บทที่ 8 (8.1)
“เจ้าชอบกินอะไร?” เสียงนิ่มของคุณหญิงถามอย่างใจดี ขณะที่เขากำลังช่วยหั่นผักเคียง ส่วนยายน้อมและพี่กิ๊งที่เขาเพิ่งเจอ ซึ่งเป็นแม่บ้านอีกคนของที่บ้านกำลังจัดจานเตรียมลำเรียงออกไปตั้งโต๊ะ
วันนี้คุณหญิงทำเกือบทั้งหมด ทั้งกุ้งผักสะตอ แกงเหลืองมะละกอ มีแค่ไข่เจียวหมูสับและผัดผักที่เขามีส่วนร่วมในการช่วยผัดเท่านั้น ส่วนการปรุงนั้นยกเป็หน้าที่ของคุณหญิงไป
จันทร์เจ้านิ่งไปนิด “ก็คงกระเพรามั้งครับ” อาหารสิ้นคิดแต่รสชาติไม่สิ้นคิดตามนะ อย่าดูถูก ไม่งั้นไม่ติดอันดับอาหารยอดฮิตของคนไทยหรอก
“หรอ แล้วชอบกินเผ็ดไหม?” แม่ถามต่อ ขณะที่มือก็คนแกงเหลืองมะละกอในหม้อไปด้วย
“ก็พอได้ครับ แต่ถ้าเผ็ดมากก็ไม่ไหวครับ”
“ไม่เหมือนพี่นาฏยเลยเนอะ รายนั้นนะ ยิ่งเผ็ดยิ่งชอบ ยิ่งอาหารใต้เผ็ดท้องทะลุนี่ของโปรด ทั้งที่บ้านก็คนจีน แต่ดันไม่ชอบอาหารจีน บอกมันๆเลี่ยนๆ” คุณหญิงหัวเราะเบาๆเมื่อพูดถึงลูกชายคนเล็กหน้านิ่ง
จันทร์เจ้าหัวเราะเบาๆ เห็นจะจริงที่พี่นาฏยชอบกินเผ็ดเพราะถ้าเป็นเมนูข้าวกล่องที่ใส่พริกละก็ พี่นาฏยชแบบเผ็ดๆพริกเยอะๆ
“ไม่แสบท้องหรือไงนั่น” พึมพำเบาๆ
“เสร็จแล้ว” คุณหญิงคนคนแกง “ยายน้อมฝากตักใส่ชามด้วยจ้า”
ยายน้อมรีบย้ายร่างท้วมๆมายืนหน้าเตาแทน หลังจากร่างสมส่วนของคุณหญิงบอกให้จันทร์เจ้าล้างไม้ล้างมือ เตรียมกินข้าว
คุณหญิงและจันทร์เจ้าเดินมามี่โต๊ะอาหาร แต่ไม่เห็นร่างสูงใหญ่ของนาฏยเลย
“สงสัยดูหนังอยู่ห้องนั่งเล่น เจ้าไปตามพี่เขาให้แม่หน่อยได้ไหม?”
คนตัวเล็กพยักหน้า เดินไปที่ห้องนั่งเล่นแทน ตากลมโต้ห็นร่างสูงใหญ่นอนถอดไปกับความยาวของโซฟา ดวงหน้าเข้มห้นข้างจ้องมองไปที่โทรทัศน์ฝังผนัง เสียงข่าวช่วงเย็นๆของช่องโทรทัศน์ดังลอดออกมา
จันทร์เจ้าเผลอจ้องมองนานไปหน่อยจนต้องดึงสติตัวเองกลับมา ใครจะไปคิดว่าจะมีโอกาศมาได้เห็นคนที่ปลื้มที่ชอบถึงในบ้านของเจ้าตัวกัน ไม่เคยคิดว่าจะได้ใกล้ชิดขนาดนี้ ถึงแม้จะเป็นในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องก็ตาม
...ขอบคุณนะครับพี่นาฏย…
“เอ่อ…” เสียงทุ้มนุ่มของคนตัวเล็กเอ่ยเบาๆ นาฏยหันมามองตามต้นเสียง
ร่างเล็กยืนเกาะขอบวงกบกั้นห้องนั่งเล่น “ว่าไง เสร็จแล้วหรือ?” นาฏยถาม เขาเข้าไปดูความวุ่นวายในครัวแล้วรอบหนึ่ง แต่ว่าดูไม่มีใครอยากได้ความช่วยเหลือจากเขาเท่าไร เลยตัดสินใจมานั่งรอดูโทรทัศน์แทนเพื่อฆ่าเวลาทั้งที่ท้องเริ่มร้องประท้วงบ้าง
“ครับ เอ่อ...คุณแม่...ให้มาตามไปกินข้าวครับ” ใจเต้นตึกตัก ปากสั่นน้อยๆ นี่มันเหมือนในละครเวลาภรรยามาตามสามีไปกินข้าวอย่างไรอย่างนั้น
...ปัญญาอ่อนล่ะ หยุดคิดเรื่องไร้สาระ!”
จันทร์เจ้าบ่นตัวเองในใจ ไม่ให้คิดเรื่องเพ้อเจ้ออะไรอีก
“ไปสิ” ร่างสูงปิดโทรทัศน์ ผุดลุกขึ้นยืนบิดคลายความเมื่อยล้าเล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่ห้องอาหาร
โต๊ะอาหารสำหรับแปดคนนั่งตัวยาวมีจานอาหารหน้าตาน่ากินอยู่ กลิ่นหอมๆของเครื่องเทศและวัตถุดิบฟุ้งไปทั่ว นัยน์ตาคมเห็นแล้วว่ามีอาหารที่เขาชอบอยู่สองอย่าง
“นั่งเลยลูก” คุณหญิงที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเรียก นาฏยนั่งลงฝั่งขวามือแม่ตัวเอง แต่จันทร์เจ้าแอบละล้าละลังเพราะว่าจานเปล่าที่วางเตรียมไว้สำหรับเขานั้นถูกว่าอยู่ข้างๆนาฏยพอดี
...งุย…
ได้นั่งข้างพี่นาฏยด้วย แต่...อย่างนี้เขาว่าเขาไม่ได้กินข้าวแน่นอนเพราะมัวแต่ตื่นเต้นแน่ๆ
สุดท้ายในเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่ค่อยๆทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างๆคนตัวใหญ่ แม้จะไม่ได้เบียดแต่ด้วยความที่พี่นาฏยค่อนข้างตัวโตเลยทำให้แขนแกร่งเลยมาทางเขาบ้างบางครั้ง
“ลงมือเลยลูก เดี๋ยวอาหารเย็นหมด” เมื่อคุณหญิงเปิดงาน นาฏยก็เริ่มตักอาหารให้มารดาก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะหันมาบริการแขกตัวเล็กที่นั่งข้างๆ
ถ้วยแกงเหลืองมะละกอขนาดพอดีวางลงตรงหน้าเขาพอดิบพอดี “ชิมนี่สิคุณ แม่ผมทำอร่อยนะ”
“ขอบคุณครับ” จันทร์เจ้ายิ้มให้ ในใจเต้นแรงด้วยความดีใจ
เสียงช้อนซ้อมกระทบกันระหว่างมื้ออาหาร เสียงสนทนาระหว่างคุณหญิงและลูกชายดังคลอไปด้วย
“น้องเจ้าไหวไหมลูก ปากแดงเชียว” คึณหญิงทัก เมื่อใบหน้าขาวๆขึ้นสีเรื่อ ริมฝีปากเล็กๆแดงเจ่อ
“แหะๆ...เผ็ด...นิดหน่อยครับ” แกงเหลืองมะละกอเผ็ดกว่าที่เขาคาดไว้เยอะเลย ขนาดกินผัดผักสลับกันแล้วยังไม่ค่อยช่วยเลย เขาเห็นพี่นาฏยตักเอาๆ คนนี้ๆท้องไส้ไม่ทะลุหรือไงกันนะ
“โธ่ ไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนนะลูก นาฏยตักไข่เจียวให้น้องหน่อย”
มือใหญ่ตักไข่เจียวพอดีคำวางลงบนจานข้าวของคนข้างๆ “ไหวไหมคุณ?”
เสียงทุ้มรื่นหูทำให้ร่างเล็กพยักหน้า “ครับ” ปากเล็กแสบนิดหน่อยเลยเผลอซี้ดปาก
“กินนมไหม ลดเผ็ด” คนตัวโตไม่รอคำตอบ ลุกขึ้นไปทางห้องครัว สักพักหนึ่งกลับออกมาพร้อมนมจืดหนึ่งถ้วย “ดื่มซะ จะได้หายเผ็ด”
จันทร์เจ้าพยักหน้าขอบคุณงุดๆ ก้มหน้ารับแก้วมาถือไว้ก่อนจะดื่มช้าๆ
คุณหญิงยิ้มๆกับคนตัวเล็กที่เหมือนเด็กๆแอบกินของเผ็ด “วันหลังกินไม่ไหวอย่าฝืนนะลูก”
“ครับ ถึงเผ็ดแต่ก็อร่อยมากๆเลยครับ” เขาไม่ได้ยอแต่เพราะอร่อยจริงๆเลยไม่ได้สนใจความเผ็ดสักนิด
พอผ่านพ้นมื้ออาหาร ของหวานเป็นผลไม้สดล้างปากก็เรียบร้อยแล้ว นั่งคุยเล่นกับคุณหญิงอีกเล็กน้อย จันทร์เจ้าถึงได้เวลากลับบ้าน
“แล้วมาใหม่นะลูก” มือนุ่มนิ่มลูบไหล่เขาเบาๆ
มือขาวยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนอย่างนอบน้อม “ขอบคุณสำหรับอาหารอร่อยๆครับ สวัสดีครับคุณแม่”
หลังจากล่ำลาเรียบร้อย รถยนต์คันสวยก็แล่นออกจากบ้านโดยมีคนขับเป็นนาฏยและคนนั่งก็เป็นจันทร์เจ้าเหมือนเดิม
“วันนี้ขอบคุณนะครับ” จันทร์เจ้านึกได้ว่ายังไม่ได้ขอบคุณรุ่นพี่
“อืม ไม่เป็นไร”
หลังจากนั้นก็ไม่มีสนทนาใดอีกนอกจากเสียงเพลงคลาสสิกแผ่นเดิมเปิดเล่นวนไปมา จนผ่านไปพักใหญ่รถยนต์ก็มาจอดถึงหน้าปากซอยบ้านเขาเหมือนเดิม
จันทร์เจ้ากำลังยุ่งกับการปลดสายรัดเข็มขัด อยู่ๆปากก็โดนบางสิ่งกระแทกเบาๆ
“ถ้ายังเผ็ดอยู่เอานี่ไปอมสิ” ของในมือนาฏยคือลูกอมจูปาจุ๊บรสโคล่าสีน้ำเงิน
“อ้ะ!” ลูกอมรสอร่อยตีปากเล็กๆเบาจนเจ้าของตกใจ
“เอาไปสิ” รอยยิ้มมุมปากกับนัยน์ตาคมดุทำเอาร่างเล็กใจสั่น มือขาวถือจูปาจุ๊บไว้แน่นราวกับจะช่วยให้คลายความตื่นเต้น
“ข...ขอบคุณครับ” จันทร์เจ้าตะกุกตะกัก รู้สึกเหมือนเลือดจะสูบฉีดแรงไปหน่อย หน้าเขาถึงได้รู้สึกร้อนขนาดนี้
“กินแล้วอย่าลืมแปรงฟันก่อนนอนนะ” พูดเสร็จเจ้าของรถก็ค่อยๆขับออกไป ปล่อยให้จันทร์เจ้าอ้าปากค้างกับจูปาจุ๊บรสโคล่าอยู่หน้าปากซอยคนเดียว
“เล่ามา” เสียงเซ้าซี้ของเพื่อนสนิททำเอาจันทร์เจ้าเดินหนี
“อะไร” ขาเล็กก้าวถี่ๆแต่ก็สู้เพื่อนขายาวไม่ได้อยู่แล้ว เสียเปรียบเห็นๆ
“วันนั้นทำไมพี่นาฏยมารับมึง” ใครๆในคณะก็เป็นพยานได้ว่าเห็นเดือนประมงถ่อมารับเพื่อนเขาถึงหน้าคณะ
“ไม่มีอะไร คุณแม่พี่นาฏยชวนไปกินข้าวเฉยๆ” เขาทำปากขมุบขมิบ
อชิระขมวดคิ้ว เพื่อนเขามันไปสนิทกับพี่นาฏยของมันได้ยังไงจนถึงขั้นไปกินข้าวกับแม่อีกฝ่ายได้ ทุกทีเห็นแต่หดหัวในกระดองไม่กล้าทำความรู้จัก พอรู้จักทีไปไกลกว่าที่เขาคาดไว้อีก แต่เรื่องแบบนี้จะมองแค่ฝ่ายเพื่อนเขาไม่ได้ ถ้าพี่นาฏยไม่เล่นด้วยก็จบ แต่นี่อะไรพี่นาฏยพาตัวเองเขามาหาเพื่อนเขาตลอดเวลา
...มันต้องมีอะไรแน่ๆ…
“พี่เขาจีบมึงหรอ?” ถามเพื่อนเสัยงเรียบๆ
จันทร์เจ้าสะดุ้งโหยง ส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ไม่มีทาง มึงอย่าพูดบ้าๆ” ไม่มีทางหรอก อย่าให้เขาถลำลึกไปมากกว่านี้
“แล้วมึงสนิทกับเขาถึงขั้นไหนถึงได้ไปกินข้าวกับแม่เขาน่ะ กูถาม”
จันทร์เจ้านิ่งไปนิด “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละมึง เลิกคุยเถอะจะเข้าเรียนแล้ว” ร่างเล็กตัดบทโดยการเดินหนีขึ้นไปเรียน มันไม่ใช่แค่ตัดบทเพื่อนสนิทแต่…
...เป็นการตัดใจไม่ได้คิดไปเองด้วย…
นัยน์ตาของอชิระมองตามร่างเล็กของเพื่อนที่จ้ำพรวดๆ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอนนี้อะไรๆยังไม่ชัดเจน เขาได้แต่หวังว่ามันจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆนะ
“งั้นกูไปก่อนนะ” อชิระบอกลาเพื่อนตัวเล็กที่เอาแต่ยืนอ่านโพสอิสติดข้าวกล่องที่เพิ่งได้มาใหม่
..
.ขอบคุณนะครับ วันนี้ผมซื้อขนมถังแตกมาให้ ไม่หวานมากอร่อยกำลังดี…
นาฏยเขาเดินเอื่อยๆไปตามริมทางเท้าของถนนในมหาลัย ตาก็ส่องลงไปดูในถุงผ้า มีถุงขนมถังแตกอย่างที่เขียนไว้จริงๆ ใบหน้าขาวยิ้มเต็มจนแก้มป่อง ตาหยี ขากำลังจะข้ามไปอีกฝั่งของถนน
“เฮ้ยยย หลบๆๆๆๆ!!!” แต่เสียงจากทางด้านหลังทำให้จันทร์เจ้าสะดุ้ง หันกลับไปเห็นรถมอเตอร์ไซด์กำลังพุ่งมาทางเขา ตัวรถตวัดไปมาเพราะคนขับพยายามบังคับไว้
ร่างเล็กๆตกใจก่อนจะรีบถอยหลังแต่ดันสะดุดฟุธบาทล้มลงไปกองกับพื้น ข้อมือเจ็บแปลบเพราะเอายันตัวไว้ไม่ให้หน้าทิ่มลงไป แต่ด้วยความแรงและน้ำหนักตัวทำให้รู้สึกว่าข้อมือขวาจี้ดขึ้นมา
“โอ๊ยยย!”
ตุบ!
เสียงมอเตอร์ไซด์ล้มลงไปกองกับพื้น ส่วนตัวคนขับเอียงกะเท่เร่ เจ้าตัวรีบลุกขึ้นจับรถตั้งขึ้นก่อนจะดับเครื่อง รีบเดินเข้ามาหาคนที่ล้มกองอยู่กับพื้น
“เฮ้ย! เป็นอะไรเปล่า เราขอโทษ” คนใส่หมวกกันน๊อคถอดทิ้ง ร่างสูงชื้นเหงื่อขอโทษขอโพย ใบหน้าขาวตี๋อินเทรนแบบบอยแบนด์เกาหลี ถ้าสาวๆเจอคงเรียกโอปป้ามีแววเครียดขมึง “พอดีรถเบรคมันไม่ค่อยดี เลยบังคับหยุดไม่ค่อยได้”
จันทร์เจ้าค่อยพยุงตัวขึ้นโดยมีอีกฝ่ายช่วยดึงขึ้นมา ข้อมือขวาเจ็บแปล๊บตลอดเวลาที่ขยับมือ
“โอย…” ครางเสียงแผ่ว ไม่แคล้วว่าข้อมืออาจจะซ้นหรือไม่ก็เคล็ด
“ไปให้หมอตรวจไหม?” อีกฝ่ายมีแววสำนึกผิด
“คิดว่าไม่เป็นไรครับ” จันทร์เจ้าเก็บกระเป๋าขึ้นมามส่ายหน้า ยิ้มแหยๆ
“เอาเป็นว่าไปตรวจหน่อยเถอะ เราจะได้สบายใจ” คนผิดเป็นเดือดเป็นร้อนแทน ใครจะไปคิดว่ารถมอเตอร์ไซด์เขามันจะเกินเยียวยาขนาดนี้ นี่กำลังว่าจะเอาไปอู่พอดี ดันซวยมาเกิดเรื่องก่อน
“ก็ได้” คนตัวเล็กพยักหน้า อย่างน้อยไปให้หมอดูก็ดี
สรุปแล้วพอมาถึงโรงพยาบาลด้วยรถแท็กซี่ ส่วนมอเตอร์ไซด์เจ้าปัญหา เจ้าของหน้าตี๋จอดทิ้งเอาไว้แถวนั้น หมอสรุปว่าข้อมือเขาแค่ซ้นเท่านั้นไม่ได้ร้ายแรงอะไร แค่พันข้อมือไว้ อย่าใช้ข้อมือหนักๆช่วงนี้ อีกสักอาทิตย์ก็คงหาย จันทร์เจ้าเดินออกมาหน้าโรงพยาบาลพร้อมกับหนุ่มหน้าตี๋
“เจ้าอยู่คณะไรหรอ?” หลังจากที่บอกชื่ออีกฝ่ายไป เขาสองคนก็เริ่มทำความรู้จักกัน ไหนๆก็อุตส่าห์มีน้ำใจพามาโรงพยาบาล
“เราหรอ อยู่บริหารน่ะ”
“ปีไหน?”
“ปีหนึ่งน่ะ” จันทร์เจ้าตอบและถามกลับ “อาร์ทล่ะ”
“ปีสอง สถาปัตย์น่ะ” หนุ่มหน้าตี๋เทรนเกาหลีที่ชื่ออาร์ทเป็นรุ่นพี่เขานี่เอง
“พี่อาร์ท…” เมื่อเป็นรุ่นพี่ก็ควรจะให้ความเคารพอีกฝ่าย
“เรียกอาร์ทเฉยๆก็ได้ ไม่ซีเรียส” เจ้าของชื่อยิ้มๆ
“ไม่ได้หรอก” ส่ายหน้าปฏิเสธ
“แล้วเดี๋ยวกลับไง? ให้พี่นั่งแท็กซี่ไปส่งไหม?” อาร์ทถามพลางจะเรียกให้ รปภ ของโรงพยาบาลเรียกรถให้ แต่จันทร์เจ้าส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมกลับเองได้” เขานั่งรถไฟฟ้าจะสะดวกกว่า
“งั้นพี่ไปก่อนนะ จะกลับไปเอารถไปซ่อม แล้วก็ขอโทษจริงเรื่องอุบัติเหตุ” อีกฝ่ายขอโทษขอโพยใหญ่
ร่างเล็กส่ายหน้าโบกมือปากบอกไม่เป็นไร ไม่ได้เจ็บอะไรมากมาย
หลังจากแยกกัน จันทร์เจ้าฝ่าความแน่นของรถไฟฟ้าจนถึงบ้านได้ แม้จะทุลักทุเลไปหน่อยเพราะต้องระวังไม่ให้แขนโดนคนอื่นเบียดก็ตาม
TBC.
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สวัสดีค่า มาตามสัญญาแล้วค่า เอาพี่นาฏยกับน้องเจ้ามาวิ่งเล่นให้ทุกท่านได้อ่าน
หวังว่าจะทำให้ทุกคนยิ้มได้นะค่า วันนี้วันแรกของเดือนขอให้ทุกคนโชคดี ถูกหวยรวยกันถ้วนหน้า5555

ตอนนี้พี่นาฏยออกน้อย(นางค่าตัวแพงค่าช่วงนี้5555) น้องเจ้าเด่นนะค่าตอนนี้ แม่ยกน้องเจ้าอย่าลืมเชียร์
มีตัวละครใหม่โผล่มา แต่จะเด่นหรือไม่เด่นนั้น อยากให้ติดตามต่อไปเรื่อยๆ
ขอบคุณทุกหารสนับสนุนทั้งคอมเม้นและบวกเป็ด ทำให้เรามีกำลังใจ อยากเขียนมากขึ้นเรื่อยๆ ให้ความรู้สึกว่ายังมีคนเอ็นดูพี่นาฏยแบะน้องเจ้าอยู่เสมอ
ปล.1 ยังคงพิมพ์ในมือถือ เพราะฉะนั้นขออภัยหากมีคำผิดหรือการจัดหน้าไม่เรียบร้อย (บอกได้ ติได แก้ได้นะค่าถ้าเจอ เรายินดีมากๆ)
ปล.2 เรายังอยู่นาโกย่าและอยู่ในสภาพไร้คอมพิวเตอร์ไปอีกสองสามวัน พอกลับบ้านแล้วมีคอม จะมาแก้ให้ทีหลังค่า
ปล.3 แวะเวียนไปพูดคุย ติชม เม้ามอยได้ที่เพจเฟสบุ้ค (ลิ้งเพจอยู่ในตอนที่7.2และตอนก่อนหน้าค่า)
ขอบคุณจากใจอีกครั้งหนึ่ง แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่า