บทที่ 17.2
Nathya’ Feeling “ครับ?” เขาส่งสายตาเป็นคำถามให้ เห็นน้องสาวของไอ้เตที่เพิ่งเข้ามาปีหนึ่งมหาลัยเดียวกันยื่นถุงผ้าใบไม่ใหญ่มากมาให้
“มีคนฝากมาให้พี่นาฏยค่ะ”
ร่างสูงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้คิดว่าตัวเองโด่งดังอะไรขนาดนั้น อีกอย่างเขาค่อนข้างจะเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยอยากสุงสิงกับใครเท่าไรนักถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทจริงๆ
มันก็พอมีคนเอาขนมเอาของมาให้ประปรายบ้างแต่ส่วนใหญ่เขาก็จะเอาไปแบ่งๆเพื่อนที่คณะบ้าง
ถุงผ้าที่เขารับมาพอจับดูรู้สึกอุ่นๆ “ข้าวกล่อง?” เปิดดูข้างในเป็นกล่องข้าวขนาดพอดี
“คนที่ทำมาเขาอยากให้พี่นาฏยได้กินของอร่อยๆน่ะค่ะ” น้องเปเปบบอกต่อ
เขากำลังคิดว่ามันยังมีคนที่ทำข้าวให้คนที่ชอบหรืออะไรทำนองตามแบบในหนังการ์ตูนอีกหรือ?
“ผมคงถามไม่ได้สินะว่าใคร”
“พี่นาฏยไม่ต้องหาหรอกค่ะ แค่ชอบที่เขาทำให้ เจ้าตัวก็ดีใจแล้ว” เสียงจริงจังของเปเปทำให้เขานิ่งไปสักพัก
“เข้าใจแล้ว” ในเมื่อเจ้าตัวไม่อยากให้เขารู้ก็ไม่เป็นอะไร
เขาเปิดกล่องข้าวออกมา ครั้งแรกนั้นเป็นสปาเกตตีขี้เมาทะเล
ตอนแรกเขาก็ว่าจะเอาไปแบ่งเพื่อนๆกินแต่ว่าอะไรไม่รู้ทำให้เขาตัดสินใจลองตักชิม ซึ่งรสชติต้องทำให้เขาขมวดคิ้ว...เพราะว่ามันค่อนข้างถูกปากเขาทีเดียว
เขาเป็นคนกินไม่ยากแต่ถ้ารสชาติไม่ถูกปากแล้วก็จะไม่กินเลย แต่ว่าสปาเกตตีรสชาติค่อนข้างถูกใจเลย เขาเป็นคนกินเผ็ดจัด แม้ว่านี่จะยังไม่เผ็ดในระดับที่กินแต่โดยรวมแล้วก็โอเค
มารู้อีกทีคือตอนที่ตักคำสุดท้ายเข้าปาก
“เฮ้ย...อะไรวะ มึงเอาข้าวกล่องมาแดกหรอวะ เด็กน้อยสัส” เสียงแมงหวี่ดังหึ่งจนเขารำคาญ บางทีก็อยากจะกระทืบให้ตายแต่แม่งทนทายาทยิ่งกว่าแมลงสาบร้อยล้านปี
“สัส” ไอ้เอ็ดมันด์ท่าทางจะนอนไม่หลับถ้าในหนึ่งวันมันไม่โดนเขาด่าอะไรสักอย่าง
“มึงทำเองหรอวะ” มันก็ถามอะไรไม่คิดเท่าไร
“มีคนทำมาให้” ตอบเสียงเย็น
“ห้ะ...ทุกทีมึงไม่กินของที่มีคนเอามาให้นี่หว่า”
ถ้าเป็นปกติก็เป็นตามที่ไอ้เอ็ดมันพูดละครับ “เออน่า เสือกจัง ไปๆ” โบกมือไล่มันไปซื้อข้าว
มันทำหน้าล้อเลียน หลิ่วตาใส่จนเขาเกือบจะประเคนตีนให้มันอีกหนึ่งดอกมันถึงเดินหัวเราะกอดคอไอ้เตไปซื้ออะไรกิน
ตอนบ่ายๆเขาเจอน้องเปเปเลยฝากกล่องข้าวเปล่าๆไปคืน ฝากบอกอีกฝ่ายที่ไม่เคยเจอกันว่า อร่อยมาก ขอบใจสำหรับอาหารอร่อยๆ น้องเปเปยิ้มกว้าง บอกว่าคนที่ทำจะต้องดีใจมากที่เขากินหมด
แต่ว่า พอวันต่อมาเขาก็ได้ข้าวกล่องในถุงผ้าใบเดิมพร้อมด้วยโพสอิสใบเล็กๆ
“พี่นาฏยก็รับไว้อีกเถอะนะคะ เจ้าตัวเขาดีใจมากที่พี่นาฏยยอมกิน แถมกินจนหมดด้วย”
เขายิ้มนิดๆก่อนจะรับมาเหมือนเดิม “ขอบคุณครับ”
วันนั้นมีขนมบัมกุเฮนที่ญาติซื้อมาฝากจากญี่ปุ่นว่าจะเอามาให้พวกไอ้เอ็ดมันกินเพราะมันบนโหยหวนขอส่วนบุญว่าอยากกิน แต่ว่าสงสัยไอ้เอ็ดคงต้องโหยหวนต่อไปเพราะเขาหย่อนขนมเค้กกลมๆมีรูตรงกลางนั่นใส่ลงไปในถุงผ้านั่นแทน
วันต่อมาเขาก็ต้องขมวดคิ้วอีกรอบเพราะขนมบัมกุเฮนยังอยู่ในนั้นไม่ไปไหน แถมเขียนโพสอิสกลับมาว่าเขาลืมขนมเอาไว้อีกต่างหาก เขาทั้งฉุนทั้งขำ คนอะไรใจดีเขียนโพสอิสบอกด้วยว่าลืมของไว้ ทั้งที่คนอื่นเขาตั้งใจจะให้แท้ๆ
เลยตัดสินใจซื้อโพสอิสมาเขียนแปะกลับไป กลังจากนั้นกลายเป็นว่าเขาติดการเขียนโพสอิสไปเลย ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าเมื่อไร แต่แค่รู้อีกทีก็จะต้องมีโพสอิสกับขนมเล็กๆน้อยๆติดกระเป๋าหรือรถยนต์เสมอ
จะเรียกว่า...กลายเป็นความเคยชินก็เป็นได้ละมั้ง
“น้องเป…” เขาว่ากำลังจะเอาถุงผ้าไปคืน เห็นน้องเปเปเดินผ่านเข้าโรงอาหารกลางไป ไปหยุดอยู่ที่โต๊ะติดเสาตัวหนึ่ง เห็นมีคนนั่งอยู่ น่าจะเป็นเด็กหนุ่มแต่ทำไมถึงตัวเล็กขนาดนั้นนะ สูงกว่าเปเปไม่กี่เซนติเมตรเองนะนั่น
อะไรดลใจให้เขาเดินตามไปนั่งอยู่ที่โต๊ะข้างเสาอีกฝั่งหนึ่งแทน ภาพตอนนี้คือเขากำลังนั่งอยู่ฝั่งซ้ายโดยมีเสาขั้นกลาง และทางขวาเป็นโต๊ะที่เปเปเพิ่งนั่งลงไป
“วันนี้เป็นไงบ้าง” เสียงทุ้มฟังดูรู้ว่าเป็นผู้ชายถามขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ก็เอาไปให้เหมือนเดิม พี่นาฏยก็รับไปปกติ”
“ดีจัง”
“แล้วเมื่อไรเจ้าจะเอาไปให้เองบ้าง”
เขาไม่ได้รังเกียจเพศที่สามหรือความรักระหว่างเพศเดียวกัน แต่ก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเขารู้สึกอย่างไรตอนนี้ เขาไม่ได้เบี่ยงเบน ไม่เคยคิดชอบผู้ชายมาก่อน
“ไม่เอาหรอก”
“ทำไมล่ะ พี่นาฏยเขาไม่รังเกียจหรอก”
“งื้อ...เราพอใจแบบนี้ดีกว่า เราไม่หวังให้พี่นาฏยมาชอบผู้ชายหรอก ให้พี่นาฏยเป็นพี่นาฏยแบบนี้ละดีแล้ว พี่นาฏยเหมาะกับสังคมที่เพรียบพร้อมไม่ควรจะต้องมาเจอคำครหาว่ามีผู้ชายมาชอบหรืออะไรพวกนี้หรอก”
เสียงทุ่มนุ่มรื่นหูเอ่ย เขายังลอบระบายยิ้มบางๆกับคำพูดอีกฝ่าย ประโยคที่ไม่ได้แฝงไปด้วยความเห็นแก่ตัวที่จะทำให้เขารับรู้ความสึก เจ้าตัวมีเพียงความรู้สึกดีๆให้เขาจริงๆ
ความรู้สึกเขาตอนนี้คือ...เด็กคนนี้น่ารัก ใจดี เข้าใจคนอื่น
...ทำให้เขา…
...อยากจะลองรู้จักขึ้นมา…
ความร้อนในโรงยิมทำให้เขาค่อนข้างหงุดหงิดพอสมควร ไม่รู้ทำไมพวกไอ้เอ็ดมันด์มันถึงอยากเล่นบาสอะไรตอนกลางวันขึ้นมา เสียงเอี๊ยดอ๊าดของรองเท้าผ้าใบเสียดสีกับพื้นโรงยิม เขาเทคตัวขึ้นรีบาวน์ลูกบาสสีส้มแข่งกับไอ้เอ็ดมันด์ ในกลุ่มทุกคนตัวไล่เลี่ยกัน เอ็ดมันด์ตัวใหญ่สุดด้วยความที่มันเป็นลูกครึ่ง รองลงมาที่ไล่กับมันคือตัวเขาเองที่ก็สูงเฉียดๆร้อยเก้าสิบ ที่เหลือก็เป็นไอ้เตเตและคนอื่นๆ
ระหว่างที่กำลังฟัดกับลูกบาสในสนาม นัยน์ตาคมเหลือบไปเห็นร่างสามร่างที่กำลังเดินเข้ามา พอเห็นชัดในระดับสายตามองเห็น ร่างเล็กๆที่สูงกว่าน้องสาวเพื่อนสนิทเขาไม่เท่าไร เขาลอบยิ้มกับใบหน้าตื่นๆของอีกฝ่ายไม่ได้ เจ้าตัวดูเหมือนกระต่ายแคระขี้ตื่น
นากยไม่เคยมองผู้ชายหรือชอบผู้ชายมาก่อน แต่เขาคิดว่าใบหน้าขาวๆแก้มยุ้ยๆเหมือนกระต่ายก็ดูน่ารักดีเหมือนกัน รวมถึงตากลมโตสุกใสคู่นั้นก็ดึงดูดสายตาเขาไม่น้อย โดยรวมแล้วเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้หน้าตาดีมากจนคนมองเหลียวหลังแต่ก็จัดว่าดูได้ไม่เบื่อ
เมื่อกระต่ายแคระเดินหาถึงที่ขนาดนี้...เห็นที...เขาคงต้องเคลื่อนไหวอะไรบ้าง
....เดี๋ยวคนอื่นเขาจะหาว่า สิงห์ใต้ อย่างเขาไร้น้ำยา…[/i]
นาฏยยืนนิ่งๆ จนร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้าเริ่มสะอื้นเบาๆ เขาลอบหายใจเฮือกใหญ่ จันทร์เจ้ายิ่งใจเสีย
“ผมขอโทษจริงๆครับ จะไม่ทำอีกแล้ว” เขากล่าวซ้ำ “ผมขอตัวครับ” รู้แค่ว่าถ้าก้าวขาออกไป ทุกอย่างที่ผ่านมาจะเป็น
เพียงแค่ความทรงจำดีๆที่เขาขอเก็บเอาไว้ หลังจากนี้คงไม่มีอีกแล้ว พี่นาฏยคงไม่พูดกับเขาอีก
...หมับ…
ฝ่ามือใหญ่คว้าเข้่าที่ต้นแขนเล็กๆ ใบหน้าเล็กๆเงยหน้าสบตาอีกฝ่าย “ยังไม่จบ”
อะไรกัน...แค่นี้ยังใจเขายังเจ็บไม่พอใช่ไหม?? เขาจะรับไม่ไหวแล้ว ปล่อยเขาไปเถอะ ขอเวลาให้เขาได้รักษาหัวใจตัวเองบ้าง
“ฮึก...” เขากัดฟันแน่น
“ทำมาเพิ่มอีกกล่องสิ” เสียงทุ้มนิ่งๆ พูดข้างหู ลมหายใจร้อนที่เป่ารดทำให้ขนลุกซู๋
ใบหน้าขาวสะบัดหน้าแดงก่ำ นัยน์ตากลมแดงช้ำขึ้นมองพี่ “ว...ว่าไงนะครับ”
“เฮ้อ...ผมบอกว่าวันหลังทำข้าวกล่องเพิ่มอีกกล่องสิ ใจคอคุณจะให้ผมกินคนเดียวหรือไง?”
“หา...”
โดนดีดหน้าผากดังเป๊าะ มือใหญ่อุ่นจัดจับแก้มกลมๆพลางปาดน้ำตาออกจากแก้มใสอย่างเบามือ “ร้องทำไม?”
“เปล่าครับ” ก็เห็นว่าร้องยอยู่เห็นๆ “แต่...พี่นาฏยให้ผมเลิกทำแบบนี้นี่ครับ”
นาฏยอมยิ้มบางๆ “ใช่ให้เลิกทำมากล่องเดียวไง เปลี่ยนมาทำสองกล่องไง” รู้สึกว่าใจเต้นตุบเหมือนกลับมามีชีวิตใหม่
หมายความว่า…
“ทำไมถึงเข้าใจยากจัง ผมชวนคุณมากินด้วยกันทุกกลางวันไง” พูดเสียงขรึม รู้สึกหูร้อนๆขึ้นมายังไงไม่รู้ ทำไมกระต่ายแคระตัวนี้ถึงเข้าใจอะไรยากเสียจริง ต้องพูดหลายรอบๆ
ร่างเล็กหน้าร้อนเห่อ ก้มหน้างุด ใจเต้นระรัวจนเหมือนจะกระเด็นออกมาข้างนอก “งืออออ” เมื่อกี้เหมือนโดนผลักลงเหวแล้วก็มีมือใหญ่ฉุดขึ้นมา ความดีใจจนปวดแก้มเพราะกลั้นยิ้มแบบนี้คืออะไรกัน
“ขี้แย”
จันทร์เจ้าย่นจมูกแดงๆที่ผ่านการร้องไห้มาใส่อีกฝ่าย “พี่นาฏยใจร้าย”
“หึ” ใครบอกว่าเขาใจดีล่ะ
“ไปกินข้าวได้แล้ว”
มือเล็กๆคว้าเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้ นาฏยมองใบหน้าเล็กเจี๋ยมๆขนต้องอมยิ้ม นัยน์ตากลมกลอกไปมาเหมือนคนไม่มั่นใจ
“พี่นาฏยไม่ได้รังเกียจผมใช่ไหม?”
กระต่ายแคระตัวนี้ยังไม่เก็ทอีกนะ
“คุณคิดว่าไงล่ะ”
“ผม...ชอบพี่นาฏยต่อไปได้หรือครับ?” เขากัดฟันถามออกไป
“แล้ว...” ลุ้นอีกล่ะ “ผมบอกให้คุณเลิกชอบผมตอนไหนล่ะ”
TBC.
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อีพี่มันอ้อย คว่ำรถอ้อยใส่น้อง ไม่บอกว่าชอบหรือไม่ชอบแต่ยังมีน่าไปชวนเขากินข้าวด้วยกันอีกแนะ
อีหมมมมมมมมมมมมมมมมมมมี //เชิญตบอีพี่หมีได้เลยค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามกระต่ายแคระและพี่หมีมาตลอดค่า
ขอบคุณทุกการติดตามค่า
เลิฟ
รักน้องเจ้าบวกเป็ด ปลื้มพี่นาฏยคอมเม้นโลดค่า
ปล. อีกหนึ่งเรื่องของคนเขียน วณิพกพเนจร ไปตามได้
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55317.0
ปล.สอง. แวะเวียนไปคุยกันได้นะค่า
https://www.facebook.com/airin.arpo/?fref=ts
ปล.สาม. เรื่องรักตามสั่งเป็นเรื่องสบายๆคลายเครียด ฟีลกู๊ด น่ารักๆ การดำเนินเรื่องอาจจะเรื่อยๆเอื่อยๆไปบ้าง ขอต้องขออภัย
คนอ่านที่ชอบความตื่นเต้นหรือเรื่องที่ซับซ้อนนะค่า เรื่องนี้เราตั้งพลอตไว้แบบเป็น สไลด์ออฟไลฟ์ อยากให้ทุกคนได้สัมผัสถึง
ชีวิตตัวละครจริงๆ เวลาเขียนเราค่อนข้างใส่ความรู้สึกของมนุษย์จริงๆเข้าไป
คืออยากให้ลองนึกว่าพี่นาฏย น้องเจ้าและตัวละครทุกตัวเป็นคนจริงๆ ใช้ชีวิตอยู่เหมือนพวกเรานี่ละค่ะ เวลาเราเขียนเรานึกถึงว่าถ้าพี่นาฏยเป็นเพื่อนเรา น้องเจ้าเป็นน้องชายเรา เขาจะรู้สึกแบบไหนกันนะตอนนี้ เราเขียนให้ตัวละครเราค่อนข้างเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นครอบครัวที่ใช้ชีวิตอยู่กับเรา เพราะฉะนั้นเนื้อเรื่องเลยจะเป็นการดำรงชีวิตของคนคนหนึ่งนะค่า
ปล.สี่. อยากจะให้ทุกท่านติดตามชีวิตของพี่นาฏยกับน้องเจ้าไปด้วยกันกับเรานะค่า