ตอนที่ 23.1ร่างกายที่นอนอยู่บนเตียงตอนนี้...เป็นของใครกัน......แต่คิดว่าคงไม่ใช่ร่างผมแน่ๆ...เพราะถ้าใช่ ทำไมผมถึงควบคุมมันไม่ได้ ความทรงจำที่อยากลืม กลับจดจำได้ชัดเจน ร่างกายที่อยากดิ้นรนขัดขืน เรียกร้องให้อาการหวาดกลัวที่หายไปกลับมาอีกครั้ง หากแต่ไม่เป็นเช่นนั้นเลย.....บางที...ผมคงกลัวตายจนเกินไป....กลัวจนทำให้จิตใจสั่งร่างกายตัวเองว่าอย่าต่อต้าน.....ความกลัวบ้าๆ....ร่างกายบ้าๆ......
“ทำไมยังไม่กินข้าวอีก”เสียงถามซ้ำอีกครั้งในขณะที่ผมยังคงนอนหลับตา เตียงนอนยวบตามน้ำหนักตัวที่กดลงข้างๆ ผมไม่หันหนีเหมือนที่เคย เพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ การนิ่งเฉยอาจจะดีกว่า...ทำตัวเป็นศพไปซะ จะได้ไม่ต้องรู้สึกอะไรอีก
“กินข้าวซะ จะได้กินยา เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไปเรียนไม่ไหวหรอก”น้ำเสียงที่ผมไม่คิดจะหาความหมาย ไม่ว่าจะเป็นถามเพราะความห่วงใยหรือรำคาญ.....ผมก็ไม่สนใจ
“..........”
“ได้ยินที่พูดมั้ย”
“..........”
“ตกลงนี่พูดกับคนใบ้อยู่ใช่มั้ยเนี่ย”
“...ตนตาย”คำพูดที่ออกจากลำคอแห้งผากกับริมฝีปากที่ปิดสนิทมาหลายชั่วโมง มันเบาและแหบจนผมนึกว่าไม่ใช่เสียงตัวเอง
“อะไรนะ”
“ผมเป็นคนตาย.....คุณยังต้องการจะทำอะไรกับร่างผมอีกมั้ย ศพผมคงช่วยให้คุณสนุกได้”ผมไม่ได้คิดจะพูดประชด หากแต่คิดอย่างนั้นจริงๆ ในเมื่อผมควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ มันก็ไม่ต่างอะไรจากศพไม่ใช่เหรอ
“..........”มันไม่ได้พูดอะไรกลับมา จนกระทั่งผมรู้สึกถึงสัมผัสที่โอบกอดจากด้านหน้า ฝ่ามือที่จับปลายผมไปทัดซอกหู ก่อนจะเลื่อนลงมาแนบแก้มแล้วไล้นิ้วโป้งเคลียแก้มเบาๆ
“ศพที่ไหนร้องไห้ได้กัน”ปลายนิ้วยังคงลูบคราบน้ำตาเบาๆ ผมไม่เข้าใจ ไม่เคยเข้าใจ แต่เริ่มคิดที่อยากจะทำความเข้าใจการกระทำของคนๆ นี้....บางทีผมอาจรู้คำตอบ....ว่าทำไมผมต้องอยู่ที่นี่ตอนนี้....ทำไมเขาถึงทำแบบนี้
ผมเผลอนอนหลับไปอีกครั้ง แล้วตื่นมาตอนค่ำเพราะทนฟังเสียงรบเร้าข้างหูไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงกินข้าวต้มทะเลที่มันยื่นมาให้ ผมมองหน้ามันสลับกับชามข้าวต้ม....แค่นั่งผมยังแทบหมดแรง แล้วชามหนักๆ นี่ผมจะมีแรงถือเหรอ มันคงเข้าใจสายตามผมเลยหาทางอื่นให้ผมกินได้สบายๆ แต่....ไม่ใช่วิธีเหมือนตามหนังหลายๆ เรื่องที่ต้องมานั่งป้อนกันหรอกนะครับ มันไม่ใช่คนดีขนาดนั้น แค่เดินออกไปเอาเก้าอี้มาใช้วางชามแทนโต๊ะชั่วคราว ผมก็แปลกใจแล้ว นึกว่าจะลากผมออกไปกินข้างนอกซะอีก
“พรุ่งนี้จะไปเรียนกี่โมง”เสียงถามจากคนที่นอนอ่านหนังสือด้านหลัง จากตอนแรกที่ว่าจะไม่คุยด้วย แต่ต้องเปลี่ยนใจเพราะผมกำลังคิดหาทางอยู่ห่างๆ จากมันพอดี
“แปดโมง”
“อย่าโกหก บอกมาดีๆ จะไปส่ง”
“เก้าโมง”โกหกครั้งแรกไม่สำเร็จ แต่ผมก็ยังพยายามอยู่ ทั้งๆ ที่ความจริงมีเรียนตอนบ่าย
“อืม เดี๋ยวออกไปส่ง ที่หอเก่าพี่ไปแจ้งย้ายออกแล้ว แต่เจ้าของหอเขาให้พายไปติดต่อด้วยตัวเอง ไว้หลังเลิกเรียนค่อยแวะไปแล้วกัน”น่าแปลกที่คำพูดเพราะๆ ของมันระคายหูผม ฟังแล้วไม่ชิน พอๆ กับคนพูดนั่นแหล่ะมั้ง เดี๋ยวผีเข้าผีออก แต่วันนี้ผีคงสิงนานหน่อย ถึงไม่มึงมาพาโวยเหมือนเดิมเท่าไหร่
“......ไม่กลัวนุเห็นหรือไง”
“ก็อย่างที่เคยบอกไปแล้วไง เขาไม่มีสิทธิ์ยุ่งเรื่องส่วนตัวพี่”
“แต่ผมไม่อยากให้นุรู้”ถ้านุจะรู้ ผมอยากให้รู้จากปากผมเอง อยากจะเป็นคนอธิบายเองมากกว่า
“ทำไม”
“เรื่องแค่นี้ก็คิดไม่ได้รึไง คุณจะคิดยังไงกับเพื่อนผม ผมไม่รู้ แต่นุเขารักคุณ”
“.....พรุ่งนี้เขาไปทำงานแต่เช้า ไม่อยู่ห้องหรอก”
“เขาทำงานที่ร้านคุณใช่มั้ย ผมจำยี่ห้อไวน์ได้”
“ใช่ แต่ร้านที่เขาทำมันขายของอย่างอื่นด้วย”
“.......”
“อยากไปทำร้านเดียวกับนุมั้ยล่ะ”
“ไม่”
“..........พรุ่งนี้ไปเรียนไหวเหรอ หน้ายังซีดๆ อยู่เลยนะ”
“ไม่อยากให้ไปก็พาไปลาออกซะเลยสิ”
“พูดด้วยดีๆ จะกวนโมโหให้มันได้อะไรขึ้นมาวะเนี่ย”
“.......”ผมคิดว่านั่นไม่ใช่คำถามก็เลยไม่ตอบ กินข้าวต้มไปได้นิดเดียวก็หมดอารมณ์กินเพราะเสียงมันนี่แหล่ะ ผมวางช้อนแล้วหยิบยาที่มันเอาวางไว้ตรงโคมไฟมากิน เสร็จแล้วก็ล้มตัวนอนตามเดิม
“อะไร เหลือตั้งเยอะ กินไปกี่คำเนี่ย”
“.........”
“เฮ้อ.....เซ็งว่ะ”เสียงถอนหายใจยาวๆ ก่อนที่มันจะเก็บชามและเก้าอี้ออกไปออกห้อง ส่วนผมก็นอนข่มตาให้หลับต่อไป
อากาศยามเช้าวันนี้สดชื่นกว่าทุกวันที่ผ่านมา ผมมองแสงแดดอ่อนๆ มองรถที่ขับสวนไปสวนมาอย่างสนใจ....อย่างน้อยก็น่าสนใจกว่าคนขับที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมบอกให้มันจอดที่หน้าประตูแต่มันก็ไม่ยอม จะเข้าไปจอดที่ตึกเรียนผมให้ได้ แล้วก็ทำได้จริงๆ นักศึกษาหลายคนมองเข้ามาในรถที่ติดฟิมล์บางๆ ผมแทบจะลงไปนั่งแอบตรงที่วางเท้าเพราะกลัวมีเพื่อนมาเห็น แล้วผมไม่รู้จะตอบว่ามากับใคร ไม่อยากโกหกว่ามันเป็นใครสำหรับผมทั้งสิ้น
“นี่โทรศัพท์เครื่องเก่าพี่ เอาไปใช้ก่อนวันหลังจะพาไปซื้อใหม่”มันวางโทรศัพท์ไว้บนตัก เมื่อผมไม่ยื่นมือออกไปรับ
“ไม่เอา”
“เอาไป เลิกเรียนแล้วก็โทรมาด้วย”มันพูดจบผมก็รีบเปิดประตูรถลงมา ไม่อยากเถียงกับมันตอนนี้ ผมเดินเร็วจนขาแทบขวิดกัน ยอมรับว่ายังเจ็บและปวดเมื่อยอยู่ แต่...กลัวคนอื่นมาเห็นมากกว่า ใครๆ ก็รู้ว่าผมจนขนาดไหน แล้วดันมานั่งรถคันละหลายล้านแบบนี้มันผิดสังเกตุมากเกินไป
ผมเดินจนเข้ามาใต้ตึกคณะ เหลียวไปมองข้างหลังเห็นรถมันขับออกไปแล้ว รู้สึกโล่งใจเมื่อพ้นจากมันได้ไม่เท่าไหร่ ภาพตรงหน้าก็ทำให้อยากกลั้นหายใจ หรือไม่ก็วิ่งกลับไปขึ้นรถมันเหมือนเดิม
“พาย!”เสียงตะโกนเรียกเมื่อเห็นผมเดินเข้ามาอยู่ในระยะสายตาของคนที่ยืนพิงราวบันไดข้างลิฟต์ ผมส่งยิ้มกลับไปให้ ในหัวก็คิดถึงข้ออ้างและคำแก้ตัวมากมายที่เตรียมไว้สำหรับทิว แต่คงคิดไม่ทันแล้ว เพราะทิวเล่นวิ่งเข้ามากอดผมเต็มตัว คนเดินผ่านไปผ่านมาก็มองแบบงงๆ บางคนก็ส่งยิ้มแปลกๆ มาให้จนผมเริ่มทำสีหน้าไม่ถูก
“เอ่อ...ทิว...พายอึดอัด”ผมแตะแขนทิวเบาๆ ความจริงแล้วไม่ได้อึดอัดหรอก แต่มันยังปวดเมื่อยตัวอยู่ อีกอย่างมากอดผมซะแน่นแบบนี้ ถ้าทิวเหลือบมองรอยตรงคอเมื่อไหร่ล่ะก็.........ไม่อยากจะคิดเลย
“พายไม่สบายเหรอ ตัวอุ่นๆ นะ”ทิวขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าว ยกมือลูบหน้าลูบแก้มพลางซักถามอย่างห่วงใย ผมกระชับปกเสื้อกันหนาวที่ใส่มาเพื่อปิดบังร่องรอยตามตัว จับมือทิวที่ลูบหน้าผมไว้แนบแก้ม มือที่เย็นกว่าอุณหภูมิร่างกายทำให้รู้สึกสบาย....หรือเพราะว่าเป็นมือของทิว....ผมถึงรู้สึกแบบนี้
“ไม่ต้องมาทำหน้าอ้อนแบบนี้นะ หายไปไหนติดต่อไม่ได้เลย เมื่อวานก็ไม่ยอมมาเรียน แล้วเรื่องงานอีก ลาออกทำไมไม่บอกทิว”ทิวส่งคำถามมาเป็นชุดจนผมหลุดหัวเราะ ไม่รู้ว่าหายใจทางไหนถึงได้ถามยาวเหยียดได้แบบนี้
“ไม่ต้องหัวเราะเลย วันนี้ไม่ต้องเข้าเรียนแล้ว ไปคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
“เฮ้ยทิว เดี๋ยวก่อนสิ พายขาดหลายครั้งแล้วนะเทอมนี้น่ะ”
“ไปเถอะน่า ทิวให้คนอื่นเช็คชื่อให้เราแล้ว”ทิวไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินลากผมไปที่รถแล้วก็ดันให้ผมเข้าไปนั่ง ก่อนจะขับออกนอกมหาฯลัย
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คนแต่งฝากมาบอกว่า ....ไม่ได้กลั่นแกล้งให้สั้นหรือค้าง....แต่เพราะแต่งไม่ออกจริงๆ
สำหรับคนโพส ก็..ไม่มีไร เบื่อๆเซ็งๆ อะไรหลายๆอย่าง อารมณ์ไม่ปกติ งดเข้าเล้า 2-3 วัน ถ้ามีตอนใหม่จะรีบมาต่อโดยทันทีนะจ้ะ
ป.ล. ขอบคุณสำหรับ รีบนๆ มากมายนะคะ ไม่รู้จะพูดอะไรดี เอาเป็นว่าขอบคุณมากๆ
