ความที่ 4
ผมกับความซวยแบบไม่ทันตั้งตัว
ผมดึงหูฟังที่ใส่อยู่ออกจากหูเมื่อประตูห้องนอนถูกเปิดเข้ามา แผ่นหลังกว้างยืดตรงอัตโนมัติเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามานั้นเป็นใคร รู้สึกถึงความฉิบหายได้ลาง ๆ ....
“พี่ฟ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ?”
“เพิ่งมาถึงครับ ไม่เห็นเจเจข้างล่างเลยขึ้นมาหา”
ผมพยักหน้ารับเบา ๆ รู้สึกไม่ค่อยวางใจสักเท่าไหร่ การที่พี่ฟ้าเข้ามาหาถึงห้องแบบนี้ต้องมีเรื่องแน่ ๆ
“ผมกำลังแกะเพลงน่ะครับ แล้วพี่ฟ้ามีเรื่องอะไรอยากคุยกับผมหรือเปล่า?”
“มีสิ!” พี่ฟ้าตอบแล้วเดินไปนั่งที่ปลายเตียงของผม “พี่ชายเราจะกลับเมื่อไหร่ครับ?”
“น่าจะสาย ๆ มั้งครับ ผมก็ไม่แน่ใจ” วันนี้เป็นวันเสาร์และเป็นวันที่จันทร์เจ้าจะกลับจากบ้านคุณย่าเพื่อนอนที่บ้านนี้ และโดยปกติแล้วพวกเราสามพี่น้องจะสลับกันไปนอนบ้านคุณย่าบ้างแล้วแต่ว่าจะไปวันไหน เพื่อไม่ให้ฝ่ายนั้นน้อยใจว่าหลานไม่รัก
“พี่ฟ้าอยากรู้เรื่องเจเจกับเด็กทิวากาล เล่าให้พี่ฟ้าฟังหน่อยได้ไหมครับ?”
“อ่า...”
“พี่ฟ้ารู้ว่าเจเจรู้ เพราะฉะนั้นเล่ามาทุกอย่างห้ามโกหก และห้ามเล่าไม่หมดนะครับ”
แล้วจะทำอะไรได้ล่ะ... ผมพรูลมหายใจออกก่อนจะเริ่มเล่าทุกอย่างให้พี่ฟ้าฟัง ซึ่งเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เล่าไปก็ลอบมองอาการของพี่ฟ้าไป ตอนนี้พี่ฟ้าได้นิ่งค้างกลายเป็นรูปปั้นไปแล้ว...
“พี่ฟ้า... ใจเย็น ๆ นะครับ”
“เจเจ พี่ฟ้าจะเป็นบ้า” พี่ฟ้าพูดเสียงสั่น มือสวยยกขึ้นกุมขมับ ผมเห็นท่าทางของพี่ฟ้าแล้วก็ได้แต่ยิ้มแห้ง นึกสงสารจันทร์เจ้าขึ้นมาดื้อ ๆ แต่ก็สงสารแค่จันทร์เจ้านั่นแหละนะ กับอีกคนน่ะ... หึ สมน้ำหน้ามากกว่า
“พี่ฟ้ายังไม่อยากให้เจเจมีแฟนเลย...”
“ผมแค่ให้ชอบเฉย ๆ ครับ ไม่อนุญาตให้คบกัน”
“เฮ้อ...”
“พี่ฟ้าเครียดแบบนี้เดี๋ยวจันทร์เจ้าก็พลอยนอยด์ไปด้วย”
“เฮ้อ... นอกจากเจเจแล้วมีใครรู้เรื่องนี้บ้างครับ?”
“เพื่อนเขานั่นแหละครับ”
“อ๋อ...” พี่ฟ้าครางรับเสียงเบา เราคุยอะไรกันต่อนิดหน่อยก่อนที่พี่ฟ้าจะเดินออกไปเหมือนคนไร้สติ
เรื่องนี้ถือเป็นวาระแห่งชาติได้เลยมั้งเนี่ย... ผมพ่นลมหายใจออกมา ตอนนี้โคตรจะลำบากใจเลย จู่ ๆ ก็นึกเห็นใจจันทร์เจ้าขึ้นมา ช่างแม่งก่อนแล้วกัน จัดกระเป๋าไปค่ายมวยดีกว่า
รู้สึกถึงสายตาแปลก ๆ ที่มองมา ดวงตาคมจึงมองไปยังบุคคลน่าสงสัย คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นคนที่เคยเจอ ผมยกขวดน้ำขึ้นดื่มอย่างไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้าง คนคนนั้นอาจจะมองไปเรื่อยเปื่อยก็ได้ ผมออกจากบ้านมาตอนเกือบเที่ยง ก่อนจะแวะร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อน้ำดื่ม ไม่รู้จะแวะทำไมเหมือนกันทั้งที่หากขับต่อไปอีกไม่นานก็จะถึงค่ายมวยแล้วแท้ ๆ
“หึ! นั่นไงแฟนใหม่ผม” ผมได้ยินเสียงพูดแว่ว ๆ ดังมา ก่อนที่เจ้าของเสียงนั้นจะเดินเข้าไปหาผมที่ยืนอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ มือสวยเกาะที่แขนแกร่งก่อนกระซิบลอดไรฟันให้ผมเล่นไปตามบทที่เขาจัดขึ้นมา “ช่วยแกล้งเป็นแฟนฉันหน่อย”
ก็แย่ละ
ถึงแม้จะสงสัยอยู่มากแต่ผมก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป เพราะว่าผู้ชายอีกคนเดินเข้ามาก่อนที่ผมจะได้ทักท้วง ถ้าเดาเอาเองผู้ชายคนที่เข้ามาใหม่ก็น่าจะเป็นแฟนหรือแฟนเก่าที่อาจจะทำอะไรให้คนที่เกาะผมอยู่โกรธหรืองอนแล้วมาง้อขอคืนดี แล้วทำไมผมถึงต้องยืนเฉย ๆ ให้ผู้ชายปากแดงคนนี้แตะเนื้อต้องตัวทั้งที่ควรจะสะบัดหรือปลดออกอย่างที่ควรจะเป็น ผมหลุบตามองคนตัวเล็กกว่า เจ้าตัวเชิดหน้าขึ้นพองาม ปลายจมูกเชิดรั้นบ่งบอกถึงนิสัย
เวรกรรมอะไรของผมกันวะ
“นี่มันอะไรกันภัค” ผู้ชายคนนั้นเอ่ย และมองผมสลับกับตัวหอม สายตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจทว่าเจือแววโมโหอยู่ด้วย
“ก็อย่างที่บอก ฉันมีแฟนใหม่แล้ว เพราะฉะนั้นนายก็เลิกยุ่งกับฉันได้แล้ว” ผมแทบจะพ่นน้ำที่ดื่มอยู่ออกมา ให้ตาย มันคืออย่างที่ผมคิดจริง ๆ สินะ
“อย่ามาโกหกกันเลย สเป็กภัคไม่ใช่คนอายุน้อยกว่า”
“แล้วไง ผมจะเปลี่ยนสเป็กบ้างไม่ได้หรอ ถ้าคบกับคนอายุมากกว่าแล้วมันห่วย ลองคบกับเด็กจะเป็นอะไร”
“พี่ไม่เชื่อหรอกว่า---”
“จะเชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของคุณครับ ไม่เกี่ยวกับเรา” ตัวหอมเงยหน้าช้อนตาขึ้นมองผม เขาตกใจเล็กน้อยคงไม่คิดว่าผมจะพูดอะไรออกไป แต่ไม่นานก็ปรับสายตาให้กลับมาเป็นปกติได้ ผมจ้องตากับแฟนเก่าของณภัคอย่างไม่เกรงกลัว และแสดงออกให้รู้ไปเลยว่ารำคาญฉิบหายแล้วรีบไปสักทีเถอะ ไอ้เวร!
“ฉันไม่ได้พูดกับแก” ผมไหวไหล่ไม่ยี่หระ ก่อนจะคว้าข้อมือเล็กของแฟนอุปโลกน์มาจับแล้วเดินไปที่รถ แต่แล้วแขนอีกข้างของตัวหอมก็ถูกคว้าเอาไว้โดยคุณแฟนเก่า
“ปล่อยนะ!”
“ไม่ ภัคต้องไปกับพี่”
“ทำไมฉันต้องไปกับนาย ปล่อยสิ! โอ๊ย!” ตัวหอมร้องเสียงหลงเพราะถูกกระชากแขน หน้าเบ้อาจเพราะความเจ็บ โดยเนื้อแท้แล้วผมเป็นคนที่มีความเป็นสุภาพบุรุษสูง จึงเข้าไปดึงมือของแฟนเก่าตัวหอมออกแล้วเอาตัวไปบังร่างบางเอาไว้
“หลบไปไอ้เด็กเวร”
“คุณต่างหากที่ควรหลบไป การที่ภัคไล่คุณแปลว่าเขาไม่ต้องการอยู่ใกล้คุณนะ”
“มึง!!!” เขาตะเบ็งเสียงด้วยความโกรธพร้อมกับง้างมือขึ้นคล้ายจะต่อย เออ ถ้าปล่อยหมัดมาผมก็พร้อมสวนนะเว้ย
“ถ้าคุณชกผม ผมแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกายได้นะครับ อ่า… ดูเหมือนหน้าร้านี้จะมี CCTV ด้วยแฮะ” ปลายนิ้วเรียวชี้ไปที่กล้องวงจรปิดตามที่พูด ไอ้นั่นกำหมัดแน่น ท่าทางฮึดฮัดนั่นทำให้ผมแสยะยิ้ม นิสัยโคตรเด็ก
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง! พี่ไม่ยอมง่าย ๆ แน่ภัค” มันชี้หน้าคาดโทษผมแล้วบอกคนที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังของผมก่อนเดินจากไปด้วยความโกรธและเสียหน้า เมื่อไอ้หน้าด้านนั่นเดินออกไปแล้วผมจึงปล่อยมือที่จับมือเล็กออก ผู้ชายอะไรวะ ทำไมมือนุ่มขนาดนี้ (แต่มือไอ้หมูอ้วนก็นุ่มประมาณนี้นี่หว่า ช่างแม่งเหอะ)
“เฮ้อ” ตัวหอมถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากที่รถยนต์คันหนึ่งเคลื่อนตัวออกไป เขาเงยหน้ามองผม “ขอบใจที่ช่วย”
“ผมไม่ช่วยใครฟรี ๆ นะ” ผมบอก ความจริงทั้งนั้น ไม่ได้พิเศษเพราะเขาคือตัวหอมหรอกครับ ปกติผมไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของใคร ถ้ามีอารมณ์อยากช่วยหรือสมควรช่วยก็จะช่วย แต่บางเรื่องผมก็ช่วยเพราะผลประโยชน์ที่จะได้มา อย่างเช่นตอนนี้... ไม่ได้เต็มใจแต่แรก แต่มันนำพาซึ่งผลประโยชน์ ผมก็โอเค ทายาทนักธุรกิจก็งี้
“อยากได้อะไรล่ะ?”
“ตอนนี้ยังคิดไม่ออกครับ ไว้รู้แล้วผมจะบอกแล้วกัน ไปล่ะ” ยิ้มทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปที่รถ
“เดี๋ยวสิ!” เสียงแหบหวานร้องเรียกไว้ ผมหยุดและปัดมือเล็กที่คว้าไหล่ของผมพลางขมวดคิ้วและทำตาขวาง
“อะไร?” เอ่ยถามออกไปเสียงห้วน
“คิดว่าเราจะได้เจอกันอีกหรือไง”
“นั่นสินะ…”
“บอกมาว่าอยากได้อะไร”
“ผมคิดไม่ออก แล้วถ้าโดนกดดันความคิดผมจะรวนไปเลย คุณไม่จำเป็นต้องตอบแทนอะไรแล้วก็ได้ ช่างมัน” เขากลอกตาขึ้นฟ้าขณะที่ฟังผมพูด ที่พูดไปนั่นก็จริงนะครับ ถ้ายิ่งเร่งหรือกดดัน ผมก็จะไม่อยากทำมัน
“ถ้าอย่างนั้นก็แลกเบอร์มือถือกัน คิดออกเมื่อไหร่ก็โทรมา! ฉันไม่ชอบติดหนี้ใคร” ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยกับข้อเสนอ มองพิจารณาคนตรงหน้าก็จะทำเป็นเหนื่อยและบอกตัวเลขสิบหลักของเบอร์มือถือส่วนตัวไป เข้าทางล่ะ... ไม่ต้องไปสืบให้เหนื่อย หึหึ ตัวหอมกดโทรศัพท์ยุกยิก เมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าของผมดังขึ้นเขาก็วางสาย
“ฉันชื่อณภัค นายชื่ออะไร?”
“จักรพรรดิ”
“ชื่อเล่นสิ!”
“จิ๊! ทำไมคุณเรื่องมากจังเลยครับ”
“เอ๊ะ ไอ้เด็กบ้า!” นึกขำกับใบหน้าหงุดหงิดนั้นแต่ก็ต้องซ่อนสีหน้าไว้ภายใต้ความนิ่งเฉย “นายนั่นแหละที่เรื่องมาก บอกชื่อมาได้แล้ว!”
“จริงใจ”
“ฮะ? นายชื่อจริงใจเหรอ?”
“ทำไมครับ ข้องใจอะไรกับชื่อผมงั้นเหรอ?”
“เปล่า…”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวครับ”
“หะ เฮ้ย! เดี๋ยวสิ!!” ณภัครีบวิ่งเขาไปขวางหน้า แขนเล็กดันอกของผมเอาไว้ พอเห็นสายตาคมหลุบมองก็รีบปล่อยมือออก ตอนนี้เขายังเป็น คนอื่น สำหรับผมอยู่ ยังไม่ได้สิทธิแตะเนื้อต้องตัวผมได้
“มีอะไรอีกครับ?” เอ่ยถามเสียงเบื่อ ในเวลานี้มันก็ยังไม่สายที่จะไปค่ายมวย แต่ผมไม่ควรที่จะอยู่ตรงนี้แล้ว เบื่อละ ไม่มีอะไรสนุกแล้ว
“เอ่อ… คือว่า… เอ่อ”
“ผมรีบ” บอกให้รู้ว่าไม่มีเวลามาเสียให้กับเขาอีก
“ฉันอยากกลับบ้าน”
“ก็กลับสิ มาบอกผมทำไม”
“ฉันไม่รู้นี่ว่าที่นี่มันที่ไหน!”
“จะบอกว่าหลงทาง?”
“อือ…”
“ก็แย่ละ” เห็นความฉิบหายกำลังวิ่งเข้ามาซัดเข้ากลางแสกหน้า ให้ตายเหอะ! วันอะไรของผมวะ! “แล้วคุณมาที่นี่ได้ยังไง?”
“ก็…”
ตัวหอมเล่าว่า จู่ ๆ เขาก็อยากจะลองนั่งรถเมล์ดูสักครั้ง ทั้งที่ชีวิตนี้ไม่เคยจะนั่งเลย ด้วยความที่เป็นคุณหนูฐานะดี หากไม่ขับรถเองก็มีคนรถตลอด หรือไม่เพื่อนก็จะมารับ แต่แล้วการขึ้นรถเมล์ครั้งแรกของเขาก็สำแดงฤทธิ์ มันพังตั้งแต่ก้าวขาขึ้นไปบนรถขนส่งสาธารณะนั่นแล้วด้วยซ้ำ ตั้งแต่ขึ้นรถผิดสาย จนกระทั่งนั่งมาเรื่อย ๆ แล้วจำเป็นต้องลงเพราะในรถแทบไม่เหลือใครแล้ว เขาจึงเดินมาเรื่อย ๆ จนมาหยุดที่แถวนี้ และถึงได้พบว่าภีม(ซึ่งคือแฟนเก่า)ขับรถสะกดรอยตามมาและได้ปะทะคารมแบบเมื่อสักครู่
แฟนตาซีไปไหนวะ
“นายอย่าเงียบสิ” ผมเหยียดริมฝีปากเป็นเส้นตรง ถ้าคนตรงหน้าผมตอนนี้คือจันทร์เจ้าหรือจ๋าจ้า ผมคงพูดใส่หน้าไปแล้วว่า ‘โง่!’ แต่ความมีมารยาทก็มีมากจนไม่พูดแบบนั้นกับคนไม่สนิท คนบ้าอะไรไม่เคยนั่งรถเมล์แล้วครั้งแรกก็ดันนั่งคนเดียว แจ็คพอร์ตนั่งผิดสายเสียด้วย แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่ให้ไอ้แฟนเก่านั่นไปส่งวะ อ๋อ ลืม ตอนนั้นผมเป็นแฟนหลอก ๆ ของเขาอยู่
“คุณอยากพูดอะไร?” ผมถามไม่อ้อมค้อม เล่นบอกมาขนาดนั้นไม่มีจุดประสงค์ให้มันรู้ไปสิ
“นายไปส่งฉันหน่อยได้ไหม…?”
กูว่าละ...
“ขอโทษที่ต้องบอกว่าไม่ ผมมีธุระ”
“งั้นบอกฉันก็ได้ว่าต้องกลับยังไง”
“ยาก” หรี่ตามองคนที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ทั้งทีปกติทำหน้าเหย่อหยิ่งแท้ ๆ น่าแกล้งชะมัด “คุณก็โทรให้เพื่อนมารับสิ”
“พวกมันไม่อยู่สักคน…”
“………ผมต้องไปแล้ว”
“ฉันขอไปด้วยได้ไหม?” ดวงตาวาวน้ำที่กำลังช้อนมองอยู่นั้นกำลังทำให้ผมแทบลืมหายใจและเผลอตกปากรับคำไปอย่างง่ายดาย…
“อือ”
ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงค่ายมวยที่ผมมาฝึกประจำตั้งแต่ช่วงมัธยมปีที่สาม ตัวหอมก้าวลงจากรถจักรยานยนต์คันใหญ่อย่างเงอะงะ ผมเดินเข้าไปด้านในโดยไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แต่เห็นว่าตัวหอมรีบวิ่งตามเข้ามา
“สวัสดีครับครู” ผมพุ่มมือไหว้ครูฝึกผู้ซึ่งเป็นเจ้าของค่ายมวยแห่งนี้ด้วย
“เออ ไหว้พระเถอะ แล้วนั่นใคร ข้าไม่เคยเห็นหน้า”
“ผมเก็บได้ข้างทางน่ะครู” ตัวหอมถลึงตาใส่ ก่อนจะยกมือไหว้ครูของผม
“ดูพูดเขาเจ้าเด็กนี่ ชื่ออะไรน่ะเรา?”
“ภัคครับ ณภัค” ครูฝึกพยักหน้ารับ บอกกับเราว่าขอไปดูคนอื่น ๆ ซ้อมกันก่อน และก้าวเดินไม่กี่ก้าวก็ถูกเรียกไว้ด้วยลูกศิษย์ที่ติดอันดับว่าเป็นคนโปรดซึ่งนั่นก็คือผมเอง
“ครูครับ ผมหิว”
“หิวก็ไปหากินในครัวสิวะ!!!” ผมหัวเราะเมื่อกวนประสาทครูได้ ก่อนจะกระชับกระเป๋าเสื้อผ้าบนไหล่ หันไปมองคนที่มาด้วย
“คุณจะไปกับผมไหม?”
“ไปสิ!”
ตอบแบบไม่คิดเลยสินะ
ตัวหอมเดินตามหลังผมมาเงียบ ๆ สายตาก็มองดูรอบ ๆ จากพินิจพิจารณา คงไม่เคยมาค่ายมวยล่ะสิ อย่างเขาน่าจะเดินห้างหรู ๆ มากกว่า ท่าทางคุณหนูขนาดนั้น
เมื่อมาถึงในครัว ผมก็จัดแจงตักกับข้าวใส่จาน และถามคนที่มาด้วยว่าจะทานด้วยกันหรือไม่ เมื่อได้คำตอบก็ตักเผื่อณภัคด้วย ตอนนี้เลยเวลาเที่ยงมาชั่วโมงครึ่งแล้ว นักมวยในค่ายก็คงจะทานกันหมดแล้ว โชคดีที่ยังพอมีเหลืออยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นคงจะได้หิ้วท้องกันจนตอนเย็นแน่ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ผมไม่ซ้อมมันละ ไม่มีพลังงานให้ใช้
“อ๊ะ!” ผมถึงกับถอนหายใจออกมา หลังจากที่เห็นคนอายุมากกว่าใช้ส้อมม้วนเส้นขนมจีนขึ้นแต่มันดันเลื่อนหลุดจากตัวส้อมกลับลงไปในจานจนน้ำแกงเขียวหวานกระเด็นกระดอน ไม่เคยกินขนมจีนหรอวะ ทำไมงอกง่อยขนาดนั้น
“อย่ากินแบบนั้นสิ ขนมจีนไม่เชื่องเหมือนสปาเก็ตตี้นะคุณ”
“ก็ฉันไม่เคยกินนี่!” เขาแหวใส่ผม ปากสีสดขมุบขมิบกับสายตาเอาเรื่องนั่นเขากำลังด่าผมอยู่อย่างแน่นอน
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจอีกครั้ง “ทำแบบนี้ครับ” แล้วก็สาธิตวิธีการกินขนมจีนให้คุณหนูณภัคดู เมื่อเห็นแล้วว่ากินยังไงณภัคก็ทำตาม ดูจากสีหน้าคงไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ผมสอน แต่กระเพาะคงประท้วงหนักเพราะหิว เขาจึงยอมฟังที่ผมพูดและทำตามแต่โดนดี พอเห็นเขากินได้อย่างเอร็ดอร่อยก็เผลอยิ้มออกมา เขานี่มันโคตรเด็กน้อยเลยว่ะ
“เอาอีกไหมครับ?” ผมถามคนที่เพิ่งเคยกินขนมจีนครั้งแรก ตัวหอมซัดเรียบไม่เหลือแม้แต่น้ำแม้แต่หยดเดียว
“เอา!” ตอบทันทีแบบไม่คิดอะไร และยังยื่นชามมาให้ผมอีก ส่ายหน้าเบา ๆ รับชามจากมือสวยมาแล้วเปิดตู้กับข้าว หยิบเส้นขนมจีนใส่และตักน้ำแกงเขียวหวานราด ส่วนของผมรอบนี้เปลี่ยนเป็นน้ำยากะทิ
“ขอบใจ” เขาบอกหลังจากที่ผมวางชามขนมจีนคืนให้ “ทำไมไม่เหมือนกัน?” เสียงเล็กร้องถาม ตาเรียวรีเบิกกว้างมองผมสงสัย
“ของผมมันน้ำยากะทิ”
“แล้วของฉันล่ะ?”
“ของคุณก็แกงเขียวหวานไง ไม่เคยกินแกงเขียวหวานเหรอครับ?”
“เคยสิ แต่ไม่คิดว่าจะกินกับแบบนี้ได้”
“โลกนี้ไม่ได้มีแค่สปาเก็ตตี้นะครับ”
“ฉันก็ไม่ได้คิดแค่สปาเก็ตตี้มาทั้งชีวิตสักหน่อย ไอ้เด็กเวร!”
“หึหึ”
หลังจากที่กินอาหารเที่ยงในเวลาเกือบบ่ายสองเรียบร้อยแล้ว ผมก็เก็บชามทั้งสองใบไปล้าง และมีตัวหอมยืนมองอยู่ไม่ไกล เมื่อพักให้อาหารย่อยแล้วผมจึงเข้าไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดสำหรับซ้อม นั่นก็คือกางเกงมวยตัวเดียวแต่สวมเลกกิ้งสีดำขายาวซ้อนไว้ โดยท่อนบนเปลือยเปล่าอวดกล้ามเนื้อ
ผมแอบยิ้มเมื่อตัวหอมมองตาค้าง ผมมั่นใจนะว่าตัวเองหุ่นดีสามารถโชว์ได้โดยไม่อายใคร แต่พอมาโดยเขาจ้องแบบนี้มันก็อดวูบไหวไม่ได้ เมื่อผมหันไปสบตา คนอายุมากที่ตัวเล็กกว่าก็กลับไปทำหน้าบึ้งหน้าหยิ่งเหมือนเดิม ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนัก โยนผ้าขนหนูผืนเล็กไว้บนเก้าอี้ข้าง ๆ ตัวที่ณภัคนั่งอยู่ ก่อนจะเอาน้ำมันมวยออกมานวดตามตัว จากนั้นจึงวอร์มร่างกายก่อนจะเริ่มซ้อม
ระหว่างที่กำลังเตะกระสอบทรายอยู่ผมคอยมองคนที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยเป็นระยะ ใบหน้าสวยแสดงออกชัดเจนว่าค่อนข้างเบื่อ เขาเอาโทรศัพท์มือถือออกมาเล่น ยกขึ้นในองศาที่เหมือนจะถ่ายรูป สักพักก็เดินออกไปคุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางหงุดหงิด
“นาย”
“หือ?” เลิกคิ้วขึ้นเป็นการถาม ตัวหอมจ้องหน้าระหว่างที่ผมกำลังดื่มน้ำและใช้ผ้าซับเหงื่อไปในขณะเดียวกัน
“ฉันกับนายเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า?”
“จะจีบผมเหรอ? แต่มุกเก่าไปหน่อยนะครับ รู้สึกจะฮิตช่วงปู่ย่า ตายายผมยังเป็นวัยรุ่น”
ตัวหอมพึมพำว่า กวนตีน แต่ผมมองผ่าน ไม่ใส่ใจ “ฉันจริงจังนะ!”
“โห จริงจังด้วยแฮะ เขินจังเลยครับ”
“ไอ้เด็กเวรเอ๊ย! นายมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่กวนประสาทที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา”
“ว้าว! ดีจัง”
“.............”
เขาเงียบ หน้าบึ้ง ไม่พอใจ ผมจึงคิดว่าควรเลิกกวนตีนตัวหอมได้แล้วล่ะ
“คุณคิดว่าเราเคยเจอกันจริง ๆ เหรอ” ตัวหอมทำหน้าคิดจริงจัง คิ้วย่นเข้าจนแทบจะชนกันอยู่แล้ว
“จำไม่ได้แฮะ แต่คุ้น ๆ ยังไงไม่รู้”
ก็คนที่คุณเดินชนแล้วขอโทษแบบขอไปทีนั่นไงครับ
“หน้าผมโหล่มั้ง หรือบางที... คุณอาจจะเคยเจอผมในฝันก็ได้”
ยิ้มหล่อใส่ไปที ตัวหอมหน้าเหวอ ก่อนจะกลอกตาเบื่อหน่าย
หึหึ เข้าใจละ ทำไมน้าเจ้าถึงชอบแกล้งแหย่พี่ฟ้านัก
มันสนุกอย่างนี้นี่เอง...----------------------------------------
ชอบคำว่า แฟนอุปโลกน์ แบบแปลก ๆ 55555555
อัพตอนใหม่ช้า เลยอัพสองเรื่องเลย
(
「มนุษย์แฟนเด็ก」 ไปอ่านกัน~)
ฝากติดตามด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ ♥