แมวเถื่อนในคอนโด 4 : แขกผู้มาเยือน
ตั้งแต่ข้าวยำได้โทรศัพท์คืนไป ก็มักมีคนโทรมาหาเสมอ อย่างเช่นตอนนี้...
“กูสบายดี มึงไม่ต้องเป็นห่วง” ข้าวยำเงียบพักอยู่พักหนึ่ง ก่อนรีบพูดปฏิเสธอย่างร้อนร้น “เปล่าๆ กูไม่ได้โดนทำร้ายร่างกาย...ไม่ใช่ๆ มึงไปฟังข่าวมาผิดแล้ว”
แมวเถื่อนพูดปฏิเสธวนไปวนมา สุดท้ายจึงวางสายไปพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พอมันหันมาเห็นผมนั่งมองอยู่ก็โวยวายใส่ตามสเต็ป
“เพราะมึงเลย! เพื่อนกูถึงได้ซักถามเรื่องเดิมๆ ไม่หยุดสักที!”
สิ่งที่ต่างจากวันอื่นคือผมแสร้งเลิกคิ้วสูง แล้วถามกลับไปบ้าง
“เพื่อนมึงที่เตะกูน่ะเหรอ?”
“นั่นชื่อที ส่วนคนโทรมาคือไว มันรู้ข่าวจากวินว่ากูโดนมึงลักพาตัวมา” พูดถึงตรงนี้ข้าวยำก็ทำหน้าละอายใจ “ไวกับวินเป็นห่วงกูมากนะ”
ก็เพราะรู้ว่าเป็นห่วง ผมถึงยอมให้มันรับโทรศัพท์จากเพื่อนสมัยเด็กทุกวันนี่ไง
“รู้ไหมพวกกูน่ะ ไม่เคยมีเรื่องต้องปิดบังกันเลยนะ แต่เพราะมึงเนี่ยแหละ ทำกูต้องผิดคำสัญญา!”
คราวนี้ผมสนใจเรื่องที่เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกทันที ก็ขนาดผมกับพี่วียังมีเรื่องแอบปิดบังกันเลย แสดงว่าเพื่อนกลุ่มนี้ของข้าวยำสนิทกันมากกว่าที่เคยคิด แล้วเมื่อกี้บอกว่าผิดสัญญาเรื่องผม...
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดออกมา “นึกว่ามึงจะเอาเรื่องกูไปฟ้องเพื่อนตั้งนานแล้วซะอีก”
“คิดว่ากูไม่อยากฟ้องหรือไง! แต่ถ้าฟ้องไปแล้วเรื่องมันจะลากยาวไปเรื่องนั่น...อึ่ย! น่าหงุดหงิดเป็นบ้าเลย!”
ผมมองคนนั่งฮึดฮัดด้วยรอยยิ้มขบขัน แล้วจัดการลากตัวแมวเถื่อนขึ้นมานั่งบนโซฟาข้างๆ กัน
“พูดออกไปก็ไม่เห็นเป็นไร”
“ไม่เป็นอะไรบ้านมึงสิ!”
“ถ้าคำว่าผัวหยาบเกินกว่ามึงจะพูดออกมาไหว ก็เปลี่ยนมาใช้สามี...”
คนฟังยกมือปิดหูตัวเองทันที สีหน้าสื่อชัดว่าอย่าเอาเรื่องพวกนี้มายัดใส่หัวกู!
ผมมองแล้วรู้สึกตลก เพราะมือข้างหนึ่งของยำยังถือโทรศัพท์อยู่เลย ปิดไม่มิดอย่างนั้นยังไงคำพูดของผมก็พุ่งผ่านหูเข้าไปอยู่ในหัวของมันอยู่ดี ผมจึงจงใจพูดต่อให้จบประโยค
“หรือใช้ว่าแฟน กูก็ไม่ว่าหรอกนะ”
เพราะไม่ว่าจะใช้คำไหนก็ชอบทั้งนั้นนั่นแหละ
แต่คนข้างๆ คงไม่เห็นด้วยอย่างแรง มันถึงได้อ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกเสียงเพลงเรียกเข้าขัดจังหวะ ทำคนถือโทรศัพท์แนบหูอยู่สะดุ้งโหยง จำต้องรีบเลื่อนของในมือออกห่างใบหู ทั้งสบถด่าไปด้วย
“ใครโทรมาตอนนี้วะ!”
แต่พอเห็นรูปบวกชื่อคนคุ้นเคยบนหน้าจอโทรศัพท์ สีหน้าไม่พอใจก็เปลี่ยนเป็นยินดีในพริบตาเดียว แมวเถื่อนกดรับสาย ขานรับคนเป็นพี่ชายเสียงใส ทั้งยังตอบคำถามด้วยความกระตือรือร้นสุดๆ
“อือๆ ยำสบายดี พี่ปุ่นล่ะ...”
ผมมองคนเดินหนีไปคุยโทรศัพท์ในห้องนอนอย่างเอ็นดู แต่เมื่อประตูปิดสนิทดีแล้ว ผมก็คว้าโทรศัพท์ตัวเองกดโทรออกบ้าง
[มี’ไร?]
“แมวใหญ่ของมึงโทรหาน้องวะ”
ผมพูดฟ้องกังหันทันที อยากบอกด้วยว่าโทรมาบ่อยเกินไปแล้ว วันละครั้งน่ะยังพอรับได้ แต่นี่เล่นโทรมาทุกเช้า กลางวัน เย็น บางวันมีแถมรอบกลางคืนอีก กูรับไม่ได้โว้ย!
[แล้วไง?]
“ไหนมึงว่าคุยกับปุ้นรู้เรื่องแล้ว” ผมงัดข้ออ้างหนึ่งขึ้นมาพูดอย่างอารมณ์เสีย
[ก็รู้เรื่องตามที่บอกมึงไปนั่นแหละ] น้ำเสียงกังหันเริ่มสงสัยมากขึ้น
“อ้าว แต่เมื่อกี้ปุ้นโทรมายุให้ยำกลับไปอยู่กับมัน” ผมพูดโกหกหน้าตาเฉย แถมเอาอารมณ์หงุดหงิดที่สะสมมาหลายวันใส่ลงในน้ำเสียงด้วย “สรุปว่าพวกมึงยังอยากให้กูนัดพี่ทนายอยู่ไหมเนี่ย?”
[ไอ้เชี่ยปุ้น!]
กังหันสบถด่าแค่นั้น สายก็ตัดไป ผมวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะ แล้วนั่งกระดิกขาดูโทรทัศน์อย่างสบายอารมณ์ ไม่ถึงห้านาที ข้าวยำก็เปิดประตูห้องนอน ก้าวเดินมานั่งบนโซฟาข้างๆ ด้วยสีหน้างุดงงเป็นที่สุด
“กูนึกว่ามึงจะคุยกับพี่ชายนานกว่านี้ซะอีก”
ผมแกล้งถามไปอย่างนั้นเพื่อไม่ให้ดูมีพิรุธ คนฟังก็ตอบกลับมาอย่างไม่คิดอะไรมาก
“ก็อยากคุยอยู่นะ แต่เหมือนพี่ปุ้นจะมีเรื่องด่วนเข้ามา” พูดถึงตรงนี้แมวเถื่อนก็ย่นคิ้วสงสัย “ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร ถึงได้รีบร้อนวางสายนัก”
“สงสัยมีเพื่อนมาตามไปติวสอบมั้ง”
คิ้วของข้าวยำคลายออกทันที ทั้งพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิ”
แล้วความสนใจของแมวเถื่อนก็ย้ายไปทางโทรทัศน์ที่กำลังฉายรายการโปรดแทน โดยไม่รู้เลยว่าผมกำลังลอบยิ้มสมใจอยู่ข้างๆ
-------------
แต่สุขใจได้ไม่นานก็พบปัญหาใหม่อีกแล้ว มันเริ่มจากกังหันบังเอิญเห็นยำเดินกึ่งวิ่งไปทางคณะเศรษฐศาสตร์ มันสงสัยเลยตามไปซุ่มดูอยู่พักใหญ่ ก่อนวิ่งคาบข่าวมาบอกผม
“ยำบอกว่ามึงโคตรน่ากลัวเลย”
คนพูดหัวเราะในลำคอ ก่อนเล่าต่ออย่างขบขัน
“พอทีถามว่าโดนมึงแกล้งอีกแล้วเหรอ ยำก็ส่ายหัวหวือ ทั้งพูดบอกด้วยสีหน้าเหมือนคนถูกผีหลอกว่า พี่ภูโคตรใจดี ใจดีจนเหมือนไม่ใช่มัน กูกลัว~ ก๊าก! นี่มึงทำยำหวาดผวาถึงขั้นวิ่งโร่ไปฟ้องเพื่อนสมัยเด็กเลยวะ”
ผมย่นคิ้วเข้าหากันทันทีอย่างไม่เข้าใจ
เพราะแมวเถื่อนบอกว่าถ้ายอมตามใจจะยอมอยู่ด้วยในช่วงปิดเทอม ผมเลยไม่คิดขัดใจ แถมยังใช้หลักใจดีมีเมตตาคอยเลี้ยงดู และประคบประหงมอยู่หลายวัน แต่แทนที่ใครบางคนจะได้ใจ มันกลับกลัวกันเนี่ยนะ!
“สงสัยภูใช้โหมดโหดกับน้องมากไป พอเปลี่ยนมาอยู่โหมดใจดี ยำคงไม่ชิน”
เอออกความเห็นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ มีกังหันที่ไม่คิดเก็บซ่อนอารมณ์ชวนหัวเป็นลูกคู่
“ไม่ใช่แค่ไม่ชิน แต่น้องมันกลัวภูโหมดใจดีไปเลยต่างหาก” กังหันพูดแย้งไปขำไป “ตอนกูได้ยินยำพูดนะ กลั้นขำแทบตาย”
“หัวเราะให้พอใจ แล้วช่วยคิดหาเหตุผลให้กูด้วยว่าเพราะอะไร!”
ผมกระแทกเสียงใส่เพื่อน ไม่รู้หรือไงว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าตลก!
“เป็นความผิดของมึงทั้งนั้นแหละ ฮ่าๆๆ” กังหันหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ “ใครใช้ให้มึงตั้งป้อมมองน้องเป็นภาระแต่แรกเล่า ยำน่ะอ่านสีหน้าคนเก่งจะตาย โดยเฉพาะกับคนที่มองมันด้วยความรู้สึกไม่ดี แล้วนิสัยเสียของยำคือชอบฝังใจคิดว่าคนไหนไม่ชอบตัวเองคือไม่ชอบตลอด แม้ว่าตอนหลังจะคบเป็นเพื่อนกันได้ มันก็ยังไปตั้งกำแพงใส่เขาอยู่ดี”
“...แล้วกูจะทำลายกำแพงนั่นได้ไง” ผมถามต่ออย่างอดทน
“ไม่รู้วะ” กังหันยักไหล่ แล้วพูดสั่งสอนต่อ “นี่ถ้ามึงใจดีกับยำตั้งแต่แรก ก็ไม่เกิดเรื่องแบบนี้หรอก แต่ดันไปร้ายกับน้องก่อน แล้วค่อยใจดีด้วยทีหลัง เป็นใครก็ต้องคิดระแวงทั้งนั้นแหละ”
เอที่ฟังอยู่เงียบๆ พยักหน้าเห็นด้วยทันที ส่วนกังหันก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น
“มึงน่าจะทำให้ยำรู้สึกหวาดระแวงมาสักพักแล้ว รู้สึกมากๆ เข้าก็เริ่มเครียดสะสม กูว่านะ พฤติกรรมใจดีของมึงกำลังทำน้องกูเครียดอยู่นะนั่น”
“เครียด?” ผมทวนคำด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ
“ถ้ามึงยังใจดีคล้ายกับถูกผีเข้าต่อไปอีก กูว่าคงมีใครบางคนเก็บข้าวของหนีออกมาแน่นอน”
ผมยกมือกุมขมับทันที และไม่คิดถามอะไรเพิ่มอีกเลย
หลังจากโดนเพื่อนให้ความกระจ่างไปคราวนั้น ผมจึงทดลองลดความใจดีมีเมตตาลงเรื่อยๆ พร้อมกับคอยสังเกตอาการของแมวเถื่อนตลอด ปรากฏว่ามันดูผ่อนคลายขึ้นเมื่อผมลดความใจดีเหลือแค่สิบเปอร์เซ็นต์
10% เนี่ยนะ! นี่มันมองผมได้เลวร้ายขนาดนี้เลยเรอะ!
…จะบ้าตาย
-------------
อาทิตย์ถัดมาผมบังเอิญเจอเพื่อนของยำชื่อทีที่หน้าห้องสอบ เหมือนน้องมันจะยืนรอใช้ห้องสอบต่อจากพวกผม เลยถือโอกาสหยุดคุยด้วย
“ได้ยินว่ายำไปโวยวายกับเรา”
คนฟังเผยยิ้มให้ผมเห็นทันที “พี่คงมีสายเยอะมาก”
ผมหัวเราะ รับรู้ว่ารุ่นน้องตรงหน้าต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ ถึงอย่างนั้นก็ขอไว้ลายหน่อย เผื่อจะรู้สึกเกรงใจกันบ้าง
“ก็ไม่เท่าไหร่” เงียบไปครู่หนึ่งจึงถามเพิ่มเพื่อต่อบทสนทนา “แล้วจริงหรือเปล่าล่ะ”
ทีพยักหน้า แล้วพูดยิ้มๆ “ได้ยินว่าพี่เปลี่ยนมาใจดีแล้ว”
ผมหัวเราะหึๆ ในลำคอ ทั้งที่ใจกลับหัวเราะไม่ออก เพราะยังคิดไม่ตกว่าจะใจดีกับแมวเถื่อนมากกว่านี้ยังไงดี
“ก็ลูกแมวเล่นบอกโต้งๆว่า ช่วยดูแลฉันดีๆ หน่อย ช่วยตามใจฉันหน่อย อ้อ ยังมีช่วยเอาอกเอาใจฉันหน่อย พี่เลยทำเฉยไม่ลง กลัวลูกแมวไม่พอใจหนีไปอีก”
คนฟังดูไม่แปลกใจ ทั้งถามกลับอีกว่า “แล้วข้อตกลงสองแผ่นนั้น?”
“หลังอ่านจบ พี่ก็จัดการเอาไปเคลือบพลาสติกแขวนเก็บไว้อย่างดี ข้อความอ้อนจากลูกแมวเชียวนะ ใครจะทิ้งลง”
“แล้วพี่ได้เซ็นชื่อปะ?” ถามด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น
“เซ็นสิ”
คนฟังทำหน้าประหลาดใจทันที “เพื่อให้ยำตายใจ?”
“เปล่า แค่เซ็นรับรู้ว่าได้รับข้อความประท้วงจากลูกแมวแล้ว”
คิดแล้วก็ยิ้มกริ่มออกมาให้เห็น นอกจากถูกประท้วงแล้ว ยังได้รู้ความในใจที่แฝงมาด้วยอีกต่างหาก แค่นี้ก็คุ้มค่ากับการเจ็บตัวในวันนั้นแล้ว พอเห็นคู่สนทนามีแววตาคาใจ ผมจึงพูดเสริม
“แต่พี่เซ็นไปแค่แผ่นเดียว”
เพราะอีกแผ่นถูกแมวเถื่อนขย้ำซะเละ จึงจำต้องกวาดทิ้งลงถังขยะ นึกถึงเรื่องในวันนั้นผมก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
“น่ารักดีนะ พี่ไม่เคยรู้เลยว่ายำทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย”
คนฟังกลับถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก ครู่ต่อมาก็ยกมือขึ้นนับอะไรสักอย่าง แล้วถามออกมากะทันหัน “อยู่ร่วมกันหนึ่งอาทิตย์แล้วเป็นยังไงบ้าง?”
“ดีนี่ ช่วงนี้ลูกแมวของพี่ตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือเลยไม่อยากไปกวน แต่เวลาพี่เครียดๆ ก็ชอบไปแหย่เล่นนะ เห็นปฏิกิริยาตอบกลับมา มันสนุกดี”
“แล้ว…เอ่อ เรื่องทางร่างกาย?”
ผมนิ่งไปนิด แล้วตอบไปตามตรง “ช่วงนี้พี่ไม่ได้ไปยุ่ง”
ถึงเจ้าลูกชายอาการดีขึ้นมากแล้ว แต่ควรรอให้มันหายสนิทจริงๆ ก่อนดีกว่า
ทีพยักหน้ารับรู้ด้วยแววตาที่เหมือนโล่งใจแทนยำ “ยังไงก็ช่วยทะนุถนอมร่างกายเพื่อนผมหน่อยนะครับ”
ฟังแล้วเหมือนโดนขู่ว่าถ้าไม่ทำตาม ผมอาจเจ็บตัวได้ เลยต้องกัดฟันตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้
“พี่จะพยายาม”
ประตูห้องสอบเปิดออกอีกครั้ง ตามด้วยเสียงร้องเรียกให้นักศึกษาเข้าห้องสอบได้ บทสนทนาของพวกผมจึงสิ้นสุดแค่นั้น ขณะเตรียมผละจากไปก็นึกเรื่องหนึ่งออกซะก่อน เลยหันไปมองเพื่อนของยำอีกครั้ง ทั้งจงใจคลี่ยิ้มที่แฝงถึงการคุกคามออกมาให้อีกคนสัมผัสได้
“ลูกเตะเราเยี่ยมมาก”
มองท่าทางแอบผวาของรุ่นน้องอย่างพึงพอใจจนหัวเราะออกมาในลำคอ หวังว่าถ้าเขาคิดเตะผ่าหมากกันอีก คงมีหยุดคิดสักนิดก่อนทำ
…เป็นไปได้อย่าทำอีกเลยดีที่สุด!
-------------
เพียงแค่พริบตาเดียว ผมก็เลี้ยวแมวเถื่อนมาจะสองอาทิตย์แล้ว ต่างฝ่ายต่างปรับตัวอยู่ด้วยกันได้ด้วยดีเกินคาด ยกเว้นความใจดีที่ลูกแมวยังรับมากเกินกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ไม่ไหว
นี่เป็นเรื่องที่ทำผมเครียดยิ่งกว่าเรื่องสอบอีก!
คิดว่าฉันเป็นแมวสักตัว เลี้ยงไม่ยากหรอก เลี้ยงไม่ยากหรอก จะคอยทำตัวน่ารักให้เธอดู~
เสียงริงโทนที่ดังขึ้นทำเอาคนที่ได้ยินหันมาอมยิ้มให้ น่ารักล่ะสิ ผมไปขุดหามาจากในอินเตอร์เน็ตเชียวนะ กะเอามาตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าให้แมวเถื่อน ก็ได้เพลงด้วยรักและปลาทูมาตั้งนี่แหละ
แน่นอนว่าถ้าเจ้าตัวรู้เข้าคงมีอาละวาดแน่
ผมกดรับสาย แล้วกรอกเสียงลงไป “ว่าไง”
[มึงสอบเสร็จยัง]
เสียงคนสอบเสร็จตั้งแต่เมื่อวานดังมาตามสาย สงสัยคงหิ้วท้องรอกินข้าวเที่ยงอยู่ล่ะมั้ง
“เสร็จแล้ว”
กำลังจะพูดต่อว่าจะไปซื้ออะไรให้กิน แต่ข้าวยำกลับพูดสวนขึ้นมาก่อน
[งั้นๆ ไปหาซื้อของกินให้กูหน่อยสิ]
ผมเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ น้ำเสียงฟังดูตื่นเต้นกึ่งร้อนรนแปลกๆ คิดแล้วเลยชิงพูดออกไปก่อน
“เดี๋ยวกูกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ระหว่างนี้มึงอยากกินอะไรก็จดใส่กระดาษไว้แล้วกัน”
ปลายสายเงียบไปพักหนึ่งก็พูดออกมาเสียงเบา [ได้...รีบมาเร็วๆ นะ]
ผมดึงโทรศัพท์ออกมามองหน้าจอที่ตัดสายไปแล้วอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน แมวเถื่อนตัวนั้นเนี่ยนะบอกให้รีบกลับเร็วๆ
นี่มันแปลก! แปลกเกินไปแล้ว!
-------------
ผมกลับถึงคอนโดก็พบว่าแมวเถื่อนกำลังนั่งจ้องโทรศัพท์ในมืออย่างเคร่งเครียด ตอนแรกคิดว่ากำลังเล่นเกมหลังห่างมานาน แต่ความจริงคือข้าวยำนั่งจ้องโทรศัพท์เฉยๆ
“...เป็นอะไร?”
คนถูกถามเงยหน้ามองกันแวบเดียว แล้วพูดปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ได้เป็น”
โกรธอะไรกันอีกล่ะ
นึกอย่างสงสัย แต่ไม่อยากถามถึงให้อีกคนอารมณ์เสียมากกว่านี้ เลยเดินตรงเข้าห้องนอน เอากระเป๋าเป้ไปเก็บ แล้วจัดการถอดชุดนักศึกษาออก เปลี่ยนเป็นชุดลำลองสบายๆ แทน พอออกจากห้องก็ถามหาของที่ต้องการ
“ไหนกระดาษเขียนของอยากกินของมึง?”
“อยู่นู้น”
ข้าวยำชี้ไปที่โต๊ะวางโทรทัศน์ มีกระดาษสีขาวขนาดเอสี่วางอยู่ใบหนึ่ง ผมเดินไปหยิบมาดูว่ามันอยากกินอะไร ปรากฏว่าเจอรายการอาหารยาวเหยียด แต่ละอย่างเป็นของอร่อยจากร้านนู้นที ร้านนี้ที อันนี้ไม่ว่า แต่ทำไมต้องให้ผมไปซื้อของกินแค่อย่างเดียวต่อร้านด้วยวะ
ผมหันไปมองแมวเถื่อนอย่างกังขา “มึงไม่พอใจอะไรกู?”
ถึงได้คิดแกล้งให้ผมตระเวนไปร้านต่างๆ ที่อยู่กันคนละทิศแบบนี้!
“ไม่มี”
“แล้วแกล้งกูด้วยไอ้นี่ทำไม” พูดพลางโบกกระดาษในมือเป็นเชิงสื่อให้รู้ว่าหมายถึงอะไร
“ไม่ได้แกล้ง กูแค่...” ข้าวยำหุบตามองพื้นอยู่ครู่หนึ่ง ถึงค่อยช้อนตาวิงวอนออดอ้อนขึ้นมองกัน “แค่อยากกิน...ไม่ได้เหรอ”
อย่างกับมีอะไรสักอย่างพุ่งผ่านอากาศมาเสียบทะลุอก พร้อมกับที่หัวใจสูบฉีดเลือดแรงขึ้นอย่างน่ากลัว
ผมรีบหมุนตัวเดินดุ่มๆ ออกจากห้องไปทันที เข้ามาอยู่ในลิฟต์ได้ก็เผลอทิ้งตัวพิงผนังลิฟต์คล้ายกับคนหมดเรี่ยวแรงกะทันหัน ยิ่งได้เห็นเงาตัวเองสะท้อนผ่านผนังลิฟต์ก็ยิ่งนึกอยากด่าตัวเองขึ้นมา
มึงทำหน้าอะไรอยู่เนี่ย! อย่างกับพวกโรคจิตเลยวะ!
ผมรีบตบแก้มเรียกสติสตังกลับมา แต่ปากดันไม่รักดีกลับฉีกยิ้มเหมือนคนบ้าไม่เลิก
สติโว้ย สติ!
เรียกร้องหาสิ่งที่ควรมีในตอนนี้ เพราะขืนเอาสภาพหน้าตอนนี้ออกไปให้ใครเห็น คงมีใครสักคนโทรแจ้งตำรวจมาจับผมแน่นอน
ติ้ง!
เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก สายตาของผมก็ปะทะเข้ากับบุคคลที่ช่วยกระชากสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว เร็วถึงขั้นที่อยากเอามือกุมเป้าด้วยซ้ำ
ทำไมเพื่อนยำชื่อทีถึงได้มาอยู่ที่นี่วะ!
“อ้าว พี่ภู”
เมื่อรุ่นน้องทักทายก่อน ผมจึงต้องพูดทักกลับบ้าง พลางชำเลืองมองอีกคนที่เหมือนเคยเจอหน้ามาหนหนึ่ง ถ้ามากับที...น่าจะเป็นเพื่อนของยำอีกคนมั้ง นึกแล้วก็พูดทักทายก่อน ฝ่ายนั้นแค่ผงกหัวกลับมาเป็นการตอบรับ ท่าทางจะคุยด้วยยากกว่า ผมเลยหันกลับมาถามทีแทน
“มาหายำกัน?”
ทีพยักหน้า แล้วถามกลับบ้าง “แล้วพี่จะออกไปไหนเหรอ?”
“ไปซื้อเจ้านี่น่ะ” ผมส่งกระดาษที่ถือติดมือมาให้อีกฝ่ายดู ทีกวาดตามองอยู่ครู่หนึ่งก็ส่งกระดาษคืนมาด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ
“วันนี้พวกผมต้องขอรบกวนพี่ภูด้วยนะครับ”
ฟังแล้วก็สะดุดหูแปลกๆ รบกวนผม? เรื่องอะไร? พอเห็นกระดาษในมืออีกครั้งก็เริ่มเดาอะไรออกลางๆ
ของกินที่เหมือนจงใจแกล้งให้ซื้อกลายๆ
เจอเพื่อนสมัยเด็กของยำที่นี่
คำพูดที่ขอรบกวนวันนี้
ผมเริ่มคิดปะติปะต่อเข้าหากันจนเป็นรูปเป็นร่างออกมา นี่แสดงว่า...เพื่อนสนิทมาหา มันกลับไม่ยอมบอก คิดฉลองสอบเสร็จกับเพื่อนที่ห้องก็ไม่ยอมพูด ทั้งจงใจกั้นผมออกห่างด้วยการหลอกให้ออกไปซื้อของนานๆ อีกต่างหาก
ให้มันได้อย่างงี้สิ!
ผมเผลอสบถออกมา แล้วเลือกถามข้อมูลเพิ่มเติมจากทีแทน “มาหาข้าวยำกันกี่คนล่ะ พี่จะได้กะจำนวนของกินได้ถูก”
“จะตามหลังมาอีกสามคนครับ แต่พี่ไม่ต้องซื้อมาเยอะหรอก เดี๋ยวเย็นนี้พวกผมจะไปที่อื่นกันต่อ”
ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “คิดไปเที่ยวที่ไหนกันล่ะ?”
“ผับครับพี่”
ผับ!
แค่ได้ยินชื่อสถานที่ ผมก็อยากแล่นกลับขึ้นห้องไปเขย่าตัวแมวให้หัวสั่นหัวคลอน
ใครคิดสถานที่เที่ยววะเนี่ย!
ผมคงหลุดสีหน้าหงุดหงิดออกมาให้เห็น คนเด็กกว่าตรงหน้าถึงได้ออกอาการเคร่งเครียดตาม จึงต้องรีบส่งยิ้มกลบเกลื่อนออกไป
“ยำรอพวกน้องอยู่ข้างบน ไปถึงก็เคาะประตูเรียกได้เลย”
พูดพลางเบี่ยงตัวหลบออกมาให้สองคนนั้นได้ขึ้นลิฟต์ ทีทำหน้าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา ทั้งยังคว้าแขนคนที่มาด้วยกัน กดเปิดลิฟต์ แล้วรีบพากันเดินเข้าไปในนั้น
ไม่คิดชวนกันสินะ
ผมมองประตูลิฟต์ปิดลงด้วยแววตามืดมนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนขยับเท้าเดินไปทางลานจอดรถด้วยอารมณ์ที่ดิ่งลงเหว เดินจนมาถึงรถที่จอดอยู่ อารมณ์ถึงค่อยเย็นลงพอให้ขบคิดหาทางพาตัวเองกลับขึ้นห้องให้ทันเวลาก่อนเด็กพวกนั้นจะยกโขยงไปท่องราตรี
...จริงสิ
ผมดึงโทรศัพท์ออกมาโทรหาตัวช่วยที่ดีที่สุดในตอนนี้ทันที รอจนปลายทางรับสายถึงได้รีบกรอกเสียงลงไป
“กัง ส่งคนของมึงไปช่วยซื้อของกินให้กูหน่อยสิ เดี๋ยวกูส่งชื่ออาหารไปให้ทางไลน์”
[ทำไมมึงไม่ไปซื้อเองวะ!]
“ก็น้องของมึงอยากกินน่ะสิ แต่ขืนกูไปซื้อเองคนเดียว กว่ายำจะได้กินคงอีกนานเลยวะ”
พอยกข้าวยำมาอ้าง คนฟังก็เงียบไป สุดท้ายตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้
[ส่งมาให้ดูก่อนแล้วกัน]
ผมวางสาย แล้วจัดการถ่ายรูปกระดาษในมือส่งไปให้กังหันดูทางไลน์ สักพักก็ขึ้นอ่าน ตามด้วยข้อความตอบกลับมา
KangHan: ก็ได้ เห็นแก่ลายมือของยำ
KangHan: จะให้ไปส่งถึงที่เลยไหม?
Phu: มีร้านกาแฟอยู่ใกล้คอนโด กูจะรอรับอยู่ที่นั่น
Phu: เดี๋ยวส่งพิกัดร้านไปให้
KangHan: ได้ แต่ไม่ฟรี เพราะงั้นเตรียมตังค์ค่าของกับค่าส่งไว้ด้วยล่ะ
ผมตอบตกลงตอบทันที เพราะต่อให้มีคิดค่าส่งก็ไม่ว่าหรอก คิดซะว่าพอๆ กับค่าน้ำมันที่ต้องขับตระเวนไปซื้อของเองซะทุกที่แล้วกัน
ทันทีที่มาถึงร้านกาแฟ ผมก็กดส่งพิกัดให้เพื่อน แล้วนั่งดูดกาแฟรออยู่เกือบชั่วโมง คนของกังหันถึงทยอยมาส่งของทีละคนสองคน ผมส่งเงินให้คนแปลกหน้าที่สวมชุดวินมอเตอร์ไซค์บ้าง เป็นพนักงานส่งของบ้าง บางคนมาในชุดนักศึกษาก็มี มองดูแล้วก็พอเดาได้ว่าน่าจะเป็นทีมสายสืบของเพื่อนแน่
...นี่มันคิดสืบทอดอาชีพที่บ้านจริงๆ ใช่ไหมวะ
ผมนึกอยู่เงียบๆ ระหว่างรับถุงของกินมาวางเบียดกับถุงอื่นๆ บนโต๊ะ รอจนของมาครบถึงค่อยลุกขึ้นยืน รวบถุงของกินทั้งหลายขึ้นหิ้วออกจากร้านกาแฟไป เดินถือของพะรุงพะรังจนถึงหน้าคอนโด พี่ยามก็ร้องทัก
“ให้ช่วยไหมน้อง”
ผมจะปฏิเสธทำไมล่ะ เลยร้องขอให้ช่วยกดลิฟต์ โชคดีที่ตัวลิฟต์ยังอยู่ชั้นหนึ่ง รอไม่นานประตูก็เปิดออก ผมหันไปพูดขอบคุณเขา แล้วค่อยก้าวเท้าเข้าไปยืนด้านใน ปล่อยให้ลิฟต์พาเคลื่อนขึ้นที่สูงเรื่อยๆ
ระหว่างทำได้แค่ยืนเฉยๆ ผมก็ครุ่นคิดฆ่าเวลาไปหลายเรื่อง เช่น
ถ้าไปปรากฏตัวตอนนี้ แมวเถื่อนจะมีสีหน้ายังไงนะ
ควรคิดหาทางแก้เผ็ดคืนด้วยดีไหม ต่อไปมันจะได้ไม่กล้าทำอีก
อ้อ ต้องหาทางยัดตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มนั่นให้ได้ด้วยสิ
เรื่องพวกนี้วนเวียนอยู่ในหัวจนกระทั่งได้ยินเสียงเตือนว่าถึงที่หมายแล้ว ผมก้าวขาออกจากลิฟต์ทันทีที่ประตูเปิดออก แล้วยืนทอดสายตามองทางเดินตรงไปยังห้องของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง
...ความรู้สึกตอนนี้เหมือนไม่ได้กำลังกลับบ้าน แต่คล้ายกับกำลังไปเยือนถิ่นของแมวเถื่อนมากกว่า
คิดแล้วก็เหยียดยิ้มร้ายกาจออกมา พร้อมทั้งก้าวเดินช้าๆ ราวกับกลัวว่า ถ้ารีบร้อนเกินไป อาจทำเหยื่อไหวตัวทันจนหลบหนีหายไปก่อนได้
############
เผื่อใครอยากฟังแบบเต็มๆ ค่ะ >>>
ด้วยรักและปลาทู