เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ  (อ่าน 61764 ครั้ง)

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1875
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
คีเอาแต่หนี แต่ก็เข้าใจตัวคีนะ สถานภาพมันเป็นแบบนั้นมาตลอด เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่่ได้ แล้วมาเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ ถาโถมเข้าใจอีก ใจที่เปราะอยู่แล้วก็ยิ่งเตลิด

เมฆเองก็น่าจะคิดแต่ในมุมตัวเองเหมือนกัน

สรุปคือคนสองคนไม่ยอมเปิดใจคุยกันนั้นแหละ เลยเป็นเรื่อง เฮ้ออออ

ออฟไลน์ Noi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-2
ในความรู้สึกเรา คีเห็นแก่ตัว ตัวเองทำอะไรก็ได้จะมั่วแค่ไหนก็ได้ แต่กับเมฆกลับรับไม่ได้ รู้ว่าคิดมากแต่ถ้าไม่พูดไม่ถามจะได้คำตอบหรือ จะรักหรือไม่รักเอาให้แน่ ไม่ใช่เอาแต่หนีไม่เห็นใจคนรอบ้าง อยากกลับก็มาไม่อยากอยู่ก็ไปไม่คิดถึงใจอีกคนบ้าง คนรอมันเหนื่อยเป็นเหมือนกันนะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
จะว่ายังไงดี เฮียสร้างปัญหาหรือเวลาไม่ถูกจังหวะกันแน่เนี่ย

ออฟไลน์ benzdekba

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 504
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2

ออฟไลน์ benzdekba

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 504
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
หายยยยยยยยค่ะ

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

+ 1 ให้ทุกคนแล้วนะคะ จุ๊บๆ ไปอ่านกันต่อเลยค่ะ


ภูเขาลูกที่เก้า


“กลับมาแล้วครับ” ผมไขประตูบ้านเข้าไป ลากกระเป๋าตามเข้ามาด้วย บ้านผมอยู่บริเวณแถวๆ ทะเลสาบซูริค ช่วงนี้อากาศค่อนข้างหนาวมากครับ บางวันอุณหภูมิติดลบกันเลยทีเดียว ผิดกับอากาศที่เมืองไทยอย่างรุนแรง



   คิดถึงเมืองไทย นี่ผมมาถึงยังไม่ทันจะข้ามวันเลย แล้วยังต้องอยู่ที่นี่ไปอีกอย่างน้อยสามเดือน ผมไม่รู้จะทนความหดหู่ของจิตใจนี้ไหวมั้ย คุณกับผมมาจับมือกันข้ามผ่านช่วงเวลาเลวร้ายแบบนี้กันดีมั้ยครับ ล้อเล่นน่ะครับ



   อย่างที่บอกไปข้างบนว่าบ้านของครอบครัวผมอยู่แถวๆ ทะเลสาบซูริคใช่มั้ยครับ ลักษณะบ้านก็คงเหมือนกับบ้านเราที่เรียกว่าตึกแถวหรืออาคารพาณิชย์นั่นแหละครับ แต่บ้านเมืองของที่นี่จะมีทาสีตึกเป็นสีนั้นสีนี้ด้วยหรือไม่ก็มักจะเป็นสีอิฐไปเลยอย่างบ้านของผม




   ระหว่างที่ลงจากรถไฟแล้วลากกระเป๋ามาเรื่อยๆ คุณครับ ลมแรงมาก ผมแทบอยากจะปลิวไปตามแรงลม แค่ลมพัดมายังไม่เท่าไหร่ครับ แต่พาความหนาวมาด้วยนี่สิ ถึงผมจะอยู่ที่นี่มาหลายปี แต่ตอนนี้ก็ทำตัวเป็นคนไทย ชินกับอากาศร้อนไปแล้วเสียครับ พอเจอแบบนี้จังๆ ไม่ทันตั้งตัว เล่นเอาตัวสั่นเลย หนาวจริงๆ ครับ


   “Key! Key!” มาแล้วครับเสียงเจ้าตัวยุ่งตัวเล็กของบ้าน ชื่อของผมคือ คี ไม่ใช่ที่แปลว่าลูกกุญแจอะไรหรอกครับ ก็มาจากพยางค์หน้าของคำว่าคีรินทร์นี่แหละครับ แต่คนต่างชาติมักจะงงครับก็เลยตัดปัญหาเป็นคีย์ คำนี้ไปซะ


   “สวัสดีครับหรือยังครับ เคลลี่” เจ้าเด็กคนนี้เป็นน้องของผมเองครับ ชื่อเคลลี่ เจ้านี่อายุอานามห่างกับผมสิบหกปี


   “สวัสดีครับ พี่คี” เคลลี่ เจ้าเด็กกำลังซน พนมมือไหว้ผมเรียบร้อย เห็นแล้วมันปลื้มใจ ถึงจะไม่เจอกันเกือบปี น่าแปลกครับ เด็กที่อายุสองขวบกว่าๆ กลับจำผมได้อย่างดีเยี่ยม แล้วก็ถามหาผมตลอดเวลา แม่ผมบอกว่ามันคงเป็นสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเกินจะบรรยายออกไปได้ ผมนี่งงแม่ตัวเองเลยครับ อะไรคือการที่เกินกว่าจะบรรยายออกมาได้ ช่วยอธิบายได้มั้ยครับ คุณนายแม่


   “เก่งมาก ไหนดูซิ พี่ยังอุ้มเราไหวอยู่มั้ยเนี่ย” ผมย่อตัวลงไปอุ้มเจ้าตัวเล็กที่แขนขาแน่นด้วยไปเนื้อน่ากัดเน้นๆ เลยครับ “ฮึบ” ส่งเสียงบอกให้เจ้าตัวเล็กได้เตรียมตัวก่อนแล้วอุ้มขึ้นมา เคลลี่ เจ้าดื้อหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไม่หยุดเลยครับ คงถูกใจที่ผมอุ้มแล้วโยนเล่นด้วย


   “ตัวหนักแล้วนะเรา อีกหน่อยพี่คงอุ้มไม่ไหวแล้วเนี่ย” ผมพูดไปก็ก้มลงหอมแก้มยุ้ยแดงๆ นั้นเต็มแรง เคลลี่หันหน้าหนีผมนิดหน่อยคาดว่าคงเจ็บ แต่คุณครับ เด็กเล็กๆ ปากแดงๆ แก้มแดงๆ แขนขาเนื้อเต็มมือนี่มันน่าฟัดนะครับ คุณไม่คิดเหมือนผมเหรอ


   “เอ้าๆ โยนน้องอะไรแรงขนาดนั้นคะ คี” เสียงใสๆ ของแม่ผมมาแล้วครับ ผมวางเคลลี่ลงก่อน แล้วก็ก้าวเข้าไปกราบแทบอกมารดา อ๊ะๆ ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ กราบแทบอกจริงๆ ไหว้เสร็จก็กอดแม่ต่อทันที ไม่เสียเวลา


   “สวัสดีครับ แม่” ผมกอดแม่แรงๆ แน่นๆ แถมหอมแก้มแม่เหมือนเคลลี่ตะกี้เลย ชื่นใจครับ ว่าไปก็คิดถึงความรู้สึกแบบนี้นะครับ ความรู้สึกที่เจอแม่เจอน้อง เจอครอบครัวที่แท้จริงของตัวเอง


   “แม่เจ็บนะ” ผมเผลอกอดแม่แรงทำให้แม่ต้องตีผมเบาๆ เป็นการห้ามปราม


   คุณว่าผมเสพติดสัมผัสมั้ย ไม่รู้สิ ขอให้ได้กอด ได้หอม ผมก็มีความสุข


   “ขอโทษครับ ก็คีคิดถึงแม่นี่นา”


   “จริงเหรอคะ ไม่ใช่ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วถึงรีบมาหรือเปล่า” แม่ผมดักคออย่างรู้ทันครับ แต่คงไม่คิดว่าเป็นเรื่องผมกับเฮียเมฆเด็ดขาด จะว่าไป แม่ไม่เคยคิดเรื่องราวระหว่างผมกับเฮียเลยครับ


   “โธ่ แม่ครับ”


   “มีอะไรไม่สบายใจ คีต้องเล่าให้แม่ฟังนะลูก อย่าเก็บเอาไว้คนเดียวนะคะ” แม่ผม เป็นเหมือนเดิมครับ รักและห่วงลูกมาก ของมาก และมากที่สุด


   “ขอบคุณครับ แม่ ว่าแต่พ่อล่ะครับ” ผมยังไม่ได้ยินเสียงพ่อเลยครับ


   “ไปทำงานยังไงล่ะจ้ะ ลูกคนนี้ สงสัยไม่ค่อยได้นอนมาบนเครื่องหรือเปล่าคะ ขึ้นไปนอนก่อนมั้ย เที่ยงๆ แม่จะขึ้นไปปลุก หรือจะมื้อเย็นเลยคะ”


   “เย็นๆ เลยก็ได้ครับ ช่วงสอบคีไม่ค่อยได้นอนด้วย” เวลาที่ไทยเร็วกว่าที่สวิตห้าชั่วโมงครับ ผมมาถึงบ้านประมาณสิบโมง ที่เมืองไทยคงจะราวตีห้าได้ครับ เป็นเวลาเฝ้าพระอินทร์อย่างมีความสุขเลย ชักง่วงเลยครับ อาการหาวหวอดตามมาเลยทันที


   “จ้ะ งั้นขึ้นไปนอนก่อน แม่ทำความสะอาดไว้ให้แล้ว”


   “ขอบคุณนะครับ” ผมหอมแม่อีกครั้งแล้วก็เตรียมจะเดินขึ้นห้อง แต่ก็มีใครไม่รู้มาดึงขากางเกงเอาไว้เสียก่อน ผมมองลงไปก็เป็นมือป้อมๆ ของเจ้าเคลลี่นี่แหละครับ คงอยากเล่นกับผม


   “go go” เคลลี่ขอไปด้วยครับ มือก็ยกสูง กะให้ผมอุ้มขึ้น แต่ผมส่ายหน้าครับ


   “ไม่ได้ครับ พี่ง่วงมากเลย ตื่นแล้วจะลงมาเล่นด้วยนะ โอเคมั้ย” ผมบอกเจ้าตัวเล็กไป ไม่รู้ว่าจะเข้าใจหรือเปล่านะครับ เพราะประโยคค่อนข้างยาว แล้วด้วยอายุของเด็ก ผมยิ่งไม่มั่นใจเลยว่าจะเข้าใจที่ผมพูดออกไปทั้งหมด


   “Please” นั่นไงครับ พลีสใส่ผมเสียแล้ว


   “You can not go with me.” ประโยคแรกของผมบอกปฏิเสธไปเท่านั้น น้ำตาเม็ดเล็กๆ ก็ร่วงลงมาเลยครับ เคลลี่ไม่ร้องไห้อย่างเด็กทั่วไป


“Shu!! Do not cry baby” ตัวเล็กมองหน้าผมนิ่งๆ ดวงตาเศร้าสร้อยพร้อมหยาดน้ำตาร่วงลงอย่างกับโรงงานผลิตเม็ดน้ำตา



   ผมต้องทำยังไง ผมหันไปมองแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ ดูเหมือนแม่ก็พอจะเข้าใจเลยเข้าไปหาเคลลี่เข้ามากอดครับ เคลลี่ไม่ดิ้น ไม่ร้องไห้เสียงดังสักแอะ สะอึกสะอื้นเหมือนใครทำร้ายจิตใจอย่างสุดแรง ผมนี่อ่อนใจ ใจอ่อนเลยครับ


   “ก็ได้ๆ พี่ยอมแพ้” ผมนั่งลงข้างๆ เจ้าตัวเล็ก จับแขนเบาๆ เจ้าตัวเล็กผละออกจากอ้อมแขนของแม่ผมเลยครับ โผเข้าหาผมเลยทันที ผมอุ้มเคลลี่แล้วยืนขึ้น เคลลี่ซบหน้าลงกับไหล่ของผม อากัปกิริยาออดอ้อนแบบนี้ ผมว่าทุกคนคงใจอ่อนอ่ะ ยิ่งเป็นเด็กในครอบครัวที่เรารักเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คงจะอดทนได้ยากจริงๆ


   “น้องคงคิดถึงคีมาก เดี๋ยวสักพักแม่จะขึ้นไปอุ้มเคลลี่ลงมานะคะ”


   “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวให้นอนกลางวันพร้อมกับผมก็ได้” ผมยิ้มให้แม่แล้วก็อุ้มเด็กเจ้าปัญหานี่ขึ้นไปบนห้องด้วย




   ผมเปิดประตูเข้าห้องมาด้วยมือที่ยังว่างอีกข้างหนึ่ง ทุกอย่างภายในห้องยังเหมือนเดิมครับ แม่ผมดูแลห้องนี้อย่างดี ห้องของผมทำความสะอาดทุกอาทิตย์ แม่ทำเองทั้งๆ ที่รู้ว่าผมไม่ได้กลับมาแน่ๆ จนกว่าจะปิดเทอม แต่แม่ก็ยังทำ



ผมบอกแม่ว่าถ้าผมกลับมาเมื่อไหร่ค่อยทำความสะอาดก็ได้ แต่แม่กลับบอกว่าเวลาที่เธอเข้ามาทำความสะอาดที่ห้องผม เธอรู้สึกเหมือนเธออยู่ใกล้กับลูกชายอย่างผม เหมือนเราไม่ได้อยู่ห่างไกลกันเลย ผมฟังไปก็อึ้งๆ ในความรักของแม่ที่มีต่อผมครับ แต่จะให้บอกว่าอะไรผมอยากอยู่เมืองไทย เพราะผมติดผู้ชาย? เอ้ย ไม่ใช่ละ



   ผมวางเคลลี่ลงที่พื้นห้อง แล้วก็นั่งลงที่นอนนุ่มบนเตียงที่ไม่ได้กลับมานอนเสียนาน เจ้าตัวเล็กเดินวุ่นรอบห้องเลยครับ เคลลี่เริ่มเดินตั้งแต่ยังไม่ถึงขวบ สักพักก็หยิบอะไรติดมือมาสักอย่างหนึ่ง ผมเพ่งดูอยู่นานกว่าจะนึกออก



   ‘ดอกไม้พลาสติกในกล่องไม้’



   ผมนี่รีบเข้าไปหาเคลลี่เลย แบมือเป็นเชิงว่าขอ เคลลี่ก็วางดอกไม้ลงบนมือคืนให้ผม ผมลุกขึ้นไปวางบนชั้นวางที่สูงหน่อย เจ้าเคลลี่จอมซนจะได้เอื้อมไปหยิบไม่ถึง แล้วก็หาของเล่นที่คิดว่าน่าจะพอใช้ได้ให้กับเคลลี่ไป แค่นั้นเด็กน้อยก็สนใจของเล่นใหม่ในมือทันทีครับ ผมกลับมานั่งบนเตียงของตัวเองอีกครั้ง อุ้มเคลลี่ขึ้นมานั่งเล่นบนเตียงกับผมด้วย


   “เชิญครับ” เสียงเคาะประตูห้องนอนผมดังขึ้น ไม่น่าจะเป็นคนอื่นนอกจากแม่ของผมครับ แล้วที่ผมคิดไว้ก็ไม่ผิด


   “แม่เข้าไปนะคะ” แม่เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องแล้วก็ยื่นนมหนึ่งกล่องกับหนึ่งแก้วให้ผมครับ


   “ขอบคุณครับ แม่” นมหนึ่งกล่องนั้นเป็นของคนน้องครับ ส่วนคนพี่คือนมหนึ่งแก้วครับ ผมรับมาดื่มทันทีแล้วก็คืนแก้วเปล่าให้แม่ไป ส่วนเคลลี่ก็ดูดนมกล่องอยู่เหมือนกันครับ ดูตาเริ่มปรือๆ แล้ว คงใกล้เวลานอนกลางวันแล้วล่ะครับ


   “น้องน่าจะง่วงแล้ว พาน้องนอนด้วยนะ ลูก แม่ไปล่ะ” แม่ผมบอกทิ้งท้ายแล้วก็ออกจากห้องไป



   ผมรับนมกล่องที่ดูดหมดแล้วไปวางไว้บนโต๊ะ ตอนนี้เคลลี่กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงแล้วล่ะครับ ท่าทางใกล้เคลิ้มแล้ว ผมเกาหลังเบาๆ ให้เด็กน้อย เคลลี่ชอบครับ ชอบให้มีคนเกาหลังให้ แม่เล่าว่าตอนเด็กๆ ผมก็ชอบให้แม่เกาหลังให้เหมือนกัน แต่พอโตขึ้นมา แม่ก็ทำเสียงน้อยใจว่า แม่ดูจะไม่จำเป็นอีกต่อไป ผมสามารถนอนหลับได้เองครับ แต่ถ้าแม่มานอนเกาหลังให้นี่ ผมนี่โคตรชอบเลยครับ มันเพลินนะ คุณล่ะ เคยหรือเปล่า ถ้าไม่เคยลองสิครับ




   เคลลี่หลับไปแล้ว ผมยังเกาหลังให้อยู่ครับ เด็กน้อยกรนเบาๆ ไม่แน่ใจว่าหายใจไม่ค่อยออกเพราะอากาศเย็นหรือเปล่า แต่ภายในห้องก็อุ่นพอสมควรเพราะเปิดฮีทเตอร์เอาไว้ ผมห่มผ้าให้เจ้าเด็กน้อยสิ้นฤทธิ์เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้อีกชั้น เด็กป่วยง่ายกว่าผู้ใหญ่อยู่แล้วล่ะครับ ตอนนี้ผมถอดเสวตเตอร์ออกไปแล้ว เลยเหลือเสื้อยืดแค่ตัวเดียว




   ผมยังจับจ้องอยู่ที่กล่องดอกไม้พลาสติกกล่องนั้นไม่วางตา กล่องนั้นมันสำคัญกับผมยังไง มันก็แค่เป็นกล่องดอกไม้ที่เฮียเมฆซื้อให้ผมตอนที่เฮียเมฆมาหาผมตอนปิดเทอม อยากคิดว่ามันไม่สำคัญและไม่มีค่าอะไรสำหรับผมเลยแม้แต่น้อย แต่ลึกๆ ผมก็รู้ดีว่ามันมีความหมายกับผมแค่ไหน




   จะมีอยู่สักกี่คนครับ คนที่ซื้อของขวัญเป็นดอกไม้ให้กับผู้ชายด้วยกัน อย่างน้อยก็มีสองคนคือผมกับเฮียเมฆนี่แหละครับ ไม่เคยต้องซื้อดอกไม้ให้ผู้หญิงคนไหน แต่ดันต้องหอบดอกไม้ไปง้อผู้ชาย สายตาคนอื่นคงเป็นการกระทำที่แปลกประหลาด แต่สำหรับเราสองคนกลับเป็นเรื่องปกติมาก




   ปีนี้ เฮียเมฆจะมาหาผมมั้ยนะ



   คงไม่มาหรอก



   คิดเอง เออเอง เจ็บเอง ช้ำเองครับ ผมละสายตาจากกล่องดอกไม้พลาสติกนี่ดีกว่า เพราะตอนนี้ความง่วงเข้ามาเกาะกินร่างกายผมอย่างเต็มที่ ผมล้มตัวลงนอนกอดเจ้าตัวเล็กแล้วก็หลับตามเด็กน้อยไป




   ตื่นมาอีกทีก็ฟ้ามืดแล้วครับ เด็กน้อยที่นอนหลับข้างๆ ไม่อยู่แล้ว สงสัยแม่ของผมคงจะมาอุ้มแกลงไป ผมได้ยินเสียงดังแว่วๆ มาจากข้างล่างครับ มีเสียงทุ้มของผู้ชายหัวเราะดังแข่งกับเสียงใสของแม่ คาดว่าผู้ชายคนนั้นคงจะหนีไม่พ้นพ่อของผม


   “ไง ไอ้ตี๋” พ่อเห็นผมเดินลงบันไดมาก็ส่งเสียงทักทายผมก่อนใคร ผมนี่โคตรไม่เข้าใจพ่อผมเลยครับ ทำไมชอบเรียกผมว่าตี๋ทั้งที่ผมไม่ได้หน้าตี๋เลย ผมหน้าเหมือนแม่ หน้าหวานๆ อย่างไทย หน้าแบบนี้นี่แหละครับ ที่คนเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นผู้หญิงที่แกล้งทำตัวเป็นทอมบอยมานักต่อนักแล้ว ยิ่งช่วงไหนเรียนหนัก ผมเผ้าไม่ได้ตัดปล่อยให้ยาวเมื่อไหร่ โดนทักผิดกว่าปกติเยอะมากครับ


   ผมยกมือขึ้นจับปอยผมดู อืม ยาวเกือบถึงบ่าแล้วเหรอเนี่ย ค่อนข้างยาวแล้วเหมือนกันนะ กลับไทยค่อยไปตัดที่ร้านประจำละกัน


   ‘ผมเริ่มยาวแล้วไปตัดหน่อยดีมั้ย’ คำพูดของเฮียเมฆผุดขึ้นมาในความทรงจำของผม


   ‘เฮียไม่ชอบให้ผมไว้ผมยาวเหรอ’


   ‘ไม่เชิง’


   ‘หมายความว่าไงครับ’


   ‘หน้ากับผมมันเข้ากัน.........เกินไป’ ครั้งแรกที่ผมได้ยิน ผมไม่เข้าใจหรอกครับว่าเฮียเมฆหมายถึงอะไร แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วล่ะ คุณล่ะเข้าใจว่ายังไงครับ



   ผมรีบสลัดช่วงเวลาที่มีเฮียรวมอยู่ในนั้นออกไป เดินเข้าไปหาพ่อ ยังไม่ทันจะเดินถึงเลย พ่อผมก็อ้าแขนให้ผมเดินเข้าไปในอ้อมกอดของพ่อครับ พ่อผมขี้อ้อนแล้วก็ปากเสีย ส่วนแม่ก็สวยหวานพูดจาเพราะครับ คนละขั้วกันชัดๆ ไม่รู้ว่าแม่ผมรักพ่อเข้าไปได้ยังไง


   “เลิกเรียกคีว่าตี๋ได้แล้ว เหมือนตรงไหนครับ” ผมกอดพ่อเสร็จก็ยกมือไหว้แบบไทยครับ เจอกันทีไร พ่อทักผมแบบนี้ตลอด ผมก็บอกพ่อแบบนี้ทุกครั้ง แต่ไม่มีหรอกครับที่จะเชื่อลูกคนนี้บ้าง


   “พูดเพราะรักหรอกน่า ชื่อตี๋น่ารักจะตายไป เนอะแม่” พ่อหยิกแก้มผมไม่ออมมือเลยครับ แล้วก็หันไปหาเสียงสนับสนุนของแม่ แต่แม่ไม่ตอบครับ แม่ยิ้มให้พ่อเฉยๆ


   “ลูกพ่อชื่อคีต่างหากเล่า” ผมปัดมือพ่อที่หยิกแก้มของผมออก


   “พูดกับพ่อดีๆ สิคะ” แม่ผมครับ ผู้ควบคุมภาษาไทยของบ้าน


   “Hey” เสียงเล็กแหลมของเด็กน้อยดังขึ้นเพื่อดึงความสนใจ มืออ้วนกลมดึงขากางเกงผมอยู่ ผมเลยก้มลงไปอุ้มเจ้าเคลลี่ขึ้นมาฟัดสักหน่อย


   “คงจะหิวกันแล้วสิ ได้เวลามื้อเย็นพอดี ไปทานข้าวกันค่ะ” แม่ผมเดินนำทุกคนไปนั่งที่โต๊ะอาหารครับ เคลลี่มีที่นั่งของเด็กเป็นของตัวเอง


   “เป็นไงบ้างล่ะ ไอ้ตี๋ เรียนได้เรื่องมั้ย” พ่อผมถามระหว่างมื้ออาหารที่กำลังเริ่มต้นขึ้น ผมกำลังป้อนข้าวเคลลี่ครับ ปกติแล้วแม่จะเป็นคนป้อนข้าวเอง แต่ถ้าผมกลับมาบ้านผมจะรับอาสาทำหน้าที่นี้เองครับ ตอนนี้แม่ก็เลยนั่งทานอยู่เงียบๆ ตักข้าวมาป้อนผมบ้าง เหมือนงูกินหางเลยแฮะ


   “โธ่ พ่อครับ นี่คีนะ ลูกใคร เชื่อมือได้เลย สบายมาก” ผมเคี้ยวข้าวเต็มปากแต่ก็ไม่ได้สนใจ ตอบพ่อออกไปทั้งแบบนั้นแหละครับ แม่เลยตีแขนผมเบาๆ ทีหนึ่ง ข้อหาเสียมารยาท


   “ปีหน้าเรียนจบจะกลับมาเลยมั้ย”


   “คิดว่าจะกลับมาเลย” ผมดื่มน้ำไปอึกใหญ่ก่อนจะตอบ


   “จะต่อโทเลยหรือเปล่า เรียนที่นี่ก็ดีเหมือนกัน เคลลี่ก็เอาแต่คิดถึงพี่มันอยู่ตลอด ไม่เห็นจะคิดถึงพ่อบ้างเลย” พ่อผมนี่โหยหาความรัก อิจฉาแม้กระทั่งลูกตัวเองอย่างผมนะเนี่ย


   “ยังไม่รู้เลยครับ ขอคิดก่อนก็แล้วกัน”


   “ถ้าตี๋กลับมาเลยแล้วใครจะช่วยงานทางนั้นล่ะ” พ่อตักข้าวเข้าปากไปอีกคำแล้วก็ถามผมเหมือนจะเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้


   “อ้าว ไหงพ่อพูดแบบนั้น”


   “ก็ตอนนี้ช่วยงานลุงกรณ์กับพี่เมฆอยู่ไม่ใช่เหรอ”


   “ไม่เชิงหรอกครับพ่อ ที่จริงคีก็ไม่ค่อยได้ช่วยอะไรหรอก” ผมเห็นพ่อขมวดคิ้วไม่เชื่อในคำพูดของผม


   “เท่าที่พ่อคุยกับลุงกรณ์ มันไม่ใช่อย่างนั้นมั้ง”


   “พ่อคุยอะไรกับลุงกรณ์”


   “ลุงกรณ์บอกว่าตี๋ช่วยงานพี่เมฆได้เยอะเลย”


   “ลุงกรณ์ก็แค่ไม่อยากให้ผมโดนพ่อด่าเท่านั้นแหละน่า”


   “คิดอย่างนั้นเหรอ ไอ้ตี๋” พ่อผมยักคิ้วกวนบาทาผมมาก แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ก็นั่นพ่อนี่นา พ่อทำท่าว่ารู้อะไรมาแต่ไม่บอกผมครับ



   มื้อเย็นมื้อแรกกับครอบครัวของผมผ่านไปแล้ว ผมนั่งเล่นกับเคลลี่อยู่ที่พื้น สักพักเจ้าตัวเล็กก็กลิ้งไปกลิ้งมา ขาป้อมๆ พาดมาที่ตักของผม ซนพอตัวเลยครับ ผมหันไปอีกที อ้าว หลับซะแล้ว อยากจะดึงปากย้อยๆ มาแกล้งเล่นสักหน่อย แต่กลัวว่าจะตื่นมาอาละวาดครับ



   แม่ผมเห็นเคลลี่หลับแล้ว เลยอุ้มเคลลี่เข้าไปนอนในห้อง ทิ้งให้ผมกับพ่ออยู่ด้วยกันสองคนตามลำพัง ผมรู้สึกถึงพลังงานบางอย่าง พ่อดูเหมือนมีอะไรจะพูดกับผม


   “พูดมาเถอะพ่อ แม่ไม่อยู่แล้ว ทางโล่ง”


   “มึงนี่ฉลาดสมเป็นลูกกูมาก ไอ้ตี๋” พ่อตบหลังผมดังอึก ไม่ถนอมลูกเลยเฮ้ย พ่อคนนี้ ลับหลังแม่ นิสัยที่แท้จริงของพ่อก็โผล่ออกมาเลยครับ ที่พูดจาไพเราะรักกันเวอร์วังนั่น ต่อหน้าแม่ครับ ไม่อยากโดนแม่บ่นหูชากันทั้งคู่


   “ทะเลาะกับพี่เมฆของมึงมาล่ะสิ กูรู้นะ”


   “รู้ได้ไง” ผมปรายตามองพ่อ ชักเริ่มไม่น่าไว้ใจขึ้นทุกที


   “มึงดูด้วยว่านี่ใคร กูพ่อมึงนะไอ้ตี๋” พ่อขี้โม้ไม่มีเปลี่ยน


   “อย่ามาโกหก ใครคาบข่าวมาบอกพ่อล่ะ”


   “คนคาบข่าวนี่มัน พี่เมฆของมึงเลยนะเว้ย”


   “ฮะ!?! อะไรนะพ่อ!” เฮ้ย เดี๋ยวนี้พ่อผมพัฒนาไปถึงขั้นสุด นี่เริ่มคุยกับเฮียเมฆเองแล้วเหรอเนี่ย


   “กูรู้ว่ามึงได้ยินชัด อย่าให้ต้องพูดซ้ำน่า”


   “ไปคุยกันได้ไง”


   “มันโทรมาหาพ่อเมื่อคืนว่ะ”


   “โทรมาว่า”


   “จะเรื่องอะไรล่ะ คิดสิ คิด มึงไปทำอะไรไว้ล่ะ ถึงมานั่งหน้าเหี่ยวอยู่ที่นี่ตอนนี้”


   “คีจะทำอะไรก็เรื่องของคีป่ะวะ พ่อ”


   “รู้ว่าเป็นเรื่องของมึง แต่กูก็รู้เรื่องหมดแล้วนะ”


   “พ่อรู้อะไรมา พูดมาเลยดีกว่า” ผมชักขยาดพ่อเสียแล้วล่ะครับ เพราะไม่รู้ว่าพ่อรู้อะไรบ้างระหว่างเรื่องผมกับเฮียเมฆ



 

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter



   พูดกันตรงๆ เลยนะ เรื่องของผมกับเฮียเมฆเนี่ย มีแม่คนเดียวครับ ที่ไม่ระแคะระคายเลย แปลกของแปลกที่สุด เพราะอะไรรู้มั้ยครับ แม่น่ะ ห่วงผม สังเกตผมตลอดเวลา แต่กลับไม่เอะใจเรื่องผมกับเฮียเลย แต่พ่อแม่ของเฮีย หรือกระทั่งพ่อของผม กลับรู้ครับ แต่ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าพวกเขาทั้งหลายนั้นรู้เรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนไหน ยังไง แล้วพวกเขาก็ไม่เคยถามด้วย



   คุณคิดว่าการที่ผมไปช่วยงานเฮียเมฆที่บริษัทนั้นเพียงเพราะเป็นลูกของพ่อ เป็นหลานที่ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับครอบครัวนั้นเลยน่ะเหรอ มันไม่ใช่หรอกครับ เพราะลุงกรณ์วางแผนเพื่ออนาคตไว้แล้วล่ะครับ หากเฮียเมฆไม่แต่งงานกับใคร และไม่มีลูกมาสืบทอดกิจการต่อ ลุงกรณ์กับป้าจันก็อยากให้ผมกับเฮียเมฆ ช่วยประคับประคองบริษัทนี้ให้ผ่านพ้นไป




   แล้วหลังจากหมดยุคของผมกับเฮียเมฆล่ะ บริษัทนั้นจะเป็นยังไงต่อ? คุณเชื่อมั้ย ลุงกรณ์เคยพูดติดตลกว่า ช่างมัน คนตายไปแล้วจะเอาอะไรไปได้ เอาไปบริจาคให้หมด เป็นไงครับพ่อเฮียเมฆ เขาไม่ได้สนใจผู้สืบทอดอะไรนั่นหรอก เขารักและห่วงความรู้สึกลูกชายครับ


   “ทุกเรื่องว่ะไอ้ตี๋ ไม่เว้นแม้กระทั่งมึงกับพี่เมฆของมึงนั่นแหละ”


   “พ่อรู้ได้ไง”


   “กูน่ะพ่อมึงนะ ลูกทั้งคนกูจะไม่ดูดำดูดีเลยเหรอวะ” ผมรู้ว่าพ่อเป็นห่วงผมยิ่งกว่าใครทั้งนั้น


   “แล้วพ่อโอเคมั้ย?” ลองเสี่ยงถามดูครับ


   “ให้กูโอเคเรื่องอะไรวะ เรื่องที่มึงทำตัวเละเทะ กินเหล้าเที่ยวผับ หรือเรื่องที่มึงใจแตกไปถึงไหนแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องไหน กูก็ห้ามไม่ทันแล้วเว้ย”


   “พ่อโกรธ?”


   “ไม่โกรธหรอกแต่เสียใจ”


   “เสียใจที่คีเป็นแบบนี้น่ะเหรอ”


   “เปล่า”


   “แล้วเสียใจอะไรล่ะพ่อ ลีลาอยู่ได้” ผมนี่เริ่มงง สรุปว่าผมคุยกับพ่อหรือเพื่อนวะเนี่ย


   “เสียใจที่มึงไม่เคยบอกกูเลย ให้กูรู้ กูเห็นเองทั้งหมด”


   “พ่อไปเห็นอะไรวะ คีว่าคีทำอะไรพ่อไม่น่าเห็นนะ”


   “หนอย ไอ้ตี๋ ไอ้ลูกเวร กูเปรียบเทียบเว้ย เปรียบเทียบ มึงรู้จักมั้ย”


   “ก็แค่นี้แหละ พูดมาเลยเถอะ อย่าลีลาน่ะพ่อ”


   “นี่มึงเป็นพ่อหรือเป็นลูกกูกันแน่วะ”


   “ไม่รู้ดิ พ่อว่าไงล่ะ”


   “ให้เกียรติกูหน่อย ยังไงกูก็ยังเป็นผัวของแม่มึงอยู่นะ”


   “หยาบคาย เดี๋ยวคีจะฟ้องแม่”


   “เอาสิถ้ามึงฟ้อง กูก็จะฟ้องเหมือนกันว่ามึงพูดจาไม่ดีใส่กู” พอกันทั้งพ่อและผมครับ เถียงกันเหมือนเด็กๆ


   “สรุป พ่อไม่โกรธแน่นะ” ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ


   “ไม่โกรธ แต่กูขอถามหน่อยว่ากูได้ลูกเขยหรือสะใภ้เข้าบ้านวะ”


   “พ่อคิดว่าไงล่ะ” ผมย้อนถามกลับไป


   “หึ กูไม่อยากจะพูดให้มึงอับอาย”


   “โธ่ พ่อ ไม่เข้าข้างกันเลย”


   “คี ความรักน่ะ ถ้าเราไม่เชื่อใจและซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่ว่าจะเพศไหนมันก็ไม่ยั่งยืน พ่อคิดว่าคีน่าจะรู้ดีมากกว่าใครที่สุด ว่าเมฆเป็นคนแบบไหน ยังไง แล้วยิ่งความรักแบบผู้ชายกับผู้ชายแบบนี้ ถ้ายิ่งไม่เชื่อใจกัน ต่อให้อีกฝ่ายหนักแน่นแค่ไหน สุดท้ายก็ทนไม่ได้หรอก เชื่อพ่อ” ผมนี่เกือบปรับโหมดอารมณ์แทบไม่ทัน ปกติพ่อจะพูดคำหยาบกับผมครับ ไม่เรียกชื่อผม แต่ถ้าพูดเพราะกับผม เรียกชื่อเล่นของผมจริงๆ แสดงว่ามาโหมดจริงจังครับ


   “คีจะพยายามละกันนะพ่อ”


   “เออ มีอะไรก็ค่อยๆ คุยกัน อย่าหุนหันใจร้อน แบบที่คีทำ พ่อไม่ค่อยเห็นด้วยว่ะ”


   “ครับ”


   “อายุจะยี่สิบแล้วนะเว้ย ต้องใช้เหตุผลเหนืออารมณ์ให้มาก” พ่อเตือนสติผม


   “ขอบคุณครับพ่อ”


   “คุยอะไรกันอยู่คะ สองพ่อลูก” แม่ผมเดินออกมาสมทบพอดี


   “ก็คุยเรื่องทั่วๆ ไปน่ะแม่” พ่อตัดบทตอบให้ครับ พ่อผมเป็นคนที่หน้านิ่งเวลาโกหกครับ แต่น่าแปลกพ่อไม่เคยโกหกแม่เลย ยกเว้นโกหกแบบไม่มีพิษมีภัยแบบนี้ล่ะครับ ที่พ่อจะยอมทำ



   ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรคือความรักที่พ่อกับแม่มีให้กัน ผมแทบไม่เคยเห็นทั้งคู่ทะเลาะกัน ยิ่งเรื่องชู้สาวผมไม่เคยเห็นหรือได้ยินเลยครับ ทั้งที่แม่ทำงานอยู่ที่บ้าน เป็นแม่บ้านเต็มตัว แต่พ่อก็ไม่เคยนอกลู่นอกทางเลย ถึงแม่ของผมจะสวย แต่เชื่อเถอะครับ ความสวยมันไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป ความรักก็เหมือนกัน มันต้องมีอะไรมากกว่า เหมือนหลายๆ คู่ที่อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าหรือว่าจะตายไปจากกันนั่นแหละครับ


   “เคลลี่ล่ะครับ”


   “หลับปุ๋ยเลยล่ะ คีล่ะคืนนี้จะนอนกับน้องหรือนอนที่ห้องคะ”


   “นอนที่ห้องผมดีกว่าครับ”


   “มีแต่มั้ยคะ หรือแค่นี้”


   “แต่เดี๋ยวผมอุ้มน้องไปนอนด้วย”


   “ตกลงค่ะ อุ้มเบาๆ อย่าให้ตื่นนะ”


   “ไม่นอนกับพ่อเหรอ ไอ้ตี๋” นั่นไง ลูกอ้อนของพ่อ ถึงผมจะโตแล้ว แต่จริงๆ แล้วผมชอบไปนอนกับพ่อและแม่มากนะครับ ทั้งที่ความรักของทั้งคู่มีให้ผมมากขนาดนี้ แต่ทำไมผมกลับโหยหาความรักไม่สิ้นสุด


   “ไม่ล่ะครับ คืนนี้อยากนอนกับน้อง”


   “อิจฉาเคลลี่อ่ะแม่ คืนแรกก็ได้ตัวไอ้ตี๋ไปแล้ว” พ่อหันไปซบไหล่แม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ครับ เรื่องออดอ้อนบอกพี่แกได้เลย จัดเต็มทุกงานครับ


   “เดี๋ยวนะพ่อ นี่ลูกชายนะครับ ทำอย่างกับมีสาวที่ไหนมาคว้าตัวผมไป” ผมส่ายหน้าให้กับความเยอะของพ่อ มีอย่างที่ไหน ผู้ชายวัยห้าสิบทำท่าทางเหมือนเด็กๆ คิดว่าตัวเองน่ารักเสียเต็มประดาหรือไงเนี่ย


   “งั้นเราไปนอนกันเถอะค่ะ คีจะได้นอนพักด้วย” แม่ดึงแขนพ่อให้ลุกตามเข้าห้องนอนไป


   ผมอุ้มเคลลี่ขึ้นไปนอนที่ห้องตามที่บอกกับแม่ไปครับ เด็กน้อยหลับสนิทเลย ผมวางแกลงบนเตียงห่มผ้าให้เรียบร้อยแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู มีสายไม่ได้รับจากเฮียเมฆมาสายเดียวครับ คงคิดว่าผมคงไม่รับสายแน่ๆ เลยส่งเป็นข้อความมาแทน


   ‘คีกำลังเข้าใจพี่ผิด’   


   ‘โทรกลับด้วย’


   ‘มันไม่มีอะไรจริงๆ’


   ‘เชื่อพี่’



   ข้อความของเฮียเมฆยังเหมือนเวลาที่เฮียพูดครับ มาเป็นประโยคหรือคำสั้นๆ ไม่ได้มาเป็นประโยคยาวๆ เป็นเอกลักษณ์ของเฮียดีครับ ผมกำลังคิดว่าตอนนี้เฮียเมฆกำลังจะทำอะไรอยู่ จะอยู่กับใคร ใช่พี่พีชหรือเปล่า เฮียจะคิดถึงผมมั้ยที่ผมมาที่นี่แล้ว เฮียจะเสียใจมั้ย หรือว่าจะมีความสุข ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้นก็มีแสงสว่างวาบบนโทรศัพท์ขึ้นมา



   ‘กลับมานะ พี่ขอโทษ’



   ประโยคสั้นๆ ทำเอาใจผมอ่อนยวบ อยากบินกลับเสียตอนนี้เลยครับ แต่คงจะทำไม่ได้ ผมอยากขอเวลาคิดอีกนิด ทั้งคำพูดของพ่อที่เตือนสติและการกระทำของเฮียเมฆ ผมยังไม่อยากกลับไปเจอวังวนที่ไม่สิ้นสุดแบบเดิมอีก มันอึดอัดเกินไป



   ผมหลับไปทั้งๆ ที่ยังกำโทรศัพท์แน่น แต่คืนนั้นก็ไม่มีข้อความหรือสายเรียกเข้าใดๆ เข้ามาอีกครับ ผมหลับรวดเดียวจนถึงเช้า ผมตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรมาไต่ที่หน้า ลืมตาขึ้นมาก็เจอมือเล็กเขี่ยหูเขี่ยตาผมเล่นอยู่ จับตัวการได้แล้ว



   “wake up” ผมคว้าเจ้าเด็กดื้อมากอด หอมแก้มไปฟอดใหญ่  เคลลี่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากคงเพราะจั๊กจี้ ผมเม้มปากงับแขนแน่นๆ นั้นก่อนจะยอมปล่อยตัว


   “พี่ตื่นแล้วครับ”


   “หม่ำๆ” คำไทยแท้ สงสัยแม่ผมคงสอนเจ้าตัวเล็กนี้ไว้ น้องใครก็ไม่รู้น่ารักจริง


   “ป่ะ” ผมลุกขึ้นอุ้มเคลลี่ลงไปข้างล่าง


   “ตื่นแล้วเหรอจ้ะ”


   “ครับ”


“หิวหรือยังเอ่ย” แม่ถามเคลลี่ที่ยังอยู่ในอ้อมกอดผม เจ้าตัวเล็กพยักหน้าเบาๆ เป็นอันว่าหิวแล้วสินะ


“เลยเวลาทานมาสักพักแล้วนี่นา” แม่หันไปมองนาฬิกา ผมไม่รู้หรอกว่าเคลลี่กินมื้อเช้ากี่โมง แต่แม่บอกว่าเลยเวลาก็แปลว่าเลยเวลาแหละครับ แม่เลยรับช่วงเคลลี่พาเจ้าตัวไปนั่งที่ประจำของตัวเองครับ


“คีล่ะคะ หิวหรือยัง” คราวนี้แม่หันมาถามผม


“นิดหน่อยครับ”


“ไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วค่อยลงมาทานมื้อเช้านะคะ”


“ครับ คีขอฝากเด็กดื้อไว้กับแม่ก่อนนะครับ”


“ได้เลยค่ะ มาหม่ำๆ กันนะคะเคลลี่” แม่ตอบผมแล้วก็หันไปคุยกับเจ้าเด็กปากแดงที่อ้าปากรอ เคลลี่ทำท่าทางเหมือนกับลูกนกที่รอแม่นกมาป้อนอาหารให้ ดูแล้วน่ารักดีนะครับ




   ผมตั้งใจจะแค่ล้างหน้าแปรงฟันอย่างที่แม่บอก แต่เมื่อคืนก็ไม่ได้อาบน้ำ เลยตัดสินใจอาบน้ำไปเลยดีกว่า แต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอก ลงมาอีกที ถ้วยอาหารของเคลลี่ก็พร่องไปกว่าครึ่งแล้วครับ ผมเลยอาสาป้อนข้าวน้องต่อแทนแม่ ให้แม่ได้พักบ้าง ผมยังไม่ได้บอกใช่มั้ยว่าแม่ของผมทำงานอะไร ตอนที่แม่ผมอยู่ที่ไทยก็ทำงานเป็นเลขาของบริษัทฝรั่งที่ผมเคยบอกไปแล้ว แต่พอย้ายมาที่สวิตกับพ่อแล้ว แม่ก็เขียนหนังสือขายครับ ไม่น่าเชื่อว่าแม่จะทำได้ แล้วกลับเป็นงานที่แม่ชอบมากเสียด้วยครับ


 
   แม่เล่าให้ผมว่าช่วงที่ย้ายมาสวิตใหม่ๆ แม่ก็หางานเลขาเหมือนเดิมครับ แต่บริษัทส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกคนจากชาติเดียวกันมากกว่า ทำให้ไม่มีบริษัทไหนอยากจ้างแม่ พ่อก็ปลอบใจแม่ คอยเป็นกำลังใจให้แม่เสมอ ทั้งที่จริงๆ แล้วพ่อสามารถดูแลแม่ได้โดยที่แม่ไม่ต้องทำงานเลยซ้ำ แต่แม่ไม่ชอบครับ แม่บอกรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีประโยชน์เลย




   แม่ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารบ้าง เป็นผู้ช่วยกุ๊กบ้าง แม่ผมไม่เกี่ยงงานหนักเลย พ่อผมนี่ถึงกับพูดว่าโคตรรู้สึกผิด เหมือนพาแม่มาลำบาก แม่ทำงานแบบนี้อยู่หลายปีครับจนกระทั่งท้องผม แม่เลยต้องลาออกจากงานเพราะพ่อผมขอร้องไว้ พ่อเลยเห็นผมเป็นเหมือนสวรรค์มาโปรดเลยล่ะครับ ช่วงที่แม่ตั้งท้องผม แม่อยากเก็บเรื่องราวและการดูแลระหว่างตั้งครรภ์ครับ แม่เก็บข้อมูลค่อนข้างละเอียด วันหนึ่งพ่อผมมาเห็นเข้าเลยคิดว่าน่าจะเอาข้อมูลเหล่านี้เผยแพร่ให้คนอื่นได้รับรู้บ้าง แม่เลยลองเสี่ยงส่งข้อมูลพวกนี้ไปที่สำนักพิมพ์ดูครับ แล้วเขาก็ตอบรับแม่ หลังจากนั้นแม่เลยเขียนหนังสือมาเรื่อยๆ




   ส่วนพ่อผมน่ะเหรอ อย่างที่คุณรู้ว่าพ่อผมเป็นสถาปนิก และเคยออกแบบบ้านให้ลุงกรณ์ พ่อผมย้ายมาที่นี่เพราะลุงกรณ์มาเปิดสาขาที่ต่างประเทศครับ แรกๆ ลุงกรณ์ก็เทียวไปเทียวมาอยู่แหละครับ พอบริษัทเริ่มอยู่ตัวได้แล้ว ลุงกรณ์ก็แทบจะไม่มาที่นี่เลย ปล่อยให้พ่อผมทำหน้าที่คล้ายๆ เฮียเมฆคือบ้านก็ยังออกแบบให้ และลุงกรณ์ก็สอนงานบริหารให้พ่อด้วย



   ตอนนี้ พ่อผมบริหารบริษัทแห่งนี้เต็มตัวแล้วครับ ลุงกรณ์ไม่ได้มาที่นี่อีก นอกจากมาเที่ยวเท่านั้น ลุงกรณ์ไม่เข้าบริษัทเลย ผมมารู้ทีหลังว่าลุงกรณ์ทยอยขายหุ้นของตัวเองแล้วให้พ่อซื้อไว้ ถ้าจะบอกว่าบริษัทนี้ลุงกรณ์ตั้งใจยกให้พ่อมั้ย ก็ดูจะไม่ผิดนักหรอกครับ เพราะหุ้นของลุงกรณ์ในบริษัทเหลือไม่ถึงสิบเปอร์เซนต์เลยมั้งครับ อีกยี่สิบเปอร์เซนต์ลุงกรณ์โอนให้เฮียเมฆ อีกหกสิบเปอร์เซนต์เป็นของพ่อ ส่วนที่เหลือยิบย่อยก็คนทั่วไปหรือพนักงานภายในนี่แหละครับ



   ผมป้อนข้าวเคลลี่หมดแล้วครับ ตอนนี้กำลังกินในส่วนของตัวเองอยู่ มองออกไปข้างนอกท้องฟ้าดูแจ่มใสเหมาะแก่การไปเดินเล่นรอบๆ ทะเลสาบ


   “แม่ครับ คีออกไปเดินเล่นนะ”


   “ค่ะ อิ่มแล้วเหรอ” แม่ถามไปอย่างนั้นเองครับ เพราะแม่มองอาหารในจานของผมที่หมดเกลี้ยงเรียบร้อย


   “ครับ เดี๋ยวคีพาน้องไปด้วยนะ”


   “ค่ะ จะเอารถเข็นไปหรือเอาเป้อุ้มน้องไปคะ แม่จะได้เตรียมให้”


   “เอาเป้อุ้มไปดีกว่าครับ จะได้คล่องตัว”


   “ไหวหรือเปล่า เคลลี่ตัวหนักกว่าเดิมแล้วนะคะ” แม่อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงผมครับ


   “ไหวสิครับ คีแข็งแรงนะแม่”


   “งั้นเดี๋ยวแม่ไปหยิบมาให้ค่ะ” แม่ผมหายเข้าไปที่ห้องนอนของเคลลี่ เดินออกมาอีกทีสัมภาระก็พร้อมครับ



   การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งการพาออกไปข้างนอก ยิ่งไม่ง่ายครับ เพราะนอกจากเราจะต้องเตรียมพร้อมเสื้อผ้าใส่ให้เด็กแล้ว ยังต้องมีอุปกรณ์เสริมด้วย ไม่ว่าจะเป็นผ้าอ้อม นม น้ำ กระดาษทิชชู่ เสื้อผ้าสำรองอีกสักชุด โอ้ย สารพัดครับ เพราะถ้าฉุกเฉินจะได้มีพร้อมครับ เด็กนั้นไม่สามารถรอหรืออดทนได้อย่างผู้ใหญ่แบบเราครับ



   แม่สวมเสื้อผ้าที่หนากว่าเดิมหลายชั้นให้เคลลี่ สวมหมวกไหมพรมให้ด้วย เคลลี่ดูจะรำคาญทีแรก แต่โชคดีที่มีสายมัดใต้คางเอาไว้ ทำให้แกถอดออกมาเลยไม่ได้ครับ ถุงมือ ถุงเท้า ผ้าพันคอประโคมใส่เข้าไปครับ อ้อ มีแผ่นทำความร้อนด้วยครับ แม่แปะไว้ข้างในเสื้อของผมและเคลลี่



   จัดการทำทุกอย่างครบแล้ว ผมสะพายกระเป๋าเป้ที่เป็นของใช้เคลลี่ไว้ แล้วอุ้มเคลลี่ใส่เป้อุ้ม โดยหันหน้าเคลลี่เข้าหาตัวครับ ปกติแล้วจะหันออกไปด้านนอกครับ แต่อากาศค่อนข้างเย็นมาก ผมไม่อยากให้แกต้องปะทะกับอากาศเย็นมากเกินไป โบกมือลาแม่แล้วก็เปิดประตูออกจากบ้านไป



   ทันทีที่เปิดประตูออกไป ลมเย็นปะทะหน้าเลยครับ คิดถูกแล้วที่หันหน้าเคลลี่เข้าหาผม เคลลี่ดิ้นเล็กน้อยเพราะตื่นเต้นที่ได้ออกไปนอกบ้าน ปกติแล้วเคลลี่ไม่ค่อยได้ออกไปที่ไหนหรอกครับ เพราะแม่ผมทำงานอยู่ที่บ้าน พี่เลี้ยงก็มาดูแลอยู่ที่บ้าน พอผมพาออกมาแบบนี้ก็ยิ้มร่าหน้าตาสดใสเลยล่ะครับ



   ผมเดินไปเรื่อยๆ ตามขอบริมทะเลสาบ อากาศดีมากครับ คนออกมาเดินเล่นกันค่อนข้างเยอะพอสมควร เดินไปได้สักพักก็พักนั่งลง อุ้มเคลลี่ออกมาจากเป้ ให้แกได้มองทิวทัศน์บ้างครับ



สักพักหนึ่งก็จับแกอุ้มเข้าเป้เหมือนเดิมแล้วก็เดินต่อไปจนถึงโอเปร่า เฮาส์ครับ ตรงนี้มีคนเยอะกว่าบริเวณริมทะเลสาบเสียเอีก ผมปล่อยให้เคลลี่ลงเดินเองครับ พอขาสั้นๆ แตะถึงพื้น เคลลี่ก็วิ่งเอาเป็นเอาตายเลยครับ ผมต้องก้าวยาวๆ กลัวตามไม่ทัน ความหนักที่แบกมา โล่งเลยครับ บ่าเหมือนได้พัก ผมก็เลยเดินตามเคลลี่ได้สบายๆ



   “เคลลี่ อย่าวิ่งครับ” ผมร้องบอกเคลลี่ เพราะแกวิ่งจริงจังมาก แต่เคลลี่ก็ไม่ได้ฟังผมหรอก ไม่ได้รู้ว่าไม่ฟังหรือไม่ได้ยินเลยด้วยซ้ำ


   เด็กล่ะครับ ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ พอเห็นวิ่งไล่จับแก เด็กดื้อมันก็คิดว่าผมกำลังเล่นด้วย เอาล่ะครับ วิ่งไล่กันอุตลุดเลย กว่าจะจับตัวได้เล่นเอาหอบหน้าหนาวเลย เหนื่อยกว่าเดิมสองเท่าเลยล่ะครับ


   “จับได้แล้ว” ผมอุ้มเคลลี่ขึ้นมาก่อนที่แกจะวิ่งหนีได้อีก เด็กไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยหรอกครับ เคลลี่หัวเราะเสียงดังเลยครับ



   ผมพาเคลลี่เดินเล่นอีกสักพักก็อุ้มแกเดินกลับบ้าน ถ้าอยู่นานกว่านี้เดี๋ยวแดดอาจจะแรง หน้าหนาวเราไม่รู้ว่าแดดแรงหรอกครับ แต่เด็กรับรู้ได้เร็ว ถ้าเคลลี่ไม่สบายจะยิ่งเหนื่อยไปกว่านี้ ผมก้าวเท้าเดินไปตลอดความยาวจนถึงหน้าประตูบ้าน มือข้างที่ว่างกำลังจะเอื้อมมือไปไขกุญแจแต่โทรศัพท์ในกระเป๋าผมก็สั่นขึ้นมาเสียก่อน



   ‘พี่เมฆ’



---------------------------------

คุณ ทฟเืนสรฟ : เดี๋ยวก็รู้แล้วนะคะ เฮีย come back เมื่อไหร่ น่าจะได้เคลียร์สักที อึดอัดแล้ว
คุณ Yara : พี่กันต์ไม่ใช่สปายป้าจันน้า เป็นการบังเอิญเจอกันจริงๆ เลยล่ะค่ะ
คุณ หมอตัวเปียก : นิสัยคีเค้าเลยล่ะค่ะ หนีปัญหาทุกอย่าง
คุณ Noi : คีมีเหตุผลของคีอยู่น่ะค่ะ เดี๋ยวเฉลยกันตอนหลังๆ นะคะ อย่าเพิ่งโกรธเจ้าคีเลย
คุณ Jibbubu : นั่นสิคะ เฮียเมฆตั้งใจหรือเปล่าเนี่ย
คุณ benzdekba : ไม่หายน้า เขมจะมาต่อทุกวันจันทร์ค่า

ตอนนี้เรื่องยังไม่เดินหน้าสักเท่าไหร่นะคะ เพราะไม่มีกะตังไปจ่ายค่าตัวเฮียเมฆ เฮียแกค่าตัวแพงค่ะ
แถมถ้าต้องพามาไกลถึงสวิต เขมยังต้องเก็บเงินให้เฮียเมฆอีกเยอะค่ะ เพราะฉะนั้น ตอนนี้ ตอนหน้าจะไม่เจอเฮียนะคะ  :hao5:
ตัดเงินค่าตัวข้อหาทำคีเวิ่นเว้อ ร้องไห้เสียใจค่ะ

เป็นอีกตอนที่เขมชอบ เขมชอบนิสัยพ่อของคีค่ะ กันเองกับลูกมาก ซ้ำยังเป็นคนละขั้วกับแม่ของคีมาก
คนที่ต่างกันสุดๆ ก็รักกันได้ค่ะ ^^ ถ้าพ่อไม่ใช่พ่อของคี เขมนี่คิดเลยอยากได้ตัวละครแบบนี้เป็นตัวเอกบ้างจัง

ขอบคุณสำหรับการติดตามและคอมเมนท์นะคะ คิดถึงคนอ่านทุกคนค่ะ แล้วเจอกันจันทร์หน้าค่ะ ^^  :mew1:






ออฟไลน์ lovenadd

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-11
เป็นเรื่องราวที่อ่านไป คันยุบยิบในหัวใจไป สนุกครับ ลุ้นไปกับคีย์

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พี่กันต์ แนะนำคี ดีมากกกกก
คี ชอบหนีไว้ก่อน ไม่มีใครสอนซะหน่อย
พ่อคี น่ารัก คุยเปิดอกกับลูกดีจริงๆ สอนลูกสุดยอด
“คี ความรักน่ะ ถ้าเราไม่เชื่อใจและซื่อสัตย์ต่อกัน
ไม่ว่าจะเพศไหนมันก็ไม่ยั่งยืน
พ่อคิดว่าคีน่าจะรู้ดีมากกว่าใครที่สุด
ว่าเมฆเป็นคนแบบไหน ยังไง
แล้วยิ่งความรักแบบผู้ชายกับผู้ชายแบบนี้
ถ้ายิ่งไม่เชื่อใจกัน ต่อให้อีกฝ่ายหนักแน่นแค่ไหน
สุดท้ายก็ทนไม่ได้หรอก เชื่อพ่อ”  :man1: :man1: :man1:
เคลลี่ ยิ่งน่าร้ากกก น่าฟัด น่าเอามาเลี้ยงซะเอง :mew1: :mew1: :mew1:
พี่เมฆ พูดน้อย เกินไปปะ
พูดน้อยก็ได้ แต่ขอให้รักคี จัดหนักๆ เลย :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-09-2016 22:44:13 โดย ทฟเืนสรฟ »

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1875
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
เป็นครอบครัวที่อบอุ่นมาก พี่เมฆมาเหนือนะเข้าทางพ่อตา ใจอยากให้คีได้มีเวลาไตร่ตรองมีเวลาค่อย ๆ คิดและตกผลึกความรู้สึกออกมาแล้วค่อยกลับไปเผชิญกับปัญหาได้สักที

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
รู้แล้วว่าคีย์เหมือนทั้งพ่อทั้งแม่เลย หน้าตาเหมือนแม่ แต่นิสัยเหมือนพ่อสุดๆ 555
พูดถึงเฮียเมฆ ตอนนี้คงอยากตามคีย์มาใจจะขาด แต่คนห่วงงานอย่างเฮียเมฆคงต้องเคลียร์งานก่อนใช่รึป่าวคะ อีกอย่างป้าจันอาจบอกว่าคีย์สัญญาว่าจะกลับมา เฮียเมฆก็คงรอ แต่จะทนรอได้นานแค่ไหนกัน
สำหรับคีย์ถ้าคีย์จะหนีมันก็ไม่แปลกนะ ใครเจออย่างนี้ถ้าใจไม่แข็งพอก็คงต้องหนีกันทั้งนั้น แล้วยิ่งมีเรื่องระแวงสงสัยมาก่อนหน้าแล้วด้วย คงคิดไปไกลล่ะ แต่ก็อย่างพี่กันต์ว่าล่ะนะ พนันได้เลยว่าเฮียเมฆไม่นอกใจคีย์แน่ๆ แต่ที่คีย์ไม่มั่นใจเพราะอะไรอันนี้เราอยากรู้มากค่ะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ดูเหมือนพ่อตาเข้าข้างพี่เมฆอยู่นะ เราว่าคีก็ควรใจเย็นแล้วใช้เหตุผลให้มากกว่าอารมณ์เหมือนที่พ่อว่านะเพราะไม่งั้นคงไม่ได้เคลียร์เรื่องปัญหาที่ค้างคารังคาซังกับพี่เมฆอยู่แน่ๆ เลย

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
เข้าใจความรู้สึกคีย์เพราะนิสัยเดียวกันเลย เหมือนคนไม่มีเหตุผลเนอะ ฮ่าๆ

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

+ 1 ให้ทุกคนแล้วนะคะ


ภูเขาลูกที่สิบ


   ผมไม่ได้รับสายของเฮียเมฆหรอก ปล่อยให้สัญญาณดับไปแบบนั้น ไม่ใช่ว่าไม่อยากรับแต่ไม่สะดวกรับครับ ตอนนี้ผมต้องแบกเจ้าเด็กอ้วนพลีกับของสะพายบนหลังอีก เฮียเมฆค่อยโทรมาใหม่ก็แล้วกัน ถ้าโชคดีผมว่างก็จะรับแน่นอน ไม่ต้องกังวลไปกันหรอกน่า


   “กลับมาแล้วครับ” ผมส่งเสียงบอกแม่ให้รู้ตัว


   “กลับมาแล้วเหรอคะ เดินเล่นสนุกหรือเปล่า” แม่เดินออกมาแล้วอุ้มเคลลี่ออกจากเป้ด้านหน้าของผมครับ เคลลี่หลับคอพับไปแล้ว ระหว่างเดินกลับมา ผมให้แกดื่มนมกล่องที่ติดตัวมาเพื่อไม่ให้เด็กน้อยหิวจนเกินไป แต่ก็นั่นแหละครับ เด็กหนอเด็ก หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน ยิ่งอากาศเย็นด้วยแล้ว หลับสบายเลยครับ


   “ก็ดีครับ อากาศหนาวมากผิดกับอากาศเมืองไทยคนละขั้วเลย”


   “นั่นสินะคะ เดี๋ยวแม่พาน้องไปนอนก่อนนะคะ เดี๋ยวมาทานมื้อเที่ยงกัน”


   “ครับแม่” ผมตอบรับแม่ไปแล้วก็เดินตรงขึ้นบันไดเข้าห้องตัวเองเหมือนกัน จัดแจงถอดเสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ อุปกรณ์กันความหนาวอีกหลายอย่าง โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง คนเดิมไม่ใช่ใคร



   เอาล่ะ อย่างที่ผมบอกไป ถ้าผมว่างผมก็จะรับสายของเฮียเมฆแน่นอน



   เอ ตอนนี้ผมกำลังว่างอยู่หรือเปล่าน้า



   อย่าเพิ่งต่อว่าผมสิครับ ผมรับก็ได้ รับแล้วคร้าบ



   “ครับ พี่เมฆ” ผมกดรับสาย พยายามพูดไม่ให้น้ำเสียงสั่น


   “คี” เสียงของเฮียดูดีใจ แต่ก็เหมือนร้อนรนอยู่ไม่น้อยทีเดียว นี่ผมเวอร์ไปหน่อยหรือเปล่า แค่คำพูดเดียว ผมกลับรับรู้ถึงความรู้สึกของเฮียได้มากขนาดนี้


   “ครับ?”


   “เป็นยังไงบ้าง” ผมรออยู่สักพักกว่าเฮียเมฆจะถามออกมาด้วยประโยคนี้ ผมลุ้นแทบตายนึกว่าเฮียจะพูดอะไรเสียอีก


   “สบายดีครับ”


   “ใจล่ะ เป็นยังไง” ไม่บ่อยนะที่เฮียจะถามถึงความรู้สึกของตัวผมแบบนี้


   “ก็ดีมั้งครับ”


   “มันไม่มีอะไร” คำพูดที่ไม่มีประธานหรือกรรมจากเฮียเมฆ นั้นเป็นสิ่งที่เฮียถนัดครับ แล้วผมก็ดันเข้าใจมันเสียด้วย ผมรู้ว่าเฮียหมายถึงเรื่องระหว่างเฮียกับพี่พีช


   “พี่เมฆกำลังจะบอกผมว่าการที่คนสองคน กอดกัน จูบกัน นั้นของพี่เมฆมันคือไม่มีอะไรอย่างนั้นใช่มั้ยครับ” ผมเริ่มเก็บอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ น้ำเสียงเริ่มจะสั่นขึ้นเล็กน้อย เฮียเมฆกำลังจะบอกอะไรกับผม สิ่งที่ผมเห็นพวกเขาทั้งสองคนจูบกันในวันที่เราทั้งหมดบังเอิญเจอกันที่ผับ หรือวันที่เขากอดกันเมื่อสองวันก่อน มันคือไม่มีอะไรอย่างนั้นเหรอ เฮียอยากให้ผมต้องเสียใจมากแค่ไหนกัน


   “พี่ไม่มีอะไรกับคุณพีช”


   “แล้วที่ผมเห็นมันคืออะไรครับ”


   “ฟังพี่อธิบายก่อน”


   “ถ้ามันไม่มีอะไร งั้นเรื่องระหว่างผมกับพี่เมฆก็คงไม่มีอะไรเหมือนกันด้วยใช่มั้ยครับ เพราะเราสองคนก็กอดกัน จูบกันเหมือนพี่กับพี่พีช ผมจะได้เข้าใจอะไรๆ ให้มันง่ายขึ้นกว่านี้”


   “มันไม่ใช่แบบนั้น คีไม่เชื่อพี่เหรอ”


   “ผมไม่อยากเชื่อพี่เมฆแล้วครับ ผมคิดว่าเรื่องของเรา ผมคงหวังอะไรไม่ได้อีกแล้ว” ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงของผมแหบแห้งตอนที่ผมพูดประโยคสุดท้ายออกไป


   “เรื่องของเรายังเหมือนเดิม พี่ยังเหมือนเดิม เชื่อพี่สิคี เชื่อพี่ บ้าเอ๊ย!! พี่อยากจะพูด อยากจะอธิบายต่อหน้า ไม่ใช่ทางโทรศัพท์แบบนี้!!” เสียงของเฮียเมฆร้อนรนชัดเจนครับ ผมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าเฮียเมฆยังเหมือนเดิมอย่างที่เฮียพูด


   “อย่าปลอบใจผมอีกเลย”


   “คีเชื่อพี่! เรื่องพี่กับคุณพีช มันไม่ใช่อย่างที่คีคิด” เฮียเมฆกำลังบังคับให้ผมเชื่ออย่างนั้นใช่หรือเปล่า


   “ผมเหนื่อย ไม่อยากฟังพี่เมฆแล้วครับ” ผมกำลังร้องไห้ ผมพยายามแล้วที่จะไม่ร้องไห้ พยายามที่จะหยุดความคิดฟุ้งซ่าน พยายามไม่คิดถึงเรื่องของเฮียเมฆ คิดว่าตัวเองน่าจะเข้มแข็งขึ้นมาบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วมันไม่ใช่เลย เฮียเมฆยังมีอิทธิพลต่อผมเสมอ


   “พี่จะรีบไปที่นั่น รอพี่”


   “ไม่ต้องหรอกครับ”


   “พี่จะรีบเคลียร์งานที่นี่ ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ คนดี มันไม่มีอะไรจริงๆ” คำพูดของเฮียเมฆทำให้ผมรู้สึกเหมือนยังเชื่อใจเฮียเมฆต่อไปได้ แต่ผมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองเหมือนเคย ผมไม่ได้ตอบรับคำพูดของเฮีย มือผมสั่นตอนกดวางสาย และร้องไห้ต่อไปอีกสักพักใหญ่ จนร่างกายเหนื่อยและน้ำตาหยุดไหลไปเอง



   ผมงี่เง่าเกินไปหรือเปล่า หรือคุณคิดว่าผมยังควรเชื่อเฮียเมฆต่อไปอีกดีมั้ย ผมไม่มั่นใจอะไรเลยสักอย่าง หรือผมใกล้จะเป็นบ้าหรือยัง



   “คีคะ ทานข้าวได้แล้วค่ะ” เสียงของแม่ดังขึ้นมาจากชั้นล่าง ผมรีบขานรับแล้วบอกจะลงไปเดี๋ยวนี้ ผมลุกขึ้นเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำอย่างลวกๆ แล้วลงไปที่โต๊ะอาหาร


   “หน้าตาดูไม่ค่อยสบาย จะป่วยหรือเปล่าคะ” ผมพยายามก้มหน้าก้มตาทานอาหารตรงหน้า ไม่อยากให้แม่ต้องเห็นดวงตาที่ช้ำ จมูกที่ยังแดงอยู่ครับ แต่แม่ก็คือแม่ครับ ผมไม่สามารถหลีกเลี่ยงสายตาของท่านได้ แม่ผมฉลาดเกินกว่าจะทักออกมาตรงๆ จึงพูดกับผมอีกแบบหนึ่ง


   “ก็นิดหน่อยครับ สงสัยคงเป็นเพราะออกไปเดินเล่นเมื่อตอนเช้า”


   “โถ สงสารลูกแม่เสียจริง เดี๋ยวทานข้าวเสร็จแล้วก็นอนพักเลยนะคะ อ้อทานยาด้วยดีกว่า แม่กลัวคีจะไม่สบาย ถ้าพ่อกลับมาต้องบ่นแม่แน่ๆ เลยค่ะ”


   “ไม่ป่วยหรอกครับ”


   “ทานยาดักไว้ก่อนดีกว่าค่ะ เชื่อแม่นะคะ”


   “ครับแม่” ผมยิ้มให้แม่คนสวยของผม แม่เดินไปหยิบยามาให้ผมทันทีเมื่อเห็นว่าผมอิ่มแล้ว ผมบอกขอบคุณแม่เสร็จแล้วก็ขึ้นไปห้องนอนของตัวเองอีกครั้ง



   ผมเตรียมนอนพักตามที่แม่บอกโดยไม่บิดพลิ้วเลยแม้แต่น้อย แต่ผมยังไม่ค่อยง่วงก็เลยคว้าโทรศัพท์มากดเล่นเสียหน่อย ผมเปิดโปรแกรมแชทยอดฮิตของคนไทยขึ้นมาเปิดดู มีข้อความเข้ามาจากคนสองสามคนครับ ไม่ว่าจะพ่อของผมเอง



   พ่อของผมเนี่ยคือยังไงดีล่ะ รักลูกมาก หลงลูกมาก ไม่หายเห่อลูกเลยครับ พ่อทักผมในโปรแกรมแชทแบบนี้ทุกวัน และแทบทุกเวลาที่พ่อจะมีเวลาว่าง ผมไม่ค่อยอยากจะกดเข้าไปหรอกครับ แต่ถ้าไม่อ่านเลยพ่อจะโทรมาครับ แล้วคราวนี้ล่ะยาว เพราะพ่อจะพร่ำพรรณนาความรู้สึกที่แทบจะล้นใจของพ่อให้ผมฟัง ผมไม่อยากต้องแคะหูรอ พ่อส่งมาบอกว่า


‘รักนะ ไอ้ตี๋’ นี่เหมือนแบบเลียนประโยค รักนะเด็กโง่หรือเปล่า แค่ประโยคแรกก็ชวนอ้วกแล้วครับ ถ้าคิดว่ามีแค่ประโยคเดียวนี่ผิดถนัดครับ



‘แล้วตี๋ รักพ่อหรือเปล่าคร้าบ’ บอกผมหน่อยสิครับ ผู้ชายวัยเกือบห้าสิบ ถึงหน้าตาจะดูเหมือนสี่สิบก็เถอะ แต่นิสัยดูเหมือนจะไม่เกินสิบขวบล่ะมั้งเนี่ย ไม่รู้ลุงกรณ์กล้าไว้ใจให้ดูบริษัทได้ยังไง น่ากลัวบริษัทจะเจ๊งจริงๆ


‘แน่ะ ไม่อ่านเลย ไม่รักกันแล้วเหรอ’ คือถ้าบอกว่าพ่อคุยกับกิ๊กหรือเมียคนใหม่ดูท่าทางจะน่าเชื่อเสียกว่าว่าจะคุยกับลูกชาย ผมละเพลียกับพ่อจริงๆ


ผมส่ายหน้ากับข้อความของพ่อที่ส่งมาทั้งหมด ถึงจะบ่นไปแบบนั้น แต่ไม่รู้ทำไม ผมกำลังยิ้ม ผมรู้สึกสบายใจขึ้น ผมรู้ว่าผมยังมีพ่อ มีแม่ มีเคลลี่ที่รักผม แต่ผมก็ตอบไม่ได้ถ้าผมไม่มีเฮียเมฆผมจะทำยังไง ผมกดตอบข้อความของพ่อไปสั้นๆ


‘รักสิครับ คนดี คนปัญญาอ่อนของผม’ ส่งไปไม่นาน พ่อก็ส่งกลับมาเลยครับ สงสัยรอข้อความจากผมอยู่เหมือนกัน


‘ไอ้ลูกเวร!!’ ผมหลุดขำก๊ากออกมาเลย ผมเลยง้อโดยการส่งสติ๊กเกอร์เป็นรูปหมีสองตัวกอดกัดพร้อมหัวใจที่ฟูฟ่องกลับไปให้พ่อแทน ไม่นานพ่อผมก็ส่งสติ๊กเกอร์กลับมาเหมือนกัน เป็นพ่อที่ทันเทคโนโลยีครับ สติ๊กเกอร์มีเสียงด้วยนะ กดฟังก็ได้ยินว่า
‘รักนะ จุ๊บๆ’ เป็นไงล่ะ พ่อผมน่ารักมั้ย คุณล่ะครับ อยากได้พ่อแบบนี้สักคนมั้ยครับ



ผมไล่ดูข้อความถัดไปเป็นพี่กันต์ครับ จำพี่กันต์ได้มั้ยเอ่ย ที่ผมเจอกับพี่เขาบนเครื่องบินไงล่ะครับ พี่กันต์ส่งรูปที่ไปเที่ยวมาตอนนี้พี่กันต์อยู่ที่เมือง Luzern ครับ อยู่ไม่ไกลจากเมืองที่ผมอยู่เลยล่ะครับ รูปที่ส่งมาเป็นสถานที่ยอดฮิตของนักท่องเที่ยวครับคือโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ และสะพานไม้เก่าแก่ของที่นั่นด้วยครับ ไว้วันหลังเดี๋ยวผมจะพาคุณไปเที่ยวกับเคลลี่นะครับ



   ผมเลยตอบข้อความพี่กันต์ไปว่า ‘รูปสวยครับ’ แล้วก็ส่งสติกเกอร์เป็นรูปหมีน้อยชูมือไชโยเหมือนดีใจอะไรสักอย่าง ซึ่งมันเกี่ยวกับข้อความที่ผมส่งไปมั้ย ก็ไม่ แต่อยากส่งรูปนี้ครับ ช่างมันเถอะนะ



   คนถัดไปก็เป็นเฮียเมฆนั่นแหละครับ ก็พูดเป็นคำๆ ตามประสาเหมือนเดิมมีถามว่า


‘พักผ่อนเยอะๆ’


‘ดูแลตัวเองด้วย’


‘จะรีบมา’ และจบลงด้วยประโยคที่ทำเอาผมแทบหยุดหายใจทุกที


   ‘ขอโทษ’ ยิงลูกเข้าประตูแม่นตลอดเลยนะ เฮียเมฆ



   แล้วก็มาถึงคนสุดท้าย หมดสักที ทุกคนลืมไอ้ธรกันไปหรือยังครับ มันส่งข้อความหาผมเยอะมาก นี่มันไม่หลับไม่นอนกันหรือไงวะ ผมกวาดตาอ่านคร่าวๆ ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ นอกจากหลักๆ ที่มันเป็นห่วงสภาพจิตใจของผม ขี้เกียจตอบครับ โทรหามันเลยดีกว่า ขอบคุณอินเทอร์เน็ตที่ทำให้เราโทรหากันฟรี เอ สโลแกนไปซ้ำกับของใครบ้างหรือเปล่านะ



   ผมรอไม่นาน ไอ้เพื่อนตัวดีของผมก็รับสายครับ พอมันเห็นว่าเป็นผมโทรผ่านโปรแกรมเข้ามาเท่านั้นแหละ มันก็รีบพูด รีบด่าผม จนผมตอบมันไม่ทันเลย ผมเลยปล่อยให้มันพูด จนกว่ามันจะเหนื่อยไปเองดีกว่า


   “ไอ้คี มึงยังอยู่หรือเปล่าวะ ตายไปยัง” มันเห็นผมเงียบ ไม่ตอบอะไรเลยเช็คสภาพครับ


   “เออ ยังอยู่ดี”


   “แล้วทำไมไม่เห็นคุยกับกูเลยวะ”


   “กูจะตอบมึงได้ไงวะ ไอ้ธร มึงรีบพูดอย่างกับคนสั่งลาตายอย่างนั้นแหละ” ผมหัวเราะที่ด่ามันไปได้หนึ่งดอก


    “กูต่างหากมั้งที่ต้องคิดว่ามึงจะลาตาย”


   “กูไม่ยอมตายก่อนมึงหรอก ไอ้ธร”


   “สัญญากับกูสิ” ไอ้ธรเสียงเข้มมาเลยครับ ลึกๆ แล้วมันคงกลัวผมจะประสาทแดก ฟุ้งซ่าน โดดแม่น้ำเจ้าพระยาอะไรทำนองนั้นแหละ แต่ผมกลับเลือกข้ามโลกมาแบบนี้ มันคงยิ่งเป็นห่วง


   “เออ กูสัญญา พอใจยัง”


   “ดีมาก แค่นี้กูก็ยังคอยด่ามึงได้ไปอีกนาน”


   “ทำไมวะ ไม่ได้ด่ากูแล้วมันจะลงแดงตายเหรอวะ”


   “ก็ไม่เชิง คันปากว่ะ”


   “ให้กูเอาตีนเกาปากให้มั้ยครับเพื่อน” ผมกวนประสาทมันไปอีกที


   “สัด มึงเอาไปเกาปากพ่อมึงเหอะ” ไอ้ธรพูดจบก็เหมือนเพิ่งจะนึกได้ว่าประโยคตะกี้ดูเหมือนจะมีชื่อต้องห้ามปนอยู่ด้วย พอมันเห็นว่าผมเงียบไป มันเลยรีบขอโทษขอโพยผมใหญ่


   “กูไม่ได้ตั้งใจ” น้ำเสียงไอ้ธรยังกับหมาหงอยที่ไปกัดรองเท้าแล้วโดนดุเลยครับ


   “กูไม่โกรธมึงหรอกน่า กูรู้ว่ามึงมันโง่ ไม่มีสติพอที่จะสำนึกได้ว่าอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด” ผมไม่ได้โกรธมันหรอกครับ ที่เงียบไปก็แค่แอคติ้งการแสดงเท่านั้น


   “เดี๋ยวนะ นี่มึงไม่ได้โกรธกูจริงๆ หรือว่าอาฆาตแค้นกูอยู่เนี่ย คำพูดของมึงดูด่ากูเต็มๆ นะ”


   “มึงเพิ่งรู้ตัวเหรอ ไอ้โง่ธร” ผมหัวเราะเต็มที่ใส่ไอ้ธรเลยครับ


   “ครับๆ สะใจเหลือเกินนะครับ ชายคี อย่าให้ถึงทีกูบ้างนะ กูจะซัดไม่ยั้ง”


   “กูจะรอนะครับ แต่คงอีกนานกว่ามึงจะหายโง่”


   “กลับมามหาลัยเมื่อไหร่ กูจะรอเตรียมถีบหน้ามึงแน่ ไอ้คี”


   “ทำจริงไม่กลัว กลัวแค่ปากดีครับ แล้วผมจะรอนะครับ ชายธร”


   “เหอะ ไอ้สัด”


   “แล้วปิดเทอม มึงทำอะไรล่ะ”


   “ก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันว่ะ พ่อกูก็ทำงาน แม่กูก็อยู่บ้าน เมื่อไหร่มึงจะกลับวะ”


   “ยังไม่รู้เลยว่ะ”


   “แต่มึงจะกลับมาใช่มั้ย”


   “กลับสิวะ” ผมตอบไอ้ธรให้มันได้สบายใจ อีกอย่างผมก็รับปากป้าจันไปแล้วด้วยเหมือนกันว่าจะกลับไปเรียนให้จบ


   “เรื่องพ่อมึงล่ะ โอเคมั้ย?”


   “ไม่ว่ะ”


   “กูไม่รู้จะปลอบมึงยังไง แต่ยังไงมึงก็ควรฟังจากปากเขาก่อนนะ”


   “กูไม่ค่อยแน่ใจอะไรเลยว่ะ” ผมถอนหายใจเสียงดัง พอเป็นเรื่องเฮียเมฆทีไร เครียดทุกทีครับ


   “ไอ้คี มึงรู้จักพ่อมึงดีกว่าใคร เชื่อในตัวพ่อมึงให้มากๆ กูพูดได้แค่นี้”


   “อะไรทำให้มึงมั่นใจในตัวเฮียเมฆนักวะ กูเห็นมึงเข้าข้างเฮียตลอด” ผมสงสัยมานานแล้วเหมือนกัน เวลาผมมีปัญหากับเฮียเมฆทีไร ไอ้ธรมันจะบอกให้ผมฟังเฮียก่อนตลอด


   “เรื่องพ่อมึงทีไรโง่ตลอดนะ ไอ้คี ควายเอ๊ย”


   “อ้าว ไอ้สัด กูถามดีๆ ไหงมึงมาด่ากูเนี่ย ถ้าอยู่ใกล้มือกูนะ จะตบให้คว่ำ”


   “ในเมื่อมึงโง่ไม่สิ้นสุด กูจะบอกให้เอาบุญ ไหว้กูซะด้วย” ไอ้ธรพอได้โอกาสก็รีบเลยนะครับ เพื่อนรัก


   “คร้าบ สาธุ คร้าบ พ่อคนฉลาด”


   “กูน่ะเป็นคนนอกระหว่างมึงกับพ่อมึง ถูกมั้ย?”


   “ก็ถูกมั้ง”


   “มั้งไรวะ ไอ้นี่ ตอนมึงนอนด้วยกัน กูได้เข้าไปนอนด้วยมั้ย”


   “ไม่โว้ย” ผมเสียงดังใส่มันเลยทีเดียว


   “ก็ใช่ไง กูเลยเป็นคนนอกยังไงล่ะ”


   “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่กูถามไปวะ”


   “ใจร้อนจริงเว้ย ฟังต่อ กูที่เป็นคนนอกเนี่ย จะเห็นอะไรได้ดีกว่าคนในอย่างมึงยังไงล่ะ”


   “มึงเห็นไรวะ นิมิต?”


   “สัด นิมิตพ่อมึงดิ กินตีนกูมั้ยครับ จะฟังกูต่อมั้ย” ไอ้นี่พอได้ที ปากจัดด่าผมต่อเนื่องเลยนะครับ ยอมมันไปก่อนครับ เดี๋ยวค่อยตบหัวตัดหางมันคืนทีหลัง


   “ฟังๆ พล่าม เอ๊ย พูดต่อได้เลย” ผมรีบพูดก่อนที่มันจะเปลี่ยนใจเพราะความเล่นตัวของมันน่ะครับ


“กูไม่รู้ว่ามึงเห็นอะไรจากพ่อมึงบ้างหรือเปล่า แต่เวลาที่เขามารับมึง หรือคุยกับมึงน่ะ สายตาของเฮียเมฆอยู่แต่กับมึงเว้ย กูไม่รู้จะอธิบายยังไงให้มึงเข้าใจง่ายๆ แต่เอาเป็นว่าสายตาของพ่อมึงเนี่ย มีแต่มึงคนเดียวในสายตาของเขานั่นแหละ แล้วมันก็เหมือนที่มึงเห็นพ่อของมึงเพียงคนเดียวเลย ยิ่งทำให้กูพูดได้เต็มปากไงว่า เรื่องที่มึงบ้าบอกังวล ห่าเหวไรนั่น มันไม่มีทางเป็นไปได้หรือเกิดขึ้นได้เลย”


   “แต่มันเกิดขึ้นไปแล้วนะเว้ย กูเห็นเองกับตา”


   “กูถึงบอกให้มึงรอฟังเฮียเมฆพูดก่อน เขาน่าจะมีคำตอบที่ดีให้มึงแน่นอน แล้วดูที่มึงทำดิ เพ้อเจ้อปัญญาอ่อนวิ่งหนีข้ามโลกมา เพื่ออะไรวะ เด็กจริงๆ”


   “เออ กูก็แค่คิดถึงครอบครัวกูครับ มึงเองก็ทำพูดดีไป ด่ากูเข้าไปนะ ถ้ามึงอกหักเมื่อไหร่นะกูนี่แหละ จะคอยซ้ำมึงให้จมดินคาตีนกูเอง” หมั่นไส้ครับ หมั่นไส้ ได้ทีมึงด่ากูไม่ยั้งเลยนะ ไอ้ธร ไอ้เพื่อนเลว


   “ให้ถึงวันนั้นก่อนเถอะ หึหึ” ไอ้ธรสะบัดเสียงใส่ผม มันไม่เคยมีแฟนเลยครับ มันไม่อยากจริงจังกับใคร คนปากดีอย่างผมหรือไอ้ธร เอาเข้าจริงปอดแหกเรื่องความรักครับ กลัวว่าตัวเองจะเจ็บ กลัวว่าจะทรมาน เลยต้องทำอะไรที่มันย้อนแย้งแบบนี้


   “แค่นี้?” ผมถามมันกลับไป เมื่อเห็นว่ามันเงียบไปแล้ว


   “อะไรแค่นี้”


    “ไอ้เรื่องที่กูถาม มึงคิดเอาเองจากที่เห็นแล้วมึงก็มั่นใจเรื่องเฮียเมฆอย่างนั้นใช่มั้ยวะ”


   “ไอ้คีเอ๊ย กูไม่รู้จะด่ามึงว่ายังไงดีแล้วเนี่ย มึงทำอย่างกับมึงกับพ่อมึงเนี่ยเพิ่งรักกันเมื่อต้นปีอย่างนั้นแหละ ยกนิ้วมานับดูสิ มึงคิดไม่ซื่อกับลูกชายบ้านนี้มากี่ปีแล้ว แล้วพ่อมึงเนี่ย อดทนกับมึงมากี่ปีแล้ว ขอร้องเหอะว่ะ เรื่องบางเรื่อง เลิกโง่เหอะ ถ้าตาของมึงมันบอด กูจะควักตามึงไปบริจาคเอง เสียดายของว่ะ”


   “ด่าไม่มียั้งเลยนะครับ เพื่อน”


   “แน่นอน โอกาสงามๆ กูปล่อยผ่านก็โง่เต็มทนแล้ว”



หลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็เปลี่ยนเรื่องสนทนามาเป็นเรื่องทั่วๆ ไป ครับ ผมพูดคุยกับมันต่ออีกสักพักก็วางสายลง คุยนานเหมือนกันแฮะ ผมย้อนไปคิดถึงคำพูดของมันที่ถามว่าผมคิดกับเฮียเมฆเกินกว่าพี่ชายมันกี่ปีแล้ว ผมบ้าจี้ตามคำพูดไอ้ธร ยกนิ้วมือขึ้นมานับดู นานพอดูเลยล่ะ ตั้งสองปีกว่าแล้ว หยวนๆ เป็นสามปีละกันครับ



เอ๋?!? แค่สามปีเองเหรอครับ ไม่ใช่ตั้งสามปีเหรอ ผมคิดว่ามันค่อนข้างนานแล้วนะเนี่ย เดี๋ยวนะ งั้นที่ผมเป็นบ้าเป็นบอกับรักสองปีกว่านี่ผมโอเวอร์ไปหรือเปล่า มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก จะสองสามปี หรือกี่สิบปี อกหักมันก็ต้องเศร้า ต้องเสียใจอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ




   ผมกลับมาอยู่ที่บ้านได้สัปดาห์กว่าแล้วล่ะครับ หลังจากวันที่ได้รับโทรศัพท์คุยกับเฮียเมฆแล้วผมก็ไม่รับโทรศัพท์เฮียแกอีกเลย ผมไม่รู้ว่าเรามีอะไรให้คุยกันอีก แต่เฮียก็ส่งข้อความมาตลอดนะครับ ดูจากลักษณะการส่งขึ้นอยู่กับความว่างเป็นส่วนใหญ่ ผมก็ได้แต่อ่านโดยไม่ตอบอีกเช่นกัน




ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter



   มื้อเย็นของบ้านวันนี้แม่ทำไก่อบกับสลัดผักง่ายๆ ส่วนของเจ้าเด็กดื้อนี่เป็นไก่อบที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ง่ายต่อการเคี้ยวและไม่ต้องกังวลว่าจะกลัวติดคอ มีผักสดที่หั่นสวยงามเป็นคำๆ แล้วเช่นกัน ข้างๆ เป็นขนมปังอบใหม่ๆ หอมไปทั้งบ้านเลยครับ ขอโม้นิดนึงละกัน แม่ผมทำขนมปังอร่อยมากเลยนะครับ เรื่องของเรื่องคือผมไม่ค่อยชอบทานสลัดเท่าไหร่ แต่แม่ไม่สนใจและบอกให้ผมทานผักเยอะๆ ตอนนี้ก็เลยทำหน้าบูดใส่แม่เป็นการประท้วงเล็กๆ



   “ไอ้ตี๋ ทำไมทำหน้าแบบนั้น” พ่อผมเองครับ พี่แกมองหน้าผมแล้วก็หัวเราะที่ผมทำหน้าตาแปลกๆ ตอนทานสารพัดผักพวกนี้เข้าปากไป


   “คีไม่ชอบอ่ะ พ่อช่วยผมกินหน่อย”


   “เฮ้ยๆ ไม่เอา ของใครของมันสิ อย่าเอามาใส่จานพ่อนะเว้ย”


   “สองพ่อลูกคะ บนโต๊ะอาหารพูดจาให้มีมารยาทด้วยค่ะ อีกอย่างนึง ช่วยทานเงียบๆ อย่างเคลลี่จะดีกว่ามั้ยคะ” แม่ผมปรามขึ้นมาเบาๆ ครับ ผมกับพ่อเงียบแทบไม่ทัน เอาเข้าจริงแล้ว พ่อผมก็ไม่ได้ชอบผักเท่าไหร่หรอกนะ แต่แม่ไม่อยากให้ทุกคนในบ้านต้องอ้วนพุงแตกตายกันไปเสียก่อน ก็ต้องมีมื้อสุขภาพกันบ้าง ผมเลยได้แต่มองจานของเคลลี่ที่ตอนนี้ผมรู้สึกอยากแย่งมากินเองมากครับ เจ้าหนูก็ทำหน้าทำตาว่าอาหารอร่อยมากมาย เห็นแล้วอิจฉาแกมหมั่นไส้เจ้าตัวเล็กนี่จริงๆ ผมเลยหยิกแก้มยุ้ยๆ นั่นเล่นไปทีหนึ่ง โดนแม่ตีมือเลยครับข้อหาแกล้งน้อง


   “ตี๋ พ่อได้บัตรที่พักห้องชุดโรงแรมมาว่ะ ลูกค้าที่เมืองลูเซิร์นเอามาฝาก”


   “ครับ แล้วไง” ผมพูดทั้งที่ผักยังเต็มปาก เพราะผมกำลังก้มหน้าก้มตาจิ้มผักยัดเข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตาย รีบเคี้ยวรีบกลืน จะได้หมดๆ เสียที


   “พ่อเพิ่งเอาบัตรมาดูมันจะหมดอายุคืนพรุ่งนี้ว่ะ ไปพักแทนพ่อทีดิ”


   “อ้าว แล้วทำไมไม่ไปด้วยกันหมดเลยล่ะครับ ไหนบอกเป็นห้องชุดไม่ใช่เหรอ” ผมยังไม่เงยหน้ามาคุยกับพ่ออีกเช่นเคย


   “ก็ทีแรกพ่อก็ตั้งใจจะพาไปด้วยกันหมดนี่แหละ แต่พรุ่งนี้มีประชุมสำคัญ งานนี้ก็เลยอด แต่จะทิ้งบัตรก็เสียดาย เอาเป็นว่าลูกเอาไปใช้แทนพ่อที”


   “เอารถพ่อมายืมด้วยสิครับ คีจะได้พาแม่กับน้องไปเที่ยวด้วย”


   “เฮ้ย ไม่ได้เว้ย แม่แกต้องอยู่กับพ่อสิ” ผมเงยหน้าจากชามสลัดนั่นได้สักที หมดแล้วเว้ย ดีใจมาก ในใจแทบจะตีกลองรัว แต่เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ทำไมสายตาของพ่อดูแปลกๆ ชอบกลแฮะ


   “อะไรกันอ่ะพ่อ อย่าหวงแม่ไปหน่อยเลย”


   “ไม่ต้องเถียงกันหรอกทั้งสองคน แม่ไม่ไปหรอกค่ะ”


   “ทำไมล่ะครับ แม่” ผมถามแม่ออกไปทันที


   “แม่กลัวบ้านเละเทะค่ะ ปล่อยให้พ่ออยู่บ้านเองคนเดียวทีไร แม่อยากจะขายบ้านทิ้งแล้วซื้อใหม่เลยค่ะ” แม่ผมทำหน้าลำบากใจ แม่เป็นห่วงทั้งผมและพ่อ แต่แม่ก็ห่วงตัวเองเหมือนกัน เพราะพ่อเนี่ยเหมือนเด็กไม่รู้จักโตนั่นแหละครับ อยู่ดีมีสุขทำตัวเป็นคนปกติได้ทุกวันนี้ก็เพราะบารมีของแม่โดยแท้จริง


   “แม่ไม่ห่วงคีเหรอครับ” ผมส่งสายตาอ้อนแม่อย่างรุนแรง


   “ไม่ว่าจะคีหรือพ่อ คนไหนแม่ก็ห่วงทั้งนั้น แต่แม่น่ะห่วงแม่เองมากกว่า” แม่ผมพูดติดตลกแล้วก็ลุกขึ้นเอาจานเข้าไปเก็บในครัว


   “แม่ !!” ผมกับพ่อ เรียกชื่อแม่ออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ตอนนี้ซึ้งในความรักของแม่กันแล้วครับ


   “อ้อ พาเคลลี่ไปด้วยนะคี ดูแลน้องดีๆ ล่ะ”


   “ไม่ไหวมั้งครับแม่” ผมเริ่มโอดครวญ ลำพังตัวผมคนเดียวคงไม่เป็นไร แต่ถ้าพาเจ้าเด็กดื้อนี่ไปค้างคืนด้วยล่ะก็ งานนี้ดูท่าว่าจะเป็นงานหินครับ


   “ต้องไหวสิคะ เราน่ะต้องทำให้ได้มากกว่าหน้าที่พี่ชายนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็นั่งรถไฟไปนะคะ สะดวกดี” แม่จัดการเองเสร็จสรรพ


   “โธ่ แม่ครับ” ผมเรียกแม่เพื่อร้องขอความเห็นใจเป็นครั้งสุดท้าย


   “แม่เชื่อว่าคีทำได้อยู่แล้วค่ะ” แม่พูดจบก็ขอตัว แล้วพาเคลลี่เข้านอน แล้วก็ไปเตรียมของใช้จำเป็นสำหรับค้างคืนให้เด็กน้อย ตอนนี้ผมกับพ่อเลยนั่งมองหน้ากันแค่สองคนบนโต๊ะอาหาร


   “อิ่มยังวะ ไอ้ตี๋” หางของพ่อโผล่มาแล้ว


   “อิ่มแล้วดิ พ่อ” ผมมองชามเปล่าที่อยู่ตรงหน้า บอกใบ้ให้พ่อรู้ว่าไม่เห็นเหรอถามทำไม


   “มึงกินหมดได้ไงวะ สลัดผักชามเบ้อเร่อ”


   “ว่าแต่คี ดูตัวเองเถอะ กินไม่เหลือเหมือนกันนั่นแหละว้า” ผมมองชามเปล่าของพ่อแล้วเราก็พากันหัวเราะในการกระทำของตัวเอง


   “ใครจะกล้าขัดใจแม่มึงล่ะ”


   “ก็รู้กันอยู่แล้วจะพูดทำไมวะ พ่อ”


   “ก็ดีแล้ว พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องออกเช้ามากหรอก ลูเซิร์นอยู่ใกล้แค่นี้เอง”


   “อืม แต่ว่าคีไม่ไปไม่ได้เหรอ”


   “มึงรู้มั้ยคนที่คิดจะให้มึงไปน่ะ ไม่ใช่กู” พ่อพูดพลางหยิบขนมปังมาฉีกกินเพิ่ม


   “เดี๋ยวก็อ้วนพุงโย้ โดนแม่ทิ้ง ถ้าแม่ทิ้งพ่อนะ คีจะหัวเราะให้ฟันร่วงเลย แล้วใครที่ต้นคิด?” ผมทักพ่อเชิงด่าเสร็จแล้วก็ถามถึงใจความสำคัญ


   “แม่มึงรักกูจะตาย ขนาดให้เลือกระหว่างไปเที่ยวกับมึงหรืออยู่บ้านกับกู เขายังเลือกอยู่กับกู ไม่ว่ากูจะเป็นยังไง เขาไม่มีทางทิ้งกูหรอก รู้ไว้ซะด้วย ส่วนคนที่ต้นคิดนั่นน่ะ แม่มึงไงครับ ลูกรัก” พ่อผมตอบเรื่องแรกเสร็จแล้วก็ตามมาด้วยใจความสำคัญอีกเช่นกัน เอ เดี๋ยวนะ ผมกับพ่อนี่มันยังไง ถึงคุยกันทีละสองสามเรื่องไปพร้อมกันแบบนี้


   “นั่นเพราะว่าแม่กลัวพ่อจะทำบ้านสกปรกต่างหากเล่า คนอะไรแก่จนอายุปูนนี้ยังทำตัวเหมือนเด็กๆ อยู่บ้านเองคนเดียวก็ไม่ได้ อ่อนชะมัด แล้วทำไมแม่ถึงคิดอะไรแบบนั้นวะพ่อ”


   “มึงนี่ไม่ได้สักซีกความฉลาดของกูไปเลยนะไอ้ตี๋ นั่นเขาเรียกว่าเป็นแผน เว้ย แผนการณ์ ทำยังไงให้แม่มึงต้องอยากอยู่กับกูตลอดไป วันก่อนแม่มึงอยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่าหน้าตามึงดูไม่ค่อยสดใส อยากให้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”


   “แผนปัญญาอ่อนของพ่อน่ะสิ มีอย่างที่ไหน ตัวเองขาดความรักแล้วก็ไม่ให้แม่ลูกไปเที่ยวด้วยกัน บาปหนักมากเลยนะ ตกนรกแน่ๆ แล้วคีดูไม่ค่อยสดใสตรงไหนวะพ่อ หรือหน้าคีหมองคล้ำ มีสิวฝ้า รอยกระ จุดด่างดำ” ผมจับหน้าตัวเองดึงไปดึงมาด้วยความสงสัยว่ามันผิดปกติตรงไหน


   “ปัญญาอ่อนตรงไหน เขาเรียกว่าแผนฉลาดล้ำลึก คนโง่ๆ อย่างมึงคิดไม่ได้หรอก ไอ้ตี๋ ไหนกูขอดูหน้ามึงหน่อย” พ่อหยิกแก้มผมแรงไม่ยั้งมือเลย


   “โอ้ย พ่อ คีเจ็บนะ” ผมลูบแก้มที่มีรอยแดงเห่อขึ้นมาทันใจ


   “สมน้ำหน้า ชอบด่ากูนัก” พ่อหัวเราะในลำคอด้วยความสะใจ เรายังรักกันอยู่ใช่มั้ย


   “แล้วหน้าคีผิดปกติหรือเปล่าล่ะ ดึงหน้าคีซะเต็มแรงเลยนะ”


   “มึงนี่นะ แสดงออกทางสีหน้าชัดจะตายไป คิดอะไรอยู่ แล้วยังทำหน้าเหมือนกับมีใครตายแบบนี้น่ะ
ใครเห็นแล้วไม่รู้ก็โง่เต็มที”


   “หน้าคีแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอ”


   “เออดิวะ ยิ่งตาของมึง ยิ่งแสดงชัด เศร้าอย่างกับเล่นละครดอกโศกอะไรอย่างนั้น”


   “เรื่องอะไรวะ พ่อ ไม่เคยได้ยิน” ละครเรื่องอะไรกันครับ มีใครรู้จักบ้าง


   “ช่างมันเถอะ คิดซะว่าเปรียบเปรย”


   “แล้วทำไมต้องพาเคลลี่ไปด้วย ผมกลัวจริงๆ นะเนี่ย” ผมชักเริ่มหนักใจครับ ผมไม่ได้กลัวการอยู่กับเคลลี่อยู่แล้ว แต่ถ้าต้องดูแลแกตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนี้ ผมล่ะกลัวว่าจะทำไม่ได้จริงๆ


   “อันนี้อย่างที่แม่มึงพูดนั่นแหละ กูเองก็เห็นด้วย มึงควรจะทำหน้าที่ให้ได้มากกว่าพี่ชาย มึงเข้าใจที่กูพูดใช่มั้ย”


   “ก็เข้าใจ แต่ไม่ให้ตั้งตัวกันเลยหรือไง งั้นไม่บอกคีซะวันพรุ่งนี้เลยล่ะ”


   “มึงไม่คิดว่ากูอยากจะทำเหรอ”


   “พ่อ!!” ผมเองลืมไปเลยเรื่องความเกรียนของพ่อ


   “กูน่ะอยากบอกมึงวันพรุ่งนี้มากของมากที่สุด แต่แม่มึงน่ะ ดันขอให้กูพูดเลยมึงจะได้เตรียมตัว กูล่ะโคตรเซ็ง แทนที่จะได้แกล้งแล้วได้เห็นหน้าเหวอๆ ของมึง คงน่าดูพิลึก”


   “แล้วพ่อมีอะไรที่ยังไม่ได้บอกคีอีกมั้ย”


   “ไม่มีแล้วมั้งนะ มีเมื่อไหร่ก็รู้เองล่ะ ว่าแต่ยังไม่คุยกับเฮียเมฆอีกเหรอ”


   “มาเรื่องนี้ได้ไงล่ะ” ผมแทบงง ที่พ่อเปลี่ยนเรื่องคุยมาเป็นเรื่องเฮีย รู้สึกหายใจไม่ค่อยคล่องเลยนะแบบนี้


   “เถอะน่า เล่ามา”


   “ก็ไม่มีอะไรอ่ะ ไม่ได้คุยกัน ไม่รู้จะคุยอะไร”


   “งั้นเลิกดีกว่ามั้ย? ดีกว่าปล่อยให้คาราคาซังแบบนี้ ไม่เหนื่อยเหรอ” ต้องมองตาของพ่อก่อนครับ ไม่รู้ว่าพูดเล่นหรือพูดจริง พอเห็นเท่านั้นแหละ ตาเป็นประกายเชียวนะ


   “บ้าดิพ่อ จะเลิกได้ไง ยังไม่เคยคบสักหน่อย”


   “เอ้าเรอะ กูนึกว่าพวกมึงข้ามขั้นตอนไปไม่ใช่เหรอ” ผมนี่แทบจะสำลักน้ำลายเลยทีเดียว


   “พูดจาอะไรเลอะเทอะวะพ่อ” ผมรีบยกแก้วน้ำมาดื่ม


   “ไอ้ตี๋ มึงอายเหรอ อายอะไรกับกูวะ นี่พ่อมึงชัดๆ”


   “มันใช่เรื่องที่เขาจะมาคุยกันธรรมดาเหรอไงวะ พ่อ”


   “ก็แล้วมึงจะทำให้มันคุยกันยากทำไมล่ะ”


   “พูดอะไรเนี่ย”


   “กูอยากจะบอกมึงว่า คนเราให้ความสำคัญกับแต่ละเรื่องไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นมึงไม่ต้องทำให้เรื่องมันยากขึ้นไปกว่าเดิม คุยกันไปเลย คุยกันง่ายๆ นี่แหละ ไม่ต้องไปคิดล่วงหน้าว่าผลจะเป็นยังไง เพราะมึงเดาใจ เดาความคิดอีกฝ่ายไม่ได้ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป”


   “อือ”


   “ที่กูพูดไปเนี่ย เข้าหัวมึงอยู่บ้างใช่มั้ย”


   “ครับๆ เข้าหัวจนทะลุถึงคอหอยแล้วครับ”


   “กูพูดไปแล้ว ก็รู้จักเอามาใช้คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ด้วย ใช้เป็นใช่มั้ยล่ะ ค.ว.ย น่ะ ไม่ใช่ใช้ปากอย่างเดียว”


   “โอ้ย พ่อ หน้ายังมียางเหลืออยู่บ้างมั้ย”


   “ไม่มีหรอก มีแต่หน้ากากไว้ใส่เข้าหาคนอื่น ลูกชายก็ไม่ค่อยรัก ต้องหลอกคนอื่นว่าลูกชายรักกูมาก ทุกข์ใจจนไม่รู้จะพึ่งใคร จะปรึกษาใครก็ไม่ได้” พ่อทำน้ำเสียงน่าสงสางชวนให้น่าถีบมากเลยครับ


   “มาๆ ไม่น้อยใจนะ ขอกอดทีครับ คุณพ่อที่รัก” รู้สึกบทมันจะแปลกๆ ไปมั้ยครับ พ่อต้องปลอบลูกหรือเปล่า ไม่ใช่อากัปกิริยาที่ผมยื่นแขนออกไปหวังจะดึงพ่อเข้ามากอด ทั้งที่เราสองคนยังนั่นกันอยู่คนละฟากโต๊ะอาหาร ผมรู้อยู่แล้วครับ ก็เลยแกล้งยื่นแขนออกไป


   “รักมึงจัง ไอ้ตี๋ อยู่กับกูนานๆ นะ” พ่อผมลุกขึ้นเดินอ้อมมาอีกฝั่ง ดึงผมขึ้นไปกอด ไม่พอยังหอมแก้มเพิ่มอีกฟอด เอ่อ ถ้าผมจะคิดอะไรกับพ่อเกินกว่าพ่อนี่สังคมจะลงโทษผมแบบไหนกันเนี่ย นี่ขนาดผมเป็นลูกนะยังอ้อนขนาดนี้ ไม่อยากจะนึก ตอนที่อ้อนแม่จะขนาดไหน


   “คีก็รักพ่อเหมือนกันนั่นแหละ”


   “คืนนี้ให้กูไปนอนด้วยนะ” นั่นไงล่ะ ว่าแล้ว มาแบบนี้ ต้องมีอะไรแปลกๆ มาแน่นอน


   “ไม่ได้ เตียงคีเล็กจะตาย พ่อจะมานอนด้วยได้ไง”


   “คิดถึงน่ะ ตั้งแต่มึงกลับมา ยังไม่ยอมให้กูเข้าห้องด้วยเลย”


   “โอ้ย ไอ้พ่อบ้า ปล่อยคีได้แล้ว” ผมผลักพ่อออกไป ใช้แรงมากกว่าปกติด้วยครับ เพราะไม่ใช่ว่าพี่แกจะยอมโดยง่าย พ่อหัวเราะแล้วก็เดินกลับไปนั่งที่ฝั่งตัวเอง


   “คืนนี้รีบนอนมั้ย?” พ่อชักไม่น่าไว้ใจเข้าไปทุกที


   “มีอะไรครับ?” ถามให้ชัดแจ้งก่อนจะเกิดผลดีกับตัวเอง


   “เล่นเกมส์กัน กูอยากเล่นวินนิ่ง มึงไม่อยู่ ไม่มีใครเล่นกับกูเลย” ผมหัวเราะเมื่อได้ยินคำตอบของพ่อ เมื่อก่อนเราเล่นเกมส์ด้วยกันแทบจะทุกวันเท่าที่ผมหรือพ่อจะว่างครับ ผมน่ะไม่ได้ติดเล่นเกมส์เท่าไหร่หรอก แต่พ่อผมน่ะชอบ พูดไปก็น่าสงสารนะครับ ตั้งแต่ที่ผมย้ายไปเรียนที่เมืองไทย พ่อคงเหงาแย่ ไม่มีเพื่อนเล่นเกมส์อีกต่างหาก รักพ่อนะครับ


   “ไปเปิดเครื่องรอเลยดีกว่า” เท่านั้นล่ะครับ พ่อผมลุกไปจัดแจงต่อสาย หยิบอุปกรณ์มาวางไว้หน้าโทรทัศน์พร้อมสรรพเลยทีเดียว คงอยากเล่นมานานแล้วล่ะครับ


   “เดี๋ยวผมขอล้างจานก่อนนะพ่อ เสร็จแล้วจะตามไป” ผมร้องบอกพ่อก่อนจะเก็บจานชามเปล่าที่ยังวางอยู่บนโต๊ะไปล้างให้เรียบร้อย ขืนวางทิ้งไว้แบบนี้ พรุ่งนี้เช้าระเบิดพายุของแม่น่าจะลงลูกใหญ่ อะไรที่ทำให้ผู้หญิงอันเป็นที่รักนั้นพึงพอใจ เราควรจะรีบทำครับ อารมณ์โมโหของสตรีนั่นน่ากลัวเกินกว่าจะประมาณได้




   ผมเช็ดมือเรียบร้อยหลังจากล้างน้ำเปล่าจานใบสุดท้ายเสร็จ ก็เดินออกมาที่ห้องนั่งเล่นก็เจอพ่อนั่งอยู่ที่พื้นพรมหน้าโซฟาเรียบร้อยแล้วล่ะครับ เกมส์คู่แรกกำลังรอผมอยู่ ผมนั่งลงข้างๆ พ่อ ก่อนจะหยิบจอยเกมส์ขึ้นมาไว้ในมือ เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีก นอกจากตั้งทีมแข่งกันเอาเป็นเอาตายครับ



   คืนนี้ผลแพ้ชนะจะเป็นอย่างไร ลองทายกันดูสิครับ ว่าระหว่างผมกับพ่อใครจะเก่งกว่ากัน อย่าให้ต้องใบ้กันเลยนะครับ ดูก็รู้ว่าฝืมือใครเจ๋งกว่ากัน


----------------------------------------------

คุณ lovenadd : คันนิดๆ หน่อยพอให้รู้สึกค่ะ อย่าเกาแรงน้า
คุณ ทฟเืนสรฟ : พ่อคีน่ารักจริงๆ ค่ะ ถ้าไม่ติดว่ามีแม่อยู่แล้ว เขมนี่แหละ จะแย่งเอ๊ง ฮ่าๆ
คุณ หมอตัวเปียก : เฮียเมฆฉลาดค่ะ แถมยังติดต่องานกับพ่อของคีอยู่ตลอดเลยได้คุยกันบ่อยค่ะ
คุณ Yara : คีดวงไม่ดี เห็นกี่ทีก็เจอแจกพอตตลอด จิตใจเลยกระเจิงค่ะ
คุณ Jibbubu : พ่อของคีน่ารัก เป็นคนชิคๆ เข้าใจอะไรไม่ยากค่ะ (แต่ในใจสุดคาดเดา)
คุณ goosongta : คีชอบเวิ่นค่ะ ฮ่าๆ



สวัสดีค่ะ ทุกคนเลย วันนี้เขมมาลงเร็วกว่าปกติ 1 วันค่ะ เพราะวันนัดของเรา เขมมีธุระด่วน ฮืออ  :mew6: ต้องออกเดินทางคืนนี้

ตอนนี้เฮียเมฆมาแต่เสียงค่ะ ค่าตัวยังไม่พอให้เฮียเมฆค่ะ แถมเขมเดินทางใช้เงินอีก เฮียอดใจรอไปอีก 1 ตอนน้า
ทุกคนในเรื่องโน้มน้าวคีใจจะขาดค่ะ เข้าข้างเฮียเมฆสุดฤทธิ์ น่าหมั่นไส้เนาะ พระเอกก็งี้ ฮ่าา

ตอนหน้า เฮียมาแน่ค่ะ มาแล้ววววววว

รักทุกคนเล้ยย  :L1:



ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
พ่อคีเป็นคนน่ารักจริงๆ

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1875
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
เฮียเมฆรีบ ๆ มาเคลียร์ นี้ก็อยากรู้เหมือนกัน

ออฟไลน์ lovenadd

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-11
น้องคีย์ครับ พี่เมฆมาหา ก็ลองฟังพี่เขาอธิบายหน่อยน่ะครับ

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ถ้ามีพ่อแม่แบบคีย์ ลองมีปัญหาก็คงต้องรีบกลับบ้านเลยล่ะค่ะ

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1090
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
ไหนๆพี่เมฆก็จะมาง้อขนาดนี้แล้ว ก็ฟังแกหน่อยเนอะ
อยากให้ความอึมครึมหายไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ฮึ.....คี เวิ่นเว้อ มากกกกก
เฮียเมฆ ก็พูด แค่มันไม่มีอะไร ซ้ำๆ
แทนที่จะบอกรายละเอียด
ว่ามันอย่างนั้น ....มันอย่างนี้.....ขัดใจจริงๆ
แต่คราวนี้ ท่าทางคุณพ่อคุณแม่ ออกโรง
ช่วยเฮียเมฆ ได้ปรับความเข้าใจกันในที่ส่วนตัว
มีน้องเคลลี่ เป็นตัวประกันไม่ให้คี หนีไปง่ายๆ มโนอีกและ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

ภูเขาลูกที่สิบเอ็ด


   เมื่อคืนกว่าจะได้นอนเกือบเที่ยงคืน คุณพ่อที่รักชวนเล่นเกมส์หลายแมทช์เลยทีเดียว ก็ยอมให้เขาหน่อยแหละครับ คงจะว่างเว้นมาเสียนาน ไม่ลงแดงก่อนก็บุญเท่าไหร่แล้ว เช้านี้ผมเลยตื่นไม่เช้าเท่าไหร่นัก เหลือบมองดูนาฬิกาหลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จวนสิบโมง กะว่าลงไปทานข้าวเสร็จขึ้นมาเก็บของอีกนิดหน่อยก็ออกเดินทางได้เลย เพราะข้าวของของเคลลี่นั้นแม่เตรียมไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะครับ


   ผมเดินลงบันไดเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไร ได้ยินเสียงแม่สลับกับเสียงเคลลี่ เจ้าเด็กตัวดื้อดูท่าทางแล้ววันนี้น่าจะอารมณ์ดี เพราะเสียงหัวเราะดังมาถึงข้างบนตั้งแต่ก้าวแรกที่ผมออกจากห้อง


   “แม่ครับ มีอะไรให้คีทานบ้าง หิวแล้ว” ผมหยิบมือถือออกมากดเล่นระหว่างลงบันได


   “คีคะ หยุดเล่นมือถือเดี๋ยวนี้นะคะ ถ้าเกิดตกบันไดขึ้นมาจะทำยังไง โตแล้วนะคะ” ผมลืมได้ยังไงกันว่าเรื่องแบบนี้ แม่ผมไม่ชอบใจแน่ๆ


   “ขอโทษครับแม่ ไม่เล่นแล้วครับ เฮ้ย !!” ผมรีบเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงแล้วเงยหน้าเตรียมจะไปประจบคุณนายแม่แต่ก็ต้องร้องตกใจออกมาก่อน เพราะตรงโต๊ะอาหารนี้มีผู้ชายที่ไม่ใช่พ่อของผมนั่งอยู่ แต่เป็นเฮียเมฆ กำลังนั่งเล่นกับเคลลี่อยู่


   “ตื่นสาย” เฮียเมฆทักทายผมเท่านั้นก็หันไปเล่นกับเจ้าเด็กน้อยที่ยิ้มแป้นแล้นอยู่


   “เฮียเมฆ มาได้ไงครับ”


   “นั่งเครื่องมา”


   “ไม่ใช่ ผมหมายถึงไม่ทำงานหรือไง”


   “วันนี้วันเสาร์” เอิ่ม เอากับเฮียเขาสิครับ ตอบสั้นแถมยังกวนๆ อีก


   “ช่างเถอะ”


   “หิวใช่มั้ย” ผมจำใจเลื่อนเก้าอี้ออกนั่งข้างๆ เฮียเมฆ เพราะเก้าอี้ตัวอื่น มีของจุกจิกอะไรก็ไม่รู้วางเต็มยึดทุกพื้นที่เอาไว้หมดแล้ว เฮียเมฆเลื่อนจานขนมปังตรงหน้าเฮียมาให้ผมกินรองท้อง


   “ขอบคุณครับ” ถึงจะโกรธกันอยู่ แต่ผมไม่สนใจหรอกครับ ขนมปังนี่ก็เป็นของที่แม่ทำ อันไหนก็เหมือนกันแหละ เพราะตอนนี้ผมหิวจริงจังแล้ว


   “ไง เคลลี่ หัวเราะเสียงดังเชียวนะ” ผมหันไปทักทายเจ้าตัวเล็กที่มองตามการกระทำของผมโดยไม่กระพริบตาเลย


   “Morning” เจ้าเด็กหน้าทะเล้นนอกจากทักทายผมกลับ แต่เจ้าตัวยังส่งจูบยิ้มหวานมาให้ผมอีกแน่ะ แล้วผมจะอดใจไม่ฟัดแก้มยุ้ยๆ นั้นได้ไง เลยลุกไปหอมแก้มเด็กดื้อนั่นสองสามทีก่อนจะกลับมานั่ง


   “นี่ค่ะ ทานเยอะหน่อยนะคะ จะได้ไม่หิวบนรถไฟ” แม่ผมทำอาหารแบบไทยแลนด์มาเลยล่ะครับ มื้อนี้โอ้ย น้ำตาผมแทบไหล ผัดกะเพราหมูสับ โปะหน้ามาด้วยไข่ดาวไม่สุกของโปรด ถึงจะเป็นเมนูสิ้นคิด แต่ถ้าคุณได้ทานแต่อาหารต่างเมืองแล้วล่ะก็ คุณจะต้องคิดถึงอาหารเมืองไทยแน่นอน ปกติแม่ผมก็ทำบ่อยนะครับ แต่ช่วงหลังไม่ค่อยทำบอกว่าต้องรีบปิดต้นฉบับ อาหารฝรั่งเลยสะดวกและใช้เวลาทำง่ายกว่า อีกอย่างวัตถุดิบก็หาซื้อได้ง่ายด้วย


   “ขอบคุณครับแม่ คีรักแม่จัง” ผมหอมแก้มแม่เป็นการขอบคุณ


   “ค่ะ ได้ทานของชอบ ก็รักแม่ใหญ่เลยนะ” แม่ลูบศีระษะผมเบาๆ แล้วก็กลับเข้าครัวไปยกอาหารอีกจานออกมา


   “คุณเมฆด้วยนะคะ อาจจะทานไม่ค่อยลงเพราะเพิ่งลงจากเครื่อง แต่ทานเถอนะคะ ตอนเดินทางจะได้ไม่หิว” แม่ผมวางอาหารที่เมนูเดียวกับผมให้กับเฮียเมฆอีกจาน แต่คำพูดของแม่ฟังดูแปลกๆ


   “ขอบคุณครับ น้า”


   “เฮียจะเดินทางต่อเหรอ” ผมอดจะสงสัยไม่ได้ก็เลยถามออกไปอย่างใจคิด


   “ใช่”


   “ไปทำงานต่อเหรอ”


   “เปล่า”


   “แล้วเฮียจะไปไหนล่ะ”


   “ไปกับคีไง”


   “หา!! ไปกับผม” แทบจะสำลักข้าวออกมาแต่เช้าเลย ดีนะที่ยั้งเอาไว้ทัน ผมยกน้ำขึ้นมาดื่มอย่างรวดเร็วจนหมดแก้ว


   “ใช่ค่ะ เดี๋ยวพาคุณเมฆไปเที่ยวด้วยนะคะคี”


   “ทำไมคีไม่เห็นรู้เรื่องเลยครับแม่”


   “อ่อ แม่ก็เพิ่งรู้นี่แหละค่ะ”


   “ถ้างั้นเฮียเมฆก็อยู่ที่นี่ไปนั่นแหละ”


   “ได้ยังไงกันคะ คุณเมฆมาพักผ่อนนะคะ อย่าใจร้ายทิ้งพี่เขาไว้แบบนี้สิคะ ไม่น่ารักเอาซะเลย” เดี๋ยวนะ ‘ไม่น่ารักเอาซะเลย’ ถ้าแม่รู้ว่าคุณเมฆของแม่ทำอะไรไว้กับลูกชายสุดที่รักของแม่แล้ว ยังจะคิดว่าผมทำตัวไม่น่ารักอยู่อีกหรือเปล่านะ คิดแล้วมันน่าเจ็บใจจริงๆ


   “แต่คีไปค้างคืนหนึ่งเลยนะแม่”


   “ใช่สิคะ ก็ไปค้างไง ห้องมันใหญ่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”


   “ห้องมันใหญ่ก็ใช่นั่นแหละครับ แต่จะไปพักกับคีได้ยังไงกัน”


   “คีคะ แม่ไม่เข้าใจค่ะ ตอนคีอยู่ที่ไทยก็อยู่บ้านคุณเมฆ แล้วคีจะทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีไม่ได้เลยเหรอคะ หรือจริงๆ คีมีปัญญาอะไรกันแน่ บอกแม่เลยสิคะ แม่ยินดีรับฟัง” เสียงแข็งแบบนี้ สายตาของแม่มองผมนิ่งๆ แบบนี้ คำว่ายินดีรับฟัง แปลว่า สัญญาณอันตรายกำลังจะเกิด ถ้าผมไม่มีเหตุผลที่ดีและเพียงพอที่จะปฏิเสธ
ผมอยากร้องไห้เว้ย อะไรกันวะ เช้านี้


“ไม่มีอะไรครับ จริงๆ แล้วเฮียเมฆมาอีกคนก็คงสนุกดี จะได้ช่วยดูเคลลี่ด้วย” ผมเลยจำต้องรับชะตากรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


   “อิ่มเมื่อไหร่ก็ออกเดินทางกันได้เลยนะคะ”


   “ครับแม่” ผมตอบแม่ หันไปมองคนข้างๆ หน้าตาของเฮียแบบนี้ มันชัดเจนเลยว่ากำลังหัวเราะผมอยู่ในใจ คงสะใจที่ผมปฏิเสธแม่ไม่ได้




   หลังจากอิ่มมื้อเช้า ผมก็ขึ้นไปเก็บของอีกไม่นานก็สะพายเป้ลงมา แม่เตรียมของใช้ของเคลลี่เรียบร้อยแล้วครับ เฮียเมฆเองก็เปลี่ยนชุดแล้วมาสะพายเป้คล้ายๆ ผมเหมือนกัน เฮียเมฆสลัดคราบนักธุรกิจใส่สูทผูกไท เหลือแค่ภาพของนักท่องเที่ยว เสื้อไหมพรมสีดำคอเต่า กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ โอ้ย เฮียกำลังจะทำผมขาดใจแล้ว


   “คีเป็นอะไรคะ ยืนนิ่งเชียว” แม่เรียกผมให้ละสายตาจากเฮียเมฆ ผมไม่ได้มองเฮียเมฆเต็มตาแบบนี้นานเท่าไหร่กันนะ เฮียผอมลง แก้มตอบ ใต้ตาคล้ำเหมือนคนนอนไม่ค่อยเพียงพอ คุณครับ ทำยังไงผมถึงจะตัดใจจากผู้ชายคนนี้ได้ครับ


   “ปละ เปล่าครับ”


   “เสร็จแล้วใช่มั้ย” เฮียเมฆถามผม


   “ครับ”


   “เดี๋ยวเอารถเข็นน้องไปด้วยนะคะ รบกวนด้วยนะคะคุณเมฆ น้าเห็นว่าไปกันสองคน ช่วยเหลือกันนะคะ อย่าปล่อยให้คีทิ้งเคลลี่นะคะ”


   “ได้ครับ คุณน้า” เฮียเมฆตอบเสร็จก็ใส่แว่นดำ เสื้อกันหนาวตัวใหญ่ พร้อมออกเดินท่องเที่ยวแล้ว ส่วนแม่ผมจัดการอุ้มเคลลี่เข้ามานั่งในรถเข็น เคลลี่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วครับ วันนี้เด็กน้อยใส่เสื้อไหมพรมสีครีม เสื้อกันหนาวอีกหนึ่งชั้น มีผ้าพันคอลายการ์ตูนพันอยู่ที่คอ สวมหมวกไหมพรมมีพู่ห้อยลงมาด้วยครับ แล้วก็ถุงเท้าตามด้วยรองเท้าบูทขนสัตว์ที่กันความหนาวได้เป็นอย่างดี น่ารักจริงๆ แต่อากาศหนาวแบบนี้ชั้นในสุดคงหนีไม่พ้นเสื้อกับกางเกงลองจอนนั่นแหละครับ ตัวเคลลี่ถึงหนาขนาดนี้ ถ้าผมอุ้มลงเป้คงจะทุลักทุเลกว่านี้


“คี ของใช้ของน้องอยู่ในกระเป๋านี้ แขวนไว้ตรงรถเข็นก็ได้นะ แล้วถ้าขาดเหลืออะไรระหว่างทางซื้อหาเอาใหม่ได้เลยนะคะ”


“ครับแม่ คีไปนะ สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้แม่แล้วก็หันไปพยักหน้ากับเฮียเมฆเป็นการรู้กันว่าเตรียมจะไปแล้ว


“ค่ะ เที่ยวให้สนุกนะคะ” เฮียเมฆหันไปลาแม่ของผมบ้างแล้วเราทั้งสามคนก็ออกมาจากบ้าน


“เป็นไงบ้าง” เฮียเมฆก็ถามลอยๆ ขึ้นมา ไม่รู้เฮียเมฆหมายถึงใครแต่ผมไม่อยากตอบ



เราทั้งหมดเข้ามานั่งประจำที่บนรถไฟได้เรียบร้อย ผมกับเคลลี่นั่งข้างกัน ส่วนเฮียเมฆนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ระหว่างทางก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย เพราะเฮียเมฆคอยช่วยผมหลายอย่าง บางจุดเฮียก็อุ้มน้องลงบันไดเองเลย ส่วนผมก็พับรถเข็นแล้วหิ้วตามลงไป แม่เลือกรถเข็นคันเล็กให้ จะได้สะดวกหน่อยในกรณีที่ต้องยกขึ้นลงบันได เพราะมีน้ำหนักเบากว่าอันใหญ่อยู่แล้ว จริงๆ แล้วจะใช้ลิฟท์ก็ได้แต่ผมไม่อยากรอครับ ก็เลยเลือกบันไดครับ แต่ก็เหนื่อยกว่า



“คี เป็นไงบ้าง”


“สบายดีครับ” ผมจำใจต้องตอบ ผู้ใหญ่ถามระบุชื่อมาขนาดนี้ ไม่ควรเงียบว่ามั้ยครับ


“หม่ำๆ” เฮียเมฆทำท่าจะถามอะไรอีก แต่เคลลี่เด็กน้อย ประท้วงขึ้นมาเสียก่อน น่าจะเริ่มหิวล่ะครับ ผมเลยเปิดกระเป๋าโดเรม่อนของแม่เพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง แล้วก็ไม่ผิดหวัง มีขนมสำหรับเด็กพร้อมเลยครับ ผมเลยหยิบออกมาให้เคลลี่ทานแก้หิว ไม่ลืมหยิบขวดน้ำออกมาด้วยครับ เป็นเด็กต้องดื่มน้ำเยอะๆ


“เอ้า นี่ครับ อย่ากินเลอะนะ เคลลี่” ผมยื่นขนมให้เคลลี่ ส่วนเจ้าตัวน้อยก็ไม่ลืมยกมือไหว้ขอบคุณ หรือที่เราชอบสอนเด็กๆ เรียกว่า สาธุ นั่นแหละครับ ผมอมยิ้มให้กับท่าทางน่าเอ็นดูของเจ้าเด็กดื้อ น่ารักจริงๆ นะครับ น้องของผมคนนี้ ใครไม่หลงก็บ้าแล้ว


“ขอบคุณค้าบ” ผมยีหัวเด็กน้อยเล่น แล้วก็รู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองอยู่ เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเฮียเมฆจ้องมาที่ผมพร้อมกับยิ้มให้ผม


“น่ารัก” เฮียเมฆพูดสั้นเช่นเคย เฮียน่าจะหมายถึงเคลลี่เพราะผมเองก็โตเกินกว่าจะมาใช้คำนี้แล้วล่ะครับ


“ครับ เคลลี่น่ารัก” ผมเห็นด้วยกับคำพูดของเฮียเมฆ


“ทั้งคู่นั่นแหละ”


“ครับ?” เหมือนหูของผมจะได้ยินอะไรผิดแปลกไปหรือเปล่า


“น่ารักทั้งคู่”


“เฮียเมฆพูดอะไรครับ”


“พูดตามที่เห็น”


“แต่ผมเป็นผู้ชายนะเฮีย จะมาน่ารักอะไร ขนลุกอะ” ผมยื่นแขนไปให้เฮียเมฆดูหวังจะให้เฮียได้เห็นขนลุกตั้งอย่างที่บอก แต่เฮียดันกลับจับมือผมเอาไว้แบบนั้น แล้วผมต้องทำยังไงล่ะ ก็ต้องปล่อยค้างเอาไว้แบบนั้นน่ะสิ


 “ผู้ชายก็น่ารักได้” เฮียยิ้มให้ นี่อะไรกัน ขยันยิ้มจังเว้ยเฮ้ย อยากให้ผมใจอ่อนใช่มั้ยล่ะ ผมไม่ยอมเชื่อเฮียแล้วยอมใจอ่อนหรอก

 
“แล้วนี่เฮียมาทำอะไรที่นี่ ขอคำตอบแบบดีๆ ครับ” ผมเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาเป็นเรื่องที่คาใจมาตั้งแต่ที่บ้าน


“มาง้อคน”


“ไปทำอะไรไว้ล่ะครับ ถึงต้องมาตามง้อ” ผมยียวนกลับไป


“คิดว่าไม่ได้ทำอะไรนะ แต่เขาเข้าใจผิด”


“ถ้าไม่ได้ทำแล้วเขาจะเข้าใจผิดได้ยังไง” ผมย้อนเฮียกลับไป และถือโอกาสดึงมือออกจากมือของเฮียเมฆ แล้วหยิบขวดน้ำยื่นไปให้เคลลี่ ตอนนี้เด็กน้อยกินขนมเสร็จแล้ว เคลลี่รับขวดน้ำไปได้ก็ดื่มอั้กๆ กระดกเข้าปากไม่ยั้งเลยทีเดียว ขวดน้ำนี้ก็น่ารักแล้วออกแบบมาดีเหมือนกันครับ มีสายคล้องคอให้ด้วย เด็กจะได้รู้จักดูแลรักษาของของตัวเอง มีความรับผิดชอบ ซึ่งก็เป็นการสอนอย่างหนึ่งนะครับ ผมเลยเอาสายของขวดน้ำคล้องคอเคลลี่เสียเลย หากเด็กดื้อหิวอีกก็แค่บิดจุกน้ำแล้วยกดื่มครับ สะดวกมากๆ


“พี่เชื่อว่าพี่ไม่ได้ทำอะไร” เฮียเมฆนี่เถียงคำไม่ตกฟากจริงๆ


“ผมไม่คุยเรื่องนี้กับเฮียแล้ว”


“ตอนนี้ไม่คุย แต่คืนนี้ต้องฟังพี่นะ”


“ก็ได้ ถ้าเคลลี่ไม่งอแงนะครับ” ผมรับปากอย่างจนใจ ถึงจะเลี่ยงไม่ฟังตอนนี้ได้ แต่ในที่สุดเฮียเมฆก็ต้องรบเร้าให้ฟังอยู่ดี


“ขอบใจนะ”



ผมเคยมาเที่ยวที่เมืองลูเซิร์นหลายครั้งแล้วครับ ตอนที่พ่อให้พาเคลลี่มาตามลำพังสองคน ผมเลยไม่ค่อยอยากมาเท่าไหร่ ดูแลก็ยาก แถมเมืองนี้ก็เคยมาแล้วเสียด้วย เมื่อออกมาจากสถานีรถไฟเมืองลูเซิร์น ก็มองเห็นโบสถ์ฮอฟเคียร์เคอ (Hofkirche) ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนเลยครับ ยังคงสวยและงดงามเหมือนเคย



“เฮียเมฆ เคยมาเมืองนี้หรือยัง” ผมถามคนข้างตัวที่กำลังเข็นรถเข็นของเคลลี่อยู่ ส่วนเจ้าของรถเข็นน่ะเหรอ นอนหลับน่ะสิครับ เพราะตอนนี้ได้เวลานอนกลางวันของตัวเล็กแล้ว ผมเองไม่ได้คิดจะปลุกขึ้นมาหรอกครับ เพราะไม่อยากให้แกต้องหงุดหงิดเพราะนอนไม่พอ


“เพิ่งมาครั้งแรก”


“ถ้างั้นเดี๋ยวเราเดินเลียบริมแม่น้ำแล้วไปเดินสะพานชาเพล (Chepel Bridge) กันนะครับ” ผมเสนอตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี


“ได้”


ผมออกเดินต่ออย่างที่บอกเฮียเมฆไว้ ระหว่างทางก็คอยดูเคลลี่ตื่นขึ้นมาหรือยัง ในที่สุดเราก็เดินมาถึงสะพานไม้ที่มีชื่อเสียงขึ้นชื่อของเมืองนี้ครับ แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน พี่กันต์ก็เคยส่งรูปมาให้ ผมเลยหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปแล้วเป็นฝ่ายส่งไปให้พี่กันต์บ้าง


“เที่ยวให้สนุกนะ” พี่กันต์ตอบผมผ่านโปรแกรมสนทนากลับมาหลังจากที่ดูรูปที่ผมถ่ายส่งไปให้


“ครับ พี่กันต์สบายดีนะ”


“สบายดี แล้วมาเที่ยวกับใครล่ะ อย่าบอกนะว่าคนเดียว”


“กับน้องชายครับ”


“สองคนเหรอ มีใครเพิ่มอีกมั้ย มีอะไรพิเศษๆ เกิดขึ้นหรือเปล่า” ผมหันขวับไปทางด้านหลัง นึกเสียวหลังวาบ คิดกลัวว่าพี่กันต์อาจจะเห็นผมอยู่มุมใดมุมหนึ่ง


“อะไรอ่ะ พี่กันต์ ถามไรแบบนี้”


“ตอบแบบนี้ แสดงว่ามี”


“ขนาดไม่เห็นหน้า ก็โกหกพี่ไม่ได้เหรอเนี่ย” ผมแอบขำในความรู้ทันของพี่กันต์จริงๆ


“บอกแล้วไง ว่าเราสองคนน่ะเหมือนรู้จักกันมานานแล้ว ฮ่าๆ”


“ผมไม่กวนพี่แล้ว”


“คิดถึงก็โทรมานะ สำหรับคีแล้วพี่ว่างเสมอ”


“ขอบคุณครับ” ผมปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยก็หย่อนมันลงในกระเป๋ากางเกงตัวเก่ง เงยหน้ามาอีกที เฮียเมฆก็จ้องมองผมอยู่ก่อนแล้วครับ


“ครับ?” ผมถามเฮียเมฆ แล้วเริ่มออกเดินอีกครั้ง


“คุยกับใคร” เสียงเข้มเลยครับ


“ผมบอกไป เฮียก็ไม่รู้จักหรอก”


“ใคร” นอกจากเสียงเข้มแล้ว ท่าทางยังนิ่งพร้อมจะหาเรื่องเพิ่มขึ้นด้วยครับ สังเกตมือที่จับรถเข็นของเคลลี่ อุ้ย ข้อมือขึ้นขาวเลยแฮะ ชักเริ่มน่ากลัว


“พี่กันต์ครับ” รีบบอกออกไปครับ กลัวชะตาขาด


“พี่กันต์คือใคร รู้จักกันได้ไง”


“เฮียจะมาซักฟอกอะไรผมเนี่ย”


“คี!” คราวนี้มือที่จับรถเข็นเปลี่ยนมาจับแขนผมแล้วครับ อ่า รับรู้ได้ถึงความเครียดใต้มือนี้


“คืนนี้ค่อยคุยกันทีเดียวเถอะครับ ผมอยากให้เฮียเมฆได้เที่ยวก่อน”


“พี่ไม่อยากเที่ยว”


“พักผ่อนบ้างสิครับ อย่างน้อยก็เที่ยวกับผมละกัน”


“กลับโรงแรม”


“เฮีย คนที่ควรจะโกรธมันคือผมนะ แล้วเฮียมาง้อผมไม่ใช่เหรอไง”


“ใช่”


“ถ้าใช่ ก็ตามใจผม แล้วไปเที่ยวกันก่อน คืนนี้ค่อยคุยกัน ตกลงมั้ยครับ” ผมได้ยินเสียงเฮียเมฆถอนหายใจเบาๆ เห็นได้จากไอของความเย็นที่ออกมาทางจมูกครับ


“ตกลง”



เราเดินต่อกันอีกไม่นาน เคลลี่เด็กน้อยจอมป่วนก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าร่าเริงชาร์ตแบตมาเต็มพิกัดสุดๆ ครับ เคลลี่ลงจากรถเข็น เมื่อเท้าคู่เล็กสัมผัสกับพื้นก็วิ่งไม่หยุดเลยครับ เดือดร้อนผมวิ่งตามแทบไม่ทัน พลังมาเต็มจริงๆ เด็กคนนี้ ผมเลยต้องฝากเฮียเมฆเข็นรถตามหลังมาเรื่อยๆ กลัวว่าถ้าเฮียแกต้องวิ่งตามด้วยอาจจะลมจับก็เป็นได้ ตามอายุและสังขารนั่นแหละ แค่คิดในใจเฮียเมฆคงไม่ได้ยินหรอกใช่มั้ย




กว่าผมจับเคลลี่ขึ้นมาอุ้มได้ก็แทบหมดแรงครับ เคลลี่ขัดขืนเล็กน้อยเพราะยังอยากวิ่งเล่นต่อ ผมเลยต้องใช้ไม้แข็งมองหน้าของเคลลี่แล้วพูดกับแกตรงๆ ครับ เด็กวัยนี้รู้เรื่องนะครับ อย่าคิดว่าเด็กจะไม่เข้าใจ ต่อให้ไม่เข้าใจคำพูดของเรา ก็เข้าใจจากการกระทำครับ เรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ ฝึก ค่อยเป็นค่อยไปครับ เด็กก็จะซึบซับไปเองว่าสิ่งไหนนั้นทำได้ สิ่งไหนนั้นทำไม่ได้
ผมอุ้มเคลลี่เดินมาเรื่อยๆ ส่วนเฮียเมฆก็เข็นรถเดินอยู่ข้างๆ สายตาของผมก็คอยมองหาร้านอาหาร เลยเวลาอาหารเที่ยงมาสักพักแล้วครับ ถ้าแม่รู้เนี่ย ผมคงโดนดุแน่ๆ เลย เพราะให้น้องทานข้าวผิดเวลา เคลลี่ครับ พี่คีผิดไปแล้ว จะรีบหาร้านอาหารอร่อยๆ เดี๋ยวนี้แหละครับ แล้วผมก็เจอร้านแล้วครับ ร้านติดทางเดิน ดูสะอาดดีครับ ผมมองเลยไปข้างหน้าก็เป็นโรงแรมที่พักด้วย แบบนี้ยิ่งสะดวกเลย




ผมหยุดยืนที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง แล้วหันไปมองเฮียเมฆเพื่อถามความเห็นของร้านนี้ เฮียเมฆไม่ได้ตอบอะไรกลับผลักประตูใหญ่เข้าไปไม่ลืมที่จะเปิดรอให้ผมกับเคลลี่เข้าไปด้วยครับ สุภาพบุรุษขนาดนี้จะหาได้จากที่ไหนกันล่ะครับ ไม่รู้กำลังจะหลุดมือของผมไปแล้วหรือยัง เราได้โต๊ะริมหน้าต่างที่มองเห็นคนเดินตรงทางเดินครับ ได้บรรยากาศมองเห็นการใช้ชีวิตของแต่ละคนดีจัง



“เคลลี่ หิวหรือยังครับ” ผมพลิกเมนูเปิดดูรายการอาหารข้างใน แน่นอนครับก็เป็นอาหารต่างชาติจำพวกขนมปัง พาสต้า สปาเก็ตตี้ นี่แหละครับ


“หม่ำๆ”


“อยากกินอะไรครับ” ผมก้มลงไปคุยกับเจ้าตัวเล็ก


“หม่ำปลา”


“ปลาย่างเนาะ แล้วเฮียล่ะครับ อยากทานอะไร”


“อันนี้ละกัน” เฮียเมฆจิ้มๆ ลงเมนูที่ชื่อว่า ‘Ratscherenttopf’ เป็นอาหารประจำชาติอย่างหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ครับ ลักษณะก็เป็นเนื้อต้มเปื่อยเสิร์ฟพร้อมกับมันฝรั่งนั่นแหละครับ


“งั้นผมเอาด้วย” ผมเรียกพนักงานมารับออเดอร์ไป



รอไม่นานอาหารก็มาครับ เพราะเลยเวลาช่วงที่คนมาทานกันแล้วครับ อาหารของเคลลี่ผมสั่งเป็นแซลมอนย่างไม่ปรุงรส ยังเด็กอยู่ทานจืดๆ ไปก่อนละกันนะเด็กน้อย โตขึ้นค่อยรับรู้รสชาติของอาหาร สำหรับเด็กก็ไม่ควรเน้นรสชาติในมื้ออาหารครับ ทางที่ดีก็ไม่ต้องปรุงดีที่สุด ไม่งั้นแกอาจจะติดเค็ม ติดหวานได้ ปกติแล้วแม่ผมก็จะทำอาหารให้เคลลี่ทานเอง แต่ถ้ามาข้างนอกก็หาให้ทานเท่าที่จะทำได้




ผมป้อนอาหารให้เคลลี่ก่อน เพราะไม่อยากให้หิวมากกลัวแกจะปวดท้องถ้าผิดเวลามากไปกว่านี้ ส่วนของผมเดี๋ยวทานทีหลังก็ได้ครับ ผมใช้เวลาทานไม่นานหรอก กำลังหั่นเนื้อปลาให้เคลลี่อยู่ ก็เห็นส้อมที่จิ้มเนื้อยื่นมาตรงหน้า ผมมองตามมือที่ยื่นมาเลยเห็นว่าเป็นเฮียเมฆยื่นส้อมมาให้



“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกินทีหลังก็ได้เฮีย”


“อ้าปาก เร็ว เดี๋ยวจะปวดท้อง”


“เฮียเมฆกินไปก่อนเลย”


“พี่กินอยู่”


“เดี๋ยวผมกินเอง”


“อ้าปาก”


“เร็วๆ” เมื่อเห็นผมไม่ทำตามก็เร่งเลยครับ ผมเลยจำใจรีบอ้าปากแล้วทานลงไป เพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาจนเกินไป


“ขอบคุณครับ”


“ไม่เป็นไร เคลลี่ทาน คีก็ต้องทานด้วย อย่าลืม”


“ครับ” ผมเลยรีบหั่นปลาของเคลลิ่ทิ้งไว้เป็นคำๆ แล้วลองให้เด็กน้อยทานเอง ปรากฎว่าก็ทานได้ดีครับ มีหกบ้าง เลอะบ้างตามประสา แต่ก็ปล่อยแกครับ เพราะทานไปเยอะแล้วเหมือนกัน ส่วนผมน่ะเหรอ รีบทานส่วนของตัวเองครับ เดี๋ยวจะมีมือปริศนายื่นส้อมมาให้อีก


“เคลลี่ อร่อยมั้ยครับ”


“อื้อ” คำเดียวสั้นๆ เพราะปลาเต็มปากเจ้าตัวเล็กเลย น่ารักจริงๆ


“กินเยอะๆ นะครับ คนเก่ง” ผมลูบหัวแกเบาๆ หมั่นเขี้ยวอยากหยิกแก้มจริงๆ เลย



ทานมื้อเที่ยงเสร็จผมก็พาคณะเดินตรงไปโรงแรมแล้วจัดการเช็คอิน เปิดประตูเข้าห้องมาก็เจอห้องนั่งเล่นก่อนเลย เห็นแล้วอดชื่นชมโรงแรมนี้ไม่ได้ ห้องตกแต่งไว้สวยจริงๆ ภายในห้องตกแต่งด้วยวินเทจทั้งหมด เน้นด้วยสีฟ้าตัดกับสีขาว ผมวางเคลลี่ลง เจ้าเด็กดื้อเลยวิ่งเล่นเต็มที่ภายในห้อง ผมปล่อยให้แกวิ่งเล่นไปแล้วผมก็เดินไปสำรวจห้อง ห้องนอนมีสองห้องครับ มีมุมครัวเล็กๆ ให้ทำอาหารง่ายๆ ได้ ห้องน้ำมีอยู่ในห้องนอนทั้งสองห้องครับ




ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter


เคลลี่วิ่งเล่นจนเหนื่อย ผมโทรสั่งอาหารจากโรงแรมขึ้นมาทานบนห้อง ไม่อยากจะพาเคลลี่ออกไปช่วงเย็นเพราะกลัวแกจะป่วย แต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้เฮียเมฆได้ไปผ่อนคลายบ้าง แต่เฮียเมฆก็ปฏิเสธ เจ้าตัวบอกไม่ได้อยากไปเหมือนกัน พวกเราทั้งหมดจึงทานมื้อค่ำที่ห้อง



“หลับแล้วเหรอ” เฮียเมฆเงยหน้าละสายตาจากจอสี่เหลี่ยมในมือมาถามถึงเคลลี่ คงได้ยินเสียงผมที่ปิดประตูเบาๆ จากห้องนอนตัวเอง ผมกับเคลลี่นอนห้องหนึ่ง ส่วนเฮียนอนอีกห้องหนึ่ง


“ครับ”


“ทั้งที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่เคลลี่กลับติดคีมาก”


“แน่นอนอยู่แล้ว ผมมันคนมีเสน่ห์”


“อาบน้ำก่อนมั้ย แล้วค่อยมาคุยกัน” เปลี่ยนโหมดเร็วจังเลยนะครับ เฮียเมฆ ผมเกือบตามไม่ทัน


“ไม่ล่ะครับ เดี๋ยวค่อยอาบก่อนนอน เฮียล่ะ?”


“ยัง รอคุยกับคีก่อน” หมดเวลาที่จะหลีกเลี่ยงแล้วสินะ


“อ่อ..ครับ ถ้างั้นเฮียมีอะไรก็พูดมาเถอะ ผมพร้อมฟังแล้วล่ะ” เฮียเมฆลุกขึ้นมาดึงมือผมให้ลงไปนั่งบนโซฟาด้วยกัน ผมนั่งหันหลังให้เฮียเมฆ ในขณะที่เฮียก็เข้ามาสวมกอดผมจากด้านหลังเช่นกัน ทีแรกผมตั้งใจจะลุกแล้วย้ายตัวเองไปนั่งที่อื่น แต่แรงจากอ้อมกอดของเฮียนั้น แน่นเกินกว่าผมจะสะบัดให้หลุด


“เรื่องคุณพีช” ผมได้ยินเสียงเฮียเมฆพูดจากด้านหลัง เสียงนั้นอยู่ไม่ไกลจากหูของผมเลย


“ครับ?” ผมตอบกลับไปเสียงเบา


“คีเข้าใจว่ายังไงล่ะ” เฮียเมฆกลับเป็นฝ่ายถามผม


“ผมเห็นเฮียกับพี่พีช สองคนจูบกัน”


“หืม? จูบ? เมื่อไหร่? ตอนไหน? พี่ไม่เห็นจำได้” เสียงเฮียเมฆแสดงออกมาชัดว่างง กับเหตุการณ์ที่ผมบอกไป


“วันที่เฮียไปส่งพี่พีชหลังจากกลับจากผับไงครับ” ผมเผลอส่งเสียงที่แสดงออกชัดว่าไม่พอใจออกไป อยากจะห้ามน้ำเสียงแบบนี้อยู่เหมือนกัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิด


“อย่าอารมณ์เสีย” เฮียเมฆเตือนผม


“ขอโทษครับ” เฮียเมฆไม่ชอบคนเสียงดัง ไม่ชอบคนขี้โมโห และไม่ชอบคนที่พูดจาไม่รู้เรื่อง จริงๆ แล้วผมก็เคยคิดว่าถ้าเฮียเมฆไม่รู้สึกอะไรกับผมเลย เฮียคงไม่ดูดำดูดีผมแล้วล่ะ คงเห็นผมเป็นอากาศธาตุแน่นอน นั่นหมายความว่าเฮียเมฆก็คงคิดอะไรกับผมบ้างใช่มั้ย


“ขอพี่นึกก่อน อืม...คืนนั้นน่ะเหรอ” เฮียเมฆนิ่งไปสักพัก คงกำลังนึกถึงคืนนั้นอยู่เพราะเวลามันผ่านมาค่อนข้างหลายเดือนแล้วล่ะครับ มีแต่ผมเท่านั้นแหละที่จำได้แม่นยิ่งกว่าใคร


“อ้อ คืนนั้น ที่พี่ลงไปส่งคุณพีชที่หน้าบ้านใช่หรือเปล่า”


“ใช่ครับ”


“คีเห็นพี่กับคุณพีชจูบกันเหรอ”


“ใช่ครับ ก็ผมบอกเฮียเองอยู่นี่ไงว่าเห็นเองกับตา” เฮียเมฆนี่ชักจะยังไง ถามกลับไปกลับมาอยู่ได้ กะว่าจะให้ผมสับสนแล้วก็จะหาโอกาสเอาตัวรอดใช่มั้ย ไม่มีทางซะล่ะ


“หึหึ” เฮียเมฆไม่ตอบแต่กลับหัวเราะในลำคอแทนครับ มันน่าโมโหเลยมั้ย


“หัวเราะอะไรครับ”


“หัวเราะเด็กชอบคิดไปเอง”


“ผมไม่ได้เด็กแล้วก็ไม่ได้คิดไปเองนะเฮียเมฆ”


“แล้วมีเรื่องอื่นอีกมั้ย ที่ทำให้โกรธพี่จนรีบบินมาที่นี่น่ะ”


“ยังจะมาถามผมอีกเหรอ ก็วันนั้นเฮียกับพี่พีชกอดกันในห้องทำงานไม่ใช่เหรอไง” ผมล่ะอยากจะลุกขึ้นแล้วอาละวาดให้เสียงดังลั่นห้องเลย ถ้าไม่ติดว่ากลัวเคลลี่จะตื่นน่ะ โมโหเว้ย


“อ้อ เรื่องนั้น จริงด้วยสินะ อันนั้นเรื่องจริงพี่ไม่ขอแก้ตัว”


“ถ้างั้นที่ผมเข้าใจก็คงจะถูกต้องแล้วใช่มั้ยครับ” เฮียเมฆยอมรับมาขนาดนี้ ผมยังจะหวังอะไรลมๆ แล้งๆ ได้อีกล่ะ


“คีเข้าใจว่ายังไง ไหนบอกพี่หน่อยสิคนเก่ง” เฮียเมฆกดปลายคางลงบนบ่าผมเบาๆ ส่วนจมูกของเฮียน่ะเหรอ อยู่ไม่ไกลจากหน้าผมเลย ให้ตายเถอะ พูดไปก็สั่นไป เฮียเมฆโหมดอ้อนเป็นเด็กแบบนี้ บอกตรงๆ ผมไม่คุ้นเลยจริงๆ นี่มันก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่เฮียเมฆมักจะนานๆ ใช้ทีล่ะครับ หลอกล่อให้อีกฝ่ายใจอ่อน แล้วได้ผลดีโดยเฉพาะกับผมเสียด้วย


“พี่กับคุณพีชคงกำลังดูๆ กันอยู่ใช่มั้ย”


“ดูๆ กันอยู่ นี่แปลว่าอะไร” ปากก็ถามแต่ทำไมผมรู้สึกถึงริมฝีปากอิ่มที่กดประทับลงบนต้นคอครับ โอ้ย เฮียเมฆจะคุยก็คุย แต่อย่าทำแบบนี้ คีจะขาดใจเอาได้นะครับ


“ก็แปลว่ากำลังจะพัฒนาต่อจนอาจจะคบกัน เป็นแฟนกันก็ได้ไงครับ”


“นั่นน่ะเหรอความหมายของคำนั้น อืมม ก็เข้าท่าดีเหมือนกันนะ”


“ถ้าเฮียเมฆจะคุยแบบนี้ งั้นผมขอตัวไปนอนก่อนล่ะครับ” ผมทำท่าจะลุกแต่ก็ถูกแรงของเฮียกดให้นั่งนิ่งเหมือนเดิม


“ไม่แกล้งแล้ว เอาเรื่องแรกก่อนละกัน ตั้งใจฟังให้ดีล่ะ”


“............” ที่เงียบไม่ใช่อะไรครับ ตั้งใจรอฟังอย่างดี ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ตอนนอนกับสาวครั้งแรกยังไม่ตื่นเต้นเท่านี้เลย แต่นี่อะไร แค่ฟังคำอธิบายของเฮียเมฆ หัวใจกลับเต้นแรงกว่าที่เคย


“คืนนั้น พี่กับคุณพีชไม่ได้จูบกันอย่างที่คีคิดและเข้าใจไปเอง ...... คนเดียว” เฮียเมฆทิ้งระยะก่อนจะพูดคำสุดท้าย นี่มันเหมือนหลอกด่าทางอ้อมเลยสินะ จะบอกว่าผมมโนไปเองคนเดียวอย่างนั้นใช่มั้ย


“แล้วที่ผมเห็นล่ะ”


“ฟังพี่สิ เด็กดี เรามาทวนกันใหม่สักรอบก่อนนะ พี่ขับรถไปส่งคุณพีชที่บ้าน คุณพีชนั่งข้างหน้าคู่กับพี่ ส่วนคีนั่งข้างหลัง พอถึงบ้านคุณพีชพี่ก็ลงไปส่งคุณพีชที่หน้าประตูบ้าน ตอนที่คีเห็นคงเป็นจังหวะที่แมลงบินเข้าตาคุณพีช พี่เลยช่วยดูให้ ถ้าคีจะสังเกตให้ดีคงเห็นว่าแมลงบินให้ว่อนเลยนะตรงหน้าบ้านน่ะ”


“จริงเหรอครับ?”


“พี่จะโกหกคีทำไมครับ พี่เคยโกหกเราด้วยเหรอ”


“แต่ตอนที่อยู่ในรถกัน ผมเห็นเฮียเมฆจับมือกับพี่พีช”


“คดีเพิ่มเหรอ?”


“ใช่หรือเปล่าล่ะ” ผมร้อนใจกับคำตอบของเฮียเมฆจริงๆ นะ


“จริง ไม่ปฏิเสธ แต่มันไม่ได้แปลความหมายออกมาอย่างที่คีคิดไปเองคนเดียวอย่างนั้นหรอก” นี่เน้นย้ำหาว่าผมคิดเองคนเดียวสองรอบแล้วนะ


“แล้วมันยังไงล่ะครับ”


“ใจร้อน ตอนจะอธิบายให้ฟังก็ไม่อยากฟัง ทีนี้ล่ะเร่งจริง”


“พี่เมฆ!!”


“เฮ้อ พออยากจะอ้อนหรือโมโหก็เรียกว่าพี่เมฆทุกที ไม่เรียกเฮียเมฆเหมือนเดิมล่ะ” เสียงเฮียเมฆทำเป็นน้อยอกน้อยใจ แต่ผมไม่หลงกลหรอก


“จะพูดต่อมั้ยครับ ถ้าไม่พูด ผมจะได้ไม่ฟัง”


“พี่จับมือคุณพีชจริง วันนั้นคุณพีชเพิ่งเลิกกับแฟนมา”


“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการจับมือด้วยล่ะ”


“ก็แค่ให้กำลังใจคุณพีช ตอนนั้นคุณพีชสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พี่ก็เลยจับมือเพื่อปลอบใจเฉยๆ  คิดว่าคีคงเห็นนั่นแหละ ถ้ากลับถึงบ้านเมื่อไหร่ จะบอกบางคนให้เข้าใจ แต่เจ้าตัวไม่ฟังเลย ดื้อจริงๆ”  ผมดื้องั้นเหรอ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับจมูกโด่งของพี่ที่กดลงบนแก้มของผมล่ะครับ เฮีย มันไม่ยุติธรรมนะ


“ก็ผมโกรธนี่นา อยู่ๆ ก็จับมือกันต่อหน้าผมแล้วยังจูบกันอีก”


“ไม่ได้จูบ”


“ครับ รู้แล้วว่าไม่ได้จูบ แล้วเรื่องกอดกันล่ะ”


“คีจำตอนที่พี่ป่วยแล้วคุณพีชมาเยี่ยมได้มั้ย?” ผมพยักหน้าตอบไป เฮียเมฆเลยพูดต่อ “หลังจากวันนั้นพี่ก็เริ่มรู้สึกว่าคุณพีชคงไม่ได้คิดกับพี่แค่คนติดต่อกันทางธุรกิจเสียแล้วล่ะ พี่เลยขอร้องให้พ่อช่วยดูแลเคสของคุณพีชแทนพี่ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะโอนย้ายงานให้พ่อทำได้เลย เพราะส่วนใหญ่คนที่ติดต่องานเป็นพี่ไง”


“เกรงใจคุณลุง”


“พี่ก็เกรงใจพ่อ เพราะคีคงรู้ว่าพ่อพี่อยากจะวางมือนานแล้ว แต่พอพ่อรู้ว่าพี่มีปัญหากับคีเพราะคุณพีชพ่อก็เข้าใจดี แล้วตอนที่คีเห็นพี่กับคุณพีชกอดกันน่ะ” เฮียเมฆพูดถึงตรงนี้ก็เงียบไป


“ทำไมครับ?” ผมอดทนไม่ไหวจนต้องเป็นฝ่ายถามขึ้นมาเอง


“พี่บอกคุณพีชไปตรงๆ ว่าเรื่องงานต่อไปพ่อพี่จะดูแลแทน ส่วนเรื่องพี่กับคุณพีช อยากให้คุณพีชเลิกคิดดีกว่าพี่มีเด็กดื้อขี้งอน ที่เอะอะคอยหนีปัญหาอยู่แล้ว แถมยังขยันสร้างเรื่องให้พี่ไม่หยุด ไปโรงพักจนร้อยเวรจำหน้าคนประกันตัวได้แล้ว พี่ไม่อยากมีปัญหามากไปกว่านี้” คำตอบของเฮียทำเอาผมหมั่นไส้จนต้องถองศอกลงท้องเฮียเบาๆ


“แล้วไงต่อครับ”


“คุณพีชก็เลยขอกอดพี่นั่นแหละ พี่ก็คิดเหมือนตอนจับมือกับคุณพีชนั่นแหละว่าคงให้กำลังใจและปลอบใจให้ได้เพียงเท่านี้ คีก็มาเห็นพอดี แล้วก็หนีเตลิดกลับบ้าน ทำเอาแม่พี่เศร้าไปหลายวันเลย”


“ป้าจันน่ะเหรอครับ”


“แม่พี่มีหลายคนเหรอ” เผลอไม่ได้เป็นต้องกวนกลับ ให้ตายจริงๆ สิน่า


“พี่เมฆ!!”


“เบาๆ อย่าเสียงดัง”


“แล้วช่วงนั้นพี่ไปไหนมาไหนกับคุณพีชหรือเปล่า อ้อ ผมนึกได้แล้ว คืนนั้นที่ร้านอาหารอีก พี่ก็นัดพี่พีชมาด้วย นัดมาทำไมครับ”


“ไม่ได้นัดหรอก แต่คุณพีชบอกว่ามีธุระจะคุยด้วย พี่กลัวจะดึก ไม่อยากให้คีต้องรอนานเลยนัดไปที่ร้านอาหารนั้นแทน เลยกลายเป็นเรื่องไปซะได้”


“ตอนนั้นผมโกรธนะ ทำเหมือนแอบนัดหลับหลังผม และผมก็ไม่รู้ว่าพี่สองคนจะเอายังไงกันแน่ ถ้านัดกันก็ไม่ต้องชวนผมให้ไปด้วยสิ”


“ก็เลยไปทักทายโต๊ะอื่นแทนใช่มั้ย”


“แล้วมันได้ผลมั้ยล่ะครับ” ผมยิ้มโดยที่เฮียเมฆไม่มีทางเห็นอยู่แล้ว ลึกๆ แล้วรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เหตุผลหลักๆ ก็คงเพราะไม่มีอะไรในกอไผ่ ถามว่าผมควรจะเชื่อเลยเหรอ ไม่คิดว่าเฮียเมฆโกหกเหรอ ก็อย่างที่เฮียเมฆบอกแหละครับ เฮียไม่เคยโกหกผม


“ได้ผลแน่อยู่แล้ว รู้ทั้งรู้ว่าพี่คงไม่ยอมถ้าจะไปกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ เอาคืนพี่ซะแสบเลย”


“ก็ผมไม่ชอบ เผื่อพี่เมฆจะได้เข้าใจบ้างว่าเวลาไม่ชอบน่ะเป็นยังไง”


“อย่าทำอีก”


“ไม่ทำแล้ว”


“ถึงพี่ไม่เห็นก็ทำไม่ได้ คิดว่าพี่ไม่รู้เหรอว่าคืนนั้นที่ผับคีเข้าประตูหนีไฟไปพร้อมกับผู้ชายอีกคน” เสียงเฮียเมฆเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ผมรู้สึกได้ถึงรังสีที่แผ่ออกมา รู้สึกเสียวสันหลังวาบถ้าเฮียเมฆมีมีดอยู่ในมืออาจจะแทงผมจากด้านหลังมิดด้ามแล้วแน่ๆ


“เอ่อ...คือ...” ทำอ้ำอึ้งไป กำลังหาทางหนีทีไล่เอาตัวรอดครับ


“ไม่ต้องคิดที่จะเปลี่ยนเรื่อง ยังไงพี่ก็ไม่ยอมให้หนีความผิดไปได้หรอก” ชะอุ้ย เฮียเมฆรู้ทันได้ยังไง จะแก้ตัวยังไงดีล่ะ


   “ขอโทษนะครับ พี่เมฆ”


   “สัญญากับพี่แล้ว ทำไมยังทำอยู่” เดี๋ยวนะ ทำไมอยู่ๆ ผมกลายเป็นนักโทษรอลงอาญาไปได้ล่ะ


   “ก็ผม............. ไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไรสักหน่อย ผมยอมพี่เมฆคนเดียวไม่ได้ยอมกับคนอื่นนี่นา” ผมเสียงเบาลงชัดเจน อึกอักตอบแก้ตัวไป


   “ยังมาเถียงพี่อีก”


   “เปล่าครับ”


   “พี่จะไม่ถามว่าคีรักพี่บ้างหรือเปล่า แต่ถ้าคีไม่อยากให้พี่ไปไหน คีต้องเลิกให้หมด” เหมือนสัญญาที่แฝงไปด้วยคำขู่ยังไงยังงั้น


   “ได้ครับ ผมจะไม่ยุ่งกับผู้ชายคนไหนอีก นอกจากพี่เมฆ” รับปากไปก่อน อย่างน้อยก็ยังมีผู้หญิงให้ผมเลือกได้อยู่แหละว้า


   “ผู้หญิงก็ไม่ได้” ปากอิ่มกดแน่นลงขมับของผม เหมือนจะขอร้องแต่ลึกๆ แล้วมันไม่ใช่เลย เฮียเมฆกำลังกลัวอะไรบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ เหมือนเฮียเมฆไม่มั่นใจในตัวผม


   “ไม่ได้เลยเหรอ?” ถามเพื่อความหวังสุดท้าย ผมไม่ได้เจ้าชู้นะครับ แต่แค่เผื่อแผ่ให้ทั่วถึงเอง


   “ไม่ได้ครับ”


   “โอเคเลิกหมดก็ได้ครับ เฮ้อออ” ผมถอนหายใจ แล้วตอบเสียงเศร้ากลับไป แต่ในใจน่ะเหรอ เออ เลิกก็ได้เว้ย เลิกให้หมดเลย แม่ง


   “สรุปว่าเคลียร์? มีอะไรอยากถามอีกมั้ย”


   “คิดว่าไม่น่าจะมี ไม่มีแล้วครับ”


   “ขอบใจมาก คีรินทร์” เรียกชื่อผมแบบนี้ อยากจะให้ผมทำอะไรให้ล่ะครับ เฮียเมฆ


   “ขอบใจ? ขอบใจผมเรื่องอะไร”


   “ที่ยังไม่อยากให้พี่ไปไหน”


   “ไม่ต้องมาขอบใจผมหรอกครับ เพราะการกระทำกับคำพูดของผม มันเป็นการกระทำของคนที่เห็นแก่ตัว”





------------------------------------------

คุณ Jibbubu : ใช่เลยค่ะ พ่อของคีน่ารักมากกก เขมชอบมากเลยล่ะค่ะ

คุณ หมอตัวเปียก : ตอนนี้เฮียมาแล้วค่าา

คุณ lovenadd : น้องคีก็ยอมฟังแล้วค่า

คุณ Yara : นายคีจอมเวิ่นเว้อ ชอบสร้างแต่เรื่องค่ะ เลยไม่ยอมบอกใคร

คุณ kokoro : ความอึมครึมหายไปหมดหรือยังคะ

คุณ ทฟเืนสรฟ : รอบนี้เฮียเมฆพูดยาวเลยล่ะค่ะ เคลียร์แล้ววว

ตอนนี้คิดว่าน่าจะเป็นตอนที่ทุกคนรอคอยเลยนะคะ เขมมีเงินค่าตัวพาเฮียเมฆขึ้นเครื่องมาแล้วล่ะค่ะ
เรื่องเรียบร้อยแล้ว เสือน้อยก็ต้องถอดเขี้ยวเล็บด้วย คีเอ๊ย ฮ่าาาาาาา

แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ ^^

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1875
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
เคลียร์กันแล้ว ถ้าคุยกันแต่แรกก็จบไปแล้วนะคี ฟังคนอื่นบ้าง อย่าคิดเองเออเองซะทุกอย่าง

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ในที่สุดก็เคลียร์กันได้ซะที ต่อไปคีต้องเลิกนิสัยคิดไปเองได้แล้วนะ มีอะไรก็ถามเฮียไปเลยตรงๆ อย่าหนีปัญหาแบบนี้อีก ไม่ดีเลยจริงๆ ดูซิแค่เรื่องเล็กคีทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ซะขนาดนี้เก่งจริงๆ เฮ้ออออ :เฮ้อ:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เฮียเมฆ......น่ารัก
คี ยังคิดตุกติก แต่เฮียเมฆ รู้ทัน ซะละ
 :เฮ้อ: เข้าใจกันซะที
เฮียเมฆ ลงโทษ จัดหนักเด็กดื้อ เอาแต่หนีปัญหาเล้ย....
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
น้องคี แพ้พนันพี่กันต์แล้วล่ะ ^^
มาถึงตอนนี้ก็คงรักกันมากเหมือนกันทั้งคู่
เพราะเฮียรักมากก็เลยยอมทุกอย่างขนาดให้คีย์ไปยุ่งกับผู้หญิงได้ แล้วคีย์ยังไม่มั่นใจอะไรอีก ไม่เข้าใจอ่ะ

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
ต้องเคลียร์ซะไกลถึงจะเข้าใจกัน

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter


ภูเขาลูกที่สิบสอง


เช้านี้ผมตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว ไม่ต้องหาเหตุผลให้ยาก ที่รู้สึกดีแบบนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่คาใจระหว่างเฮียเมฆกับพี่พีช จนปล่อยให้กัดกินจิตใจของตนเอง ฉลาดกับทุกเรื่องแต่โง่อยู่เรื่องเดียว เหมือนอย่างที่ไอ้ธรมันเคยด่าเอาไว้จริงๆ



ผมหันหน้าไปมองที่นอนข้างๆ แต่กลับว่างเปล่า สัมผัสดูแล้วเหมือนคนข้างๆ น่าจะลุกไปนานแล้ว เจ้าเด็กดื้อหายไปไหนล่ะ? เตรียมจะลุกขึ้นออกไปตามหาเด็กน้อย แต่หูก็พลันได้ยินเสียงหัวเราะของคนสองคนด้านนอก เสียงเล็กใสของเคลลี่ที่ดูจะหัวเราะขำอยู่กับอะไรสักอย่าง ส่วนอีกเสียงของเฮียเมฆที่ดูจะหัวเราะไปพร้อมกับหลานด้วย ถ้างั้นผมถือโอกาสนี้ขอนอนเล่นต่อไปอีกสักหน่อยก็แล้วกันนะครับเฮียเมฆ เคลลี่




ผมนอนตะแคงไปทางหน้าต่างของห้อง เลยเห็นบางอย่างวางอยู่ตรงหัวเตียง ผมยิ้มกว้างให้กับของตรงหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา ไม่ต้องสงสัยว่าใครเป็นคนมาวาง แต่ที่น่าแปลกใจมากกว่าคือเฮียเมฆซื้อดอกไม้ชนิดนี้มาแทนที่จะเป็นดอกลิลลี่อย่างที่เจ้าตัวชอบ



‘ดอกไฮเดรนเยีย’



มีความหมายทั้งสุขและทุกข์ สุขที่ขอบคุณฝ่ายที่ได้รับมันไป แต่ก็อาจจะหมายถึงทุกข์ที่อีกฝ่ายมีหัวใจด้านชาใส่ก็เป็นได้ จะว่าไปผมก็คงเหมาะกับดอกไม้ชนิดนี้จริงๆ แหละ ผมตอบรับความรู้สึกเฮียเมฆไม่ได้ ยังเห็นแก่ตัวอยู่ตลอด แต่กลับไม่ยอมปล่อยมือจากเฮียเมฆสักที



จริงๆ แล้ว เฮียเมฆก็อาจจะเป็นคนที่ชอบความเจ็บปวดก็เป็นได้ รู้ทั้งรู้ว่าสถานการณ์ของเราทั้งคู่มันอึมครึม ไม่มีอะไรแน่นอน ถ้าเรียกกันแบบภาษาชาวบ้านคงบอกว่า คอยหวงก้างกันไปมา แต่พูดไม่ได้สักทีว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน


“คีคะ แม่จะส่งคีกลับไปเรียนที่เมืองไทย” ผมนึกย้อนกลับไปตอนที่ตัวเองอายุสิบเจ็ดปี ผมยังเรียนไม่จบเกรดสิบสองเลย ที่นี่จะจบช่วงหน้าร้อนก็คือกรกฎาคมหรือสิงหาคมครับ ในเช้าวันหนึ่งบนโต๊ะอาหารท่ามกลางเดือนเมษายน แม่ผมก็เปรยขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


“ไม่ไปครับ คีจะเรียนต่อที่นี่” เมื่อแม่พูดขึ้นมาเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผมก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เดียวกัน


“ไปอยู่กับป้าจันนะคะ แม่คุยกับป้าจันไว้เรียบร้อยแล้ว”


“ทำไมแม่ถึงตัดสินใจอะไรเองแบบนี้ครับ ทำไมไม่ปรึกษาคีก่อน”


“คีคะ....” แม่เรียกผมด้วยความอ่อนใจ


“คีไม่ไปครับ” ผมยืนยันหนักแน่นในความคิดของตัวเอง


“ไปเถอะค่ะคี เพื่อแม่ไม่ได้เหรอคะ” บางทีสำนึกในบุญคุณนี่ก็ทำเอาผมลำบากใจตลอดเลยนะ


“ทำไมคีต้องไปด้วยล่ะครับ? แล้วอีกอย่างตอนนี้ที่เมืองไทยคงจะสอบเตรียมเข้าไปมหา’ลัย เสร็จไปแล้ว”


“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก เอกชนมีเยอะแยะถมไปค่ะคี”


“แต่คียังเรียนไม่จบ...”


“ระหว่างนั้นคงต้องเทียวไปเทียวมาก่อน แต่คีก็ใกล้จะจบอยู่แล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ”


“แม่ครับ...” เหมือนผมจะไม่มีทางปฏิเสธได้เลย


“ไปนะคะ แม่ขอร้อง”


“แล้วพ่อล่ะครับ? เคลลี่อีกล่ะ?” ผมพยายามหาที่พึ่ง


“พ่อไฟเขียวค่ะ ส่วนเคลลี่เดี๋ยวแม่ดูน้องเอง ไม่ต้องห่วงนะคะ”


“โธ่ แม่.. คีไม่อยากไป”


“ไปเถอะค่ะ”


“ทำไมล่ะครับ ทำไมต้องให้คีไปเรียนต่อที่นั่นคนเดียวล่ะ พ่อกับแม่ก็อยู่ที่นี่”


“แม่เชื่อว่าสิ่งที่แม่ทำ มันจะทำให้คีดีขึ้นค่ะ” แม่ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วเดินมาหาผม มือขาวนิ่มของแม่ลูบศีรษะผมเบาๆ ผมกอดแม่เอาไว้ แนบศีรษะของตัวเองเข้ากับหน้าท้องแบนของแม่เอาไว้ ผมไม่อยากไปเลย


“แล้วคีต้องไปเมื่อไหร่”


“สัปดาห์หน้าค่ะ”


“เร็วอย่างนั้นเลยเหรอครับ”


“ไม่เร็วหรอกค่ะ เรื่องเรียนแม่ไปจัดการให้แล้วนะคะ ระหว่างนี้คงเหนื่อย ยังไงก็อดทนหน่อย ถ้าจบเกรดสิบสองแล้วก็จะไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะค่ะ”


“ขอบคุณครับแม่”


“พ่อกับแม่น่ะ รักคีและทำเพื่อคีนะคะ” หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ตามที่แม่บอก ผมก็ยืนอยู่ที่สนามบินของประเทศไทยแล้วล่ะครับ แม่บอกว่าลูกชายป้าจันจะมารับผมด้วยตัวเอง ผมยืนชะเง้อคอยืดคอยาวแต่ก็ไม่เห็นใครสักคน แต่ปัญหาคือ ผมไม่รู้จักหน้าตาของลูกชายป้าจันนี่สิ ผมเลยต้องยืนเกะกะอยู่ตรงประตูทางออก หันรีหันขวางไปมา เพราะไม่รู้จะยืนตรงไหนดี ใจก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะหาผมไม่เจอ แล้วทางนั้นรู้จักหน้าตาผมมั้ย


“คีใช่มั้ย พี่เมฆเองนะ” ตอนที่ผมตัดสินใจว่าจะไปหาที่นั่งใกล้ๆ ประตูทางออก ก็มีชายคนหนึ่งจับแขนของผมเอาไว้ ผมตกใจเหมือนกันนะ นี่มันกลางสนามบินผมจะโดนลักพาตัวเหรอเนี่ย แต่พอได้ยินเสียงแนะนำตัวเองแบบกระหืดกระหอบเหมือนคนวิ่งมาตลอดทาง ผมก็รู้สึกโล่งนิดหน่อย แต่เดี๋ยวนะ พี่เมฆน่ะใคร?


“พี่เมฆ?” ผมทวนคำ


“ครับ”


“ลูกชายป้าจัน?” ลองเสี่ยงถามดู แต่จะกลายเป็นชี้โพรงให้กระรอกหรือเปล่า


“ใช่” อีกฝ่ายรับสมอ้างทันที


“ไม่เชื่อ คุณจะมาลักพาตัวผมไปใช่มั้ย ผมไม่มีเงินหรอกนะ บ้านผมจน ปล่อยผม!!” ผมยังไม่กล้าเสียงดังกระโตกกระตากออกไป คิดว่าถ้าคนตรงหน้ายังไม่ปล่อยมือจะตะโกนขอความช่วยเหลือให้สุดเสียงเลย


ผมทำท่าจะสะบัดแขนให้เต็มแรง แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับปล่อยมือออกทันทีเหมือนกัน ผมเกือบจะสะบัดแขนเก้อเสียแล้ว มองอีกฝ่ายตรงหน้าแต่สายตาของผมกลับอยู่แค่ระดับปลายจมูก อะไรกัน ไอ้หมอนี่สูงกว่าผมอีกเหรอเนี่ย ขัดใจเป็นบ้า เงยหน้ามองก็ได้วะ



หัวใจผมเต้นกระตุกไปหนึ่งจังหวะ และอีกจังหวะ



“พี่เมฆ พี่ชายข้างบ้านไง จำไม่ได้หรือ?” อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจะเบื่อหน่ายกับอาการของผมเสียแล้ว


“จำไม่เห็นได้ มีหลักฐานมั้ย ขอดูหน่อย” คนตัวสูงกว่าผม ถอนหายใจรดบนศีรษะของผมเต็มๆ เฮ้ย ไม่เกรงใจกันเลยนะ ก่อนที่เจ้าตัวจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาหยิบบัตรประชาชนยื่นมาให้


เมฆา วิวัฒน์จรรยา ชื่อนี้ ผมรู้สึกว่ามันคุ้นจัง แต่นามสกุลนี้ชัดเจนว่าผมรู้จัก เพราะแม่พูดให้ฟังอยู่บ่อยๆ


“เชื่อหรือยัง”


“อื้อ เชื่อก็ได้”


“ของมีเท่านี้ใช่มั้ย ถ้างั้นไปเร็ว พี่เปิดไฟฉุกเฉินเอาไว้ เดี๋ยวโดนยกรถ” ผมพยักหน้าตอบกลับไป ลูกชายป้าจันในเวลานั้นก็รีบลากกระเป๋าเดินทางของผมไปที่รถทันที ถึงแม้เจ้าตัวจะลากกระเป๋าไปด้วยแต่ความเร็วของขาที่ก้าวยาวไม่ได้ชะลอเลย กลับเร็วเสียจนผมที่ขายาวอยู่แล้วยังเกือบวิ่งตาม


“เดินเร็วเป็นบ้า” ผมขึ้นมานั่งในรถด้านหลังได้ก็บ่นอุบกับตัวเอง ตอนนี้หอบน้อยๆ ครับ เล่นเดินเร็วไม่บอกกล่าวแบบนี้ มันตั้งตัวไม่ติด ลุงคนขับรถอยู่ด้านหน้าหันมาทักทาย ผมยกมือไหว้คุณลุงท่าทางใจดีคนนั้น แกแนะนำตัวเองว่าชื่อ ลุงหมาย


“เหนื่อยเหรอ เอ้านี่ น้ำ” เจ้าของรถหันไปหยิบน้ำที่อยู่ข้างๆ ของตนเองมาให้



“ขอบคุณครับ”


“พูดดีๆ ก็เป็นนี่” ผมชะงักมือที่กำลังเปิดขวดน้ำออกแล้วหันไปมองคนข้างๆ ด้วยความไม่พอใจ มีสิทธิ์อะไรมาพูดกับผมแบบนี้


“ทำไม”


“เปล่า” มีใครเคยบอกมั้ย นอกจากน้ำเสียงกวนตีนแล้วสีหน้ายังวอนหาเรื่องด้วย สงสัยจะญาติดีกันไม่ได้แล้ว



ไม่อยากจะคุยอะไรต่อกับคนข้างๆ ขืนคุยมากไปกว่านี้คงต้องโมโหจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้แน่ๆ ถ้าพลั้งมือต่อยปากคนไปจะเป็นอะไรมั้ย พยายามสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ มองหน้าออกไปนอกหน้าต่างดีกว่า น่าจะช่วยได้


ความเหนื่อยที่นั่งเครื่องมานาน แถมยังนอนไม่ค่อยหลับอีก เมื่อเดินเร็วเหมือนออกกำลังกายไปในตัวแล้วมาเจอแอร์เย็นๆ ทำให้ผมง่วงงุนจนหลับไปในเวลาไม่นานนัก


“คี ตื่น ถึงบ้านแล้ว” แรงเขย่าแขนไม่เบามือนัก ทำให้ผมจำใจต้องตื่น ผมลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าตัวเองพิงศีรษะไว้กับไหล่ของใครอีกคน พอรู้ว่าตัวเองซบไหล่ของคนที่ไม่ถูกชะตาอยู่ก็เหมือนถูกของร้อนๆ ครับ สะดุ้งออกมาแทบไม่ทัน อีกฝ่ายไม่พูดอะไรเปิดประตูลงรถออกไปทันที


“คี เป็นไงบ้างลูก ไม่เจอกันนานเลย มาให้ป้าหอมที โตเป็นหนุ่มหล่อเลยนะเรา” ผมยกมือไหว้ป้าจันกับลุงกรณ์ แล้วก็เข้าไปสวมกอดป้าจันครับ ป้าจันหอมแก้มซ้ายขวาผมเหมือนสมัยก่อนที่ผมยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ ในความทรงจำวัยเด็กของผมนั้น จำป้าจันกับลุงกรณ์ได้ครับ เพราะทั้งคู่ใจดี ป้าจันหาของกินอร่อยๆ มาให้ผมทานอยู่บ่อยๆ ส่วนลุงกรณ์บินไปดูงานที่สวิตบ่อยๆ ผมเลยค่อนข้างคุ้นกับลุงกรณ์ แต่ทำไมผมถึงจำลูกชายป้าไม่ได้เลยนะ


“พอแล้วคุณ หลานแก้มช้ำไปหมดแล้ว”


“คุณก็นะ ขัดจังหวะจริง ก็คิดถึงนี่นา ไม่เจอตั้งหลายปี” ป้าจันหันไปบ่นลุงกรณ์นิดหน่อยแล้วก็จูงมือผมไปนั่งที่โซฟาห้องรับแขก


“เป็นไงบ้างล่ะ เมืองไทยร้อนมั้ย”


“ร้อนมากเลยครับ ลุงกรณ์”


“ปรับตัวหน่อยนะ ถ้ารู้สึกไม่สบายก็บอกป้าหรือพี่เค้าก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจ เราคนกันเอง” ลุงกรณ์บอกผมพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม มีริ้วรอยตามวัยแต่วัยหนุ่มคงเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีไม่เบา ผมมองดูอีกคนที่นั่งข้างๆ ที่นั่งนิ่งๆ อ่านอะไรในโทรศัพท์ ใบหน้าที่ถอดแบบพ่อออกมาก ส่วนแววตานั้นจากแม่ ช่างเป็นส่วนผสมที่ลงตัวเหลือเกิน


“ขอบคุณครับลุงกรณ์ ป้าจัน”


“จ้ะ คิดเสียว่าที่นี่ก็เป็นบ้านของคีนะ ป้าจะดูแลเราอย่างดีเลย ไม่ให้แม่เรามาว่าป้าได้เด็ดขาด”


“ครับ” ผมยิ้มให้ป้าจันที่เอ็นดูผมเหมือนลูกเหมือนหลานจริงๆ


“เดินทางมาเหนื่อยๆ เดี๋ยวป้าให้พี่เมฆพาไปที่ห้องนะจ้ะ ตาเมฆพาน้องไปหน่อย” ป้าจันหันไปบอกลูกชาย ฝ่ายนั้นได้ยินก็ลุกขึ้นแล้วออกเดินนำไป


“อย่าถือสาลูกชายป้าเลยนะจ้ะ ตาเมฆพูดไม่ค่อยเก่งหรอก ดูเหมือนจะดุแต่จริงๆ แล้วใจดี ขี้สงสาร ใจอ่อน เลยล่ะ อีกอย่างตอนเด็กๆ ก็เล่นด้วยกันนี่ คงกลับมาสนิทกันไม่ยากหรอก จริงมั้ยจ้ะ”


“คะ..ครับ” ผมแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะไม่รู้จะตอบป้าจันยังไง  ขนาดเพิ่งเจอกันไม่กี่ชั่วโมงยังรู้สึกไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย ดูท่าทางไม่น่าจะญาติดีกันได้หรอก


“คี” เสียงเรียกจากคนที่ป้าจันบอกว่าใจดี ไม่เห็นจะจริงอย่างที่ป้าจันบอกเลย ตอนนี้ยักษ์ตัวใหญ่ ยืนปักหลั่นตรงทางขึ้นบันได ข้างๆ ตัวก็มีกระเป๋าเดินทางของผมวางอยู่


“รีบตามพี่เค้าไปเถอะจ้ะ เดี๋ยวจะหงุดหงิดอีก”


“คีขอตัวก่อนนะครับ ป้าจัน ลุงกรณ์” ผมบอกแล้วรีบลุกขึ้นไปหาคนที่ยืนหน้านิ่งเหมือนผมไปเหยียบตาปลาเข้าให้น่ะครับ


“ห้องนี้” ผมเดินตามมาเงียบๆ ลูกชายป้าจัน ยกกระเป๋าเดินทางขึ้นมาด้วยตัวเอง ตอนแรกผมบอกอีกฝ่ายว่าจะขอยกเองแต่คนแก่กว่ากลับไม่พูดแล้วยกกระเป๋าขึ้นไปเสียเอง เรื่องของนายสิ ดีเสียอีก ผมก็ไม่หนักด้วย พอพ้นบันไดขึ้นมาห้องแรกก็เป็นห้องนี้ อย่างที่คนเดินนำมาบอกครับ มือหนาเปิดประตูแล้วยกกระเป๋าเข้าไปวางให้ ผมต้องให้ทิปพนักงานด้วยมั้ย


“ขอบคุณ”


“ขาดเหลืออะไรก็บอก” ใครจะกล้าบอกพี่กันครับ หน้าหงิกหน้างอแบบนี้


“อืม”


“เมื่อก่อนออกจะพูดจาเพราะ”


“เมื่อก่อน?”


“ใช่”


“เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน ตอนนี้ก็คือตอนนี้” ผมตอบเชิดหน้าอย่างถือดี จะว่าไป ผมจำไม่ได้เลยว่าผมกับลูกชายป้าจันเป็นเพื่อนเล่นกันได้ด้วยเหรอ ดูจากบัตรประชาชนที่เขายื่นมาตอนที่อยู่สนามบินแล้ว อายุเราห่างกันเก้าปี ไม่น่าจะเป็นเพื่อนเล่นกันได้เลย


“ก็จริง งั้นพักผ่อนเถอะ” ทำไมผมถึงรู้สึกว่าคนตรงหน้าไม่ค่อยพอใจกับคำพูดของผม แต่ช่างเถอะ ไม่ได้สนิทกันขนาดที่จะต้องมาใส่ใจสักหน่อย



แล้วนั่นก็เป็นการถูกส่งมาเรียนที่ไทยและการพบกันครั้งแรกของผมกับเฮียเมฆ ที่ผมเรียกมันว่าครั้งแรกก็เพราะว่า จนกระทั่งตอนนี้ผมก็ยังจำช่วงเวลาวัยเด็กระหว่างผมกับเฮียเมฆไม่ได้เลยน่ะสิ ถ้าหากไม่มีป้าจันคอยเล่าให้ฟัง ผมเองก็คงไม่รู้อะไรเลย สงสารก็แต่คนที่เป็นเพื่อนเล่นวัยเด็กของผมไปน่ะสิ หากคุณมีเพื่อนหรือพี่ชายข้างบ้านแล้วจู่ๆ คุณก็ลืมเขาไป ตัวคนที่ลืมอาจจะไม่เป็นไร อย่างมากก็หงุดหงิดที่จำไม่ได้ ความทรงจำวัยเด็กอาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญของทุกคนก็ได้



แต่ความรู้สึกของคนที่ถูกลืมล่ะ จะเป็นอย่างไร



“Key!! Wake up” เสียงเคลลี่ดึงผมออกจากอดีต มือเล็กๆ ตีประตูไม่เบานัก ไม่เจ็บมือหรือไงกันนะ


“พี่ตื่นแล้วครับ” ผมรีบลุกออกไปเปิดประตูก่อนที่มือของเจ้าตัวเล็กจะเจ็บ เปิดประตูก็เห็นเด็กดื้อยื้มแผล่ พร้อมชูมือขึ้นให้อุ้ม ผมเลยไม่ขัดศรัทธาอุ้มเคลลี่ขึ้นมา ไม่ลืมจะหอมแก้มยุ้ยๆ นั่นด้วย


“ตื่นแล้วเหรอ” คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเคลลี่ก็ยืนยิ้มทักทายผมเหมือนกัน


“ครับ เฮียล่ะ ตื่นนานแล้วเหรอ”


“สักพักใหญ่” เฮียเมฆก้าวเท้าเข้ามากอดผมไปพร้อมกับเคลลี่ จมูกโด่งก้มลงมากดแนบแน่นที่แก้มของผมไม่ต่างจากที่ผมหอมแก้มเคลลี่เลยแม้แต่น้อย เคลลี่หัวเราะเอิ๊กอ๊าก เฮียเมฆเลยหอมแก้มเด็กน้อยด้วย


“เฮียเมฆ เล่นอะไรเนี่ย”


“ไม่ได้เล่น ก็เห็นคีหอมเคลลี่ได้ พี่เลยคิดว่าน่าจะทำได้เหมือนกัน”


“ตรรกะอะไรของเฮียเนี่ย”


“แค่หอมแก้มเอง มากกว่านี้น่าจะทำได้นะ” เฮียเมฆทำท่าจะก้มลงมาอีก


“หยุดเลยนะเฮียเมฆ เคลลี่กำลังจำครับ”


“จริงด้วยสิ ขอโทษที”


“สั่งอะไรขึ้นมาทานหรือยังครับ”


“ยังเลย รอคีอยู่ พี่ไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรให้เคลลี่”


“งั้นเดี๋ยวผมโทรไปสั่งก่อนนะครับ” ผมส่งเคลลี่ให้เฮียเมฆอุ้มก่อนจะละไปโทรศัพท์สั่งอาหารจากด้านล่างขึ้นมาเหมือนเมื่อวาน



ทานมื้อเช้าเสร็จ เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมเรียบร้อย แต่ยังฝากกระเป๋าไว้ที่นี่ก่อน ตอนที่ไปเที่ยวในเมืองจะได้สบายๆ ตัวไม่ต้องถือของหนัก ผมเริ่มพาเฮียเมฆเที่ยว ประหนึ่งเป็นไกด์ประจำทริปเหมือนเดิมครับ ผมพาเฮียเมฆเดินกลับไปที่แม่น้ำรอยซ์ (Reuss river) แบบเมื่อวานครับ มาดูบรรยากาศช่วงสายๆ บ้างดีกว่า อากาศดีเช่นเคย ติดตรงที่หนาวไปหน่อย หลังจากนั้นก็เดินยาวเหมือนกันครับ มีร้านรวงขายของเต็มไปหมดเหมือนทุกๆ ที่ ใครที่ชื่นชอบช็อคโกแลตที่นี่ก็มีร้านชื่อดังอยู่นะครับ
ผมพาเฮียเมฆลัดเลาะถนนมาเรื่อยจนถึงอนุสาวรีย์สิงโตครับ เป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงทหารชาวสวิตที่ซื่อสัตย์ในหน้าที่จนเสียชีวิตนั่นแหละครับ ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้อีกแห่งเลยล่ะครับ ผมถ่ายรูปเล่นอยู่สักพักก็ออกเดินต่ออีกครั้ง


“เฮีย หิวยัง”


“ยังเลย ทำไม?”


“เปล่าครับ ถามเฉยๆ”


“ถ้าคีหิวก็บอก จะได้หาร้านแวะกินอะไรกัน” ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูอีกสักชั่วโมงก็จะเข้าสู่ช่วงเวลาเที่ยงตรงแล้ว


“งั้นสักเที่ยงค่อยกินละกันครับ” พูดจบ ผมก็ออกเดิน โดยมีเฮียเมฆเข็นรถเคลลี่เดินอยู่ข้างๆ ช่วงเวลาที่ไม่ต้องคิดอะไร ปล่อยทุกอย่างไปกับรอบตัว และแค่มีเฮียเมฆอยู่ข้างๆ แบบนี้ มันช่างสบายใจเหลือเกิน



ผมเดินต่อไปเรื่อยๆ หวนคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืน หลังจากที่ปรับความเข้าใจกับเฮียเมฆไปแล้วผมก็ขอตัวไปนอน แต่คุณคิดว่าเฮียเมฆจะให้ผมไปนอนมั้ย? ลองเดาดูสิครับ


“งั้นผมไปนอนก่อนนะครับ” ผมตั้งท่าจะลุกขึ้นแล้วแต่อ้อมกอดที่ยังไม่เคยคลายลงเลยกลับรัดแน่นกว่าเดิมเสียอีก


“ยังไม่ให้ไป”


“เฮียเมฆ ผมเจ็บ” ไม่ได้เล่นตัวหรืออะไรเลยครับ แรงของเฮียเมฆทำผมเจ็บจริงไม่ใช้แสตนด์อินด้วย


“นั่งก่อน”


“เฮีย ดึกแล้ว”


“อยู่กับพี่ก่อน” คำของ่ายๆ แต่ยากที่จะปฏิเสธ ผมเลยต้องนั่งอยู่นิ่งๆ ให้เฮียเมฆกอดเอาไว้แบบนั้น


“เฮียเมฆเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เฮียเมฆนิ่งไปนานจนผมรู้สึกไม่ค่อยดี เลยต้องถามออกไปทำลายความเงียบ


“.....”


“มีอะไรก็บอกผมได้นะ”


“ไม่มีอะไร”


“ไม่จริงหรอก เฮียไม่สบายใจอะไร”


“หันหน้ามาหน่อย” เฮียเมฆไม่ตอบแต่กลับให้ผมหันหน้าไปหาคนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแทน ไม่ทันได้ตั้งตัวเฮียเมฆก็ยื่นหน้าเข้ามาจูบที่ริมฝีปากของผม โดยไม่รุกล้ำเข้ามาด้านในเลยแม้แต่น้อย กลับแช่นิ่งค้างไว้แบบนั้น


“พี่เมฆครับ บอกผมหน่อยนะว่าพี่ไม่สบายใจเรื่องอะไร ถ้าพี่เมฆกังวลเรื่องที่ผมโกรธ ตอนนี้ผมไม่โกรธแล้วนะครับ” อย่างที่ผมบอกไป ผมรู้สึกว่าเฮียไม่สบายใจและยิ่งจูบเมื่อสักครู่นี้ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เห็นได้ชัดว่าเฮียเมฆดูเหมือนจะไม่มั่นใจ มีเรื่องอะไรที่กังวลอยู่ แล้วเฮียเมฆกังวลเรื่องอะไรกันล่ะ


“พี่คิดว่าคีจะไม่คุยกับพี่อีกแล้ว”


“เอ ไหนดูคนเก่งของผมหน่อยสิครับ หัวก็ไม่ล้านแฮะ ทำไมคิดเล็กคิดน้อย ขี้น้อยใจไปได้กันน้า” มันเรื่องที่ไม่ควรจะเอามาทำเป็นเรื่องขบขันหรอก ผมรู้ดี แค่อยากทำให้บรรยากาศไม่เครียดไปมากกว่าเดิม




ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter


ช่วงเวลาที่ผมเสียใจ เฮียเมฆเองคงไม่ต่างกันหรอก ซ้ำเฮียคงงงด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะผมไม่เคยบอกว่าผมโกรธหรือไม่พอใจเรื่องอะไร ปล่อยเรื่องให้ยืดยาวออกไปโดยไม่จบมันลงเสียที


“แต่ตอนนี้พี่ดีใจ”


“ผมก็ดีใจเหมือนกับพี่เมฆเลยครับ”


“คีไม่รู้หรอกว่าพี่เครียดแค่ไหน พี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคีไม่พอใจอะไรเรื่องไหน พี่ไม่รู้เลย” เสียงเฮียเมฆเศร้าเสียใจผมรู้สึกไม่ดีตามไปด้วย ผมเหมือนคนบาปที่ทำร้ายเฮียเมฆไม่สิ้นสุด ผมไม่เคยโกรธเฮียเมฆนานขนาดนี้ ไม่เคยปล่อยให้มันนานแบบนี้ ครั้งนี้ทั้งผมกับเฮียเมฆคงไม่แน่ใจในตัวอีกฝ่ายด้วยกันทั้งคู่


“ผมขอโทษนะครับ ผมก็เครียด และรู้สึกเหมือนพี่เมฆทุกอย่าง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่เมฆยังอยากรอผมอยู่มั้ย ผมคิดมาตลอดว่าพี่เมฆคงเบื่อแล้ว ไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว”


“ไม่มีวัน พี่รอคีมากี่ปีแล้ว แค่นี้พี่ยังไหว” ผมได้ยินคำตอบของเฮียเมฆแล้วแทบจะสะอึก อย่าให้ผมต้องบอกเองเลยครับว่ากี่ปีที่เฮียเมฆต้องรอผม เพราะมันนานหลายปีจริงๆ


“พี่เหนื่อยมั้ยครับ อยากพักมั้ย” คำถามของผมไม่ได้หมายความว่าให้เฮียเมฆไปนอนพักนะครับ แต่ผมหมายถึงให้หยุดเรื่องระหว่างผมกับเฮียเมฆเองต่างหาก เป็นฝ่ายถามเองและก็เจ็บปวดในใจเองเช่นกัน


“....” เฮียเมฆไม่พูดแต่ผมสัมผัสได้จากศีรษะได้รูปของเฮียที่ส่ายหน้าไปมาอยู่บนบ่าของผม เฮียเมฆยังเอาคางมาวางที่ไหล่ของผม เหมือนเด็กที่ขาดความรักเหมือนเดิม


“ขอโทษที่ผมเห็นแก่ตัว”


“ไม่ ไม่เกี่ยวกับคี การตัดสินใจรอมันเป็นของพี่เอง คีไม่ต้องรู้สึกผิด” เฮียเมฆก็ยังเป็นเฮียเมฆอยู่วันยังค่ำ รับผิดชอบทุกอย่างเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ปกป้องผมอยู่ตลอดเวลา


“โกรธผมมั้ย ทั้งที่ยังรับความรู้สึกของพี่ตอนนี้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ยอมให้พี่ไปไหน”


“ไม่โกรธหรอก พี่เต็มไป”


“ชอบความเจ็บปวดเหรอครับ” ผมหยอกเย้าถามเฮียเมฆเล่นๆ


“คงจะจริง” แต่เฮียเมฆตอบมาหนักแน่นเลยล่ะครับ


“เชื่อเค้าเลย คนแก่นี่น้า ไหนคีขอดูหน้าหล่อๆ หน่อยสิครับ” ผมบิดตัวเองหันหน้าเข้าหาคนที่เริ่มคลายอ้อมกอดลงบ้างแล้ว มือสองข้างของผมประคองใบหน้าของเฮียเมฆขึ้นมา ผมยิ้มให้เฮียเมฆ ใบหน้าที่เศร้าสร้อยแบบนี้ ผมไม่อยากเห็นเลย คิ้วเข้มที่ขมวดเป็นปมแน่น ทำให้ผมต้องละเอามืออีกข้างไปถูเบาๆ ให้คิ้วได้คลายออกจากกัน


“ไม่ทำหน้าแบบนี้สิครับ”


“ทำหน้าแบบไหน”


“หน้าสลด ตาเศร้าๆ แบบนี้ไงครับ ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกป้าจันดุอยู่เลยนะเนี่ย ทำลูกชายป้าเสียใจ”


“ไม่ใช่หรอก” มีเสียงหัวเราะหลุดออกมานิดนึงครับ ค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย


“ปกติก็ไม่ค่อยยิ้มอยู่แล้ว ก็อย่าเพิ่มหน้าตาอมทุกข์แบบนี้เลยนะครับ”


“พี่ไม่ได้ตั้งใจ”


“ผมรู้ครับ แต่ตอนนี้เราก็เข้าใจกันแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องคิดอะไรแล้วนะครับ”


“อืม”


“น่ารักจริงๆ คนแก่คิดมากของผม”


“ยังไม่แก่สักหน่อย” จากการตอบเริ่มมีการโต้ตอบกลับมาบ้างแล้ว แสดงว่าเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น


“ก็แก่กว่าผมตั้งเก้าปีเลยล่ะ”


“แก่กว่าแล้วยังไง จะทิ้งพี่เหรอ”


“แก่แค่ไหนก็ไม่ทิ้งหรอกน่า”


“ก็ดี เพราะพี่ไม่ยอมถูกทิ้งหรอก” เฮียเมฆคงจะเมื่อยหลังแน่ๆ ตอนนี้เฮียเมฆเอนตัวลงนอนบนโซฟา ศีรษะก็พาดอยู่บนที่วางแขน จะนอนก็นอนลงไปคนเดียวสิ ทำไมถึงดึงผมให้ตามไปด้วยเล่า ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นผมนอนตะแคงเข้าหาเฮียเมฆที่นอนหันหลังให้พนักพิง


“ผมตัวเหม็น ยังไม่ได้อาบน้ำเลย” ผมรู้สึกว่าเราสองคนใกล้ชิดกันมากไปแล้วล่ะ ภาวะกอดกันเมื่อสักครู่นี้ก็ออกจะเป็นการสุ่มเสี่ยงอยู่ไม่น้อย แต่การที่มานอนกอดกันแบบนี้ยิ่งเสี่ยงกว่าเดิมเข้าไปใหญ่ ไม่ใช่ว่าผมจะอายอะไรหรอกครับ ถ้าหากเฮียเมฆยอมเป็นของผมด้วยแล้วผมยิ่งดีใจเลยแหละครับ แต่วันนี้ยังไม่ได้เพราะเคลลี่ก็นอนอยู่ในห้อง มันดูไม่เหมาะสักเท่าไหร่หรอกครับ ถ้าเคลลี่เกิดตื่นขึ้นมาเห็นตอนที่ผมกับเฮียเมฆกำลังเพลิดเพลินอยู่นั้นคงจะไม่ดีแน่นอน อดทนไว้ก่อนนะ ไอ้คีเอ๊ย อดเปรี้ยวไว้กินหวานนะเว้ย


“ไม่เห็นเหม็นเลย” ไม่พูดเปล่าครับ เฮียเมฆหอมแก้มผมเพื่อพิสูจน์กลิ่นเสียด้วย ผมจะทำยังไงก็ต้องเฉยสิ ขืนไปเล่นด้วย คนที่ทนไม่ไหวก็จะกลายเป็นผมอีก จากสถิติแล้วเฮียเมฆไม่เคยตบะแตกเลย มีแต่ผมคนเดียวที่โมโหเพราะคิดว่าเฮียเมฆไม่เล่นด้วยกลับนิ่งเฉย จนคิดว่าเฮียเมฆตายด้านหรือไม่ก็เป็นผมเองที่อ่อนหัด


“พี่เมฆ เดี๋ยวเคลลี่ตื่นครับ”


“พี่รู้ พี่ไม่ทำอะไรหรอก”


“งั้นก็ปล่อยผมก่อนสิครับ” ผมบอกเฮียเมฆพร้อมกับค่อยๆ ขืนตัวออกจากเฮีย


“ขออยู่แบบนี้ก่อนได้มั้ย”


“วันนี้ทำตัวเหมือนเด็กเลยนะครับ”


“อยากเอาแต่ใจเหมือนเด็กบ้าง ริจะคบกับเด็กก็ต้องฝึกให้เด็กเหมือนกัน” ดูคารมของเฮียเขาสิครับ อยากจะกัดปากอิ่มนั้นจริงๆ


“ฮ่าๆ อย่างนั้นเหรอครับ แล้วจะคบกับเด็ก เด็กคนนั้นตกลงแล้วเหรอ”


“ไม่รู้สิ ส่งคำขอไปก่อน รอการตอบรับ”


“แล้วถ้าเขาไม่ตอบรับสักทีล่ะครับ”


“ก็รอจนกว่าเขาจะตอบรับ หรือไม่ก็จนกว่าเขาจะกดยกเลิกมันไป”


“เด็กคนนั้นฝากบอกว่าไม่มีทางกดยกเลิกหรอกครับ”


“อยู่แล้วล่ะ” ตอบด้วยความมั่นใจเต็มร้อย แล้วใครกันที่ก่อนหน้านี้เพิ่งจะทำหน้าหมาหงอยเศร้าสร้อยอยู่ ไม่น่าปลอบเลยจริงๆ


“มั่นใจตัวเองจริงๆ นะครับ”


“ก็ต้องมีบ้าง ไม่งั้นเจ้าตัวคงกดยกเลิกไปนานแล้ว ไม่หนีมาครึ่งค่อนโลกแล้วยอมให้กอดแบบนี้หรอก”


“อ้อ จะบอกว่าคียอมหายโกรธพี่เมฆง่ายๆ ใช่มั้ยครับ” ชักเริ่มฉุนกับคำพูดที่หลงตัวเองของเฮียเมฆซะแล้วสิ


“ไม่เคยคิดแบบนั้นหรอก แต่ถ้าเจ้าตัวไม่มีใจเลย มันคงจบไปนานแล้วล่ะ ว่ามั้ย”


“งั้นมั้ง” ไม่อยากจะยอมรับ จริงๆ เล้ย คนอะไรคิดเข้าข้างตัวเองก็ได้ น่าหมั่นไส้ชะมัด


“ช่วงที่ผ่านมาคีทำอะไรบ้าง”


“ผมเหรอ ก็ไม่มีอะไรนะครับ ไปเรียน พอมาอยู่ที่นี่ก็อยู่บ้านเลี้ยงน้อง เท่านั้นแหละครับ”


“แค่นี้เหรอ?”


“แค่นี้ครับ”


“แล้วพี่กันต์คือใคร?” นึกว่าจะลืมไปแล้วนะเนี่ย ผมเคยบอกมั้ยว่าเฮียเมฆหึงแรง หวงแรงเลยล่ะครับ น่าแปลกทั้งที่เจ้าตัวไม่ใช่คนเจ้าชู้ แต่กลับมีปฏิกิริยารุนแรงกับเรื่องชู้สาว



สงสัยมั้ยครับ ว่าทำไมก่อนหน้านี้ถึงปล่อยให้ไปสำมะเลเทเมา เริงรักหักสวาทกับสาวไม่เลือกหน้ามากมายขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าเฮียเมฆไม่ห้ามครับ เฮียทำแล้ว แต่โดนผมสกัดดาวรุ่งด้วยการบอกว่า เราสองคนเป็นอะไรกันเหรอ ถึงต้องมาสั่งห้ามกันแบบนี้ เฮียเลยจำต้องยอมรับแต่ก็ยื่นข้อเสนอกลับมาว่าห้ามเป็นผู้ชายเท่านั้นเอง แล้วผมเชื่อฟังมั้ยล่ะ ก็ไม่แน่นอนอยู่แล้วครับ ผมไม่พูด ไอ้ธรไม่พูด เฮียไม่เห็น แล้วเฮียจะรู้ได้ไง แต่พอวันนี้เฮียพูดขึ้นมา แสดงว่าเฮียเมฆก็คงรู้มาบ้างพอสมควรแต่ไม่อยากจะทำอะไรเพราะไม่อยากมีปัญหาเพิ่ม แล้วเฮียก็โชว์เหนือกว่าผม โดยการยอมเดิมพันเอาตัวเองมาเป็นของกลาง หากผมยังทู่ซี้ ฝืนทำต่อไปก็จะต้องไม่มีเฮียอีกต่อไป แล้วเฮียก็รู้ดีอยู่แล้วว่าผมคงเสียเฮียไปไม่ได้อยู่แล้ว


หมดเวลาสนุกของผมแล้วล่ะครับ ช่วยปลอบผมทีสิครับ ทุกคน


“พี่กันต์?”


“ใช่ พี่กันต์”


“จะเริ่มยังไงดีล่ะครับ”


“พูดมาเลย เจอกันที่ไหน เมื่อไหร่ ตอนไหน สนิทกันได้ไง”


“มาเป็นชุดเลยนะครับ”


“เร็ว”


“ดุจริงแฮะ ผมเจอพี่กันต์ตอนนั่งเครื่องกลับมาที่นี่ครับ เพิ่งรู้จักกันวันนั้นนั่นแหละครับ”


“สนิทกันไปหรือเปล่า”


“ผมก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน”


“หืม”


“ไม่รู้สิครับ อธิบายไม่ถูก แต่ผมรู้สึกเหมือนได้มาเจอพี่ชายที่พลัดพรากกันมานาน แสนนาน”


“มีพี่แล้วยังไม่พอหรือไง”


“อยากมีสถานะเป็นแค่พี่ชายตลอดไปใช่มั้ยครับ ผมจะได้มีพี่ชายคนเดียวตั้งแต่ตอนนี้เลย” แล้วเฮียเมฆไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะว่าอยากเป็นแค่พี่ชาย นี่ปล่อยให้เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้วนะ


“แสบนักนะเรา” เฮียเมฆเอื้อมมือมาบิดจมูกผมเพื่อลงโทษให้กับความกวนของผม


“จบแล้วล่ะครับ”


“แค่นี้?”


“ครับ แค่นี้จริงๆ”


“ไม่น่าเชื่อ”


“ผมเคยโกหกพี่เหรอ” ผมยืมเอาคำพูดเฮียเมฆมาใช้ครับ


“เคยสิ ออกจะบ่อย” อะไรกันว้า หน้าแหกเลย ผมไปโกหกเฮียตอนไหนเนี่ย


“เท่านี้จริงๆ ครับพี่เมฆ เชื่อผมเถอะ”


“เชื่อก็เชื่อ ถึงคีโกหกพี่ก็เชื่ออยู่ดี” หมายความว่าไง เฮียเมฆ อย่าพูดแบบนี้ได้มั้ยล่ะ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดจริงๆ นะเนี่ย


“พูดแบบนี้ ผมเสียใจนะ”


“แต่เรื่องนี้พี่เชื่อคี”


“สมกับเป็นคนที่ชอบความเจ็บปวดจริงๆ สินะครับ”


“ก็บอกแล้ว”


“งั้นผมขอพิสูจน์หน่อยสิครับ”


“พิสูจน์?”


ผมบอกให้เฮียเมฆปล่อยผมสักที แต่เฮียก็บอกขออยู่แบบนี้สักพัก รู้ทั้งรู้ว่าผมมือเร็วใจเร็วอยู่แล้ว มาให้อยู่ในสภาพนี้ใครกันเล่าจะไปทนได้ ลอบมองพนักพิงโซฟาดีนะที่ค่อนข้างสูง บังสายตาได้ดี อย่างน้อยถ้าเคลลี่ตื่นก็คงได้ยินเสียงเด็กน้อยขึ้นมาบ้างล่ะนะ



ทนไม่ไหวแล้ว



ผมเขยิบตัวขึ้นไปให้พอดีกับใบหน้าของเฮียเมฆก่อนจะเป็นฝ่ายก้มลงจูบเฮียเมฆเสียเอง ผมบดปากลงบนปากอิ่มของเฮีย นิ่งนานอยู่แบบนั้นไม่ได้รุกล้ำเข้าไปข้างใน



ผมกำลังรออยู่ครับ รอให้เฮียเมฆเป็นฝ่ายสานต่อจากนี้เอง เฮียเมฆไม่เคยจูบผมในลักษณะที่ลึกซึ้งมาก่อนเลย ถ้าผมไม่เป็นฝ่ายขอหรือเริ่มก่อนเท่านั้น แต่วันนี้เฮียเมฆอ่อนแอให้ผมเห็นมาหลายครั้งแล้ว ผมคิดว่าผมควรจะบอกเฮียเมฆว่าต่อจากนี้ไปผมอนุญาตให้เฮียทำตามใจได้เต็มที่ โดยไม่ต้องไปกังวลหรือคิดอะไรให้มากความอีก



ผมถอนริมฝีปากออกมา สบตากับเฮียเมฆ ดวงตาคู่สวยที่สุดในสายตาของผมกำลังสั่นไหวด้วยความไม่แน่ใจ ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหนแต่ทุกคนย่อมมีจุดอ่อนด้วยกันทั้งนั้น และจุดอ่อนของเฮียคือผม ผมคนเดียวที่ทำให้เฮียสั่นไหว ทำให้เฮียสูญเสียความเป็นตัวเอง มีแต่ผมคนเดียวเท่านั้น



ผมยิ้มให้เฮียเมฆแล้วก้มลงไปจูบเฮียเมฆอีกครั้ง เฮียเมฆจะรู้บ้างมั้ยว่าใจของผมที่เต้นอยู่ตอนนี้ มันเต้นแรงเหลือเกิน แรงจนผมคิดว่ามันจะหลุดออกมาอยู่แล้ว เฮียเมฆได้ยินมันบ้างหรือเปล่าครับ


“พี่จะถือว่าคียอมให้พี่ก้าวเข้าไปหาคีมากขึ้นแล้วนะ”


เฮียเมฆกำลังจูบผม จูบที่ผมเคยร้องขอเองมาโดยตลอด จูบที่เฮียเมฆคิดมาตลอดว่ามันไม่ควรและเฮียไม่มีสิทธิ์อะไร ผมอยากจูบเฮียเมฆมาตลอด จูบเหมือนคนรักกัน แต่ก็เป็นผมเองที่ผลักไสคำว่าคนรักนั้นให้ห่างออกไปจนเฮียเมฆไม่แน่ใจและไม่กล้าที่จะทำอะไรให้มันผิดเพี้ยนมากไปกว่านี้



ลิ้นอุ่นของเฮียเมฆสำรวจภายในปากของผม ผมจูบตอบเฮีย จูบตอบเหมือนกับว่าเราไม่เคยจูบกันจริงมาก่อนเลย เหมือนเป็นครั้งแรกของเราสองคน ผมกัดริมฝีปากล่างของเฮีย ริมฝีปากที่ผมชอบที่สุดเหมือนกับดวงตา เฮียเมฆยิ้มให้ผมแล้วจูบผมอีกครั้งและอีกครั้ง



คืนนั้นไม่รู้ว่าเราสองคนจูบกันนานเท่าไหร่ จูบที่ปราศจากเซ็กส์ มีแต่ความโหยหา มีแต่ความดีใจในส่วนลึกของเราทั้งคู่


ผมมีความสุข และเชื่อว่าเฮียเมฆก็คงมีความสุขเช่นกัน



“Key , Key , Hey!!” เสียงเคลลี่ดึงผมให้ออกจากเรื่องเมื่อคืนเป็นการเรียนคืนสติครั้งที่สองของวัน


“ครับ ว่าไงครับคนเก่ง”


“อุ้มหน่อย” ผมเพิ่งเห็นว่าตอนนี้เคลลี่อยู่ในอ้อมกอดของเฮียเมฆ สงสัยคงจะเบื่อที่นั่งๆ นอนๆ อยู่ในรถเข็นของตนเต็มที


“ไหวมั้ยคี” เฮียเมฆถามผมด้วยความเป็นห่วง เพราะผมไม่ได้เอาเป้อุ้มมาและเคลลี่เองก็หนักไม่ใช่เล่นเลย


“ไหวครับ ผมฝากเฮียช่วยเอาเป้ไปไว้ในรถเข็นเคลลี่ทีครับ” ผมหมายถึงเป้ที่สะพายอยู่ด้านหลังน่ะครับ เฮียเมฆค่อยมาถอดออกจากแขนทีละข้าง แล้วก็เอาไปคล้องไว้หลังรถเข็น


“คนเก่งอยากไปไหนต่อครับ” ผมหันไปถามคนตัวเล็กในอ้อมกอด


“Go!! Go!!” เคลลี่ชี้ไปข้างหน้าที่มีคนมุงกันอยู่พอประมาณ พอเดินเข้าไปใกล้ก็ร้านไอศครีมที่มีคนมารอต่อคิวนั่นแหละครับ แต่ผมไม่ได้ซื้อให้เคลลี่ทานเพราะกลัวแกจะป่วยเอาได้


“ไปหาอะไรหม่ำกันดีกว่าครับ” ผมบอกเจ้าตัวเล็กไป เคลลี่ก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ


------------------------------------

 :hao5: :hao5: :hao5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด