บทที่13 (13.1)
“ทำอะไรกันน่ะ?!” เสียงเข้มๆที่ถามขึ้นทำให้จันทร์เจ้าใจตกไปอยู่ตาตุ่ม
มีคนมาเจอแล้ว!
พี่นาฏย!
ไม่จริงน่า!
“เฮียเต…” เสียงเพื่อนสาวครางเสียงอ่อย ก่อนเจ้าตัวจะถอนหายใจเฮือก “นึกว่า…”
“นึกว่าใคร?” เตเตที่เดินเข้ามามองหน้าจันทร์เจ้าสลับกับน้องสาวตัวเอง ก่อนจะก้มมองในมือของน้องสาวที่มีถุงผ้าหน้าตาคุ้นๆอยู่
มันเหมือน...ถุงผ้ากล่องข้าวของเพื่อนเขา
“อย่าบอกนะว่า…” ชายหนุ่มแปลกใจระคนตกใจเล็กน้อย หากเขาเดาไม่ผิด “คนที่ส่งข้าวกล่องให้ไอ้นาฏยผ่านเปคือ…” เขาไม่ได้เอ่ยออกมา แต่แค่นี้ก็คิดว่าเขาเดาถูกต้องทั้งหมด
ใบหน้าของรุ่นน้องหนุ่มคนละคณะที่ฉายแววตกใจระคนกลัวๆกันไปทำให้เตเตยิ้มอ่อนๆ
“พี่เต...ผม…” คนถูกจับได้ไปต่อไม่ถูก กลัว...กลัวว่าอีกฝ่ายจะเอาไปบอกเพื่อนสนิทตัวเอง กลัว...กลัวว่าอีกฝ่ายจะรังเกียจเรื่องที่เขาแอบชอบพี่นาฏย
เตเตมองรุ่นน้องที่ดูตื่นตระหนก “ใจเย็นๆเจ้า พี่ไม่ได้ว่าอะไร” เขาไม่ได้ไม่พอใจหรือรังเกียจรุ่นน้องคนนี้ มีแปลกใจนิดหน่อยที่อีกฝ่ายคือคนที่มาแอบชอบเพื่อนของเขา
“พี่เต ผมขอร้อง...อย่าเพิ่งบอกพี่นาฏยได้ไหมครับ?” เขาจะร้องไห้ ขอบตาร้อนผ่าว หากพี่นาฏยจะรู้ความจริง เขาอยากจะเป็นคนไปสารภาพด้วยตัวเอง ไม่อยากให้รู้จากคนอื่น
“ได้สิ”
จันทร์เจ้าค่อยๆคายกังวลเมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็นมั่นเป็นเหมาะ “ขอบคุณมากครับ”
“พี่เอาใจช่วย” เขาไม่ได้รังเกียจเรื่องแบบนี้ แต่เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนสองคน เขาแค่เพียงมองอยู่ห่างๆเท่านั้น
จันทร์เจ้าพ่นลมหายใจออกทางปาก เหมือนว่าจะโล่งใจ แต่ความหนักอึ้งในใจก็ไม่ได้จางหาย
เปเปบีบไหล่เพื่อนเบาๆ เธอทั้งตกใจทั้งตื่นตระหนกพอๆกับเพื่อนชายนั่นแหละ แต่พอรู้ว่าเป็นพี่ชายตัวเองที่มาเจอก็โล่งใจไป
“วันนี้อยู่ที่โรงอาหารคณะ ไปสิ” รุ่นพี่คณะประมงยิ้ม น้องสาวเจ้าตัวรีบเดินตีคู่ไปด้วย
จันทร์เจ้าจ้องมองทั้งสองคนเดินลับหายไปด้วยความรู้ที่บอกไม่ถูก บอกได้แค่ว่าเขายังไม่สบายใจอยู่ดี มันทำให้รู้สึกว่าเขาเข้าหน้าพี่ชายของเพื่อนไม่ค่อยติดอย่างไรก็ไม่รู้สิ
“เฮ้อ~”
อชิระมองเพื่อนสนิทที่นั่งเหม่อ เอาแต่ถอนหายใจมาได้สักพักหลังจากกลับมานั่งที่เดิม
“เป็นห่าอะไรวะ ทำหน้าเป็นหมาหงอยไปได้”
จันทร์เจ้าไม่ได้ใส่ใจคำพูดถากถางของอีกฝ่ายเท่าไร ไม่มีกะจิตกะใจจะมาตอบอะไรทั้งนั้นแหละ
“เอ้า ไอ้นี่ ถามไม่ตอบ” อชิระขมวดคิ้ว มันไปเจออะไรมาถึงได้ทำหน้าเป็นไอ้บุญหลง หมาจรของคณะข้างๆไปได้ หรือว่า…
“เมื่อกี้มึงไปส่งข้าวมา พอกลับมาก็ทำหน้าเป็นบุญหลงโดนยาเบื่อ” อย่าบอกว่าสิ่งที่เขากำลังเดาและจะพูดต่อไปนี้เป็นความจริง
“พี่นาฏมาเห็นมึงพอดี”
ต่อไปนี้ชาวบ้านไม่ต้องกราบไหว้สิ่งศักดิ์ ของแปลก ของเด็ด เจ็ดย่านน้ำแล้วละ มากราบไหว้ไอ้อัชนี่ละ ถูกหวยตอลดชาติชัว
“อืม~” เสียงเล็กพึมพำยานคาง
นัยน์ตาคมของร่างสูงฉายแววงงงวย แล้วทำไมไอ้เจ้าทันถึงได้หงอยขนาดนี้ หรือว่ามันโดนพี่นาฏยด่าอะไรมา แต่จากที่เขาเคยคุยด้วย พี่นาฏยไม่น่าจะทำแบบนี้กับเพื่อนเขา
“เฮ้ย มึงเอาดีๆ พี่นาฏยมาเห็นหรอ”
“ไม่ใช่พี่นาฏย”
“งั้นคนอื่น?” อชิระเลิกคิ้ว
หน้าขาวแก้มกลมพยักหน้าเนือยๆ “พี่เตมาเจอน่ะ”
อชิระนึกไปถึงรุ่นพี่คณะเดียวกับนาฏย เป็นพี่ชายของเพื่อนที่อยู่คนละสาขา “แล้วพี่เขาว่าอะไรมั้ย?”
คนโดนถามส่ายหน้า “ไม่ได้พูดอะไร พี่เขาสัญญาว่าจะไม่บอกพี่นาฏยตอนนี้”
อชิระพรูลมหายใจออกจากปาก อย่างน้อยเพื่อนเขาก็ยังไม่ถูกจับได้ เขาคันปากอยากจะบอกว่าความจริงแล้วนาฏยอาจจะคิดตรงกันกับเพื่อนตัวเล็กของเขาอยู่ก็ได้ แต่ที่ยังไม่พูดเพราะว่าไม่อยากให้เพื่อนคิดเข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียว หากสุดท้ายแล้วเรื่องทั้งหมดไม่เป็นอย่างที่คิด คนที่จะเจ็บที่สุด...ก็ไม่พ้น...เพื่อนของเขาเอง
แล้วอย่างนี้จะให้เขาพูดออกไปแล้วทันย้อนกลับมาทำร้ายเพื่อนตัวเองละก็ เขาเลือกที่จะอยู่เงียบๆ ปล่อยให้มันเป็นไปตามครรลองของมันเถอะ
...แต่…
เขาก็หวังว่าพี่นาฏยจะเป็นคนรักษาสัญญาพอที่จะทำตามในสิ่งที่เคยพูดกับเขาไว้
วันนั้นทั้งวันจันทร์เจ้าดูไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเท่าไร เรียนเลคเชอร์ก็ไม่ค่อยจะเข้าสมอง เพื่อนเรียกก็เหม่อบ้างบางครั้งจนอชิระต้องตบหัวเรียกสติอยู่หลายครั้ง
...ผลุบ…
เสียงกดบ่าหนักๆข้างขวาทำให้เจ้าของไหล่สะดุ้ง หันไปมองข้างหลัง
“ฮัลโหลว” หน้าตาก็ฝรั่งจ้า แต่สำเนียงเซย์ฮัลโหลวนี่มันไม่ได้เสี้ยวของฝรั่งสักนิด
“พี่เอ็ด…” จันทร์เจ้าครางในลำคอเบาๆ เหลือบมองไปก็ต้องกลืนน้ำลายเพราะว่าถัดไปก็เห็นคนที่ยังไม่อยากเจอหน้าอีก ทั้งพี่นาฏยและพี่เตเต
มันบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนไมีกล้าสู้หน้าอย่างไรก็ไม่รู้
นาฏยส่งสายตาคมดุไปให้แต่กลับเห็นเจ้ากระต่ายแคระหลุบตากลมๆลงไปไม่ยอมมองตอบ ทั้งใบหน้าที่ดูไม่สดใสทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว
กระต่ายแคระเป็นอะไร?
หรือยังแฮงค์ไม่เลิก?
“เป็นอะไร?” เสียงทุ้มติดดุดังบนศีรษะทำให้จันทร์เจ้าต้องเงยหน้าไปมอง “ยังปวดหัวเพราะแฮงค์อยู่หรือ”
คนโดนทักพูดไม่ออก นัยน์ตากลมโตเหลือบมองร่างสูงไล่เลี่ยกันของรุ่นพี่ซึ่งเป็นพี่ชายของเพื่อนตัวเอง ฝ่ายนั้นยังคงนิ่งเฉยไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา พี่นาฏยก็ดูปกติไม่ได้แปลกไปแต่อย่างใด
แสดงว่า...พี่เตเตไม่ได้บอกพี่นาฏยจริงๆตามที่พูดเอาไว้ จันทร์เจ้าผงกหัวน้อยๆให้กับอีกฝ่ายเป็นเชิงขอบคุณ
...ขอบคุณที่ยังทำให้เขายังอยู่ใกล้พี่นาฏยได้อีกสักพัก…
“ไง ไม่ตอบ” นิ้วแข็งแรงจิ้มหน้าผากมนเบาๆ
“ไม่ได้แฮงค์สักหน่อยครับ” พอรู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหน่อย ก็มีอารมณ์ตอบโต้คนรอบข้างตามปกติ
“หึ” มาอีกแล้วไอ้ ‘หึ’ เนี่ย อยากจะขอซื้อต่อจริงๆ
“หยุดสวีทกันก่อนคร้าบบบบ” เสียงแซวยานคางดังมาจากหนุ่มลูกครึ่งเมืองผู้ดีคนเดิม
จันทร์เจ้ารีบเขยิบออกห่างร่างสูงที่ยืนค้ำอยู่อย่างรวดเร็ว ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมา นาฏยเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำเพียงแค่ส่งสายตาดุไปให้เพื่อนสนิทตัวเองเท่านั้น
“เออ ไอ้อัช อาทิตย์หน้าว่างไหม ไอ้โอชวนไปเลี้ยงที่ไปช่วยโปรโมทค่ายอาสาของมันน่ะ” เตเตบอกจุดประสงค์
ยังพอจำพี่โอแห่งค่ายค่ายอาสาที่พวกเขาเคยไปช่วยทำอยู่ได้ไหมครับ
“วันไหนพี่”
“วันเสาร์”
อชิระขมวดคิ้วเล็กน้อย “อืม...เสาร์หรอพี่ ผมนัดกับพวกเพื่อนไว้จะไปสวนน้ำกันน่ะครับ แต่ยังไม่รู้ยังไง รอไอ้เจ้าตัดสินใจเนี่ยว่ามันจะไปไหม”
“อ้าวหรอ สวนน้ำหรอวะ…” เอ็ดมันด์ตบเข่าฉาด “เชี่ย! น่าสนใจกว่าไปดวลเหล้ากับไอ้โอเป็นไหนๆ” แน่นอนว่าสำหรับผู้ชายวัยอย่างเขาแล้ว การไปดื่มด่ำกับสาวๆชุดว่ายน้ำ เอ๊ย การว่ายน้ำดูกระฉุ่มกระชวยมากกว่าการไปหมกตัวอยู่ในร้านเหล้าแน่นอน
“ไปไหมพี่?” อชิระลองชวน พวกเพื่อนเขาก็พอเห็นหน้ากลุ่มเอ็ดมันด์มาบ้าง ชวนไปด้วยคงไม่เสียหาย อีกอย่างผู้ชายไม่คิดอะไรมากกันหรอก เดี๋ยวแปปๆก็สนิทกันไปเองแหละ
“กูสนนะ” หันไปพยักเพยิดกับเพื่อน “พวกมึงละ ไปไหม?”
“แล้วแต่ กูยังไงก็ได้” เตเตหยักไหล่ เขายังไงก็ได้อยู่แล้ว
“มึงละไอ้นาฏย”
นาฏยยืนเงียบ เขาไม่ได้ตอบอะไรเพื่อนสนิท แต่กลับไปถามอีกคนแทน “คุณไปหรือเปล่า?”
จันทร์เจ้าเกิดอาการงงงวย พี่นาฏยถามเขาทำไม “ทำไมครับ?”
“ไปหรือเปล่าละ สวนน้ำ…”
“อ่อ ผมดูก่อนนะครับเพราะอาจจะไม่ว่าง”
“อืม…”
“เจ้าขาตื่นๆ” เสียงปลุกพร้อมแรงเขย่าทำให้จันทร์เจ้าที่นอนขดอยู่บนเตียงต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ หน้าตางัวเงีย ผมยังยุ่งเหยิงไปหมด
“อะไร?” เขาถามเสียงยานคาง มาปลุกอะไรตอนนี้เนี่ย นาฬิกาก็ยังไม่ปลุกสักหน่อย
“ตัวจะไปสวนน้ำนี่” จันทร์เอ๋ยเตือนสติ เมื่อสองสามวันก่อน ฝาแฝดมาขอกับที่บ้านว่าจะไปเที่ยวสวนน้ำซึ่งป๊าม้าก็ไม่ได้ว่าอะไร โดยเจ้าตัวบอกว่าอชิระกับเพื่อนในคณะจะมารับโดยเอารถยนต์ไปคันเดียว
ซึ่งตอนนี้คนมารับก็มาถึงบ้านแล้ว แต่ประเด็นคือไอ้แฝดยังนอนหลับอุตุอยู่
“ช่าย...แต่ไอ้อัชมันนัด9โมงนี่ นี่เพิ่ง8โมงกว่าจะรีบมาปลุกทำไม” เขาใช้เวลาอาบน้ำแปปเดียวเองก็เสร็จ ทำไมเจ้าเอยต้องรีบมาปลุกด้วย
“เออ ไม่รู้แหละ คนเขามารอข้างล่างแล้ว”
จันทร์เอ๋ยลากแฝดน้องตัวเท่าๆกันลุกออกจากเตียงไปทางห้องน้ำ ตลอดทางมีเสียงบ่นงุ้งงิ้งของคนยังไม่ตื่นดีดังตลอดทาง
อาบน้ำเสร็จออกมาก็ไม่เห็นวี่แววของพี่ชายฝาแฝดแล้ว มือขาวๆปิดปากหาวหวอดคว้ากระเป๋าเป้ที่ใส่ของเตรียมไว้เรียบร้อยทั้งกางเกงว่ายน้ำขาสั้น ครีมกันแดด ถึงจะเป็นผู้ชายแต่ว่าการใช้ครีมบ้างก็ไม่แปลก เขาไม่อยากเป็นมะเร็งผิวหนังเพราะรังสียูวีจากแดดประเทศไทย มีเสื้อผ้าเปลี่ยนอีกชุด นอกนั้นก็ของเล็กๆน้อยๆ
“ม้าทำแซนวิชไว้ด้วย เดี๋ยวเอาไปกินด้วยสิ”
เสียงหม่าม้าดังขึ้นมาระหว่างที่ขาเล็กกำลังก้าวลงบันไดขั้นสุดท้าย แต่เสียงที่ดังผสมขึ้นมาทำให้ต้องขมวดคิ้ว
...เสียงไอ้อัช?...
...ทำไมฟังดูแปลกๆ…
ไม่เหมือนเสียงไอ้อัช ฟังดูเหมือนเสียง...ใครอีกคนมากกว่า แต่ไม่กล้าฟันธง คนคนนั้นจะมาอยู่บ้านเขาตอนแปดโมงกว่าๆได้ไง ไม่มีทาง!
TBC.
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
มีคนมารับน้องเจ้าขาาาาแล้วจ้าาาาา 
รักน้องเจ้าบวกเป็ด ปลื้มพี่นาฏยคอมเม้นโลดค่า
ปล. วณิพกพเนจรก็มานะค่า ไปตามได้
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55317.0
ปล.สอง. แวะเวียนไปคุยกันได้นะค่า
https://www.facebook.com/airin.arpo/?fref=ts
ปล.สาม. เรื่องรักตามสั่งเป็นเรื่องสบายๆคลายเครียด ฟีลกู๊ด น่ารักๆ การดำเนินเรื่องอาจจะเรื่อยๆเอื่อยๆไปบ้าง ขอต้องขออภัย
คนอ่านที่ชอบความตื่นเต้นหรือเรื่องที่ซับซ้อนนะค่า เรื่องนี้เราตั้งพลอตไว้แบบเป็น สไลด์ออฟไลฟ์ อยากให้ทุกคนได้สัมผัสถึง
ชีวิตตัวละครจริงๆ เวลาเขียนเราค่อนข้างใส่ความรู้สึกของมนุษย์จริงๆเข้าไป
คืออยากให้ลองนึกว่าพี่นาฏย น้องเจ้าและตัวละครทุกตัวเป็นคนจริงๆ ใช้ชีวิตอยู่เหมือนพวกเรานี่ละค่ะ เวลาเราเขียนเรานึกถึงว่าถ้าพี่นาฏยเป็นเพื่อนเรา น้องเจ้าเป็นน้องชายเรา เขาจะรู้สึกแบบไหนกันนะตอนนี้ เราเขียนให้ตัวละครเราค่อนข้างเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นครอบครัวที่ใช้ชีวิตอยู่กับเรา เพราะฉะนั้นเนื้อเรื่องเลยจะเป็นการดำรงชีวิตของคนคนหนึ่งนะค่า
ปล.สี่. อยากจะให้ทุกท่านติดตามชีวิตของพี่นาฏยกับน้องเจ้าไปด้วยกันกับเรานะค่า