『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018  (อ่าน 62708 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อย่างกังหัน ว่าแหล่ะ
ภู จะเห็นแต่ตัว หรือเห็นแก่เมีย
ไม่ว่าจะยังไง มันก็ทำให้ภู เป็นตัวร้ายทั้งนั้น
แต่เลือกผลที่ออกมาสิ
ที่จริงให้เห็นแก่ยำ ยังไงๆสุดท้ายมันก็ต้องดีกับภูอยู่แล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้ 5 : การเปลี่ยนแปลง


ถ้าข้าวยำคือแมวเถื่อน มันก็เป็นแค่ลูกแมวตัวเล็กๆ ที่ดูมีพิษสงอยู่บ้าง สภาพยามนี้ก็เหมือนเพิ่งไปฟัดกับหมามาไม่มีผิด ทั้งแผลทั้งรอยช้ำเต็มตัวเชียว

“แล้วจากนั้นอ่ะนะ...”

เจ็บตัวถึงอย่างนั้นแท้ๆ แต่กลับอารมณ์ดีถึงขั้นโม้วีรกรรมให้คนทำแผลอย่างผมฟังอยู่นานสองนาน ฟังนานเข้าก็อดถามแทรกขึ้นมาไม่ได้

“ที่มึงไม่ปล่อยตัวเองปากแตกนี่ เพราะกลัวพูดอะไรไม่ได้ หรือกลัวกินอะไรไม่อร่อยกันแน่?”

คนฟังลอยหน้าลอยตาตอบทันที

“แน่นอนว่าต้องเรื่องกินสิ แล้วทำแผลเสร็จยัง กูจะได้ไปหาซื้อของกินสักที”

ผมกรอกตาไปมาอย่างระอาใจ ก่อนจัดการติดพลาสเตอร์ยาไปที่แผลสุดท้ายข้างแก้มให้ แล้วโบกมือไล่

“จะไปหาอะไรกินก็รีบไป”

ไม่ต้องให้บอกซ้ำ เพราะแมวเถื่อนลุกอย่างไว แถมมีมาแบมือขอตังค์อีกต่างหาก

“อะไร?” ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้ความหมาย

“ตังค์ค่าอาหารไงเล่า” ไม่พูดเปล่า มีกระดิกนิ้วมือให้ด้วย

“เงินมึงไปไหนล่ะ?”

“กระเป๋าตังค์กูอยู่ห้องพี่ปุ้น พี่ปุ้นบอกจะเลี้ยงข้าว กูเลยไม่ได้พกมา”

“งั้นไปขอตังค์จากพี่มึงสิ”

“จะขอจากมึงเนี่ย จะให้ไหม?”

ในเมื่อเมียออกปากขนาดนี้ ผมจำต้องควักแบงค์ร้อยส่งให้ แต่ร้อยเดียวท่าจะไม่พอ เลยเพิ่มแบงค์แดงให้อีกใบ แล้วปล่อยแมวเถื่อนเดินเริงร่าไปแลกบัตรฟู้ดคอร์ท เพราะไม่ค่อยมีคนไปแลกช่วงนี้ แปบเดียวข้าวยำก็ได้บัตรมาแล้ว

...ดูท่าคงมองเล็งร้านไว้ตั้งแต่ตอนนั่งทำแผล มันถึงได้ตรงดิ่งไปสั่งข้าวได้เร็วไวขนาดนี้   

หึ แมวตะกละเอ๋ย!     

ผมละสายตาจากข้าวยำที่แม้จะเจ็บตัวก็ยังไม่ทิ้งลายกระเพาะหลุมดำ แล้วเหลือบไปมองอีกโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลนัก คนเจ็บอีกคนกำลังถูกกังหันช่วยทำแผลให้ มีผู้กำลังทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างเอคอยส่งอุปกรณ์ต่างๆ ให้อย่างรู้จังหวะ

พี่ชายของข้าวยำคนนี้มีคำว่า ‘ข้าว’ ขึ้นต้นในชื่อเล่นเหมือนคนน้อง เต็มๆ คือ ข้าวปุ้น ฟังดูน่ารักไม่เข้ากับตัว เจ้าของชื่อเลยชอบให้เรียกสั้นๆ ว่าปุ้นมากกว่า ถ้าให้อธิบายถึงความเป็นปุ้น ผมคงบอกสั้นๆ แค่ ‘แมวใหญ่คุมซอย’

หึ ไม่ต้องให้บอกเลยว่าเมียผมรับอิทธิพลความเถื่อนมาจากใคร

และแม้จะสงสัยว่าทำไมทั้งเอทั้งกังหันไม่พาปุ้นไปหาหมอ แต่เมื่อตัวคนเจ็บยังมีสติครบถ้วน ยังสามารถเดินเองได้แม้จะต้องมีคนช่วยประคองหนึ่งคน ทั้งไม่มีใครเอ่ยปากเรื่องไปหาหมอสักคนเดียว ผมเลยเงียบตามน้ำ

เอาเถอะ ถ้าทำแผลเสร็จ กินข้าวเองได้ ก็ไม่น่าเป็นห่วงหรอกมั้ง

พอเลื่อนสายตามาทางกังหันก็อดนึกต่อไม่ได้

เพื่อนคนนี้ก็อีกคน นิสัยเพี้ยนจากที่รู้จักกันมาจนผมไปไม่เป็น

ก็ตั้งแต่เจอหน้าสองพี่น้องข้างถนน จนถึงตอนพากันมานั่งทำแผลที่ศูนย์อาหารตามคำเรียกร้องของคู่พี่น้องที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง กังหันก็ยังทั้งบ่นทั้งด่าไม่หยุดปากจนผมรำคาญแทน แต่ปุ้นกลับทนฟังเฉยมาได้ตั้งนานสองนานอย่างน่านับถือ

และนี่เป็นสาเหตุให้ผมดึงข้าวยำแยกตัวมาแบบเนียนๆ เผื่อว่าจะได้สบายรูหูขึ้นมาบ้าง แต่เอไม่ได้โชคดีอย่างผม มันเลยรับกรรมที่ไม่ได้ก่อไปเต็มๆ

...ไหงพอได้จ้องสังเกตโต๊ะนู้นนานๆ ผมถึงรู้สึกเหมือนเมียกำลังต่อว่าผัว โดยมีคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยไปได้วะ

“มึงสะบัดหัวทำไม?” คนถือถาดอาหารกลับมาที่โต๊ะ เอ่ยถามอย่างสงสัย 

ผมแหงนหน้าขึ้นมองคนกำลังยืนอยู่ แล้วตอบสั้นๆ

“เผลอคิดอะไรไม่เข้าท่า เลยต้องสลัดทิ้ง”

คนฟังเลิกคิ้วขึ้นสูง แต่ไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม ทั้งยังขอให้ผมช่วยยกจานข้าวในถาดออกไปวางบนโต๊ะอีกต่างหาก ไหนดูสิ อื้อหือ ราดหน้าเส้นใหญ่ ข้าวราดแกงพูนจาน ก๋วยจั๊บน้ำข้น จบท้ายด้วยน้ำเปล่าหนึ่งขวด

“กูอยากกินของหวานด้วย ไปแลกเงินเพิ่มให้หน่อยสิ”

ไม่พูดเปล่า ยังส่งแววตาเว้าวอนกึ่งอ้อนมาให้ด้วย...นานๆ เมียจะอ้อนสักที ผมเลยเผลอตามใจไปจนได้ แถมบริการดีขนาดซื้อของหวานที่มันน่าจะอยากกินติดมือมาให้อีกต่างหาก

“ซื้อมาให้ด้วย ขอบคุณ”

...เอาเถอะ แค่ได้เห็นรอยยิ้มกว้างดูดีอกดีใจขนาดนี้ก็คุ้มค่าแล้วล่ะ

------------- 

เนื่องจากยำมีแผลน้อยกว่า ปากก็ไม่ได้แตกเหมือนปุ้น มันเลยทำแผลและกินข้าวเสร็จเร็วกว่า พอเดินไปหาก็ถูกพี่ชายเอ่ยปากไล่กลับอย่างไม่ไยดี ขนาดผมเป็นคนนอกฟังแล้วยังรู้สึกไม่พอใจ แต่แมวเถื่อนกลับบอกลาอย่างไม่สะทกสะท้าน

“งั้นผมกลับก่อนนะ ฝากพี่กังหันดูแลพี่ปุ้นด้วย แล้วก็พี่เอช่วยเอากระเป๋าเป้ผมที่อยู่ในห้องพี่ปุ้นกลับมาให้ด้วยนะครับ”

พูดจบก็ลากผมออกมาด้วยกันทันที ระหว่างทางก็พูดแก้ตัวให้พี่ชายด้วยรอยยิ้ม

 “พี่ปุ้นน่ะ ปากร้ายแต่ใจดีแบบนี้แหละ ที่ไล่กลับก็น่าจะเพราะรู้สึกผิดที่พากูมาซวยด้วยแหงๆ และคงไม่อยากให้เสียเวลารอเขากินข้าว แต่ว่านะ...”

ข้าวยำหันมาจ้องหน้า ทั้งพูดลากเสียงยาวอย่างจงใจ

“ไม่รู้พี่กังหันหรือพี่เอจะกลับมหา’ลัยเมื่อไหร่ เพราะงั้นฝากเลี้ยงมื้อเย็นด้วยนะ”

ผมรู้สึกหน้ากระตุก ยิ่งเห็นแววตาวิบวับที่ติดเจ้าเล่ห์ก็พอเดาได้ว่า มันอยากถล่มกระเป๋าตังค์ผมอีกรอบเหมือนที่ไปกินซิลเลอร์วันนั้นแหงๆ เลยชิงพูดขึ้นมาก่อน

“กูจะพามึงไปกินหมูกระทะแล้วกัน”

คนมองมามีแววตาผิดหวัง แต่อึดใจต่อมาก็กลับมาสดใสเหมือนเดิม

“เปลี่ยนเป็นเนื้อย่างแทนได้ไหม”

“อยากกิน?”

“อืม”

“ก็ได้”

“กูเลือกร้านเองได้ปะ?”

“ไม่!”

“ไม่เลือกร้านแพงหรอกน่า นะๆ”

“...ไม่เกินหกร้อยต่อหัว ถ้าถูกกว่านั้นได้ก็จะดีมาก”

คนฟังรีบขานรับทันที “ได้เลย”

-------------

ดูเหมือนว่าการได้เจอพี่ชาย ได้ออกกำลังฟัดกับหมาหมู่มา รวมถึงได้กินของอร่อยตบท้าย จะทำให้ข้าวยำอารมณ์ดีมากถึงมากที่สุด ซึ่งทำให้ผมที่อยู่ด้วยตลอดอารมณ์ดีตาม เป็นอีกวันที่มีความสุขสุดๆ จนกระทั่งถึงเวลากลับหอก็แอบรู้สึกเสียดายหน่อยๆ 

เอาเถอะ วันนี้เกินพอแล้วล่ะ

คิดอย่างปลงๆ จบ ก็ขับรถพาแมวเถื่อนที่กินเนื้อจนพุงกางกลับหอพักในมหาวิทยาลัย ไปถึงที่หมายก็สี่ทุ่มกว่าๆ แล้ว

“ให้ไปส่งที่ห้องไหม?” ผมถามเมื่อขึ้นมาเหยียบชั้นสอง

“ไม่ต้อง” คนทำหน้างัวเงียตอบกลับมา

“งั้น...เดินเข้าห้องดีๆ ล่ะ”

“อืม”

ผมมองตามหลังแมวเถื่อนอยู่ครู่หนึ่ง จนแผ่นหลังหายขึ้นไปชั้นสามถึงได้หมุนตัวเดินไปห้องตัวเองบ้าง แต่เข้ามาไม่ถึงห้านาทีก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นรัวๆ จนต้องเดินเร็วๆ ไปเปิดประตูอีกรอบ เจอเข้ากับใบหน้าตื่นๆ ของแมวเถื่อน มันไม่พูดอะไรสักคำก็เบียดตัวเองเข้ามาในห้อง ทั้งยังดึงประตูปิดเองเสร็จสรรพ

“ชู่”

มีหน้ามาทำท่าให้เงียบด้วย แล้วนั่นเอาหูไปแนบประตูทำไม

ผมกอดอกมองคนที่น่าจะหนีอะไรสักอย่างมาเงียบๆ พร้อมมองสังเกตตั้งแต่แมวเถื่อนเม้มปากเข้าหากันจนกระทั่งถอนหายใจโล่งอกออกมา

“รอดแล้ว”

“เหรอ หนีอะไรมาล่ะ”

พอได้ยินเสียงผม ข้าวยำก็หันมามอง แล้วส่งยิ้มแห้งๆ กลับมา “กูหนีวินมา”

“หนีทำไม”

“ก็นี่ไง นี่ด้วย” มันชี้นิ้วไปตรงจุดที่แปะพลาสเตอร์กับรอยช้ำบนผิวเนื้อที่เห็นได้ชัดที่สุด “กูไม่อยากถูกซักไซร้ยาวเหยียดเลยเผ่นหนีมาก่อน”

“อ้อ”

หลังผมขานรับก็เกิดความเงียบอยู่นาน จนกระทั่งมีเสียงข้าวยำพูดตะกุกตะกักให้ได้ยิน

“เอ่อ คือว่า...”

ใบหน้าคนพูดดูกระอักกระอวนใจมาก แต่สุดท้ายก็ตัดใจพูดออกมาทั้งหมด

“คืนนี้...นอนด้วยนะ”

-------------

หนึ่งอาทิตย์แล้วที่ห้องผมมีสมาชิกเพิ่มมาอีกคน ก็ไม่นึกไม่ฝันว่าการอนุญาตด้วยความยินดีในคืนนั้น จะทำให้แมวเถื่อนเห็นห้องพักของผมเป็นที่หลบภัยชั้นเยี่ยม

ไอ้ดีใจก็ใช่อยู่หรอก แต่คงจะมากกว่านี้ถ้าใครบางคนยอมให้ผมได้นอนกอดบ้าง

แอบเหล่แมวเถื่อนที่ยึดเตียงนอนอย่างทำอะไรไม่ได้ แล้วต้องมาลอบกลืนน้ำลายอยู่เงียบๆ ตามลำพัง 

แรกๆ แมวของผมก็ระวังตัวแจอยู่หรอก แต่หลังๆ ชักปล่อยตัวตามสบายมากไปแล้ว อย่างพุงขาวๆ ที่โผล่มาให้เห็นนั้นก็ช่างน่าเข้าไปฟัดให้หายอยาก แล้วกางเกงนั่นจะขากว้างไปไหน ถลกขึ้นมาโชว์ขาอ่อนแล้วนั่น รู้ไหมว่ามันชวนให้เข้าไปขบกัดทิ้งรอย!

ผมรีบเบือนหน้าหนีจากคนนอนเล่มเกมโทรศัพท์มือถือ พร้อมคอยท่องวนไปวนมาซ้ำๆ เพื่อเตือนสติของตัวเองอยู่ในใจ

ใจเย็นๆ ภู ใจเย็นๆ ไม่อยากให้แมวหนีหาย มึงต้องใจเย็นๆ

พอสงบอารมณ์อยากได้ระดับหนึ่ง ก็กลายเป็นต้องนั่งกุมขมับ เพราะความเครียดแทน

ผมไม่เคยนึกเลยว่าพอมีปัจจัยเรื่องความรู้สึกมาเกี่ยวข้องก็กลายเป็นคนคิดมากขึ้นมาได้ เดี๋ยวห่วงนั่น กลัวนี่ จนไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง

แย่วะ

คิดเองถอนหายใจเอง โดยมีเสียงหัวเราะลั่นของคนบนเตียงอยู่ด้านหลัง ผมขมวดคิ้วหันไปมองเจ้าของเสียงหัวเราะอีกที  แล้วก็รีบเบือนหน้ากลับมาเป็นฝ่ายขมวดคิ้วซะเอง

รอกูคิดวิธีหาเศษกำไรจากมึงได้เมื่อไหร่ ดูสิยังจะมีความสุขกับการเล่นเกมอยู่อีกไหม!

เสียเวลาคิดทั้งวัน สุดท้ายได้แผนโง่ๆ ที่ดันลงมือได้จริงในยามค่ำคืน

ผมกดริมฝีปากไปบนแก้มคนหลับแผ่วเบา แล้วรีบถอนหน้าออกมาทันทีที่คนถูกหอมแก้มขยับตัว

อยู่นิ่งๆ ให้หอมแก้มสักพักก็ไม่ได้! ไอ้แมวเถื่อนหวงตัวเอ๋ย!

อาทิตย์ต่อมา นอกจากเรื่องเรียน ไปดูเมียซ้อมบอล และตามไปเชียร์เมียแข่งถึงขอบสนาม ในหัวของผมก็ขบคิดแต่เรื่องหาเศษกำไรในยามที่แมวเถื่อนมีสติบ้าง เนื่องจากอยากให้เมียได้ชินกับสัมผัสของผม เพื่อที่เวลาย้ายไปอยู่คอนโดด้วยกัน จะได้ไม่ต้องมาอดทนอดกลั้นขนาดนี้ให้เสียทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกาย!

หาโอกาสอยู่นานจนในที่สุดก็ได้มา

“ยำ”

ผมเรียกคนนั่งเล่นเกมอยู่บนเตียงเสียงดุ เจ้าของชื่อขานรับโดยไม่คิดมองหน้ากัน

“กินเสร็จก็เอาไปล้างให้เรียบร้อย”

ผมหมายถึงจานข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นตรงหน้ามัน

“เดี๋ยวค่อยไป”

“แล้วของที่วางทิ้งไว้เรี่ยราดบนพื้นห้อง เมื่อไหร่มึงจะเก็บ?”

“เดี๋ยวค่อยเก็บ”

ดีมาก!

ผมย่างสามขุมเข้าหาเหยื่อที่นั่งเล่มเกมอย่างไม่สนใจอะไรเลยเงียบๆ ได้จังหวะก็ตะคลุบตัวแมวเถื่อนเข้ามากอด จนฝ่ายนั้นส่งเสียงร้องอย่างตกใจ

“เฮ้ย! อะไรวะ!”

ฟอด!

แค่แก้มโดนจู่โจมเป็นอย่างแรก แมวเถื่อนร้องโวยวายตามคาด

“มึงจะทำอะไร!”

“ลงโทษคนขี้เกียจ”

พูดจบก็ช่วงชิงริมฝีปากต่อ แลกเปลี่ยนลมหายใจอยู่นานถึงได้ผละออกมา ข้าวยำหอบหายใจอย่างหนัก แถมตัวยังดูอ่อนแรงลงนิดหน่อย ผมเลยถือโอกาสนี้หากำไรเพิ่มด้วยการขบเม้มพุงขาวๆ ที่อวดให้น้ำลายหกอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน

“อย่า กู...กูจะไม่ทำแล้ว”

“ไม่ทำสินะ งั้นต้องลงโทษเพิ่ม”

เป้าหมายต่อไปผมเล็งที่ต้นขา

“อ๊ะ อย่าล้วงนะเว้ย กูไปแล้วๆๆ”

“ไปไหน?” ผมแสร้งถามถ่วงเวลา แล้วกดริมฝีปากไปจูบผิวเนื้อที่เล็งไว้

“ไปล้างจานไงเล่า! จะเก็บของบนพื้นด้วย! ไปล้างช้าเดี๋ยวจานเน่านะ!”

หึ ทีอย่างนี้ล่ะทำเป็นอ้างจานเน่า

เพราะสมใจกับกำไรที่ได้รับมาแล้ว ผมจึงยอมคลายแขนออก คนเป็นอิสระก็ลุกพรวดหนีไปคว้าจานข้าวทันที ทั้งเตรียมเผ่นออกจากห้องอย่างไวจนผมต้องร้องเรียกไว้ก่อน

“เอาน้ำยาล้างจานไปด้วย เพราะถ้ามึงล้างแต่น้ำเปล่ามา ได้โดนกูทำโทษเพิ่มแน่”

คนเกือบถึงประตูห้องเลยหันกลับมาตอบรับเสียงขุ่นเคือง

“รู้แล้วน่า!”

-------------

ผมเพิ่งรู้ว่ายากที่สุดคือการเริ่มต้น เพราะหลังจากได้กำไรก้อนแรกมา ผมก็ได้มาอีกเรื่อยๆ

ยิ่งได้เรียนรู้สิ่งที่มันชอบไม่ชอบ ตารางเวลาในแต่ละวัน พฤติกรรมและนิสัยส่วนตัวต่างๆ ยิ่งหาเรื่องดึงความสนใจได้ง่ายเข้าไปใหญ่ นานวันเข้าฝ่ายแมวเถื่อนกลับเป็นฝ่ายปรับปรุงตัวได้ แม้ไม่มาก แต่ก็ถือว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น จนทางผมหาข้ออ้างได้น้อยลงเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้กลับไปซ้ำรอยเดิม ผมเลยเปลี่ยนไปใช้แผนอื่นทันที

“จะมาไซร้คอกูทำไม กูไม่ได้ทำอะไรผิดนะ!”

“แล้วใครว่ากูทำโทษล่ะ”

“แล้วที่มึงกำลังทำนี่คืออะไร!”

“เก็บค่าฝากของอยู่”

“เก็บอะไรนะ?”

“ในห้องกูชักมีของมึงมากไปแล้ว กูเลยต้องเก็บค่าฝากของบ้าง”

จากนั้นผมก็มีค่านู้นค่านี้มาใช้เป็นข้ออ้างคอยตอดหากำไรนิดๆ หน่อยๆ ตลอด จนหลังๆ แมวเถื่อนไม่ด่าหรือผลักไสแล้ว ทั้งยังบอกกลับหน้าตาเฉยเวลาโดนผมกอดหรือหอมว่า

“ถือเป็นค่ายืมพื้นที่ห้อง แต่ถ้ามากกว่านี้กูถีบมึงแน่”

ก็อยากทำมากกว่านี้อยู่หรอก แต่อดใจรอย้ายไปอยู่คอนโดก่อนดีกว่า แต่กว่าจะได้ย้ายไปอยู่ห้องที่เลือกไว้ก็คงใกล้ช่วงสอบปลายภาคล่ะมั้ง เพราะล่าสุดเจ้าของห้องโทรมาขอเวลาให้ผู้เช่าเดิมย้ายของออกก่อน รวมทั้งต้องเก็บกวาดและตกแต่งห้องใหม่อีกสองอาทิตย์ด้วย 

คิดแล้วก็แอบย่นคิ้ว เพราะกว่าถึงวันนั้นต้องรออีกเป็นเดือนเลย

-------------

เมื่อแมวเถื่อนโดนหลอกล่อให้อยู่ใกล้ชิดกับผมแทบจะตลอดเวลา สายสัมพันธ์ระหว่างเราก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ตรงข้ามกับความสัมพันธ์กับเมียของเมียที่นับวันเริ่มถดถอยลง ไม่ว่าจะเรื่องที่โทรคุยกันน้อยลง การติดต่อทางไลน์เริ่มทิ้งระยะเวลาห่างมากขึ้น กระทั่งกลายเป็นคุยกันข้ามวัน หรือหายไปสองสามวันก็มีมาแล้ว

...ผมขอสารภาพ ที่พวกมันเป็นอย่างนี้ ตัวผมก็มีส่วนทำให้เกิดขึ้นเหมือนกัน

หึ ใครจะชอบให้เมียไปสนใจคนอื่นมากกว่าตัวเองกันล่ะ จริงไหม?

แต่หลังๆ ไม่ใช่เพราะผมอย่างเดียวอีกแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นเข้ามาด้วย อย่างเช่นทุกวันนี้ ข้าวยำยุ่งๆ กับทั้งเรื่องเรียน ซ้อมบอล ไหนจะเป็นตัวแทนลงแข่งบอลเดิมพันของคณะอีก จนแทบไม่มีเวลาว่างแตะโทรศัพท์

มันเลยชอบฝากโทรศัพท์ทิ้งไว้กับคนอื่นเป็นประจำ บวกกับความเหนื่อยที่สะสมมาพักใหญ่ อาบน้ำเสร็จเมื่อไหร่ก็มักทิ้งหัวบนหมอนแล้วหลับไปทันที เมื่อแมวเถื่อนไม่สนใจหยิบมาดูหรือเล่มเกมเหมือนก่อนหน้านี้ ข้าวยำจึงไม่เคยรู้เลยว่า ช่วงหลังๆ มีใครบางคนชอบส่งข้อความมาหามันในเวลาเกือบตีหนึ่งทุกวัน

อย่างวันนี้ก็เช่นกัน...

‘ถ้าคืนนี้มึงไม่มาหากู กูจะ...’

แค่เห็นคำขึ้นต้นรูปประโยคลองใจเดิมๆ ผมก็กดลบข้อความออกจากไลน์ทันที

หึ ไม่รู้หรอกนะว่านึกยังไงถึงได้ส่งข้อความลองใจมา ทั้งที่มันกำลังดูไปได้สวยกับเพื่อนผมดีนี่

ผมเหลือข้อความที่ยำส่งไปหาเมื่อวาน แล้วฝ่ายนั้นขึ้นอ่านตั้งแต่เช้าไว้แบบนั้นแล้วกดออกจากแอพ

หลังวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมก็หันมองคนหลับสนิท

ถ้ายำได้รู้เรื่องนี้เข้า ผมคงโดนโกรธแหง...ช่วยไม่ได้นะ กูหวงมึงนี่น่า และอยากให้มึงได้พักผ่อนมากกว่าไปปวดหัวกับเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วย

คิดพลางโน้มตัวไปกดจูบที่หน้าผากหนึ่งที พร้อมกระซิบบอกเบาๆ

“ฝันดีนะมึง”

-------------

หลายวันต่อมาผมต้องรำคาญเสียงข้อความไลน์ที่ดังขึ้นถี่ๆ ในเวลากลางดึก หลังควานหาต้นตอของเสียงอยู่พักใหญ่ก็เจอจนได้ หรี่ตาดูเจ้าเครื่องสื่อสารอย่างหงุดหงิดก็พบว่ามันเป็นโทรศัพท์ของข้าวยำ

ถ้าไม่ติดว่าเป็นของเมีย ผมคงได้ขว้างทิ้งไปแล้ว จะได้ไม่มีสัมภเวสีส่งข้อความบ้าบอมากวนตอนดึกๆ อีก!

ผมนึกอย่างหงุดหงิด พลางเตรียมปรับให้เป็นโหมดเงียบก็พบข้อความไลน์ล่าสุดสวนเข้ามาก่อน

‘ถ้าคืนนี้มึงไม่ยอมมารับอีก กูจะให้คนที่เข้ามาจีบพาไปส่งถึงในห้อง!’

ผมเลิกคิ้วขึ้น คราวนี้มาเป็นประโยคข่มขู่เรอะ ยิ่งเห็นรูปถ่ายจากในผับ เจอเสี้ยวหน้าเพื่อนตัวเองอย่างไอ้นัทก็แทบจะถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างระอาใจ

นึกยังไงเอาไอ้นัทมาขู่ล่ะเนี่ย

ผมมั่นใจว่าเพื่อนคนนี้ไม่กินผู้ชายแน่ เลยกดลบข้อความทิ้งอย่างไม่ไยดี ทั้งแอบรู้สึกโชคดีหน่อยๆ ที่คืนนี้แมวเถื่อนเลือกกลับไปนอนห้องมันเอง

หลังปรับเป็นโหมดเงียบได้ก็วางโทรศัพท์ส่งๆ แล้วล้มตัวนอนต่อทันที

แต่ใครจะคิดล่ะว่าวันต่อมา ผมกลับเจอข้อความจากไอ้นัทที่ส่งมาบอกกันสั้นๆ  แค่...

‘กูเผลอกินเด็กมึงไปแล้ววะ’

############

คาดว่ามีหลายคนสงสัยว่าทำไมพาปุ้นไปโรงพยาบาลไม่ได้
ตอนนี้มันยังเป็นความลับอยู่ค่ะ แต่นักอ่านลองทายสาเหตุกันดูก่อนได้นะคะ : )

ป.ล. ตอนที่แล้วมีคำผิดคำหนึ่งที่ทำความหมายเปลี่ยนทันที ว่าจะแก้ไขก่อนเอามาลงแล้ว แต่เราลืม T^T ต้องขอโทษด้วยนะคะ มันคือคำนี้ค่ะ 'กลับ' คือปุ้นกับยำไม่ได้กลับจากกินข้าวแต่อย่างใด แต่กำลังอยู่ระหว่างทางไปกินข้าวค่ะ ซึ่งเราไปแก้ไขให้แล้วนะคะ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ (โค้งๆ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2017 09:03:48 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ข้าวยำเริ่มชินพื้นที่แล้ววว

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ข้าวยำ น่ากินเหมือนชื่อ
เลยถูกและเล็ม หากำไรตลอด
แถมยำเริ่มชินกับการถูกตอด เลยสบายเข้าทางพี่ภูไปเลย

แต่นัท กินเมียของเมียไปแล้ว  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้ 6 : กับดักสำแดงฤทธิ์


“ห๊ะ! กินไปแล้ว?!”

กังหันอุทานออกมา อย่าว่าแต่มันเลย เมื่อเช้าตอนเห็นข้อความ ผมก็เผลอสบถออกมาเหมือนกัน

“เดี๋ยว มึงแน่ใจนะว่าไม่ได้โดนไอ้นัทหลอก?”

ผมชะงักมือที่หมุนปากกาเล่น “...ทำไมถามแบบนั้น”

กังหันเอนหลังพิงพนัก ทั้งยกมือกอดอก “มึงเคยได้ยินประโยค ‘เห็นใจคนหัวอกเดียวกัน’ หรือเปล่าล่ะ ไอ้นัทน่าจะเข้าข่ายอยู่นะ มันเพิ่ง
โดนผู้หญิงนอกใจมา เด็กนั่นก็โดนนอกใจเหมือนกันนี่”

“หึ เพราะมันไปหลอกฟันเพื่อนเขาก่อน ผู้หญิงคนนั้นเลยตั้งใจมาเอาคืนอยู่แล้วนี่”

“ก็ใช่ แต่ยังมีความเป็นไปได้ที่มันจะเห็นใจ”

“ทั้งที่ไม่แน่ว่านัทจะรู้เรื่องเด็กนั่นขนาดนั้นหรือเปล่าเนี่ยนะ”

“อย่ามั่นใจอะไรนักเลยน่า ขนาดเรื่องคราวนี้เรายังเดากันผิดเลยนี่”

ผมนิ่งไปอย่างยอมรับ เพราะคราวนี้เดาผิดเข้าแล้วจริงๆ

“แล้วถ้าไอ้นัทแปรพักตร์จริง มึงจะทำยังไง?”

ผมหมุนปากกาในมือเล่น สมองก็ครุ่นคิดไปด้วย

“...ก็ต้องดูก่อนว่าทำไปเพื่ออะไร แล้วมาคิดอีกทีว่าจะรับมือยังไง”

“มึงจะเปลี่ยนแผน?”

“ถ้ามันใช่ล่ะก็นะ แต่ถ้าไม่ใช่ กูก็จะปล่อยให้เพื่อนเราลองรสชาติใหม่ไป...ไม่แน่ มันอาจติดใจขึ้นมาก็ได้”

“เหอะ มันจะติดใจจริงเหรอวะ ไม่ใช่ว่าตอนนี้ไปนั่งจิตตกอยู่ที่ไหนหรอกนะ”

“นี่พวกมึง...” เอพูดขัดจังหวะ ทั้งยกสองมือขึ้นข้างหัวเหมือนขอเวลานอก “นั่นเพื่อนพวกเราน่ะ อีกอย่างจะพูดอะไรก็ช่วยเห็นใจกูที่นั่งตรง
กลางพวกมึงหน่อย”

ผมกับกังหันเหลือบมองคนทักท้วงแวบหนึ่ง แล้วคุยกันต่อเหมือนเมื่อกี้ได้ยินเพียงเสียงนกเสียงการ้องใกล้หู

“ส่งเอไปดูลาดเลาก่อนแล้วกัน”

“เฮ้ย! ไหงหวยออกที่กูล่ะ!!”

กังหันพูดกับผมต่ออย่างไม่สนใจคนร้องประท้วง “ตามใจมึงสิ แล้วเรื่องมึงกับยำคืบหน้าไปถึงไหนแล้วล่ะ”

ผมคลี่ยิ้มออกมาทันที “ก็ดี”

“ดีอย่างเดียวไม่ได้นะโว้ย มึงต้องคิดเผื่อเจอจุดวิกฤติไว้ด้วย”

“กูพอรับมือได้น่า ว่าแต่มึงเหอะ มีอะไรจะสารภาพกับกูหรือเปล่า”

กังหันย่นคิ้วใส่ผมทันที “สารภาพอะไรวะ?”

“อย่างเรื่องแฟน...”

“อ้อ ไม่มี!” พูดแค่นั้นมันก็เบี่ยงไปเรื่องอื่นทันตาเห็น “แล้วนี่มึงขอยำเป็นแฟนหรือยัง?”

“ทำไมกูต้องขอ?”

“อ้าว ไอ้นี่ ถ้ามึงไม่ขอ แล้วน้องมันเป็นอะไรของมึงล่ะห๊ะ!”

“เมีย”

คำตอบเดียวของผมทำกังหันหุบปากฉับ ผิดกับเอที่ถอนหายใจใส่ ทั้งยังเป็นฝ่ายฟุบหน้ากับโต๊ะ คล้ายจะบอกว่าพวกมึงอยากคุยอะไรกันก็
เชิญตามสบาย กูขอไม่รับรู้ด้วยแล้ว

“...ชัดเจนดีนะ” กังหันพึมพำออกมา แล้วถามต่อ “แล้วน้องมันรู้ไหมล่ะ”

“น่าจะรู้มั้ง” ผมบอกอย่างไม่มั่นใจนัก “ที่น่าห่วงคือมันจะยอมรับสถานะเมียของกูได้หรือเปล่ามากกว่า”

“อ้อ แล้วถ้ายำไม่ยอมรับ มึงจะทำไง?”

“ก็แค่ทำให้ยอมรับ”

“ฟังดูง่ายนะ” กังหันเย้ากลับมาให้ผมยิ้มเล็กๆ

“ก็ไม่ง่ายอยากที่พูดหรอก แค่ตอนนี้มันไม่ต่อต้านเหมือนช่วงแรกๆ ก็ดีมากแล้ว”

“ชักช้าไปไหมวะ รู้ไหมว่าคนที่กูช่วยกันให้มึงอยู่ ชักเริ่มระคายระคายแล้วนะ”

ผมหรี่ตาลง แล้วพูดเนิบนาบคล้ายไม่สนใจ “หมายถึงปุ้น?”

“เออสิ”

“งั้นช่วยกันต่อไปก่อน รอกูอุ้มน้องมันไปเลี้ยงดูในคอนโดได้แล้ว มึงค่อยปล่อยตัวปุ้นมาหากู”

“ก็ต้องดูก่อนว่ามึงคิดจะย้ายไปอยู่คอนโดเมื่อไหร่ เพราะถ้าช้ามาก” กังหันลากเสียงอย่างจงใจ “กูคงช่วยมึงไม่ไหว”

“ไม่น่าเกินสองอาทิตย์นี้หรอก”

“อ้อ...ถ้าแค่นั้นก็น่าจะได้”

ผมมองคนพูดจาถ่อมตัวอย่างหมั่นไส้ จากที่ว่าจะปล่อยผ่านเลยวกกลับมาขอแกล้งสักหน่อย

“หึ ท่าทางกูกับมึงคงตัดกันไม่ขาดง่ายๆ แน่วะ”

“แน่นอน ถ้าไม่นับความเป็นเพื่อนที่เพิ่งมี กูกับมึงก็ถือว่าเป็นคนเคยเห็นหน้ากันมานานแล้ว...”

“กูไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้”

พูดถึงตรงนี้ก็ดึงตัวกังหันเข้ามาใกล้ ทั้งก้มหน้าไปกระซิบใกล้หูเพื่อน

“หมายถึงนับญาติฝ่ายพี่ภรรยาของกูต่างหาก จริงไหมคุณพี่สะใภ้”

ผมคลี่ยิ้มขำทันทีที่เห็นเพื่อนแข็งทื่อไปหน้าทั้งตัวอย่างกับถูกจับสต๊าฟไว้ มีเอเหล่มองมาด้วยแววตา ‘กูว่าแล้วว่ามันต้องรู้’ ครู่ต่อมาคนที่
สติกลับเข้าร่างถึงได้เค้นชื่อใครบางคนออกมาอย่างคลั่งแค้น

“ข้าวยำ!”

ผมยิ้มมากกว่าเดิมอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะเพื่อนเรียกชื่อผู้ปล่อยข่าวได้ถูกคนแล้ว

“มึงเอาอะไรล่อน้องกูวะ!”

ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงใส่กังหันที่กำลังปั้นหน้ายักษ์ใส่กัน มองหน้าเพื่อนแล้วได้แต่ย้อนถาม

“แน่ใจนะว่าอยากรู้?”

“เออ!”

ผมเปิดกระเป๋าตังค์ ดึงใบสลิปไปให้เพื่อนดูเงียบๆ ให้มันรู้ชัดว่าค่าข่าวของมึงทำกูกระเป๋าฉีกขนาดไหน คนรับย่นคิ้วมองตัวเลขบนนั้นทันที
แล้วถามเสียงเครียด

“พาไปเลี้ยงอะไรมาวะถึงแพงขนาดนี้!”

“ไอ้ที่แพงน่ะ ฟัวกราส์!”

ผมพูดอย่างคับแค้นใจที่โดนแมวหลอกพาเข้าร้านอาหารที่ดูไม่น่าจะแพงเท่าไหร่ แต่อาหารในเมนูแต่ละอย่างนี่สิ!

“แล้วไหนจะแซลมอนรมควัน แซลมอนย่างเกลือ และอีกสารพัดที่กูจำไม่ได้ว่ามันซัดอะไรลงท้องไปบ้าง!”

“หูย...” เอถึงกับหลุดอุทานออกมาเบาๆ “ของแพงๆ ทั้งนั้น...อร่อยไหมวะ”

“จำไม่ได้” ผมตอบห้วนๆ

“ทำไมล่ะ”

“กูสติหลุดตั้งแต่เห็นราคาบนเมนูแล้วน่ะสิ!”

แล้วยิ่งเห็นแมวเถื่อนสั่งเอาๆ ผมนี่ขนลุกซู่ เย็นยะเยือกไปทั้งไขสันหลัง จำได้กระทั่งภาพแมวเถื่อนตีพุงป่องๆ อย่างสำราญใจ ส่วนผมได้
แต่เหม่อมองดูราคาที่ต้องจ่ายไปหลายนาทีกว่าจะตั้งสติวางบัตรเครดิตลงไปได้

“มึงนี่เสี่ยชัดๆ”

“เสี่ยเหี้ยอะไรล่ะ!”

ผมตวาดกลับใส่เอที่กำลังชูนิ้วโป้งให้ด้วยสีหน้าชื่นชม

“อย่าหวังเลยว่ากูจะพามันไปเฉียดใกล้แถวร้านนั่นอีก!”

-------------

หลายวันต่อมา พวกผมสามคนนัดกันมาเจอที่โต๊ะหินอ่อนหน้าอาคารเรียน ตอนนั้นเองที่ผมได้รับข้อความเขียนด้วยดินสอจากปุ้น

‘ขอโทษที่น้องชายไปรบกวน กูจัดการอบรมให้แล้ว’

...มิน่า ช่วงนี้แมวเถื่อนถึงได้ชอบทำหน้าบูดหน้าบึ้งใส่กัน ทั้งยังสะบัดก้นหนีกลับไปนอนห้องของมันเองอีก คิดแล้วก็พ่นลมหายใจออกมา
เฮือกหนึ่ง

นึกว่าถูกโกรธ เพราะไปยุ่งย่ามโทรศัพท์เข้าซะอีก ดีนะ ที่ผมยังไม่ได้ไปง้อ ไม่งั้นความคงแตก แล้วโดนโกรธเพิ่มเป็นสองเท่าแหงๆ

จัดการพับกระดาษใส่ซองอย่างเดิม แล้วถามคนเอาจดหมายมาให้

“มึงไปฟ้องปุ้นมา?”

“เออ ให้ปุ้นด่านี่แหละสะใจที่สุดแล้ว หนอย กล้าเอาความลับของกูไปขายเพื่อฟัวกราส์กับแซลมอน แล้วยังมีหน้ามาบอกอีกนะว่าอร่อย
มาก!”

“หึ สมเป็นแมวตะกละ แต่ไม่ต้องห่วง กูมีแผนดัดหลังแมวนักกินไว้แล้ว”

“แผน’ไร”

“ไม่บอก”

“มึงนี่!”

“อะแฮ่ม! พวกมึงสองตัวช่วยตั้งใจฟังความยากลำบากตลอดหลายวันมานี่ของกูหน่อยได้ไหม”

เอพูดขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเคืองๆ

“ก็มึงมัวแต่ลีลา ไม่เข้าเรื่องสักทีนี่หว่า” กังหันแย้งไป มีผมพยักหน้าสนับสนุน

“เอ๊า มันก็ต้องเล่นตัวกันหน่อย กูผิด?”

“ผิด/ผิด”

เจอพวกผมประสานเสียงเข้าใส่ คนไม่มีพวกเลยทำหน้าบึ้งทันที แต่สุดท้ายก็ยอมเปิดปากคายสิ่งที่พวกผมอยากรู้ออกมาจนได้

“กูไม่แน่ใจว่าได้เสียกันหรือยัง แต่ไอ้นัทตามใจเด็กนั่นน่าดูเลยวะ”

แต่เหมือนคำตอบนี้ยังไม่โดนใจกังหันเท่าไหร่ มันเลยเป็นฝ่ายตั้งคำถามแทน

“ความผิดปกติอย่างอื่นล่ะ?”

“เท่าที่กูสังเกตมาก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกตินะ”

“แล้วสองคนนั้นอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องพักบ่อยแค่ไหน”

เอทำหน้านึก “ก็มีเข้าออกกันบ้าง แต่ไม่บ่อย ส่วนใหญ่จะใช้เวลาตามพวกผับกลางคืนมากกว่า”

“แล้วที่ผับมีห้องพักบริการหรือเปล่า?” กังหันยังจี้ถามต่อ

“บางที่มี บางที่ก็ไม่มี...มึงจะถามอะไรเยอะแยะเนี่ย คิดไปเที่ยวผับกับผัวหรือไง”

ผัวะ!

เอโดนกังหันตบหัวจะหน้าคะม่ำ คนออกแรงหน้าแดงก่ำด้วยความโมโหอย่างหนัก

“อย่าเอาความผิดพลาดแค่ครั้งเดียวของกูมาล้อเลียนนะโว้ย!”

“อ้อ แต่หลังจากนั้นคือความสมยอมใช่มะ”

คราวนี้เอโดนท่อนขากังหันถีบเข้าให้ แต่เจ้าตัวนกรู้ ลุกออกมาทัน เลยมีแค่เก้าอี้ที่ลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้นแทน

“โวะๆ มีผัวเถื่อนแล้วรุนแรงขึ้นนะเพื่อน”

“ถ้ามึงยังไม่หยุดเห่า ปากมึงได้แตกแน่!”

คนโดนเพื่อนชี้หน้าใส่กลับหัวเราะอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ทั้งยกเก้าอี้มาตั้งพื้นแล้วนั่งลงไปใหม่ สีหน้าดูแจ่มใสขึ้นกว่าเมื่อครู่โข

“เอาเป็นว่ากูไม่ได้ตามไปส่องถึงในห้องพัก เลยไม่รู้ว่าพวกนั้นเล่นมวยปล้ำบนเตียงหรือเปล่า ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร ดูไป
ออกจะเหมือนคู่รักธรรมดา ไม่น่ามีอะไรแอบแฝง แล้วถ้าพวกมึงยังไม่มั่นใจว่านัทกล้ากอด จูบ ลูบ คลำผู้ชายจริงไหม กูขอยืนยันด้วยสอง
ตาคู่นี้เลยว่าจริง!”

ผมกับกังหันสบตากันทันที ก่อนหน้านี้พวกผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งมาตลอด พอมาได้ยินชัดๆ แบบนี้กลับพูดอะไรไม่ออกซะงั้น 

“จะอึ้งกันไปทำไม” เอถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “พวกมึงควรยินดีกับเพื่อนสิ ที่มันได้ข้ามเส้นแบ่งคำว่าเพศไปแล้ว”

“อ้อ”

“อือ”

หลังพวกผมขานรับก็เกิดความเงียบขึ้นทันที เอมองพวกผมครู่หนึ่งก็ฟุบหัวกับโต๊ะ เป็นการบอกกลายๆ ว่าหมดหน้าที่กูแล้ว กูเลิกยุ่ง

“หึ ไม่คิดเลยว่าแผนชั่วของมึงจะดำเนินมาถึงจุดนี้ได้ ทั้งที่กูอุตส่าห์เขียนเสริมไปแล้วว่าไม่ต้องเปลืองตัวขนาดนั้นก็ได้แท้ๆ”

คนเขียนแผนการอย่างผมกรอกตาไปมา ตอนเขียนน่ะ เขียนไปสนุกๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่ากังหันไม่ทำหรอก ต่อมาเป็นไอ้นัทรับช่วงต่อก็ยิ่งมั่น
ใจว่าไม่เกิดขึ้นแน่ แต่...เฮ้อ~

“นี่เราทำเพื่อนเบี่ยงเบนเหรอวะ” ผมถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่

“กูจะไปรู้เรอะ!” กังหันเงียบไปพักหนึ่งถึงพูดด้วยเสียงอ่อนลง “รอเจอหน้านัทก่อนเถอะ ไม่รู้กำลังหลบหน้ามึงหรือเปล่า มึงโทรไปถึงได้ไม่
รับสาย”

นั่นดิ ขนาดเมื่อวานกระหน่ำโทรไปตามตัวให้มาควิซท้ายคาบขนาดนั้น มันกลับไม่รับสาย ส่งข้อความไปก็ไม่ขึ้นอ่าน ให้เต้โทรก็ไม่รับ ไม่
โทรกลับมาด้วย กลายเป็นว่ามีมันขาดเรียนขาดสอบอยู่คนเดียว

“เพราะแบบนี้น่ะสิ หลายวันมานี้กูถึงนึกว่านัทแปรพักตร์แน่แล้ว”

“แต่มันไม่ได้ทำ” ผมว่า

“โอเค กูมองเพื่อนสนิทมึงในแง่ร้ายไปหน่อย” พูดถึงตรงนี้กังหันก็ขมวดคิ้ว “แล้วคงไม่ได้จิตตกอะไรด้วย ใช่ไหม”

คำถามสุดท้ายถูกโยนไปทางคนฟุบหน้ากับโต๊ะ แน่นอนว่าเอไม่ได้ตอบ ดูเหมือนจะหลับไปแล้วด้วยซ้ำ

“...อาจจะดีก็ได้” ผมพูดออกมา “เด็กนั่นจะได้มีคนช่วยดามใจเร็วๆ เหมือนที่มึงอยากให้เป็นไง”

“ถึงกูตั้งใจไว้แบบนั้น แต่ไม่คิดว่าคนดามใจจะเป็นเพื่อนเรานี่หว่า” กังหันย่นคิ้วหนักกว่าเดิม “มันค่อนข้าง...เอ่อ เกินคาดไปนิด”

“ถ้าคู่นั้นไปกันได้ก็ดีแล้วนี่ ดูวิน-วินกับทุกฝ่ายดี ยำจะได้รู้สึกผิดน้อยลงด้วย”

“โฮ่” กังหันมองมายิ้มๆ “เดี๋ยวนี้เริ่มแคร์ความรู้สึกน้องกูเป็นแล้วเรอะ”

“หึ”

“งั้นแผนขั้นต่อไปจะคงไว้ หรือเปลี่ยนล่ะ”

“...อะไรที่มึงว่าดีกับยำก็ตามนั้นแหละ”

“งั้นคงแผนเดิม เริ่มส่งน้องกูลงสนามได้เลย”

ผมนิ่งอึ้งไปทันที แต่เห็นสีหน้าเพื่อนไม่ได้บอกล้อเล่นก็ได้แค่แค่นเสียงออกมา

“...เอาจริงเรอะ!”

“คนเขียนแผนลังเลแล้วหรือไง”

พอผมไม่ตอบ คู่สนทนาก็หัวเราะใส่ทันที

“นี่มึงจะเข้ากลุ่มปกป้องยำอีกคนหรือไง ขอบอกไว้ก่อน หัวหน้ากลุ่มอย่างปุ้นไม่รับมึงเข้าร่วมหรอกวะ”

“...ทำไม”

“ยังจะถามอีก” กังหันส่ายหน้าใส่ “เอาเป็นว่ารอมึงมองยำเป็นน้องได้ก่อนเหอะ ค่อยมาขอเข้าร่วม”

“หึ ยาก”

“ก็นั่นน่ะสิ เพราะงั้นมึงควรปล่อยแมวที่เลี้ยงไว้ให้ไปวิ่งเล่นนอกบ้านบ้าง”

“...”

“ไหงทำหน้าไม่สบอารมณ์แบบนั้นวะ หรือมึงเกิดไม่อยากปล่อยขึ้นมา?”

“คำพูดมึงน่ะ เหมือนให้กูเปิดประตูบ้านทิ้งไว้ให้แมวเถื่อนหนีออกไปเมื่อไหร่ก็ได้ ทั้งไม่รู้ด้วยว่าชะตากรรมหลังออกไปแล้วมันจะเป็นยังไง
กูกำลังรู้สึกแบบนั้น”

“เปรียบเทียบซะเห็นภาพเลยนะมึง แล้วไง จะไม่ปล่อยไปแล้ว?”

ผมนิ่งเงียบอย่างชั่งใจอยู่นาน กว่าจะตัดสินใจพูดออกมา

“...ถ้าจำใจต้องปล่อยไปจริงๆ กูคงแอบตามไปสังเกตดูพฤติกรรมของมันเงียบๆ วะ” 

“แน่ใจว่าทำได้แค่ดู?”

ผมกัดฟันบอกเพิ่มอย่างสิ้นท่า “รอมันเหนื่อยหรือเกิดเรื่องให้ช่วยเหลือเมื่อไหร่ กูค่อยไปปรากฏตัว แล้วอุ้มมันกลับบ้าน”

กังหันหรี่ตามองผม “หึ มึงชักอาการหนักแล้ววะ”

ผมเบือนหน้าหลบแววตาพราวระยับของเพื่อน แล้วพึมพำเบาๆ “...คงงั้น”

“แต่ยังดีที่มึงยังยอมปล่อยให้น้องกูได้ออกผจญภัยบ้าง ผิดกับปุ้น รายนั้นดูแลน้องอย่างกับไข่ในหิน เพิ่งจะมาปล่อยๆ บ้างก็ตอนน้องมัน
ตัดสินใจหนีออกจากบ้านเนี่ยแหละ”

“...ท่าทางกูคงต้องผจญกับพี่หวงน้องต่อสินะ”

“มึงอยากได้น้องเขาเป็นเมียก็ต้องทนเอาหน่อย”

ผมพ่นลมหายใจ แล้วถามเข้าเรื่องต่อ “แล้วจะให้กูปล่อยแมวเถื่อนไปเมื่อไหร่?”

“พรุ่งนี้”

“เร็วไปไหม!”

“ไม่หรอก น้องกูดื้อออก ต่อให้ได้ยินกับหูก็คงไม่เชื่อง่ายๆ ต้องปล่อยให้มันออกไปตามหาความจริงเอาเอง ยิ่งได้เห็นกับตายิ่งดี”

ผมไม่โต้เถียง เพราะที่กังหันพูดมาถูกต้องแล้ว แมวเถื่อนของผมนิสัยแบบนั้นจริงๆ

“ถ้ามึงจะตามไปดูก็ซ่อนตัวเองให้ดีล่ะ และถ้าไม่คับขันจริงๆ ห้ามปรากฏตัวให้ยำเห็นเด็ดขาด!”

“เออน่า” ผมรับคำแบบขอไปที

“รับปากให้หนักแน่นหน่อย”

“เออ!” ผมย้ำเสียงลงไป “พอใจไหม!”

“พอก็ได้ แล้วเด็กนั่นยังส่งข้อความมารังควานอยู่ไหมวะ”

“ก็หายไปพักหนึ่ง ตอนนี้กลับมาส่งอีกแล้ว แถมดุเดือดกว่าก่อนหน้านี้อีก คล้ายว่า...กำลังแค้นยำอยู่ไม่น้อย”

กังหันพยักหน้ารับรู้ แล้วพูดอย่างคาดเดา

“คงทั้งผิดหวังทั้งแค้นนั่นแหละ...ปล่อยให้นัทคอยปะเหลาะสักพัก น่าจะช่วยลดทอนคลื่นอารมณ์ได้บ้างล่ะมั้ง” 

หรือไม่ก็อาจผสมโลงเติมเชื้อไฟให้กองใหญ่ขึ้น

คิดแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ พูดออกมาสั้นๆ “หวังว่าจะเป็นอย่างที่มึงพูด”

“คุยจบยังพวกมึง”

เอส่งเสียงแทรกมา น้ำเสียงฟังดูงัวเงีย พอหันไปมองก็เห็นมันชูหน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังขึ้นเป็นรูปนาฬิกาปลุกขยับไปมา ตัวเลขดิจิตอลกำลังกระพริบบอกให้รู้เวลาว่า อีกสิบนาทีจะถึงเวลาเข้าเรียนช่วงเช้าแล้ว ต่างคนเลยต่างคว้าเป้ ผละจากโต๊ะหินอ่อนแทบจะพร้อมกัน

“จะมีควิซกะทันหันอีกไหมวะ”

จู่ๆ เอถามขึ้นมาระหว่างทางเดินตรงไปหน้าตึกเรียน เลยโดนกังหันตบหัวไปหนึ่งที พร้อมทั้งสั่งสอนอีกหนึ่งยก

“มึงไม่เคยได้ยินหรือไงว่าเข้าป่าห้ามถามหาเสือ เข้าเรียนก็ห้ามถามเรื่องควิซ!”

ผมเดินหัวเราะอยู่ด้านหลังเพื่อนสองคน แต่ทันทีที่เหลือบไปเห็นแมวเถื่อนกำลังเดินหัวเราะมากับกลุ่มเพื่อนของมันก็ชักหัวเราะไม่ออก
กะทันหัน

...ถ้าพรุ่งนี้ผมปล่อยมันออกไปสืบหาความจริง แล้วผมจะได้เห็นสีหน้ายิ้มแย้มแบบนี้อีกเมื่อไหร่กัน?

############
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-11-2017 10:46:01 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1251
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
รีบๆจับแมวนะ

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้ 7 : แมวเถื่อนเต้นผาง


“มึงเลิกกับคนนั้นยัง”

พอได้ยินคำถามจากผม คนนอนคว่ำหน้าก็ผงกหัวจากหมอน มองมาทางผมด้วยสายตาเรียบนิ่ง

“ถามทำไม”

“ถามไม่ได้?”

คนพูดหันหน้าไปอีกทาง แล้วตอบเสียงอู้อี้ “ไม่ต้องถาม กูไม่อยากตอบ”

ผมนิ่งไปเล็กน้อย แล้วเอื้อมแขนข้ามร่างแมวเถื่อนพร้อมชูโทรศัพท์ไปตรงใบหน้า เพียงแค่เห็นรูปถ่ายบนหน้าจอ ข้าวยำก็เด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ทั้งยังฉวยของในมือผมไปทันทีตามคาด

“เหี้ย! ใครส่งรูปนี้มาให้มึง!”

“เอ”

“พี่เอ?”

“เออ มันบังเอิญไปเจอเข้า”

ผมมุสาหน้าด้านๆ เพราะต่อให้ความบังเอิญมีบนโลก โอกาสเกิดขึ้นจริงก็น้อยยิ่งกว่าน้อย ขนาดคนถ่ายรูปมาอย่างเอ ถ้าไม่เฝ้าตามดูเด็กนั่นก่อน จะไปเจอเรื่องแบบนี้จนได้รูปถ่ายมาเรอะ

“แฟนกูคงเมามาก!”

ได้แต่ลอบหัวเราะในคอกับคำแก้ตัวที่แมวเถื่อนพูดออกมา โอบเอวเดินซะตัวติดกันขนาดนี้ มึงยังจะแก้ตัวให้อีกนะว่าเพราะเมา

“มึงรู้ไหมว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร?”

“ไม่รู้”

ผมไม่ได้พูดโกหก เพราะไม่รู้จักผู้ชายแปลกหน้าในรูปจริงๆ เอกับกังหันก็ไม่รู้จัก ขนาดนัทที่ช่วงนี้สนิทกับเด็กนั่นยังไม่รู้เลยว่าใคร

ข้าวยำมองมาอย่างจับผิด แล้วถามย้ำอีกที “ไม่ใช่ว่ามึงส่งเพื่อนไปสร้างสถานการณ์ให้กูเข้าใจแฟนผิดนะ”

ผมเหยียดยิ้มออกมาให้มันเห็น ใจหนึ่งชื่นชมที่มันไม่ใช่แมวโง่ ส่วนอีกใจหนึ่งรู้สึกน้อยใจหน่อยๆ ที่โดนคนที่รู้สึกดีด้วยมองในแง่ร้าย 

“อยากโทษกูนักก็เชิญเลย”

ผมพูดอย่างท้าทาย ทั้งจ้องตาในระยะประชิดอยู่นาน...เป็นข้าวยำที่ยอมถอนสายตาออกไปก่อน

“ไม่ใช่มึงก็ดีแล้ว”

ข้าวยำกดส่งรูปภาพไปทางไลน์ของมันก่อน เสร็จแล้วถึงส่งโทรศัพท์คืนมาให้ จากนั้นก็ทำทีว่าจะนอนแล้ว ผมจึงต้องถอยออกมาปิดไฟในห้อง แล้วเดินไปทิ้งตัวนอนที่เตียงตรงข้าม เฝ้ามองเงาตะคุ่มของใครบางคนพลิกตัวไปมาอยู่ค่อนคืนกว่าจะสงบลงได้ในที่สุด

วันต่อมาข้าวยำเริ่มเคลื่อนไหวตามที่กังหันคาดเดาไว้ทุกประการ

เริ่มจากไปคาดคั้นเพื่อนตัวเองเกี่ยวกับข่าวของเด็กนั่น เพื่อนของข้าวยำกลุ่มนั้นหันซ้ายหันขวา แล้วรีบลากข้าวยำไปคุยที่โต๊ะหินอ่อนไกลจากชาวบ้าน แล้วเริ่มสุมหัวซุบซิบกันใหญ่

“จากท่าทาง เด็กพวกนั้นคงอยากพูดมานาน แต่เพราะเกรงใจมึงเลยไม่กล้าพูดออกมาแหง”

กังหันพูดเดาพฤติกรรมของเพื่อนข้าวยำจบ ก็หันมาตบไหล่ผมเป็นเชิงปลอบ

“มึงอย่าไปโกรธรุ่นน้องเราล่ะ”

“หึ แค่พวกนั้นยอมปิดปากเงียบนานขนาดนี้ กูก็ไม่มีเหตุผลจะไปโกรธแล้ว”

“แล้วตอนนี้นัทเป็นยังไงบ้างล่ะ”

“ดูสบายดีมั้ง” ผมว่า แล้วขยายเพิ่มอีกหน่อย “เต้บอกมาอย่างนั้น”

“ได้โทรมาคุยกับมึงยัง”

“หลังรู้จากเต้ว่าคนที่มันนอนด้วยไม่ได้เป็นเด็กของกูก็ยอมส่งข้อความมาหาทางไลน์แล้ว กูเลยลองถามถึงผู้ชายในรูปดู นัทบอกไม่รู้จัก แต่เดาว่าน่าจะเป็นเพื่อนของเพื่อนที่ไปส่งเด็กนั่นถึงหอ...ข้าวยำก็เดาไว้แบบนั้นเหมือนกัน”

“หืม...แสดงว่าเด็กนั่นเมาจนให้คนอื่นไปส่งบ่อยล่ะสิท่า”

“ไม่ก็คงใช้วิธีนี้ดักจับผู้ชายบ่อย”

“จะใช่หรือไม่ใช่ มึงก็เตือนๆ นัทไว้หน่อยแล้วกัน กูกลัวมันพลาดติดโรคไม่ดีมา”

ผมเหลือบมองกังหันแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาลอยๆ

“ถ้าคนรู้จักเด็กนั่นมาได้ยินเราคุยกัน มึงว่าพวกเราจะโดนกระทืบแบนติดพื้นไหมวะ”

คนฟังยังอุตส่าห์ตอบ “จะเหลือเรอะ!”

-------------

หลายวันแล้วที่กลุ่มแมวเถื่อนไปซุ่มจับผิดกระรอก แล้วมีสามพรานลอบจับจ้องทั้งกระรอกทั้งแมวเถื่อนอีกทอดหนึ่ง บรรยากาศแต่ละกลุ่มก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว อย่างกระรอกแลดูชื่นมื่นไปตามยถากรรม กลุ่มแมวเถื่อนพากันเคร่งเครียดจริงจัง และสามพรานพากันเบื่อหน่ายถึงขนาดคนข้างตัวผมอ้าปากหาวแล้วหาวอีก

“เมื่อไหร่จะจบสักที” เอเริ่มบ่น

“คงอยู่ที่เมื่อไหร่แมวเถื่อนจะกล้าไปปรากฏตัวต่อหน้ากระรอกมั้ง”

ผมจำต้องตอบ เพราะวันนี้สามพรานเหลือแค่สอง อีกหนึ่งกลับไปดูแลแมวใหญ่คุมซอยที่นับวันชักหงุดหงิดอารมณ์เสียมากขึ้นเรื่อยๆ พอได้คนเลี้ยงกลับคืนไปถึงได้สงบลงมาหน่อย

“ความจริงพวกเราไม่ต้องตามมาดูแมววิ่งเต้นทุกวันแบบนี้ก็ได้นะ”

“มันก็ใช่ แต่...”

“มึงห่วงแมว กูเข้าใจ แต่มึงห่วงมากไปแล้ว แมวมึงไม่ได้อยู่คนเดียวสักหน่อย”

“กูเห็น แต่อดมาดูด้วยตาตัวเองไม่ได้อยู่ดี”

คนฟังถึงกลับทำหน้าระอาใจให้เห็น แล้ววกกลับเข้าเรื่องเดิมต่อ “แล้วเมื่อไหร่แมวของมึงจะกล้าเผชิญหน้า?”

“กูจะไปรู้เรอะ”

ตอบไปแล้วก็อดนิ่วหน้าไม่ได้ เพราะจากที่คิดว่าเห็นจะๆ คาตาสักหนสองหน แมวเถื่อนคงเดินไปเคลียร์แล้ว แต่นี่หลายหนแล้วก็ยังไม่ทำอะไรสักที ขนาดวันนี้เห็นเดินควงแขนตัวติดหนึบเข้าหอพักชัดถนัดตาแท้ๆ แมวของผมยังเฉยอยู่ได้ กลายเป็นฝ่ายผมซะเองที่รู้สึกหงุดหงิดแทน

“เฮ้อ...” เอถอนหายใจยาว แล้วพูดด้วยเสียงเบื่อหน่ายสุดๆ “กูขอบอกอีกทีนะ การที่มึงกับกูมาอยู่ที่นี่ มันเสียเวลาชิบหายเลยวะ”

“งั้นมึงไปคุมแมวใหญ่แทนกังหันซะสิ มันจะได้รีบกลับมาซุ่มดูกับกูต่อ...”

ยังไม่ทันพูดจบดี เอก็พูดสวนเข้าใส่แล้ว

“กูก็ได้โดนแมวใหญ่ตบกลิ้งกลับมาหามึงน่ะสิ!”

พอได้นึกภาพตาม ผมก็หลุดหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่ ระหว่างยังขำอยู่ ผมไม่ได้ละสายตาที่คอยมองกลุ่มแมวเถื่อนจึงได้เห็นว่าฝ่ายนั้นเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เลยรีบสะกิดคนกำลังทำหน้าเซ็งสุดขีดยิกๆ

“อะไร”

“รุ่นน้องเราเคลื่อนไหวแล้ว”

เอชะโงกหน้าไปมองอย่างกังขา ปากก็บ่นไปด้วย “คงไม่ใช่ว่าไปยืนดูลิฟต์แล้วกลับเหมือนเมื่อวานนะ”

“ก็มองอยู่นะ” ผมว่าตามที่เห็น “แต่เหมือนจะเริ่มขึ้นบันไดหนีไฟกันไปแล้ววะ”

ผมกับเอสบตากันทันทีด้วยแววตาที่เริ่มกระตือรือร้นขึ้น ยืนรอกันพักใหญ่ๆ ให้กลุ่มแมวนำไประยะหนึ่งก่อน พวกผมถึงได้ออกจากที่ซ่อนแล้วตามขึ้นตึกไปทางบันไดหนีไฟที่อยู่ใกล้ลิฟต์

ระหว่างเหยียบขึ้นบันไดก็ระวังไม่ให้เกิดเสียงฝีเท้า ขึ้นไปเกือบถึงชั้นสี่ก็เจอกลุ่มแมวเถื่อนยืนออกันอยู่แถวหน้าบันไดที่ขึ้นไปชั้นห้า เอเลยรีบดึงผมให้ถอยกลับลงไปอยู่รอที่พักเท้าชั้นสี่ทันที ระหว่างนั้นก็ได้ยินกลุ่มแมวเถื่อนพูดคุยกัน 

“แน่ใจนะว่ามึงจะไปคนเดียว?”

“อืม”

“งั้นพวกกูจะรออยู่นี่แล้วกัน”

“อืม”

หลังข้าวยำตอบรับคำสั้นๆ ไม่นาน พวกผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นคือความเงียบ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นเสียงพูดคุยแสดงความคิดเห็นของกลุ่มเพื่อนข้าวยำ

“กูนึกว่าคู่นี้เลิกกันไปนานแล้วซะอีก มันถึงได้ไปกิ๊กกั๊กกับพี่ภู”

“กูด้วย”

“งั้นแบบนี้เรียกต่างฝ่ายต่างนอกใจได้ไหมวะ”

“นี่ๆ พวกมึงจำที่เด็นมาตบยำถึงคณะได้ปะ”

“ได้ดิ”

“หรือที่เด็นด่ายำไปวันนั้นจะจริงวะ?”

“ยำเนี่ยนะจะนอกใจก่อน! ไม่น่าใช่วะ”

“ก่อนหน้านั้นพวกมันก็มีปัญหาอยู่แล้วนี่ ยำเองยังดูเบื่อๆ เวลาทะเลาะกันอยู่เลย จะมองหาคนใหม่บ้างก็ไม่แปลกหรอก”

“แต่ตอนนี้มันเจ็บปวดจริงนี่ กูว่ายำไม่น่าจะนอกใจก่อนนะ”

“แล้วเรื่องมันกับพี่ภูล่ะ?”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่มีคนทำลายลงไป

“โอ๊ย! กูล่ะปวดหัวกับพวกมีแฟนจริงๆ”

“มึงไม่มีแฟนเหมือนชาวบ้านก็อย่าเหมารวม”

“ไว้มึงมีแฟนแล้วหาเรื่องปวดหัวให้พวกกูแบบนี้บ้าง กูจะตบกบาลมึงไปกระแทกโต๊ะให้ดู”

“มึงเป็นผู้หญิงนะ อย่าเพิ่งทึกเหมือนหมีควาย...โอ๊ย! ตบจริงหรือเนี่ย!”

“ก็ดูปากมึงดิ มอมขนาดนี้! กูเลยช่วยกระแทกเผื่อหมาในปากของมึงจะหลุดออกมาบ้าง!”

ไหล่ผมถูกสะกิด พอหันไปมองก็เห็นเอกำลังโบกมือบุ้ยใบ้ให้ลงไปรอด้านล่าง ผมเหลือบมองด้านบนอีกครั้งอย่างลังเลใจ เพราะใจจริงอยากตามขึ้นไปดูถึงชั้นห้า ติดว่าบันไดโดนขวางไปแล้ว ลิฟต์ก็ใช้ไม่ได้ ไม่งั้นตอนเข้าออกอาจโดนเด็กกลุ่มนี้เห็นตัวเข้า

เฮ้อ...ถ้าเด็กนั่นเลือกอยู่หอพักใหญ่กว่านี้ ผมคงมีบันไดหรือลิฟต์ตัวอื่นให้เลือกใช้ไปแล้ว

ผมละสายตาอย่างคนพยายามตัดใจ แล้วเลือกตามเอลงไปชั้นล่าง อาศัยช่วงเวลาที่เด็กพวกนั้นส่งเสียงทะเลาะกันกลบเสียงฝืเท้าได้อย่างดี พอลงมาได้ก็กลับไปที่จุดใช้ซ่อนตัวก่อนหน้านี้ แล้วรอคอยคนด้านบนลงมา

“จบซะที”

ผมเหลือบมองเอที่ยืนชูมือเหนือหัวบิดขี้เกียจอยู่ แล้วโบกมือไล่ “มึงอยากกลับก่อนก็กลับเลย”

“มึงล่ะ?”

“กูจะอยู่ต่อ”

“งั้น...กูกลับล่ะนะ”

ผมพยักหน้า มองส่งเอที่เดินจากไป แล้วหันมามองทางเข้าหอพักต่อ รออยู่นานกว่าจะเห็นกลุ่มแมวเถื่อนทยอยเดินออกจากตึก สายตาของผมเลื่อนหยุดที่ข้าวยำอัตโนมัติ สีหน้ามันดูแย่มากจนผมใจกระตุกตาม

แรงสั่นสะเทือนที่ต้นขาทำผมได้สติ รีบชักเท้าที่ก้าวออกไปข้างหน้ากลับมา หลับตาปรับอารมณ์อยู่ครู่หนึ่งถึงดึงโทรศัพท์ขึ้นมาดูชื่อแวบหนึ่ง แล้วกดรับสาย

“มีอะไร”

[เอไลน์มาบอกว่าจบแล้ว]

“อืม”

[แล้วน้องกูล่ะเป็นไงบ้าง]

“สีหน้าแย่มาก”

[ตอนนี้อยู่กับมึง?]

“เปล่า”

ตอบปฏิเสธพลางดูเด็กกลุ่มนั้นพากันเดินไปขึ้นรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ไม่ไกล

[แล้วอยู่กับใคร!]

“ขึ้นรถไปกับกลุ่มเพื่อนมันแล้ว” มองส่งจนรถคันนั้นขับจากไปจนลับสายตาถึงได้ขยับตัวออกมาจากที่หลบซ่อนตัว เดินเร็วๆ ตรงไปที่รถตัวเองบ้าง “กูกำลังจะขับตามไป แค่นี้นะ”

[เดี๋ยว...]

ผมกดวางสายอย่างรีบร้อน เข้าประจำที่หลังพวงมาลัยได้ก็เหยียบคันเร่งออกไปทันที ระหว่างอยู่บนถนนก็กวาดมองหารถเป้าหมายไปด้วยอย่างร้อนใจ ขับมาไกลพอสมควรก็ไม่เห็น

หายไปไหนวะ!

ผมตัดสินใจว่าถ้าเลยสี่แยกข้างหน้าไปแล้วยังไม่เจอ จะเปลี่ยนเป็นโทรหาข้าวยำแทน ระหว่างที่คิดผมกลับเห็นรถเป้าหมายกำลังเลี้ยวรถไปทางซ้ายที่สี่แยกด้านหน้าเข้า เลยรีบตบไฟเลี้ยว แล้วเริ่มขับติดตามห่างช่วงหนึ่งตั้งแต่ตอนนั้น

...แล้วมาจบที่ร้านเหล้าอย่างที่นึกไว้ไม่มีผิด

ผมยกแก้วเหล้าจิบช้าๆ มองแมวขี้เมากระดกแก้วเบียร์ในมือซดเอาๆ ไม่มีหยุด เพื่อนพูดห้ามก็ไม่ฟัง ซดของมึนเมาได้ไม่นานก็เริ่มเลื้อยไปกับโต๊ะ ถึงอย่างนั้นกลับยังกำแก้วเบียร์ไม่ปล่อย แล้วยังพยายามจะกินเข้าไปอีก ผมทนมองจนมันสลบไปนั่นแหละ ถึงได้วางแก้วตัวเองลงกับโต๊ะ เรียกพนักงานมาคิดเงิน

“คิดเงินโต๊ะนั้นด้วย”

ชี้นิ้วบอกโต๊ะที่กำลังวุ่นวาย จัดการจ่ายเงินแล้วถึงลุกเดินไปหา ทันได้ยินใครคนหนึ่งในกลุ่มกำลังจัดแจงว่าจะให้ใครไปส่งใครบ้างพอดี

“เดี๋ยวพี่พายำกลับเอง”

“อ๊ะ พี่ภู!”

ไม่เห็นต้องทำหน้าตาตื่นตระหนกขนาดนั้นเลย คิดพลางลอบถอนหายใจ แล้วเดินตรงไปดึงแก้วออกจากมือคนเมาหลับ ทั้งหิ้วปีกแมวเมาขึ้นมาจากโต๊ะ คนที่ผมคิดว่าหลับไปแล้วกลับผงกหัว พูดงึมงำเสียงยางคาง

“อือ...อาวมาอีกแก้ว~”

คนเมากำมือเปล่าชูส่ายไปมาขอให้เติมเบียร์อีกแก้วจนคนมองอย่างผมอดส่ายหน้าให้ไม่ได้ พอละสายตาจากแมวเถื่อนก็หันไปบอกพวกรุ่นน้องที่มองมาอย่างทำอะไรไม่ถูก

“พี่จ่ายเงินให้แล้ว ขอบคุณที่ช่วยดูแลยำให้”

พูดจบก็จับคนเมาอุ้มพาดบ่าเดินผละจากมาทันที ระหว่างนั้นผมได้ยินเสียงใครสักคนในกลุ่มนั้นพูดโผล่ขึ้นมา

“ใครโทรบอกพี่ภูวะ?”

ผมรู้สึกขำอยู่ในใจ เพราะนึกภาพคนที่เหลือส่ายหน้าว่าไม่รู้ ไม่ได้โทรได้เลย

-------------

ก๊อกๆๆ

สิ้นเสียงเคาะประตูไม่นานเจ้าของห้องก็เปิดประตูออกมา ฝ่ายนั้นมองผมอย่างแปลกใจ แต่พอเลื่อนมาเห็นคนที่ผมอุ้มกึ่งประคองอยู่ก็อุทานออกมา

“ยำ!”

“พี่เอาตัวมาส่ง” พูดพร้อมกับส่งตัวคนเมาให้วินประคองต่อ

“ขอบคุณครับ” พูดทั้งที่ย่นจมูก สงสัยจะเหม็นกลิ่นเบียร์ที่ติดตัวข้าวยำมา “ทำไมกลิ่นแรงแบบนี้ล่ะพี่”

“พี่เห็นมันกระดกแก้วเข้าปากไม่มีหยุด ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มีสภาพอย่างที่เห็น”

นี่ยังไม่นับเบียร์ที่มันทำหกรดตัวเองด้วย

“อ้อ” สายตาวินมองคนเมาเต็มไปด้วยความระอาใจ แล้วหันมาทางผม

“เดี๋ยวผมเอายำไปนอนก่อน เอ่อ ฝากพี่ภูปิดประตู...ได้ไหมครับ” วินเอ่ยอย่างลังเลปนเกรงใจ

ผมพยักหน้าให้ว่าได้ มองวินประคองกึ่งลากคนเมาหลับเข้าห้อง ยืนมองจนเห็นคนเมาถูกทิ้งตัวบนฟูก มีผ้าห่มคลุมทับบนตัวอีกที ผมถึงได้กดล็อกห้องแล้วดึงบานประตูปิดสนิท แล้วผละออกมาเพื่อกลับห้องตัวเองบ้าง

ถ้าถามว่าทำไมไม่พาแมวเถื่อนไปนอนด้วย...คือในใจผมรู้สึกว่า ตื่นเช้ามาข้าวยำคงไม่อยากเห็นหน้าผมที่เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเลิกกับแฟนเท่าไหร่ เพราะงั้นช่วงนี้จะยอมปล่อยให้คนอื่นดูแลไปก่อนแล้วกัน

ผ่านไปหลายวันนับจากคืนที่เอาแมวเมาไปส่งถึงมือวิน ผมก็ไม่ได้เจอแมวเถื่อนอีกเลย แต่กลับเจอนัทมายืนกอดอกหน้าทะมึนถึงข้างเตียงแต่เช้าแทน

“...จะมาคุยด้วยก็ปลุกสิ” ผมพึมพำอย่างอดไม่อยู่

ไม่รู้หรือไงว่าการมีคนมายืนจ้องกดดันจนรู้ตัวตื่นเองนี่มัน...เป็นความรู้สึกย่ำแย่ที่ผมบรรยายออกมาไม่ถูก ทำได้แต่ยันตัวลุกขึ้นนั่งพิงหมอน แล้วถามคนที่ขมวดคิ้วจนแทบจะชนกันอยู่แล้วแทน

“จะมาด่ากูหรือไง”

“กูแค่อยากมาถาม” นัทขยับตัวไปนั่งบนเตียงฝั่งตรงข้าม ไม่ได้สนใจเลยว่าทำคนอื่นตื่นมาผวา “ทำไมมึงไม่บอกกูว่าเด็กนั่นเป็นแฟนยำ”

“มาถามแค่นี้?”

“แล้วทำไมปล่อยให้กูเข้าใจผิดว่าเด็นเป็นเด็กของมึง”

ผมเท้าคางกับเข่าที่ยกขึ้นตั้งชัน “แค่นี้ใช่ไหมที่มึงสงสัย?”

“อีกคำถาม...ทำไมถึงดึงกูไปเกี่ยวกับเกมของมึง”

ฟังถึงตรงนี้กลายเป็นผมที่ทำหน้าเอือมระอาใส่ “มึงนึกดีๆ นะ วันนั้นเป็นมึงที่อาสารับไปทำเอง”

“มึงห้ามกูได้!”

“แล้ววันนั้นมึงพร้อมฟังกูไหม”

นัทเงียบไปทันที ผมเลยถอนหายใจ แล้วเป็นฝ่ายถามบ้าง

“มึงคิดยังไงกับเด็กนั่นวะ”

“กูมีสิทธิ์คิดได้ด้วยเรอะ” นัทประชดกลับมา

“ถ้ามึงชอบพอเด็กนั่นก็คบไป”

“พูดง่ายนะ”

“แล้วมันมีอะไรยาก?”

“ความรู้สึกยำไง มึงคิดว่าน้องจะรู้สึกยังไงถ้ากูควงแฟนเก่ามันเดินโฉบไปมาให้เห็นต่อหน้า”

“คนของกู กูมีวิธีจัดการน่า ส่วนมึงควรสนใจความรู้สึกของตัวเองก่อน”

“...กูยอมรับว่ารู้สึกดีกับเขาไม่น้อย แต่บางครั้งก็ใช่ว่าคนเราจะทำตามที่ใจต้องการได้หมด” นัทยิ้มหยันออกมา “น่าเสียดายกูยังเอาแต่ใจและเลวได้ไม่เท่ามึงวะ”

ผมรับฟังเงียบๆ ทั้งที่ในใจนึกอยากถามว่ามันห่วงความรู้สึกรุ่นน้อง ของตัวเอง หรือของเด็กนั่นมากกว่ากัน แต่อย่าถามไปเลยดีกว่า พอนั่งเงียบอยู่ชั่วขณะหนึ่ง คนมาเยือนจึงลุกขึ้นยืนเตรียมออกจากห้อง

เพราะกลัวว่าจะไม่มีโอกาสอีก ผมเลยรีบพูดสิ่งที่อยากบอกออกไป

“ถ้ามึงรู้สึกรับไม่ไหว จะเลิกคบกูเป็นเพื่อนก็ได้”

นัทหันกลับมามองผม แล้วเลิกคิ้วขึ้นสูง “อยากให้กูเลิกคบ?”

“...ไม่ค่อยอยาก”

พอได้ยินเสียงอ้อมแอ้มจากผม นัทก็หัวเราะออกมาทันที

“กูไม่ใช่แค่เพื่อนมึง แต่เคยเป็นรูมเมทมึงด้วย มึงจะชั่วจะเลวยังไง กูนี่แหละรู้ดีที่สุด เพราะงั้นเรื่องคราวนี้ไม่ได้ทำให้กูโกรธหรือเกลียดมึงหรอก...ก็แค่ข้องใจเฉยๆ เลยอยากมาถามให้หายคาใจน่ะ”

“อ้อ”

“แต่ใช่ว่ากูจะไม่เอาคืนมึงนะ” นัทยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “หวังว่ามึงจะไม่โกรธกัน”

แม้รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีแต่ก็ผงกหัวรับรู้ มองตามแผ่นหลังเพื่อนจนกระทั่งประตูห้องปิดลงถึงนึกเรื่องบางอย่างได้จึงรีบตะโกนออกไป

“เอากุญแจไปคืนด้วยนะโว้ย!”

ไม่มีเสียงตอบกลับมา ก็หวังว่ามันจะเอากุญแจสำรองที่ไขเข้ามาไปคืนผู้ดูแลห้องพัก ไม่งั้นตอนย้ายออกจะกลายเป็นผมนี่แหละที่ต้องจ่ายค่าปรับแทนมัน

...นี่คงไม่ใช่เอาคืนที่มันเกริ่นไว้ก่อนใช่ไหม?

ทั้งวันผมครุ่นคิดถึงเรื่องที่นัทบอกทิ้งท้ายไว้ ทั้งลองคาดเดาความเป็นไปได้ ทั้งคอยระวังตัวแจจนเลยบ่ายมาแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น

มันหลอกให้ผมคิดมากหรือเปล่าวะ!

ผ่านมาจนเลิกเรียนก็ไม่เห็นมีอะไรจนผมคลายการระวังตัวลง แต่ด้วยความสงสัยที่ไม่จางหายไปไหน ผมเลยชวนเอกับกังหันไปนั่งที่โต๊ะหินอ่อนหน้าคณะ กะเอาเรื่องนี้ไปลองปรึกษาดู

“มีเรื่องอะไรอีกวะ มึงถึงนั่งคิ้วขมวดทั้งวัน”

“จะเรื่องอะไร” กังหันพูดเสริมทันที “นอกจากเรื่องข้าวยำ”

“เปล่า” ผมปฏิเสธ “เรื่องของนัท...”

“เดี๋ยว...ยำกำลังเดินตรงมาทางนี้” กังหันรีบเตือน

พวกผมเงียบไปอึดใจหนึ่งก็ขุดเรื่องไร้สาระมาคุยกัน รอจนข้าวยำเดินมาถึงที่โต๊ะ แต่ยังไม่ทันมีใครพูดทักทาย และผมเห็นแค่อะไรสักอย่างพุ่งเข้าใส่หน้าแวบๆ

ผัวะ!

ความชาแผ่ลามไปทั่วแก้มซีกขวาอย่างไม่ทันตั้งตัว พอตั้งหลักมองเจ้าของหมัดก็เจออีกฝ่ายตะโกนใส่อย่างโกรธจัดสองคำ

“ไอ้เหี้ย!”

และคงมีหมัดที่สองตามมา ถ้ากังหันกับเอไม่ตั้งสติได้ก่อน แล้วไปช่วยกันรั้งแขนคนมาหาเรื่องถึงที่ไว้ ถึงอย่างนั้นคนโดนจับก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ พยายามจะเข้ามาต่อยผมให้ได้

“ใจเย็นยำ ใจเย็น” กังหันพยายามพูดปลอบ

“ให้เย็นเหี้ยอะไรอีก!” ยำชี้นิ้วใส่หน้าผม สีหน้าโกรธจัดไม่แพ้น้ำเสียง ภายในแววตามีร่องรอยของความเจ็บปวดแฝงอยู่ “พี่ดูมันนะ มันน่ะกล้าทำกับผมแบบนี้ได้ยังไง!” 

“พี่บอกให้ใจเย็นก่อนไง!”

ปี๊ด!

เสียงหวีดร้องของนกหวีดดังขึ้นมากะทันหันทำพวกผมสะดุ้งเฮือก ยิ่งหันไปมองต้นเสียงได้เห็นกลุ่มพี่วินัยปีสามนั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนใกล้ๆ แต่ละคนมองมาหน้านิ่งดุ พวกผมก็ได้แต่หน้าซีดลงถนัดตา

“ซ...ซวยแล้ว”

เอร้องครางออกมาเสียงเบาหวิว ทั้งยังคลายมือที่จับข้าวยำอยู่ออก แต่คนมาอาละวาดถึงที่กลับยืนนิ่งประดุจถูกสาปไปแล้ว เมื่อมั่นใจว่าจะไม่ถูกต่อยอีกหมัด ผมจึงละสายตาไปมองกลุ่มรุ่นพี่ที่ค่อนข้างคุ้นหน้าอีกครั้ง แถมหนึ่งในนั้นยังมีพี่รหัสตัวเองอีก

เพียงแค่สบตาด้วย สายรหัสปีสามก็มองมาอย่างคาดโทษ แล้วขยับตัวลุกขึ้นยืน ดึงนกหวีดออกจากปากพร้อมพ่นถ้อยคำพูดแสนสุภาพ แต่ดุดันออกมา

“พวกคุณกล้ามากนะที่มาทะเลาะกันต่อหน้าต่อตาพวกผม!” 

ได้ยินเพียงเท่านี้พวกผมก็รับรู้เลยว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น และทำได้แค่ยิ้มเจื่อนออกมาอย่างยอมรับชะตากรรม

############

ในที่สุดก็จบช่วงที่สามแล้วค่ะ //ปาดเหงื่อ
เป็นตอนที่เขียนยากมากตอนหนึ่งเลยค่ะ เราโละทิ้ง แล้วเขียนใหม่เยอะมาก สุดท้ายก็ผ่านมาจนได้ (ดีใจ)
ส่วนตอนต่อไปเราจะเข้าช่วงที่4 กันแล้วนะ เป็นช่วงสุดท้ายของเรื่องนี้ค่ะ แบ่งออกเป็นเจ็ดตอนเหมือนเดิม
สุดท้ายขอชูป้ายนี้ค่ะ >>> ' To Be Continued '
แล้วเจอกันใหม่นะ ^_^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-01-2018 08:50:43 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
นัท ก็นะ เต้มใจ ยินดีรับแผนไปทำต่อแท้ๆ
แล้วกลับมาเอาคืนซะนี่
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 485
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ดีมากนัท ทำดีแล้ว

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
แมวเถื่อนในคอนโด 1 : ลักพาตัว (ครึ่งแรก)


“มึงนะมึง ทำเพื่อนเดือดร้อนกันทั้งรุ่น!” เอบ่นเป็นคนแรก

มีกังหันพูดเสริมอีกคน “หึ พรุ่งนี้มึงได้ดังกระฉ่อนแน่วะภู”

ผมเหลือบมองเพื่อนสองคนที่เดินขนาบหิ้วปีกตัวเองอยู่ด้านข้าง แล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้   

“ฟังเอบ่นน่ะไม่เท่าไหร่ แต่มึงสิ...คิดจะทำอะไรกันแน่”

พอถามไป กังหันก็คลี่ยิ้มมีเลศนัยให้ผมเห็นทันที “ทำเรื่องที่พี่ชายควรจะทำให้น้องน่ะสิ”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย “จะชกกูอีกคนหรือไง”

“ไม่ดี!” เอรีบพูดแทรกขึ้นมา “แค่นี้ไอ้ภูก็เดี้ยงจนเดินเองไม่รอดอยู่แล้ว”

“แล้วสภาพกูตอนนี้เหมาะไปหาเรื่องใครหรือไง!” กังหันด่าสวนไป “แค่เดินพยุงไอ้ภูกลับหอก็ทำท่าจะไม่รอดเลย...เฮ้ยๆๆ”

“มึงอย่าเพิ่งเทน้ำหนักมาทางนี้! เดี๋ยวกูทรุดตาม”

“ใช่เพราะกูที่ไหนเล่า!”

เสียงตะโกนโต้เถียงกันไปมาของเพื่อนดังขึ้นในช่วงที่ผมกลั้นใจพยายามยันตัวเองไว้ไม่ให้ล้ม แต่ทำได้แค่ชั่วเวลาหนึ่งขาข้างนั้นก็สั่นระริกจนแทบทรุดฮวบ ดีที่ได้กังหันช่วงรั้งไว้อีกแรง ทางเอเลยพอมีเวลาให้ตั้งหลัก ในที่สุดพวกผมสามคนก็ได้กลับมาทรงตัวดีๆ บนพื้นใหม่

“กูว่าเดินไปกันเองไม่รอดแน่วะ” เอพูดด้วยน้ำเสียงกังวล “กูเดี้ยง มึงก็เดี้ยง แต่ไอ้ภูสิมากกว่าเดี้ยงอีก”

“กูไม่เป็นไร” ผมกัดฟันพูดออกมา “เดินกันต่อเถอะ”

“กูเลือกเดินอีกเสียง เพราะถ้าได้นั่งพักเมื่อไหร่นะ กูคงไม่ขยับลุกไปไหนแน่”

เอมองพวกผมสลับไปมาอยู่อึดใจหนึ่งถึงพยักหน้า “งั้นก็...สู้โว้ย!”

ปลุกใจกันจบก็ออกเดินช้าๆ อีกครั้ง คราวนี้ตั้งใจเดินเป็นพิเศษ ตลอดทางจึงไร้เสียงพูดคุยใดๆ ทั้งสิ้น

พวกผมใช้เวลานานทีเดียวกว่ากลับมาถึงหอได้ แล้วยังต้องเสียทั้งเวลาทั้งเรี่ยวแรงในการขึ้นบันไดเพื่อไปชั้นสองอีก พอเข้ามาในห้องผมได้ แต่ละคนเลยล้มแปะนอนแผ่กองกันอยู่ที่พื้นห้อง ไม่มีใครขยับไปไหน และไม่สนใจไอ้คนที่นั่งกระดิกเท้าเล่นโทรศัพท์มือถือที่เก้าอี้ด้วย

“เห็นพวกมึงหมดสภาพแบบนี้แล้วสะใจดีจริงๆ” นัทพูดออกมายิ้มๆ

เอเลยค้อนขวับใส่ นี่ถ้ามีแรงมากกว่านี้คงร้องด่านัทไปแล้ว คนที่ปกติสุดในห้องก็ไม่ได้นิ่งดูดาย ลุกไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาเปิดออก ยื่นหลอดยาคลายกล้ามเนื้อให้กังหันที่นอนอยู่ใกล้ตัวมันที่สุด

“อ๊ะ เอาไปใช้ก่อนที่พวกมึงจะเดี้ยงหนักกว่านี้”

“ขอบใจ”

กังหันว่า แล้วพยายามขยับตัวลุกนั่ง นัทคงเห็นใจในท่าทางทุลักทุเลของมันมั้งเลยเข้าไปช่วยพยุงให้นั่งพิงขอบเตียงดีๆ ทั้งยังช่วยหมุนฝาหลอดยาให้อีกด้วย

“มึงไปพูดอะไรกับน้องกูมาหรือเปล่าวะ” กังหันโพล่งถามนัทด้วยน้ำเสียงข้องใจมาก

คนถูกถามดึงฝาหลอดยาออกมา แล้วถามกลับ “น้องมึงน่ะ คนไหน?”

“ข้าวยำไง”

“อ้อ กูแค่เอาเรื่องไอ้ภูไปพูดนิดๆ หน่อยๆ แต่ฟังไปได้หน่อยเดียว ยำก็ควันออกหูวิ่งจากกูไปซะแล้ว”

ผมนอนกรอกตาไปมาอยู่ที่พื้นอย่างเอือมระอาอยู่ในใจ แล้วถามไปบ้าง

“นี่คือการแก้แค้นของมึง?”

นัทหันมามองผมแล้วตอบ  “ไม่รู้สิ...เพราะตอนนี้กูดันคิดได้ว่ากำลังช่วยผ่อนหนักเป็นเบาให้มึงอยู่ชัดๆ”

“ผ่อนแบบไหนของมึงวะถึงซวยกันยกสองรุ่นแบบเนี่ย!”

นัทมองเอ วนกลับมามองผม แล้วหยุดสายตาที่กังหัน “ว่าแต่...โดนทำโทษอะไรมากัน?”

คนถูกถามอย่างพวกผมส่งสายตาพิฆาตใส่คนพูดทันที จะให้บอกว่าโดนสั่งกอดคอลุกนั่งเพิ่มความสามัคคีหรือไง! คิดถึงตรงนี้ก็อดนึกถึงคนที่กอดคออยู่ข้างผมขึ้นมาไม่ได้ 

...ไม่รู้ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง 

“กูจะไปฟ้องรุ่นพี่ว่ามึงไม่ยอมมาตามเรียกวันนี้!”

ทั้งที่กังหันพูดอย่างดุดัน แต่นัทกลับเลิกคิ้วแล้วถามกลับสั้นๆ

“ตอนโดนทำโทษ มึงเจอเต้ไหม?”

“ไม่เจอ!”

กังหันตอบเสียงดังฟังชัด และไม่แม้แต่จะหยุดคิดด้วยซ้ำ เพราะนี่เป็นเรื่องที่รู้ๆ กันอยู่ว่าหลังเลิกเรียนทุกวันเต้จะวิ่งออกจากห้องไปทำงานพิเศษให้ทันเวลา

“ถ้าเอาเรื่องกูไปฟ้อง เต้ก็จะโดนเอี่ยวในฐานะคนไม่มาไปด้วย พวกมึงจะยอมไหมล่ะ?”

คำพูดนี้ทำให้คนจะฟ้องชาวบ้านหน้าหงายในทันที พอตั้งหลักได้ก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์ใส่นัท แล้วหันมาโยนหลอดยามาลงบนท้องผม แต่พอเห็นผมนอนนิ่งเฉยไม่ขยับตัวสักที มันก็หันไปพูดดุใส่นัทอีกครั้ง

“นั่งเฉยทำไม! ไปช่วยภูดิ!”

ฟังแค่นี้ยังดี แต่ดันมีประโยคต่อมาให้ผมสำลักความห่วงใยของเพื่อน

“เดี๋ยวพรุ่งนี้มันเดินไปไหนไม่ได้ขึ้นมา เพื่อนอย่างพวกเรานี่แหละที่จะเดือดร้อนแทน!”

“นี่ๆ กูแค่เจ็บกล้ามเนื้อ ไม่ได้เป็นง่อยขนาดนั้น”

ผมพยายามจะแย้ง แต่ไร้ซึ่งคนมาสนใจ เลยกลับมานอนแน่นิ่งเป็นปลาตายปล่อยให้นัทขยับมาหยิบหลอดยาบนท้องเอาเอง 

“แล้ววันนี้กูจะได้รู้ไหมว่าพวกมึงไปโดนอะไรกันมา”

คนไม่ได้ไปรวมกลุ่มรับโทษถามขึ้นมาอีก ทั้งยังลากตัวผมไปนั่งพิงขาเตียงถัดจากกังหันไปนิดหน่อย

“มึงก็รอดูคลิปเอาสิวะ กูเชื่อว่ามันต้องมีคนแอบถ่ายเก็บไว้แน่”

คราวนี้เป็นเอที่ตอบ พูดไปก็ชูแขนเรียกร้องให้คนปกติสุดในห้องไปช่วยดึงตัวมันขึ้นจากพื้นบ้าง นัทเลยเดินไปฉุดมันขึ้นมานั่งพิงขอบเตียงอีกคน แต่เนื่องจากพื้นที่น้อยนิดเอเลยเหมือนไปนั่งชิดติดกับกังหันมากกว่า

...ก็อยากถามคนหิ้วเพื่อนขึ้นจากพื้นอยู่หรอกว่าเตียงอีกฝั่งก็มีให้นั่งพิง แต่ทำไมมันเอาพวกผมมากองรวมกันอยู่ที่ฝั่งเดียวหมด แต่มาเข้าใจก็ตอนมันเดินไปนั่งเตียงฝั่งตรงข้าม แล้วเหยียดยิ้มมองลงมาที่พวกผมอย่างเหนือกว่านั่นแหละ

เหอะ เอาที่มึงสบายใจเลย

“กูคิดจะสร้างข่าวลือ แน่นอนว่าพวกมึงต้องร่วมมือกับกูด้วย”

จู่ๆ กังหันก็พูดขึ้นมาดื้อๆ จนพวกผมต่างพากันชะงัก แล้วตวัดมองคนพูดเป็นตาเดียวพร้อมกันหมด แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากถามก็มีเงาคนมายืนค้ำหัวใกล้ๆ หันไปมองก็เจอรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจของนัทเข้า เลยได้แต่จ้องคนมาประชิดตัวอย่างระแวดระวัง 

“จากสภาพมึง กูว่าไม่น่าจะทายาเองรอด มาๆ กูช่วยมึงดีกว่า”

“ห๊ะ?”

ระหว่างกำลังงง กางเกงผมก็ถูกปลดตะขอ อึดใจต่อมาก็ถูกกระชากหลุดไปกองที่ขาให้สะดุ้งโหยง ตามด้วยความเย็นจากยาและความเจ็บปวดสุดแสนจะบรรยายออกมา

“โอ๊ย!” หลุดร้องไปหน่อยหนึ่งก็รีบกัดริมฝีปาก แล้วจ้องไอ้คนช่วยทายาที่จงใจลงมือหนักๆ บนต้นขา

ถ้าดูจากแววตาคนลงมือ ใครมองก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวว่านัทกำลังพอใจมาก จนผมมั่นใจขึ้นมาว่านี่สิถึงเรียกว่าแก้แค้นของจริง!

“ข่าวลืออะไรอีก”

ได้ยินเสียงเอถามขึ้นมา ตามด้วยเสียงกังหันพูดตอบ

“ข่าวลือที่ช่วยบิดเบือนความจริงได้ไง”

“ยังไงวะ?”

เหมือนสองคนนี้จะคุยกันโดยไม่สนใจว่าผมกับนัทกำลังทะเลาะกันทางสายตา หรือแม้กระทั่งคนเจ็บอย่างผมกำลังถูกเอาคืนอย่างหนักหน่วงแค่ไหน   

“ก็...ตลอดทางที่เราเดินผ่านมา พวกรุ่นน้องกำลังลือกันว่า เพราะยำไปชกหน้าพี่ภูต่อหน้าพี่ว้ากปีสาม ทำให้ปีหนึ่งทั้งรุ่นโดนทำโทษ ถ้าฟังอย่างนี้ใครๆ ก็ต้องโทษแต่ยำใช่ไหมล่ะ แต่ถ้าเสริมในข่าวลือไปว่าภูไปกวนตีนยั่วรุ่นน้องจนโกรธจัดก่อนล่ะ”

“ยำก็จะไม่ใช่คนผิดคนเดียวอีกต่อไป” เอพูดขึ้นมาอย่างเข้าใจแล้ว

กังหันดีดนิ้วทันที “นั่นแหละจุดประสงค์ของกู และถ้าเป็นไปได้กูอยากเอาภูไปเป็นเป้าล่อให้คนด่าแทนน้องกูมากกว่าอีก”

ผมที่ผลักคนช่วยทายาออกห่างจากตัวได้ก็รีบพูดบ้าง “ได้อย่างนั้นก็ดี กูยอมเสียสละ”

“เหอะ” กังหันทำหน้าไม่สบอารมณ์ใส่ผม “ลองมึงไม่ยอมสิ”

“เฮ้ยๆ กูถอดกางเกงเองได้”

ผมเหลือบมองเอที่กำลังยื้อกางเกงตัวเองสุดฤทธิ์ แล้วยิ่งห้ามไอ้นัทก็ยิ่งดูสนุกกับการพยายามถอดกางเกงเพื่อน ผมเลือกเมินพวกมัน แล้วละสายตามาคุยกับกังหันต่อ 

“แต่มีหลายคนที่เห็นยำเดินมาต่อยกูก่อน มึงว่าปิดปากคนเหล่านั้นได้หรือเปล่า”

“นั่นไม่ใช่ปัญหา” กังหันพูดอย่างสบายๆ “ก่อนหน้านี้กูพยายามปล่อยข่าวเรื่องมึงกับยำไปแล้ว ถึงส่วนใหญ่จะกระจายอยู่แค่ในหมู่ปีสองก็เถอะ ถ้าข่าวที่ว่าลอยเข้าหูพวกเขาเมื่อไหร่คงไม่พูดอะไรออกไปหรอก”

ผมมองเพื่อนอย่างสงสัย “ข่าวอะไร?”

“ข่าวที่มึงชั่วช้าถึงขั้นแย่งสามีคนอื่นมาทำเมียไง”   

“แค่กๆๆ”   

คนฟังอย่างผมถึงกลับสำลักน้ำลายไอไม่หยุด พอค่อยยังชั่วขึ้นก็พยายามจะด่าเพื่อน

“มะ มึงนี่มัน...”

“กูทำดีแล้วใช่ไหมล่ะ”

มีหน้ามาขยิบตาให้อีกนะ!

ผมผลักคนหัวเราะร่วนจนเซไปชนกับเอที่นั่งอยู่ข้างกัน ขอบกางเกงที่มันพยายามยื้อไว้เลยหลุดจากมือตอนนั้นเอง ผู้ได้ชัยชนะฉีกยิ้มกว้าง แต่ยังไม่ทันได้ดีใจเต็มที่ก็ถูกขัดด้วยเสียงเพลงเรียกเข้าซะก่อน

“...เต้โทรมา”

คนเพิ่งปล่อยกางเกงลงพื้น แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบอก ทั้งหันหน้าจอมาให้พวกผมเห็นทั้งชื่อและรูปภาพช่วยยืนยันอีกแรง พวกผมสามคนเลยมองหน้ากันเองวูบหนึ่ง ถามกันทางสายตาว่าจะรับดีไหม เป็นกังหันที่พยักหน้าให้รับสาย แต่เจ้าของโทรศัพท์กลับกดตัดสายทิ้งซะนี่

“จะโทรกลับไปหาเต้ก็รีบโทร อ้อ ไม่ต้องมาใช้เครื่องกูนะ เดือนนี้ค่าโทรกูจะถึงลิมิตอยู่แล้ว”

“ของกูก็ไม่ได้” กังหันส่ายหน้า “เพราะพวกมึงเลย แฟนกูเลยงอแงหนัก เปลืองค่าโทรที่สุด!”

“ของกูก็...”

พอผมพูดแค่นั้น เอก็เหมือนจะรำคาญ จัดการส่งโทรศัพท์ของมันมาให้กังหันกดโทรออก สีหน้าของเอดูเบื่อหน่ายมากคล้ายจะบอกว่า ‘กูล่ะเบื่อพวกมีแฟนแล้ว’ ไม่มีผิด

[เกิดอะไรขึ้น]

เสียงของเต้ดังออกมาให้ได้ยินกันหมด กังหันคงเปิดลำโพงไว้ คนถือโทรศัพท์บอกเล่าเรื่องราวออกมาทันทีไม่มีติดขัด แม้สิ่งที่ถ่ายทอดไปจะมีความจริงหนึ่งส่วน เท็จอีกสองส่วนก็ตาม แล้วยังมีเอคอยเป็นลูกคู่ช่วยรับบทอย่างรู้ใจ ขนาดนัทยังชี้หน้าตัวเองเป็นเชิงสงสัยว่ากูไปอยู่ร่วมเหตุการณ์กับพวกมึงตั้งแต่เมื่อไหร่

[สรุปคือภูน่าจะไปกวนประสาทยำก่อนเลยโดนน้องชกเข้าให้ แต่พวกมึงไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร ถูกไหม]

สองคนกล่าวเท็จกับเพื่อนอย่างลื่นไหลประสานเสียงตอบรับ “ใช่แล้ว”

[แล้วที่นัทนั่งหน้าซีด ไม่กล้าสบตายำล่ะ?]

คราวนี้ทั้งห้องหันไปมองเจ้าของชื่อที่ถูกกล่าวถึงจนหมด นัทมองพวกผมสักพักก็พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนคว้าโทรศัพท์ไปคุยเอง

“เรื่องมันเป็นแบบนี้” นัทเว้นจังหวะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนลง “ภูแนะนำเด็กคนหนึ่งให้กูรู้จัก กูไม่รู้ว่าเด็กนั่นเป็นแฟนยำ กว่าจะรู้เรื่องนี้ยำก็ไปเจอกูอยู่บนเตียงกับเด็กคนนั้นแล้ว กูคิดว่าภูโดนยำชกเพราะเรื่องนี้แหละ”

กังหันชูนิ้วโป้งชมนัทไปทันที ส่วนคนฟังอย่างเต้แค่ครางรับรู้ในลำคอ แล้วไม่พูดอะไรอีก เลยเป็นการเปิดโอกาสให้กังหันถามกลับไปบ้าง

“ว่าแต่...ตอนนี้มึงอยู่ไหน?”

[ที่ทำงาน]

“อ้าว แล้วมึงรู้ได้ไงว่าทางนี้เกิดเรื่องขึ้น” กังหันถามอีก

[มีเพื่อนยำตั้งหลายคนโทรกระหน่ำมาหากู]

กังหันยิ้มร่าทันที ทั้งยังขยับปากแบบไร้เสียงให้พวกผมดูอีกว่า ‘ตัวช่วยกระจายข่าวมาแล้ววะ’

“งั้นมึงตอบน้องไปตามที่กูบอกนี่แหละ อย่าลืมเอาตัวมึงเข้าไปอยู่ในเรื่องด้วยนะ”

[ทำไม?]

“ก็ถ้ารุ่นน้องรู้ว่ามึงไม่อยู่ตอนเกิดเหตุ ใครจะเชื่อมึงล่ะ แล้วก็มึงอาจโดนน้องเกลียดเพราะไม่ได้รับเคราะห์ถูกทำโทษในวันนี้เหมือนกันด้วยก็ได้”

[…ก็ได้]

แต่เหมือนกังหันได้ใจไม่พอเลยพูดแนะเพิ่มอีก“พรุ่งนี้มึงอย่าลืมเดินแบบปวดต้นขาสุดๆ ด้วยล่ะ ท่าเดินจะได้กลืนไปกับคนอื่นๆ ไง”

[อืม]

ผมฟังคำตอบรับสั้นๆ จากเต้แล้วแอบส่ายหน้า รู้สึกเห็นใจคนโดนล่อลวงให้ร่วมปฏิบัติการหน่อยๆ

“ส่วนเรื่องภูกับยำ กูคิดว่าปล่อยให้พวกมันเคลียร์กันเองดีที่สุด มึงว่างั้นไหม”

[อืม]

ผมฟังคำตอบนี้ด้วยความโล่งใจหน่อยๆ สุดท้ายเต้ก็วางสายไป กังหันจึงลดโทรศัพท์ลงพร้อมพูดอย่างมั่นอกมั่นใจมาก

“เรียบร้อย พรุ่งนี้พวกมึงรอดูผลได้เลย”

“ถ้าเรียบร้อยแล้วก็คืนมือถือกูมา”

กังหันส่งโทรศัพท์คืนเจ้าของ แล้วหันมาถามผมที่กำลังกดโทรออกอยู่ “แล้วมึงคิดโทรหาใครอีก”

“กูแค่โทรหายำ”

“อ้อ” กังหันจ้องหน้าผมอยู่สักพักก็พูดเย้ากึ่งสมน้ำหน้าให้ฟัง “กูก็อยากรู้ว่ายำจะยอมรับสายมึงไหม”

คำพูดของเพื่อนพุ่งตรงเข้าแทงกลางใจ ยิ่งนึกถึงช่วงโดนทำโทษ...ข้าวยำไม่แม้แต่หันมองหน้ากันสักครั้ง คาดว่าถ้าไม่ถูกบังคับให้กอดคอลุกนั่งอยู่ข้างกัน มันคงหนีห่างผมไปไกลแล้ว

คิดเองก็เจ็บเอง แต่ที่แสดงออกมาให้เพื่อนเห็นคือการส่งเสียงไม่สบอารมณ์ในลำคอ

“หึ กูจะโทรหาจนกว่ายำจะยอมรับสายเหมือนกัน”

รอบแรกไม่รับสายตามคาด รอบสองก็ไม่รับสาย รอบที่สาม...

รับสายเถอะ กูขอ

[ครับ]

แวบแรกที่ได้ยินเสียง ใจผมชื้นขึ้นมาทันที แต่เสียงรู้สึกไม่คุ้นหูเอาซะเลย

ผมขมวดคิ้วดึงโทรศัพท์ออกมาดูว่าโทรไปหาถูกคนหรือเปล่า...ก็ใช่นี่หว่า เลยเอาแนบหูอีกรอบทันได้ยินเสียงตามสายมาอีกครั้ง

[ฮัลโหลๆ]

ไม่ใช่เสียงวินด้วย...แล้วใครรับโทรศัพท์ของเมียกูวะ!!

------------------------
ขอส่งครึ่งแรกให้อ่านก่อนนะคะ ส่วนครึ่งที่เหลือจะตามมาคืนนี้ค่ะ แต่อาจมาดึกหน่อยน้า~
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-06-2018 12:33:47 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ absolutepoison

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาต่อแล้ว ขอบคุณค่าา
นี่ถึงตอนที่จะย้ายไปอยู่คอนโดแล้วใช่ไหม ตื่นเต้นๆ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ที ใช่ไหม ที่รับโทรศัพท์ของยำ  :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
แมวเถื่อนในคอนโด 1 : ลักพาตัว (ครึ่งหลัง)


“มึงเป็นใคร!”

เสียงปลายสายเงียบไปอึดใจหนึ่งถึงมีคำตอบกลับมา [เพื่อนครับ ตอนนี้ยำหลับอยู่]

“เพื่อนคนไหน ชื่ออะไร คณะอะไร”

ผมซักกลับเสียงเครียด ความสัมพันธ์ของพวกผมยิ่งลุ่มๆ ดอนๆ อยู่ ใครจะกล้าให้มีปัจจัยอื่นเข้ามาเพิ่มกัน

[ผมเป็นเพื่อนตั้งแต่เด็กชื่อทีครับ]

ผมชะงักไปทันทีที่ได้ยิน ข้าวยำเคยพูดถึงเพื่อนที่โตมาพร้อมกันด้วยสีหน้ามีความสุขให้ฟังเหมือนกัน

น่าเสียดายที่ผมไม่เคยมีเพื่อนที่โตมาด้วยกันเลยไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่คาดว่าคงไม่ต่างกับการที่ผมมีพี่วีหรอกมั้ง ก็รายนั้นถึงเป็นพี่ชายแท้ๆ แต่บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนพี่วีเป็นเพื่อน...ที่บ้าแมวมากไปหน่อย

แต่มีเพื่อนคนหนึ่งที่ยำชอบยกชื่อขึ้นมาขู่ผมทุกครั้งที่ทำอะไรไม่ได้ ได้ยินทีไรผมมักนึกถึงลูกแมวขู่แฟ่ๆ แล้วคิดหนีไปฟ้องลูกพี่แมวแสนเก่งกาจให้มาช่วยเอาคืนไม่มีผิดทุกที หึ ท่าทางน่ารักซะขนาดนั้นผมเลยชอบยั่วให้มันจนมุมจนต้องงัดชื่อเพื่อนมาข่มขู่อยู่เรื่อย

และเพื่อนของยำคนนั้นก็ชื่อที...น่าจะเป็นคนที่ผมกำลังคุยด้วยตอนนี้ล่ะมั้ง

[เรียนคณะเศรษฐศาสตร์]

รอยยิ้มที่มีอยู่จางหายกะทันหัน แล้วเผลอสบถออกมาทันที

“เมียมันอยู่ที่นั่นด้วย? เลิกกันไปแล้วไม่ใช่หรือไง”

ผมพูดเสียงห้วนจัด นึกหงุดหงิดขึ้นมาทันควัน ไม่นึกว่าเรื่องปัญหาที่น่าจะจบไปแล้วยังจะตามมาหลอกหลอนต่ออีก!

[เปล่าครับ ในห้องตอนนี้มีแต่เพื่อนสมัยเด็กทั้งนั้น]

ผมนิ่วหน้าอย่างไม่ไว้วางใจ แล้วถามเพิ่มเพื่อความแน่ใจ “ใครบ้าง?”

[อ่า มีวิน ไวไว…] น้ำเสียงคนพูดฟังดูลังเลใจอะไรบางอย่าง จนผมนึกเกือบจะพูดบางอย่างออกไปแล้ว ถ้าอีกฝ่ายไม่พูดออกมาก่อน [และพาร์ครับ]

ไม่ใช่ชื่อเด็กนั่น แต่เป็นภา...ภาไหนวะ?

ผมใช้นิ้วปิดช่องพูดคุย แล้วหันไปถามเพื่อนที่มองมาเป็นตาเดียวอยู่ตอนนี้

“มีใครรู้จักเพื่อนยำชื่อภาไหม?”

“พา?” กังหันทำหน้านึกทันที “เพื่อนผู้หญิงของยำมีไม่ค่อยเยอะ หรือจะเป็นเพื่อนใหม่?”

“นี่พวกมึง...” เอทำหน้าเหนื่อยใจให้เห็น “คนที่พวกมึงพูดถึงไม่ใช่เพศหญิง”

ผมกับกังหันตวัดสายตามองเอทันที เป็นกังหันที่ถามก่อน “มึงรู้จัก?”

“ไม่อ่ะ เคยได้ยินแต่ชื่อ”

เอว่า แล้วมองพวกผมด้วยสายตาปลงตก ขนาดนัทยังนั่งหัวเราะไร้เสียงไม่มีหยุด สายตาของเพื่อนทั้งคู่แทบสื่อเหมือนกันว่าพวกมึงไปอยู่ไหนมา ตกข่าวจริงๆ วะ

“ช่วงนี้ดังออกนะ พาร์ นิติ กับที อีคอนน่ะ”

พอได้ข้อมูลมาใหม่ ผมก็ลองถามไปเพื่อยืนยันดู

“พาร์ นิติ กับ ที อีคอน ที่กำลังเป็นข่าวลือช่วงนี้?”

โทรศัพท์ในมือผมโดนแย่งไปกดปุ่มเปิดลำโพง ดังนั้นคำตอบกลับมาเลยได้ยินกันทั้งหมด

[ใช่ครับ]

…สงสัยผมมัวแต่คิดเรื่องแมวเถื่อนมากไปเลยตกข่าวในมหา’ลัยเข้าแล้ว แต่เรื่องนั้นไม่เห็นสำคัญตรงไหน ผมเลยปัดทิ้งอย่างรวดเร็ว แล้วถามเรื่องที่อยากรู้มากที่สุดแทน

“แล้วอาการเพื่อนเราเป็นไงบ้าง”

[ก็แย่ครับ แต่นวดยาให้แล้ว]

“ดี พี่ฝากดูแลด้วยแล้วกัน” จากนั้นคือเงียบ เพราะผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลยตัดบทจบซะเลย “งั้นก็แค่นี้…”

[เดี๋ยวครับ ผมขอถามได้ไหม พี่ไปทำอะไรให้ยำโกรธ?]

ได้ยินคำถามกระแทกใจก็ทำเอาผมชอกช้ำไปถึงข้างในอก ได้แต่หัวเราะฝืนๆ แล้วถามกลับอย่างไม่อยากตอบคำถามนัก

“เรากับเมียมันอยู่คณะเดียวกันนี่…สนิทกันไหม?”

[เมื่อก่อนใช่ แต่หลังจากมีเรื่องทะเลาะก็ไม่ได้คุยกันเลยครับ]

กังหันเลื่อนนิ้วไปกดปิดช่องพูดคุย แล้วพูดกับผมยิ้มๆ “ตอบคำถามน้องไปเถอะ แล้วทางที่ดีนะ มึงดึงน้องมาเป็นพวกด้วยเลยสิ”

“ถึงคำแนะนำกังจะเป็นประโยชน์ แต่มึงอย่าไปเชื่อมันมาก” เอพูดขึ้นมาบ้าง “ดูแววตามันดิ กำลังคิดเรื่องชั่วร้ายอยู่ชัดๆ”

ผัวะ!

คนโบกหัวเพื่อนเมื่อครู่ตะคอกด่าต่อ “หุบปากไปเลย!”

แต่ผมดันไม่ค่อยเห็นด้วยเรื่องดึงมาเป็นพวก เพราะถ้าเพื่อนยำย้ายมาอยู่ฝ่ายผมจริงๆ แมวเถื่อนก็จะไม่มีเพื่อนมาให้ขู่...แต่ทดสอบหน่อยก็ไม่เสียหาย คิดได้อย่างนั้นผมก็ดึงโทรศัพท์จากมือกังหันมากดปิดลำโพง แล้วถือคุยซะเอง   

“พี่แค่ไม่พอใจที่เมียตัวเองมีเมีย เลยหาทางกำจัดเมียของเมียออกไปให้พ้นทาง”

พูดถึงตรงนี้ก็หยุดเสริมให้ตัวเองดูดีขึ้นเล็กน้อย

“ยำก็รู้เลยไม่เคยบอกพี่ว่าคนไหนเมียมัน แต่เหมือนเป็นเรื่องตลกเมียมันดันโผล่หน้ามาให้พี่เห็นเองถึงคณะ โวยวายใหญ่โตเรื่องยำมีคนอื่น…คงเห็นรอยที่พี่ทำไว้บนตัวยำมั้ง พี่ยอมรับว่าพี่เลว แต่เมียมันก็ใช่ว่าจะดี แค่ชี้โพรงให้ดู ถ้านิสัยดีจริงจะยอมมุดเข้าโพรงที่ดูยังไงก็ไม่ปลอดภัยไปทำไม”

แววตาของเพื่อนที่มองมาทั้งสามคนแทบจะสื่อเหมือนกันว่า ชั่วจริงๆ เลยเพื่อนกู

ปลายสายเงียบไปนานกว่าจะพูดอีกครั้ง [ขออีกคำถามครับ พี่ได้ยำตั้งแต่เมื่อไหร่?]

ผมกรอกตาไปมา คิดคำนวณในใจว่าควรบอกความจริงหรือบิดเบือนสักหน่อยดี สุดท้ายก็เลือกอย่างหลังดีกว่า

“เกือบเดือนแล้วมั้ง” พูดถึงตรงนี้ก็อดนึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นไม่ได้ “แต่ฝ่ายเริ่มก่อนคือเพื่อนเรา พี่นอนของพี่อยู่ดีๆ มันนั่นแหละเมาจนเพี้ยนจะปล้ำพี่ แล้วใครจะยอม ในเมื่อมันอยากนัก พี่เลยจัดให้…ก็เพิ่งรู้ตอนทำไปแล้วว่าพี่ได้เปิดซิงเพื่อนเรา”

[เอ่อ แล้วพี่รักเพื่อนผมหรือเปล่า?]

ผมชะงักไปทันที รัก?...รักหรือเปล่าวะ ลองถามตัวเองดูก็ไม่แน่ใจว่าถึงขั้นนั้นหรือยัง ที่ตอบได้แน่ๆ ก็มีแค่...

“ถ้าใช้คำว่าชอบก็ได้อยู่ พี่ยอมรับว่าเพื่อนเราน่ารัก”

ผมมองกระดาษที่กังหันชูขึ้นมาให้ บนนั้นเขียนข้อความด้วยปากกาว่าให้พูดถึงเรื่องที่ยำเกือบโดนปล้ำ อ่านแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมพูดออกไปดู อยากรู้เหมือนกันว่ากังหันให้พูดเรื่องนี้ทำไม

“ไม่แปลกถ้าสมัยก่อนมันจะเคยเกือบโดนปล้ำ”

แต่ปลายสายกลับส่งเสียงตกใจออกมาทันที [มันเล่าเรื่องนี้ให้พี่ฟังด้วย?]

ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย ระหว่างครุ่นคิดก็พูดตามน้ำไปก่อน “หลังมันได้สติแล้วรู้ว่าเสียตัวให้พี่ ก็ร้องไห้โวยวายหลุดออกมาหลายเรื่องเลยล่ะ”

มีหลุดออกมาจริงๆ แต่ส่วนใหญ่เป็นคำด่าทั้งนั้น

คิดพลางมองข้อความใหม่ที่กังหันเขียนให้ผมอ่าน ‘เด็กคนนี้ไงที่กูเล่าให้มึงฟังวันนั้นน่ะ’

ผมอ้าปากถามแบบไร้เสียง วัน-ไหน?

กังหันทำหน้าไม่สบอารมณ์ แล้วชี้นิ้วจิ้มไปที่ประโยคด้านบน เน้นคำว่าเกือบโดนปล้ำจนทะลวงกระดาษเป็นรูเข้าให้

“อ้อ พี่นึกออกล่ะ คนที่ช่วยมันรอดพ้นเรื่องคราวนั้นคือเราใช่ไหม”

ปากพูดกับปลายสาย แต่สายตาจ้องสบกับเพื่อน กังหันยิ้มออกมาทันทีแล้วพยักหน้าให้ว่าใช่ เมื่อเริ่มคิดออกแล้วว่ากำลังคุยกับใคร ผมก็พูดคุยด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายมากขึ้น   

“ยำพูดถึงเราบ่อย โดยเฉพาะเอามาขู่พี่ประจำว่าเราเป็นขาโหดของกลุ่ม ว่าแต่เราอยากสอยพี่ฟันร่วงหมดปากจริงหรือเปล่า”

แว่วเสียงหัวเราะมาตามสาย ตามด้วยคำพูดทีเล่นทีจริง [ถ้าพี่ทำเพื่อนผมเสียใจก็ไม่แน่ครับ]

“แล้วถ้าเพื่อนเราทำพี่เสียใจล่ะ”

[ก็ต้องดูก่อนว่าเรื่องอะไร ถ้าเพื่อนผมผิดจริง…ผมก็อยู่ฝ่ายยำอยู่ดี]

ผมกระตุกยิ้มให้กับคำตอบที่ได้รับมา นึกชอบใจอีกฝ่ายขึ้นมาตงิดๆ

“พี่ชอบเรานะ ขอเบอร์หน่อยสิ”

[จะจีบผม?]

ผมหัวเราะแบบไร้เสียงทันที เพราะฟังจากน้ำเสียงอีกฝ่ายก็ไม่คิดว่าผมจะจีบหรอก

“มีไว้ปรึกษาเรื่องเพื่อนเราต่างหาก”

อันนี้จริงจัง เพราะตอนนี้ผมมืดแปดด้าน ไม่รู้จะง้อแมวเถื่อนยังไงดีอยู่

[เอาไอดีไลน์ไปแทนแล้วกันครับ]

เยี่ยม!

“แปบนะ” ผมบอกกับปลายสาย แล้วรีบห้ามนัทที่กำลังจะขยำกระดาษเป็นก้อนโยนทิ้งลงถังขยะแทนกังหัน “ไอ้นัทส่งกระดาษกับปากกามาให้หน่อย”

นัทชูกระดาษก้อนกลมในมือเป็นเชิงถามว่ามึงยังจะเอาอยู่อีกเรอะ ผมรีบพยักหน้าว่าจะเอา มันเลยโยนกระดาษทั้งก้อนมาให้ ตามด้วยกังหันที่กลิ้งปากกามาตรงหน้า

“บอกได้เลย”

พูดทั้งที่พยายามรีดกระดาษให้เรียบ แล้วจดตามยิกๆ ทีละตัวจนครบ ทวนให้ฟังอีกรอบว่าถูกต้อง

“โอเค แล้วพี่จะติดต่อไป...”

พูดไม่ทันจบก็โดนคนทางปลายสายร้องขัดอีกครั้ง ตามด้วยประโยคคำถามรวดเดียวจบ

[พี่รู้ใช่ไหมว่ายำไม่ชอบพวกออกสาว]

“อ้อ” ผมนึกถึงข้อมูลที่กังหันเคยเล่าให้ฟัง “แผลเป็นในใจหลังเกือบโดนกระเทยกับเกย์สาวรุมโทรมน่ะเหรอ”

[ครับ มันเลยมีแผลใจติดตัวสองอย่าง ครั้งแรกมันซวยเพราะผม ดีที่ผมไปช่วยทัน ส่วนครั้งที่สอง มันทำตัวเอง พวกผมไปช่วยทันก็จริง แต่ก็เป็นแผลบาดลึก กว่ามันจะเป็นผู้เป็นคนทุกวันนี้ได้ พวกผมพยายามกันเยอะมาก เพราะงั้นอย่าสร้างแผลให้กับยำอีกได้ไหมครับ]

ฟังแล้วก็เหลือบมองกังหัน...บางทีนี่คงเป็นสาเหตุล่ะมั้ง มันถึงได้เชียร์ให้ผมจับแมวเถื่อนกับกระรอกแยกจากกันเหลือเกิน

“เข้าใจแล้ว” เว้นจังหวะเล็กน้อยแล้วพูดเสริม “พี่จะพยายาม”

พยายามไม่ให้โดนแมวโกรธใส่แบบนี้อีก คิดแล้วก็อยากถอนหายใจอีกหลายๆ ครั้ง

[พี่ผ่านด่านผมแค่ครึ่งเดียวครับ แล้วยังมีอีกหกด่านรอพี่อยู่ ถ้ายังไม่ได้รับการยอมรับจากพวกผมทั้งกลุ่มล่ะก็…ระวังจะโดนเพื่อนผมทิ้งนะครับ]

หืม...เหมือนเพื่อนยำคนนี้จะไม่ได้มีไว้แค่ขู่อย่างเดียวแล้วล่ะมั้ง

“โฮ่ ดูเหมือนยำไม่ได้พูดเรื่องเราเกินจริง”

[ผมถือว่าเป็นคำชมนะครับ]

ยอมรับคำประชดซะด้วย หน้าด้านใช้ได้

ผมหัวเราะในลำคอ รู้สึกชอบเพื่อนยำคนนี้มากกว่าเดิมอีก “คิดตามที่สบายใจเลย ฝากบอกเพื่อนๆ เราด้วย ถ้าได้โอกาสพี่จะไปเปิดตัวแน่ แต่อย่าเพิ่งบอกเมียพี่ล่ะ”

ปลายสายหัวเราะทันทีเช่นกัน [บอกไปก็ไม่สนุกสิครับ]

“พี่ชอบเราจริงๆ” ผมพูดจากใจเลย “อยากได้พี่ชายเพิ่มสักคนไหม”

[ผมว่าเราไม่ควรอยู่ถ้ำเดียวกันนะ]

ฟังน้ำเสียงกึ่งล้อกึ่งจริงนั่นแล้วก็ยิ่งชมชอบจนพูดหยอกกลับไปบ้าง “ไม่มีทางกัดกันหรอก ออกจะคล้ายกันขนาดนี้”

[อนาคตเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนครับ แล้วผมจะให้ความช่วยเหลือพี่…แค่ครึ่งเดียว]

“หึๆ งั้นฝากคุมความประพฤติลูกแมวเถื่อนของพี่หน่อย โดยเฉพาะเรื่องหาคู่ ไม่งั้นพี่คงได้ทำลูกแมวโมโหสุดขีดอีกรอบแน่นอน”

[คุมคนของตัวเองไม่ได้ ผมขอลดคะแนนพี่แล้วกัน]

“เฮ้ย” ผมเผลออุทานออกมา ยังไม่ทันพูดอะไร ฝ่ายนั้นก็พูดต่อเสร็จสรรพ

[เหลือสามสิบห้าครับ ผมให้ความช่วยเหลือพี่เท่านี้แหละ]

ผมสบถออกมาทันที “เขี้ยวลากดินชะมัด!”

บางทีควรพิจารณาเรื่องเอามันมาเป็นน้องใหม่

[ถ้าฝ่ายผมหาคู่เองคงไม่เท่าไหร่ แต่นี่พี่อยากได้ก็ต้องพยายามหน่อยสิครับ]

ฟังเหตุผลแล้วเถียงไม่ลง จำต้องถอนหายใจอย่างยอมรับ “เออ พี่ยอม”

ผมกดวางสายไปทันที ก่อนเผลอพูดอะไรไม่ถูกหู แล้วโดนอีกฝ่ายลดเปอร์เซ็นต์ช่วยเหลือลงอีก

ให้ตายเหอะ ได้แต่ยกมือขยี้ผมอย่างหัวเสีย ยกนี้ดันแพ้เด็กเข้าซะแล้ว

พอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอสายตาอยากรู้อยากเห็นสามคู่จ้องตรงมาก็นึกระอายถ้าจะบอกว่าเพิ่งเจรจาแพ้เพื่อนยำมา เลยแกล้งทำเป็นโบกมือไล่

“หลุมใครหลุมมัน กลับกันไปได้แล้ว”

เอโห่ใส่ผมทันที ตามด้วยคำบ่นยาวเหยียด “กูเหนื่อยแบกมึงมาแทบตาย แต่มึงกลับพูดไล่ผู้มีพระคุณที่ไม่อยากให้เพื่อนนอนตากยุงแถวหน้าคณะแบบนี้เรอะ”

“กูก็ไม่กลับ” กังหันว่าแล้วปีนขึ้นเตียงที่นั่งพิงอยู่ “คืนนี้กูจะนอนที่นี่!”

“กูด้วย!” แล้วเอก้คลานไปหมายจะชิงอีกเตียงที่ว่างอยู่

“หยุดเลยนะมึง!” ผมพูดเสียงดุดัน “ถ้ามึงกล้าขึ้นไปนอนทับที่เมียของกูล่ะก็...”

ยกมือขึ้นทำท่าปาดคอให้มันดู แล้วจ้องเอตาไม่กระพริบอยู่อย่างนั้นจนมันยอมถอยออกมา แล้วขึ้นไปนอนเบียดกับกังหันแทน

“เฮ้ย มาเบียดอะไรกูวะ” คนนอนอยู่โวยวายออกมา

“ห้องมึงก็ไม่ใช่ อย่างงกที่นักเลยน่า!”

“น่าสนุก งั้นกูนอนนี่...”

ผมพูดขัดนัทขึ้นมาทันที “มึงอยากค้างไม่ว่า แต่ต้องนอนพื้นเท่านั้น!”

“อะไรวะ! กูรูมเมทมึงนะ!”

“อดีต!” ผมแย้งเสียงเข้ม แล้วฝืนสภาพร่างกายไปยึดครองเตียงอย่างหวงหนัก “มึงอยากย้ายออกไปเอง ช่วยไม่ได้โว้ย”

ของๆ ใคร ใครก็หวง แม้เป็นแค่ที่นอน กูก็หวง ใครจะทำไม!

-------------

หลายวันต่อมา ผมยังนึกถึงคำพูดประโยคนี้อยู่เลย

‘ยังมีอีกหกด่านรอพี่อยู่ ถ้ายังไม่ได้รับการยอมรับจากพวกผมทั้งกลุ่มล่ะก็…’

หึ อุปสรรคในอนาคตมีทั้งเพื่อนทั้งพี่ชายเลยสินะ ถึงอย่างนั้นก็เอาไว้ก่อนได้ เพราะตอนนี้ปัญหาใหญ่กว่าคือจะง้อแมวที่กำลังโกรธจัดยังไงดีนี่สิ

ง้อด้วยขนมของโปรด? เหอะ ทุกวันนี้ได้แต่แขวนทิ้งไว้ให้ที่หน้าประตูห้องพักทุกเช้าเย็น

ยอมพาไปเลี้ยงแซลมอน?

...จะไปชวนได้ยังไง แค่โผล่ไปให้เห็นหน้า มันก็เดินหนีไปแล้วน่ะ!

“เอาล่ะๆ กูรู้ถึงความกลุ้มใจของมึงแล้ว” จู่ๆ กังหันพูดปลอบออกมา “เพราะงั้นมึงไม่ต้องมานั่งกุมขมับให้พวกกูดูทุกวันก็ได้”

ผมเหลือบมองเพื่อนที่นั่งม้วนสปาเก็ตตี้ซอสมะเขืออยู่ฝั่งตรงข้าม ข้างๆ มีเอนั่งกดโทรศัพท์เล่นพลางตักข้าวผัดข้าวปาก ถัดออกมาเป็นนัทที่นั่งเหม่อลอยไปถึงไหนก็ไม่รู้ วกกลับมาข้างตัวผมบ้างจะเห็นเต้กำลังขมวดคิ้วจ้องแต่ตำราเรียนทั้งที่มืออีกข้างถือช้อนค้างไว้ไม่ยอมเอาข้าวเข้าปากสักที

“...ถ้ากูส่งเต้ไปง้อแทน คิดว่าจะได้ผลไหม”

ผมพูดอย่างมีความหวัง แต่กลายเป็นว่ากังหันปล่อยเสียงหัวเราะก๊ากออกมา ขนาดเอยังเหลือบมามองกันขำๆ เหลือแค่คนเหม่อกับคนตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมสอบที่ดูเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของผมเมื่อครู่

“ถ้ามึงสิ้นหวังขนาดจะส่งเต้ไปง้อแทน กูว่ามึงควรปล่อยมือจากยำดีกว่าวะ” 

“ไม่!”

“ปฏิเสธเสียงแข็งแบบนี้ได้ก็พยายามง้อด้วยตัวเองให้ได้สิวะ”

“กูพยายามอยู่” พูดไปก็ถอนหายใจไป “แต่ดูท่าคราวนี้จะโกรธจริง”

“มันแน่อยู่แล้ว” กังหันว่าด้วยท่าทางไม่ยี่หร่า “ถ้าน้องกูไม่โกรธสิถึงแปลก”

“กูรู้...”

“ที่มึงต้องการจริงๆ คือโอกาสขอคืนดีต่างหาก” กังหันชี้ปลายส้อมมาทางผม “เสียก็แต่มึงมัวแต่รอให้โอกาสมาเยือน แล้วเมื่อไหร่มันจะมา หรือจะรอให้น้องกูตัดมึงออกไปจากชีวิตได้ก่อนดีล่ะ”

ผมทุบกำปั้นลงโต๊ะจนคนอื่นที่นั่งกินข้าวอยู่โต๊ะใกล้ๆ หันมามองกันหมด แม้แต่คนร่วมโต๊ะที่ไม่สนใจกันแต่แรกยังหันมามองเลย

“กูคงต้องทำอะไรสักอย่าง!” ผมประกาศก้องอย่างจริงจัง

กังหันส่งยิ้มกว้างมาให้ “ต้องอย่างงี้สิ!”

แต่หลังจากนั้นเพียงวันเดียว มันกลับโทรมาโวยวายหนวกหูไม่มีหยุด

[ไอ้เหี้ย! ใครใช้ให้มึงไปลักพาตัวน้องกูวะ!!]

ผมฟังแค่นั้นก็วางโทรศัพท์ทิ้งไว้บนตู้รองเท้า แล้วเดินกลับเข้าไปดูแมวเถื่อนที่หลับตาพริ้มอยู่บนเตียงในคอนโดที่เพิ่งย้ายมาอยู่หมาดๆ...ไม่รู้ตื่นมาแล้วจะอาละวาดหนักขนาดไหน แต่ต่อให้ทำคอนโดพังยับทั้งห้อง ผมก็ไม่คิดปล่อยมันหนีไปไหนอีกแล้ว

ส่วนเรื่องปัญหาที่ยังค้างๆ คาๆ

...เอาไว้มันตื่นก่อนค่อยว่ากันใหม่แล้วกัน

############
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-06-2018 12:36:02 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ absolutepoison

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
อ้าว 555555555 ไปลักตัวมาเรียบร้อย

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
แมวเถื่อนในคอนโด 2 : แมวเถื่อนประท้วง


ยังหลับอยู่อีกเรอะ?

ผมค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องนอนด้วยสภาพร่างกายอ่อนล้าจากการทำความสะอาดใหม่หมดยกห้อง รวมถึงจัดเก็บข้าวของที่ขนย้ายมาให้เข้าที่ เหลือเพียงแค่ของข้าวยำเท่านั้นที่ผมรอให้ผู้เป็นเจ้าของตื่นมาจัดเก็บเอาเอง แต่นี่หลายชั่วโมงแล้วมันก็ยังไม่ตื่นขึ้นมาสักที

ผมหยุดยืนอยู่ข้างเตียง ก้มมองคนหลับสบายอย่างกังขาอยู่ในใจ

หรือว่ายานอนหลับที่เคลือบลูกอมจะแรงเกินไป?

คิดแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว นึกถึงใบหน้าพี่ชายเพื่อน รายนั้นเป็นผู้ชื่นชอบกลั่นแกล้งน้องเป็นชีวิตจิตใจซะด้วย

อืม...มีความเป็นไปได้สูงที่ยาจะเกินขนาด

ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเสียใจขึ้นมาตงิดๆ ไม่ได้รู้สึกผิดที่ขายข้อมูลเพื่อนร่างกลมเป็นการแลกเปลี่ยนไปหรอก แต่สำนึกผิดที่ไว้ใจคนทำลูกอมนอนหลับขึ้นมาต่างหาก

เฮ้อ พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอื้อมมือไปลูบหัวคนหลับเป็นการขอโทษ

ผมเพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้เองว่าหมอนหายไปอีกแล้ว จุดหมายแรกที่กวาดตาหาคือตามพื้นใกล้เตียง อ้อ นั่นไง ตกอยู่ข้างเตียงตามคาด...บางทีถ้าข้าวยำไม่ได้นอนดิ้นจนถีบผ้าห่มลงพื้น ปัดหมอนตกเตียงทุกครั้งที่แวะเข้ามาดู ผมคงไม่ได้เพิ่งมากังวลเอาตอนนี้แน่

ได้หมอนมาแล้วก็ช้อนหัวยำมาหนุนให้เรียบร้อย แล้วถอยห่างเพื่อดูความเรียบร้อย

มองไปมองมาก็จัดการเลื่อนตัวคนหลับมานอนกลางเตียง ไม่งั้นพลิกตัวครั้งหน้าอาจเห็นแมวกลิ้งตกเตียงให้ได้ดู...บางทีผมควรเลื่อนเตียงไปชิดกำแพงสักด้านดีกว่า คิดได้อย่างนั้นก็พยักหน้ากับตัวเอง ตัดสินใจว่ารอยำตื่นก่อนค่อยจัดการเลื่อนเตียงไปชิดกำแพง

ผมนั่งมองคนหลับจนทนดมกลิ่นเหงื่อตัวเองไม่ไหว เลยตัดสินใจไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมาดูใหม่ ไม่แน่แมวเถื่อนอาจตื่นแล้วนั้นก็ได้

ทั้งที่คิดอย่างมีความหวังขนาดนั้น แต่พอออกจากห้องน้ำมา คนบนเตียงก็ยังไม่ตื่นสักที ขนาดลองกระแทกตัวนั่งบนเตียงแรงๆ ก็ยังไม่ได้ผล ความกังวลเริ่มเพิ่มพูนมากกว่าเก่าจนอดพูดคุยกับคนหลับไม่ได้

“...ชักนอนมากไปแล้วนะ”   

จิ้มพุงขาวๆ ที่โผล่พ้นเสื้อมาให้เห็นจากการนอนดิ้นของคนหลับ แล้วลองขยับนิ้วเกาเบาๆ ดู เผื่อยำจะตื่นเพราะจั๊กจี้

“อื้อ”

ดันได้ยินเสียงครางกลับมาซะนี่!

ผมชะงักมือกะทันหัน สายตาเลื่อนมองสีหน้าคนมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างตกใจ แต่เพียงอึดใจเดียวความรู้สึกโล่งใจก็เข้ามาแทนที่พร้อมกับความคิดชั่วร้ายที่ผุดวาบเข้ามาในหัว

ลักหลับเลยดีไหม?

ไม่ดี! ความคิดด้านดีโผล่มาต่อเถียง เรื่องเก่ายังไม่ทันสะสางก็คิดจะสร้างเรื่องใหม่ให้โดนโกรธมากกว่านี้แล้วเรอะ

ว่ากันว่าถ้ามีเรื่องทะเลาะกันระหว่างผัวเมีย วิธีคืนดีได้เร็วสุดก็คือเคลียร์กันบนเตียงนี่แหละ ความคิดชั่วโต้กลับ

ถ้าวิธีนี้เคลียร์กันได้ทุกคู่ คงไม่มีการหย่าร้างเกิดขึ้นบนโลกนี้แล้ว ไอ้โง่

ด้านดีด้านเลวประจันหน้า ต่างงัดคำพูดมาโต้เถียงใส่กันไม่หยุดอย่างน่าปวดหัว ไฟร้อนที่กำลังเกิดเลยลดความร้อนแรงลงไปทันที เมื่อหมดอารมณ์จะสานต่อจึงคิดดึงปลายนิ้วให้ถอยห่างจากผิวเนื้อ แต่จู่ๆ คนหลับกลับพลิกตัวนอนตะแคงกะทันหัน ทั้งยังอยู่ในท่าที่คนเห็นรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที

ยะ ยั่วกันเกินไปแล้ว!

จากที่ว่าจะถอยห่างกลายเป็นวางฝ่ามือแปะบนแผ่นหลังที่เผยผิวเนื้อให้เห็นบางส่วน แล้วค่อยๆ ลูบไล้ขึ้นไปด้านบนช้าๆ พร้อมกับลากชายเสื้อตามขึ้นไปด้วย ยิ่งลูบขึ้นสูงเท่าไหร่ก็คล้ายได้ยินเสียงอืออาในลำคอจากคนหลับมากขึ้นเรื่อยๆ

ความยับยั้งชั่งใจเลือนหายไปตามเวลา พร้อมกับรู้สึกคอแห้งผากมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องกลืนน้ำลายเป็นระยะๆ กระทั่งเสียงที่ถามออกไปก็ยังแหบพร่ากว่าที่คิด

“กูจะนับหนึ่งถึงสิบ ถ้ามึงยังไม่ตื่นอีกก็อย่ามาเสียใจทีหลัง...”   

ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา แล้วผมก็ไม่สนด้วย เพราะมันสุดจะหักห้ามใจแล้ว!

รีบขยับตัวเข้าแนบชิด จัดการแทะๆ เล็มๆ ผิวเนื้อด้านหลังอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยดึงสติกลับมาได้บ้าง ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน แล้วเลื่อนตัวขึ้นมากระซิบข้างหู พูดเตือนเสียงแหบแห้งเป็นครั้งสุดท้าย

“ถ้ายังไม่ยอมตื่นอีก กูจะ...กินมึงแล้วนะ”

พูดไม่ทันจบดี คนถูกกระซิบข้างหูกลับขมวดคิ้ว พลิกตัวเปลี่ยนท่ามานอนหงาย สร้างแรงเสียดสีแสนทรมานจนเผลอครางออกมาเบาๆ พอผงกหัวขึ้นมองหน้า กลับพบว่าอีกฝ่ายกำลังเปิดเผยลำคอคล้ายจะให้ไล่ชิมได้เต็มที่ สติที่พยายามดึงรั้งไว้เลยเลือนรางหายไป แทนที่ด้วยสัญชาตญาณอยากรักเท่านั้น 

ผมมีสติยั้งคิดอีกที ก็ตอนสัมผัสได้ถึงอาการเกร็งต่อต้านของคนใต้ร่างระหว่างกำลังเข้าเข็มเข้าด้าย 

...มาถึงขั้นนี้จะให้หยุดคงเป็นไปไม่ได้ คิดแล้วก็ได้แต่กัดฟันอดทนไม่เดินหน้าต่อ ทั้งยังพยายามพูดปลอบข้าวยำไปด้วย

“ใจเย็นๆ อย่าเกร็ง”

แว่วเสียงด่าจากคนที่ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมปล่อยให้มันด่าจนเผลอตัวถึงได้เริ่มเดินหน้าต่อ จากเสียงด่ากลายเป็นเสียงขลุกขลักในลำคอ พอผ่านไปครู่ใหญ่กลับเปลี่ยนเป็นเสียงครวญครางฟังไม่ได้ศัพท์ที่กระตุ้นให้ร่างกายผมตื่นตัวหนักกว่าเดิม

สติถูกกลืนกินไปอีกครั้ง คงไว้เพียงสัญชาตญาณที่นำพาอารมณ์พุ่งทะยานฟ้า แล้วปลดปล่อยออกมาแทบจะพร้อมๆ กัน

แฮ่ก...

เสียงหอบหายใจผสานแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน พร้อมๆ กับที่สติค่อยๆ กลับคืนมาทีละนิด

...ฉิบหาย กูกินแมวเถื่อนทั้งที่กำลังถูกโกรธจัด

นึกแล้วก็อยากเอาหัวโขกฟูกบนเตียงนัก!

ทำไงดีวะเนี่ย?!

ยังไม่ทันได้คิดหาทางออก คนใต้ร่างก็ส่งน้ำเสียงแหบแห้งที่ฟังดูก็รู้ว่ากำลังขุ่นเคืองมาให้

“ไหนว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่นไง รีบๆ ไปเลย!”

ผมลอบเหงื่อตกอยู่ในใจ ทำได้แค่รีบถอดตัวตนออกมาก่อนที่อีกคนจะอึดอัดจนพาลโกรธใส่กันมากกว่านี้ พอล้มตัวนอนลงข้างๆ ก็พบว่าคนกำลังนอนคว่ำไม่ยอมขยับไปไหน ทั้งยังจ้องมองมาด้วยแววตากินเลือดกินเนื้อให้เสียวสันหลังวาบ

เพื่อความปลอดภัยของชีวิต ผมเลยแสร้งเลิกคิ้วขึ้นสูง แววตาพยายามให้ใสซื่อเข้าไว้ เผื่อจะช่วยลดทอนอารมณ์โกรธเกรี้ยวของเมียลงบ้างสักนิด

“ย้ายมาแล้วนี่ไง”

แต่เหมือนจะไม่ได้ผล เพราะคนฟังเบิกตากว้างกว่าเดิม

ในแววตาข้าวยำมีความตกใจปรากฏออกมาให้เห็น แต่เพียงอึดใจกลับเปลี่ยนเป็นความสับสน แล้วเริ่มยกหัวกวาดสายตามองสำรวจทั้งซ้ายขวา ผมมองสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปมานั่นอย่างกังวลใจ ยิ่งเห็นมันทำหน้าตื่นตระหนก แล้วตวัดตามองคาดโทษใส่ก็ได้แต่ส่งยิ้มฝืดๆ ให้

“มะ มึงวางยากู!”

ยังหัวไวเหมือนเดิม ผมทำได้แค่พูดด้วยเสียงที่พยายามให้นุ่มหูคนฟังที่สุด

“ลูกอมเคลือบยานอนหลับอ่อนๆ จากกูได้ผลเกินคาดใช่ไหมล่ะ มึงหลับยาวจนกูเป็นห่วงเลยมาปลุก”

พูดถึงตรงนี้แววตาคนฟังก็วาวโรจน์ขึ้นมาทันที ผมเลยต้องหุบปากฉับ นอนมองคนกัดฟันกรอดอย่างใจไม่ดีเท่าไหร่ มองอยู่สักพักก็ถือโอกาสพูดเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่นบ้าง

“ถ้าลุกไหวเมื่อไหร่ก็ออกไปจัดข้าวของมึงซะ หรือจะให้กูจัดให้ แต่ถ้าหาอะไรไม่เจออย่ามาว่ากันล่ะ”

ข้าวยำขมวดคิ้วใส่ทันที “ของกู? จะมาอยู่กับมึงได้ไง?”

“กูไปเก็บจากห้องมึงมาให้”

ทั้งที่ผมพูดด้วยน้ำเสียงแสนจะธรรมดา แต่คนข้างตัวกลับยันตัวขึ้นนั่งกะทันหัน เร็วจนผมห้ามไม่ทัน ทำได้แค่ลุกตามมาฟังเสียงซี๊ดปาก ท่าทางคงเจ็บน่าดูจนผมเริ่มกังวลว่าตอนขาดสติอาจเผลอทำแรงไปหรือเปล่า

“มึงไปเก็บมาทำไม!”

คำถามที่โผล่มากะทันหันทำผมตามไม่ทัน พอสบตาที่ดูหงุดหงิดอย่างหนักเข้า ก็ต้องชักมือที่ยื่นไปแตะตัวอีกฝ่ายเมื่อครู่ออกห่าง ทั้งตั้งสติทบทวนคำถามอยู่ครู่หนึ่งถึงต่อบทสนทนาได้

“อ้าว มึงเป็นเมียต้องย้ายมาอยู่กับกูสิ”

“กูไม่ย้าย! ไม่ใช่เมียมึงด้วย!”

ทั้งที่ได้ยินมาหลายครั้ง แต่การได้ยินครั้งนี้กลับเจ็บจี๊ดจนทนฟังไม่ไหว พริบตาเดียวก็เผลอจับแมวเถื่อนกลับมานอนอยู่ใต้ร่างอีกครั้งแล้ว

“อยากให้กูย้ำสถานะกับมึงอีกรอบไหม!”

คนกำลังเสียเปรียบหน้าซีดลงทันที ทั้งรีบส่ายหัวปฏิเสธกลับมา เห็นแบบนั้นผมเลยคว้าความได้เปรียบนี้พูดข่มเสียงเข้ม เพื่อกลบเกลื่อนใจที่กำลังสั่นไหวด้วยความหวาดหวั่นที่ตีตื้นขึ้นมาในอก

นี่ล่ะมั้งความรู้สึกของคนกลัวถูกทิ้ง

“ดี ลุกไหวก็ไปเก็บของให้เรียบร้อย สำรวจบ้านใหม่ด้วยก็ดี”

ผมพลิกตัวลงนอนข้างๆ อีกครั้ง เจรจาให้รู้ว่าจงใจปล่อยไป พลางมองข้าวยำพ่นลมหายใจออกมา แวบแรกนึกกลัวว่ามันถอนหายใจเพราะทนผมไม่ไหวแล้ว แต่พอเห็นสีหน้าดูผ่อนคลายขึ้นก็ค่อยรู้สึกคลายความหวาดกลัวลงไปได้บ้าง

...บางทีมันคงโล่งอกที่ไม่ถูกผมจับกินอีกครั้งมากกว่ามั้ง

ไม่ทันไรแววตาของข้าวยำกลับตวัดมาสบกันอีกครั้ง คราวนี้ส่องประกายวาววับบอกชัดว่าไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆ ให้คนเห็นรู้สึกหนักใจอีกรอบ ผมนึกอยากถอนหายใจบ้าง แต่ทำไม่ได้ เลยแกล้งลากเสียงยาว กล่าวถ้อยคำที่น่าจะสั่นคลอนคนฟังได้บ้างออกมาแทน

“อ้อ กูแจ้งเอาชื่อมึงออกจากหอแล้วนะ เพราะมึงอยู่ครบตามกำหนดบังคับของเทอมแรกแล้ว”

คนฟังทำหน้าเหมือนโดนหมัดชกเข้าให้ตามคาด พอตั้งสติได้มันก็ร้องลั่น

“อะไรนะ!?!”

“ตะโกนทำไม อยู่ใกล้กันแค่นี้...”

สีหน้าข้าวยำแปรเปลี่ยนอีกครั้ง คราวนี้ดูอย่างกับจะพุ่งมาฉีกเนื้อกัน คนถูกมองอย่างผมก็ได้แต่จ้องกลับ ไม่มีหลบตา มีแต่เตรียมตั้งรับล้วนๆ

มาสิ มาลงที่กูเลย

ผมหวังว่าถ้ายำได้ระบายอารมณ์โกรธที่สุ่มอยู่ในอกออกมาบ้างก็น่าจะดีกว่าปล่อยให้เก็บไว้ในใจ แล้วรอวันระเบิดออกมา

แต่จู่ๆ สีหน้าข้าวยำกลับเปลี่ยนกะทันหัน “เดี๋ยว…กูออกไม่ได้ ไม่ใช่ว่าวิศวะต้องอยู่หอครบสองปีเหรอ”

คำถามที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวทำผมมึนงงไปวูบหนึ่ง มองสีหน้าที่กลับมาครุ่นคิดอย่างจริงจังนั่นแล้วก็ได้แต่ยิ้มอ่อนออกมาอย่างช่วยไม่ได้

ข้าวยำก็ยังคงเป็นข้าวยำวันยังค่ำ โกรธใครได้ไม่เคยนาน...น่าจะนะ

“กูบอกมึงแล้วอย่าเอาไปบอกเพื่อนล่ะ”

ผมพูดเกริ่นให้อยากรู้ ทั้งสบตาคนที่มองมาตาแป่ว

“ความจริงเขาบังคับแค่เทอมแรก จะได้สะดวกต่อการถูกดูแลในช่วงรับน้อง แต่เพราะไม่มีพี่คนไหนบอกความจริง ปีที่แล้วกูเลยโง่อยู่หออีกเทอม มารู้ความจริงตอนปีสองก็ต้องจำใจอยู่หอในต่อเพื่อดูแลพวกเด็กปี1 อย่างมึง กูหมดหน้าที่แล้วเลยย้ายออกได้”

แววตาคนฟังเปล่งประกายให้เห็นทันที “มึงหมด แต่กูยัง”

ผมแสยะยิ้มให้อย่างรู้เท่าทันว่ามันคิดจะเอาหน้าที่ดูแลเด็กปีสองมาเป็นข้ออ้างขอกลับไปนอนหอเดิม

“มึงไม่เห็นเหรอว่าชั้นหนึ่งมีห้องพี่ปนอยู่กี่ห้อง นับนิ้วได้เลยใช่ไหมล่ะ เพราะเด็กปีหนึ่งมีจำนวนมากขึ้นห้องก็ไม่พอ พวกรุ่นพี่เลยต้องย้ายออกเป็นส่วนใหญ่”

เน้นยำประโยคหลังเต็มที่ให้มันซึมซับลงในหัวคนคิดหนี แล้วพูดเสริมต่อ

“พวกปีสูงๆ ที่ยังอยู่หอในเพราะมีความจำเป็น พวกที่ไม่จำเป็นหรือมีทางเลือกจะไสหัวไปที่ไหนก็ได้ มึงอยู่ในข่ายหลัง แถมยังได้กูคุมความประพฤติอีกต่างหาก โดดกิจกรรมไม่ได้แน่นอน”

“ทำอย่างกับมึงตำแหน่งใหญ่!” ข้าวยำพยายามเถียงกลับมาอย่างไม่ยอมรับ

ผมเลยเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วส่งยิ้มอย่างเหนือกว่าให้มันเห็น “ตอนนี้ไม่ แต่ปีหน้าไม่แน่” พูดทิ้งท้ายให้ฟังดูมีเลศนัยจบก็ทอดสายตามองคนฟังด้วยแววตาที่อ่อนโยนลง

คนถูกมองผงะทันที ทั้งยังมีระลอกสั่นไหวแฝงอยู่ในแววตาให้ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย

อาจด้วยเพราะดีใจที่ยังไม่ถูกตัดสายสัมพันธ์ทิ้ง หรือเพราะความรู้สึกลึกๆ อยู่ข้างในใจ ผมถึงได้ยื่นหน้าเข้าหา แตะริมฝีปากกับหน้าผากแมวเถื่อนแช่ไว้สักพักค่อยถอนออกมา

“อยู่นี่กับกูนี่แหละ” มองด้วยความแววตาจริงจัง “แค่ลูกแมวเถื่อนตัวเดียว กูเลี้ยงได้”

ไม่รู้ว่าพูดอะไรผิดพลาด บรรยากาศอ่อนละมุนเมื่อครู่ถึงกลับมาร้อนแรงยังกับอยู่บนสังเวียนอีกรอบ

“กูไม่เชื่อ!” สามคำเน้นๆ ที่มาพร้อมอาการแยกเขี้ยวหงุดหงิด

“ให้เวลาพิสูจน์สิ” พูดพลางคลอเคลียริมฝีปากกับใบหน้าอีกฝ่าย พยายามออดอ้อนเต็มที่ แต่ข้าวยำกลับใช้สองมือดันหน้าผมออกห่างอย่างไม่ยินยอม

แมวเถื่อนของผมใจแข็งชะมัด!

“เดี๋ยวมึงก็ทวงค่าเลี้ยงดูจากกูอยู่ดี”

ผมชะงักกึกกับน้ำเสียงบ่นนั่น ไม่แน่ใจว่าคนโกรธจัดกำลังใจอ่อนลงหรือเปล่า น้ำเสียงถึงได้ไม่ค่อยเด็ดขาดเท่าไหร่

“...เมียฉลาด” พูดชมไว้ก่อน แล้วค่อยต่อบทสนทนาเพื่อกระตุ้นให้อีกคนอารมณ์ขึ้นอีกรอบ “แต่อย่าห่วงเลย กูทวงกับมึงแค่เรื่องบนเตียงเท่านั้นแหละ”

ข้าวยำมองผมตาวาวโรจน์ตามคาด “แค่นั่นกูก็เสียเปรียบจะแย่แล้ว!!”

เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเอะใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนโดนยั่วโมโหขนาดนี้ แมวเถื่อนคงลุกขึ้นมากระทืบผมแล้ว แต่นี่...สายตาคอยจับจ้องสังเกตพฤติกรรมแมวเถื่อนผู้ยังนอนนิ่งบนเตียง คอยมองทุกปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นอย่างจับสังเกต จากนั้นก็ลองดึงคนที่ชอบโต้เถียงทุกครั้งเวลาไม่พอใจอะไรสักอย่างเข้ามากอดดู

“ปล่อยกูนะ กูไม่อยากอยู่กับ…อื้อ”

จัดการปิดปากมอมๆ อยู่พักใหญ่ถึงค่อยถอนจูบออกมาช้าๆ ดวงตามองประสานกันในระยะประชิดทำให้ผมเห็นความสั่นไหวและความสับสนในแววตาที่ดูชัดเจนมากกว่าครั้งไหนๆ 

“ไม่ต้องรีบร้อน” ผมพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแบบที่ตัวเองก็คาดไม่ถึง “สงครามระหว่างเรายังอีกนาน กูจะค่อยๆ ปราบลูกแมวเถื่อนอย่างมึงให้เชื่องเป็นลูกแมวบ้านเลยคอยดู”

“ไม่มีทาง!” ปฏิเสธทั้งที่เสียงสั่นน่าดู

ยิ่งสบตาด้วยนานเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าคนตรงหน้ากำลังหวั่นไหว...กับผมแล้วนี่หว่า!

นี่มันสัญญาณที่ดีเลยไม่ใช่หรือไง!

ผมรู้สึกดั่งเห็นแสงแห่งความหวังส่องสว่างเล็กๆ อยู่ในใจที่เย็นเฉียบ ดีใจจนแววตาเริ่มพราวระยับพร้อมกับฉวยโอกาสเว้าวอนขอโอกาสเสียงนุ่มหู หวังกล่อมให้คนแสดงออกว่าหวั่นไหวใจอ่อนยวบยินยอมแต่โดยดี

“อยู่ให้พิสูจน์สิ”

“ไม่”

ปฏิเสธอีกแล้ว แต่น้ำเสียงกลับไร้น้ำหนักสิ้นดี เปิดโอกาสให้ผมจู่โจมอีกครั้ง

“ยำ”

เรียกชื่อด้วยเสียงอ่อนหวาน แต่คนฟังกลับสะบัดหน้าหนี...ไม่รู้ว่าไม่ยินยอม หรือเพราะกำลังเขิน

ผมมองคนขบเม้มริมฝีปากอย่างไม่มั่นใจอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจตัดบท เลิกไล่ต้อนแล้วเป็นฝ่ายถอยเองก่อน “เอาเถอะ ยังไงมึงก็หนีกูไม่พ้นหรอก สภาพมึงตอนนี้ก็ไม่ต่างจากสัตว์ติดกับดักสักเท่าไหร่”

พูดจบคนหนีหน้าเมื่อกี้ก็หันมาถลึงตาใส่อย่างดุร้าย ผมมองแล้วก็รู้สึกหมั่นเขี้ยวเลยยื่นริมฝีปากไปแตะที่ปากอีกฝ่ายหนึ่งที แล้วดันตัวลุกจากเตียงเตรียมไปอาบน้ำอีกรอบ แต่พอเห็นคนบนเตียงยังอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับไปไหน เลยต้องส่งเสียงเรียกให้ตามมาด้วย

“ยำ มึงควรมาเข้าห้องน้ำด้วย”

แมวเถื่อนลุกพรวดหน้าซีดเผือก “มึงไม่ใส่ถุง”

ผมหรี่ตาลง แล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เห็น “เปล่า กูจำข้อตกลงเราได้น่า” แหย่ไปประโยคหนึ่งให้คนฟังอารมณ์ขึ้นเรียบร้อยก็รีบพูดเข้าเรื่อง “แต่มึงแตกใส่ตัวเองเลอะเทอะไปหมด อาบน้ำสักหน่อยน่าจะสบายตัว หรือถ้าลุกไม่ไหว กูเดินไปอุ้มมึงเข้าห้องน้ำได้นะ”

จากสีหน้าคนฟัง มันคงอยากปะทุร้ายผมมากถึงมากที่สุด

“ไม่ต้องมายุ่ง กูเข้าเองได้”

“งั้นก็รีบมา ถ้าช้ากูไปอุ้มมึงลงจากเตียงแน่”

ผมเดินนำเข้าไปก่อน แล้วกอดอกพิงกำแพงในห้องน้ำ ยืนรอคนปากแข็งลากสังขารตามเข้ามา ระหว่างนั้นก็จ้องมองข้าวยำผ่านกระจก เห็นคนชอบฝืนตัวเองแล้วยิ่งหงุดหงิด

หลังจากนี้คงต้องฝึกให้มันรู้จักพึ่งพาผมซะบ้างแล้ว

รอจนกระทั่งข้าวยำก้าวเท้าผ่านประตูเข้ามาในห้องน้ำ ได้เห็นร่างเปลือยเปล่าใต้แสงหลอดไฟชัดเจนก็ชวนให้รู้สึกเลือดลมปั่นป่วนอีกรอบ รู้ตัวอีกทีก็เผลอยื่นมือผลักจนยำเซถลาไปเกาะอ่างล้างหน้า ยึดอ่างเป็นที่พยุงตัวซะแล้ว

ผมรีบหมุนตัวไปล็อกประตูห้องน้ำ ใช้จังหวะนี่สะกดข่มอารมณ์ที่กำลังทะยานอยากออกมา

ยุบหนอ พองหนอ เดี๋ยวแมวโกรธ แมวเมินหนอ...

ระหว่างนั้นแว่วเสียงแมวบางตัวสบถใส่อย่างดุเดือด ฟังแล้วช่วยให้อารมณ์ร้อนแรงลดวูบได้ดีจริงๆ พอหันหน้าไปมองก็เจอฝ่ายนั้นพูดออกมารัวเร็วจนฟังแทบไม่ทัน

“ไม่เอานะมึง พรุ่งนี้กูมีสอบนะโว้ย!”

จู่ๆ ก็นึกอยากแกล้งขึ้นมากะทันหัน เลยทำเป็นย่างสามขุมเข้าหาช้าๆ ทั้งพูดโต้ด้วยท่าทางอย่างคนเหนือกว่า

“บอกแล้วว่าเดี๋ยวช่วยติว”

“กูยังต้องไปนั่งสอบนะโว้ย!”

“ไม่ต้องห่วงจะทำเบาๆ” เพิ่มรอยยิ้มกระหายอยากให้มันเห็นอีกหนึ่ง

“มึงอย่าเพิ่งมาหื่นตอนนี้ได้ไหม”

“แค่หื่นฉลองห้องใหม่กับเมียเอง”

“ไอ้พี่ภู!!!”

ข้าวยำเรียกชื่อผมดังลั่นห้องน้ำอย่างเหลืออด เห็นสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดของมันตอนนี้แล้ว ผมก็กลั้นขำต่อไปไม่ไหวต้องปล่อยหัวเราะออกมาเสียงดังไม่แพ้กัน แน่นอนว่าผมถูกแมวหน้าบูดบึ้งงอนใส่ตามระเบียบ จำต้องฝืนกลืนเสียงหัวเราะลงคอ แล้วรีบพูดง้อก่อนจะโดนแมวเมินใส่อีกรอบ

“ไม่แกล้งแล้ว ไปอาบน้ำกันดีกว่า อาบแล้วจะได้กินข้าวต่อ”

ลากเข้าเรื่องของกินปุ๊บ คนกำลังอารมณ์เสียจึงคลายสีหน้าลงเล็กน้อย ทั้งยังยอมให้ผมหิ้วตัวไปยืนใต้ฟักบัวอีกด้วย

“ให้ช่วยอาบน้ำไหม?” แกล้งกระซิบถามเสียงกระเซ้าข้างใบหู

“ไม่ต้อง!”

ผมยอมถอยออกมาตามแรงผลัก แล้วเดินไปยืนพิงกำแพงรออยู่อีกด้านหนึ่ง ปล่อยให้ข้าวยำเปิดน้ำล้างตัวก่อนคนแรก ระหว่างนั้นก็มองพิจารณาคนอาบน้ำอยู่เงียบๆ 

...ยำหวั่นไหวกับผมตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วหวั่นไหวมากน้อยแค่ไหน?

เป็นคำถามที่น่าครุ่นคิด พอรวมกับเรื่องที่เผลอจับกินไปวันนี้ แต่คนถูกกินกลับไม่มีอาการอยากฆ่ากันเหมือนช่วงแรกที่ได้นอนด้วยกันให้เห็นก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความหวัง...

ผมยกมือขึ้นปิดปาก บดบังรอยยิ้มที่กำลังเกิดขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งบอกย้ำกับตัวเองอยู่ในใจซ้ำๆ ว่าอย่าเพิ่งดีใจตอนนี้  ใช่ๆ อย่าเพิ่งได้ใจเชียวนะมึง รอจนแมวเถื่อนรู้ตัวให้ได้ก่อนเถอะ...

ความคิดสะดุดลงทันที พร้อมจ้องมองคนกำลังหันหลังฟอกสบู่อยู่อย่างสงสัย

นั่นสิ...มันรู้ตัวหรือเปล่าว่าเริ่มหวั่นไหวกับผมแล้ว?

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยใจจนเผลอถอนหายใจออกมา คนกำลังล้างสบู่คงได้ยินเลยหันมามองกันแวบหนึ่ง แววตาของยำบ่งบอกชัดถึงความหวาดระแวงไม่ไว้ใจ ทั้งยังรีบร้อนหันกลับไปล้างสบู่ออกจากกาย เสร็จเรียบร้อยก็เผ่นหนีออกไปจากห้องน้ำทั้งที่ตัวเปียก จนผมต้องตะโกนให้กลับมาเอาผ้าขนหนูก่อน

“โยนออกมาให้กูเลย”

ผมมองคนตะโกนสวนกลับมา แต่ไม่มีทีท่าจะกลับเข้ามาเหยียบในห้องน้ำอย่างอ่อนใจ

เอาเถอะ ตอนนี้ขอแค่มันไม่โกรธจนเมินหน้าใส่กันเหมือนที่ผ่านมาอีก ผมก็พอใจแล้ว 

-------------
มีต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2018 10:17:40 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
แมวเถื่อนในคอนโด 2 : แมวเถื่อนประท้วง (ต่อ)


อาหารมื้อแรกในคอนโดใหม่เริ่มต้นในเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม

ข้าวยำขมวดคิ้วมองกับข้าวบนโต๊ะไม่วางตา กระทั่งผมวางจานข้าวสวยเพิ่งหุงเสร็จลงตรงหน้าให้ มันก็ทำแค่จับช้อนขึ้นมาถือเฉยๆ ส่วนตายังคงจ้องกับข้าวต่อไป สุดท้ายคงทนไม่ไหวถึงได้ใช้ช้อนในมือชี้ไปทางอาหารจานหนึ่งตรงหน้า

“...นั่นอะไร”

“ปลาซาดีนในซอสมะเขือเทศ”

“แล้วนั่นล่ะ”

“ฉู่ฉี่ปลาแมคเคอเรล”

“...จานสุดท้ายนั่นล่ะ”

“ทูน่าผัดพริกใบกะเพรา”

คราวนี้ข้าวยำหันมาจ้องหน้าผมด้วยสีหน้าจริงจังมาก “ทั้งหมดนี่มึงแงะออกมาจากกระป๋อง แล้วเทใส่จานใช่มะ”

ผมคลี่ยิ้มให้แทนคำตอบ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “วันนี้มีให้กินเท่านี้แหละ จะกินไหม?”

คนฟังขมวดคิ้วมองหน้าผมสลับกับจานกับข้าว สักพักก็ถอนหายใจออกมา ยินยอมตักชิ้นปลาใส่จานข้าวสวยของตัวเองในที่สุด ส่วนผมรีบหันหน้าไปมองทางอื่น ทำเป็นไม่รู้ถึงความลำบากใจของคนกิน

เช้าวันต่อมาผมวางจานแซนวิชทูน่าที่ทำง่ายๆ ด้วยการเอาทูน่ากระป๋องมาผสมกับมายองเนสและพริกไทยทาบนขนมปังประกบกับขนมปังอีกแผ่นก็จบ คนเตรียมตัวจะไปสอบช่วงเช้ามองอาหารในจานแวบหนึ่งแล้วหยิบมากัดโดยที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ

“เดี๋ยวกูไปส่งมึงที่มหา’ลัย แล้วจะรอรับกลับเลย”

คราวนี้คนกำลังเคี้ยวตวัดตามองด้วยแววตาไม่พอใจมาก มันรีบเคี้ยวแล้วกลืนอาหารลงท้อง พอปากวางก็พูดประชดใส่กันทันที “มึงยึดมือถือกูไปแล้วยังไม่พอใจอีกเรอะ!”

“เมื่อวานมึงรับปากอะไรกูไว้ ยังจำได้อยู่ไหมหืม?”

ผมทวงถามเรื่องที่คุยกันไว้ก่อนหลับตอนเกือบเที่ยงคืน คนถูกถามเลยมีอาการหงุดหงิดให้เห็นชัดเจน

“อยู่ชดใช้หนี้ให้มึงไง”

“ก็เข้าใจดีนี่” ผมลูบหัวข้าวยำเบาๆ “ในฐานะเจ้าของ กูจะไปรับไปส่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้วนี่”

“แล้วทำไมมึงต้องมารับเลี้ยงกูด้วยวะ กูไม่ใช่แมวนะ!”

“มึงติดหนี้เพราะแมวนี่” ผมพูดยิ้มๆ “แต่ถ้าไม่อยากเป็นแมว กูก็ไม่ว่า”

ผมวางมือบนพนักพิงเก้าอี้ แล้วโน้มตัวเข้าหาคนที่มองมาอย่างระแวง

“เพราะตำแหน่งเมียของกูว่างให้มึงรับไปเสมอ”

คนถูกหยอดคำหวานกลับทำหน้าโมโหซะงั้น ทั้งยังไปลงอารมณ์กับแซนวิชด้วยการกินเรียบไม่เหลือเผื่อผมสักชิ้น เอาเถอะ เดี๋ยวช่วงยำเข้าสอบ ผมค่อยไปหาอะไรกินที่โรงอาหารเอาก็ได้

-------------

หลังกลับจากมหาวิทยาลัย แมวที่อารมณ์ไม่ดีก็ปรี่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วกลับมาขลุกอยู่กับหนังสือสอบต่อ ส่วนคนเลี้ยงอย่างผมเดินตรงไปที่ครัวเตรียมอาหารมื้อเที่ยงให้แมว

เพียงแค่เปิดตู้เก็บของติดผนังเหนืออ่างล้างจานก็เผยให้เห็นปลากระป๋องหลายรูปแบบที่หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าวางเรียงรายเต็มไปหมด ที่ฝาตู้ด้านในยังมีบิลใบเสร็จสองใบยึดสี่มุมด้วยสก็อตเทป แค่เห็นตัวเลขที่เขียนอยู่ในนั้นก็ทำให้หวนนึกถึงแมวหัวสูงผู้ทำกระเป๋าตังค์ฉีกขึ้นมาทันที

วันนี้ให้กินอะไรดีนะ?

ผมกวาดมองซ้ายขวาพลางครุ่นคิดไปด้วยว่าจะเลือกกระป๋องไหนให้แมวกินดี

เอาแพนงทูน่านี่แล้วกัน แล้วก็ซาร์ดีนผัดเผ็ดกระป๋องนี้ อืม...เพิ่มซาบะในซอสเทริยากิอีกกระป๋องแล้วกัน

ผมวางปลาประป๋องที่เลือกมาบนเคาน์เตอร์ทำอาหาร หยิบจานที่วางผึ่งให้แห้งตั้งแต่เมื่อคืนออกมาสามใบ หลังเทปลากระป๋องลงจานเรียบร้อยก็จัดการเอาไปอุ่นในไมโครเวฟ ส่วนข้าวก็ยังมีเหลือในตู้เย็น เอาไปอุ่นต่อจากกับข้าวก็พร้อมเอาไปให้แมวกินได้แล้ว

เลี้ยงแมวด้วยปลาเป็นเรื่องง่ายจะตาย

เป็นอีกมื้อที่แมวเถื่อนขมวดคิ้วใส่กับข้าว แต่ก็ยอมตักเข้าปากโดยไม่พูดอะไรสักคำ กินเสร็จก็ไปขลุกอยู่กับหนังสือจนใกล้มื้อเย็นแล้วนั่นแหละ ถึงได้เปิดปากบอกกับผมเสียงแข็งกร้าว

“ถ้ามื้อเย็นยังเป็นปลากระป๋องอีก กูจะหนีออกจากบ้าน!”

อือหื้อ แค่สองประโยคก็ทำผมน็อคเอาท์ไปเลย

เพื่อป้องกันไม่ให้แมวประท้วงเรื่องอาหารจนหนีออกจากบ้าน ผมเลยต้องออกจากห้องมาขวนขวายหาร้านข้าวใกล้คอนโดให้ โชคดีที่แค่ไปถามยามหน้าคอนโดก็ได้ใบปลิวร้านอาหารมาหนึ่งแผ่น

“โทรไปเบอร์นี้นะน้อง” พี่ยามชี้นิ้วไปที่หมายเลขโทรศัพท์บนใบปลิว แล้วพลิกไปด้านหลังให้ดูในแนวนอน จะเห็นรายการอาหารที่มีราคากำกับไว้ถึงสามแถว “เมนูอาหารอยู่ตรงนี้ สั่งเสร็จแล้วก็แจ้งชื่อน้อง ชื่อคอนโดกับหมายเลขห้องไว้ เดี๋ยวมีคนเอาข้าวขึ้นไปส่งให้เองแหละ”

“ขอบคุณครับพี่”

“ไม่เป็นไรๆ”

ผมกลับขึ้นห้อง ยื่นใบปลิวด้านที่เป็นเมนูให้แมวเถื่อนดู ข้าวยำเพียงแค่กวาดตามอง แล้วชี้นิ้วบอกว่าจะเอาอะไรบ้างเสร็จก็ละสายตาไปมองชีทเรียนต่อ

…ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่านี่มันเหมือนพ่อบ้านกับเจ้านายชัดๆ

หลังโทรสั่งอาหารเสร็จผมก็บอกต่อกับคนนั่งอ่านหนังสืออยู่ว่า “ทางร้านอาหารแจ้งว่าช่วงเวลานี้คนเยอะมาก อาจมาส่งช้าหน่อยนะ”

“อืม” แมวเถื่อนตอบมาแค่นั้น

รออยู่เกือบชั่วโมงถึงมีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นมา ตามด้วยเสียงร้องเรียกจากหน้าห้อง

“สวัสดีครับ เอาข้าวที่สั่งมาส่งครับ”

ผมที่กำลังสอนยำคิดคำนวณตามสูตรจำต้องผละออกมาเปิดประตูก่อน รับถุงข้าวมาแล้ว ถึงส่งเงินที่เตรียมไว้พอดีไม่ต้องทอนให้ยุ่งยาก กำลังจะปิดประตู แต่คนส่งอาหารถามขึ้นมาก่อน

“มีใบสะสมแต้มไหมครับ”

“ใบสะสมแต้ม?” ผมทวนคำด้วยความฉงน

คนส่งอาหารเลยยืนอธิบายให้ฟังอยู่พักใหญ่จนผมเข้าใจ จึงบอกไปสั้นๆ

“คราวหน้าเอามาให้ด้วยแล้วกัน”

ระหว่างที่พูดอยู่นี่ผมรู้สึกเหมือนมีคนมาป้วนเปี้ยนด้านหลังตัวเอง สงสัยแมวเถื่อนคงหิวข้าวจนทนไม่ไหวแล้วมั้ง คิดพลางหันไปยื่นถุงข้าวไปให้ แต่กลายเป็นว่าโดนยำแทรกผ่านออกมากะทันหัน ได้แต่หันมองตามด้วยความตกใจ จึงทันเห็นเมียตัวเองกระโดดกอดผู้ชายคนอื่นต่อหน้าต่อตา!

“ได้ครับ...เฮ้ย!”

“ไอ้ที! ช่วยกูด้วย!!”

ผมรั้งแรงที่เกือบจะกระชากยำออกมาจากผู้ชายคนนั้น แล้วเลื่อนสายตามองใบหน้าคนมาส่งข้าวอย่างตกใจกึ่งประหลาดใจ ไม่ทันได้ตั้งตัวก็โดนคนส่งอาหารตวัดขาเตะผ่าหมากกะทันหัน ทั้งเจ็บทั้งจุกเกินบรรยาย ทำได้แค่กุมเป้าแล้วไหลตัวไปกองกับพื้นอย่างหมดท่า

“ไอ้เวรนี่เป็นใครวะยำ?” แว่วเสียงถามดุดันลอยเข้าหู

“ไอ้พี่ภูไง มันจับกูมา”

เกิดความเงียบชั่วขณะหนึ่ง ก่อนคนส่งอาหารจะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่ดูใจเย็นขึ้นมาก

“ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไรหรอกนะพี่ แต่ขอพาเพื่อนไปซักถามก่อนแล้วกัน ส่วนพี่รออยู่ที่นี่แหละ บางทีผมอาจจะเรียกพี่ไปหาอีกที”

“ดะ…เดี๋ยว” ผมพยายามส่งเสียงแก้ความเข้าใจผิด

“ไปยำ ช่วยกูส่งข้าว แล้วเราค่อยคุยกัน”

และแล้วแมวเถื่อนก็โดนฉกตัวไปง่ายๆ อย่างนั้นเอง

############


และแล้วทีกับพี่ภูก็ได้เจอหน้ากัน ได้เจ็บตัวไม่พอ โดนขโมยแมวไปด้วย โอ๋นะ 555+

ในบทนี้มีฉากที่เรารอเขียนด้วยนะ นั่นคือฉากพี่ภูให้น้องกินปลากระป๋องค่ะ 555
ตอนคิดฉากนี้เรากำลังนั่งกินสลัดทูน่า (ที่แงะจากกระป๋อง) อยู่ค่ะ เห็นกระป๋องเปล่าแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าถ้าข้าวยำเป็นแมวจริง พี่ภูคงเลี้ยงน้องด้วยปลากระป๋องแน่เลยขึ้นมา (อาหารกระป๋องที่เป็นของแมวนะ 555) แลดูเปย์เนอะ แต่เอาเข้าจริงพี่ภูก็ไม่ได้มีนิสัยฟุ่มเฟื่อยเท่าไหร่ พอนำมาปรับใช้ก็เลยเป็นอย่างที่เห็นค่ะ   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2018 09:57:23 โดย KatzeP »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ absolutepoison

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คิดถึงพี่ภูกับแมวเถื่อน ทำไมพี่ภูถึงมีปลากระป๋องเยอะแบบนี้ กะจะไม่เลี้ยงน้องด้วยอย่างอื่นเลยใช่ป่ะ 555555555 :katai2-1:

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
นิยายสืบสวนสอบสวนป่าวเนี่ยย

สนุกค่าา รอๆ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
55555 ลั่นตรง ถ้าให้กินปลากระป๋องอีกจะหนีออกจากบ้าน โอ้ยยยยย

ยำ แกซึมซับเรื่องแมว ๆ จากพี่มันป่ะเนี่ยย เอะ หรือ แกนิสัยแมวแว้

รออ่านน้าา

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
แมวเถื่อนในคอนโด 3 : สิ่งที่ซ่อนไว้


ตั้งแต่ย่างเข้าวัยรุ่นผมก็พอรู้ว่าการถูกกระแทกจุดสำคัญจะเจ็บปวดมาก แต่เมื่อตัวเองถูกกระทำเข้าให้ ผมจึงรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวด และความอเนจอนาถแท้จริงที่ผู้ชายทุกคนควรหลีกเลี่ยงไปตลอดชีวิต

คิดพลางมองเจ้าส่วนนั้นที่กำลังอ่อนเพลี้ยอย่างน่าสงสาร ขนาดกางเกงในยังไม่กล้าใส่กลับไปเลย ดังนั้นจึงเลือกพันผ้าเช็ดตัวออกจากห้องน้ำด้วยสีหน้าซีดเผือกแทน

“ดีขึ้นยังวะ?”

คำถามถูกเอ่ยออกมาจากปากหนึ่งในแขกที่นั่งดูทีวีอยู่บนพรมหน้าโซฟา ผมที่กำลังเดินผ่านหน้าคนทั้งคู่จึงหันไปพยักหน้าสื่อว่ามันดีกว่าครึ่งชั่วโมงที่แล้ว จากนั้นก็หย่อนก้นนั่งบนโซฟาด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง

“แล้วยังเจ็บหรืออยากอ้วกอยู่ไหม?”

คำถามถูกส่งมาจากคนเดิม เพิ่มเติมคือแขกอีกคนละสายตาจากโทรทัศน์มามองผมบ้าง

“ยังคลื่นไส้อยู่นิดหน่อย... ยังปวดหน่วงๆ ตรงนั้นด้วย”

“มึงจะคุยเรื่องสำคัญกับพวกกูไหวไหมเนี่ย?”

ผมมองกังหัน แล้วมองเลยไปทางปุ้น...ทั้งคู่เป็นแขกที่ผมพูดไล่ไม่ได้ด้วยสองเหตุผล

หนึ่ง ถือเป็นผู้มีคุณ เพราะช่วยผมที่ถูกทิ้งอย่างไม่แยแสบนพื้นหน้าประตูห้องด้วยการมีคนหนึ่งหิ้วปีก อีกคนอุ้มสองขา ยกตัวลอยพาเข้าห้องมานอนแหมะบนโซฟา จากนั้นยังถูกพาไปนั่งกอดชักโครกในห้องน้ำอีก  ถ้าไม่ได้สองคนนี้ช่วยพาไปล่ะก็ แถวโซฟาคงเลอะไปด้วยอ้วกแล้ว

สอง ทั้งคู่คงมาเยือนด้วยเรื่องแมวเถื่อนแน่ๆ แต่เพราะอาการไม่สู้ดีของผม เรื่องนี้จึงถูกชะลอไว้ก่อน

ตอนนี้คงถึงเวลาที่ควรพูดคุยกันให้รู้เรื่องแล้วมั้ง

“...จะมาเอาตัวคืน?”

ถามทั้งที่รู้ว่ามีอยู่แค่เรื่องเดียว และแน่นอนว่าผมไม่มีทางยอม

“เรื่องนั้น...”

กังหันเงียบไปนาน จนผมขมวดคิ้วเข้าหากัน เพราะดูแล้วเหมือนไม่ได้มาขอคืน แล้วมาหากันทำไม? หรือพาปุ้นมาดูความเป็นอยู่ของข้าวยำ?

คิดแล้วก็ลองชิงพูดขึ้นมาก่อน เพื่อดูปฏิกิริยาตอบรับ “ถ้าไม่คิดรับกลับก็ดี เดี๋ยวกูดูแลให้เอง”

“ไม่ต้อง!” เป็นปุ้นที่ตะโกนออกมาบ้าง

“มึงมาไม่ต้องอะไร! ให้ภูเป็นคนดูแลยำก็ดีแล้วนี่!”

ผมมองสองคนนี้ถกเถียงกันไปมาอย่างไม่เข้าใจ

“กูดูแลเองได้!” ปุ้นเสียงดังกลับอย่างไม่ยอม

“ได้เหี้ยอะไร! ทุกวันนี้ถ้าไม่มีภู น้องจะได้กินอิ่มทุกมื้อแบบนี้ไหม!”

คนฟังอย่างปุ้นขบกรามด้วยท่าทางอดทนอดกลั้น ส่วนฝ่ายคนพูดด้วยแรงอารมณ์กลับเบนหน้าไปสงบสติอารมณ์อีกทาง เหลือผมที่รู้สึกทะแม่งๆ ว่ากำลังโดนดึงไปมีเอี่ยวกับเรื่องอะไรสักอย่าง จึงอดถามออกไปไมได้

“...พวกมึงพูดถึงเรื่องอะไรกัน”

กังหันสะบัดหน้ามาทางผม “กูเคยบอกมึงแล้วว่ายำหนีออกจากบ้านมา”

ผมตอบรับด้วยความสงสัยหนักกว่าเก่าว่ามันพูดเกริ่นถึงเรื่องนี้ทำไม “เออ กูจำได้”

“งั้นมึงคิดว่าคนหนีออกจากบ้านจะพบเจอปัญหาอะไรบ้างล่ะ”

ผมขมวดคิ้ว แต่ก็ตอบไปตามที่คิด “หลักๆ ก็น่าจะเรื่องที่นอน ต่อมาก็คงเป็นเรื่องอาหาร...”

พูดถึงตรงนี้ผมก็เงียบเสียงลงทันที เพราะเริ่มเข้าใจแล้วว่าในยุคสมัยนี้ขอแค่มีเงินก็หาปัจจัยพื้นฐานเพื่อความอยู่รอดได้แล้ว ความสำคัญจึงอยู่ที่จำนวนเงินว่ามีเพียงพอไหม แน่นอนว่าเด็กหนีออกจากบ้านอาจไม่ได้รับการสนับสนุนเรื่องเงินจากผู้ปกครอง

นึกถึงตรงนี้ผมก็อดย่นคิ้วเข้าหากันไม่ได้ ทั้งพูดท้วงขึ้นมาอย่างสงสัย

“กูเห็นยำใช้จ่ายประหยัดกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันอยู่บ้าง แต่ถ้าเทียบกับเต้ที่ต้องหาเงินมาใช้จ่ายเองแล้วค่อนข้างแตกต่างชัดเจนมากนะ กูเลยไม่เคยคิดว่ายำจะเดือดร้อนเรื่องเงิน”

“เพราะปุ้นไม่ยอมบอกยำต่างหาก!” กังหันพูดเหมือนฟ้อง “มันเอาแต่แบกรับภาระเอง”

คนถูกเอ่ยชื่อทำหน้าไม่สบอารมณ์ให้เห็น “แล้วทำไมกูต้องบอกให้น้องกังวลด้วยล่ะ”

“เพราะมึงไม่บอกเนี่ยแหละ เรื่องถึงได้แย่ลงเรื่อยๆ”

“แต่ตอนนั้นมึงเห็นด้วยกับกูที่ตัดสินใจไม่บอกยำ”

“ก็กูคิดว่ามึงคงจัดสรรเงินช่วยน้องได้ตลอดนี่หว่า แต่นี่สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว มึงก็ยังดื้อแพ่งไม่ยอมบอกอยู่ได้”

ฟังถึงตรงนี้ผมก็บีบหัวคิ้วหลังได้ข้อสรุปว่า แมวเถื่อนมีปัญหาเรื่องเงินจริง แต่เจ้าตัวไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลย

“ตรงๆ นะกูว่ามันเป็นปัญหาใหญ่ที่ควรบอกเจ้าตัวสักหน่อย”

พอผมพูดจบ กังหันก็หันไปมองปุ้นอย่างมีพวก “เห็นไหมล่ะ”

“กูขอยืนยันคำเดิม ยังไงก็ไม่บอก!”

เมื่อคนเป็นพี่ไม่อยากให้น้องรู้แบบนี้แสดงว่าน่าจะพอมีวิธีรับมืออยู่บ้าง คิดได้แบบนั้นผมเลยมองหน้าปุ้น

“ขอถามนะ มึงทำงานพิเศษอยู่ใช่ไหม”

“ทำได้ซะที่ไหนล่ะ!” กังหันกลับเป็นฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “มันไปทำได้สักพักก็โดนไล่ออกหมด”

ผมกวาดตามองปุ้น ถ้าบอกว่าไม่มีใครกล้ารับทำงานยังพอว่า แต่นี่ไปทำงานไม่นานก็ถูกไล่...

กังหันคงเห็นความข้องใจของผมเลยพูดเสริม “มันโดนอริที่สะสมมาตั้งแต่ม.ต้นตามไปป่วนเอาน่ะสิ แล้วแบบนี้จะมีใครยอมจ้างให้ทำงานต่อเล่า และที่แย่กว่านั้น เหมือนปุ้นไปทำงานให้เขาฟรี ค่าลงค่าแรงแทนที่จะได้กลับต้องเอาไปจ่ายเป็นค่าเสียหายซะนี่ กูล่ะกลุ้มใจแทนจริงๆ”

ผมนั่งประมวลเรื่องราวเข้าหัวอยู่พักใหญ่ กว่าพูดออกมาอย่างเข้าใจแล้วว่า ทำไมก่อนหน้านี้กังหันถึงได้คอยช่วยสนับสนุนเรื่องข้าวยำกับผมนัก

“...เพราะมึงต้องการคนดูแลยำ เลยคอยช่วยเหลือกูสินะ?”

“ใครใช้ให้มึงมาวุ่นวายกับยำในช่วงที่กูคิดไม่ตกล่ะ แล้วยิ่งรู้ว่ายำเสร็จมึงไปแล้ว มึงก็ควรรับผิดชอบสิ”

“อะไรนะ!” ปุ้นลุกพรวดขึ้นยืนด้วยสีหน้าเอาเรื่อง “นี่มึงงาบน้องกูไปแล้วเรอะ!”

กังหันกระชากปุ้นให้กลับมานั่งที่เดิม “ไหนมึงบอกว่าให้กูจัดการเรื่องนี้เองไง”

“แต่มึงไม่เห็นบอกกูเลยว่ายำเสร็จไอ้นี่...”

“ตอนนี้ก็รู้แล้ว” กังหันตัดบทดื้อๆ แล้วหันมาคุยกับผมต่อ

“ขอสรุปเลยนะ ตอนนี้ปุ้นได้เงินแค่ทางเดียวคือจากพ่อของมัน ได้มาต่อเดือนก็ถือว่าเยอะอยู่ ปุ้นจึงคอยแบ่งเงินให้น้องครึ่งหนึ่งตลอดตั้งแต่ยำหนีออกจากบ้าน แต่ปัญหามันเริ่มเกิดเมื่อยำเข้ามหา’ลัยเนี่ยแหละ”

กังหันพ่นลมหายใจออกมา

“อาจเพราะค่าใช้จ่ายของเด็กมหา’ลัยมีมากกว่าเด็กมัธยม เมื่อเงินที่ได้มาไม่พอใช้ ยำจึงจำเป็นต้องขอเงินเพิ่มจากปุ้นอยู่ดี แล้วคนให้ก็ไม่มีบ่น น้องขอมาก็โอนให้ตลอด พอเข้าเนื้อตัวเองมากๆ ก็มาขอยืมจากกูแทน แรกๆ กูก็ไม่คิดอะไรหรอกนะ แต่นี่ชักเยอะไปแล้ว! ทำอย่างกับกูเป็นถังเก็บเงินสำรอง เหอะ กูมีเงินให้ยืมมากซะที่ไหนล่ะ”

หลังๆ เหมือนกังหันพูดบ่นระบายอารมณ์มากกว่า

“นี่ดีนะพ่อของสองพี่น้องยังยอมจ่ายค่าเทอมให้ ไม่งั้นคู่นี้แย่แน่”

ผมพยักหน้ารับรู้ว่าปุ้นมีปัญหาชักหน้าไม่ถึงหลังแล้ว แต่ระดับมันรุนแรงแค่ไหนล่ะ?

“ตอนนี้สถานการณ์มันแย่ขนาดไหน?”

“มึงดูนี่”

ชายเสื้อปุ้นถูกกังหันถลกขึ้นให้เห็นเนื้อหนังช่วงท้องที่ค่อนข้างผอมทีเดียวถ้าเทียบกับผู้ชายวัยเดียวกัน

“ดูดิ มันผอมลงจากเดิมตั้งหลายโล!”

ผมมองคนเป็นพี่ที่กระชากเสื้อตัวเองมาปิดท้องเหมือนเดิม แล้วอดพูดกับปุ้นไม่ได้

“มึงเป็นพี่ที่น่านับถือวะ”

ดีถึงขั้นไม่ยอมให้น้องลำบาก แต่ตัวเองยอมลำบากแทน

แล้วถามเพิ่มให้แน่ชัด “ตกลงว่าพวกมึงจะมาขอฝากเลี้ยงข้าวยำชั่วคราว หรือจะขอยืมเงินล่ะ?”

“คงอย่างแรกวะ” กังหันว่า

“ไม่ได้!”

ผมหันไปมองปุ้นที่ตะโกนขัดขึ้นมา แล้วถามอย่างคาดเดา “ถ้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากกู แสดงว่ามึงหรือยำไปขอเงินเพิ่มจากที่บ้านได้สินะ?”

แค่ได้ยินคำถาม กังหันก็เผยสีหน้าเคร่งเครียดให้เห็น ขนาดปุ้นยังนั่งนิ่งพักใหญ่กว่าจะอ้าปากตอบ

“...ไม่ได้”

“งั้นมึงคงมีทางออกอื่นเตรียมไว้แล้ว?”

สีหน้าปุ้นย่ำแย่กว่าเดิมทันที ทั้งยังตอบกลับมาเสียงเบาหวิว “ไม่มี”

ผมย่นคิ้วเข้าหากันทันที “นี่มึงได้ลองไปคุยกับที่บ้านหรือยัง?”

ไม่มีคำตอบกลับมาอยู่นาน แต่เพราะบรรยากาศกดดันที่แผ่ออกมาจากตัวผม ทั้งมีสายตากดดันจากกังหัน หรืออาจรวมถึงความอัดอั้นที่มีมานานในใจ ปุ้นถึงได้ยอมอ้าปากเล่าเรื่องราวที่ปกปิดไว้ออกมา

“...ตั้งแต่เกิดเรื่องของแม่ ยำที่หน้าตาออกไปทางแม่มากกว่าเลยเป็นที่ขัดหูขัดตาของพ่อมาตลอด ยิ่งยำรู้ตัวว่าเป็นเกย์ ทั้งยังไม่คิดปิดบังกับครอบครัว พ่อก็ยิ่งเกลียดน้องเข้าไปอีก แต่พ่อเคยบอกกูว่าจะส่งเสียจนยำเรียนจบก่อน จากนั้นต่างคนต่างอยู่ถือเป็นเรื่องดี”

ปุ้นยกมือขึ้นมาปิดหน้า “กูไม่คิดว่าเขาจะหยุดส่งเงินดื้อๆ อย่างนี้ กูเลยเอาเงินเก็บที่มีอยู่ไปจ่ายค่าเทอมให้น้องได้เรียนมหา’ลัยก่อน ผ่านมาสองเดือนพ่อก็ไม่โอนเงินค่าเทอมของน้องมาสักที กูเลยกลับบ้านไปถามก็พบว่าเขา...กำลังจะมีลูกอีกคน”

ปุ้นหัวเราะด้วยน้ำเสียงขมขื่นมาก

“เขาแต่งงานใหม่ก็ไม่บอกพวกกูสักคำ พอมีลูกคนใหม่ก็ตัดน้องกูทิ้งอย่างไม่ไยดี อนาคตคงตัดกูที่เป็นลูกของผู้หญิงคนนั้นออกไปอีกคนแน่ กูโกรธมาก แต่กลับแสดงออกไม่ได้ เพราะกูยังต้องการเงินจากเขาอยู่ แต่ถ้ามีทางให้เลือก กูก็อยากเลือกออกจากบ้านเหมือนกัน”

“อ้าว แล้ว” ผมทำท่าจะถามบางอย่าง แต่โดนกังหันชิงตัดหน้าถามขึ้นก่อน

“แล้วนี่พ่อมึงยังจ่ายค่าเทอมกับค่าใช้จ่ายทุกเดือนให้มึงอยู่ไหมเนี่ย”

“...ต่อไปอาจไม่มีแล้วก็ได้” ปุ้นเงียบไปพักหนึ่งถึงพูดต่อด้วยเสียงอ่อนแรง “เพราะผู้หญิงคนใหม่ของพ่อคงไม่รู้ถึงการมีอยู่ของพวกกูมาก่อน วันนั้นที่กูโผล่หน้าไปถึงได้ทำหน้าไม่ชอบใจมาก บางที...อาจเป่าหูให้พ่อเลิกยุ่งกับพวกกูอยู่ก็ได้ เงินรายเดือนที่ผ่านมาของกูถึงได้ลดลงจนแทบไม่พอแบ่งให้น้องใช้แล้ว”

แค่ฟังก็รู้เลยว่ากำลังวิกฤติทั้งพี่ทั้งน้อง!

“ทำไมไม่บอกกูวะ!” กังหันพูดขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว

“บอกไปแล้วจะได้อะไร นอกจากได้คนมาช่วยเครียดเพิ่มอีกคนหนึ่ง!”

“อย่างน้อยกูก็ยังช่วยมึงคิดได้!”

“พวกมึงช่วยไปทะเลาะกันเวลาอื่นได้ไหม!” ผมด่าอย่างเหลืออด “ปุ้นยังพอมีเวลาให้ตั้งหลัก แต่ยำไม่มีแล้ว พวกมึงควรสนใจเรื่องนี้ก่อนมาถกเถียงอะไรในเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว!”

เกิดความเงียบขึ้นพร้อมกับต่างคนต่างเริ่มแผ่บรรยากาศเคร่งเครียดจนสัมผัสได้

ผมเคาะนิ้วกับหน้าขาอย่างครุ่นคิด แม้ว่าก่อนย้ายมาอยู่คอนโดจะมีคิดเผื่อเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับสองคนอยู่แล้วก็ตาม แต่จากปัญหาที่ได้ฟัง จำเป็นต้องคิดเผื่อค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ ของยำด้วย สรุปคือต้องใช้เงินจำนวนมากทีเดียว

พอย้อนกลับมาถามตัวเองว่าพอจ่ายให้ไหวไหม...ก็พอไหว แต่มันไม่มั่นคงพอ วันนี้มี วันหน้าอาจไม่มีให้ก็ได้ เพราะงั้นผมคงจำเป็นต้องหาเงินเพิ่ม

ปัญหาคือปีหน้าผมมีกิจกรรมที่ต้องทำหลายอย่างไม่ว่างไปทำงานพิเศษหรอก หรือถ้าเริ่มทำตอนนี้ก็ได้แค่ระยะสั้น เงินที่ได้มาก็ไม่น่าพอด้วย แล้วไหนจะเวลาที่ควรให้แมวเถื่อนอีกล่ะ

คิดแล้วก็ยิ่งเครียด มันไม่มีทางไหนที่สามารถทำอะไรหลายอย่างพร้อมๆ กันเลยหรือไง!

ผมนึกถึงพี่วีขึ้นมา ตอนนั้นพี่วีก็งานยุ่งมาก มากจนไม่มีเวลาให้น้องชาย ถึงอย่างนั้นในหนึ่งสัปดาห์ก็ยังหาข้ออ้างลากกันไปเล่นเกมอยู่หน้าโทรทัศน์...

จริงสิ! พี่วีเคยบอกว่าถ้าอยากได้เงินเพิ่มให้ไปช่วยงานนี่หว่า!

เสมือนเป็นแสงสว่างที่ส่องผ่านหมอกหนาทับเข้ามาทีเดียว ผมคว้าแสงที่ว่ามาครุ่นคิดอย่างจริงจัง

ตำแหน่งรองประธานบริษัทน่าจะได้เงินเดือนไม่เลว แล้วในเมื่อมีประธานประจำการอยู่แล้ว รองประธานก็ไม่จำเป็นต้องอยู่โยงในบริษัทไปด้วยอีกคน ขอแค่พี่วีส่งผู้ช่วยฝีมือดีมาช่วยประสานงานให้ก็น่าจะทำได้ไม่ยาก ที่เหลือคงต้องบริหารเวลาให้ดีหน่อย

คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าพอทำไหว

เมื่อหาทางลงได้ ผมก็สบายใจขึ้นทันที แต่ถ้าจะให้ช่วยเปล่าๆ มันก็รู้สึกผิดต่อตัวเองยังไงชอบกล 

อืม คงต้องเรียกร้องสิ่งที่อยากได้สักหน่อย

คิดได้อย่างนั้นจึงหันไปหาผู้อยู่ร่วมห้องอีกสอง ตอนนี้ทั้งคู่กำลังทำหน้าคิดไม่ตก ทั้งยังเหมือนจมอยู่ในภวังค์ความคิดจนไม่ได้ยินเสียงรอบตัว เมื่อส่งเสียงแต่ไม่ได้มีใครยิน เลยยื่นมือไปตบไหล่กังหันที่อยู่ใกล้กว่าไปหนึ่งที มันสะดุ้งเฮือกเงยหน้ามองผมอย่างตกใจ

“อ...อะไร”

“กูมีทางออกให้ยำแล้ว”

กังหันมองอย่างไม่เชื่อถือ “พูดจริง?”

“จริง สะกิดเรียกปุ้นด้วย จะได้พูดให้ฟังทีเดียว”

กังหันมองคนข้างตัวที่ยังเหม่อลอยก็ตบหัวเรียกสติ แล้วจับหน้าปุ้นให้แหงนมาทางผม

“มึงพูดออกมาได้เลย”

ผมมองคนทั้งคู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วพูดสิ่งที่คิดในใจออกมา “กูไม่ใช่คนดี เลยไม่มีความคิดจะช่วยแบบฟรีๆ”

กังหันเลิกคิ้ว แววตาดูไม่แปลกใจอะไร “งั้นมึงต้องการอะไรเป็นการแลกเปลี่ยน?”

ผมสบตามองอย่างจริงจัง ทั้งพยายามกลบซ่อนความเจ้าเล่ห์ไม่ให้เผยออกมาเต็มที่

“ยกยำให้กูสิ แล้วกูจะดูแลน้องพวกมึงอย่างดี กูสัญญา” 

กังหันอ้าปากค้างไปแล้ว ส่วนปุ้นเหมือนสติเพิ่งกลับเข้าร่างถึงได้ตะโกนออกมาเสียงหลง

“ไม่ได้! กูไม่ยอม!”

“เดี๋ยวๆ” กังหันพูดขัดด้วยเสียงที่ดังกว่า “ยกที่ว่านี้หมายความว่าไง แบบว่าขอยำไปเป็นเจ้าสาวอะไรอย่างงี้เรอะ!”

“ประมาณนั้น” ผมคลี่ยิ้มออกมา ทั้งยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจกว่าเพิ่มอีกอย่าง “ถ้าพวกมึงยอมยกข้าวยำให้นะ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างของยำ กูจะเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด...ถือว่าเป็นสินสอดแล้วกัน”

“ไอ้...อุ๊บ”

กังหันกระชากปุ้นลงมานอนตัก แล้วใช้มือของมันปิดปากอีกฝ่ายไม่ให้พูดออกมา เรียบร้อยแล้วหันมาถามต่อ “แบบไหน?”

ผมขมวดคิ้วย้อนถามกลับ “อะไรแบบไหน?”

“ก็แบบจะออกให้เลยไม่เรียกเก็บเงินคืน หรือจะแบบให้ยืมก่อน ค่อยมาจ่ายคืนทีหลังเล่า!”

“กูก็บอกอยู่ว่าเป็นสินสอด”

“หมายความว่าถ้าในอนาคตมึงกับยำแยกทางกันก็จะไม่มีเรียกเก็บเงินคืนจากพวกกู?”

ผมยิ้มให้กังหัน “แค่เฉพาะในช่วงที่ยำกำลังเรียนอยู่เท่านั้น”

กังหันขมวดคิ้วใส่ทันที “กูไม่เข้าใจ”

“หมายถึงกูจะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างจนยำเรียนจบ แต่เมื่อยำทำงานหาเงินเองได้เมื่อไหร่ก็ถือว่ามันโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เกิดพวกกูเลิกรากันขึ้นมาก็เป็นเรื่องของกูกับมันที่ต้องมาตกลงเรื่องทรัพย์สินกันเองทีหลัง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่พวกมึงต้องสนใจหรอก”

“อ้อ” กังหันมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้น แต่ก็ยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงไม่ยินยอมง่ายๆ “แล้วถ้าพวกกูไม่ยินยอมยกให้ล่ะ มึงจะมีทางอื่นให้เลือกไหม?”

พอได้ยินคำถามนี้ปุ้นก็มีสีหน้าพึงพอใจขึ้นมาทันที ผมมองคนทั้งคู่ แล้วพูดอย่างเป็นต่อว่า

“มี กูสามารถให้พวกมึงยืมเงินได้ แน่นอนว่ามีคิดดอกเบี้ยด้วย”

กังหันขมวดคิ้วใส่ “มึงจะคิดดอกเบี้ยเท่าไหร่?”

“เท่ากับสินเชื่อการศึกษาแล้วกัน” ผมขี้เกียจคิดให้ยุ่งยากเลยตอบไปแบบนั้น “หรืออาจจะถูกกว่านั้นนิดหน่อย แล้วแต่ว่าข้อต่อรองน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน”

“ยกตัวอย่างข้อต่อรองที่ว่ามาหน่อยสิ”

“อย่างเช่น” ผมมองทั้งคู่ยิ้มๆ “ยอมให้ข้าวยำอยู่กับกูที่นี่...”

กังหันสบถใส่ผมทันที “ร้ายนะมึง!”

“กูแค่ทำให้มึงตัดสินใจง่ายขึ้น สรุปว่าจะเลือกทางไหนดีล่ะ”

“ก็ต้องทางเลือกแรกอยู่แล้ว!”

เพียงแค่ได้ยินที่กังหันตอบ ปุ้นก็เริ่มดิ้นรนให้ปากของมันเป็นอิสระ แต่กังหันไม่ยอมปล่อยให้หลุดง่ายๆ คนพูดไม่ได้จึงได้แต่ส่งเสียงประท้วงในลำคอ

“อื้อๆๆ”

ผมละสายตาจากปุ้นมาทางกังหัน “มึงไม่ใช่พี่ชายในสายเลือดของยำ คงตกลงแทนไม่ได้หรอกมั้ง”

“ใครว่าไม่ได้! ยังไงกูก็เป็นพี่...เอ่อ พี่...”

ผมเลิกคิ้วรอฟัง ส่วนคนพูดค้างไว้กัดฟันกรอดอยู่นานกว่าจะเค้นเสียงรอดไรฟันออกมาได้

“พี่สะใภ้ของยำ!”

พูดจบก็เมินหน้าไปอีกทาง ไม่รู้ว่าสีแดงๆ บนหน้านี่คือกำลังอายหรือโกรธกันแน่ ทั้งยังส่งผลให้คนกำลังดิ้นรนหยุดชะงักกะทันหัน แล้วยอมนอนหนุนตักกังหันอย่างนิ่งสงบ

“อ้อ พี่สะใภ้สินะ”

ผมทวนคำด้วยน้ำเสียงขบขัน เลยโดนเพื่อนตวัดสายตาหงุดหงิดใส่ จากนั้นมันก็เริ่มสูดลมหายใจเข้าออกอยู่พักหนึ่งถึงกลับมาทำหน้าจริงจังใส่กันได้ “พวกกูยอมยกน้องให้มึงก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าถ้ามึงดูแลได้ไม่ดีเมื่อไหร่ พวกกูมีสิทธิ์ขอตัวน้องคืนทันที โดยที่มึงยังต้องออกเงินให้จนกว่ายำจะเรียนจบ”

“อ้อ ได้สิ”

“และมึงต้องหาเงินมาใส่บัญชีของยำก่อน เพื่อเป็นหลักฐานว่ามึงจะดูแลน้องกูได้แน่ๆ”

มันร้าย!

“ก็ได้ ต้องการเท่าไหร่ล่ะ?”

กังหันทำหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก “ถ้าคำนวณจากค่าเทอม กูก็อยากให้ในบัญชีน้องมีเงินสักสองแสนเก็บสำรองไว้ก่อน แต่มึงคงไม่มีเงินมากขนาดนั้น เอาเป็นว่าโอนสองหมื่นห้ามาในภายอาทิตย์นี้แล้วกัน ทีเหลือมึงค่อยๆ หามาใส่ให้น้องกูทีหลังก็ได้ เดี๋ยวกูจะพายำไปเปิดบัญชีใหม่รอ”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย “ทำไมต้องเปิดบัญชีใหม่?”

“ก็บัญชีเงินฝากอันเก่าของน้องมีเปิดบัตรเดบิตด้วย ขืนทิ้งเงินก้อนไว้ในนั้นอาจถูกดึงไปใช้ไม่ระวังก็ได้ แต่ถ้าเปิดเล่มใหม่ แล้วฝากสมุดไว้ที่กูก่อน คงเป็นหลักประกันให้ยำมากกว่าว่ามันจะมีเงินเรียนจนจบแน่นอน”

“อ้อ ตามใจมึง แต่พี่ของกูสอนเสมอว่าถ้ามีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องเมื่อไหร่ ห้ามสัญญาปากเปล่าเด็ดขาด เพราะงั้นรอกูยืมเพื่อนทนายของพี่วีมาก่อน แล้วกูค่อยโอนเงินให้ก็ยังไม่สาย”

กังหันนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก็ผงกหัวเห็นด้วย “แบบนั้นก็ไม่เลว มึงจะขอยืมตัวทนายมาได้เมื่อไหร่?”

“ไม่แน่ใจ กูจะลองให้พี่วีติดต่อดูก่อน”

“งั้นขอหลังสอบเสร็จแล้วกัน พวกกูจะได้ว่างด้วยกันทั้งคู่”

“อืม”

เกิดความเงียบขึ้นอีกแล้ว และถูกทำลายลงด้วยการดิ้นรนของคนที่ยังถูกปิดปาก กังหันเลยพูดขึ้นมาอย่างเร่งรีบ “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกกูขอกลับก่อนล่ะ”

ผมมองกังหันลากปุ้นให้ลุกขึ้นยืน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“ไม่รอเจอยำก่อนหรือไง?”

“ไม่ล่ะ กูกับปุ้นมีเรื่องต้องคุยกันเยอะเลยวะ ขืนอยู่ต่อคงทะเลาะกันเสียงดังจนยำอาจกลับมาได้ยินเข้าก็ได้”

“งั้นช่วงเวลานี้พวกมึงฝากยำไว้กับกูก่อนแล้วกัน” ผมพูดยิ้มๆ “รับรองว่าน้องของพวกมึงจะได้กินอิ่มท้อง หลับสบาย ทั้งยังมีสมาธิอ่านหนังสือสอบแน่นอน อ้อ กูไม่คิดเงินค่าฝากดูแลด้วยนะ”

กังหันแยกเขี้ยวใส่ผม แล้วลากปุ้นที่ตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่างเดินไปทางประตูห้อง ระหว่างนั้นก็พูดดักคอไปด้วย

“อย่าเพิ่งอ้าปากอะไรทั้งสิ้น รอขึ้นรถก่อน มึงจะพูดอะไรค่อยพูด”

คนฟังอย่างปุ้นทำหน้าไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยอมเดินตามออกไปนอกห้อง สิ้นเสียงปิดประตู ผมถึงเผยสีหน้ายินดีออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ถ้าไม่ติดว่าร่างกายไม่พร้อมคงได้ลุกขึ้นมาไชโยให้ตัวเองแล้ว

เท่านี้ก็ลดปัญหาได้อีกหนึ่ง ที่เหลือก็...

คว้าโทรศัพท์มือถือมากดดูเวลาก็พบว่าข้าวยำหายตัวไปนานแล้ว ความยินดีเลือนหายแทนที่ด้วยความกระวนกระวายใจ แต่จะออกไปตามหาก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหน กลัวคลาดกันด้วย จะโทรหา...โทรศัพท์ของมันก็อยู่กับผม

นึกแล้วก็สมน้ำหน้าตัวเองอยู่ในใจ กรรมที่ทำคนอื่นติดต่อยำไม่ได้ช่างติดจรวดเร็วดีจริงๆ

-------------
ยังมีต่อนะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2018 19:48:10 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
แมวเถื่อนในคอนโด 3 : สิ่งที่ซ่อนไว้ (ต่อ)


ระหว่างเฝ้ารอด้วยความร้อนใจอยู่นาน ในที่สุดผมก็ได้ยินเสียงแมวเถื่อนแว่วๆ ก็นึกรู้ทันทีว่าคนที่รอได้กลับมาแล้ว จึงรีบผละจากหน้าประตูห้องเดินกลับมานั่งรอที่โซฟา แต่นั่งได้แปบเดียวก็ลุกเดินไปยืนรอที่ประตูอีกรอบจนได้

ผมฟังเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วหยุดลง คิดว่าประตูต้องเปิดออกแน่แล้ว แต่กลับนิ่งสนิท ทั้งยังมีเสียงเหมือนใครมากระโดดเป็นกระต่ายอยู่หน้าห้องให้รู้สึกหงุดหงิดใจ เมื่อทนไม่ไหวเลยเป็นฝ่ายเปิดประตูออกไปดูแทน สายตาจึงปะทะเข้ากับร่างแมวเถื่อนที่กำลังกระโดดกวักมือเร่งเพื่อนอยู่หน้าห้อง ในขณะที่เพื่อนของยำสองคนอยู่ห่างออกไปหลายสิบก้าว

เห็นจังหวะดีขนาดนี้ผมเลยคว้าตัวแมวเถื่อนดึงผ่านประตูเข้ามา ทั้งรีบผลักบานประตูปิด แล้วรีบกดล็อคกลอนตามหลัง แว่วเสียงร้องอุทานจากนอกห้อง ตามด้วยเสียงขยับไปมาของลูกบิดประตู ให้ผมคลี่ยิ้มชอบใจที่กั้นตัวปัญหาออกไปได้สักที

พอก้มลงมองคนในอ้อมกอด พบว่าข้าวยำเหมือนตั้งตัวไม่ทัน เลยดูอึ้งๆ มึนๆ ได้น่ารักมาก เห็นแล้วก็อดใจไม่ไหวต้องขยับหน้าเข้าไปประกบริมฝีปากด้วย

“อื้อ!”

คนถูกจูบกะทันหันประท้วงในลำคอด้วยความตกใจ ผมจูบพัวพันด้วยความเร่าร้อนอยู่สักพัก แมวในอ้อมกอดก็ตัวอ่อนยวบ ไร้แรงขัดขืนแม้ว่าจะโดนอุ้มเข้าห้องนอนก็ตาม

จุดประสงค์ที่พาตัวยำเข้ามาในนี้ เพราะผมไม่ต้องการให้มีเสียงเล็ดลอดออกไปถึงหูของคนที่อาจยืนรอฟังเสียงอยู่หน้าห้อง อย่างแรกผมกลัวโดนทีถีบประตูบุกเข้ามา อย่างที่สองคือการไล่อีกฝ่ายทางอ้อม คิดดูว่าถ้าไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้น เพื่อนของยำจะยืนเซ่ออยู่ฟังทั้งคืนไหมล่ะ

แน่นอนว่าไม่ เพราะงั้นรีบไสหัวจากไปเร็วๆ ได้ยิ่งดี!

ผมปล่อยตัวยำบนเตียง แล้วล้มตัวนอนกอดมันอยู่ข้างๆ ทั้งเพลียทั้งเหนื่อยจากเรื่องที่เกิดขึ้นจนอยากหลับซะเดี๋ยวนี้ แต่เหมือนคนเพิ่งกลับมาจะไม่ยอมปล่อยให้ผมนอนพักโดยง่าย

“เอานี่ไปอ่านเลย!”

กระดาษใบหนึ่งกระแทกใส่หน้า ผมหยิบมันออกมาเพ่งมองด้วยความสงสัย เริ่มกวาดตาอ่านอักษรตัวบนสุดของกระดาษ แล้วไล่ลงมาอีกสองบรรทัดก็ชักรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง

ข้อความเป็นทางการเหมือนจะจับมือทำสัญญาการค้าร่วมกันนี่คืออะไร!

ผมหันไปถามแมวเถื่อนเสียงเครียด “นี่...อะไร?”

“มึงอยากให้กูอยู่ด้วยก็ต้องมีข้อตกลงร่วมกันสิ”

ฟังแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว จำต้องกลับมาสนใจอ่านข้อความต่อ แล้วอารมณ์ก็มาสะดุดที่คำแรกในข้อตกลง

...ใครเขาใช้กูมึงในเอกสารทางการกัน

เมื่อแน่ใจว่าไม่ใช่เรื่องน่ากังวลใจ ผมจึงอ่านข้อความทั้งบรรทัดด้วยความสบายใจมากขึ้น

1.กูจะยอมอยู่ตามที่เคยคุยกัน แต่เฉพาะช่วงเปิดเทอมเท่านั้น หลังปิดเทอมจะไม่มีการการติดต่อหรือพบหน้า ตัดขาดสมบูรณ์

อ่านจบก็อดคิ้วกระตุกไม่ได้ ดูท่าแมวบางตัวคงอยากหนีออกไปเต็มแก่ หึ คิดว่าผมจะยอมไหมล่ะ แล้วนี่ยังกล้าเขียนข้อย่อยเพิ่มอีกนะ

1.1   ช่วงสอบงดกิจกรรมบนเตียงทุกประเภท

อ้อเรอะ

1.2 ช่วงเวลาปกติ ถ้ามึงต้องการกูเรื่องอย่างว่า มึงต้องขอก่อน ถ้ากูไม่ให้ก็คือไม่ได้

เอ๊ะ...

ผมตวัดตาอ่านซ้ำถึงสองรอบ ก่อนค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ แล้วรีบไล่สายตาอ่านบรรทัดต่อมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

1.3 ห้ามใช้ลูกเล่นหรือลูกไม้กับกูทุกประเภท
1.4 ถ้าคะแนนสอบกูตกจากเดิม กูจะกลับไปนอนกับเพื่อนเพื่อติวสอบจนกว่าจบช่วงสอบของอีกครั้ง ยกตัวอย่าง ถ้าคะแนนกลางภาคกูร่วงจากเดิม กูจะห่างมึงจนกว่าจบช่วงสอบปลายภาค เช่นเดียวกับช่วงปลายภาค กูจะห่างมึงจนกว่าสอบกลางภาคของอีกเทอมเลย
1.5 กูต้องติดต่อเพื่อนได้ตลอดเวลา ถ้าไม่ได้เพื่อนกูจะบุกมาถล่มมึงถึงที่
1.6 ห้ามขัดใจกู หวังว่าพูดครั้งเดียวมึงจะรู้เรื่อง ทางที่ดีมึงควรเข้าสมาคมคนกลัวเมีย
1.7 ถ้าทำตามเงื่อนไขย่อยไม่ได้ ช่วงปิดเทอมก็บอกลากันได้เลย เพราะกูจะไม่ยอมติดต่อหรือให้มึงเห็นหน้าแน่ๆ

2. ข้อความในนี้ห้ามดัดแปลงหรือแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้นในระยะเวลาสามเดือนหลังทำข้อตกลงครั้งแรก และจะมีสิทธิ์แก้ไขอีกครั้งต่อหน้าพยาน และต้องพกฉบับจริงไปด้วยทุกครั้ง

อ่านถึงตรงนี้ผมก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ข้อความของกูมีอะไรน่าตลก!”

เมื่อแมวเถื่อนโวยวาย ผมก็พยายามกลั้นเสียงหัวเราะเต็มที่ ระหว่างนั้นก็อดมองหน้าคนกำลังหงุดหงิดด้วยความขบขันไม่ได้

“มึง...คิดยังไงถึงทำเจ้านี่มาให้กูอ่านเนี่ย?”

“กูเห็นเพื่อนทำข้อตกลงร่วมกัน แล้วดูท่าจะไปได้สวย กูเลยทำบ้าง”

ผมร้องอ้อในใจ ทั้งยังนึกถึงสองคนที่เดินตามยำมาเมื่อครู่

หรือว่าคนที่เดินคู่กับที จะเป็นพาร์ นิติอะไรนั่น คิดดูแล้วก็รู้สึกเป็นไปได้ หลักฐานคือภาษาทางการที่อยู่หัวกระดาษในมือผมนี่ไง ถ้าเป็นเด็กนิติศาสตร์ล่ะก็ จะถูกต้องตามหลักการก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน

คิดแล้วก็ลองถามแมวเถื่อนดู ถ้าใช่ แสดงว่าที่ผมคิดไว้น่าจะถูกต้อง

“งั้นมึงคงลอกมาแค่สามบรรทัดบน หลังจากนั้นคงด้นสดเองล้วนๆ สินะ”

แววตาของข้าวยำฉายถึงความประหลาดใจ “รู้ได้ไง”

ผมยังใจดีถามต่อด้วยแววตาวาววับ “ลองทายดูไหมว่าหลังอ่านข้อความพวกนี้แล้ว กูเข้าใจอะไรบ้าง”

ข้าวยำทำหน้าฉงนใส่ “ต้องเข้าใจตรงตามตัวอักษรที่เขียนไปอยู่แล้วสิ”

ผมส่ายหน้า “ใครบอก มันมีความลับแฝงอยู่ด้วยต่างหาก มึงไม่สังเกตเห็นหรือไง?”

คราวนี้แมวเถื่อนยกกระดาษอีกใบในมือขึ้นมาเพ่งดูตาไม่กระพริบ ผมเดาว่าคงมีข้อความเหมือนกันแน่ๆ เลยปล่อยให้คนข้างๆ อ่านอย่างตั้งอกตั้งใจไป ครู่ใหญ่ข้าวยำถึงได้หันมามองผม

“ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกเลยสักนิด!”

“งั้นกูพูดให้ฟังเอง มาดูกันที่ข้อแรก...มึงบอกว่าจะไม่อยู่กับกูช่วงปิดเทอม ห้ามติดต่อห้ามเจอหน้า แต่ในข้อย่อยที่เจ็ด มึงกลับบอกหนทางแก้ไขให้กูว่าถ้าไม่ขัดใจมึง มึงจะยินยอมอยู่กับกูต่อ”

คนฟังเผยปากขึ้นเล็กน้อย ผมไม่สนใจท่าทางอึ้งๆ นั่น แล้วเลื่อนนิ้วมาที่บรรทัดต่อมา

“ข้อย่อยที่หนึ่งกับสองก็บอกกูชัดๆ ว่ามึงไม่ได้เกลียดสัมผัสจากกูเลยสักนิด อ๊ะๆ อย่าเถียง ดูนี่ มึงใส่แค่ห้ามทำอะไรในช่วงสอบ และถ้ากูต้องการก็ทำก็แค่สะกิดบอกมึงก่อน ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าห้ามสัมผัสโดนตัวมึงเลยวะ”

คราวนี้คนฟังอ้าปากค้างไปแล้ว

“มาดูข้อย่อยสามบ้าง อันนี้มึงบอกไม่ชอบลูกเล่น ถ้าแปลโดยอิงจากข้อย่อยสองก็หมายความว่า ถ้ากูหน้าด้านขอตรงๆ มึงจะยินดีมากกว่า ส่วนข้อย่อยสี่ก็แค่บอกว่าห้ามกลั่นแกล้งในช่วงสอบ เพราะกลัวคะแนนตก”

ผมเว้นจังหวะหายใจแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงระรื่น ทั้งแสร้งทำเป็นไม่เห็นสีหน้าตะลึงของคนฟัง

“ข้อย่อยห้าคือคำเตือนด้วยความเป็นห่วงชัดๆ ข้อย่อยหกยิ่งแล้วใหญ่ เพราะมึงยอมกำหนดสถานะผัวให้กูแล้ว”

มือใครบางคนทำท่าจะกระชากกระดาษคืน แต่ผมโยกหลบทันแล้วยังชี้ให้แมวเถื่อนดูที่ข้อสอง

“ดูตรงนี้สิ เขียนบอกชัดๆ ว่าห้ามดัดแปลงหรือแก้ไข อ้อ ห้ามทำลายต้นฉบับด้วยนะ ไม่งั้นจะแก้ไขเนื้อความไม่ได้แล้ว”

“เอาคืนมานะ!”

ผมพลิกตัวหลบ รีบลงจากเตียง ตรงไปคว้าปากกาบนโต๊ะเขียนหนังสือมาเซ็นชื่อตัวเองอย่างไว เสร็จแล้วก็ยกกระดาษในมือชูขึ้นเหนือหัว หลบมือที่หมายจะมาแย่งชิงได้ทันเฉียดฉิว

“ดูสิ ในกระดาษลงชื่อกูกับมึงแล้ว”

ผมนึกขอบคุณแมวเถื่อนที่เล่นเซ็นชื่อตัวเองลงกระดาษล่วงหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงยียวนต่อ

“นั่นหมายความว่าสามเดือนต่อจากนี้ไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อความใดๆ ทั้งนั้น”

“ไม่! กูไม่ยอมรับ!”

ประโยคนี้ฟังคุ้นๆ นะว่าไหม ผมคิดยิ้มๆ เมื่อนึกถึงแมวคนพี่อย่างปุ้นที่โวยวายคำนี้ออกมาเหมือนกัน

เพราะกำลังนึกขำอยู่ น้ำเสียงที่พูดออกมาเลยกลั้วหัวเราะไปสักหน่อย “เป็นคนยื่นให้กูอ่านเองแท้ๆ จะมาไม่ยอมรับตอนนี้ได้ซะที่ไหน”

แมวเถื่อนพยายามกระโดดเยื้อแย่ง พร้อมตะโกนใส่แต่คำเดิมๆ

“ไม่ ไม่ ม่ายยย!”

ท้ายประโยคฟังดูโหยหวนดีจริงๆ

วันต่อมาผมเอากระดาษขนาดA4 ที่ลงชื่อเรียบร้อยไปเคลือบใสมาอย่างดี แล้วนำมาผูกเชือกแขวนไว้ใต้โคมไฟบริเวณพื้นที่นั่งเล่น ห้อยไว้ให้เห็นกันชัดๆ จนใครบางคนไม่ใช่แค่เบือนหน้าหนี แต่หันหลังใส่กันทีเดียว

ผมมองท่าทางฮึดฮัดราวกับแมวกำลังหงุดหงิด แต่ทำอะไรเจ้าของไม่ได้ด้วยความขบขัน ทั้งแกล้งพูดตอกย้ำให้แมวเถื่อนยิ่งหงุดหงิดเข้าไปอีก

“กูบอกไว้ก่อนนะ ต่อให้มันหายไป มึงก็ล้มล้างข้อความที่อยู่ในนี้ไม่ได้ และอดแก้ไขถาวรด้วย”

“รู้แล้วน่า!” คนพลาดท่าเสียทีตอบกลับด้วยน้ำเสียงคุกรุ่น

เพราะมันไม่ได้หันมามอง เลยไม่เห็นผมยกแผ่นกระดาษเคลือบที่ห้อยเสร็จแล้วมามองดูช่องพยานสองช่องที่เว้นว่างไว้ ในหัวก็นึกไปด้วยว่า เมื่อไม่มีพยานร่วมรับรู้ แล้วจะไปแก้ไขต่อหน้าใครได้ล่ะ?

เป็นคำถามที่น่าสนใจ และน่าคิดว่าแมวเถื่อนจะเอะใจเมื่อไหร่ หรือจะไม่รู้เลยจนครบสามเดือน?

อืม เป็นไปได้ หรือจะใจดียอมบอกใบ้ดี?

ผมละสายตาไปมองแผ่นหลังแมวเถื่อน มองอยู่สักพัก แววตาเอ็นดูก็แปรเปลี่ยนเป็นชั่วร้าย

...ไม่เอาดีกว่า เรื่องน่าสนุกแบบนี้บอกให้รู้ตัวก่อนก็น่าเสียดายแย่ หึๆๆ


############

ช่วงคนเขียนอยากบอก 5 ประโยค
     1. แหม บทนี้พี่ภูดูได้กำไรนะเนี่ย
     2. ที่คนเขียนชอบสุดในตอนนี้คือแมวเถื่อนร้อง ม่ายยย นี่แหละค่ะ 555+
     3. ช่วงต้นของบทอาจเคร่งเครียดสักหน่อย แต่ช่วงปลายบทช่วยผ่อนคลายอยู่นะ หวังว่านักอ่านทั้งหลายจะไม่เคร่งเครียดกันเกินไป
     4. ขอบคุณที่ยังรอกันอยู่นะคะ
     5. โปรดติดตามตอนต่อไป~
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2018 19:45:50 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
แมวเถื่อนในคอนโด 4 : แขกผู้มาเยือน


ตั้งแต่ข้าวยำได้โทรศัพท์คืนไป ก็มักมีคนโทรมาหาเสมอ อย่างเช่นตอนนี้...

“กูสบายดี มึงไม่ต้องเป็นห่วง” ข้าวยำเงียบพักอยู่พักหนึ่ง ก่อนรีบพูดปฏิเสธอย่างร้อนร้น “เปล่าๆ กูไม่ได้โดนทำร้ายร่างกาย...ไม่ใช่ๆ มึงไปฟังข่าวมาผิดแล้ว”

แมวเถื่อนพูดปฏิเสธวนไปวนมา สุดท้ายจึงวางสายไปพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พอมันหันมาเห็นผมนั่งมองอยู่ก็โวยวายใส่ตามสเต็ป

“เพราะมึงเลย! เพื่อนกูถึงได้ซักถามเรื่องเดิมๆ ไม่หยุดสักที!”

สิ่งที่ต่างจากวันอื่นคือผมแสร้งเลิกคิ้วสูง แล้วถามกลับไปบ้าง

“เพื่อนมึงที่เตะกูน่ะเหรอ?”

“นั่นชื่อที ส่วนคนโทรมาคือไว มันรู้ข่าวจากวินว่ากูโดนมึงลักพาตัวมา” พูดถึงตรงนี้ข้าวยำก็ทำหน้าละอายใจ “ไวกับวินเป็นห่วงกูมากนะ”

ก็เพราะรู้ว่าเป็นห่วง ผมถึงยอมให้มันรับโทรศัพท์จากเพื่อนสมัยเด็กทุกวันนี่ไง

“รู้ไหมพวกกูน่ะ ไม่เคยมีเรื่องต้องปิดบังกันเลยนะ แต่เพราะมึงเนี่ยแหละ ทำกูต้องผิดคำสัญญา!”

คราวนี้ผมสนใจเรื่องที่เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกทันที ก็ขนาดผมกับพี่วียังมีเรื่องแอบปิดบังกันเลย แสดงว่าเพื่อนกลุ่มนี้ของข้าวยำสนิทกันมากกว่าที่เคยคิด แล้วเมื่อกี้บอกว่าผิดสัญญาเรื่องผม...

ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดออกมา “นึกว่ามึงจะเอาเรื่องกูไปฟ้องเพื่อนตั้งนานแล้วซะอีก”

“คิดว่ากูไม่อยากฟ้องหรือไง! แต่ถ้าฟ้องไปแล้วเรื่องมันจะลากยาวไปเรื่องนั่น...อึ่ย! น่าหงุดหงิดเป็นบ้าเลย!”

ผมมองคนนั่งฮึดฮัดด้วยรอยยิ้มขบขัน แล้วจัดการลากตัวแมวเถื่อนขึ้นมานั่งบนโซฟาข้างๆ กัน

“พูดออกไปก็ไม่เห็นเป็นไร”

“ไม่เป็นอะไรบ้านมึงสิ!”

“ถ้าคำว่าผัวหยาบเกินกว่ามึงจะพูดออกมาไหว ก็เปลี่ยนมาใช้สามี...”

คนฟังยกมือปิดหูตัวเองทันที สีหน้าสื่อชัดว่าอย่าเอาเรื่องพวกนี้มายัดใส่หัวกู!

ผมมองแล้วรู้สึกตลก เพราะมือข้างหนึ่งของยำยังถือโทรศัพท์อยู่เลย ปิดไม่มิดอย่างนั้นยังไงคำพูดของผมก็พุ่งผ่านหูเข้าไปอยู่ในหัวของมันอยู่ดี ผมจึงจงใจพูดต่อให้จบประโยค

“หรือใช้ว่าแฟน กูก็ไม่ว่าหรอกนะ”

เพราะไม่ว่าจะใช้คำไหนก็ชอบทั้งนั้นนั่นแหละ

แต่คนข้างๆ คงไม่เห็นด้วยอย่างแรง มันถึงได้อ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกเสียงเพลงเรียกเข้าขัดจังหวะ ทำคนถือโทรศัพท์แนบหูอยู่สะดุ้งโหยง จำต้องรีบเลื่อนของในมือออกห่างใบหู ทั้งสบถด่าไปด้วย

“ใครโทรมาตอนนี้วะ!”

แต่พอเห็นรูปบวกชื่อคนคุ้นเคยบนหน้าจอโทรศัพท์ สีหน้าไม่พอใจก็เปลี่ยนเป็นยินดีในพริบตาเดียว แมวเถื่อนกดรับสาย ขานรับคนเป็นพี่ชายเสียงใส ทั้งยังตอบคำถามด้วยความกระตือรือร้นสุดๆ

“อือๆ ยำสบายดี พี่ปุ่นล่ะ...”

ผมมองคนเดินหนีไปคุยโทรศัพท์ในห้องนอนอย่างเอ็นดู แต่เมื่อประตูปิดสนิทดีแล้ว ผมก็คว้าโทรศัพท์ตัวเองกดโทรออกบ้าง

[มี’ไร?]

“แมวใหญ่ของมึงโทรหาน้องวะ”

ผมพูดฟ้องกังหันทันที อยากบอกด้วยว่าโทรมาบ่อยเกินไปแล้ว วันละครั้งน่ะยังพอรับได้ แต่นี่เล่นโทรมาทุกเช้า กลางวัน เย็น บางวันมีแถมรอบกลางคืนอีก กูรับไม่ได้โว้ย!

[แล้วไง?]

“ไหนมึงว่าคุยกับปุ้นรู้เรื่องแล้ว” ผมงัดข้ออ้างหนึ่งขึ้นมาพูดอย่างอารมณ์เสีย

[ก็รู้เรื่องตามที่บอกมึงไปนั่นแหละ] น้ำเสียงกังหันเริ่มสงสัยมากขึ้น

“อ้าว แต่เมื่อกี้ปุ้นโทรมายุให้ยำกลับไปอยู่กับมัน” ผมพูดโกหกหน้าตาเฉย แถมเอาอารมณ์หงุดหงิดที่สะสมมาหลายวันใส่ลงในน้ำเสียงด้วย “สรุปว่าพวกมึงยังอยากให้กูนัดพี่ทนายอยู่ไหมเนี่ย?”

[ไอ้เชี่ยปุ้น!]

กังหันสบถด่าแค่นั้น สายก็ตัดไป ผมวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะ แล้วนั่งกระดิกขาดูโทรทัศน์อย่างสบายอารมณ์ ไม่ถึงห้านาที ข้าวยำก็เปิดประตูห้องนอน ก้าวเดินมานั่งบนโซฟาข้างๆ ด้วยสีหน้างุดงงเป็นที่สุด

“กูนึกว่ามึงจะคุยกับพี่ชายนานกว่านี้ซะอีก”

ผมแกล้งถามไปอย่างนั้นเพื่อไม่ให้ดูมีพิรุธ คนฟังก็ตอบกลับมาอย่างไม่คิดอะไรมาก

“ก็อยากคุยอยู่นะ แต่เหมือนพี่ปุ้นจะมีเรื่องด่วนเข้ามา” พูดถึงตรงนี้แมวเถื่อนก็ย่นคิ้วสงสัย “ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร ถึงได้รีบร้อนวางสายนัก”

“สงสัยมีเพื่อนมาตามไปติวสอบมั้ง”

คิ้วของข้าวยำคลายออกทันที ทั้งพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิ”

แล้วความสนใจของแมวเถื่อนก็ย้ายไปทางโทรทัศน์ที่กำลังฉายรายการโปรดแทน โดยไม่รู้เลยว่าผมกำลังลอบยิ้มสมใจอยู่ข้างๆ 

-------------

แต่สุขใจได้ไม่นานก็พบปัญหาใหม่อีกแล้ว มันเริ่มจากกังหันบังเอิญเห็นยำเดินกึ่งวิ่งไปทางคณะเศรษฐศาสตร์ มันสงสัยเลยตามไปซุ่มดูอยู่พักใหญ่ ก่อนวิ่งคาบข่าวมาบอกผม

“ยำบอกว่ามึงโคตรน่ากลัวเลย”

คนพูดหัวเราะในลำคอ ก่อนเล่าต่ออย่างขบขัน

“พอทีถามว่าโดนมึงแกล้งอีกแล้วเหรอ ยำก็ส่ายหัวหวือ ทั้งพูดบอกด้วยสีหน้าเหมือนคนถูกผีหลอกว่า พี่ภูโคตรใจดี ใจดีจนเหมือนไม่ใช่มัน กูกลัว~ ก๊าก! นี่มึงทำยำหวาดผวาถึงขั้นวิ่งโร่ไปฟ้องเพื่อนสมัยเด็กเลยวะ”

ผมย่นคิ้วเข้าหากันทันทีอย่างไม่เข้าใจ

เพราะแมวเถื่อนบอกว่าถ้ายอมตามใจจะยอมอยู่ด้วยในช่วงปิดเทอม ผมเลยไม่คิดขัดใจ แถมยังใช้หลักใจดีมีเมตตาคอยเลี้ยงดู และประคบประหงมอยู่หลายวัน แต่แทนที่ใครบางคนจะได้ใจ มันกลับกลัวกันเนี่ยนะ!

“สงสัยภูใช้โหมดโหดกับน้องมากไป พอเปลี่ยนมาอยู่โหมดใจดี ยำคงไม่ชิน”

เอออกความเห็นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ มีกังหันที่ไม่คิดเก็บซ่อนอารมณ์ชวนหัวเป็นลูกคู่

“ไม่ใช่แค่ไม่ชิน แต่น้องมันกลัวภูโหมดใจดีไปเลยต่างหาก” กังหันพูดแย้งไปขำไป “ตอนกูได้ยินยำพูดนะ กลั้นขำแทบตาย”

“หัวเราะให้พอใจ แล้วช่วยคิดหาเหตุผลให้กูด้วยว่าเพราะอะไร!”

ผมกระแทกเสียงใส่เพื่อน ไม่รู้หรือไงว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าตลก!

“เป็นความผิดของมึงทั้งนั้นแหละ ฮ่าๆๆ” กังหันหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ “ใครใช้ให้มึงตั้งป้อมมองน้องเป็นภาระแต่แรกเล่า ยำน่ะอ่านสีหน้าคนเก่งจะตาย โดยเฉพาะกับคนที่มองมันด้วยความรู้สึกไม่ดี แล้วนิสัยเสียของยำคือชอบฝังใจคิดว่าคนไหนไม่ชอบตัวเองคือไม่ชอบตลอด แม้ว่าตอนหลังจะคบเป็นเพื่อนกันได้ มันก็ยังไปตั้งกำแพงใส่เขาอยู่ดี”

“...แล้วกูจะทำลายกำแพงนั่นได้ไง” ผมถามต่ออย่างอดทน

“ไม่รู้วะ” กังหันยักไหล่ แล้วพูดสั่งสอนต่อ “นี่ถ้ามึงใจดีกับยำตั้งแต่แรก ก็ไม่เกิดเรื่องแบบนี้หรอก แต่ดันไปร้ายกับน้องก่อน แล้วค่อยใจดีด้วยทีหลัง เป็นใครก็ต้องคิดระแวงทั้งนั้นแหละ”

เอที่ฟังอยู่เงียบๆ พยักหน้าเห็นด้วยทันที ส่วนกังหันก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น

“มึงน่าจะทำให้ยำรู้สึกหวาดระแวงมาสักพักแล้ว รู้สึกมากๆ เข้าก็เริ่มเครียดสะสม กูว่านะ พฤติกรรมใจดีของมึงกำลังทำน้องกูเครียดอยู่นะนั่น”

“เครียด?” ผมทวนคำด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ

“ถ้ามึงยังใจดีคล้ายกับถูกผีเข้าต่อไปอีก กูว่าคงมีใครบางคนเก็บข้าวของหนีออกมาแน่นอน”

ผมยกมือกุมขมับทันที และไม่คิดถามอะไรเพิ่มอีกเลย

หลังจากโดนเพื่อนให้ความกระจ่างไปคราวนั้น ผมจึงทดลองลดความใจดีมีเมตตาลงเรื่อยๆ พร้อมกับคอยสังเกตอาการของแมวเถื่อนตลอด ปรากฏว่ามันดูผ่อนคลายขึ้นเมื่อผมลดความใจดีเหลือแค่สิบเปอร์เซ็นต์

10% เนี่ยนะ! นี่มันมองผมได้เลวร้ายขนาดนี้เลยเรอะ!

…จะบ้าตาย

-------------

อาทิตย์ถัดมาผมบังเอิญเจอเพื่อนของยำชื่อทีที่หน้าห้องสอบ เหมือนน้องมันจะยืนรอใช้ห้องสอบต่อจากพวกผม เลยถือโอกาสหยุดคุยด้วย

“ได้ยินว่ายำไปโวยวายกับเรา”

คนฟังเผยยิ้มให้ผมเห็นทันที “พี่คงมีสายเยอะมาก”

ผมหัวเราะ รับรู้ว่ารุ่นน้องตรงหน้าต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ ถึงอย่างนั้นก็ขอไว้ลายหน่อย เผื่อจะรู้สึกเกรงใจกันบ้าง

“ก็ไม่เท่าไหร่” เงียบไปครู่หนึ่งจึงถามเพิ่มเพื่อต่อบทสนทนา “แล้วจริงหรือเปล่าล่ะ”

ทีพยักหน้า แล้วพูดยิ้มๆ “ได้ยินว่าพี่เปลี่ยนมาใจดีแล้ว”

ผมหัวเราะหึๆ ในลำคอ ทั้งที่ใจกลับหัวเราะไม่ออก เพราะยังคิดไม่ตกว่าจะใจดีกับแมวเถื่อนมากกว่านี้ยังไงดี

“ก็ลูกแมวเล่นบอกโต้งๆว่า ช่วยดูแลฉันดีๆ หน่อย ช่วยตามใจฉันหน่อย อ้อ ยังมีช่วยเอาอกเอาใจฉันหน่อย พี่เลยทำเฉยไม่ลง กลัวลูกแมวไม่พอใจหนีไปอีก”

คนฟังดูไม่แปลกใจ ทั้งถามกลับอีกว่า “แล้วข้อตกลงสองแผ่นนั้น?”

“หลังอ่านจบ พี่ก็จัดการเอาไปเคลือบพลาสติกแขวนเก็บไว้อย่างดี ข้อความอ้อนจากลูกแมวเชียวนะ ใครจะทิ้งลง”

“แล้วพี่ได้เซ็นชื่อปะ?” ถามด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น

“เซ็นสิ”

คนฟังทำหน้าประหลาดใจทันที “เพื่อให้ยำตายใจ?”

“เปล่า แค่เซ็นรับรู้ว่าได้รับข้อความประท้วงจากลูกแมวแล้ว”

คิดแล้วก็ยิ้มกริ่มออกมาให้เห็น นอกจากถูกประท้วงแล้ว ยังได้รู้ความในใจที่แฝงมาด้วยอีกต่างหาก แค่นี้ก็คุ้มค่ากับการเจ็บตัวในวันนั้นแล้ว พอเห็นคู่สนทนามีแววตาคาใจ ผมจึงพูดเสริม 

“แต่พี่เซ็นไปแค่แผ่นเดียว”

เพราะอีกแผ่นถูกแมวเถื่อนขย้ำซะเละ จึงจำต้องกวาดทิ้งลงถังขยะ นึกถึงเรื่องในวันนั้นผมก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

“น่ารักดีนะ พี่ไม่เคยรู้เลยว่ายำทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย”

คนฟังกลับถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก ครู่ต่อมาก็ยกมือขึ้นนับอะไรสักอย่าง แล้วถามออกมากะทันหัน “อยู่ร่วมกันหนึ่งอาทิตย์แล้วเป็นยังไงบ้าง?”

“ดีนี่ ช่วงนี้ลูกแมวของพี่ตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือเลยไม่อยากไปกวน แต่เวลาพี่เครียดๆ ก็ชอบไปแหย่เล่นนะ เห็นปฏิกิริยาตอบกลับมา มันสนุกดี”

“แล้ว…เอ่อ เรื่องทางร่างกาย?”

ผมนิ่งไปนิด แล้วตอบไปตามตรง “ช่วงนี้พี่ไม่ได้ไปยุ่ง”

ถึงเจ้าลูกชายอาการดีขึ้นมากแล้ว แต่ควรรอให้มันหายสนิทจริงๆ ก่อนดีกว่า

ทีพยักหน้ารับรู้ด้วยแววตาที่เหมือนโล่งใจแทนยำ “ยังไงก็ช่วยทะนุถนอมร่างกายเพื่อนผมหน่อยนะครับ”

ฟังแล้วเหมือนโดนขู่ว่าถ้าไม่ทำตาม ผมอาจเจ็บตัวได้ เลยต้องกัดฟันตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้

“พี่จะพยายาม”

ประตูห้องสอบเปิดออกอีกครั้ง ตามด้วยเสียงร้องเรียกให้นักศึกษาเข้าห้องสอบได้ บทสนทนาของพวกผมจึงสิ้นสุดแค่นั้น ขณะเตรียมผละจากไปก็นึกเรื่องหนึ่งออกซะก่อน เลยหันไปมองเพื่อนของยำอีกครั้ง ทั้งจงใจคลี่ยิ้มที่แฝงถึงการคุกคามออกมาให้อีกคนสัมผัสได้

“ลูกเตะเราเยี่ยมมาก”

มองท่าทางแอบผวาของรุ่นน้องอย่างพึงพอใจจนหัวเราะออกมาในลำคอ หวังว่าถ้าเขาคิดเตะผ่าหมากกันอีก คงมีหยุดคิดสักนิดก่อนทำ

…เป็นไปได้อย่าทำอีกเลยดีที่สุด!

-------------

เพียงแค่พริบตาเดียว ผมก็เลี้ยวแมวเถื่อนมาจะสองอาทิตย์แล้ว ต่างฝ่ายต่างปรับตัวอยู่ด้วยกันได้ด้วยดีเกินคาด ยกเว้นความใจดีที่ลูกแมวยังรับมากเกินกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ไม่ไหว

นี่เป็นเรื่องที่ทำผมเครียดยิ่งกว่าเรื่องสอบอีก!

คิดว่าฉันเป็นแมวสักตัว เลี้ยงไม่ยากหรอก เลี้ยงไม่ยากหรอก จะคอยทำตัวน่ารักให้เธอดู~

เสียงริงโทนที่ดังขึ้นทำเอาคนที่ได้ยินหันมาอมยิ้มให้ น่ารักล่ะสิ ผมไปขุดหามาจากในอินเตอร์เน็ตเชียวนะ กะเอามาตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าให้แมวเถื่อน ก็ได้เพลงด้วยรักและปลาทูมาตั้งนี่แหละ

แน่นอนว่าถ้าเจ้าตัวรู้เข้าคงมีอาละวาดแน่

ผมกดรับสาย แล้วกรอกเสียงลงไป “ว่าไง”

[มึงสอบเสร็จยัง]

เสียงคนสอบเสร็จตั้งแต่เมื่อวานดังมาตามสาย สงสัยคงหิ้วท้องรอกินข้าวเที่ยงอยู่ล่ะมั้ง

“เสร็จแล้ว”

กำลังจะพูดต่อว่าจะไปซื้ออะไรให้กิน แต่ข้าวยำกลับพูดสวนขึ้นมาก่อน

[งั้นๆ ไปหาซื้อของกินให้กูหน่อยสิ]

ผมเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ น้ำเสียงฟังดูตื่นเต้นกึ่งร้อนรนแปลกๆ คิดแล้วเลยชิงพูดออกไปก่อน

“เดี๋ยวกูกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ระหว่างนี้มึงอยากกินอะไรก็จดใส่กระดาษไว้แล้วกัน”

ปลายสายเงียบไปพักหนึ่งก็พูดออกมาเสียงเบา [ได้...รีบมาเร็วๆ นะ]

ผมดึงโทรศัพท์ออกมามองหน้าจอที่ตัดสายไปแล้วอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน แมวเถื่อนตัวนั้นเนี่ยนะบอกให้รีบกลับเร็วๆ

นี่มันแปลก! แปลกเกินไปแล้ว!

-------------

ผมกลับถึงคอนโดก็พบว่าแมวเถื่อนกำลังนั่งจ้องโทรศัพท์ในมืออย่างเคร่งเครียด ตอนแรกคิดว่ากำลังเล่นเกมหลังห่างมานาน แต่ความจริงคือข้าวยำนั่งจ้องโทรศัพท์เฉยๆ

“...เป็นอะไร?”

คนถูกถามเงยหน้ามองกันแวบเดียว แล้วพูดปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ได้เป็น” 

โกรธอะไรกันอีกล่ะ

นึกอย่างสงสัย แต่ไม่อยากถามถึงให้อีกคนอารมณ์เสียมากกว่านี้ เลยเดินตรงเข้าห้องนอน เอากระเป๋าเป้ไปเก็บ แล้วจัดการถอดชุดนักศึกษาออก เปลี่ยนเป็นชุดลำลองสบายๆ แทน พอออกจากห้องก็ถามหาของที่ต้องการ

“ไหนกระดาษเขียนของอยากกินของมึง?”

“อยู่นู้น”

ข้าวยำชี้ไปที่โต๊ะวางโทรทัศน์ มีกระดาษสีขาวขนาดเอสี่วางอยู่ใบหนึ่ง ผมเดินไปหยิบมาดูว่ามันอยากกินอะไร ปรากฏว่าเจอรายการอาหารยาวเหยียด แต่ละอย่างเป็นของอร่อยจากร้านนู้นที ร้านนี้ที อันนี้ไม่ว่า แต่ทำไมต้องให้ผมไปซื้อของกินแค่อย่างเดียวต่อร้านด้วยวะ

ผมหันไปมองแมวเถื่อนอย่างกังขา “มึงไม่พอใจอะไรกู?”

ถึงได้คิดแกล้งให้ผมตระเวนไปร้านต่างๆ ที่อยู่กันคนละทิศแบบนี้!

“ไม่มี”

“แล้วแกล้งกูด้วยไอ้นี่ทำไม” พูดพลางโบกกระดาษในมือเป็นเชิงสื่อให้รู้ว่าหมายถึงอะไร

“ไม่ได้แกล้ง กูแค่...” ข้าวยำหุบตามองพื้นอยู่ครู่หนึ่ง ถึงค่อยช้อนตาวิงวอนออดอ้อนขึ้นมองกัน “แค่อยากกิน...ไม่ได้เหรอ”

อย่างกับมีอะไรสักอย่างพุ่งผ่านอากาศมาเสียบทะลุอก พร้อมกับที่หัวใจสูบฉีดเลือดแรงขึ้นอย่างน่ากลัว

ผมรีบหมุนตัวเดินดุ่มๆ ออกจากห้องไปทันที เข้ามาอยู่ในลิฟต์ได้ก็เผลอทิ้งตัวพิงผนังลิฟต์คล้ายกับคนหมดเรี่ยวแรงกะทันหัน ยิ่งได้เห็นเงาตัวเองสะท้อนผ่านผนังลิฟต์ก็ยิ่งนึกอยากด่าตัวเองขึ้นมา

มึงทำหน้าอะไรอยู่เนี่ย! อย่างกับพวกโรคจิตเลยวะ!

ผมรีบตบแก้มเรียกสติสตังกลับมา แต่ปากดันไม่รักดีกลับฉีกยิ้มเหมือนคนบ้าไม่เลิก

สติโว้ย สติ!

เรียกร้องหาสิ่งที่ควรมีในตอนนี้ เพราะขืนเอาสภาพหน้าตอนนี้ออกไปให้ใครเห็น คงมีใครสักคนโทรแจ้งตำรวจมาจับผมแน่นอน

ติ้ง!

เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก สายตาของผมก็ปะทะเข้ากับบุคคลที่ช่วยกระชากสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว เร็วถึงขั้นที่อยากเอามือกุมเป้าด้วยซ้ำ

ทำไมเพื่อนยำชื่อทีถึงได้มาอยู่ที่นี่วะ!

“อ้าว พี่ภู”

เมื่อรุ่นน้องทักทายก่อน ผมจึงต้องพูดทักกลับบ้าง พลางชำเลืองมองอีกคนที่เหมือนเคยเจอหน้ามาหนหนึ่ง ถ้ามากับที...น่าจะเป็นเพื่อนของยำอีกคนมั้ง นึกแล้วก็พูดทักทายก่อน ฝ่ายนั้นแค่ผงกหัวกลับมาเป็นการตอบรับ ท่าทางจะคุยด้วยยากกว่า ผมเลยหันกลับมาถามทีแทน

“มาหายำกัน?”

ทีพยักหน้า แล้วถามกลับบ้าง “แล้วพี่จะออกไปไหนเหรอ?”

“ไปซื้อเจ้านี่น่ะ” ผมส่งกระดาษที่ถือติดมือมาให้อีกฝ่ายดู ทีกวาดตามองอยู่ครู่หนึ่งก็ส่งกระดาษคืนมาด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ

“วันนี้พวกผมต้องขอรบกวนพี่ภูด้วยนะครับ”

ฟังแล้วก็สะดุดหูแปลกๆ รบกวนผม? เรื่องอะไร? พอเห็นกระดาษในมืออีกครั้งก็เริ่มเดาอะไรออกลางๆ

ของกินที่เหมือนจงใจแกล้งให้ซื้อกลายๆ

เจอเพื่อนสมัยเด็กของยำที่นี่

คำพูดที่ขอรบกวนวันนี้

ผมเริ่มคิดปะติปะต่อเข้าหากันจนเป็นรูปเป็นร่างออกมา นี่แสดงว่า...เพื่อนสนิทมาหา มันกลับไม่ยอมบอก คิดฉลองสอบเสร็จกับเพื่อนที่ห้องก็ไม่ยอมพูด ทั้งจงใจกั้นผมออกห่างด้วยการหลอกให้ออกไปซื้อของนานๆ อีกต่างหาก

ให้มันได้อย่างงี้สิ!

ผมเผลอสบถออกมา แล้วเลือกถามข้อมูลเพิ่มเติมจากทีแทน “มาหาข้าวยำกันกี่คนล่ะ พี่จะได้กะจำนวนของกินได้ถูก”

“จะตามหลังมาอีกสามคนครับ แต่พี่ไม่ต้องซื้อมาเยอะหรอก เดี๋ยวเย็นนี้พวกผมจะไปที่อื่นกันต่อ”

ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “คิดไปเที่ยวที่ไหนกันล่ะ?”

“ผับครับพี่”

ผับ!

แค่ได้ยินชื่อสถานที่ ผมก็อยากแล่นกลับขึ้นห้องไปเขย่าตัวแมวให้หัวสั่นหัวคลอน

ใครคิดสถานที่เที่ยววะเนี่ย!

ผมคงหลุดสีหน้าหงุดหงิดออกมาให้เห็น คนเด็กกว่าตรงหน้าถึงได้ออกอาการเคร่งเครียดตาม จึงต้องรีบส่งยิ้มกลบเกลื่อนออกไป

“ยำรอพวกน้องอยู่ข้างบน ไปถึงก็เคาะประตูเรียกได้เลย”

พูดพลางเบี่ยงตัวหลบออกมาให้สองคนนั้นได้ขึ้นลิฟต์ ทีทำหน้าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา ทั้งยังคว้าแขนคนที่มาด้วยกัน กดเปิดลิฟต์ แล้วรีบพากันเดินเข้าไปในนั้น

ไม่คิดชวนกันสินะ

ผมมองประตูลิฟต์ปิดลงด้วยแววตามืดมนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนขยับเท้าเดินไปทางลานจอดรถด้วยอารมณ์ที่ดิ่งลงเหว เดินจนมาถึงรถที่จอดอยู่ อารมณ์ถึงค่อยเย็นลงพอให้ขบคิดหาทางพาตัวเองกลับขึ้นห้องให้ทันเวลาก่อนเด็กพวกนั้นจะยกโขยงไปท่องราตรี

...จริงสิ

ผมดึงโทรศัพท์ออกมาโทรหาตัวช่วยที่ดีที่สุดในตอนนี้ทันที รอจนปลายทางรับสายถึงได้รีบกรอกเสียงลงไป

“กัง ส่งคนของมึงไปช่วยซื้อของกินให้กูหน่อยสิ เดี๋ยวกูส่งชื่ออาหารไปให้ทางไลน์”

[ทำไมมึงไม่ไปซื้อเองวะ!]

“ก็น้องของมึงอยากกินน่ะสิ แต่ขืนกูไปซื้อเองคนเดียว กว่ายำจะได้กินคงอีกนานเลยวะ”

พอยกข้าวยำมาอ้าง คนฟังก็เงียบไป สุดท้ายตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้

[ส่งมาให้ดูก่อนแล้วกัน]

ผมวางสาย แล้วจัดการถ่ายรูปกระดาษในมือส่งไปให้กังหันดูทางไลน์  สักพักก็ขึ้นอ่าน ตามด้วยข้อความตอบกลับมา

KangHan: ก็ได้ เห็นแก่ลายมือของยำ
KangHan: จะให้ไปส่งถึงที่เลยไหม?
Phu: มีร้านกาแฟอยู่ใกล้คอนโด กูจะรอรับอยู่ที่นั่น
Phu: เดี๋ยวส่งพิกัดร้านไปให้
KangHan: ได้ แต่ไม่ฟรี เพราะงั้นเตรียมตังค์ค่าของกับค่าส่งไว้ด้วยล่ะ

ผมตอบตกลงตอบทันที เพราะต่อให้มีคิดค่าส่งก็ไม่ว่าหรอก คิดซะว่าพอๆ กับค่าน้ำมันที่ต้องขับตระเวนไปซื้อของเองซะทุกที่แล้วกัน

ทันทีที่มาถึงร้านกาแฟ ผมก็กดส่งพิกัดให้เพื่อน แล้วนั่งดูดกาแฟรออยู่เกือบชั่วโมง คนของกังหันถึงทยอยมาส่งของทีละคนสองคน ผมส่งเงินให้คนแปลกหน้าที่สวมชุดวินมอเตอร์ไซค์บ้าง เป็นพนักงานส่งของบ้าง บางคนมาในชุดนักศึกษาก็มี มองดูแล้วก็พอเดาได้ว่าน่าจะเป็นทีมสายสืบของเพื่อนแน่

...นี่มันคิดสืบทอดอาชีพที่บ้านจริงๆ ใช่ไหมวะ

ผมนึกอยู่เงียบๆ ระหว่างรับถุงของกินมาวางเบียดกับถุงอื่นๆ บนโต๊ะ รอจนของมาครบถึงค่อยลุกขึ้นยืน รวบถุงของกินทั้งหลายขึ้นหิ้วออกจากร้านกาแฟไป เดินถือของพะรุงพะรังจนถึงหน้าคอนโด พี่ยามก็ร้องทัก

“ให้ช่วยไหมน้อง”

ผมจะปฏิเสธทำไมล่ะ เลยร้องขอให้ช่วยกดลิฟต์ โชคดีที่ตัวลิฟต์ยังอยู่ชั้นหนึ่ง รอไม่นานประตูก็เปิดออก ผมหันไปพูดขอบคุณเขา แล้วค่อยก้าวเท้าเข้าไปยืนด้านใน ปล่อยให้ลิฟต์พาเคลื่อนขึ้นที่สูงเรื่อยๆ 

ระหว่างทำได้แค่ยืนเฉยๆ ผมก็ครุ่นคิดฆ่าเวลาไปหลายเรื่อง เช่น

ถ้าไปปรากฏตัวตอนนี้ แมวเถื่อนจะมีสีหน้ายังไงนะ

ควรคิดหาทางแก้เผ็ดคืนด้วยดีไหม ต่อไปมันจะได้ไม่กล้าทำอีก

อ้อ ต้องหาทางยัดตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มนั่นให้ได้ด้วยสิ

เรื่องพวกนี้วนเวียนอยู่ในหัวจนกระทั่งได้ยินเสียงเตือนว่าถึงที่หมายแล้ว ผมก้าวขาออกจากลิฟต์ทันทีที่ประตูเปิดออก แล้วยืนทอดสายตามองทางเดินตรงไปยังห้องของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง

...ความรู้สึกตอนนี้เหมือนไม่ได้กำลังกลับบ้าน แต่คล้ายกับกำลังไปเยือนถิ่นของแมวเถื่อนมากกว่า

คิดแล้วก็เหยียดยิ้มร้ายกาจออกมา พร้อมทั้งก้าวเดินช้าๆ ราวกับกลัวว่า ถ้ารีบร้อนเกินไป อาจทำเหยื่อไหวตัวทันจนหลบหนีหายไปก่อนได้

############

เผื่อใครอยากฟังแบบเต็มๆ ค่ะ >>> ด้วยรักและปลาทู
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-04-2018 10:22:41 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
แมว เอ็งฉลาด แต่เจ้าของเอ็งเค้าแน่กว่าอ้ะ 5555

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
ยำแกล้งพี่ภูทำไมมมมม

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
 คงเป็นเรื่องเด็น เมียเก่ายำสินะ   :hao3:

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
แมวเถื่อนในคอนโด 5 : ความจริงที่ไม่มีทางเลี่ยง


ประตูถูกล็อกไว้ ทั้งยังไม่มีเสียงอะไรเลยลอดออกมา ทำผมกลัวว่าตัวเองจะกลับมาไม่ทัน ถึงอย่างนั้นก็กลั้นใจไขกุญแจเปิดเข้าไปดูก่อน

เพียงบานประตูอ้ากว้างเผยให้เห็นด้านในห้อง ผมก็รีบกวาดสายตามองหาสิ่งแปลกปลอมทันที และได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังรวมตัวกันแถวโซฟานั่งเล่น โดยที่พวกเขากำลังจ้องมาทางผมด้วยเช่นกัน

ดีที่ยังอยู่!

ความรู้สึกโล่งใจเข้ามาแทนที่ แต่เพียงก้าวขาเข้ามาในห้อง ผมก็พบว่าบรรยากาศของพวกเขาดูแปลกๆ จนอดย่นคิ้วเข้าหากันไม่ได้ ดูสีหน้าแต่ละคนสิ เคร่งเครียดพิกล แล้วไหนล่ะ เสียงเฮฮาปลดปล่อยอารมณ์หลังสอบเสร็จน่ะ

“สวัสดีครับ”

เสียงวินนำทักทายเป็นคนแรก ตามด้วยเสียงทักทายของคนอื่น ยกเว้นแค่แมวเถื่อนที่เบือนหน้าไปอีกทางอย่างรู้ตัวว่ามีความผิด ผมรีบปรับสีหน้าให้ดูเป็นมิตรที่สุด แล้วทักทายกลับบ้าง

“หวัดดี”   

ถือโอกาสนี้มองสีหน้าพวกเขาอีกครั้ง อารมณ์เคร่งเครียดจางหายไปจากใบหน้าแล้ว แต่แววตากลับไร้ความสนุกสนานเช่นเดิม ยิ่งมองก็ยิ่งสงสัย สงสัยจนเกือบเก็บอาการไม่อยู่ทีเดียว 

“...เดี๋ยวพี่เอาของไปเก็บก่อน”

ผมตัดสินใจหลบฉากไปก่อน แล้วปรายตามองไปทางแมวเถื่อน มันยังไม่ยอมหันหน้ามามองกันดีๆ อยู่เลย เห็นแล้วแอบหมั่นไส้ เลยจงใจพูดถึงสักหน่อย

“ยำ ลุกมาดูด้วยว่าของครบไหม” 

พูดจบก็หิ้วถุงของกินทั้งหมดตรงไปห้องครัวทันที ไม่สนใจว่าคนถูกเรียกจะตามมาหรือเปล่า

ตามมาก็ดี ไม่ตามมาก็ช่างมัน เดี๋ยวหาทางไปลากตัวมาทีหลังก็น่าจะได้

แต่เหมือนผมดูถูกแมวเถื่อนไปหน่อย เพราะมันเล่นส่งเพื่อนอย่างทีเข้ามาหาผมถึงในครัวแทน

“ผมก็ไม่อยากมาหรอกพี่”

ทีพูดออกมาทันทีที่เห็นผมถอนหายใจใส่ เอาเถอะ...

ผมยื่นใบรายการอาหารลายมือยำให้ไปที “มาเช็คใช่ไหมล่ะ ของทั้งหมดอยู่นู้น”

ความหมายคือมาแล้วก็ไปตรวจเช็คซะ แมวเถื่อนจะได้ไม่หาเรื่องว่าผมซื้อของมาไม่ครบ หึ กังหันจัดการให้เองแบบนี้มีเหรอไม่ครบ เผลอๆ มีซื้อเพิ่มให้น้องสุดที่รักของมันด้วยซ้ำไป ยิ่งเงินผมด้วยแล้ว รับรองไม่มีเกรงใจหรอก

ทีมองกระดาษในมือผมแวบหนึ่ง แล้วยื่นมือมารับ ทั้งยังเดินไปตรวจดูจริงๆ ซะด้วย

แบบนี้ก็ดี ผมจะได้มีเวลาถอยมาตั้งหลักหน่อย คิดพลางรินน้ำเปล่าใส่แก้ว แล้วยกขึ้นจิบเงียบๆ

ทีบอกผมว่าจะไปเที่ยวผับคืนนี้ ฟังดูเหมือนไปฉลองสอบเสร็จกับเพื่อน แต่เจ้าตัวไม่ได้บอกผมสักคำว่าใช่ แล้วไหนจะสีหน้าเคร่งเครียดที่เห็นเมื่อครู่อีกล่ะ มองยังไงก็ไม่น่าใช่ไปเที่ยว...อย่างกับมารวมตัวกัน เพื่อวางแผนก่อนยกพวกไปหาเรื่องชาวบ้านมากกว่า

“พี่ทำได้ไงเนี่ย!”

ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ พอหันไปมองต้นเสียงพบว่าทีกำลังมองผมด้วยความประหลาดใจพอดี อาจเพราะผมยังตั้งตัวไม่ทันหรืออาจหลุดสีหน้ามึนงงให้เห็น ทีถึงพูดขยายความเพิ่มเติม

“ถึงซื้อของกินทั้งหมดนี่ได้ในเวลาแค่นี้?”

ผมแสร้งหัวเราะหึๆ อย่างผู้เหนือกว่า “เพราะพี่ฉลาดไง”

สงสัยตอบกวนไปหน่อย คนฟังถึงวางกระดาษไว้บนเคาน์เตอร์ แล้วหันมามองผมขึ้นลงอย่างพิจารณาอยู่สักพักจึงเปิดปากถามอีก

“ผมขอถามได้ไหม”

“งั้นมาแลกเปลี่ยนกัน เราถามกลับมากี่คำถาม พี่ก็จะถามกลับไปเท่ากัน”

คำพูดของผมคือการยื่นข้อเสนอให้พิจารณา อีกฝ่ายจะทำตามหรือบอกปฏิเสธก็ได้ทั้งนั้น แน่นอนว่าทีรับรู้ทันทีถึงได้หยุดครุ่นคิดแบบนั้นครู่ใหญ่ก่อนถามกลับมา เป็นการบอกว่าเขายอมรับข้อตกลง

“พี่ใช้วิธีอะไรถึงซื้อของทั้งหมดนี่เร็วขนาดนี้?”

“ง่าย ในเมื่อมันอยู่คนละทิศละทางขนาดนั้น พี่ก็แค่จอดรถไว้กึ่งกลางของสถานที่ทั้งหมด แล้วรอของเดินทางมาหาเอง”

พูดไปแล้วก็ลอบยิ้มอยู่ในใจ เพราะผมไม่ได้บอกสักคำว่าจะตอบตามความจริงนี่น่า

“พี่ใช้คนอื่นไปซื้อของให้?”

“มันระบุชัดเจนขนาดนี้ คนอื่นก็ซื้อให้พี่ได้”

ผมเห็นทีหันไปมองข้าวยำที่นั่งรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ด้านนอกด้วยสีหน้าเหมือนเหนื่อยใจ พอผมมองตามบ้างก็พบว่าแมวเถื่อนแอบเมียงมองมาทางนี้เหมือนกัน

“จะถามอะไรพี่อีกไหม”

ถามกลับอย่างทนไม่ไหว อย่าลืมว่าตัวผมมีเรื่องที่อยากรู้ไม่แพ้กันอยู่ในใจเหมือนกัน

ทีรีบหันกลับมาพยักหน้า “ยำใช้อะไรล่อให้พี่ออกจากห้อง?”

เหอะ แมวเถื่อนมีปัญญาหลอกล่อผมได้ยัง...ความคิดสะดุดลงกะทันหัน ภาพตัวเองเหมือนคนสติไม่ดีอยู่ในลิฟต์ย้อนกลับเข้ามาในหัว นั่นน่ะ เรียกว่าถูกล่อออกไปได้หรือเปล่า คิดๆ ดูแล้วคำตอบก็มีเพียงแค่...ใช่สินะ ผลุนผลันออกไปแบบนั้นจะให้เรียกว่าอะไรได้อีกล่ะ!

ผมเขม่นมองแมวเถื่อนอย่างคาดโทษเงียบๆ แล้ววกกลับมามองคนที่จ้องผมอย่างรอคำตอบ

หึ! ใครจะบอกความจริงให้เสียเซลฟ์ไปมากกว่านี้วะ!

“ถ้าพี่ทำได้ในเวลาที่กำหนด...”

ผมพูดเสียงเนิบช้า ตรงข้ามกับคิดที่กำลังวิ่งเร็วจี๋เพื่อหาเหตุผลมากลบเกลื่อน มันต้องสมเหตุสมผลและนำไปใช้ประโยชน์ได้ทีหลังด้วย อ้อ เรื่องนั้นไงที่ยำแอบคุยกับเพื่อนทางไลน์น่ะ แต่โทษเถอะ รหัสมือถือของมัน ผมรู้ตั้งนานแล้ว แค่เปิดไล่อ่านย้อนหลังจะไปยากอะไร!

“ปิดเทอมนี้พี่จะได้ไปเที่ยวด้วย” ผมตอบอย่างมั่นใจว่าต้องได้ไปด้วยแน่

“ไม่ใช่แค่นั้นใช่ไหม” ทีมองมาอย่างจับผิด “ไม่งั้นพี่ไม่ทำเวลาดีขนาดนี้หรอก”

“...เรานี่ฉลาดจริงๆ” หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นพวกคิดมากเกินเหตุ “ถ้ายำเป็นแบบเรา พี่คงแย่”

เป็นคำพูดจากใจจริงเลยล่ะ โชคดีที่ข้าวยำไม่เป็นแบบนี้ ไม่งั้นผมคงอึดอัดใจตายกันพอดี

โดนทีจ้องมองอย่างขุ่นเคืองฐานตอบไม่ตรงคำถาม แกล้งปล่อยให้มองอยู่สักพักถึงพูดออกมา

“ถ้าพี่ทำเวลาได้ดี พี่จะได้ของตอบแทนบางอย่างน่ะ”

ตอบได้ไม่เลว เผลอชมตัวเองด้วยความชอบใจ แล้วมองฝ่ายคนถามที่กำลังครุ่นคิด สักพักก็พยักหน้าเหมือนเข้าใจแล้ว จากท่าทางดูไม่สงสัยหรือติดใจอะไรอีกก็ทำผมโล่งใจขึ้นไม่น้อย

คุยกับทีนี่เหนื่อยจริงๆ

คิดแบบนั้นแล้วแอบยิ้มออกมา เหนื่อยแต่คุ้มค่าแบบนี้ ผมยอมรับได้ หึๆ

ยิ่งคิดว่าหลังจากนี้ผมจะมีพยานรับรู้เงื่อนไขปลอมๆ เพิ่มมาหนึ่งคน ต่อให้แมวเถื่อนไปโวยวายใส่เพื่อนทีหลังว่าไม่เคยพูดตกลงอะไรกับผมมาก่อน แต่ใครจะไปเชื่อฝ่ายที่กลายเป็นผู้แพ้ล่ะ ฮ่าๆๆ

จังหวะคิดเรื่องชั่วร้ายอยู่นั้น สายตาเผลอปะทะเข้ากับคนที่มองมามองทางนี้พอดี ต่างฝ่ายต่างชะงักกึกใส่กัน แล้วจ้องนิ่งค้างอยู่แบบนั้นจนฝ่ายแมวเถื่อนเคลื่อนไหวก่อน ผมมองข้าวยำขยับซ่อนตัวเล็กน้อย แค่นั้นก็สามารถใช้เพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ มาบังสายตาจากผมได้แล้ว

ให้ได้อย่างนี้สิ!

“พี่ทำเพื่อนผมกลัวแล้วนะนั่น”

ผมรีบหยุดอาการกัดฟันกรอดด้วยความโมโห แล้วแสร้งถอนหายใจให้กับคำพูดเตือนของที

“ก็แค่กลัวจะได้ขึ้นเตียงกับพี่น่ะ เป็นแบบนี้ทุกที ป่านนี้แล้วยังทำใจเป็นฝ่ายรับไม่ได้ ทั้งที่ร่างกายตอบสนองสัมผัสพี่แล้วแท้ๆ แมวเถื่อนของพี่ซึนได้ใจจริงๆ ว่าไหม”

“...”  สีหน้าคนฟังเหมือนบอกว่าเรื่องนี้ผมไม่ขอยุ่งด้วยดีกว่า

เมื่อเบี่ยงประเด็นได้สำเร็จ ผมจึงรีบดึงทีกลับเข้าจุดประสงค์เดิมบ้าง

“เมื่อกี้สี่คำถาม…ถูกไหม?”

คนฟังพยักหน้า โชคดีที่ทีไม่เล่นเล่ห์อย่างยกข้ออ้าง เช่น ‘ก่อนหน้านี้พี่ได้ถามไปแล้วสองหรือสามคำถาม’ มาหักจำนวนคำถามของผมลง เพราะงั้นรีบถามก่อนอีกฝ่ายจะคิดได้ดีกว่า

“ยกโขยงมาห้องพี่ทำไมกัน?”

ถามไปแล้วก็อยากตบปากตัวเองสักที เลือกถามได้แย่มาก เรียกว่าเสียหนึ่งคำถามไปแบบฟรีๆ เลยล่ะ

“มาหายำ”

นั่นไง...ผมรีบตั้งสติคิดหาคำถามใหม่ คิดอย่างถี่ถ้วนแล้วถึงถามออกไป คราวนี้ถามแบบกว้างๆ น่าจะดีกว่าถามแบบเจาะจง

“บอกสาเหตุมาให้หมดทุกเรื่อง”

ฝ่ายคนฟังถอนหายใจออกมาบ้าง แววตาค่อนข้างลำบากใจ

“มาดูความเป็นอยู่ของเพื่อน”

ฟังถึงตรงนี้ผมก็หรี่ตาลง ดูเหมือนว่าทียังเขี้ยวลากดินไม่เปลี่ยนไปจากตอนคุยโทรศัพท์ด้วยเลยสักนิดเดียว

“มาปรึกษา มาประชุมวางแผน”

คำพูดต่อมาทำผมพอยิ้มออกบ้าง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่คำตอบที่น่าแปลกใจอะไร มีดีแค่ช่วยยืนยันว่าที่คาดเดาไว้ ผมทายถูกก็เท่านั้น

“ปรึกษากับวางแผนเรื่องอะไร?” ถามเจาะประเด็นมากขึ้น

ทีเม้มริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบเสียงเรียบ “เรื่องไปเที่ยวผับคืนนี้”

วกกลับมาที่คำตอบนี้เรอะ! 

ผมขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด นึกไม่ถึงว่าทีจะมาไม้นี้ แต่พอข่มใจให้เย็นแล้วครุ่นคิดตามจึงพบว่าบางทีเด็กพวกนี้อาจไปผับจริงๆ ก็ได้ แต่สถานที่อย่างผับ...ถ้าไม่ใช่ไปเฮฮากับเพื่อนฝูง ก็เหลือแค่ไปมีเรื่องแล้ว

คิดแล้วก็พยักหน้ากับตัวเอง ใช่แน่ๆ อย่างยกโขยงกันไปเหยียบถิ่นคนอื่นอย่างจงใจ แล้วนั่งดื่มเหล้าอย่างสบายอารมณ์โดยที่เจ้าถิ่นทำได้แต่เขม็งมองใส่น่ะ สมัยปีหนึ่งผมเคยทำกับเพื่อน เพราะความคึกคะนองของวัยรุ่นล้วนๆ

พอเหลือบมองกลุ่มเพื่อนยำที่ยังนั่งซุบซิบคุยกันด้านนอกก็รู้สึกว่าอาจไม่ใช่

ท่าทางไม่เหมือนคนคิดไปกวนประสาทชาวบ้านเลยสักนิด เหมือนเป็นฝ่ายเตรียมตั้งรับมากกว่า ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว สุดท้ายต้องหันมาพึ่งคำตอบสุดท้ายอยู่ดี

“อธิบายให้พี่ฟังหน่อย” ผมปล่อยไม้ตายออกไป “ทั้งกลุ่มเครียดเรื่องอะไร? อ้อ พี่ขอแบบละเอียดยิบ ห้ามแถ ห้ามโกหก ห้ามพูดจริงแค่ผิวเผิน ห้ามพูดจริงแค่ครึ่งเดียว ห้าม…”

“พี่แค่สั่งว่าให้พูดความจริงทั้งหมด ขอแบบเจาะลึก ห้ามหมกเม็ดก็พอแล้ว!”

ถ้าทีไม่พูดขัดคอขึ้นมาก่อน ผมคงพูดดักทางต่อไปอีกยาวเหยียดเลยล่ะ คิดแล้วก็คลี่ยิ้มอย่างเป็นต่อออกมา

“ได้แบบนั้นด้วยยิ่งดี!”

ผมกอดอกรอฟังคำตอบด้วยอารมณ์ดียิ่ง ผิดกับคู่สนทนาที่ทำหน้าบูดเบี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วปรับสีหน้ามาเป็นปกติทันควัน ฝ่ายทีกลับไม่ตอบสักที เอาแต่มองหน้าอยู่นั้น ก่อนที่ผมจะได้อ้าปากพูดท้วงคำตอบ ทีก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ผมไม่คิดว่าพี่อยากฟังเท่าไหร่หรอก”

“ไม่ต้องคิดแทนหรอก แค่บอกมาก็พอ” ผมพูดตัดบท

“...พี่คงจำเด็นได้ล่ะมั้ง”

ชื่อแฟนเก่าของยำกระแทกเข้ารูหูอย่างจัง ชื่อที่ไม่คิดว่าจะกลับมาได้ยินอีก

“พูดถึงมันทำไม” ผมถามกลับห้วนๆ

“เพราะวันนี้ผมกับยำมีนัดกับเขาน่ะสิ”

เหมือนถูกสายฟ้าฟาดเปรี้ยงเข้าใส่ ทำผมชาไปทั้งตัวทีเดียว พอตั้งสติได้ก็รีบถามซ้ำเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อครู่ไม่ได้ฟังผิด

“ใครนัดกับใครนะ?”

“เด็นนัดผมกับยำไปเจอไง แต่ความจริงแล้วคงอยากเจอยำมากกว่า ผมแค่อยากไปเป็นเพื่อนน่ะ”

“พี่ไม่ให้ยำไป!”

ทียักไหล่ “ยำคงรู้ตัวดีแหละ ถึงได้พยายามปกปิดจากพี่อยู่นี่ไง”

อ้อ เพราะสาเหตุนี้มันถึงกับยอมงัดมารยาทแมวเหมียวใส่ผม

คิดพลางกัดฟันกรอด นึกอยากจับแมวบางตัวมาเขย่าให้หัวสั่นหัวคลอนที่สุด!

“แต่ผมว่า พี่คิดห้ามไปก็เสียเวลาเปล่า บทยำจะดื้อด้านขึ้นมา ใครก็เอาไม่อยู่หรอก”

“จับมัดขังไว้สักคืน แค่นี้ก็ไปไม่ได้แล้ว!”

“จากนั้นเพื่อนผมคงเก็บข้าวของหนีออกไปจากคอนโดพี่แทนไง”

คำพูดของทีดั่งกระสุนที่พุ่งตรงตัดขั้วหัวใจ ให้เจ้าของหัวใจอย่างผมแทบทรุดไปกองนอนจมกองเลือดตัวเอง คนพูดก็ไม่สนใจเลยว่าผมชอกช้ำขนาดไหน ยังคงกระหน่ำคำพูดใส่กันอีกหลายนัด 

“คิดดีๆ นะพี่ จะยอมให้ไปแค่คืนนี้คืนเดียว หรือจะปล่อยมันหนีหายไปจากชีวิตพี่เลย”

“พี่...” ผมพยายามเค้นเสียงพูดออกมา “มีทางเลือกด้วยเรอะ”

“มีสิ แต่ผมขอบอกกับพี่ตรงๆ นะ เพราะพี่ไปจีบเพื่อนผมผิดวิธี ความสัมพันธ์ตอนนี้ของพวกพี่ถึงคลุมเครืออยู่แบบนี้ไง”

โดนตอกหน้าพูดถึงความจริงที่ผมพยายามเลี่ยงไม่นึกถึงขนาดนี้ก็ทำตัวผมเซไปชนเคาน์เตอร์ครัวได้เหมือนกัน

“ถ้าพี่อยากให้มันย่ำอยู่กับที่ ไม่มีการพัฒนาต่อก็ไม่ต้องให้ยำไป ผมแนะนำได้แค่ว่าพี่ต้องระวังอย่าให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากระทบจนความสัมพันธ์ถอยหลังลงคลองก็พอ...พี่คิดว่าทำได้หรือเปล่าล่ะ”

ผมไม่ตอบ เพราะรู้แก่ใจว่าไม่มีทางเป็นไปได้

“แต่ถ้ามีใจคิดเปลี่ยนแปลงบ้าง พี่ควรลงมือแก้ไขในยามที่มีโอกาสจะดีกว่านะ”

พอเห็นผมยังเงียบ ทีก็พูดเสริมอีก

“ถ้าพี่รู้สึกลังเลใจ งั้นผมขอเตือนอะไรสักประโยค” คนพูดเว้นจังหวะเรียกความสนใจกันเล็กน้อย พอผมมองไปทีก็ส่งยิ้มอย่างเย็นชามาให้ “อย่าลืมว่าเมื่อตัวพี่แย่งยำจากเด็นได้ คนอื่นก็สามารถแย่งยำไปจากพี่ได้เหมือนกัน!”

พอเถอะ...

ผมยกมืออ่อนแรงขึ้นห้ามไม่ให้ทีพูดอะไรอีก ขืนเจอคำพูดสุดแสนจะทิ่มแทงใจอีกสักประโยคหรือสองประโยค ผมคงได้กระอักเลือดออกมาตรงนี้แน่

ทีมองผมเงียบๆ อยู่สักพัก สุดท้ายก็พูดทิ้งท้ายสั้นๆ แล้วจากไป “พี่ภูลองไปทบทวนดูก่อนแล้วกัน”

มองแผ่นหลังที่ก้าวห่างออกไปเรื่อยๆ แล้วอดร้องเรียกออกไปไม่ได้

“ที”

คนที่เกือบก้าวเท้าพ้นพื้นที่ครัวหมุนตัวกลับมามองอย่างสงสัย ผมชั่งใจอยู่พักใหญ่กว่าจะยอมถามสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ “…ต่อให้ยำรู้ตัวว่าชอบพี่ ก็ยังวางเรื่องเก่าไม่ลง?”

ทีทำหน้าครุ่นคิดครู่เดียวก็ย้อนถามกลับมา “พี่รู้สึกไหมว่ายำกำลังรู้สึกผิดต่อแฟนเก่า?”

“พอดูออก แต่ยำควรมาโทษพี่มากกว่าโทษตัวเองสิ”

คนฟังหัวเราะขึ้นมาทันที “ยำไม่ได้โง่นะพี่ มันรู้ตัวดีว่าเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมด เพราะแบบนี้ในตัวยำถึงมีความรู้สึกผิดเสียดแทงอยู่ในอกไงล่ะ แค่นี้มันก็น่าจะรู้สึกแย่มากพออยู่แล้ว และถ้าได้รู้ตัวว่าชอบพี่ด้วยล่ะก็...คงยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ เพราะแบบนั้นล่ะมั้ง ยำถึงได้พยายามไม่รับรู้ไงล่ะ”

ผมหุบตาลงมองพื้นครัวทันที ปล่อยให้คำพูดของทีลอยเข้าหูพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ขยับห่างออกไปเรื่อยๆ

“เพื่อนของผมนิสัยเสียแบบนี้แหละ”

จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว ผมถึงได้เค้นยิ้มหยันใส่ตัวเองออกมา...เป็นแบบนี้นี่เอง ผมนึกว่ามันเป็นแมวโง่ รู้สึกตัวช้าอยู่ได้ตั้งนาน แต่ฝ่ายที่โง่จริงๆ กลับเป็นตัวผมเองต่างหาก

-------------

[แล้วมึงก็ปล่อยน้องกูไปเจอเด็กนั่นง่ายๆ แบบนี้เลย?]

กังหันส่งเสียงถามมาตามสายด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ เป็นผมที่ถอนหายใจแล้วตอบกลับไป

“ง่ายที่ไหน กูกำลังขับรถไปผับที่ว่าอยู่เนี่ย”

[แอบตามไปเหรอวะ?]

“เปล่า กูอาสาไปอยู่กลุ่มจับตามองร่วมกับเพื่อนของยำต่างหาก เด็กพวกนี้ขี้ระแวงดีนะ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้กูรู้ว่าพวกเขารักเพื่อนในกลุ่มมากกว่าที่คิด”

[โตมาด้วยกันก็แบบนี้แหละ แล้วที่ระแวงนี่คืออะไร?]

“ทีกลัวว่าเด็นจะล่อยำไปเจอเรื่องไม่ดี แต่กูว่าทีคิดมากไป เพราะถ้าเด็กนั่นคิดแค้นใครมากที่สุด น่าจะเป็นกูมากกว่าไหมวะ”

[ก็ไม่แน่ ต้องอย่าลืมว่าได้เล่นงานยำก็เหมือนได้เล่นงานมึง หรือไม่จริง?]

เพราะไม่ได้คิดถึงจุดนี้มาก่อน ผมจึงเงียบไปทันที

[คิดป้องกันไว้ก่อนดีกว่าประมาทจนเกิดเรื่องนะ เพื่อนยำคงคิดแบบนี้แหละ ส่วนมึงปกติไม่น่าพลาดเรื่องแบบนี้ หรือเพราะเรื่องยำกำลังจะได้เจอแฟนเก่า มึงเลยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว?]

ผมเม้มปากอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะยอมตอบตามตรง “...กูแค่รู้สึกใจไม่สงบยังไงไม่รู้”

[ให้กูไปเป็นเพื่อนไหม]

“มึงอยู่กับปุ้นเหอะ ไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบสามอาทิตย์แล้วนี่”

[ปุ้นเรอะ น็อคหลับไปแล้ววะ ท่าทางคงโหมอ่านหนังสือหนักอยู่ แปลกนะ ปกติปุ้นไม่ได้จริงจังกับการสอบเท่าไหร่ แต่ที่คราวนี้...เพราะเรื่องวิกฤติด้านเงินมั้ง]

“มันคงอยากเรียนจบเกรดดีๆ จะได้หางานได้ง่ายขึ้นล่ะมั้ง ส่วนเรื่องข้าวยำก็ไม่ต้องห่วง มันมีทั้งเพื่อน ทั้งกู แล้วไหนจะพี่รหัสของมันอีกล่ะ ไม่มีทางเป็นอะไรแน่”

[เอ๊ะ เต้ไปด้วยเหรอ]

“กูบังคับให้มาเอง ต้องงัดคำท้ากับสามใบเถาออกไป เต้ถึงได้ยอมขุดตัวเองขึ้นจากเตียงนอน แล้วยอมออกมาหากูได้...”

พูดไม่ทันจบ คนในสายก็พูดทวนคำใส่ซะก่อน

[สามใบเถา? เฮ้ย อย่าบอกนะว่าไปกันหมดทั้งกลุ่มเลย?!]

“มาหมดทั้งสามคนนั่นแหละ แต่ก็ดี ถ้ามีอันตรายเกิดขึ้นจริงก็จะได้สามตัวนั้นไปป่วนจนแผนการรวนไปเลย”

[เหอะๆ แล้วนัทล่ะ มึงได้บอกมันปะ?]

“บอก มันอยากเจอเด็นอีกครั้งอยู่แล้ว กูเลยสงเคราะห์ส่งมันไปจับตาดูเด็กนั่นด้วยเลย ส่วนของตอบแทน กูขอให้มันสืบข่าวกลับมาให้เหมือนกัน”

[ระวังนัทแทงหลังมึงล่ะ]

“ไม่มีทาง เพราะถ้านัทคิดจะแทงกูคงแทงได้หลายแผลแล้ววะ”

[อ้อเรอะ แล้วนัทคิดไปเจอหน้าเด็กนั่นยังไง?]

“ไม่รู้สิ แต่ถ้าให้กูเดา มันอาจทำเป็นบังเอิญเจอเด็นสักที่ในผับมั้ง”

กังหันผิวปากชอบใจทันที [เนียนดีนะ ที่จริงกูว่าเพื่อนมึงน่าสนใจตั้งแต่ไปตีสนิทกับเหยื่อจนได้นอนด้วยกันแล้ว ติดแต่ว่าเพื่อนมึงไม่น่าไว้ใจ กูเลยไม่คิดอยากเชิญมันเข้ากลุ่มสายสืบ]

“เหอะๆ นัทไม่สนใจทำงานให้มึงหรอก เชื่อกูเถอะ”

[แล้วมึงไปผับเร็วขนาดนี้ทำไมวะ] กังหันเปลี่ยนเรื่องทันที

“ไปจองโต๊ะ ไปเร็วเท่าไหร่ก็มีสิทธิ์ได้เลือกทำเลดีๆ ก่อน”

[แล้วรู้เหรอว่าเด็กนั่นจะนั่งโต๊ะไหน?]

“รู้ เขียนบอกมาในจดหมายของยำ”

[นัดทั้งวัน เวลา และโต๊ะแบบนี้ ไม่แปลกที่เพื่อนของยำคิดระแวง มึงก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน]

“เออ นี่กูใกล้ถึงผับแล้ว แค่นี้ก่อนนะ”

[เสร็จเรื่องแล้วโทรมาบอกกูด้วยล่ะ หรือถ้าอยากได้ความช่วยเหลืออะไรก็โทรมา]

“เออ”

ผมรับคำแล้วกดตัดสาย ขับต่อไปเรื่อยๆ จนเลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถของผับ จอดรถเรียบร้อยก็ดึงสมอลทอร์คไร้สายออกจากหู จับมันหย่อนลงช่องเก็บของข้างตัวลวกๆ ตรวจดูสภาพตัวเองเล็กน้อย แล้วก้าวลงจากรถ

“พี่ภู”

เพื่อนของยำชื่อเทมส่งเสียงเรียกผมจากข้างรถที่จอดห่างไปหน่อย ฝ่ายนั้นอยู่ใกล้ประตูทางเข้าผับมากกว่า ผมเลยเดินไปหา

“คนอื่นล่ะ?”

“กว่ามาถึงคงฟ้ามืดแล้วมั้ง” เทมตอบ “ยังไงเราก็เข้าไปจองโต๊ะกันก่อนเถอะครับ”

ผมพยักหน้าสื่อว่าเห็นตามนั้น ระหว่างเดินคู่กันไปก็อดหันไปบอกคนเด็กกว่าไม่ได้

“ไม่ต้องพูดสุภาพกับพี่ก็ได้”

เทมแค่พยักหน้ารับรู้ เดินต่ออีกสักพักก็สะกิดผมแล้วถามด้วยเสียงสงสัย

“พี่เห็นป้ายนั่นไหม มันหมายความว่ายังไง?”

ผมหันมองตาม พบป้ายที่เขียนแปะบอกชัดเจนว่าผับนี้สำหรับผู้ชายเท่านั้นเป็นประโยคภาษาอังกฤษ 

“ความหมายตามป้ายบอกนั่นแหละ”

“ผับ...ที่มีแต่ผู้ชาย?” เทมทวนคำช้าๆ แล้วค่อยๆ ยกนิ้วชี้ไปทางผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินกรีดกรายนำหน้าห่างออกไปหน่อย “แล้วคนนั้นล่ะ?”

ผมมองเธอโชว์บัตรประชาชนให้การ์ดเฝ้าประตูดู อึดใจต่อมาก็เดินผ่านเข้าไปด้านใน

“...ตามเพศกำเนิด เธอคงเป็นชายนั่นแหละ”

คนได้รับคำตอบถึงกับยืนแข็งเป็นหินทันที เดือดร้อนผมต้องเป็นฝ่ายออกแรงลากตัวให้เดินขึ้นหน้าต่อ โชว์บัตรประชาชนให้ดูเรียบร้อยก็เข้าไปด้านในแบบง่ายๆ แต่คนข้างตัวผมเหมือนสติไม่กลับมาสักที เลยต้องยกมือตบหลังไปหนึ่งพลั่ก

“ตีผมทำไม?”

ผมไม่ตอบ แต่พูดถึงสิ่งที่ต้องทำแทน “เราต้องการโต๊ะสองตัว แยกกันไปจองแล้วกัน”

“งั้นผมไปจองโต๊ะให้เพื่อนของทีเอง รอวินมาถึงแล้ว ผมค่อยไปสมทบกับพี่”

ผมพยักหน้ารับรู้ เดินแยกตัวมามองหาโต๊ะเป้าหมาย พอเจอแล้วก็ต้องชะงัก เพราะแถบนี้มีแต่โต๊ะวางป้ายจองทั้งนั้น สุดท้ายผมได้โต๊ะที่ไม่มีป้ายติดจอง แต่ยังอยู่ในระยะที่มองโต๊ะเป้าหมายเห็นชัดเจนมาโต๊ะหนึ่ง 

ที่เหลือ...ทำได้แค่รอเวลาสินะ

############
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2018 09:41:46 โดย KatzeP »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด