ตอนที่ 9ผมลงมาจากบ้านตอนเช้าก็เห็นไอ้โซลกำลังเล่นกับปิ๊กมี่...
เกือบอาทิตย์แล้วที่มันทำแบบนี้ และผมก็บอกมันจนเมื่อยปากแล้วว่าให้มันไปที่กองถ่ายเลย ไม่ต้องมาหาผมก่อน!
เราถ่ายกันตั้งแต่เช้าไปจนถึงเช้าของอีกวัน ดีหน่อยก็เที่ยงคืน...มันไม่เหนื่อยเลยหรือไง
พอปิ๊กมี่เห็นผมก็วิ่งเข้ามาหา เจ้าหมาจอมตะกละเดินตามผมเข้าไปในห้องครัวและนั่งรออย่างรู้งาน ผมเทอาหารให้ รอจนมันกินจนหมดถึงได้ผละออกมา
“ไม่ได้อยู่เล่นด้วยนะ” ขยี้หัวมันเป็นครั้งสุดท้าย ปกติปิดเทอมผมจะมีเวลาเล่นกับมันมากขึ้นแต่พอมาถ่ายซีรีส์ผมกลับมีเวลาให้มันน้อยลงกว่าตอนเปิดเทอมอีก
“พี่ดูรักมันมาก”
“อือ ก็เป็นเหมือนครอบครัว” สายตาหงอยๆ ที่มองตามทำเอาใจผมยวบ
“อิจฉาหมาจัง”
“ทำไม หิวข้าว?”
มันส่ายหน้า “อยากได้รับความรักมั่ง”
มือที่กำลังล็อคกุญแจสะดุดกึกไม่ต่างจากลมหายใจ แต่พอหันไปมองเจ้าของประโยคที่ยกยิ้มกวนๆ ก็ได้แต่ถอนหายใจ
มันเอาแต่เช้าเลยนะ
ผมปิดปากหาวออกมาทีนึง ท้องฟ้ายังไม่มีแดด อากาศก็เย็นจนผมต้องสวมเสื้อกันหนาวทับ ...ไม่ใช่เสื้อกันหนาวของมันนะ ตัวนั้นผมคืนมันไปแล้ว
“ไม่กินอะไรก่อนเหรอครับ”
“เอาไปกินบนรถ เดี๋ยวสาย” วันนี้ผมตื่นช้ากว่าปกติ ถ่ายซีรีส์ไม่ง่ายเลยจริงๆ อาชีพนักแสดงต้องใจรักขนาดไหน ถ่ายติดกันแทบทุกวันไม่พอ เวลาได้พักในแต่ละวันก็ไม่ถึงสี่ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ...ยิ่งกว่าตอนไฟนอลอีก นั่นยังแค่เดือนเดียว แต่ผมต้องเป็นอย่างนี้ไปอีกสามเดือน
“งั้นมารถผม”
ผมดึงกล่องทัพเพอร์แวร์ที่มันฉวยไปคืนมา ไอ้เด็กนี่ก็ถึกเกิน ผมที่ตื่นเช้าแค่นี้ยังเหนื่อย แต่มันต้องตื่นเช้ากว่าเพื่อมาหาผมที่บ้านแล้วถึงออกไปกองถ่ายพร้อมกัน
“มึงเป็นยอดมนุษย์เหรอ”
ถ้าผมไปกับมัน ถ่ายกันเสร็จตีหนึ่งตีสอง แทนที่มันจะได้กลับคอนโดเลยแต่ต้องมาส่งผมก่อน ระยะทางก็ไม่ได้ใกล้ๆ ขับรถนะเว้ย ไม่ใช่เหาะแป๊บเดียวถึง
“ไปขึ้นรถได้แล้ว” ผมขัดขึ้นเมื่อมันจะอ้าปากจะพูดอะไรออกมาอีก มันละล้าละลังนิดหน่อยก่อนจะเดินไปขึ้นรถตัวเอง
ไม่รู้ว่าเพราะมันเห็นฝีมือการขับรถของผมที่มันไม่ได้ดีมากมายนัก หรือเพราะผมเป็นเพื่อนกับรุ่นพี่คณะมัน หรือเพราะเราต้องทำงานด้วยกัน มันถึงต้องเป็นห่วงขนาดนี้ทั้งที่เราก็เหนื่อยมากเหมือนกัน ฉะนั้นผมแค่อยากให้มันห่วงตัวเองบ้างเท่านั้นเอง…
อีกอย่าง...ผมดูแลตัวเองได้น่า!
-
“มึงเคยโกรธใครไหม”
พี่โป้งเท้าสะเอวขณะกำลังบรีฟพวกผม ไอ้โกรธน่ะมันก็เคย แต่ความโกรธของผมมันไม่ถูกใจพี่แกแค่นั้นเอง
“นี่ผมโกรธสุดๆ แล้ว จะให้ถือมีดไล่ฟันมันเลยไหม” ผมว่าพลางกระพือคอเสื้อ พอพระอาทิตย์โผล่ อากาศเย็นๆ ในตอนเช้ากับตอนกลางคืนก็หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นจริง แม้พี่ปุ้ยจะคอยพัดให้ก็เอาไม่อยู่แล้วตอนนี้...ก็เล่นถ่ายกันกลางสนาม!
“มึงต้องโกรธแบบอยากต่อยอ่ะ ไอ้นี่มันทำร้ายความรู้สึกมึงนะเว้ย” ม้วนกระดาษในมือแล้วชี้ไปที่ไอ้โซล “มันบอกว่ารักมึง แต่แม่งไปเอากับผู้หญิงคนอื่น”
พระเอกในเรื่องไม่ได้เลวร้ายอย่างนั้นหรอก...เป็นแค่ความเข้าใจผิดกันเฉยๆ แต่ผมก็ต้องทำท่าทีเป็นโกรธและเกือบจะต่อยมันเข้าจริงๆ
เราซ้อมคิวกันว่าผมต้องเหวี่ยงหมัดขวาก่อน แล้วถึงเหวี่ยงหมัดซ้าย ซึ่งไอ้โซลจะรับได้ทุกหมัด พอลองออกแรงกันจริงๆ แค่มันบีบข้อมือผมเอาไว้ผมก็ทำอะไรมันไม่ได้แล้ว...นั่นทำให้ผมรู้สึกอยากไปฟิตเนสขึ้นมาทันที
แรงจะเยอะไปไหน!
“ไอ้โซลมึงทำยังไงก็ได้ให้มันอยากต่อยมึง”
เจ้าของชื่อชี้นิ้วไปที่ตัวเองงงๆ พี่โป้งคงจนปัญญาที่จะให้ผมบิ้วอารมณ์ตัวเองจนต้องหาตัวช่วยอื่น
ไอ้พระเอกนิ่งคิดไปพักนึง อย่างมากมันก็แค่กวนตีนและทำตัวน่าหมั่นไส้ ไม่มีอะไรทำให้ผมโกรธได้หรอก...
“เมื่อเช้าผมเหยียบหางหมาพี่!”
พูดจบก็ถอยหลังไปก้าวนึง ผมอึ้งไปนิด เมื่อกี้มันว่าอะไรนะ...
“อย่าอยู่เลยมึง!!”
ก็ว่าแล้วเชียวทำไมปิ๊กมี่ดูหงอยๆ มันโดนคนไอ้ใจโฉดทำร้ายนี่เอง!
“เฮ้ยๆ พอก่อน รอกูสั่งก่อน!” พี่โป้งเข้ามาแยกผมที่กำลังล็อคคอไอ้โซลเอาไว้ “ดีมาก เอาแบบนี้แหละ มายืนนี่ๆ” จับพวกผมกลับไปยืนตำแหน่งเดิม ส่วนตัวเองก็กลับไปประจำที่
“5 4 3 2 1 แอคชั่น!”
ผมกระโจนเข้าไปกระชากคอเสื้อมัน พูดตามบท ขึ้นเสียงใส่มันในขณะที่มันพยายามจะอธิบายอย่างใจเย็น แต่ผมไม่ฟัง(มันเหยียบหางหมาผม!) เหวี่ยงหวัดออกไปทันที มันจับข้อมือทั้งสองข้างของผมเอาไว้ ผมดิ้นสุดแรงแล้วผลักมันออก ฟัดกันอยู่อย่างนั้นจนมันล้มลงไปกับพื้นหญ้าโดยมีผมคร่อมมันอยู่และง้างมือจะต่อย แต่ตามบทแล้วก็ทำไม่ลง
พี่โป้งสั่งคัทแล้วให้เอาใหม่อีกรอบเพราะมีผิดคิวเล็กน้อย
แต่เทคต่อไปก็ยังไม่ถูกใจพี่แกอีก...ผมตะโกนจนเจ็บคอ ต้องออกแรงกับไอ้ผู้ชายที่ตัวใหญ่กว่าทั้งที่ธรรมดาผมก็ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายอยู่แล้ว เหงื่อท่วมตัวเหมือนโดนเอาน้ำราด ไอ้โซลก็ไม่ต่างกันแต่มันยังดูไม่เหนื่อยมากเท่าผม...นี่หอบจะขึ้นแล้วนะเว้ย
“ตอนล้มลงไป พอมึงพูดเสร็จก็มองไอ้ซีนแบบตัดพ้อๆ หน่อย” เสียงพี่โป้งตะโกนผ่านโทรโข่ง พวกผมพยักหน้ารับเตรียมเล่นใหม่อีกครั้ง
“พี่ไหวไหม”
“ไหว” …มั้ง
“ผมว่าบอกพี่โป้งพักก่อนดีกว่า พี่ดูไม่โอเคเลย”
“ไม่เป็นไร แค่แดดร้อน” …มั้งนะ
พอได้ยินคำสั่งการแสดงก็เริ่มขึ้น ถึงแม้จะเหนื่อยแต่ผมก็ใส่แรงไปเต็มที่เพื่อให้เทคนี้มันผ่านสักที
“คัท! เยี่ยม!”
ไม่เยี่ยมไม่ได้แล้วครับเพราะที่บอกว่าไหวเมื่อกี้...ผมโกหก
ผมไม่ได้ลุกออกจากตัวไอ้โซล มือทั้งสองข้างค้ำพื้นหญ้าพยุงตัวเองเอาไว้ เห็นหน้าคนใต้ร่างแค่ลางๆ ผมได้ยินมันเรียกชื่อผมแล้วก็พูดอะไรไม่รู้...
รู้แค่ว่าตอนนี้...โลกมันมืดไปหมดเลย…
“พี่ซีน!”
ไม่ได้สลบไปซะทีเดียว...ก็แค่เป็นลม
ผมล้มใส่ไอ้โซลที่รับผมเอาไว้พอดีแล้วก็น่าจะเป็นมันนั่นแหละที่อุ้มผมขึ้น
เสียงทีมงานโหวกเหวกกันใหญ่ ผมถูกวางให้นอนราบไปกับเบาะนุ่ม มีคนปลดกระดุมเสื้อและกางเกงของผมออก ทั้งพัดทั้งยาดมถูกประเคนใส่ผมกันใหญ่
ผมลองลืมตาขึ้น ยังคงเห็นไอ้โซลหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่อย่างเดิม ผมปิดตาลงไปพักใหญ่ให้อาการวิงเวียนนี่มันหายไปแล้วถึงลืมตาขึ้นมาใหม่ เลยเห็นเจ้าของสัมผัสเย็นๆ ที่ไล้ไปตามใบหน้า ลำคอ และแขนทั้งสองข้างของผม
“พี่ซีนเป็นไงบ้างครับ! / ซีนเป็นไงบ้าง!”
ไม่ใช่แค่ไอ้โซล แต่ยังมีเฟิร์สที่มาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ด้วย
“อย่าเพิ่งลุกครับ!” เด็กนั่นว่าเสียงเข้ม ดันผมที่ทำท่าจะลุกขึ้นให้นอนลงอย่างเดิม มันใช้ผ้าชุบน้ำมาเช็ดไปตามใบหน้าผมอีกครั้ง ส่วนเฟิร์สถือยาดมให้ผมดมอยู่...ทำไมผมรู้สึกเหมือนเป็นคนแก่เลยวะ
“ดีขึ้นไหมครับ”
“อื้อ โอเคแล้ว”
หลังจากให้ผมนอนอยู่อย่างนั้นสักพัก มันก็ค่อยๆ ประคองให้ผมลุกขึ้นนั่ง คนที่พัดอยู่ให้ผมคือพี่ปุ้ยนั่นเอง
“โอย พี่ตกใจแทบแย่ ดื่มน้ำก่อนนะคะ” ผมได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้ เอ่ยขอโทษพี่ๆ ทีมงานที่ทำให้ลำบากและต้องมาหยุดชะงักเพราะตัวเอง
...สัญญาว่าจะออกกำลังกายให้มากขึ้น...
“ไม่เป็นไรๆ มึงพักไปก่อน” พี่โป้งมีสีหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อย ถ่ายกลางแดดเปรี้ยงขนาดนั้น ทั้งยังต้องออกแรงวิ่งฟัดกันไปมาอยู่หลายรอบ ไม่ใช่แค่คนออกกำลังกายน้อยอย่างผมหรอก แต่ถ้าอยู่กลางสนามต่ออีกนิด คนแข็งแรงอย่างไอ้โซลก็อาจเป็นลมแดดได้เหมือนกัน
กลายเป็นว่าพักกลางวันกันไปเลย พี่ปุ้ยเอาข้าวมาให้แล้วก็เรียกเฟิร์สไปคุยเลยเหลือแค่ผมกับไอ้โซล...พอสติกลับมาความอายก็ตามมาด้วย...นอกจากจะเป็นลมแล้ว ยังโดนไอ้โซลอุ้มอีก...ผมจะบ้าตาย...
ลองนึกย้อนไปแล้วความร้อนก็มากระจุกอยู่ที่หน้า...
“หน้ากลับมามีเลือดฝาดแล้ว” ...ก็เพราะใครล่ะ แต่ถึงจะว่าอย่างนั้นมันก็ยังคงเอาผ้าเย็นมาแปะไว้บนหน้าผากของผม
“รู้ไหมว่าพี่หน้าซีดตั้งแต่เทคที่สามแล้ว”
ผมสั่นหัว ไม่รู้...รู้แค่เหนื่อยมาก เหงื่อท่วม เทคสุดท้ายใจมันหวิวๆ แล้วทุกอย่างก็ดับไปเลย
ไม่รู้ตัวจริงๆ ก็แค่อยากทำให้มันดีที่สุด ไม่คิดว่าจะเป็นลมซะหน่อย...
ผมนั่งก้มหน้าอยู่บนเบาะ ไอ้โซลคุกเข่าข้างนึงอยู่ตรงหน้า มันถอนหายใจแล้ววางมือลงบนหัวผมหน้าตาเฉย...
“แล้วรู้ใช่ไหมว่าผมเป็นห่วง”...ไอ้นี่มันเป็นตัวการที่ทำให้โลกร้อนดีๆ นี่เอง...ที่พลาดคือผมเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยิน...เลยสบตากับมันเข้าอย่างจัง...
และที่พลาดไปมากกว่านั้นคือผมถอนสายตาออกมาไม่ได้...
อะไรที่ทำให้ผมเป็นอย่างนั้น
อะไรที่ทำให้ผมไม่ปัดมือมันออก
และอะไร...ที่มันกำลังงอกเงย...ข้างในใจของผม...ตอนนี้กัน…?
“ร..รู้”ในตอนที่สติเลือนลาง สายตาของผมกลับเห็นใบหน้าเป็นกังวลของมันอย่างชัดเจน
“...ไปกินข้าวได้แล้ว” ผมละสายตาออกมา ใช้ขวดน้ำที่ดื่มหมดแล้วตีลงไปบนแขนมันเบาๆ สองสามที มันหลุดยิ้ม ลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะชักมือกลับไป
ไอ้โซลดึงผมให้ลุกขึ้น สายตามันไม่ละไปจากผมเลย...แต่ครั้งนี้ไม่ยอมหรอกเว้ย ผมเลยจ้องมันกลับไปทั้งที่หน้าร้อนอยู่อย่างนั้น “ยิ้มอะไร เรื่องเหยียบหางปิ๊กมี่ยังไม่เคลียร์นะ!”
“นั่นผมล้อเล่นครับ หางก็สั้นๆ จะไปเหยียบได้ไง”
“อ้าว…” เออว่ะ...ลืมคิดไปเลย
“เห็นพี่รักมันมากเลยลองพูดดูเฉยๆ แต่ได้ผลแฮะ”
“ก็ลองเหยียบจริงๆ ดูสิ” ฟาดขวดน้ำกลวงๆ ไปที่แขนมันแบบไม่ออมแรง
เพราะต้องการแก้แค้นให้หมาตัวเองด้วย ผมเลยใส่แรงไปเยอะมากตอนเข้าฉาก...ถึงแม้จะไม่กระเทือนไอ้โซลสักนิดก็เถอะ ฉะนั้นก็มันนี่แหละที่เป็นต้นเหตุทำให้ผมเป็นลม!
“ผมไม่กล้าทำร้ายลูกรักของพี่หรอก” ไอ้คนถูกใส่ความหัวเราะพลางจับข้อมือผมเอาไว้ให้หยุดตีมัน “อย่าเพิ่งใช้แรงเยอะสิครับ เดี๋ยวได้ล้มพับไปอีกหรอก”
“หายแล้วโว้ย” ผมจิ๊ปาก ดึงมือตัวเองออกมาซึ่งมันก็ยอมปล่อยแต่โดยดี
“ตอนนั้นก็บอกว่าไหว แล้วเป็นไงครับ”
จะย้ำเพื่อ...รู้แล้วเว้ยว่าผิด “อ..เออๆ ก็ยังเหนื่อยอยู่ แต่แค่นิดเดียว...นิดเดียวจริงๆ!”
มันพยักหน้ายิ้มๆ เป็นรอยยิ้มตอแหลชัดๆ โอเค...ผมพูดความจริงก็ได้ “แต่ถ้ายังยืนคุยกันตรงนี้ต่อ กูจะเป็นลมรอบสองแล้ว ไปกินข้าวได้ยัง?”
ผมมีเวลาพักต่ออีกนิดเพราะไอ้โซลกำลังถ่ายฉากเดี่ยวอยู่ ระหว่างนั้นเฟิร์สก็เข้ามานั่งคุยด้วย บริการผมสารพัดอย่างจนผมเหมือนคนป่วย และก็แทบจะเอาผ้าเย็นมาถมตัวผมอยู่แล้ว จนไอ้โซลถ่ายเสร็จแล้วผมก็ต้องเตรียมตัวเข้าฉากต่อไปกับมันนั่นแหละ เฟิร์สถึงได้ขอตัวกลับไปเพราะไม่มีคิวแล้ว
วันนี้สองคนนั้นไม่พูดประชดกันหรือส่งสายตาชวนตีไปที่อีกฝ่ายเลย พอไอ้โซลมา เฟิร์สก็เดินหนี...ถึงจะรู้สึกว่ามันแปลกแต่คิดว่าก็ดีแล้ว เพราะวันนี้ผมขอแค่เหนื่อยกายพอ อย่าให้ต้องมาเหนื่อยใจกับสงครามของพวกนั้นเลย
แดดล่มลมตก แต่ละฉากในวันนี้ส่วนใหญ่ถ่ายกลางแจ้ง และมีฉากรับน้องซึ่งเป็นตอนที่พวกตัวเอกเจอกันใหม่ๆ ต้องทำกิจกรรมหลายๆ อย่างด้วยกัน มีตอนโดนว้าก มีตอนโดนทำโทษ...พี่โป้งไม่ได้ปราณีผมเลยสักนิด
สี่ทุ่มกว่าๆ เราอยู่ในห้องเลกเชอร์ขนาดใหญ่ นักศึกษานั่งกันเกือบเต็ม ผมกับไอ้โซลนั่งอยู่แถวหลังสุด
“…แอคชั่น”
สิ้นคำสั่งของผู้กำกับ หลายคนก้มหน้าก้มตาจดสไลด์บนกระดาน อาจารย์ที่สอนอยู่หน้าห้องก็สอนไปตามบทเรียน ส่วนบทผมทำแค่นั่งเท้าคางมองไปข้างหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า มีบิดขี้เกียจบ้าง ฟุบหน้าลงกับโต๊ะบ้าง ทำปากกาตกแล้วไอ้พระเอกเก็บให้บ้าง ผมต้องแสดงออกว่าเบื่อกับการเรียนนี้ ยุกยิกๆ ไปมาแบบไม่มีสมาธิ ส่วนไอ้โซลแค่นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือเฉยๆ แล้วก็หันมามองผมเป็นพักๆ
แสดงไม่ยากเย็นเลย ผมเชื่อว่านักศึกษาหลายคนก็ต้องเคยเป็นอย่างนี้
นั่งไปสักพักดวงตาก็เริ่มปรือปรอย ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ ผมที่ใส่แค่เสื้อนักศึกษาหนาวจนมือม่วงไปหมด
ผมสัปหงกขณะกำลังนั่งเท้าคางไปหลายครั้งก่อนจะเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ ส่ายหัวไล่ความง่วงงุนแล้วหันไปเขย่าแขนไอ้พระเอกเพื่อก่อกวนแต่มันก็ทำเพียงส่งเสียงอืออาเหมือนจะถามว่ามีอะไรแค่นั้น
เมื่อไม่มีคนคุยด้วย ศีรษะก็เริ่มโงนเงน ผมกำลังจะไม่สามารถฝืนหนังตาตัวเองได้อีก สุดท้ายแล้วผมก็เอนหัวไปซบไหล่คนข้างๆ ตามบท…
ไอ้โซลนิ่งไปนิดก่อนจะวางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะ ลมหายใจที่เป่ารดปลอยผมของผมทำให้รู้ว่ามันหันหน้ามามองผมอยู่ และกำลังเล่นไปตามบทของมัน
สัมผัสบางเบาเกลี่ยปลอยผมที่ปรกตาออกไปเล็กน้อย จากนั้นมันก็ไล้มือไปตามกรอบหน้าของผมก่อนจะผละออกไป
...แล้วจู่ๆ มือที่ผมวางพาดไว้บนขาของมันก็ถูกความอบอุ่นเข้ากอบกุม
นี่มันไม่มีในบท...แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันช่วยลดความหนาวลงไปบ้าง ยิ่งผมซบมันอย่างนี้...ไออุ่นในตัวมัน...กำลังทำให้ผมเคลิ้ม...
...โทษไอ้โซลเลยนะที่ทำให้ผมหลับไปจริงๆ ...
-
แต่ละฉากในวันนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนออกกำลังกายมาทั้งวัน
กองเลิกตอนเที่ยงคืนกว่าๆ ผมแทบจะเดินหลับตาไปยังที่จอดรถ
“กลับกับผมเถอะ วันนี้พี่ดูไม่ไหวจริงๆ นะ”
ไอ้โซลยังคงบอกให้ผมกลับกับมันอย่างเดิม...มันทำแบบนี้ตั้งแต่วันแรก และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมปฏิเสธมันไป
“ไม่เอาน่า มึงรีบกลับไปได้แล้ว”
มันก้าวขายาวๆ มาขวางผมที่กำลังจะเปิดประตูรถ
“ถอยไปนะเว้ย”
“ถึงจะมีผมห่วงอยู่แล้วแต่พี่ก็ต้องห่วงตัวเองบ้าง”
...ยอมรับว่าหน้าผมร้อนวูบขึ้นมานิดหน่อย แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะสนใจอะไรทั้งนั้นเพราะผมเหนื่อยมากจริงๆ …และผมคิดว่าประโยคนี้มันควรใช้บอกตัวมันเองมากกว่า
“เดี๋ยวถึงบ้านแล้วบอก”
...ผมรู้สึกเหมือนเป็นผู้ใหญ่ที่กำลังเล่านิทานหลอกเด็กให้เด็กกลัวอยู่ซ้ำๆ ต่างกันตรงที่ผมพยายามบอกให้มันวางใจ เลิกเป็นกังวลกับผมซะที...ก็แค่ขับรถกลับบ้านเอง
ประโยคเดียวกันนี้ที่ผมเคยบอกมันไปในวันที่สอบไฟนอลวันสุดท้าย แต่ครั้งนี้มันกลับไม่ยิ้มอย่างวันนั้น...
เมื่อรู้ว่าถึงยังไงผมก็ไม่ยอม...มันเลยต้องยอมเอง
ถนนค่อนข้างโล่งทำให้ผมเหยียบได้ตามที่ใจต้องการ อยากกลับไปนอนจะแย่ ผมไม่เคยทำงานหนักขนาดนี้มาก่อนเลย ตามเนื้อตัวก็เมื่อยไปหมด
ตอนถ่ายฉากสุดท้ายของวันนี้ ได้อยู่ในห้องแอร์เย็นๆ กับได้พิงไอ้คนข้างๆ ผมก็หลับไปเลย ไม่รู้ด้วยว่าพี่โป้งสั่งคัท จนไอ้โซลปลุกนั่นแหละ ทั้งกองเลยหัวเราะปนสงสารนิดๆ ...เฮ้อ อายซ้ำอายซ้อน
ผมกดปิดวิทยุเมื่อไม่มีคลื่นไหนที่เปิดเพลงสนุกๆ เลย เพราะเพลงช้าๆ จะทำให้ผมง่วงมากกว่าเดิม จะให้โทรคุยกับพวกเพื่อนก็ยังไงอยู่ เวลานี้ใครจะไปรับ หรือจะโทรหาไอ้โซล...แล้วผมจะบอกมันว่ายังไง ทั้งที่แสดงออกว่าไหว แต่กลับโทรไปชวนคุยเพื่อให้ตัวเองไม่ง่วงนี่นะ?
ผมตัดสินใจขับรถไปเงียบๆ แบบนั้น เร่งความเร็วขึ้นทั้งๆ ที่หนังตาจะปิดอยู่รอมร่อ...และแค่เพียงเสี้ยววินาทีที่ผมวูบ มันก็...
ปัง!...ตาสว่าง...
เป็นครั้งแรกที่เกิดอุบัติเหตุ ผมเลยนั่งนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น...จะเรียกว่าช็อคได้ไหมนะ
แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีเสียงเคาะกระจก พร้อมกับเสียงตะโกนเรียกชื่อผม
...ไอ้โซล…ผมมีสติพอแค่ให้ตัวเองเอื้อมมือไปปลดล็อค ไอ้โซลกระชากประตูออก ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วประคองตัวผมออกมาจากรถ
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ!?” มันถามด้วยสีหน้าร้อนรน จับตัวผมอย่างระมัดระวังเพื่อสำรวจดูว่ามีร่องรอยหรือบาดแผลหรือเปล่า
“หรือหัวกระแทก!?”
ผมส่ายหน้า ยอมให้มันจับนู่นดูนี่ไปตามตัวโดยไม่คัดค้านอะไร ถึงแม้จะเห็นว่าผมไม่เป็นอะไรแล้ว แต่คนตรงหน้าก็ไม่ได้คลายคิ้วที่ขมวดแน่นเลยสักนิด
ผมค่อยๆ หายจากอาการตกใจ สภาพรถไม่แย่มากแค่ด้านหน้าบุบเพราะชนเสาไฟฟ้า...ดีหน่อยตอนที่รถเสียหลักผมเหยียบเบรกได้พอดี
ไอ้โซลยกมือขึ้นลูบหน้า ถอนหายใจเหมือนโล่งอกทั้งๆ ที่สีหน้าของมันดูแย่มาก...
...และนั่นผมรู้สึกผิดมากด้วย...ไม่รู้ทำไม...
...อาจเพราะรู้ว่ามันเป็นห่วงมากแท้ๆ และทั้งที่พยายามทำให้มันวางใจ...แต่ผมกลับยิ่งทำให้มันเป็นกังวลมากกว่าเดิมซะอีก
“เมื่อกี้...กูแค่ตกใจ”
“…”
“ไม่ได้เจ็บตรงไหน”
“...”
“ไม่เจ็บเลยจริงๆ ...อ๊ะ”
ผมเซตามแรงดึง...เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของคนตรงหน้า...
อาจเพราะตกใจ...
หรือไม่ก็อย่างอื่น...หัวใจเลยเต้นเร็วผิดปกติอีกครั้ง
ในเวลานั้นสมองผมประมวลผลอะไรไม่ได้สักอย่าง เลยไม่ได้คิดอะไรให้มากมาย
รู้แค่ว่าตัวเองยกมือขึ้นกอดมันตอบ...ลูบเบาๆ เหมือนปลอบเด็กน้อยที่ขวัญเสีย และนั่นยิ่งทำให้มันกอดผมแน่นขึ้น
มีหลายอย่างที่ผมไม่เข้าใจ...อย่างเช่นในใจตอนนี้ที่มันทำให้ผมอยากเอ่ยคำว่าขอโทษออกไป...แต่ก็ไม่รู้ว่าจะขอโทษทำไม...
เวลาที่มันนิ่งเงียบไปแบบนี้...ผมเคยเดาความคิดมันถูก...
“พรุ่งนี้มารับหน่อยดิ” เลยคิดว่าประโยคนี้น่าจะได้...
“...นะโซล”เพราะเราแนบชิดกันมาก ผมเลยสัมผัสได้ว่ามันชะงักไปก่อนจะค่อยๆ ผละออก สีหน้ามันดูดีขึ้นมานิดนึง...
“ทุกวัน?”
“อ..อือ ทุกวัน..ก็ได้”
เท่านี้น่ะเหรอ...
เท่านี้น่ะเหรอ...ที่มันต้องการ
มันแค่ยิ้มบางๆ แต่ดูรู้ว่าโล่งใจกว่าตอนที่ผมบอกว่าไม่เป็นอะไรซะอีก
คนเรานี่ก็แปลกว่ะ
...หรือมันจะมีอะไรแปลกอย่างที่ไอ้จั๊มพ์กับกิ๋งบอกจริงๆ ...
ว่าแต่ลืมสงสัยไปเลยว่ามันมาอยู่แถวนี้ได้ไง...คอนโดอยู่คนละทางไม่ใช่เหรอวะ?
----
ไปค่ะ ไปอยู่ในความดูแลของน้อง โฮะๆๆๆ
อยากคืนกำไรให้โซลม่างงง ให้กอดกับเรียกชื่อนี่พอมั้ย5555
อยากถามผู้อ่านว่าเราดำเนินเรื่องช้าไปมั้ยคะ ; - ;;
ติชมกันได้น้าา
#ข้างหลังฉาก เด้อออ
เราสมัครแอคใหม่ไว้อัพเดตนิยายค่ะ
@zongpei96 มาคุยกันได้น้า