรึเปล่าเนี่ย 555” ไอ้ยักษ์แซวเพื่อน
“มึงนั่นแหละสูงเกินไปแล้ว เออ กูเข้าห้องน้ำก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกันนะเพื่อน”

ผมกับไอ้ยักษ์จึงเดินแยกออกมา ในหัวของผมตอนนี้มันสับสนไปหมด ผมบอกไม่ถูกว่าผมกำลังรู้สึกอะไร แต่แน่ใจว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดี

“เป็นอะไรไปวะ?” ไอ้ยักษ์ถาม
“เปล่า”
“เห็นเงียบ ๆ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
“สองคนนั้นอ่ะ มึงรู้จักด้วยหรอ?”
“เอ้า ไอ้นี่ กูก็บอกอยู่ว่าเป็นเพื่อนกูตอนม.ปลาย” ไอ้ยักษ์บอกแล้วตบหัวผมเบา ๆ
“แล้วอีกคนนึงอ่ะ?”
“ไอ้ภพหรอ ไม่รู้อ่ะ เพิ่งรู้จักพร้อมมึงนี่แหละ ทำไมอ่ะ มึงรู้จักหรอ?”
“เปล่า” ผมบอก แล้วเราก็กลับมานั่งที่จุดรวมตัวที่เดิม
“พี่มีอีกเรื่องนึงที่จะแจ้งให้น้อง ๆ ทราบ อย่างที่น้อง ๆ คงจะได้เห็นไปแล้วว่าทางโรงเรียนมีความเสียหายอยู่หลายแห่ง นั่นรวมถึงอาคารที่จะให้เป็นโรงนอนสำหรับน้อง ๆ ด้วย แต่ไม่ต้องกังวล เพราะเราได้รับการสนับสนุนจากเทศบาล และองค์กรอื่น ๆ ที่ให้เราหยิบยืมเต็นท์นอนมาจำนวนหนึ่ง โดยพี่จะจัดให้น้อง ๆ อยู่ด้วยกันแค่เต็นท์ละ 3 คนเท่านั้น”
“ไอ้นุ มึงนอนเต็นท์เดียวกับพวกกูเปล่า?” ไอ้ยักษ์หันไปถามไอ้นุ เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่กำลังตกลงกันว่าใครจะนอนกับใคร
“ใจเย็น ๆ กันก่อนครับ ฟังพี่ก่อน เนื่องจากการทำกิจกรรมค่ายอาสาครั้งนี้เรามุ่งเน้นเรื่องของความสามัคคีในหมู่เพื่อนต่างมหาวิทยาลัยด้วย นั่นแปลว่า แต่ละเต็นท์ จะต้องมีนักศึกษาจากทั้ง 3 สถาบันอยู่ด้วยกัน ห้ามเพื่อนที่เรียนที่เดียวกันอยู่ด้วยกันเด็ดขาด”
“เวร ได้ไงวะ” ไอ้ยักษ์อุทานออกมา และก็เหมือนกับคนอื่น ๆ อีกเช่นกันที่เริ่มโวยวายเพราะไม่ค่อยพอใจ นั่นรวมถึงผมด้วย

เพราะผมรู้ตัวว่าผมเป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ยาก ผมหมายถึง ถ้ากับคนที่ไม่สนิทด้วยแล้ว ผมก็แทบจะเป็นใบ้กับคนนั้นไปเลยก็ว่าได้ และการที่ต้องไปนอนอยู่ในเต็นท์เดียวกับคนที่เราไม่รู้จักเนี่ย มันคงเป็นอะไรที่น่าอึดอัดที่สุดเลย

“มึงโอเคเปล่าวะ?” ไอ้ยักษ์หันมาถามผม เพราะรู้นิสัยผมดี
“ถ้าไม่โอเค แล้วทำอะไรได้วะ?”
“เอาไว้เดี๋ยวค่อยสลับกับคนอื่นแล้วกัน กูไม่อยากให้มึงไปนอนกับคนอื่น”
“ไอ้นี่หวงเมีย 555” ไอ้นุหันมาแซวไอ้ยักษ์ แล้วพวกเพื่อน ๆ ผมก็หัวเราะร่ากันใหญ่
“ส้นตีนสิ มึงก็รู้ว่าไอ้นี่มันเอ๋อจะตายเวลาอยู่กับคนอื่น กูก็แค่เป็นห่วงมัน”
“น้อง ๆ ไม่ต้องกังวลนะครับ พี่เข้าใจว่าในช่วงแรกน้อง ๆ อาจจะยังเกร็ง ๆ กันอยู่ เพราะเรายังไม่รู้จักกัน แต่เดี๋ยวอยู่ด้วยกันไปแล้ว สนิทกันมากขึ้นแล้วก็จะโอเคเอง” พี่ต้อมวิทยากรบอก พลางให้วิทยากรท่านอื่นเดินเอากระป๋องที่ใส่หมายเลขเอาไว้มาให้พวกเราจับฉลาก
“ในกระป๋อง จะมีเลข 1-10 น้อง ๆ ทั้ง 3 สถาบันรวมกันก็ 30 คนพอดี หลังจากที่จับฉลากไปแล้ว ให้เก็บเอาไว้ให้ดีด้วยนะครับ”
“กูได้ 7 มึงอ่ะ?”

ผมคลี่ฉลากที่จับได้แล้วหันให้ไอ้ยักษ์ดู ผมจับได้เลข 9

“เต็นท์น่าจะเรียงตามเลข ก็ยังดีที่ไม่ห่างกันมาก”
“โอเค ทุกคนได้เลขกันหมดแล้วนะครับ จากนี้ไปก็แยกย้ายเอาของไปเก็บที่เต็นท์ได้เลย แล้วอีก 40 นาทีเรามารวมกันตรงนี้อีกทีนะครับ”

หลังจากนั้น ทุกคนก็แยกย้ายกันไปตามเต็นท์ ด้วยความรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับการถูกจับแยกจากเพื่อน ๆ แบบนี้ ผมกับไอ้ยักษ์เดินมาจนถึงจุดกางเต็นท์ ซึ่งในตอนนี้ทุกคนกำลังวิ่งวุ่นหาเต็นท์ตัวเอง และเพื่อนที่จะต้องนอนด้วยตลอดระยะเวลา 7 คืนต่อจากนี้

“ไอ้ยักษ์ ได้เต็นท์ไหนวะ?” เสียงไอ้กร เพื่อนไอ้ยักษ์ร้องถาม
“6 ว่ะ มึงอ่ะ?”
“เฮ้ย จริงดิ กูก็ 6 โคตรโชคดีเลย” ไอ้กรยิ้มด้วยความดีใจ ที่ได้นอนเต็นท์เดียวกับเพื่อนเก่าอย่างไอ้ยักษ์
“แต่กูว่าจะไปนอนกับเพื่อนกู” ไอ้ยักษ์บอกด้วยความเสียดาย
“เฮ้ย ไม่เป็นไร มึงอยู่นี่แหละ กูอยู่ได้น่า” ผมรีบบอก
“มึงแน่ใจหรอ?”
“เออ มึงอยู่กับเพื่อนมึงนี่แหละ นาน ๆ จะได้เจอกันที เดี๋ยวกูไปนอนเต็นท์ 9 เองได้ ห่างกันแค่นี้เอง”
“เอางั้นหรอ?” ไอ้ยักษ์ถามย้ำ
“เอออออ...”  ผมบอกแล้วเดินไปที่เต็นท์ของตัวเอง
“เพื่อนหรือแฟนวะ 555” เสียงไอ้กรแซวไอ้ยักษ์เบา ๆ
“เพื่อนโว้ย กูก็แค่เป็นห่วงมัน ไอ้เนี่ย มันเป็นคนประเภทที่ไม่ค่อยคุ้นกับคนแปลกหน้า ให้ไปอยู่กับคนอื่นที่ไม่รู้จักมันคงอึดอัดแย่”
“คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง อยู่ถัดไปแค่ 2 เต็นท์เอง”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเอากระเป๋าเข้าไปเก็บในเต็นท์ จริง ๆ แล้วการที่ต้องนอนร่วมเต็นท์กับคนอื่นมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่อย่างที่ผมบอก ผมไม่ใช่คนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย และมันจะมีความอึดอัดเกิดขึ้น ทั้งกับผมเองและกับคนที่ต้องมานอนเต็นท์เดียวกับผม

หลังจากเก็บของเสร็จ ขณะที่ผมกำลังจะลุกออกไปข้างนอก ก็มีกระเป๋าใบหนึ่งเหวี่ยงเข้ามาที่ท้องผมจัง ๆ

“โอ้ย!”
“เฮ้ย! ขอโทษ ไม่รู้ว่ามีคนอยู่ข้างใน” ไอ้คนที่โยนกระเป๋าเข้ามารีบเข้ามาในเต็นท์และขอโทษผมอย่างไว
ทันทีที่ต่างฝ่ายต่างเห็นหน้ากัน ก็มีคำพูดนึงออกมาจากปากของเราทั้งสองคนพร้อมกันว่า
“เชี้ย! / เชี้ย! ”


<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->

ออฟไลน์ Thearz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ตอนที่ 2

“เชี้ย! / เชี้ย! ”

ผมกับไอ้ภพอุทานออกมาพร้อมกันทันที่เราเจอหน้ากัน จากนั้นเราทั้งคู่ก็นิ่งกันไปซักพัก

“เอ่อ ขอโทษครับ ผมคงเข้าผิดเต็นท์” ผมบอกแล้วรีบหยิบกระเป๋าตัวเองออกมา แล้ววิ่งกลับไปที่เต็นท์ของไอ้ยักษ์
“อ้าว ไอ้โซ่ มีอะไรวะ?”
“กูไม่อยู่เต็นท์นั้น!”
“เฮ้ย เดี๋ยว ใจเย็น ๆ มีอะไร?”
“กูจะไม่อยู่เต็นท์นั้น มึงช่วยแลกกับกูหน่อย” ผมย้ำ ไอ้ยักษ์กับไอ้กรทำหน้างง
“อ้าว ไอ้นี่ กูถามว่ามีอะไร”
“อ้าว ไอ้ภพ มึงอยู่เต็นท์ไหนวะ?” ไอ้กรหันไปถามไอ้ภพที่เดินตามผมมา
“9!” ไอ้ภพตอบด้วยเสียงที่ราบเรียบ
“ก็ดีแล้วไม่ใช่หรอวะ? รู้จักกันแล้วนี่” ไอ้ยักษ์บอก
 “ถ้ามึงไม่แลก เดี๋ยวกูไปขอแลกกับพวกไอ้นุก็ได้”
“เดี๋ยว ๆ เดี๋ยวกูไปนอนกับไอ้ภพเองก็ได้” ไอ้กรบอก
“ก็ดี กูว่าน่าจะปลอดภัยกว่าถ้าได้นอนเต็นท์เดียวกับมึง ไม่ใช่...” ไอ้ภพหยุดพูดไปแล้วหันมามองหน้าผมนั่นทำให้ผมพอจะมั่นใจได้แล้วว่ามันรู้ว่าผมเป็นใคร เพราะสายตาที่มันมองมาแสดงออกถึงความรังเกียจได้อย่างชัดเจน

แล้วไอ้ภพกับไอ้กรก็ย้ายกลับไปที่เต็นท์ที่เก้า ไอ้ยักษ์ยังงงว่าผมเป็นอะไร

“ตกลงมึงเป็นอะไรวะ? ทำไมถึงไม่อยากนอนกับไอ้ภพ?”
“ไม่มีอะไร” ผมปฏิเสธ
“มึงเลิกโกหกกูได้แล้ว กูดูมึงออกหรอกน่า บอกกูมาว่ามึงมีปัญหาอะไรกับมัน”
“เออ ก็ได้”

ผมจึงเล่าให้ไอ้ยักษ์ฟัง ถึงสาเหตุที่ผมไม่สามารถนอนร่วมเต็นท์กับไอ้ภพได้ มันเองก็เข้าใจแล้วบอกให้ผมพยายามอย่าให้มันรู้ว่าผมเป็นใคร แต่เหมือนจะไม่ทันแล้ว

“มึงไม่น่าลากกูมาด้วยเลย” ผมบ่น
“อ้าว แล้วกูจะรู้ไหมล่ะว่าใครจะมาบ้าง”
“เออ ๆ ไม่สนุกแล้วแบบเนี้ย”
“เอาน่า มันคงไม่อะไรหรอก”

และวันนี้ของผม ผ่านไปด้วยความยากลำบาก ยากลำบากในการพยายามหลบหน้าไม่ให้เจอไอ้ภพ แต่ก็ไม่วายต้องมานั่งข้างกันในกิจกรรมตอนกลางคืน เพราะในกิจกรรมต้องรวมทีม 3 คน โดยแบ่งตามเลขที่จับฉลากได้ และไม่รู้ว่าผมทำบาปอะไรไว้ นักศึกษาจากอีกมหาวิทยาลัยนึงไม่ได้มา ทำให้คนที่จับได้เลข 9 มีแค่ผมกับไอ้ภพเท่านั้น

“โคตรซวย” ไอ้ภพพูดเบา ๆ แต่ก็ดังพอจะให้ผมได้ยิน

ผมมองหาไอ้ยักษ์ที่กำลังมองมาที่ผมด้วยความเป็นห่วงพลางทำมือถามว่าผมโอเคไหม
ผมส่ายหน้า

“เอาละครับน้อง ๆ คืนนี้กิจกรรมแรกที่เราจะเล่นกัน เพื่อให้น้อง ๆ ในแต่ละทีมรู้จักและสนิทสนมกันมากขึ้น เราจะเริ่มด้วยเกมง่าย  ๆ ก่อนนะครับ นั่นก็คือเกมยืนบนหนังสือพิมพ์” พี่ต้อมวิทยากรเริ่มอธิบายเกม ในขณะที่วิทยากรคนอื่น ๆ ก็เดินแจกกระดาษหนังสือพิมพ์ให้กับทุกทีม

แต่ละทีมจะได้กระดาษหนังสือพิมพ์ 1 หน้า ซึ่งสำหรับ 3 คนแล้วถือว่าเหลือแหล่ นั่นไม่ต้องพูดถึงทีมผมกับไอ้ภพที่มีแค่ 2 คน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากเล่นอยู่ดี

“อ้าว ทำไมทีมนี้มีแค่ 2 คนเองล่ะ?” วิทยากรท่านหนึ่งเดินมาถาม
“อีกคนนึงไม่ได้มา” ไอ้ภพตอบ
“แค่สองคน งั้นเอาไปแค่นี้พอ” วิทยากรท่านนั้นบอกแล้วฉีกกระดาษหนังสือพิมพ์ของผมกับไอ้ภพให้เหลือเพียงครึ่งหน้า ผมกับไอ้ภพได้แต่ยืนหน้าเอ๋อทำอะไรไม่ถูก แล้วรับกระดาษแผ่นนั้นมาอย่างไม่เต็มใจนัก
“ในแต่ละรอบ พี่จะจับเวลา 20 วินาที แล้วหลังจากหมดรอบ น้อง ๆ จะต้องฉีกกระดาษหนังสือพิมพ์ออกทีละครึ่งแผ่นนะครับ”

เสียงหัวเราะเฮฮาเกิดขึ้น ดังอื้ออึง เมื่อเกมเริ่มขึ้น

ผมกับไอ้ภพลังเลที่จะเล่น ด้วยความบาดหมางในใจของเราทั้งคู่ ทำให้เราไม่อยากที่จะต้องแตะเนื้อต้องตัวกัน

“พี่จะเริ่มจับเวลาแล้ว ถ้าทีมไหนแพ้จะต้องโดนทำโทษนะครับ” พี่ต้อมบอก
“กูยอมโดนทำโทษดีกว่า” ไอ้ภพบอกแล้วก้าวขาออกจากกระดาษ
“กูก็ไม่อยากเล่นเหมือนกัน แค่อยู่ตรงนี้กูยังไม่อยากเลย”
“ก็ไปไกล ๆ สิวะ”
“อ้าว สองคนนี้ แพ้ตั้งแต่รอบแรกเลยหรอ? นี่ขนาดมีแค่สองคนเองนะเนี่ย” พี่สาววิทยากรบอกแล้วจับตัวผมกับไอ้ภพแยกออกไปในโซนผู้แพ้

เกมดำเนินต่อไป เสียงหัวเราะเฮฮาของคนอื่น ๆ ดังไปทั่วหอประชุม แต่ผมกับไอ้ภพนั่งหน้าเซ็ง คิดเพียงว่าเมื่อไหร่จะจบ เมื่อไหร่จะผ่านคืนนี้ไปซะที ผมไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว

“ผมขอไปเข้าห้องน้ำได้มั้ยครับ?” ผมหันไปขออนุญาตกับลุงวิทยากรท่านหนึ่ง แกเป็นคนที่เดินมาฉีกกระดาษของผมกับไอ้ภพให้เหลือครึ่งนึง
“ได้ แต่พาเพื่อนไปด้วย มืดแล้วอันตราย” ลุงแกบอก
“เดี๋ยวผมชวนเพื่อนทีม 7 ไป”
“ไม่ต้องหรอก เอ็งมีกันอยู่สอง คนก็ไปด้วยกันสิ”
“แต่ผม...”
“ไปกันสองคนนั่นแหละ แล้วก็เร็ว ๆ ด้วย”
“งั้นผมไม่ไปก็ได้ครับ” ผมบอกแล้วกลับไปนั่งที่เดิม
“งั้นผมขอไปเข้าห้องน้ำนะ” ไอ้ภพหันไปบอกบ้าง
“เอ้า ไอ้สองคนนี้ เดี๋ยวไป เดี๋ยวไม่ไป ตกลงจะเอายังไงวะ!” ลุงวิทยากรถามเสียงแข็ง แล้วบอกต่อว่า
“ถ้าจะไปก็ไปกันสองคน ไม่งั้นก็ไม่ต้องไป!”

ไอ้ภพหันมามองผม แล้วส่งสายตาประมาณว่า “มึงลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย!”

ผมถอนหายใจ แล้วลุกขึ้นเดินตามมันไปห้องน้ำ ไม่ใช่เพราะผมกลัวมันหรอก แต่เพราะผมเองก็ปวดฉี่อยู่เหมือนกัน

ห้องน้ำนั้นอยู่ห่างจากหอประชุมออกไปนิดหน่อย ซึ่งระหว่างทางนั้นก็ค่อนข้างมืด และด้วยความที่อยู่กลางป่าเขา จึงจะได้ยินเสียงนก เสียงสัตว์กลางคืนร้องกันระงม ให้บรรยากาศที่ค่อนข้างน่ากลัว
ผมรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อย จึงรีบเดินเพื่อให้ใกล้ไอ้ภพมากขึ้น จากที่ตอนแรกผมรักษาระยะห่างจากมันประมาณ 5 เมตร กลายเป็นเหลือไม่เกิน 2 เมตร

ไอ้ภพหยุดเดินกะทันหัน จนผมเกือบจะชนมัน แล้วหันหน้ากลับมามองผม

“อะไรวะ?” ผมถาม เพราะมันจ้องผมเขม็งจนผมรู้สึกถึงความไม่ปกติ
“...”
“มี... มีอะไรวะ!?” ผมถามย้ำ แต่ไอ้ภพยืนนิ่งแล้วยื่นมือมาแตะที่ไหล่ของผม

จากนั้นมันจับไหล่ผมแล้วดึงเข้าหาตัวมัน ในขณะที่มันก็เบี่ยงตัวเองหลบจนผมถลาไปข้างหน้าจนล้มลง ส่วนไอ้ภพก็รีบวิ่งหนีผมกลับไปที่หอประชุม ทิ้งให้ผมนั่งช็อกอยู่ตรงนั้น ทั้งมึน และโมโห

“ไอ้เชี้ยภพ!!” ผมตะโกนลั่นแล้วพยายามลุกตามมันไปแต่รู้สึกเจ็บแปล๊บที่ข้อเท้า คงเพราะข้อเท้าแพลงจากการหกล้ม

ผมยายามพยุงตัวเองแล้วเดินไปนั่งที่ม้านั่งแถว ๆ นั้น ท่ามกลางความมืด กลัวก็กลัว แต่เดินก็ไม่ไหว น้ำตาผมไหลออกมาด้วยความโกรธ

ผมนั่งอยู่ตรงนั้นประมาณ 5 นาที ไอ้ภพก็เดินกลับมาแล้วมาหยุดอยู่ตรงที่ผมนั่ง

“ทำไมไม่ตามไปวะ?” ไอ้ภพถาม

ผมไม่ตอบ เพราะไม่อยากจะสนทนาอะไรกับมันอีกแล้ว

“กูไม่ได้อยากจะมาตามหรอกนะ แต่กลับไปนั่งคนเดียวแล้วก็โดนสั่งให้มาตามมึงอีกนี่แหละ”

ผมยังคงเงียบต่อไป และผมคงไม่บอกมันหรอกว่าเท้าผมแพลงเดินไม่ไหว

“ตามใจมึงแล้วกัน อยากนั่งให้ผีหลอกตรงนี้ก็แล้วแต่ กูไปละ”
“เท้ากูแพลง!” ผมบอก เพราะไปสะดุดกับคำว่า ผี ที่ไอ้ภพเอามาขู่
“อะไรนะ?” ไอ้ภพถามย้ำ
“กู...เท้าแพลง เดินไม่ไหว”
“อย่าสำออย ล้มแค่นี้เอง”
“แล้วใครใช้ให้มึงทำแบบนั้นล่ะวะ”
“เร็ว ๆ รีบลุกขึ้นแล้วกลับที่หอประชุม ตรงนี้ยุงเยอะ”
“.......”
“ถอดรองเท้าดิ!” ไอ้ภพบอกพลางหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาแล้วเปิดแฟลชส่องมาที่เท้าผม

ผมถอดรองเท้าออก เผยให้เห็นรอยช้ำเป็นแนวยาวเกือบ 3 นิ้ว บริเวณใต้ตาตุ่ม ไอ้ภพเห็นแบบนั้นก็ตกใจเล็กน้อย

“มึงเดินไหวมั้ย?”
“ถ้าไหวกูคงเดินไปเองนานแล้วแหละ”
“งั้น...” ไอ้ภพลังเลที่จะพูด
“มึงไม่ต้องมาทำเป็นช่วยกูหรอก ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะมึงไม่ใช่หรอ?”
“กูก็ไม่ได้อยากจะช่วยมึงหรอก แต่ถ้ากูกลับไปคนเดียวก็โดนไล่ให้มาตามมึงอีก เพราะงั้น หุบปาก แล้วรีบ ๆ ลุกขึ้น” ไอ้ภพบอกแล้วดึงผมให้ยืนขึ้น โดยที่มันสอดแขนมาพยุงตัวผมไว้

เพียงแวบเดียวที่เราได้ใกล้กัน เพียงไม่กี่วินาทีที่ผมมองเข้าไปในดวงตาของมันในระยะที่ใกล้ขนาดนี้ ทำให้ผมสังเกตได้ว่าดวงตาของมันกับน้องภูนั้นคล้ายกันมาก และในมุมด้านข้างของใบหน้าไอ้ภพก็มีความคล้ายกับน้องภูเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นมันยังใช้น้ำหอมกลิ่นเดียวกันอีกด้วย

“ไอ้โซ่!”
ไอ้ภพปล่อยผมลงทันทีที่มันเห็นไอ้ยักษ์เดินตรงเข้ามา
“มึงเป็นอะไรวะ?”
“พอดีเลย มึงช่วยมาหามเพื่อนมึงไปที” ไอ้ภพบอกแล้วรีบเดินหลบออกไปทันที
“มึงเป็นอะไร?” ไอ้ยักษ์ถามอีกที
“กู...ล้ม แล้วพอดีขาแพลงนิดหน่อย ไม่เป็นไรมาก”
“ไหนขอกูดูหน่อย” ไอ้ยักษ์บอกแล้วดึงไฟฉายอันเล็ก ๆ ออกมาส่องที่เท้าของผม
“โอ้ย!” ผมร้องออกมา เพราะไอ้ยักษ์กดที่ข้อเท้าผม ถึงจะเบามือก็เถอะ
“ส่งสัยข้อเท้ามึงพลิก”

เออ กูก็เพิ่งบอกไป! ผมคิดในใจ

“แล้วเดินยังไงให้ล้มได้วะ มึงนี่ซุ่มซ่ามจริง ๆ”
“ก็ทางมันมืดนี่หว่า” ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมผมถึงไม่บอกกับไอ้ยักษ์ไปว่าไอ้ภพเป็นคนผลักผมให้ล้มจนข้อเท้าแพลงแบบนี้
“กูเห็นมึงมาห้องน้ำกับไอ้ภพ แล้วมันกลับไปแค่คนเดียว ก็เลยเป็นห่วง  นึกว่าจะโดนฆ่าไปแล้วซะอีก 555”
“อืม” ผมตอบ ไอ้ยักษ์มองหน้าผมอย่างแปลกใจ แล้วหัวเราะออกมาอีกครั้ง


ไอ้ยักษ์พยุงผมมาจนถึงหอประชุม พวกพี่ ๆ วิทยากรเห็นผมเป็นแบบนั้นจึงช่วยกันมาปฐมพยาบาลทันที และให้ผมกลับไปนั่งในทีมเหมือนเดิม

“ไม่เป็นอะไรแน่นะ?” พี่ต้อมวิทยากรเดินมาถามผม
“ครับ แค่นี้เอง”
“โอเค ถ้าไม่ไหวบอกพี่นะ”
“ครับ”

แล้วกิจกรรมนันทนาการก็ดำเนินต่อไป ผมก็ยังต้องจับคู่กับไอ้ภพเพื่อเล่นเกมต่าง ๆ จนจบกิจกรรมของคืนนี้ เมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับเต็นท์ของตัวเองเพื่อพักผ่อน

ผมกลับมาที่เต็นท์ โดยมีไอ้ยักษ์คอยพยุงมาตลอดทาง พวกเพื่อน ๆ ของผมมันก็เลยแซวผมกับไอ้ยักษ์เหมือนที่ชอบแซวเป็นประจำ

“พวกมึงดูไว้ เนี่ยผัวดีเด่น 555” ไอ้นุบอก
“เดี๋ยวกูเตะให้ 555” ไอ้ยักษ์บอกแล้วหัวเราะชอบใจ

จริง ๆ แล้วระหว่างผมกับไอ้ยักษ์ เรามีอะไรที่ค่อนข้างจะพอดีต่อกัน จนหลาย ๆ ครั้งก็ถูกเพื่อน ๆ แซวว่าเราเป็นแฟนกัน แต่ผมกับมันชัดเจนว่าเราเป็นเพื่อนกัน และเราไม่เคยคิดอะไรไปมากกว่านี้เลย

“พวกกูกลับละ มึงก็อย่าหักโหมนะไอ้โซ่ 555”
“พวกมึงรีบ ๆ ไปเลยไป” ผมไล่พลางเอาเท้าอีกข้างยันไปทางพวกมัน
“เป็นไงบ้างวะ?” เสียงไอ้กรเอ่ยถามขณะที่มุดเต็นท์เข้ามาดูผม
“แค่เท้าแพลง ถ้าอยู่เฉย ๆ 2-3 วันก็หายแล้ว” ไอ้ยักษ์บอก
“ทำไมทุกคนทำเหมือนกูป่วยหนักเลยวะ กูแค่เท้าแพลงเฉย ๆ เองนะ”

ไอ้กรหัวเราะ

“มึงไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว งั้นกูไปละ”

หลังจากไอ้กรออกไป ผมก็นอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ส่วนไอ้ยักษ์ก็เล่นโทรศัพท์ไปตามประสาของมัน

“มึงกับไอ้กรเนี่ย สนิทกันมากไหมวะ?” ผมถาม
“ก็สนิทนะ อยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้สนิทที่สุด”
“แล้วนิสัยมันเป็นยังไง?”
“ถามทำไมวะ?”
“กูแค่สงสัย ทำไมไปคบกับไอ้ภพได้”
“ฮ่า ๆๆ มันเรียนด้วยกัน ก็ต้องสนิทกันสิวะ เหมือนมึงกับกูไง”
“คนแบบนั้น...”
ในขณะนั้นก็มีเงาของใครซักคนกำลังจะมุดเข้ามาในเต็นท์
“เออใช่ กูลืมบอกไป นี่ไอ้ม่อน ที่จับได้เลข 7 อีกคน”
“โซ่ใช่ป่ะ? พอดีมีคนฝากอันนี้มาให้” ไอ้ม่อนบอกแล้วยื่นถุงกระดาษมามาให้ผม ข้างในนั้นมีแผ่นเจลประคบเย็นอยู่สามแผ่น
“ใครวะ?”
“เขาบอกวิทยากรฝากให้เอามาให้” ไอ้ม่อนบอกแล้วนั่งลง

ไอ้ม่อนเป็นคนที่หน้าตาจัดว่าดี ประมาณหนึ่ง แต่จะออกแนวกวนตีนมากกว่า มันสูง และมีผิวสีแทน รวม ๆ แล้วถือว่าโอเคเลย

“กูนอนก่อนนะ ปกติอยู่บ้านไม่ได้นอนดึกแบบนี้” ไอ้ม่อนบอกแล้วล้มตัวลงนอนทางด้านซ้ายของผม
“เด็กอนามัย” ผมแซวไอ้ม่อนแล้วหันไปหัวเราะกับไอ้ยักษ์ ไอ้ม่อนเองก็หันมามองผมแล้วหัวเราะแก้เขิน


<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->

นิยาย จะลง สัปดาห์ละ 2 ตอนนะครับ
โดยจะลง วันจันทร์ กับ วันพฤหัสบดี
(เพื่อให้ผู้เขียนจำลำดับได้ง่าย สัปดาห์นี้จึงลงให้ 2 ตอนรวดครับ)

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ we.jinkyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ภพ โซ่ เหรอ
จะชอบกันได้ยังไง  :katai1: :katai1: :katai1:
ยักษ์ ม่อน กร น่าสนใจ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
นอกจากพี่ชายแฟนเก่าแล้ว ยังมีเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อรึเปล่า???   :hao7:

ออฟไลน์ ZhouZhou

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ Thearz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ตอนที่ 3

“ไอ้ยักษ์ หลับยังวะ?” ผมเรียกไอ้ยักษ์เบา ๆ เพราะกลัวไอ้ม่อนจะตื่น
“ยัง มีอะไรวะ?”
“กูนอนไม่หลับ”

ไอ้ยักษ์พลิกตัวหันมาทางผมแล้วเอามือมานวดหัวผม เหมือนที่ผมชอบใช้ให้มันทำเป็นประจำตอนที่ผมรู้สึกปวดหัว

“กูโคตรอยากเล่นบาสเลย”
“กูเห็นที่นี่ก็มีสนามกีฬานะ อาจจะมีสนามบาสก็ได้”
“อยากว่ายน้ำด้วย” ไอ้ยักษ์บอกต่อ
“เยอะ”
“กูถามอะไรมึงหน่อยสิ”
“อะไรวะ?”
“ที่จริงมึงไม่ได้ล้มเองใช่มั้ย”
“ทำไมคิดแบบนั้นวะ?” ผมถาม เพราะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่มันรู้
“ไอ้ภพทำหรอ?”
“เปล่า ทำไมคิดแบบนั้นอ่ะ?”
“กูเห็นมึงออกไปกับมันสองคน แล้วมันก็กลับมาคนเดียว ก็เลยคิดว่ามันคงทำอะไรมึง”
“คิดเยอะไปแล้ว ถึงกูกับมันจะเกลียดกัน แต่ไม่มีเหตุผลอะไรให้มันทำแบบนั้นหรอก” ผมบอกแล้วคิดทบทวนอีกทีว่าจริง ๆ แล้วไอ้ภพมีเหตุผลอะไรที่ทำแบบนั้นกับผม
“เออ นอนเหอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นตีห้านะ” ไอ้ยักษ์บอก

จากนั้นผมปล่อยให้ความคิดต่าง ๆ ในหัวของผมไหลไปเรื่อย ๆ จนตัวเองผล็อยหลับไป


เสียงนกหวีดดังลั่น ปลุกให้ทุกคนตื่นขึ้น รวมทั้งผมกับไอ้ยักษ์ด้วย

“ไอ้ม่อนล่ะวะ?” ไอ้ยักษ์ถามผม เพราะตอนนี้ในเต็นท์มีเพียงผมกับมันสองคน
“ไม่รู้สิ คงตื่นไปแล้วมั้ง”
“อ้าว ตื่นแล้วหรอ? พวกมึงรีบไปอาบน้ำสิ ตอนนี้ห้องอาบน้ำกำลังว่าง” ไอ้ม่อนโผล่พลวดเข้ามาพร้อมกับกลิ่นสบู่อ่อน ๆ ที่โชยมาจากตัวของมัน
“มึงอาบน้ำแล้วหรอ?” ไอ้ยักษ์ถาม
“เออสิ ทำไมวะ?”
“โห มึงตื่นตั้งแต่ตอนไหนวะเนี่ย?”
“ตีสี่ครึ่ง” ไอ้ม่อนบอก
“ตีนมึงเป็นไงบ้าง? ยังเจ็บอยู่มั้ย?” ไอ้ยักษ์ถามแล้วบีบที่ข้อเท้าผมเบา ๆ
“ไม่ค่อยเจ็บแล้ว”
“มึงสองคนนี่เป็นแฟนกันหรอวะ?” ไอ้ม่อนถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“เปล่า”
“ฮ่า ๆๆ ขอโทษที่ถามนะเว้ย ดูมึงเป็นห่วงกันเหลือเกิน”
“กูชินแล้วแหละ” ไอ้ยักษ์บอก

หลังจากนั้น ผมกับไอ้ยักษ์ก็รีบไปอาบน้ำตามที่ไอ้ม่อนบอก เพราะตอนนี้ทุกคนเพิ่งตื่น ห้องอาบน้ำก็เลยยังว่างอยู่ แต่การอาบน้ำครั้งนี้เป็นการอาบน้ำที่โคตรทรมาน เพราะน้ำเย็นมาก ที่สำคัญผมต้องใช้ผ้าเช็ดตัวสลับกับไอ้ยักษ์ด้วย

“ไอ้ยักษ์เร็ว ๆ กูหนาว!”
“อ้าว ไอ้โซ่ ขาเป็นไงบ้างวะ?” ไอ้กรเอ่ยถามผม ไอ้ภพมองมาที่ผมแล้วทำเป็นเดินผ่านผมเข้าห้องอาบน้ำไป
“ดีขึ้นแล้ว ขอบใจว่ะ”
“รอใครวะ? ไอ้ยักษ์หรอ?”
“อืม”
“ห้องนี้หรอ?” ไอ้กรชี้ไปที่ห้องอาบน้ำที่ไอ้ยักษ์อาบอยู่แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย

ผมพยักหน้า แล้วมันก็เข้าไปที่ห้องข้าง ๆ เพื่อตักน้ำแล้วสาดข้ามห้องไปที่ห้องไอ้ยักษ์ ไอ้ยักษ์ร้องเสียงหลง แล้วด่าผมเป็นชุด ส่วนไอ้กรกลั้นหัวเราะไม่ไหว รีบวิ่งเข้าไปที่ห้องอาบน้ำอีกฝั่งนึง

“ไอ้เชี้ยโซ่ เดี๋ยวกูออกไปมึงโดนแน่”
“กูไม่ได้ทำนะ ฮ่า ๆๆ” ผมบอกแล้วหัวเราะ

ซึ่งขณะนั้นในหัวผมก็คิดเรื่องชั่วร้ายขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าไอ้ภพพาดผ้าเช็ดตัวเอาไว้ตรงประตูห้องอาบน้ำ ผมจึงลุกขึ้นไปแล้วพยายามดึงผ้าเช็ดตัวอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้ไอ้ภพสังเกตได้ จนผ้าทั้งผืนตกมาอยู่ในมือผมแล้ว

“เร็ว ๆ !” ผมเร่งไอ้ยักษ์ทันทีที่มันเดินออกมาจากห้องน้ำและกำลังจะอ้าปากด่าผม มันเลยวิ่งตามมาอย่างงง ๆ
“ผ้าใครวะ?”
“ไอ้ภพ” ผมบอกแล้วโยนผ้าเช็ดตัวผืนนั้นเข้าไปในเต็นท์ แล้วยิ้มด้วยความสะใจ
“แล้วมึงจะไปแกล้งมันทำไมอ่ะ? เดี๋ยวก็ตีกันอีก”

ผมไม่สนใจ เพราะตอนนี้กำลังสะใจที่ได้แกล้งไอ้ภพ ผมรีบแต่งตัวแล้วออกมารอดูผลงาน แล้วก็เป็นไปตามคาด ไอ้ภพเดินตัวเกร็งออกมาจากห้องน้ำจนถึงเต็นท์ ผมพยายามกลั้นหัวเราะ เพราะถ้าเกิดหัวเราะออกไปมันคงรู้แน่นอนว่าเป็นผม

“ไอ้เชี้ยกร มึงเอาผ้าเช็ดตัวกูมาด้วยหรอ?” เสียงไอ้ภพโวย

แล้วผมก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ จึงหัวเราะออกมา จนไอ้ภพโผล่หน้าออกมาจากเต็นท์แล้วมองมาทางผมด้วยสายตาอาฆาต! ผมก็เลยทำเป็นหันไปทางอื่น เหมือนกับว่าผมหัวเราะเรื่องอื่นที่ไม่ใช่มัน

วันที่สอง กิจกรรมในวันนี้เริ่มต้นด้วยการให้พวกเรามาออกกำลังกายกันในตอนเช้า หลังจากนั้นก็กินข้าวเช้า และมีเวลาพักผ่อน จนถึง แปดโมงเช้า ซึ่งในระหว่างนั้นผมก็พยายามเลี่ยงไม่ให้เจอไอ้ภพเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วก็ต้องกลับไปรวมกลุ่มกับมันอยู่ดี

ขณะที่ผมนั่งดูไอ้ยักษ์กับเพื่อน ๆ กำลังเตะฟุตบอลกันอยู่นั้น ไอ้ภพมายืนอยู่ตรงหน้าผม มันไม่พูดอะไร แต่เตะเข้ามาที่ขาข้างที่ผมกำลังเจ็บอยู่อย่างจัง

“โอ้ย!” ความเจ็บปวดแล่นจากข้อเท้าผ่านขึ้นมาเรื่อย ๆ จนผมน้ำตาไหลออกมา ทุกคนในสนามหันมามองว่าเกิดอะไรขึ้น
“อย่ากวนตีนกับกู” ไอ้ภพบอก

ไอ้ยักษ์เห็นแบบนั้นจึงรีบวิ่งเข้ามาแล้วผลักไอ้ภพกระเด็นออกไป

“มึงทำเชี้ยอะไรวะ?”
“เฮ้ย มึงใจเย็น ๆ” ไอ้กรรีบเข้ามาห้ามไอ้ยักษ์ทันที
“ใจเย็นเชี้ยอะไร มึงดูเพื่อนมึงทำสิ!”
“มึงเสือกอะไรด้วยวะ!” ไอ้ภพลุกขึ้นแล้วตรงเข้ามาจะต่อยไอ้ยักษ์ แต่ไอ้กรกันเอาไว้ก่อน ไอ้ยักษ์คิดว่าได้โอกาสจึงพุ่งตัวเข้าไปเพื่อต่อยไอ้ภพ ผมจึงดึงตัวมันเอาไว้
“พอแล้ว” ผมบอก
“ทีกับเมียนี่เชื่องเป็นหมาเลย” ไอ้ภพแขวะ
“มึงก็หยุดพูดได้แล้วไอ้ภพ แบบนี้มันเกินไปแล้วนะเว้ย” ไอ้กรพูดปราม
“พวกมึงไม่ต้องยุ่ง!”
“แค่เรื่องแค่นี้มึงอย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ได้เปล่าวะ?” ไอ้กรพยายามดึงตัวไอ้ภพเอาไว้
“แค่กูเอาผ้าเช็ดตัวมึงไปซ่อน มันเทียบได้กับที่มึงทำกูเอาไว้หรอวะ?” ผมบอก
“แล้วมึงจะทำไม”

ผมทนไม่ไหว จึงต่อยเข้าไปที่ปากของไอ้ภพอย่างจัง จนทั้งมันและผมล้มลงไปทั้งคู่ เพราะผมเองก็ยืนแทบไม่ไหวเพราะเจ็บที่เท้าอย่างมาก

เราผลัดกันสวนกันอีกคนละหมัด แล้วก็ถูกแยกตัวโดยวิทยากรท่านหนึ่งที่เข้ามาช่วยห้าม จากนั้นเราทั้งคู่ก็โดนเรียกตัวไปพบกับคนที่เป็นหัวหน้าที่คอยควบคุมดูแลกิจกรรมค่ายอาสาครั้งนี้ นั่นคือตาลุงวิทยากรหน้าดุที่เคยฉีกกระดาษหนังสือพิมพ์ของผมนั่นเอง

“ผมว่าผมพูดตั้งแต่วันแรกแล้วนะ ว่าค่ายอาสาครั้งนี้เราเน้นเรื่องของความสามัคคี แต่คุณสองคนกลับมามีเรื่องชกต่อยกันแบบนี้ ผมคงปล่อยผ่านไม่ได้”
“ขอโทษครับ” ผมบอก
“พวกคุณมีปัญหาอะไรกัน? ทั้งที่อยู่ทีมเดียวกันแท้ ๆ ยังมาทะเลาะกันอีก”
“มัน...” ไอ้ภพกำลังจะพูดแต่ถูกขัดจังหวะเอาไว้ก่อน
“ไม่ว่าใครจะเริ่มก่อน พวกคุณก็ผิดทั้งสองคน และถ้าอยู่ด้วยกันดี ๆ ไม่ได้ก็...” ตาลุงพูดพลางลุกไปหยิบอะไรบางอย่างจากในลิ้นชัก แล้วสั่งให้เรายื่นมือออกไปคนละข้าง

แกล๊ก ! ทั้งผมกับไอ้ภพหน้าเหวอ เพราะเราถูกใส่กุญแจมือติดกัน

“พ่อ! ไม่เอาแบบนี้!” ไอ้ภพร้องลั่น ทำให้ผมตกใจอีกครั้ง ที่ตาลุงคนนี้เป็นพ่อของมัน... เป็นพ่อของน้องภู
“ไม่มีข้อยกเว้น เอ็งเป็นลูกเตี่ย แต่กลับมาทำเรื่องแบบนี้ ทำไมไม่คิดถึงหน้าเตี่ยบ้าง?”
“ให้ผมทำอย่างอื่นก็ได้ แต่ไม่เอาแบบนี้” ไอ้ภพอ้อนวอน
พ่อมันส่ายหน้า
“หวังว่าทั้งสองคนจะเรียนรู้การอยู่ร่วมกันได้นะ ไปได้แล้ว”
“พ่อ...” ไอ้ภพอ้อนวอนครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างไม่พอใจ แต่มันคงลืมไปว่ามีผมติดอยู่ด้วย และด้วยความที่ผมเจ็บข้อเท้าอยู่ ทำให้ผมเซถลาไปจนชนกับโต๊ะที่อยู่ในห้อง
“โอ้ย!”
พ่อไอ้ภพกุมขมับ แล้วบ่นเบา ๆ ว่า
“แค่นี้มันยังรู้สึกตัวเลย แบบนี้จะรอดไหมเนี่ย”
“มึงระวังบ้างสิวะ!” ผมบ่น
“เกะกะ!” ไอ้ภพบอกแล้วกระชากให้ผมเดินตามมันไปทั้งที่เจ็บเท้าอยู่แบบนั้น
ผมกัดฟันเดินตามมันไป พอเจอไอ้ยักษ์กับไอ้กรที่รออยู่ มันก็พยายามรีบเดินผ่านไปแต่ผมดึงเอาไว้
“มึงไหวมั้ย?” ไอ้ยักษ์ถามแล้วรีบมาพยุงตัวผม
“มึงใจเย็น ๆ ก่อนไอ้ภพ” ไอ้กรบอก
“มึงดูพ่อกูทำสิ แม่ง!” ไอ้ภพบ่น ไอ้ยักษ์ตกใจเล็กน้อยที่ได้ยินว่าตาลุงนั่นคือพ่อของไอ้ภพ
“นั่งก่อน ไอ้โซ่มันเดินไม่ไหวแล้ว”
“ไอ้เวรนี่ก็เป็นภาระอีก”
“อ้าว แล้วไม่ใช่เพราะมึงหรอวะที่มันเป็นแบบนี้!” ไอ้ยักษ์โวย
“พอแล้วมึง เดี๋ยวก็โดนทำโทษกันอีก แค่นี้กูก็แย่แล้ว” ผมบอก
“ทำไมมึงต้องยอมมันด้วยวะ?”
“กูไม่ได้ยอม แต่กูอยากให้มันจบ จะได้ไม่ต้องติดกับมันแบบนี้ทั้งวัน”

เฮ้อ...  ผมถอนหายใจ แล้วนั่งลงตรงม้านั่งโดยมีไอ้ภพติดอยู่ด้วย ผมถอดรองเท้าออก ปรากฏว่า เท้าผมกลับมาบวมอีกครั้ง แหละเหมือนจะหนักกว่าเดิม ไอ้ยักษ์จึงเอาแผ่นประคบมาแปะไว้ที่เท้าของผมแล้วเอาผ้ายืดพันเคล็ดมาพันให้

“โอเคยัง?”
“อืม” ผมบอก
ไอ้ภพมองตาปริบ ๆ แล้วทำทีว่าหันไปทางอื่น
“เท้าเป็นไงบ้าง?” พี่ต้อมวิทยากร เดินมาจากไหนไม่รู้แล้วถามผม
“ไม่เท่าไหร่ครับ”
“แต่ผมว่าค่อนข้างหนักนะครับ” ไอ้ยักษ์แย้ง
“งั้นวันนี้น้องสองคนพักไปก่อนแล้วกัน พี่ว่ายังไม่ควรขยับมาก เดี๋ยวจะอักเสบไปมากกว่านี้ ส่วนน้องทีม 7 กลับไปรวมกับเพื่อนที่หอประชุมนะ”
“จะให้ผมปล่อยเพื่อนไว้กับมันหรอ?”
“พี่รู้ว่าสองคนนี้มีเรื่องกัน เพราะงั้นถึงได้โดนทำโทษไง ที่ล็อกให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันก็เพราะจะได้รู้จักกัน เห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น น้องไม่ต้องกังวลหรอก เค้าคงไม่ตีกันแล้วแหละ”
ไอ้ยักษ์ลังเลที่จะปล่อยผมไว้กับไอ้ภพสองคน แต่มันก็ต้องยอม
“มึงโอเคนะ” ไอ้ยักษ์ถามย้ำ
“เออ มึงไปเหอะ”
“มึงก็ด้วย คิดบ้างก่อนจะทำอะไร กูไม่รู้นะว่ามึงสองคนเคยมีปัญหาอะไรกัน แต่แบบนี้มันดีแล้วหรอวะ?” ไอ้กรบอกกับไอ้ภพ

หลังจากที่พวกนั้นกลับไปที่หอประชุมแล้ว ผมกับไอ้ภพก็นั่งกันอยู่ตรงนั้น เกือบครึ่งชั่วโมง โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรซักคำ

“มึง...เป็นไงบ้าง?” ผมตัดสินใจเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนา ถึงแม้ว่าจะยังโกรธมันอยู่ก็ตาม แต่เห็นรอยช้ำที่ปากมันแล้วก็รู้สึกผิด
ไอ้ภพทำเป็นไม่ได้ยินที่ผมถาม
“มึงโกรธแค่เรื่องที่กูเอาผ้าเช็ดตัวมึงไปซ่อนหรอวะ?”
ไอ้ภพยังคงนิ่งเงียบเหมือนเดิม
“กูไปทำอะไรให้มึงวะ? ทั้งที่เราก็เพิ่งเจอกันเมื่อวานแท้ ๆ”
“มึงเลิกพูดซะทีเหอะ” ไอ้ภพเริ่มรำคาญ
“แล้วกูไปทำอะไรให้มึงเกลียด? เรื่องไอ้ภูหรอ?”
มันกลับมาเงียบเหมือนเดิม
“มึงจะเอาอะไรอีกวะ มึงอยากให้กูกับมันเลิกกัน กูก็เลิกกันแล้วนี่ไง” ผมบอกด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“เออ”
“เออ!” แล้วเราก็กลับมาเงียบกันอีกครั้ง จนครั้งนี้ไอ้ภพเป็นฝ่ายพูดก่อนบ้าง
“กูอยากเข้าห้องน้ำ”
“ห๊ะ!”
“มึงเดินไหวมั้ย? กูจะไปเข้าห้องน้ำ”
“เอ่อ... คิดว่าไม่ แต่มึงจะ...”
“กูปวดเยี่ยว!” ไอ้ภพขึ้นเสียงแล้วดึงให้ผมลุกขึ้น แต่ผมยังเจ็บที่ข้อเท้าอยู่ก็เลยต้องเดินกะเผลกตามมันไป

ทุกก้าวที่ต้องทิ้งน้ำหนักลงไปมันแสนเจ็บปวด จนที่สุดแล้วไอ้ภพก็ยอมสอดแขนมาช่วยพยุงผมเอาไว้ แต่ก็คงเพราะมันปวดฉี่จนทนไม่ไหว ก็เลยต้องฝืนใจช่วยผมแบบนี้

“ถ้าแอบดูมึงโดนกระทืบแน่” ไอ้ภพบอกขณะที่กำลังจะปลดทุกข์
“โถ...” ผมแอบหัวเราะเบา ๆ
“โคตรซวยเลยที่ตัดสินใจมาค่ายที่นี่”
“ชีวิตกูก็คงดีกว่านี้เยอะ ถ้าไม่มีมึง” ผมบอก ไอ้ภพจึงเอาศอกเข้าที่หลังของผมจนผมแทบล้ม


หลังจากที่ไอ้ภพทำธุระเสร็จแล้ว เราก็ตกลงกันว่าจะจะกลับไปช่วยงานคนอื่น ๆ ที่ตอนนี้กำลังช่วยกันปรับปรุงตามพื้นที่ต่าง ๆ ของโรงเรียน บางกลุ่มก็ช่วยชาวบ้านซ่อมหลังคา บางกลุ่มก็ซ่อมโต๊ะ เก้าอีกต่าง ๆ ส่วนผมกับไอ้ภพ อยู่ในส่วนของการทาสี เพราะผมจะได้ไม่ต้องเดิน  แต่ก็ทุลักทุเลไม่น้อย ถึงอย่างนั้นก็ยังโชคดีที่ผมถนัดมือซ้าย เพราะมือขวาของผมถูกล็อกติดอยู่กับไอ้ภพ

“มึงช่วยทาดี ๆ หน่อยได้มั้ย สีมันกระเด็นหมดแล้วเนี่ย!” ไอ้ภพบ่นที่ผมทำสีกระเด็นใส่มัน
“ขอโทษ กูตั้งใจ”
พรืด !! ไอ้ภพตวัดแปรงทาสีเข้ามาที่แขนขวาผมตั้งแต่ข้อมือจนถึงศอก กลายเป็นสีขาว
“กูตั้งใจ”

เมื่อเป็นแบบนั้นผมจึงเอาแขนที่เปื้อนสีไปเช็ดที่แขนมันเหมือนกัน ถึงมันอยากจะหลบแต่ก็หลบไม่ได้

ผมหัวเราะกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พอรู้ตัวว่าไอ้ภพมันมองอยู่ก็ต้องรีบหยุดหัวเราะแล้วหันไปทาสีต่อ ขณะที่ในใจของผมกำลังรู้สึกแปลก ๆ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ยังโกรธมันอยู่รึเปล่า หรือไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงที่โดนจับให้ใส่กุญแจมือล็อกติดกับมันอยู่แบบนี้ แล้วก็เดาไม่ได้เหมือนกันว่ามันรู้สึกยังไง เพราะบางทีมันก็อารมณ์ร้ายจนน่ากลัว แต่บางทีก็เหมือนมันพยายามทำตัวร้ายใส่ผมมากกว่า แต่ผมก็หวังว่าเราน่าจะเป็นเพื่อนกันได้ เพราะถ้าตัดเรื่องที่มันทำให้ผมกับน้องภูต้องเลิกกันออกไปแล้ว ผมก็ไม่ได้โกรธเกลียดอะไรมันซักนิด

แต่มีอย่างนึงที่ผมค่อยข้างจะมั่นใจ ไอ้ภพต้องเป็นไบโพล่าแน่ ๆ เลย 555
พรืดดดด !



<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->

สวัสดีปัใหม่ครับผม ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีแต่ความสุข สุขภาพร่างกายแข็งแรง และพบเจอแต่สิ่งดี ๆ ตลอดปีนี้นะครับ   :3123:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-01-2017 13:27:25 โดย Thearz »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
❤️ HAPPY NEW YEAR 2017 ❤️
สวัสดีปีไหม่ ๒๕๖๐
ขอให้ไรท์ มีความสุข มากกกกกกก
。◕‿◕。

ภพ โซ่  :mew1: :mew1: :mew1:
      :L1: :L1: :L1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เริ่มมีพิรุธ...รออ่านตอนต่อไป
สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังฮะ  :mew1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ตีกันบ่อยไปสุดท้ายก็ได้กันสินะ

ออฟไลน์ Aeflizm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ Thearz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ตอนที่ 4

“ไปทำอะไรมาวะ ทำไมเลอะเทอะแบบนี้?” ไอ้ยักษ์เอ่ยถามเพราะสงสัยที่ตัวผมเปรอะไปด้วยสี รวมทั้งใบหน้าด้านขวา ที่มีสีขาวเปรอะไปทั้งแก้ม เพราะไอ้ภพหมันไส้ที่ผมหัวเราะมัน มันจึงป้ายแปรงทาสีเข้าที่หน้าผมเต็ม ๆ
“ไปทาสีตรงโน้นมา”

ไอ้ยักษ์มองไปที่ไอ้ภพ แล้วทั้งคู่ก็จ้องกันเขม็ง จนผมต้องรีบหาเรื่องคุย ก่อนที่มันจะตีกันอีก

“กูหิวน้ำอ่ะ มึงไปซื้อน้ำให้หน่อยดิ”
“เออ แล้วเอาอย่างอื่นด้วยเปล่า?”
“มึงเอาอะไรมั้ย?” ผมหันไปถามไอ้ภพ
“แค่ของมึง!” ไอ้ยักษ์รีบบอก
ไอ้ภพส่ายหน้าแทนคำตอบ
“งั้นเดี๋ยวกูรออยู่แถวนี้นะ”

แล้วไอ้ยักษ์ก็เดินไปซื้อน้ำมาให้ผม

“เชื่องดีเนอะ” ไอ้ภพพูดเมื่อเห็นว่าไอ้ยักษ์เดินลับไปแล้ว
“มึงเลิกพูดแบบนี้ซะทีเถอะ”
“ก็มันจริง”
“ปากแบบมึงนี่เคยมีแฟนรึเปล่าวะ?”
“เรื่องของกู ถึงยังไงกูก็ไม่ใช่พวกผิดเพศแบบมึงก็แล้วกัน” ไอ้ภพกลับมาเข้าโหมดร้ายอีกครั้ง
“นี่ถามจริงเหอะ มึงมีปมอะไรรึเปล่า ทำไมถึงเกลียดเกย์ขนาดนี้วะ?”
“อาจจะเกลียดแค่มึงก็ได้”
“แล้วกูไปทำอะไรให้มึงเกลียด?”
“พูดมาก น่ารำคาญ แล้วก็กวนตีน”
“ถ้าอันนั้นมึงก็ไม่ต่างกันหรอก” ผมบอกแล้วถอนหายใจ

ไอ้ภพเมินผมแล้วหันไปสนใจกับอย่างอื่นแทน

“ถ้าจะมีใครซักคนที่ต้องเกลียดกัน คนนั้นควรจะเป็นกูนะ เพราะกูเป็นผู้ถูกกระทำมาตลอด... มึงบังคับให้กูต้องเลิกกับไอ้ภู ทั้งที่กูกับน้องมึงก็แค่รักกัน” ผมบอก
“...”
“แล้วก็นี่...” ผมขยับเท้าเพื่อให้มันรู้ว่าผมหมายถึงอะไร
“พูดมาก”
“ที่จริงกูก็โกรธมึงนะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องเกลียดเลย”
“หุบปากได้แล้ว กูรำคาญ!” ไอ้ภพขึ้นเสียง
“อยู่นี่เอง พี่เดินตามหาตั้งนาน ยื่นมือมา” พี่ต้อมวิทยากรเดินยิ้มร่ามาจากไหนไม่รู้ แกพยายามกลั้นหัวเราะที่เห็นสภาพผมเป็นแบบนี้ แล้วไขกุญแจมือให้ผมกับไอ้ภพ

ในที่สุดเราก็เป็นอิสระแล้ว

“พี่ให้เวลาทั้งสองคนอาบน้ำแล้วจัดการธุระส่วนตัวคนละ 20 นาที เสร็จแล้วพี่ต้องใส่กุญแจมือให้เหมือนเดิม พี่จะไปรอแถว ๆ เต็นท์แล้วกันนะ”
“ไม่ใส่ไม่ได้หรอพี่” ไอ้ภพถามด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
“ไม่ได้หรอก คำสั่งพ่อน้อง” พี่ต้อมบอกแล้วเดินจากไป ไม่รู้ทำไมผมถึงแอบดีใจเล็ก ๆ

“เฮ้ย เดี๋ยวดิ!” ไอ้ภพรีบเดินกลับเต็นท์ไปทันทีโดยไม่หันมามองผมเลยซักนิด ทิ้งให้ผมนั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว

“กูเดินไม่ไหว...” ผมพูดกับตัวเองเบา ๆ และแอบตลกตัวเองที่เผลอคิดไปว่ามันจะห่วงผมบ้าง
“อ้าว ไอ้ภพล่ะ?” ไอ้ยักษ์กลับมาพอดี พร้อมกับถุงขนมที่มันซื้อมา
“พอดีเค้าไขกุญแจให้อาบน้ำ เสร็จแล้วก็ต้องกลับไปใส่เหมือนดิม”
“แล้วมันก็ทิ้งให้มึงอยู่คนเดียวเนี่ยนะ?”
“ก็กูบอกจะรอมึงตรงนี้”
“ทึ่มเอ๊ย! เอ้านี่” ไอ้ยักษ์ยื่นถุงขนมให้ผมแล้วนั่งลงถอดรองเท้าผมเพื่อพันผ้าที่ข้อเท้าให้ผมใหม่

ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลาย ๆ คนชอบคิดว่าผมกับไอ้ยักษ์เป็นแฟนกัน เพราะมันคอยเทคแคร์ดูแลผมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำอะไร ซึ่งผมก็รู้สึกดีนะ ที่มีมันอยู่ข้าง ๆ แบบนี้ แต่อย่างที่เคยบอก เราไม่เคยคิดกันมากเกินไปกว่าเพื่อนเลย

“แล้วจะไม่ให้คนอื่นคิดว่ามึงสองคนเป็นแฟนกันได้ยังไงวะ?”
“อ้าว ไอ้ม่อน” ผมทักไอ้ม่อนที่เดินมานั่งข้าง ๆ ผม
“กูก็แค่ดูแลเพื่อนกู มันแปลกตรงไหนวะ?”
“แปลกตรงที่ผู้ชายสองคนเค้าไม่ดูแลกันขนาดนี้เว้ย” ไอ้ม่อนบอกแล้วแกะขนมกินโดยไม่ได้เอ่ยปากขอผมซักคำ
“ไอ้ยักษ์มันเป็นคนแบบนี้แหละ ชอบดูแลคนอื่น”
“ก็มึงไม่ค่อยดูแลตัวเอง ชอบทำให้ห่วงอยู่เรื่อย”
“ถ้ามึงไม่ได้เป็นแฟนไอ้ยักษ์ แล้วตอนนี้มีแฟนรึยัง?” ไอ้ม่อนหันมาถามผม

ผมส่ายหน้า

“ทำไม? มึงจะจีบเพื่อนกูหรอ?” ไอ้ยักษ์แซว
“เปล่าเว้ย! กูยังชอบผู้หญิงอยู่” ไอ้ม่อนรีบแก้ตัว

หลังจากนั้นไอ้ยักษ์และไอ้ม่อนก็ช่วยพยุงผมกลับไปที่เต็นท์ เพื่อพักผ่อน และทำธุระส่วนตัว พวกเรามีโอกาสได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น
ไอ้ม่อน เป็นคนเชียงใหม่ หน้าตามันดูกวน ๆ ซึ่งก็เข้ากับบุคลิกของมันแล้ว ด้วยนิสัยเข้ากับคนง่ายของมัน ทำให้ผมรู้สึกเหมือนรู้จักและสนิทสนมกันมานาน ซึ่งทลายกำแพงที่ผมมักจะตั้งไว้สำหรับคนแปลกหน้า หรือคนนอกที่ไม่สนิทลงไปหมดเลย ระหว่างนั้น ไอ้กรเองก็เข้ามาร่วมวงคุยด้วย ทำให้ผมกับไอ้กรก็รู้จักกันมากขึ้นอีกนิดหนึ่งซึ่งในระหว่างที่คุยกันอยู่นั้นสายตาผมก็เหลือบไปเห็นไอ้ภพที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เดินกลับมาที่เต็นท์พอดี

“เชี้ย! กูต้องไปอาบน้ำแล้ว” ผมลืมไปซะสนิทว่าพี่ต้อมให้เวลาผมแค่ 20 นาทีเท่านั้น

หลังจากอาบน้ำและทำธุระส่วนตัวจนเสร็จ ผมกับไอ้ภพก็ต้องกลับมาสวมกุญแจมือติดกันเหมือนเดิม ส่วนพวกไอ้ยักษ์ก็ต้องไปเข้าร่วมกิจกรรมในหอประชุม
ไอ้ภพทำท่าเซ็งอย่างบอกไม่ถูก ส่วนผมแอบหัวเราะที่มันเป็นแบบนั้น

“มึงหัวเราะอะไร?”
“เปล่า”
“หรือมึงชอบที่ได้อยู่ใกล้ ๆ กูแบบนี้”
“ส้นตีนสิ!”
“แล้วขาเป็นไงบ้าง?” ไอ้ภพถามแล้วมองไปที่ข้อเท้าของผมที่ไอ้ยักษ์พันผ้ามาให้เป็นอย่างดี
“เจ็บตีน ไม่ได้เจ็บขา”
“อีกข้างอ่ะ อยากเอาไว้มั้ย?” ไอ้ภพถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“กูขอโทษ ฮ่า ๆๆ”
ไอ้ภพถอนหายใจแล้วยื่นซองแผ่นเจลประคบมาให้ผม เป็นแบบเดียวกับที่ไอ้ม่อนเคยเอามาให้ก่อนหน้านี้
“หืม?”
“กูเอามาให้”
“ก่อนหน้านี้ก็ของมึงหรอ?”
“ไม่ใช่ของกู พ่อกูฝากมาให้” ไอ้ภพบอก

ผมนั่งลงเพื่อจัดการแปะแผ่นเจลที่ข้อเท้าโดยมีไอ้ภพนั่งดูอยู่ข้าง ๆ

“น้องคะ พี่ต้อมให้พี่มาบอกว่าเด็ก ๆ รออยู่แล้ว” พี่สาววิทยากรคนหนึ่งวิ่งมาตามผมกับไอ้ภพ
“เด็ก ๆ อะไรหรอครับ?”
“เค้าจะให้มึงกับกูไปช่วยสอนหนังสือเด็ก ก็เพราะมึงดันพิการ กูถึงไม่ได้ไปเล่นกิจกรรมเหมือนคนอื่น ๆ ในหอประชุม” ไอ้ภพบอก
“เดี๋ยว ๆ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะมึงหรอวะ? ที่กูเป็นแบบนี้ก็เพราะมึงเป็นคนทำไม่ใช่รึไง?” ผมโมโห เพราะมันมัวแต่พูดว่าเพราะผม ๆ
“อย่าเพิ่งทะเลาะกัน รีบไปเถอะค่ะ”
“แต่ก็ดีแล้ว ถ้าให้กูเข้าไปหอประชุมทั้งที่ติดอยู่กับมึงแบบนี้กูก็คงอายคนอื่นแย่” ไอ้ภพยังไม่สำนึก
“ไม่ใช่มึงคนเดียวหรอกที่ต้องอาย” ผมบอกแล้วเดินลากขาตามพี่สาววิทยากรไปจนถึงห้องเรียนเล็ก ๆ ห้องหนึ่ง

ภายในห้องเรียนมีเด็กอายุราว ๆ 13 – 15 ขวบ อยู่สิบกว่าคน ทันทีที่เด็ก ๆ เห็นผมกับไอ้ภพที่ถูกใส่กุญแจมือติดกัน ก็พากันหัวเราะออกมา แล้วส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ถามผมกับไอ้ภพว่าทำไมถึงถูกล็อกติดกันแบบนี้

“ปวดหัวแน่กู” ไอ้ภพรำพึงเบา ๆ
“ไม่ชอบเด็กหรอ?” ผมกระซิบถามมันเบา ๆ
“โคตรเกลียด”
“แล้วเกลียดมากกว่า หรือน้อยกว่ากูอ่ะ?”
ไอ้ภพกลอกตาไปมาแล้วถอนหายใจ ผมแอบหัวเราะ
“วันนี้พี่สองคนนี้จะมาช่วยสอนหนังสือให้กับน้อง ๆ นะคะ เด็ก ๆ อย่าดื้อกับพวกพี่เค้านะ” พี่สาววิทยากรแนะนำพวกผมให้กับเด็ก ๆ
“พี่เค้าทำอะไรผิดหรอกครับ ถึงโดนตำรวจจับ?” เด็กคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น แล้วเด็กคนอื่น ๆ ก็พากันหัวเราะชอบใจ
“ฮ่า ๆๆ” ผมหัวเราะออกมา แต่ไอ้ภพยังทำหน้าซังกะตายอยู่เหมือนเดิม
“เอาเป็นว่าพี่ฝากเด็ก ๆ ด้วยนะ”
“นานมั้ยครับ?” ไอ้ภพถาม
“ไม่น่าจะเกิน 2 ชั่วโมงค่ะ” ไอ้ภพได้ยินแบบนั้นก็เซ็งหนักกว่าเดิม แต่สำหรับผมแค่นี้สบาย ๆ อยู่แล้ว เพราะผมเคยรับสอนพิเศษเด็ก ๆ ในช่วงปิดเทอม
“โอเคครับ ไม่ต้องห่วงครับ” ผมบอก แล้วพี่สาววิทยากรก็เดินออกไป
“เอ่อ... เริ่มยังไงดี”

จากนั้นเราก็เริ่มแนะนำตัวกับเด็ก ๆ และให้เด็กแต่ละคนแนะนำตัวเอง เสร็จแล้วเราก็คุยกันกับพวกเด็ก ๆ และยังคงถูกถามซ้ำ ๆ ว่าทำไมถึงโดนล็อกติดกัน นอกนั้นก็ถูกถามว่าเท้าผมไปโดนอะไรมา หน้าเราทั้งคู่ไปโดนอะไรมา ตามประสาเด็กที่ช่างซักช่างสงสัย

“แล้วพี่จะสอนวิชาอะไรคะ?” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูจะเป็นเด็กเรียนเอ่ยถามขึ้น
“มึงจะสอนวิชาอะไร?” ไอ้ภพหันมาถามผม พลางหยิบดูหนังสือเรียนที่ตั้งอยู่บนโต๊ะในห้องเรียน
“อะไรก็ได้”
“งั้นเอาคณิตศาสตร์ไป”
“ไม่เอา กูตกคณิต”
“แล้วบอกอะไรก็ได้”
ผมกลอกตาล้อเลียน มันก็เลยเอาหนังสือเรียนฟาดเข้าที่หัวผมดังป้าบ เด็ก ๆ หัวเราะกันยกใหญ่
“เชี้ย!”
“พูดไม่เพราะ!” เด็กคนหนึ่งพูดขึ้นแล้วชี้มาที่ผม
“พูดไม่เพราะ ต้องโดนอีกทีเนอะ” ไอ้ภพทำเป็นเออออตามเด็ก แล้วตีหัวผมอีกที เด็ก ๆ ก็พากันหัวเราะอีก ผมในตอนนั้นก็ไม่ได้รู้สึกโกรธไอ้ภพเลยแม้แต่น้อย กลับหัวเราะไปกับเด็กพวกนั้นด้วยซ้ำ แต่ก็โดนเบรกด้วยสายตาอันดุดันที่ไอ้ภพมองมา ผมจึงแกล้งกลอกตาอีกครั้ง
“เลิกกวนตีนซะที!”
“พี่คนนี้ก็พูดไม่เพราะ!” เด็กคนเดิมบอก แล้วชี้ไปที่ไอ้ภพ

ผมได้ที แย่งหนังสือมาจากมือมันแล้วทำท่าจะฟาด

“ลองดิ!” ไอ้ภพพูดด้วยเสียงที่เรียบ แต่สีหน้าดูจริงจัง
“กู...แค่จะเอาหนังสือมาสอนเด็กหรอก” ผมบอกแล้วหัวเราะ โคตรไม่แฟร์เลย
“เล่มนั้นคณิตนะ”

ผมรีบเปลี่ยนหนังสือคืนกับไอ้ภพ แล้วเริ่มสอนวิชาภาษาอังกฤษ โดยเน้นเนื้อหาที่เหมาะสมกับช่วงวัยของเด็ก ๆ เช่น คำทักทาย บทสนทนาง่าย ๆ แล้วให้เด็ก ๆ จับคู่เพื่อสนทนากัน

ในระหว่างนั้นไอ้ภพที่นั่งดูอยู่ คงจะสังเกตได้ว่าผมเริ่มเจ็บเท้า เพราะตรงโต๊ะของอาจารย์ที่หน้าห้องเรียนนั้นมีเก้าอีกแค่ตัวเดียว แล้วมันก็ไม่ให้ผมนั่งในตอนแรก ก็ลุกขึ้นแล้วให้ผมนั่งแทน หลังจากนั้นมันก็เปลี่ยนมาสอนวิชาคณิตศาสตร์ต่อ จนกระทั้งพี่สาววิทยากรเดินมาบอกกับเราว่าถึงพักแล้ว

“นักเรียนทำความเคารพ” เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ดูจะโตสุด และคงเป็นหัวหน้าห้องเอ่ยขึ้น แล้วเด็กคนอื่นก็ตอบรับตามอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ขอบคุณครับคุณครู!”

หลังจากนั้นเด็ก ๆ ก็แยกย้ายกันออกไปจากห้องเรียน แต่ผมสังเกตเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุราว ๆ 13 ขวบ ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเองบริเวณหลังห้อง

“อ้าว น้อง ทำไมไม่ออกไปเล่นกับเพื่อน ๆ ล่ะครับ?” ผมร้องถามเด็กคนนั้น

เด็กคนนั้นไม่ตอบ แต่หันไปมองเพื่อนที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน

“ไปเหอะ กูหิวข้าวแล้ว”
“รอแปบนึง” ผมบอกแล้วพาไอ้ภพเดินไปจนถึงโต๊ะที่เด็กคนนั้นนั่งอยู่

จึงได้คำตอบว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงไม่ยอมออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อน

“ชื่อน้องรันใช่มั้ย?”
เด็กน้อยหันมามองผมแล้วพยักหน้าด้วยท่าทางประหม่า
“ผมใส่อันนี้ไม่เป็น” น้องรันบอก แล้วชี้ไปที่ขาเทียมที่ตั้งพิงไว้ข้างพนัง
“ขอพี่ดูหน่อยได้มั้ย?” ผมบอกแล้วนั่งลงเพื่อตรวจดูขาของน้อง
ขาข้างซ้ายของน้องรัน ด้วนจนถึงบริเวณใต้เข่าลงมาประมาณ 3 นิ้ว ซึ่งถูกพันผ้าไว้อย่างดี
“ยังเจ็บอยู่มั้ย?”
“ไม่ครับ” น้องรันตอบ
“แล้วปกติใครเป็นคนใส่ให้หรอ?”
“ลุงใส่ให้ครับ แต่พอดีผมทำมันเลอะ ก็เลยต้องถอดไปล้าง”

ระหว่างที่คุยกันเพื่อให้น้องรันหายเกร็ง ผมก็ทำการใส่ขาเทียมให้น้องไปด้วย ไอ้ภพยืนดูผมทำอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้พูดอะไร

“เสร็จแล้ว ลองเดินดูก่อนว่าถนัดไหม”
น้องรันจึงขยับตัวลุกขึ้น แล้วพยายามเดิน โดยมีผมคอยพยุงแขนเอาไว้ ทั้งที่ตอนนั้นผมเองก็เจ็บข้อเท้าอยู่เหมือนกัน

ในขณะนั้นพี่สาววิทยากรก็เดินมาตามผมกับไอ้ภพพอดี

“ขอบคุณครับ” น้องรันบอกแล้วรีบเดินกึ่งวิ่งออกไปหาเพื่อน ๆ ทันที โดยที่ผมต้องรีบตะโกนห้าม
“เฮ้ย อย่าวิ่ง! ใจเย็น ๆ”

พอเห็นเด็กคนนั้นร่าเริงขึ้นมาได้ ผมก็อดยิ้มไม่ได้จริง ๆ รวมทั้งไอ้ภพที่มองไปที่เด็กคนนั้นแล้วยิ้มออกมาเช่นกัน


<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->

 :pig4: ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม และให้กำลังใจกันด้วยนะครับ  :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2017 00:13:08 โดย Thearz »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ภพ เหมือนเด็กผู้ชาย ที่แกล้งคนที่ตัวเองชอบ
โดยที่ตัวเองก็ทำไปแบบไม่รู้ตัว
ยักษ์ ชอบเพื่อนแบบไม่รู้ตัวเหมือนกันหรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

ออฟไลน์ zilmp

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :z13:ชอบๆๆ.รอติดตามค่า
ภพแอบชอบเขาป่าวเนี่ยยย :mew3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Thearz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ตอนที่ 5

คืนที่ 2 ของการเข้าค่าย (เพิ่งผ่านมา 2 วันก็เหนี่ยขนาดนี้แล้ว!)

คืนนี้ไม่มีกิจกรรมนันทนาการอะไร เพราะกิจกรรมบางส่วนเสร็จไปตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว รวมทั้งงานอาสาที่ทุก ๆ คนช่วยกันทำก็ลุล่วงไปแล้วประมาณหนึ่ง ทางคนที่คุมกิจกรรมค่ายอาสาในครั้งนี้ (หรือก็คือตาลุงวิทยากรหน้าโหดพ่อไอ้ภพนั่นแหละ) จึงให้พวกเราได้พักผ่อนกันตามอัธยาศัย

ระหว่างมื้อค่ำ ผมที่โดนล็อกติดอยู่กับไอ้ภพก็ต้องนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน รวมถึงไอ้ยักษ์ และคนอื่น ๆ ด้วย ซึ่งมันมีอารมณ์บางอย่างระหว่างไอ้ยักษ์กับไอ้ภพ ที่ทำให้บรรยากาศในการกินข้าวครั้งนี้ค่อนข้างอึดอัด แต่ก็คงจะมีแต่ไอ้ม่อน ที่ก้มหน้าก้มตากิน พร้อมกับเล่าเรื่องตลก มุขฝืด ๆ ของมันแล้วหัวเราะอยู่คนเดียว
“อิ่มยัง?” ไอ้ยักษ์หันมาถามผม ผมส่ายหน้าแทนคำพูด
“เอาขนมหวานมั้ย? เดี๋ยวกูไปตักมาให้”
“เออดีเลย ตักเผื่อกูด้วยถ้วยนึง” ไอ้ม่อนบอก
“ไอ้ห่า! กูไม่ได้ถามมึง”
“แล้วมึงอ่ะ เอาป่ะ?” ผมหันไปถามไอ้ภพเบา ๆ กลัวไอ้ยักษ์ได้ยิน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ต้องได้ยินอยู่แล้ว
“กูถามมึง!” ไอ้ยักษ์ตวาด
“ไม่เป็นไร กูไปตักเองได้ กูไม่ได้พิการ!” ไอ้ภพบอก แล้วลุกขึ้น พร้อมกับกระชากแขนผมให้ลุกตามมันไป
“โอ้ย เบา ๆ สิวะ!”
“เออ! เดี๋ยวกูไปตักมาให้” ไอ้ยักษ์ต้องยอม เพราะมันรู้ดีว่าถ้าไอ้ภพไปตักเอง นั่นหมายถึงผมต้องไปกับมันด้วย นาทีนั้นผมแอบสงสารไอ้ยักษ์ที่โดนไอ้ภพแกล้งไปด้วย
“งั้นตักเผื่อกูด้วยเลยนะ” ไอ้ม่อนอ้อนวอน
“มึงอ่ะ ต้องไปกับกู กูถือไม่หมด”

แล้วไอ้ยักษ์ก็ลากไอ้ม่อนไปกับมันด้วย ไอ้กรหัวเราะกับท่าทีของไอ้ม่อนที่ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นคนที่ต้องไปตักให้คนอื่นแทน

 “ทำไมมึงทำแบบนั้นวะ?” ผมหันไปต่อว่าไอ้ภพ
“ทำอะไร?”
“กูรู้มึงจงใจแกล้งไอ้ยักษ์”
“กูจะไปแกล้งมันทำไม? มันไม่อยากไปเอาขนมมาให้กู กูก็แค่จะลุกไปเอาเอง”
“เพราะมึงรู้ไงว่าถ้ามึงไปเอง กูก็ต้องไปด้วย แล้วมึงก็รู้ว่าไอ้ยักษ์มันคงไม่ยอม”
“รู้ใจผัวดีจังนะ”
“เฮ้ย! มึงสองคน...” ไอ้กรอุทานออกมาแล้วชี้มาที่เราสองคนอย่างกวน ๆ
“อะไรวะ?” ผมถาม เพราะยังงงกับท่าทางของมัน
“ส้นตีนสิ! ไม่ใช่อย่างที่มึงคิด กูหมายถึงไอ้เชี้ยนี่กับไอ้ยักษ์!” ไอ้ภพรีบแก้ตัว แล้วปาชิ้นแตงกวาในจานข้าวใส่ไอ้กร
“ฮ่า ๆๆ กูก็แค่ล้อเล่น”

ในตอนนั้นผมยังคงงงอยู่ พอมาคิดทบทวนที่ไอ้ภพพูดถึงกับอ๋อ แล้วหัวเราะออกมาจนสำลักข้าว จนต้องดื่มน้ำตาม แต่ทว่าน้ำในแก้วของผมมันหมดไปซะแล้ว

“กูขอน้ำหน่อย”
“ส้นตีนสิ! กูไม่ให้” ไอ้ภพบอกแล้วรีบยกแก้วน้ำของมันหนี
“ถ้าไม่ให้ มึงก็ต้องลุกไปกดกับกู”
“อ้าว ทีนี้จะกดกันอีก” ไอ้กรบอกแล้วหัวเราะออกมาเหมือนเคย
“เดี๋ยวกูถีบให้!” ไอ้ภพหันไปด่าไอ้กร
“จะไปหรือไม่ไป?”
“เออ เอ้า!” เสร็จแล้วไอ้ภพก็เทน้ำในแก้วมันมาใส่ในแก้วของผม

ผมแอบยิ้มในใจ ที่ไอ้ภพมันมีอาการไม่ปกติ ถึงขนาดที่แค่เทน้ำยังเทหก และด้วยสาเหตุที่มันเป็นคนที่ผิวขาว แต่ตอนนี้หูมันมีสีแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่ากำลังเขิน หรือกำลังโกรธอยู่กันแน่ แต่ถ้าให้ผมเดาคงเป็นอย่างหลังมากกว่า

ไอ้ยักษ์กับไอ้ม่อนกลับมาพร้อมกับขนมหวานและผลไม้ที่ทางโรงเรียนจัดไว้ให้
“มีส้มที่มึงชอบด้วย” พูดเสร็จไอ้ยักษ์ก็ยื่นให้ผม
“จริงดิ? ทำไมไม่เอามาเยอะ ๆ อ่ะ”
“อย่าโลภดิ หมดแล้วก็ค่อยไปเอาใหม่ก็ได้” ไอ้ยักษ์บ่น
“ชอบอะไรโคตรธรรมดาเลย” ไอ้ม่อนแซวผม
“อะไรที่ชอบเนี่ย จำเป็นต้องพิเศษพิศดารด้วยหรอวะ?”
“รีบ ๆ กิน จะได้รีบ ๆ ไป” อยู่ ๆ ไอ้ภพก็พูดโพล่งขึ้นมา

ไอ้ยักษ์ทำท่าโมโห แต่ผมปรามไว้ก่อน

“กูหมายถึง จะรีบไปให้พ่อกูไขกุญแจออก” ไอ้ยักษ์กับไอ้ม่อนตกใจเล็กน้อย ที่ไอ้ภพพูดถึงพ่อ แต่เหมือนไอ้กรจะรู้อยู่แล้ว
“ใครเป็นพ่อมึงวะ?” ไอ้ม่อนถาม
“ลุงวิทยากรที่หน้าดุ ๆ อ่ะ พ่อมัน” ไอ้กรบอก
“เชี้ย จริงดิ ทำไมหน้าไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่เลยวะ”
“มันคงเป็นลูกเมียน้อย” ผมแซว

ไอ้ภพทุบโต๊ะอย่างแรง จนถ้วยขนมของมันนั้นหก ช้อนกระเด็นตกลงไปที่พื้นส่งเสียงดังจนคนรอบ ๆ หันมามอง ผมหน้าเสียเพราะไม่รู้ว่าดันเผลอพูดอะไรที่ไม่ควรพูดไปรึเปล่า

“อิ่มยัง? กูเอียนที่ต้องได้ยินเสียงมึงจนแทบจะอ้วกแล้ว ถ้าหุบปากเองไม่เป็น เดี๋ยวกูช่วยให้!” สิ้นคำพูดไอ้ภพ ทุกคนเงียบกันหมด
“ไปเลยก็ได้” ผมบอกด้วยเสียงเรียบ ๆ
“เดี๋ยวกูไปด้วย” ไอ้ยักษ์รีบบอก
“ไม่เป็นไร กูเดินไหวอยู่”
“กูจะไป!”
“มึงไปรอที่เต็นท์นั่นแหละ กูไปเองได้” ไอ้ยักษ์ทำหน้าจ๋อยที่ถูกผมขึ้นเสียงใส่ ผมไม่ได้อยากทำแบบนี้ แต่ก็ต้องทำ เพราะผมแค่อยากจะขอโทษไอ้ภพ ถ้าไอ้ยักษ์ไปด้วยผมคงไม่ได้พูด
“จะไปได้ยัง?” ไอ้ภพเร่ง

ระหว่างที่ผมกับไอ้ภพกำลังเดินไปที่ห้องของพ่อมันอยู่นั้น ทุกอย่างดูนิ่ง และเงียบไปหมด ผมทั้งกลัว ทั้งรู้สึกผิด อยากจะขอโทษมัน แต่ไม่กล้าพอที่จะเอ่ยออกไป หลังจากที่มันพูดแบบนั้นใส่ผม แต่ถึงอย่างไรผมก็ต้องขอโทษมัน

พอเดินมาถึงห้องของพ่อไอ้ภพ ก็ต้องมีเรื่องเซอร์ไพรส์อีกครั้ง เพราะห้องที่พ่อมันควรจะอยู่นั้นปิดสนิท พี่ต้อมที่เป็นวิทยากรเดินผ่านมาพอดี ก็ได้เรื่องว่าพ่อมันกลับไปที่บ้าน พรุ่งนี้ตอนเที่ยงถึงจะกลับมา และที่เซอร์ไพรส์หนักกว่านั้นคือ พ่อมันไม่ได้ทิ้งลูกกุญแจไว้ให้ด้วย

ไอ้ภพหัวเสีย รีบโทรศัพท์หาพ่อมันหลายสาย พ่อมันก็ไม่ยอมรับ จนสุดท้ายก็ต้องทำใจว่ายังไงคืนนี้ผมกับมันต้องติดกันอยู่แบบนี้ทั้งคืน ระหว่างที่ผมกับมันกำลังเดินกลับไปที่เต็นท์ ผมก็ตัดสินใจที่จะขอโทษมัน

“ไอ้ภพ กูขอ...แอ่ก!” ไม่ทันที่ผมจะพูดจบ ไอ้ภพกระชากคอเสื้อผมแล้วผลักผมจนติดกำแพง
“ถ้ามึงไม่หยุดพูด มึงได้เสียใจแน่!”
“กูแค่จะขอโทษ” ผมบอกด้วยเสียงที่สั่นเครือ น้ำตาผมไหลออกมาด้วยความเจ็บปวด เพราะจังหวะที่มันเหวี่ยงตัวผมเข้ากับกำแพงนั้น ข้อเท้าที่พลิกอยู่ของผมก็ดังกร็อบ และแผ่ซ่านความเจ็บปวดนั้นขึ้นมาจนผมยืนไม่ไหว แล้วทรุดลงไปกับพื้น

ไอ้ภพเห็นแบบนั้นก็ตกใจ และคลายความโกรธลงนิดนึง แต่มันก็ยังคงเย็นชาพอที่จะยืนอยู่เฉย ๆ เพื่อดูผมที่กำลังเจ็บข้อเท้าอย่างทรมาน

ผมพยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา แต่น้ำตามันไหลออกมาเองโดยอัตโนมัติ ด้วยความรู้สึกเจ็บจนเหมือนกระดูกแหลกไปแล้ว

“มึงเป็นไงบ้าง?” ในที่สุดไอ้ภพก็นั่งลงแล้วเอ่ยปากถามผม

ผมเจ็บเกินกว่าที่จะเอ่ยปากตอบมันได้

“ลุกไหวมั้ย?”
“...”

ไอ้ภพตัดสินใจยกแขนของผมคล้องคอมันไว้แล้วดึงตัวให้ผมขี่หลังมันอย่างทุลักทุเล โดยไม่พูดอะไร ตอนนี้ผมเรียนรู้ที่จะอยู่เงียบ ๆ บนแผ่นหลังอุ่น ๆ ของมัน ถึงแม้ว่าในตอนแรกจะโกรธมัน แต่ตอนนี้ความโกรธกลับมลายหายไปจนหมดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงความเสียใจเอาไว้ ผมเองก็อธิบายไม่ถูกว่าผมกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่

ไอ้ภพพาผมเดินมาจนถึงเต็นท์ พอไอ้ยักษ์เห็นสภาพนั้นก็ตรงปี่เข้ามาถามผมทันทีว่าเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น แต่ผมไม่อยากตอบ แต่ถึงผมไม่พูดอะไร ไอ้ยักษ์ก็คงรู้ มันจึงกระชากคอไอ้ภพไปแล้วตะคอกเสียงดัง

“มึงทำอะไร!?”

ไอ้ภพยืนนิ่งให้ไอ้ยักษ์ทำแบบนั้น จนสุดท้ายไอ้ยักษ์ต่อยเข้าที่ใบหน้าไอ้ภพทีนึง จนมันเซถลาไป มันก็ยังไม่ตอบโต้ใด ๆ

“พอแล้ว! กูหกล้มเอง” ผมบอก
“มึงไม่ต้องมาโกหก กูดูหน้ามึงก็รู้แล้วว่าต้องมีอะไร!” ไอ้ยักษ์บอกแล้วดึงตัวไอ้ภพมาอีก พลางง้างหมัดเพื่อจะต่อยไอ้ภพอีกครั้ง
“กูบอกให้พอได้แล้ว!” ผมตวาดไอ้ยักษ์เป็นครั้งที่สองของวันนี้
“ทำไมมึงต้องปกป้องมันด้วยวะ?” ไอ้ยักษ์ปล่อยมือจากไอ้ภพ แล้วเดินกลับเข้าเต็นท์ไป

ผมรู้ว่ามันคงน้อยใจผม แต่ผมแค่ไม่อยากให้เกิดปัญหาขึ้นมาอีก เอาไว้ค่อยขอโทษมันทีหลังแล้วกัน

“เกิดอะไรขึ้นวะ? แล้วทำไมถึงไม่ได้ไขกุญแจมือออก?” ไอ้กรถาม ไอ้ภพไม่ตอบแต่พยุงผมไปที่เต็นท์ 9

คืนนี้คงต้องยอมรับชะตากรรม นอนที่เต็นท์เดียวกับมัน

“เจลล์ประคบอยู่ที่ไหน?” ไอ้ภพถามผมหลังจากที่พาผมมานั่งพักข้างในเต็นท์
“ในกระเป๋า”
“ไอ้กร มึงไปเอากระเป๋ามันมาให้หน่อยได้มั้ย? คืนนี้มันคงต้องนอนที่นี่”
“เออ”
“เอ้อ กูฝากซื้อน้ำเปล่ามาให้ด้วย” ไอ้กรพยักหน้ารับแล้วออกไปเอากระเป๋าของผมที่เต็นท์ 7 ไม่ถึงนาทีมันก็กลับมา แล้วขอตัวไปอาบน้ำ

ไอ้ภพถอดรองเท้าของผมออกอย่างเบามือ ตามด้วยผ้ายืดพี่พันเอาไว้

“กูทำเอง” ผมรีบลุกขึ้น เพราะรู้สึกแปลก ๆ ที่มันมาทำให้แบบนี้
“นอนลงไป เดี๋ยวกูทำเอง” ไอ้ภพผลักผมให้นอนลงไปเหมือนเดิม

เสร็จแล้วมันก็หันไปหยิบเสื้อในกระเป๋าของมันมาชุบน้ำ แล้วเช็ดที่เท้าผม ซึ่งในนาทีนั้น ใจของผมเต้นแรงราวกับจะกระเด็นออกมาให้ได้

“ตอนกลางคืน แปะแค่แผ่นเจลไว้ก็พอ”

ไอ้ภพมองหน้าผม เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าสายตาที่มันมองผมเปลี่ยนไป ความคิดที่ว่าเราอาจจะเป็นเพื่อนกันได้ กลับเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าผมคิดแค่นั้นรึเปล่า บางทีผมอาจจะเผลอคิดมากไปกว่านั้นแล้วก็ได้

“เช็ดหน้าซะ สภาพดูไม่ได้เลย” ไอ้ภพบอกแล้วโยนเสื้อที่ชุบน้ำมาใส่ผม

ผมเอาเสื้อนั้นมาเช็ดที่หน้าตามที่มันบอก ไอ้ภพจึงหัวเราะออกมา

“เดี๋ยวนะ เมื่อกี้มึงเพิ่งเช็ดตีน...”
“ไม่เห็นเป็นอะไร ตีนมึงเองนะ” ไอ้ภพบอกแล้วขำต่อ

“คืนนี้กูจะนอนที่นี่ด้วย กูไม่ปล่อยให้มึงอยู่กันสองคนหรอก” ไอ้ยักษ์โผล่พรวดเข้ามา แล้วโยนกระเป๋าของมันเข้ามาด้วย
ผมกับไอ้ภพมองตาปริบ ๆ ก็คงห้ามมันไม่ได้อยู่แล้ว

ไอ้กรจึงไปนอนกับไอ้ม่อนแทน

หลังจากไอ้ยักษ์เข้ามา ก็ไม่มีการสนทนาใด ๆ เกิดขึ้นอีก คงเพราะน้ำท่วมปากกันหมดไม่มีใครพูดอะไร จนทั้งสองคนหลับกันหมด เหลือแต่ผมที่ยังต้องข่มตา เพราะนอนไม่หลับ ผมเอื้อมมือไปจับที่แขนไอ้ยักษ์ที่นอนหันหลังให้ผมอยู่

“นอนไม่หลับหรอ?” ไอ้ยักษ์หันมาถามผม
“อ้าว นึกว่าหลับแล้ว”
“กูก็นอนไม่หลับเหมือนกัน” ไอ้ยักษ์บอกแล้วพลิกตัวหันมาหาผม

ผมเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจขอโทษมัน

“วันนี้กูขอโทษนะ”
“อืม”
“ที่มึงทำ กูก็เข้าใจนะเว้ย แต่กูแค่ไม่อยากให้มึงมีปัญหาไปด้วยอีกคน”
“แต่กูไม่ค่อยเข้าใจมึง ว่าทำไมมึงต้องปกป้องมันด้วย ทั้งที่มันทำกับมึงขนาดนี้”
“ไม่ได้ปกป้องซะหน่อย”
“แล้วทำไมต้องโกหก กูดูหน้ามึงก็รู้แล้วว่าไปมีเรื่องกันมา แบบนี้ไม่เรียกว่าปกป้องหรอวะ?”
“กูก็แค่ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องขึ้นมาอีก”
“มึงชอบมันหรอ?” ไอ้ยักษ์ถาม
“เปล่า...”

มันมองผมแบบจับพิรุธ

“กูอาจจะกำลังนึกถึงไอ้ภูอยู่ก็ได้”
“กูไม่อยากยุ่งหรอกนะ ถ้ามึงจะคบใคร แต่กูไม่อยากเห็นมึงเสียใจบ่อย ๆ ตอนที่คบกับน้องมันกว่ามึงจะผ่านมาได้ก็แทบแย่ไม่ใช่หรอวะ”
“ขอบใจเว้ย มีมึงอยู่เป็นเพื่อนแบบนี้ จะเสียใจอีกกี่ครั้งกูก็โอเค”
“แต่กูไม่โอเคไง”
“ฮ่า ๆๆ”

<---o--->

ผมหลับไปซักพักนึงก็ต้องตื่นขึ้นมา เพราะเสียงโทรศัพท์ของไอ้ภพที่ดังขึ้น

“มีอะไรล่ะ เตี่ยลืมทิ้งกุญแจไว้ให้ผมไง/ แล้วทำไมป่านนี้เพิ่งจะโทรกลับมา/ แล้วไอ้ภูมันว่าไง?/ พ่อก็ไม่ต้องยอมสิ อย่าปล่อยให้มันไปเด็ดขาดเลย!/ ครับ/ กลับมาเร็ว ๆ ด้วย” พูดจบไอ้ภพก็วางสาย แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

มันลุกขึ้นนั่ง แล้วส่องไฟจากโทรศัพท์ของมันไปที่เท้าผม แล้วแปะแผ่นเจลที่หลุดออกมาเข้าไปใหม่ ผมแกล้งทำเป็นงัวเงียตื่นขึ้นมา มันตกใจเล็กน้อยแล้วล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม

“ขอบใจ” ผมบอก
“อืม” ไอ้ภพบอกแล้วถอนหายใจอีกครั้ง
“ทำไมมึงชอบถอนหายใจจังวะ?”

ไอ้ภพถอนหายใจอีกครั้ง แล้วพลิกตัวหันมาหาผม

“มึงไม่ต้องยุ่งซักเรื่องได้มั้ย?”
“อืม”
“...”
“...”
“กูถามอะไรมึงหน่อยดิ”
“อะไร?”
“มึงยังรักไอ้ภูอยู่รึเปล่า?”

ผมงงนิดหน่อยที่มันเอ่ยปากพูดเรื่องไอ้ภูกับผม

“ตอนนี้สำคัญด้วยหรอวะ?”
“กูไม่เข้าใจ ทำไมมึงต้องรักมันด้วยวะ?”
“อ้าว ไอ้นี่ รักมันก็คือรักรึเปล่าวะ? ไม่เห็นต้องมีเหตุผลเลย”
“แล้วกูไม่เข้าใจอีกอย่างนึง คือทำไมน้องกูถึงไปชอบมึง ทั้งที่เมื่อก่อนมันไม่มีวี่แววเลยว่าจะชอบผู้ชาย”

ผมเงียบ เพราไม่รู้จะตอบว่าอะไร

“มึงรู้มั้ย ว่ามึงกำลังทำให้มันเดือดร้อน”
“เดือดร้อนยังไงวะ? กูกับมันแค่คบกัน”
“ก็เพราะผู้ชายกับผู้ชายมันไม่ควรคบกันไง” ไอ้ภพขึ้นเสียง
“ถ้ามึงเพียงแค่มองข้าม คำว่าควรไม่ควร มองข้ามคำว่าเพศ ทั้งหมดที่เหลืออยู่ มันก็คือความรัก” ผมบอกแบบถอดใจ เพราะไม่รู้จะเอาไหนมาอธิบายให้มันฟังอีกแล้ว
“อืม” ไอ้ภพบอกแล้วเงียบไปอีกครั้ง
“กูขอโทษนะ เรื่องที่พูดตอนที่อยู่ในโรงอาหาร กูไม่รู้ว่ามึงมีปัญหาอะไร”
“ช่างมันเถอะ”
“แต่มึงดูโกรธขนาดนั้น”
“กูบอกว่าช่างมันไง” ไอ้ภพเริ่มคอนโทรลเสียงให้เบาไม่ได้
“เออ...”
“เฮ้อ...”

ไอ้ภพถอนหายใจเป็นครั้งที่หนึ่งร้อย

“กูขอโทษ...” ครั้งแรกที่คำนี้ออกมาจากปากของไอ้ภพ ผมอึ้งจนไม่รู้จะพูดอะไร
“อืม...”
“ขอโทษเรื่องเท้ามึงด้วย”
“ช่างมันเหอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็หายแล้ว” ผมบอกแล้วหัวเราะเบา ๆ ไอ้ภพเห็นผมหัวเราะก็หัวเราะออกมาบ้าง
“กูขอถามมึงอีกเรื่องสิ”
“อะไรวะ?”
“มึงกับน้องกู มีอะไรกันยัง?”
“เอ่อ...” ผมถึงกับเหวอ ที่ไอ้ภพถามผมตรง ๆ แบบนี้
“ไม่ต้องตอบแล้ว แค่นี้กูก็รู้แล้ว”
“อยู่ ๆ ถามแบบนี้ใครไม่อึ้งบ้างวะ?”
“มึงนี่มันเลวจริง ๆ” ไอ้ภพด่าผม
“อ้าว ไหงงั้นอ่ะ?”
“ได้กับน้องกูไปแล้วยังจะมาอ่อยกูอีก”
“เดี๋ยว กูไปอ่อยมึงตอนไหน?”
“มึงอ่อยกู!”
“กูเปล่า”
“มึงอ่อย!” ไอ้ภพเถียงกลับ
“กูไม่เสียเวลาอ่อยคนแบบมึงหรอก ไม่เห็นจะมีอะไรน่าหลงไหลตรงไหนเลย” ผมบอกแล้วพลิกตัวหันหนีมัน แต่ไอ้ภพดึงแขนผมกลับแล้วขยับหน้าตัวเองเข้ามาใกล้ผม
“มึงแน่ใจหรอ?”

โชคดีที่ในเต็นท์มืดพอที่จะบดบังความรู้สึกของผมที่มันแสดงออกมาทางสีหน้า

“แน่ใจหรอว่ากูไม่มีอะไรให้มึงชอบ?” ไอ้ภพถามย้ำ
“เออ”

สิ้นเสียง ริมฝีปากอุ่น ๆ ของไอ้ภพก็สัมผัสกับริมฝีปากของผม ทำให้ผมแทบจะขยับตัวไม่ได้คล้ายถูกตรึงเอาไว้ เลือดสูบฉีดจนใบหน้าของผมนั้นร้อนผ่าว ความเงียบรอบตัวทำให้ผมแทบจะได้ยินเสียงของหัวใจตัวเองที่เต้นเร็วราวกับกลองศึก

“เชี้ยเอ๊ย!” ไอ้ภพอุทานออกมาเบา ๆ แล้วพลิกตัวกลับไปนอนเหมือนเดิม ปล่อยให้ผมนอนช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่

สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความคิดต่าง ๆ นานา ไหลเข้ามาในหัว แล้วผล็อยหลับไปกับความรู้สึกที่ยากเกินจะอธิบาย...

<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->

วันจันทร์อีกแล้ววว วันนี้ขอลงให้เร็วหน่อยนะครับ  o22
เพราะพรุ่งนี้น้องชายของผู้แต่งหยุดเรียน (เกี่ยวอะไรด้วย?)
เพราะมันจะยึดคอมทั้งวัน ผมกลัวไม่มีเวลามาลงให้ ก็เลยรีบลงตอนนี้เลย  o13

ขอบคุณทุกความเห็น ทุกการตอบรับนะครับ มีตรงไหนที่อยากแนะนำ หรือติติงเชิญได้เลยครับผม
เรื่องคำผิด ผู้แต่งพยายามสกรีนหลายรอบมาก แต่ด้วยบางทีพิมพ์นิยายดึกมาก ๆ อาจทำให้ตาเบลอไปบ้าง
ซึ่งอาจจะทำให้มีบางคำพิมพ์ผิดไปบ้าง ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ  :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2017 03:38:35 โดย Thearz »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ Pittabird

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 796
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ป่านนี้ขาไม่พิการไปแล้วเหรอ.   โดนซ้ำๆ. หลายทีแล้วนะ.  ภพก็นะอะไรนักหนา.   ไม่มีส่วนไหนน่าชอบเลยสักนิด.   เชียร์ยักษ์มากกว่าอีก.    :katai1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ป่าน ดูใจอ่อนกับภพนะ  :mew1: :mew1: :mew1:
ถึงจะอ้างว่าไม่อยากให้มีเรื่องเพิ่มขึ้นอีก
ภพก็ไม่น่ารักเลย ป่านยอมมากไปแล้ว
จูบป่านทำไมภพ แค่พิสูจน์เหรอ  :ling1: :ling1: :ling1:
แต่ดูท่าผลมันจะไม่ใช่นะ
ห่างๆไปเลยถ้าไม่คิดไรกันทั้งสองคนแหละ
โถ....ยักษ์อุตส่าห์มานอนด้วย เขายังจูบกันข้างๆเลย
ชักสงสัยภพและ ที่ห้ามภูไม่ให้มารักมาชอบป่าน
เพราะภพแอบชอบป่านใช่มั้ย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Thearz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ภู...

“Excuse me. Could you tell me how to get to the bus station, please?” (ขอโทษค่ะ ช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมคะว่าจะไปสถานีขนส่งได้อย่างไร)
เสียงของนักท่องเที่ยวต่างชาติสาวสองคน งก ๆ เงิ่น ๆ เดินถามทางเพื่อที่จะไปที่สถานีขนส่ง จากที่ผมสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง ปรากฏว่าไม่มีใครช่วยพวกเธอเลย ผมจึงเดินเข้าไปบอกทางกับเธอ ตามประสาเจ้าบ้านที่ดี และด้วยทักษะทางภาษาที่ไม่ได้มากมายอะไร แต่แค่บอกทางที่ไม่ค่อยซับซ้อนเท่าไหร่ ผมยังพอจะเจรจาได้อยู่
หลังจากนั้นนักท่องเที่ยวทั้งสองสาวก็เดินจากไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดขอบคุณเป็นภาษาไทย และนั่นคือสิ่งที่ผมชอบมากที่สุด ที่ได้เห็นรอยยิ้มของชาวต่างชาติที่มาเที่ยวประเทศไทยแล้วรู้สึกดีกับประเทศของเรา

“พี่ครับ ๆ”

ผมหันไปตามเสียงที่กำลังเรียกผมอยู่ เจ้าของเสียงเป็นเด็กม.ปลาย หน้าตาน่ารัก ยืนยิ้มแฉ่งให้ผม

“มีอะไรครับ?”
“พี่ช่วยสอนภาษาอังกฤษให้ผมหน่อยได้มั้ยครับ?” เด็กคนนั้นบอก
“หืม? จะดีหรอ?”
“ดีสิพี่ เมื่อกี้ผมเห็นพี่คุยกับฝรั่งแล้ว พี่น่าจะสอนผมได้”
“แค่บทสนทนาง่าย ๆ ก็พอไหวอยู่ แต่จะให้สอนคนอื่นเนี่ยนะ?”
“นะครับ ผมมีค่าสอนให้ด้วยนะ”

ผมลังเล ก่อนที่จะตอบตกลงไป จากนั้นเราก็แลกเบอร์โทร แลกไลน์กัน เพื่อเอาไว้ใช้ติดต่อ

“น้องชื่ออะไรนะ?”
“ภูครับ พี่ล่ะ?”
“โซ่”
“โอเคครับ ผมเริ่มเรียนวันเสาร์นี้เลยนะ เรื่องสถานที่พี่พอจะสะดวกที่ไหนบ้างรึเปล่า?”
“พอมีอยู่นะ เอาไว้เดี๋ยวบอกในไลน์แล้วกัน”
“ครับผม” ไอ้น้องภูบอก แล้วยิ้มด้วยความดีใจ ผมเองก็เผลอยิ้มไปกับมันด้วย

<---o--->

บทสนทนาจากไลน์

ภู : นอนยังครับ พี่โซ่?
ผม : ยัง ๆ
ภู : พรุ่งนี้ผมไปตั้งแต่ 9 โมงเช้าเลยนะ
ผม : เร็วไปไหม 555
ภู : จะไปหาอะไรกินก่อนด้วยไง
ผม : อ่อ โอเค
ภู : โอเคครับ พี่ก็นอนได้แล้ว
ผม : ยังไม่ง่วงเลย
ภู : ถ้าไปสายผมจะไปปลุกยันห้องเลยนะ
ผม : 555 รู้หรอว่าห้องพี่อยู่ไหน
ภู : ไม่รู้ครับ พี่บอกดิ จะได้รู้
ผม : (สติ๊กเกอร์ตกใจ)
ภู : นอน ๆ ฝันดีนะครับ
ผม : ฝันดี ๆ



“เป็นอะไรวะ?” ไอ้ยักษ์หันมาถามผม เพราะเห็นผมนั่งยิ้มกับหน้าจอโทรศัพท์
“เปล่า”
“แล้วตกลงพรุ่งนี้จะไปดูหนังกับพวกกูมั้ย?”
“คงไม่ไปแล้ว เพราะกูเพิ่งรับสอนพิเศษเด็กคนนึงมา”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?”
“เพิ่งตกลงเมื่อวาน”
“แน่ใจนะว่าไม่ไป”
“เออ มึงไปกับพวกไอ้นุเถอะ”


<---o--->


“มาก่อนผมอีกหรอเนี่ย? ผมว่าผมรีบมาแล้วนะ” ไอ้น้องภูบอกแล้วนั่งลงข้าง ๆ ผม
“กินอะไรมายัง?”
“ยังเลยครับ”
“งั้นไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า แถวนี้มีร้านอาหารตามสั่งร้านนึง อย่างเด็ด”

วันนี้น้องภูดูต่างจากวันที่เราเจอกันครั้งแรกมาก มันดูหล่อเป็นพิเศษ ทั้งที่ใส่แค่เสื้อยืดธรรมดา ๆ กับกางเกงยีนส์รัดรูปสีดำ แต่ออร่าจับจนตั้งแต่ที่มันเดินก้าวเข้ามาในร้านนมที่ผมนั่งรอมันอยู่ ไม่มีใครที่ไม่หันมามองมันเลย

“คนในร้านแมงกันแปลก ๆ” ไอ้น้องภูบ่นกับผมหลังจากที่เดินออกมาจากร้านนมแล้ว

ผมหัวเราะในความไร้เดียงสาของมัน

หลังจากที่เรากินข้าวกันเสร็จแล้ว ผมก็พาน้องภูไปที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย เพื่อทำการสอน น้องภูเป็นเด็กที่ค่อนข้างหัวไว เวลาที่ผมบอกหรือสอนอะไรไปแล้ว มันก็จะจำได้ทันที โดยไม่ต้องคอยย้ำหลาย ๆ รอบ ผมทั้งสอน ทั้งคุย แล้วก็เล่น กันไปเรื่อย ๆ จนเวลาผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมง น้องภูก็บ่นหิวอีกครั้ง

“ที่จริงก็เก่งอยู่แล้วนี่ จะมาให้พี่สอนอีกทำไม?”
“ไม่หรอก พี่สอนเก่งมากกว่า ผมเลยเข้าใจได้ง่าย” น้องภูถ่อมตัว

<---o--->

ออฟไลน์ Thearz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ตอนที่ 6

“ไอ้โซ่ ๆ” ไอ้ยักษ์ปลุกผมด้วยน้ำเสียงที่ดูร้อนรน
“หืม? มีอะไร?” ผมงัวเงียตอบมากแล้วขยับตัวเพื่อจะลุกขึ้น แต่รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ข้อเท้าอย่างแรง
“เท้ามึงบวมมากเลย มึงเป็นไงบ้าง”

ผมผงกหัวดู ถึงจะเห็นว่ามันบวก แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันเลวร้ายแค่ไหน แต่ที่รู้คือมันเจ็บมากจนผมแทบจะไม่อยากขยับตัวเลย ไอ้ภพที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ดูร้อนรนเช่นกัน

ผมมองหน้าไอ้ภพแล้วต้องรีบหลบสายตา เพราะรู้สึกกะอักกะอ่วน ทันทีที่นึกถึงเรื่องเมื่อคืน

“กูให้ไอ้กรไปตามพี่ต้อมแล้ว ให้เค้ามาดูหน่อย เพราะอาจจะต้องไปหาหมอ” ไอ้ยักษ์บอก
“ไหน เป็นไงบ้าง?” พี่ต้อมวิทยากรมาพอดี ทันทีที่เห็นว่าเท้าผมบวมขนาดนี้ก็รีบโทรให้เพื่อนของเขาเอารถออกเพื่อพาผมไปโรงพยาบาลที่อยู่ในตัวเมืองทันที
“อ้าว พี่ไปเอากุญแจมาจากไหน?” ไอ้ภพถามพี่ต้อม เมื่อพี่ต้อมไขกุญแจมือให้กับเราสองคน
“พ่อน้องโทรมาบอกว่ามีกุญแจสำรองเก็บไว้”

ผมกับไอ้ภพถูกถอดกุญแจมือออกจากกัน ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกหน่วง ๆ ที่เป็นแบบนั้น

“เดี๋ยวพี่ไปตามรถก่อนนะ”
“เดี๋ยวกูไปกับมึงด้วย” ไอ้ภพบอก
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปเอง” ไอ้ยักษ์รีบแย้ง

ไอ้ภพถอนหายใจแล้วยอมเอ่ยปากขอโทษไอ้ยักษ์

“ที่ผ่านมากูขอโทษมึงนะ ขอโทษที่ทำให้เพื่อนมึงเจ็บ... แต่นี่เป็นความรับผิดชอบของกู”
“ไม่เป็นไร เพื่อนกู กูดูแลเองได้”

ถึงผมจะรู้สึกดีใจ ที่ไอ้ภพมันคิดแบบนี้ และอยากจะให้มันไปกับผมด้วยก็ตาม แต่ครั้งนี้ผมคงต้องเลือกเข้าข้างไอ้ยักษ์ เพราะไม่อยากทำให้มันรู้สึกไม่ดีอีก อย่างน้อยไปกับไอ้ยักษ์ก็น่าจะสบายใจกว่า

“กูไม่ได้ขออนุญาตมึง”

อ้าว... เป็นงั้นไป

ไอ้ยักษ์มองหน้าผมในเชิงสงสัย ผมก็ได้แต่ยักไหล่ เพราะไม่รู้จะบอกกับมันยังไง

“ลุกขึ้นยืนไหวมั้ย?” ไอ้ภพหันมาถามผมหลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว
“เอ่อ... อืม”

ผมกระเถิบตัวออกมาจากเต็นท์ แล้วพยายามยืนขึ้น โดยมีไอ้ยักษ์พยุงอยู่

“โอ้ย...”
“ใจเย็น ๆ สิมึง ขี่หลังกูมั้ย?” ไอ้ยักษ์ถาม
“ไม่... ไม่เป็นไร ยังไหวอยู่”
“เป็นยังไงบ้าง?” ลุงวิทยากรหน้าโหดเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ดูกังวลเล็กน้อย
“อ้าว พ่อ ไหนบอกกลับเที่ยง”
“พอดีต้อมโทรบอกก็เลยรีบมา แล้วก็มารับเอ็งด้วย”
“รับไปไหน?” ไอ้ภพถาม
“ปู่อาการไม่ดี ตอนนี้อยู่ ICU ก็เลยจะพาไปเยี่ยม”

ไอ้ภพครุ่นคิด แล้วหันมามองผม

“รถมาพอดี ต้อมฝากน้องด้วยนะ เดี๋ยวตอนเย็นลุงกลับมา”
“ครับ” พี่ต้อมรับคำ แล้วมาช่วยไอ้ยักษ์พยุงผมไปที่รถ
“ส่วนเอ็ง เก็บกระเป๋าแล้วตามมาเร็ว ๆ น้องรออยู่ที่รถแล้ว”

น้อง...
น้อง... รออยู่ที่รถ
พ่อมันหมายถึงไอ้ภูใช่ไหม?

ไอ้ภพหันมามองหน้าผมอีกครั้ง เราไม่มีคำพูดอะไรให้กันอีกเลย จนผมก้าวขึ้นรถไป ใจนึงของผมตอนนี้ก็อยากจะไปเจอไอ้น้องภูอีกซักครั้ง แต่อีกใจนึงกลับรู้สึกหน่วงกับแววตาที่ไอ้ภพมองมา

ผมไม่รู้จะนิยามความรู้สึกในตอนนี้ว่าอะไร เพราะเรื่องราวต่าง ๆ ของผมกับมัน เกิดขึ้นเร็วมาก เมื่อวานเรายังเป็นคนที่เกลียดกัน เมื่อวานมันยังเป็นคนที่ทำผมเจ็บตัว แต่วันนี้ ผมกลับรู้สึกกับมันอีกแบบ ผมไม่หลงเหลือความโกรธใด ๆ เลย หรือผมชอบมันเข้าแล้ว? แล้วความรู้สึกดีใจที่ได้ยินว่าไอ้น้องภูอยู่ใกล้ ๆ นี้ล่ะ? ผมยังรักน้องภูอยู่ไม่ใช่หรอ?

รวมทั้งเรื่องเมื่อคืน... ผมก็รู้สึกมีความสุขไม่ใช่หรอ?

หลังจากที่นั่งรถมากว่า 40 นาที ก็ถึงโรงพยาบาลเล็ก ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ก็ดูจะเพียบพร้อมอยู่ไม่น้อย ผมนั่งรอคิดตรวจอยู่ไม่ถึง 5 นาที ก็ได้พบกับหมอ และได้ทำการเอ็กซ์เรย์ขาผมด้วย ปรากฏว่า นอกจากที่เท้าพลิกแล้ว กระดูกบริเวณข้อเท้าก็ร้าวด้วย และเกิดการบวมอักเสบขึ้นมา อาจจะต้องใส่เฝือก 2-3 สัปดาห์

<---o--->

และก็เป็นไปตามคาด ผมถูกส่งตัวกลับ เพราะผมต้องพักรักษาตัว ส่วนไอ้ยักษ์ก็กลับมาด้วยด้วย เพราะมันบอกว่าต้องคอยดูแลผม

“ฮ้า! โคตรคิดถึงเตียงเลย” ไอ้ยักษ์บอกแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง
“แหม มึงกับกูเพิ่งไปที่ค่ายนั่นแค่สองวันเองนะ กูยังไม่ทันรู้สึกสนุกเลย”
“พูดตรง ๆ ก็เสียดายเนอะ อยากอยู่ต่ออีกซักพักนึง”
“ขอโทษด้วยแล้วกัน ที่ทำให้ต้องลำบากไปด้วย”
“เออ เป็นเพราะมึงเลย”
“ฟวยเถอะ! ที่กลับมาเนี่ยมึงก็ขอมาเองไม่ใช่หรอ?”
“แล้วมึงคิดว่ากูจะปล่อยให้มึงพิการแล้วมาอยู่ห้องคนเดียวหรอ? สำนึกบุญคุณหน่อย อย่าหือกับพี่นะน้อง” ไอ้ยักษ์บอกแล้วทำหน้าตากวนบาทา

<---o--->

1 เดือนผ่านไป

หลังจากที่ผมกลับมาจากค่ายอาสาเพื่อรักษาตัว 2 สัปดาห์ให้หลัง เท้าผมก็หายเป็นปกติ ชีวิตผมเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิมอีกครั้ง เพราะช่วงที่ใส่เฝือกอยู่ก็ต้องหยุดเรียนไปด้วย ซึ่งก็จะได้พวกไอ้ยักษ์ ไอ้นุ ที่คอยเลคเชอร์เนื้อหาวิชาเรียนต่าง ๆ มาให้ และมาตั้งวงช่วยกันติวให้ผมอยู่เป็นประจำ

สัปดาห์แห่งการสอบผ่านไป เข้าสู่ช่วงของกีฬาภายในมหาวิทยาลัย ก่อนปิดเทอม

ไอ้ยักษ์ ลงแข่งกีฬาบาสเก็ตบอลตามที่มันถนัด และนอกจากนั้นก็มี ตะกร้อ และว่ายน้ำอีกด้วย ซึ่งระหว่างที่มันต้องซ้อมในแต่ละเย็นนั้น ผมก็ต้องคอยมารับใช้มัน เพื่อเป็นการตอบแทนที่มันคอยช่วยเหลือผมตลอดช่วงที่ยังเข้าเฝือกอยู่

“ไหนน้ำกูอ่ะ?” ไอ้ยักษ์ในชุดนักบาสเอ่ยถามผมที่นั่งเป็นบ่าวมันอยู่ข้างสนาม
“น้ำอะไร?”
“กูบอกให้มึงไปซื้อน้ำมาให้กูไง!”
“อ้าว หรอ?”

ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามันสั่งผมไว้ตอนไหน เพราะช่วงนี้ผมรู้สึกตัวเองไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ ใจผมมักจะลอยไปที่อื่นอยู่บ่อย ๆ

“ไปซื้อมาเลย” ไอ้ยักษ์สั่ง
“เออ ๆ”
“เออ แล้วฝากหยิบโทรศัพท์ในล็อกเกอร์ให้กูด้วยนะ พอดีลืมหยิบมา”
“ห้องล็อกเกอร์ กับร้านน้ำนี่มันคนละทางกันเลยนะเว้ย” ผมบ่น
“อย่าบน ๆ ฮ่า ๆๆ”

หลังจากที่ผมเดินไปซื้อน้ำ (แดงมะนาวโซดา) ให้ไอ้ยักษ์แล้ว จึงเดินไปที่ห้องล็อกเกอร์เพื่อที่จะไปเอาโทรศัพท์มาให้มัน
ลักษณะของห้องล็อกเกอร์เป็นห้องกว้าง ซึ่งรอบ ๆ จะเป็นล็อกเกอร์ของนักกีฬาของมหาลัย โดยจะมีห้องอาบน้ำอยู่ถัดออกไป
ผมกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะเดินเข้าไป เพราะมันมีเสียงล่ำลือกันในหมู่นักกีฬาว่าที่ห้องนี้มีผี ซึ่งจะมีจริงรึเปล่าไม่รู้ แต่ผมก็กลัวไปแล้ว ยังโชคดีที่ได้ยินเสียงคนอาบน้ำ และคุยกันอยู่บ้าง เป็นการบ่งบอกว่าในนั้นยังมีคนอยู่ ทำให้ผมสบายใจขึ้นมานิดนึง  แต่ก็ไม่วายความคิดหนอความคิด ดันตั้งแง่กับตัวเองว่า แล้วถ้าเสียงที่ได้ยินอยู่ไม่ใช่เสียงคนล่ะ? ถ้าจริงๆ แล้วในห้องอาบน้ำไม่มีใครอยู่เลยล่ะ? พอคิดแบบนั้นผมรีบวิ่งไปไขกุญแจเพื่อหยิบโทรศัพท์ให้ไอ้ยักษ์ แล้วรีบวิ่งกลับออกมา

ตึก!

“โอ้ย! / เฮ้ย!”

ด้วยความรีบร้อนทำให้ผมวิ่งไปชนคน ๆ นึงเข้า จนน้ำที่ผมถืออยู่ในมือนั้น หกใส่นักกีฬาร่างใหญ่คนนั้นจนเสื้อสีขาวเปียกชุ่มไปด้วยน้ำแดงเป็นวงกว้าง

“เฮ้ย ขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจ” ผมรีบขอโทษทันที แต่ผู้ชายตัวใหญ่คนนั้นกระชากคอเสื้อผมแล้วตวาดกลับมา
“ตามองเชี้ยอะไรอยู่วะ? ทำไมไม่มองทาง!”
“เอ่อ... ขอ.. ขอโทษครับ”

ผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นนักศึกษาจากมหาลัยอื่นที่มาอาศัยซ้อมกีฬาที่สนาม สังเกตได้จากเสื้อที่ผมทำเลอะ มันมีตราของมหาลัยอื่นอยู่

“ขอโทษแล้วเสื้อมันหายเปื้อนมั้ย?” ชายคนนั้นบอก
“แล้วจะให้ทำยังไง ก็ไม่ได้ตั้งใจนี่หว่า”

ไอ้หมอนั่นผลักผมจนติดกำแพงแล้วง้างหมัดทำท่าจะต่อย

“เฮ้ย! เขาขอโทษแล้วก็พอแล้วรึเปล่าวะ?” เสียงหนึ่งดังขึ้น
“แต่ไอ้เชี้ยนี่มันทำเสื้อกูเลอะนะ!”
“มึงก็รีบเอาไปซักสิ มัวมาทำอะไรแบบนี้อยู่เดี๋ยวมีแดงมันก็ซึม ซักไม่ออกอย่าหาว่ากูไม่เตือนนะ”
“มึงดูมันไว้นะ เดี๋ยวกูมาคิดบัญชี”
“ไม่ว่ะ นี่เพื่อนกู กูไม่ช่วยมึงทำอะไรมันหรอก กูไม่ให้ทำด้วย!”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ใจผมสั่นกว่าครั้งไหน ๆ ที่ผ่านมาเลย ผมรับรู้ได้ถึงเลือดที่สูบฉีดอยู่บนใบหน้าของผม เพราะมันร้อนผ่าวราวกับทะเลทรายในกรุงแบกแดด

“มึงรู้จักหรอ?”
“เออ เพื่อนกู” คน ๆ นั้นย้ำ
“มึงโชคดีไปนะ” ไอ้ตัวใหญ่บอกแล้วรีบเดินไปที่ห้องอาบน้ำเพื่อซักเสื้อ

.....

ไอ้ภพมองหน้าผมด้วยสายตาที่ทำให้รู้สึกแปลกไปจากเดิม

“ไง” ไอ้ภพเอ่ยปากทักผม
“ไง...”
“มึง... เรียนที่นี่หรอ?”
“อืม...”
“อืม...”
“แล้วทำไมมึงถึงอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?” ผมถาม
“กูมาซ้อมบอล”

ผมเหมือนน้ำท่วมปาก ไม่รู้จะพูดอะไรออกไป เพราะในขณะนี้ มีความคิดหลายอย่างพุ่งพล่านอยู่ในหัวผมเต็มไปหมด ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ผมต้องยอมรับว่าผมโคตรดีใจที่ได้เจอมันอีกครั้ง

“เป็นอะไรมั้ย?”
“ปะ...เปล่า...”
“แล้วขาเป็นไงบ้าง?”
“ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ดีแล้ว”

เหมือนเราสองคนตกอยู่ในอาการเดียวกัน ที่ไม่รู้จะคุยอะไรกันดี จนก่อนที่ความเงียบของเราทั้งคู่จะพาไปในจุดที่น่าอึดอัด ผมจึงรีบหนีออกมาก่อน

“งั้นกูไปก่อนนะ พอดีไอ้ยักษ์มันรอโทรศัพท์อยู่” ผมบอกแล้วรีบเดินออกมาจากห้องล็อกเกอร์ โดยไม่หันกลับไปมองอีกเลย ในใจของผมตอนนี้ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจ โกรธตัวเองที่เดินหนีออกมาแบบนี้ แต่ก็คิดว่าแบบนี้แหละดีแล้ว

<---o--->

“กว่าจะมา แล้วไหนน้ำกูอ่ะ?” ไอ้ยักษ์ถามอีกครั้งนึง เพราะไม่เห็นผมถือน้ำมาให้มัน ทั้งที่บอกว่าจะไปซื้อมาให้
“โทษที กูลืม” ผมบอกแล้วยื่นโทรศัพท์ให้มัน
“อะไรของมึงวะ? มึงเป็นอะไรเนี่ย ทำไมขี้ลืมจัง”
“มึงจะบ่นทำไมอ่ะ เดี๋ยวซ้อมเสร็จแล้วค่อยไปกินก็ได้”
“ก็กูหิวตอนนี้”
“อย่างอแง รีบไปอาบน้ำ จะได้รีบไป”
“เชี้ยเอ๊ย! งั้นก็รีบ ๆ ไป” ไอ้ยักษ์บ่นแล้วผลักหัวผมเบา ๆ
“เดี๋ยวกูไปรอที่ร้านนมเลยนะ”
“อ้าว ทำไมวะ? ก็ไปรอที่ห้องล็อกเกอร์สิ”
“ไม่เอา เดี๋ยวกูรีบไปสั่งให้มึงก่อนไง พอมึงไปถึงจะได้ไม่ต้องรอ” ผมแก้ตัว

ไอ้ยักษ์มองผมแบบพินิจพิเคราะห์

“ตามใจมึงแล้วกัน”

ผมแยกกับไอ้ยักษ์แล้วไปรอมันที่ร้านนมตามที่บอกไว้ โดยที่ในหัวก็ยังมีแต่เรื่องไอ้ภพวนเวียน ๆ ไม่ได้หยุด ประมาณ 15 นาทีไอ้ยักษ์ก็มาถึง

“กูรู้แล้วทำไมมึงถึงไม่อยากไปที่ห้องล็อกเกอร์”
“อะไรหรอ?” ผมแกล้งถาม
“มึงเจอไอ้ภพใช่มั้ย?”
“อ้าวหรอ? มันอยู่นี่หรอ?”
“มึงไม่ต้องทำมาเป็นเอ๋อ กูรู้ว่ามึงเจอมันแล้ว!”
“เอ่อ... อืม”
“มึงโอเคมั้ย?”
“โอเคดิ ทำไมถึงไม่โอเควะ?”
“เออ ดีแล้ว”
“แล้วมึงได้คุยกับมันเปล่า?” ผมถามกลับ
“คุยนิดหน่อย”
“มึงยังโกรธมันอยู่ป่ะ?”
“ถามทำไมอ่ะ?”
“ก็เปล่า...”
“กูแค่บอกมันไปว่าให้อยู่ห่าง ๆ มึง เดี๋ยวมันจะทำมึงพิการอีก”
“ถามจริง? ทำไมไปพูดแบบนั้นอ่ะ?”
“นี่มึงห่วงมันหรือห่วงกูกันแน่เนี่ย?”

“กูไม่ได้ห่วงมัน แต่ไม่เห็นจะต้องไปตีกันเลย”
“มึงชอบมัน!” ไอ้ยักษ์ฟันธง
“เปล่า!”
“มึงชอบมัน กูดูออก! กูดูออกตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่ค่ายแล้ว”
“กูก็บอกไปแล้วว่ามันคลายกับไอ้ภู กูก็เลยอาจจะเผลอชอบ แต่จริง ๆ คงไม่หรอก”
“ตามใจมึงแล้วกัน จะชอบใครก็เรื่องของมึง แค่อย่าพาตัวเองไปในจุดที่อ่อนแอแบบตอนนั้นอีก กูไม่ชอบเห็นมึงแบบนั้น” ไอ้ยักษ์บอกแล้วยกแก้วน้ำของมันดื่มอย่างกระหาย

<---o--->

หลังจากที่ได้เจอไอ้ภพเมื่อสามวันก่อน ผมกลับยิ่งนึกถึงแต่เรื่องของผมกับมันระหว่างที่อยู่ค่าย ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพียงระยะเวลาแค่สองวันที่เราได้เจอกัน และต้องติดอยู่ด้วยกัน ถึงเราจะไม่ได้รู้จักกันซักเท่าไหร่ แต่ทุกอย่างมันกลายเป็นความทรงจำดี ๆ ของผมไปแล้ว

วันนี้ผมก็ต้องมานั่งรอไอ้ยักษ์เหมือนเดิม ซึ่งหลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ได้ย่างก้าวเข้าไปที่ห้องล็อกเกอร์อีกเลย ไม่ใช่เพราะผมไม่อยากเจอไอ้ภพนะ แต่ผมไม่รู้ว่าถ้าเจอมันแล้วผมต้องคุยอะไร หรือต้องทำยังไงให้ตัวเองปกติที่สุด

“อ่ะ! กูให้!”

ไอ้ภพในชุดนักฟุตบอลยื่นส้มในมือมาให้ผม

“มึงชอบกินส้มใช่ป่ะ?”
“มึง... มาได้ไง?”
“ไอ้นุบอกว่ามึงอยู่นี่” ผมลืมไปซะสนิท ว่าไอ้นุเป็นนักฟุตบอล มันน่าจะซ้อมอยู่ด้วยกัน
“อืม...”
“มันบอกมึงเฝ้าผัวอยู่ที่นี่” ไอ้ภพแซว
“ส้นตีนสิ! กูก็บอกไปแล้วว่ากูกับมันไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“กูแค่ล้อเล่นเฉย ๆ แต่ไอ้นุมันพูดแบบนี้จริง ๆ นะ”
“พวกมึงก็พอกันนั่นแหละ”
“มึงมาทำไม?” ไอ้ยักษ์ตะโกนถามไอ้ภพลั่นสนาม
“มาไม่ได้หรอ?”
“กูบอกแล้วไงว่าให้อยู่ห่าง ๆ เพื่อนกู เดี๋ยวมึงก็ทำมันพิการอีก”
“กูไม่มีเหตุผลที่จะทำแบบนั้นซะหน่อย” ไอ้ภพบอก

ตอนแรกผมนึกว่ามันสองคนจะตีกันอีก แต่กลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไประหว่างไอ้ภพกับไอ้ยักษ์

“ถ้ามึงแน่ใจว่าจะไม่ทำให้เพื่อนกูเจ็บอีก ก็ตามสบาย” ไอ้ยักษ์บอก แล้วกลับไปเล่นบาสต่อ
“อ้าว... ?”

<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->

สวัสดีวันพฤหัสบดีครับ ในตอนนี้ แอบมีเรื่องราวของน้องภูมานิดหน่อย
ก็แหม ใจความสำคัญก็เกิดจากโซ่ กับภู คบกันนี่นา~ ก็เลยคิดว่าเล่าเรื่องภูบ้างดีกว่า
กลัวท่านผู้อ่านจะเบื่อไบโพล่าแมนอย่างไอ้ภพซะก่อน


ตอบความเห็นนิดหน่อย
นอกจากพี่ชายแฟนเก่าแล้ว ยังมีเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อรึเปล่า???   :hao7:

ยังไม่มีแพลนเรื่องนั้นครับ ยักษ์กับโซ่ อาจดูสนิทกันเกินเพื่อน แต่จริง ๆ เป็นแค่เพื่อนกัน และไอ้ยักษ์มันมีจุดประสงค์อื่นครับ หึหึ  :hao3:
<---o--->
ภพ เหมือนเด็กผู้ชาย ที่แกล้งคนที่ตัวเองชอบ
โดยที่ตัวเองก็ทำไปแบบไม่รู้ตัว
ยักษ์ ชอบเพื่อนแบบไม่รู้ตัวเหมือนกันหรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
จากที่ดูแกล้งเพราะเกลียดมากกว่านะครับ ฮ่่า ๆๆ  :oo1:
<---o--->

ขอบคุณทุกความเห็น ทุกกำลังใจครับผม  :pig4:
เอาไว้ถ้าเสาร์-อาทิตย์นี้ว่าง อาจจะมาเพิ่มตอนสั้น ๆ ในส่วนของน้องภูให้นะครับ

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :กอด1:  เอาล่ะสิ ภพจะเอายังไง

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
โอ้ รอให้ปิ๊งกันจ้า...แต่เร็วหน่อยก็ดีนะ อยากอ่านคู่ยักษ์เหมือนกันนะเนี่ย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ถ้าภพเกลียด แล้วมาจูบโซ่ ทำหยัง
แอะ......คนเกลียดกันเขาจะจูบกันหรอ
เจอกันใหม่ ยังมองโซ่ด้วยแววตาแปลกๆ
เอาส้มมาให้อีก
ยักษ์อนุญาตแล้วให้ภพเจอโซ่ได้
“ถ้ามึงแน่ใจว่าจะไม่ทำให้เพื่อนกูเจ็บอีก ก็ตามสบาย”
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Thearz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ตอนที่ 7

“ถ้ามึงแน่ใจว่าจะไม่ทำให้เพื่อนกูเจ็บอีก ก็ตามสบาย” ไอ้ยักษ์บอก แล้วกลับไปเล่นบาสต่อ
“อ้าว... ?”

ผมทำหน้างงที่อยู่ ๆ ไอ้ยักษ์ก็กลับลำง่ายขนาดนี้

“พากูไปหาอะไรกินหน่อยดิ”
“หืม? ทำไมมึงไม่ไปเองอ่ะ”
“กูไม่รู้นี่ว่าร้านไหนอร่อย” ไอ้ภพทำหน้าอ้อนวอน
“มาตั้งหลายวันแล้วนะ”
“ปกติโค้ชเค้าจะซื้อเป็นข้าวกล่องมาให้”
“แล้วทำไมไม่ไปชวนเพื่อนมึงไปอ่ะ?”
“กูจะชวนมึงอ่ะ จะไปหรือไม่ไป!”

เสี้ยววินาทีนึง ผมรู้สึกว่าไอ้ภพคนเดิมกลับมาแล้ว

“เออ ๆ” ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมผมต้องยอมมันเหมือนเคย

ผมพามันไปที่ร้านข้าวเจ้าประจำ ที่ผมเคยมานั่งกินกับน้องภู

“วันนี้กินอะไรดีครับ?” เด็กเสิร์ฟของร้านมารอรับออเดอร์
“ไก่กระเทียมสองจานครับ” ผมสั่ง เพราะเห็นไอ้ภพมัวแต่ลังเลว่าจะกินอะไร
“หืม? มึงกินสองจานเลยหรอ?”
“ก็กูเห็นมึงตัดสินใจไม่ได้ กูก็เลยสั่งให้”
“แล้วรับน้ำอะไรดีครับ” เด็กเสิร์ฟคนนั้นถามต่อ
“เอาน้ำอัดลม แล้วก็น้ำแข็งสองแก้วครับ”
“แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูจะกินอะไร?” ไอ้ภพถาม
“กูเคยมากินที่ร้านนี้กับน้องมึง แล้วมันบอกว่า เวลาไปร้านอาหารตามสั่งกับมึง มึงชอบสั่งไก่กระเทียมตลอด แถมบังคับให้มันกินเหมือนมึงด้วย เพราะแม่ค้าจะได้ทำพร้อมกัน จะได้ไม่ต้องรอนาน”

ไอ้ภพเปลี่ยนสีหน้ากลับไปทำหน้านิ่ง ๆ

หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที ข้าวไก่กระเทียมของเราก็มาเสิร์ฟ ไอ้ภพตักข้าวใส่ปากแล้วบ่น

“รสชาติโคตรเลว!” มันพูดออกมาโดยที่มันไม่ได้สังเกตว่าป้าแม่ค้าอยู่ตรงนั้นด้วย ทำเอาผมแทบจะมุดโต๊ะหนี
“ถามจริง?” ป้าแม่ค้าร้องถาม ไอ้ภพหน้าแหย ต้องรีบขอโทษ
“เอ่อ ผมล้อเล่นครับ ที่จริงอร่อยครับ แต่เพื่อนผมมันปากไม่ดี ผมก็เลยพูดไปแบบนั้น” ไอ้ภพรีบแก้ตัว
“เมื่อก่อนก็เห็นมากินกันออกบ่อย จะมาบอกว่าไม่อร่อยอะไรตอนนี้”
“เอ่อ..” ไอ้ภพเอ๋อ
“ไม่ใช่ป้า คนละคนกัน” ผมรีบอธิบาย
“อ้าว ก็หน้าอย่างนี้ไม่ใช่หรอ?”

ขนาดป้าแม่ค้ายังเข้าใจผิดว่าไอ้ภพคือไอ้น้องภูเลย

“บ่อยเลยหรอ?” ไอ้ภพหันมาถามผม
“หืม?”
“มึงมาที่นี่กับน้องกูบ่อยเลยหรอ?”
“แล้วจะทำไมอ่ะ?”
“กูถามก็ตอบ ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง”
“เออ!”
“มึงนี่แรดจริง ๆ”

ผมวางช้อนข้าวลงด้วยความโมโห แล้วลุกไปจ่ายเงินทันที ป้าร้านข้าวรับเงินแล้วมองแบบงง ๆ

“เฮ้ย! เดี๋ยวดิ จะไปไหน?”

ไอ้ภพรีบวิ่งตามมาและดึงแขนผมไว้

“มึงจะรีบไปไหน?”
“มึงต้องการอะไรวะ?” ผมตวาด
“มึงหมายความว่าไง?”
“ก็ที่มึงทำอยู่เนี่ย มึงต้องการอะไร มึงชวนกูมากินข้าว ชวนกูคุยเรื่องไอ้ภู แล้วก็มาด่ากูแบบนั้น มึงคิดอะไรอยู่กันแน่!?”
“กูขอโทษ กูแค่พูดไปอย่างงั้นเอง”
“พูดไปอย่างงั้น? เหอะ!” ผมพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะมันรู้สึกจุกไปหมด
“กูขอโทษ”
“ปล่อยกู! กูจะกลับแล้ว”
“ไม่!”
“ปล่อย!” ผมบอกแล้วสะบัดแขนแต่ไอ้ภพยังจับเอาไว้แน่น
“กูก็ขอโทษแล้วไง”
“ถ้างั้นก็ปล่อยกูซะทีสิ”
“ไม่ปล่อย กูยังไม่ได้กินข้าวเลย”
“พี่ครับ ๆ !” น้องเด็กเสิร์ฟวิ่งหน้าตั้งมาแล้วยื่นถุงข้าวมาให้ผมกับไอ้ภพ
“อะไรหรอครับ?” ไอ้ภพหันไปถาม
“ป้าเค้าเห็นว่าพี่ยังไม่ได้กินก็เลยให้ผมใส่กล่องมาให้”

ไอ้ภพรับมาแบบงง ๆ ระหว่างนั้นผมจึงสะบัดมือมันออกแล้วเดินหลบออกมา

“มึงจะไปไหนอ่ะ?”
“เรื่องของกู ไม่ต้องตามมาแล้ว”
“ไม่เอา ไปกินข้าวกับกูก่อน” ไอ้ภพบอกแล้วรีบดึงแขนผมไว้
“ไปให้มึงนั่งด่ากูแบบนั้นอีกหรอ?”
“กูก็ขอโทษไปแล้วไง”
“ที่ผ่านมามึงก็ทำเป็นอยู่แค่นี้ มึงอยากจะพูดอะไรก็พูด อยากจะทำอะไรก็ทำ แล้วมาขอโทษทีหลัง มึงไม่เคยนึกถึงใครเลย”

ไอ้ภพดึงผมเข้าไปกอด ยิ่งผมพยายามดิ้นมันก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น จนคนแถว ๆ นั้นเริ่มมองมา

“ปล่อย!”
“ถ้ามึงไม่หยุดพูดก็กูไม่ปล่อย”
“กูบอกให้ปล่อย! คนอื่นเค้ามองกันใหญ่แล้ว”
“สัญญาก่อนว่าจะไม่เดินหนีกูอีก”
“เออ!”
“บอกก่อนว่าไม่โกรธกูแล้ว”
“เออ! ปล่อยได้แล้ว!”

ไอ้ภพยอมคลายกอด ปล่อยผม แต่ยังจับแขนผมเอาไว้

“เลิกจับได้แล้ว”
“ไปที่สนามบอลกัน”

มันพาผมมานั่งที่อัฒจันทร์ตรงสนามฟุตบอล แล้วแกะข้าวกินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ทีเมื่อก่อน กูทำมึงเจ็บตัวไม่เห็นโกรธกูแบบนี้เลย” ไอ้ภพบอก ผมจึงศอกเข้าไปตรงข้างตัวมันทีนึง จนมันสำลักข้าวออกมา
“ถ้ามึงทำใครเจ็บตัวอ่ะ แป๊บเดียวก็หาย แต่ถ้ามึงทำให้ใครเสียความรู้สึก มันไม่ได้หายง่ายขนาดนั้น”

ผมแอบแปลกใจนิดนึงเพราะปกติแล้วมันก็คงสวนผมมาบ้างแล้ว แต่ตอนนี้กลับทำหน้าทะเล้นใส่ผม

"ด่าคนอื่นว่าแรดเนี่ยนะ ใครจะไม่โกรธวะ"
“ขอโทษ ฮ่า ๆๆ”
“มึงก็แปลก ทีตอนนั้นทำกูแทบพิการ ไม่เห็นจะขอโทษซักคำ”

ไอ้ภพนิ่ง ทำท่าครุ่นคิด

“ขอโทษไปแล้วนะ”
“ขอโทษตอนไหน?”
“ก็คืนนั้นไง ตอนที่มึง...” ไอ้ภพไม่พูดต่อ ทำให้ผมนึกขึ้นได้ ถึงเรื่องเมื่อคืนนั้น ที่มันจูบผม ผมคงโฟกัสเรื่องนี้มากไปจนลืมว่ามันขอโทษผมไปแล้ว

เราทั้งคู่นิ่งเงียบกันไปประมาณ 10 นาที ไม่มีใครพูดอะไร ผมเดาเอาว่ามันเองก็คงจะยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจ ที่นึกถึงเรื่องนั้น

“เอาส้มอีกป่ะ? เดี๋ยวกูไปเอามาให้”
“ไม่เอาแล้ว”
“งั้นเดี๋ยวกูไปซื้อน้ำก่อนนะ ห้ามไปไหนด้วย” ไอ้ภพสั่ง
“อืม”

ระหว่างนั้น ในหัวผมสับสนไปหมด ผมรู้สึกดีที่ไอ้ภพทำตัวแบบนี้กับผม แต่ก็ยังข้องใจว่าอะไรทำให้มันเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ เพียงแค่เราจูบกันเพียงครั้งเดียวในตอนนั้นจะเปลี่ยนมันได้ขนาดนี้เลยหรอ

ไอ้ภพกลับมาพร้อมกับน้ำและไอศกรีมที่ซื้อมา

“กูซื้อมาให้ ไถ่โทษ” มันบอกแล้วยื่นไอศกรีมให้ผม
“มึงเห็นกูห่วงกินหรอ เอาของกินมาล่อ”
“กูเห็นตอนไอ้ยักษ์ซื้อขนมให้มึงทีไรมึงก็ไม่เคยปฏิเสธนี่”
“งั้นกูไม่กินละ”
“มึงนี่งอนบ่อยไปแล้วนะ”
“กูไม่ได้งอนโว้ย!”
“ฮ่า ๆๆ”

ผมรับไอศกรีมจากมันมา ในใจก็คิดว่ามันแปลกไปจริง ๆ จนผมอดรนทนไม่ไหวถามมันออกไป

“มึงเป็นอะไรป่ะเนี่ย? ทำไมถึงมาทำดีกับกูแบบนี้?”
“เปล่านี่ ปกติกูก็เป็นแบบนี้”
“เหอะ! ไม่เห็นเหมือนกับตอนที่อยู่ค่ายเลย”
“ก็ตอนนั้นมึงชอบกวนตีนกู”
“ตอนนั้นมึงยังบอกว่าเกลียดกูไม่ใช่หรอ?”
“ส่วนมึงก็ยังพูดมากเหมือนเดิม” ไอ้ภพเปลี่ยนเรื่อง
“เออ นี่แหละกู ถ้ารำคาญก็ไม่ต้องมายุ่งกับกูสิ” ผมบอกแล้วลุกหนีมัน
“งอนอีกแล้ว มึงนี่ขี้งอนเนอะ”
“ไม่ได้งอน แต่มึงก็กินข้าวเสร็จแล้วนี่ กูจะกลับแล้ว”
“กูไม่ให้กลับ!” ไอ้ภพดึงมือผมเอาไว้

ผมนั่งลงตรงที่เดิมเหมือนโดนมนต์ให้ทำแบบนั้นอย่างขัดขืนไม่ได้

“กูขอโทษเรื่องเมื่อตอนนั้นนะ” ไอ้ภพบอก
“อืม”
“จริง ๆ ก็ใจหายนิด ๆ ตอนที่กลับมาที่ค่ายแล้วไม่เจอมึง”
“ทำไมอ่ะ”
“ไม่รู้สิ” ไอ้ภพบอกแล้วยักไหล่
“กูก็ไม่คิดว่าตอนนั้นมันจะเป็นหนักขนาดที่ต้องใส่เฝือก”
“กูขอโทษที่ทำให้มึงเจ็บตัวนะ”
“เลิกขอโทษได้แล้ว ที่จริงกูก็ผิดที่ปากไม่ดี”
“ใช่!”

ผมถอนหายใจ

“บอกได้มั้ยว่าทำไมตอนนั้นมึงถึงโกรธกูขนาดนั้นอ่ะ?”

ไอ้ภพนิ่งครู่นึง

“มันเป็นเรื่องในครอบครัวกู”
“งั้นไม่อยากรู้ก็ได้”
“ไม่เป็น มันผ่านมาหลายปีแล้ว”

ไอ้ภพเล่าว่า เมื่อประมาณ สิบกว่าปีก่อน พ่อมันเจ้าชู้มาก จนแม่มันทนไม่ไหว การที่ผมไปแซวมันว่า “ลูกเมียน้อย” อาจไปสะกิดปมที่ทำให้แม่มันตรอมใจจนป่วย และเสียชีวิตไป มันจึงโกรธผมจนทำอะไรแบบนั้นไปโดยไม่รู้ตัว

“เหตุผลแค่นั้นหรอวะ?”
"หมายความว่าไง?"
"กูหมายถึง แค่กูแซวมึงว่าลูกเมียน้อย มึงถึงกับโกรธกูขนาดนั้นเลยหรอ?"
"ก็ตอนนั้นกูหงุดหงิดอยู่นี่"
"แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่โกรธกูแล้วล่ะ?"

ไอ้ภพเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ พลางสายตาก็มองลงไปที่สนามฟุตบอลเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

“ที่กูทำกับมึง มันเหมือนที่พ่อเคยทำไว้กับแม่กู”
“??”
“ที่กูทำร้ายมึง มันทำให้กูนึกถึงพ่อกูในตอนนั้น แล้วกูก็ไม่ชอบ”
"อืม"
"แต่คำที่มึงพูดตอนนั้นกูโคตรเกลียดเลย"

ผมหน้าชาด้วยความรู้สึกผิด และเสียใจกับเรื่องที่ไอ้ภพเล่าให้ฟัง การที่มันได้เห็นสิ่งที่พ่อมันทำกับแม่มันแบบนั้น คงเป็นความทรงจำที่เลวร้ายมากแน่นอน และผมก็ดันปากไม่ดีไปตอกย้ำปมความรู้สึกของมันโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็สมควรแล้วที่มันจะโกรธขนาดนั้น

“มึงโอเคมั้ย?” ผมถามเพราะเสียงมันสั่นเครือ
“เฮ้ย โอเค มันผ่านมานานแล้ว กูกับพ่อก็เคลียร์กันรู้เรื่องแล้ว”
“อืม”
“ที่จริงมีอีกเรื่องนึง แต่ยังไม่บอกดีกว่า เอาไว้เล่าวันหลัง”
“อ้าว ทำไมอ่ะ?”
“มึงจะได้ยอมมาคุยกับกูอีก” ไอ้ภพยิ้มแล้วยักคิ้วกวน ๆ
“งั้นกูไม่อยากรู้แล้วก็ได้”
“จริงหรอ? เรื่องนี้เกี่ยวกับไอ้ภูนะ”

พอได้ยินแบบนั้นผมก็หูผึ่งทันที

"ทีอย่างงี้สนใจขึ้นมาทันทีเลยนะ" ไอ้ภพบอก
"แล้วตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง?"
"มันก็เหมือนเดิม ปกติ ช่วงนี้ใกล้เข้ามหาลัยแล้วก็เลยติวหนักหน่อย"
"แล้ว..."
"ถึงยังไงกูก็ไม่ให้มึงกลับไปคุยกับมันหรอกนะ!"

ผมถอนหายใจ ไอ้ภพเหมือนจะมองผมออกไปซะทุกเรื่อง

"กูแค่อยากรู้ว่ามันเป็นยังไงเฉย ๆ"
"ที่จริงกูก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามมึงหรอกนะ ถ้ามึงอยากจะคุย..."

ไอ้ภพหยิบโทรศัพท์ของมันออกมาแล้วกดเบอร์น้องภู ยื่นมาให้ผม

ผมไม่รู้ว่าผมควรจะดีใจไหม ทั้งที่ผมควรจะหยิบโทรศัพท์มันมาแล้วเมมเบอร์โทรน้องภูเอาไว้ แต่ผมกลับเลือกที่จะไม่ทำ

"ไหน ๆ ก็เลิกกันไปแล้ว กูควรจะตัดใจแล้วอยู่ห่าง ๆ มันตามที่มึงต้องการนั่นแหละดีแล้ว"
"กูให้โอกาสครั้งสุดท้ายนะ"
"มึงเคยบอกกูทำให้มันเดือดร้อน งั้นกูขออยู่ห่าง ๆ แบบนี้ดีกว่า แล้วก็..."

"แล้วก็...?" ไอ้ภพบอกพลางเก็บโทรศัพท์ของมันกลับคืนไป
"กูไม่อยากให้มึงเกลียดกูเหมือนเมื่อก่อน"

ไอ้ภพนิ่ง แล้วหัวเราะเบา ๆ

"มึงชอบกูแล้วละสิ"
"เปล่า!"
"แน่ใจหรอ?"
"ก็เออนะสิ! ขนาดน้องมึงเป็นเกย์ มึงยังแอนตี้ซะขนาดนั้น กูไม่ชอบมึงให้เสียเวลาหรอก!" ผมรีบปฏิเสธ และมันเหมือนเป็นการตอกย้ำกับตัวเอง ว่าสิ่งที่ผมเผลอคิดไปมันไม่มีทางเป็นไปได้
"ก็จริง เพราะกูไม่ได้ชอบผู้ชาย"

คำยืนยันจากปากไอ้ภพเหมือนตอกตะปูปิดฝาโลงให้กับความรู้สึกของผม

"กูต้องไปแล้ว ป่านนี้ไอ้ยักษ์คงรอแล้ว"
"พรุ่งนี้จะมาอีกมั้ย?"
"อาจจะไม่! ไม่รู้สิ ไม่ได้ดูตารางซ้อมของไอ้ยักษ์"
"ทำไมวะ ถ้าไม่มีไอ้ยักษ์มึงมาไม่ได้หรอ?"
"ถ้าไอ้ยักษ์ไม่ได้ซ้อม กูก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องมาไง"
"มาหากูไง"

นาทีนี้ผมอยากจะกลายร่างเป็นเดอะฮัล์ค แล้วเหวี่ยงไอ้ภพให้กระเด็น เพราะผมเริ่มหงุดหงิดที่มันปั่นหัวผมอยู่แบบนี้

<---o--->


ในคืนนั้น

"เป็นอะไรวะ? ดูแปลก ๆ" ไอ้ยักษ์ถามผมที่กำลังนั่งเปิดหนังสือไปมาด้วยท่าทีเหม่อลอย
"เปล่า แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย"
"ไปคุยกับไอ้ภพเป็นไงบ้างอ่ะ?"
"ก็ไม่ยังไง"
"ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว กูละหวั่นใจว่ามันจะทำมึงเจ็บตัวอีก"
"แล้วพรุ่งนี้ไปซ้อมกี่โมง?" ผมหันไปถามมันบ้าง
"พรุ่งนี้ไม่มีซ้อม"
"ห๊ะ?"
"กูบอกว่าพรุ่งนี้ไม่มีซ้อม" ไอ้ยักษ์บอกแล้วมองผมเหมือนตำรวจกำลังจับผิดคนร้าย

ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเป็นคนที่ดูออกง่ายมากขนาดนั้นเลยหรือ เพราะเวลาที่อยู่ต่อหน้ามัน ผมไม่สามารถโกหกมันได้เลย หรือด้วยความที่เราสนิทกันมากจนรู้ไส้รู้พุงกันไปหมดทุกอย่างก็ไม่รู้

"แต่ที่จริงพรุ่งนี้กูจะไปซ้อมว่ายน้ำ มึงจะไปด้วยก็ได้นะ"
"อืม"
"แล้วไอ้ภพมันมาซ้อมกีฬาอะไรหรอ" ไอ้ยักษ์ถามแบบไม่ได้ใส่ใจคำตอบสักเท่าไหร่
"ฟุตบอล"

ระหว่างนั้น เสียงเตือน วิดีโอคอล ของโปรแกรม "สไกป์" ในโน๊ตบุคผมก็ดังขึ้น
ไอ้แซค...

"ไอ้โซ่วววว!"
"ว่ายังไง"
"ปิดเทอมยัง?"
"อีกสองอาทิตย์ แล้วมึงอ่ะ?"
"ของกูปิดมาอาทิตย์นึงแล้ว"
"ดีจัง กูเพิ่งสอบเสร็จ ต้องรอกีฬามหาลัยจบถึงจะได้หยุด"
"งั้นช่วงปีใหม่มึงก็ว่างใช่มั้ย?"
"เออ"
"เดี๋ยวกูกลับไปหา"
"ห๊ะ? จริงดิ!"
"กูซื้อตั๋วเรียบร้อบแล้ว" ไอ้แซคบอกแล้วโชว์ตั๋วเครื่องบินให้ผมดู

ก่อนหน้านี้ ผมยังไม่เคยพูดถึงครอบครัวของผมมาก่อน เพราะคิดว่ามันไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องพูดถึงสักเท่าไหร่
“ไอ้แซค” เป็นพี่ชายฝาแฝดของผม เราถูกจับแยกกัน เพราะพ่อกับแม่ของเราแยกทางกันตอนผมอยู่ม.3 ผมอาศัยอยู่กับพ่อและพี่ชายอีกหนึ่งคน (พี่ชายคนโต ชื่อพี่แวน) ส่วนไอ้แซคต้องย้ายไปอยู่กับแม่ที่ประเทศญี่ปุ่น สมัยที่ยังเด็ก ๆ เราสนิทกันมาก และเรียกได้ว่าเป็นตัวแสบประจำบ้านกันทั้งคู่
ผมยังจำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง ไอ้แซคทำความผิด และจะโดนพ่อตีด้วยไม้เรียว ผมกับมันก็จะถอดเสื้อ แล้ววิ่งวน สลับกันไปมา ตอนนั้นหน้าตาเราเหมือนกันจนบางทีพ่อกับแม่ก็ยังสับสน ผลคือ โดนตีกันทั้งคู่
เราได้เจอกันครั้งสุดท้ายก็เมื่อปีก่อนตอนงานศพของพ่อ แต่เราก็ติดต่อกันมาตลอด บางทีมันว่าง ๆ ก็มานั่งคุยกันผ่านโปรแกรมสไกป์แบบนี้ประจำ

"พี่แซค หวัดดี" ไอ้ยักษ์โผล่หน้าเข้ามาทักทายไอ้แซค
"เออ ไอ้ยักษ์มึงดูแลน้องกูดีเปล่า?"
"โคตรดีเลยพี่"
"ไม่จริงอ่ะ กูเกือบพิการ" ผมหลุดปากพูดออกไป ไอ้ยักษ์มองหน้าผมแบบเหวอ ๆ
"อะไรนะ?"
"กูล้อเล่นน่ะ ฮ่า ๆๆ"

ผมลืมนึกไปว่าไม่อยากให้ไอ้แซครู้เรื่องที่ผมบาดเจ็บ ผมไม่อยากให้มันเป็นห่วง แล้วก็ไม่อยากให้มันว่าไอ้ยักษ์ไม่ดูแลผมด้วย...

"ดูแลน้องกูดี ๆ นะ เดี๋ยวมีของดีให้" ไอ้แซคบอกแล้วยักคิ้วเป็นการรู้กันกับไอ้ยักษ์
"อะไรวะ?"
"ไม่บอก กูรู้กันแค่สองคน" ไอ้ยักษ์รีบบอก

ไอ้ยักษ์รู้จักกับพี่ผมมาตั้งแต่เราสนิทกัน แรก ๆ มันก็ตกใจที่รู้ว่าผมมีฝาแฝดอีกหนึ่งคน ไอ้แซคเองก็ดูจะไว้วางใจในตัวไอ้ยักษ์ไม่น้อย ถึงฝากฝังมันให้คอยช่วยเหลือผมอยู่เป็นประจำ
เราคุยกันต่อจนเกือบชั่วโมง ไอ้แซคก็วางสายไป พร้อมกับกำหนดวันเวลาว่าอีก 1 อาทิตย์มันจะมาหาผม
ซึ่งเป็นช่วงนั้นไอ้ยักษ์ก็ต้องกลับบ้านที่ภูเก็ตพอดี ส่วนผม หลังจากพ่อเสียไป ก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านเลย เพราะกลับไปก็อยู่คนเดียวอยู่ดี

<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->

สวัสดีวันจันทร์ พร้อมแปะรูปดอกไม้ 555  :L2:
ไหน ใครหงุดหงิดไอ้ภพ มากองรวมกันตรงนี้  o13
รอก่อนเถ๊อะ จะฟ้องไอ้แซคแม่ม! โดนแน่ 555
   :angry2: :z6:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-02-2017 23:02:02 โดย Thearz »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด