บทที่ 24
“ออกรถเถอะ ก่อนฝ่ายนั้นจะรู้ตัว” พาร์ว่า
“…เดี๋ยวกูขับรถวนกลับไป มึงถ่ายรูปทั้งกลุ่มให้หน่อย”
มันนิ่วหน้าเลยครับ
“ก็ร้านโจ๊กที่ว่าต้องไปทางนู้นนี่หว่า ยังไงก็ต้องผ่านหน้าโรงแรมอีกรอบอยู่ดี”
พาร์พ่นลมหายใจ ยอมรับปาก “ก็ได้”
โชคเข้าข้างเราครับ ดูเหมือนแถวหน้าโรงแรมรถติด เพราะมีรถทัวร์กำลังเลี้ยวออกไป จุดที่รถผมจอดอยู่ห่างจากกลุ่มนั้นไม่มาก พาร์เลยแอบถ่ายรูปสบาย ผมก็มองชัดถนัดตาขึ้นเหมือนกัน
“เหมือนกำลังโดนข่มขู่” ผมออกความเห็น
“สามคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องด้านแบล็คเมล์เหยื่อ…น่าจะใช่พวกนี้ เมื่อคืนกูแค่อ่านผ่านตา”
“อ่านอะไร?”
“บทความแจ้งเตือนตัวอันตรายของชาวเกย์”
ผมแทบหัวทิ่มไปโขกพวงมาลัย “ของชาวอะไรนะ”
“เกย์…”
เหมือนพาร์พึ่งรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรออกมา รีบหุบปากนั่งนิ่ง ปล่อยผมจ้องแล้วจ้องอีกก็ยังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
“มึงเป็นเกย์เรอะ!”
“เปล่า” ตอบแล้วเหลือบมองผม ก่อนงึมงำ “แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจ”
ผมนิ่วหน้าหลังได้ยินประโยคหลัง “ดูเหมือนเมื่อคืนมึงไม่ได้แค่ฝันเปียกอย่างเดียว แต่ชักว่าวพิสูจน์ด้วยสินะ”
“ไม่ใช่!” แย้งกลับมาทันที หน้าทะมึน แต่ออกอาการเขินเล็กๆ “แล้วกูก็ไม่ได้ฝันเปียก”
“แล้วซักกางเกงนอนทำไม”
พาร์ออกอาการจะพูดก็ไม่พูด อึกอักอยู่นาน จนถนนข้างหน้าเริ่มไปต่อได้ ผมเลยต้องออกรถ
“…กูยอมรับว่าฝันเปียกก็ได้ แต่ตื่นก่อนจะเสร็จ”
“แล้วมึงก็ว่าวต่อ?”
“เปล่า กูคาใจมาก เลยลุกไปเปิดคอมหาข้อมูล แล้วก็…”
พาร์เงียบไปอีกครั้ง ให้ผมสงสัยถ้อยคำค้างๆ คาๆ ก่อนจะอ้าปากถาม มันก็พูดโพล่งประโยคที่เหลือออกมาก่อน
“ใช้แค่จินตนาการกับแม่นางทั้งห้าเฉยๆ”
“มึงไปค้นหาข้อมูลอะไร?”
ก็พอจะรู้ว่าเกี่ยวกับเกย์แน่ๆ…เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าเรื่องบนเตียง!!
“กูบอกไม่ได้”
“เรื่องบนเตียงใช่ไหม”
“ไม่บอกคือไม่บอก”
ถ้ามันเงียบ ผมยังพอเดาได้ว่าอาจจะจริง แต่เล่นพูดแบบนี้มันก็ไปได้ทั้งด้านใช่และไม่ใช่
“มึงทำกูปวดหัว”
พาร์สวนกลับทันที “เหมือนกัน”
ในรถเงียบไปพักหนึ่ง เป็นผมที่ทำลายความเงียบ “แล้วสามคนที่มึงว่าอันตรายยังไง?”
“…เป็นแบบลูกโซ่”
“อะไรนะ?” ผมถามซ้ำ เพราะได้ยินไม่ถนัด
ได้ยินเสียงพาร์ถอนหายใจ
“พวกมันใช้เหยื่อที่ตกได้แล้วไปหาเหยื่อใหม่ ซึ่งไม่พ้นกลุ่มเพื่อนสักกลุ่ม ประมาณว่าขายความไว้ใจของเพื่อนเพื่อเอาตัวรอด…วิธีการก็วางยาปลุกเพื่อนสามคน แล้วให้พวกมันที่เข้ามาทำทีเป็นเพื่อนต่างกลุ่มอย่างสุภาพช่วยพากลับไปส่งบ้าน แต่ความจริงโดนหิ้วเข้าโรงแรม”
ผมย่นหัวคิ้วเข้าหากัน “หมายความว่าเหยื่อแค่คนเดียว สามารถหาเหยื่อเพิ่มได้อีกสาม?”
“เออ”
“หลังตกเป็นเหยื่อแล้ว ต้องเจอกับอะไรบ้าง?”
“แบล็คเมล์ข่มขู่ เป็นคลิปวิดีโอเรื่องอย่างว่า เท่าที่อ่านมาส่วนใหญ่เหยื่อมักโดนรีดไถเงิน ยกเว้นบางรายที่พวกมันติดใจลีลา ก็ให้ใช้เรื่องนั้นแทนเงินได้ พอพวกมันเบื่อจะให้เหยื่อไปหาเหยื่อใหม่ เหยื่อเก่าก็หลุดพ้น แต่ต้องปิดปากเงียบ เพราะโดนขู่ส่งท้ายว่าถ้าเอาไปแฉ คลิปที่พวกมันสำรองเก็บไว้จะหลุดออกไปในโลกโซเซียล”
“มึงรู้ละเอียดขนาดนี้ แสดงว่าต้องมีคนออกมาเตือน”
“ใช่ แต่เป็นการเตือนลับๆ ไม่ได้ขยายวงกว้าง และต้องมีรหัสผ่านถึงเข้าไปดูข้อมูลได้”
“มึงมี? ได้มายังไง”
“มีคนให้มา แต่เป็นแบบใช้ได้ครั้งเดียว”
ผมชะลอรถจอดเทียบฟุตบาท “เดี๋ยวค่อยพูดเรื่องนี้อีกที ลงไปกินข้าวกันก่อน”
“ไปซื้อของเข้าบ้านกูด้วย”
“เออ ไม่ลืมหรอก มึงอยากไปซื้อของที่ไหนล่ะ?”
“โลตัสแถวบ้านก็ได้”
-------------
ผมค้นพบความจริงอีกอย่าง…พาร์สมควรถูกจ้างเป็นพ่อบ้านมาก
โปรชัวร์คืออย่างแรกที่มันหยิบ มือถือคืออย่างที่สอง เข้าแอพไลน์พิมพ์คุยสักพัก ก็กดเข้าแอพเครื่องคิดเลข ผมเข็นรถตามต้อยๆ มองพาร์เลือกของ พลิกดูซะทั่ว โดยเฉพาะวันเดือนปีผลิตหรือวันหมดอายุ แถมที่หยิบลงรถเข็นส่วนใหญ่เป็นของลดราคา หรือมีโปรซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง
“บ้านมึงไม่ติดยี่ห้อ?”
“แค่บางอย่าง”
ไล่จากบล็อกของใช้ไปเรื่อยจนจบที่บล็อกของสด
“ไปเลือกสิ”
“ฮะ? ให้กูเลือก?”
“เออ จะซื้ออะไรเข้าตู้เย็นบ้านมึงก็ไปสิ”
ผมร้องอ้อในใจ “แล้วบ้านมึง?”
“อย่าหวังว่าพ่อแม่กูทำอาหารเป็น ยิ่งช่วงนี้แม่บ้านลาไปดูแลแม่ที่ต่างจังหวัด จะกลับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ได้เน่าคาตู้เย็นแน่”
“เอ่อ อย่าบอกนะว่าเวลาลุงแทนกับป้าเจนเลิกงานเร็วชอบแวะมาที่บ้านกูนี่…ไม่ได้แวะมาเยี่ยมลูก?”
“แวะมาฝากท้องต่างหาก! สงสัยคงเริ่มเบื่อข้าวนอกบ้านแล้ว”
พาร์ก้มมองมือถือหลังได้ยินเสียงไลน์เข้า ก่อนเงยหน้ามองผมด้วยแววตาลำบากใจ
“พ่อกูฝากมึงทำกับข้าวเก็บเข้าตู้เย็นให้หน่อย”
ผมเลิกคิ้วระหว่างชี้นิ้วใส่ตัวเองเป็นเชิงถามซ้ำ พาร์พยักหน้ายืนยัน
“โทษนะ กูเผลอบอกเขาไปว่าพามึงมาด้วย”
“ไม่เป็นไร เอาแบบเก็บไว้แล้วอุ่นกินได้นะ”
“อือ”
ผมกำลังผละเดินไปเลือกของ ก็โดนเรียกซะก่อน
“ที เดี๋ยวกูจอดรถเข็นไว้แถวนี้นะ”
“จะไปไหน?”
“ดูวัตถุดิบทำขนม…พ่อกับแม่เรียกร้องมา”
“อ้อ งั้นซื้อเผื่อบ้านกูด้วย”
“อือ”
-------------
ผมเคยมาบ้านพาร์หลายครั้ง ส่วนใหญ่อยู่รอน้องสาวตรงโซฟารับแขก ไม่ก็หน้าบ้าน ยกเว้นครั้งก่อนที่ได้ขึ้นไปชั้นบน ส่วนครั้งนี้ได้มาเยือนถึงห้องครัว ระหว่างหาอุปกรณ์ในครัว ผมก็เห็นพาร์ตามเข้ามา
“อ้าว ไม่เก็บของเหรอ?”
“ขืนเก็บให้ พ่อแม่ได้โทรมาถามกูว่าเก็บไว้ตรงไหนน่ะสิ แล้วมึงกำลังหาอะไร?”
ผมร่ายยาวถึงอุปกรณ์ที่ต้องการ ก็พวกของพื้นฐานในการทำครัว แต่กลายเป็นว่าพาร์ต้องมาช่วยผมหา
“มึงไม่เคยทำอาหารในบ้านตัวเอง?”
“ทำแต่ขนม”
แต่ผมว่ามันน่าจะทอดไข่ได้แหละ
พอได้ของครบ ต่างคนต่างทำส่วนของตัวเองครับ ทำไปทำมาชักเยอะ ผมเลยแบ่งใส่ถุงเก็บไว้ที่บ้านผมบ้าง แต่ก็ยังเยอะอยู่ดี ลุงแทนกับป้าเจนคงมีกินไปหลายวัน
“โทษที ลืมคิดว่าทำหลายอย่างต้องลดปริมาณลง”
“ไม่เป็นไร กูหุงข้าวแล้วนะ อยู่กินข้าวกลางวันที่นี่เลยแล้วกัน”
“แล้วนั้นมึงจะยกอาหารไปไหน?”
ผมร้องทัก ที่จริงสงสัยตั้งแต่เห็นพาร์ตักกับข้าวใส่ชามใบเล็กปิดพลาสติกหุ้มอาหารซะเรียบร้อยแล้ว
คนกำลังเดินออกจากครัวหันมามอง
“เอาไปฝากคุณป้าข้างบ้าน เขามักทำอาหารมาฝากบ้านกูบ่อยๆ”
พาร์หายไปสักพักก็กลับมา สีหน้าดูพิลึกหน่อยๆ ก่ำกึ่งระหว่างทำอะไรไม่ถูกกับเก้อเขินเล็กๆ พอมันเห็นหน้าผมก็กระแอมไอใส่
“เอ่อ ป้าเขาฝากขอบคุณมา”
“ไม่ได้พูดแค่นั้นใช่ไหม?”
ผมเดาถูกครับ พาร์ออกอาการอึกอักพูดไม่ออก แต่สักพักก็พูดให้ฟังตามตรง แต่ไม่สบตาผมเลย
“ป้าบอกว่ากูโชคดี…เจอแฟนทำกับข้าวเก่ง”
ผมทำหน้าเหวอ “เฮ้ย นี่ป้าแกรู้เปล่าว่ากูเป็นผู้ชาย”
“ตอนเรามาถึงเป็นช่วงที่ป้าข้างบ้านกำลังดูแลต้นไม้กระถางพอดี เขาเลยเห็นตั้งแต่มึงลงจากรถ ช่วยกูหิ้วของเข้าบ้านแล้ว”
“แล้วมึงไม่แย้งไปล่ะ?”
“แย้งทันที่ไหน กูติดสตันหลังได้ยิน ได้สติอีกที ป้าเขาก็เดินเข้าบ้านแล้ว”
“แล้วทำไมเขามองว่ากูเป็นแฟนมึงวะ”
“จะไปรู้เหรอ!”
เสียงเตาอบดังขึ้นเหมือนเสียงระฆังสั่งพักยกบนเวทีมวย พอได้กลิ่นขนมลอยมาจากเตาอบ ผมก็หันขวับ จ้องถาดที่พาร์ยกออกมาเขม็ง
“ไม่ต้องมองอย่างนั้น นี่ของมึง ส่วนของพ่อแม่กูแช่อยู่ในตู้เย็น”
ตาผมเป็นประกายทันที ถ้าเป็นสมัยเด็กผมคงพุ่งเข้ากอดด้วยความดีใจแล้ว แต่ตอนนี้ยิ้มให้อย่างเดียวแล้วกัน
…ไหงพาร์ยืนนิ่งไปเลยล่ะ
“พาร์?” ผมกลัวมันเผลอถาดคุกกี้หล่นจริงๆ (ผมเสียดาย)
คนโดนเรียกสะดุ้ง รีบสะบัดหน้าไปมา ผมมองอาการเพื่อนสักพัก ก็เหล่มองขวดเหล้าที่ยังวางทิ้งไว้บนโต๊ะ เห็นพาร์ผสมใส่ช็อคโกแลตนิดเดียวเองนะครับ แค่ชิมไม่น่าจะทำให้เมาได้ หรือเมากลิ่น?
“…โหล…”
“ฮะ?” ผมรีบดึงสายตากลับมามองคนพูด ได้ยินอะไรโหลๆ เนี่ยแหละ
“เอาขวดโหลให้หน่อย อยู่ในตู้ใกล้หัวมึง”
“อ้อ”
หยิบไปวางให้ ไม่วายแอบขโมยคุกกี้ใส่ปากหนึ่งชิ้น พาร์แค่มองผมเคี้ยวกรุบๆ ไม่ว่าอะไรสักคำ ผมต่างหากที่ต้องห้ามตัวเองไม่ให้หยิบคุกกี้ที่กำลังผึ่งให้เย็นเข้าปากอีก ไม่งั้นแทนที่ได้ขนมกลับไปกินหนึ่งขวดโหลใหญ่ จะกลายเป็นได้โหลเปล่ากลับบ้านแทน
สงสัยพาร์คิดถึงครัวที่บ้าน ถึงได้คันไม้คันมือทำขนมออกมาเพียบ ทำเสร็จก็แบ่งมาให้ผมชิม ถ้าผมถูกใจก็จัดการใส่กล่องบ้าง ขวดโหลบ้าง เอากลับไปกินบ้าน เยอะจนผมมองตาปริบๆ แต่ไม่เป็นไรครับ ที่บ้านมีคนช่วยกินแน่ๆ
เราอยู่บ้านพาร์ยาวถึงบ่ายสองกว่า ค่อยกลับไปบ้านผมต่อ เดี๋ยวช่วงเย็นต้องออกไปรับเจ้าตัวเล็ก ส่วนแม่น่าจะไปสมทบกับพวกพ่อ แล้วค่อยกลับมาด้วยกัน
หลังเข้าบ้านผม และเก็บของที่หิ้วกลับมาเรียบร้อย เราต่างขนหนังสือบ้าง ชีทบ้างออกมานั่งอ่านหนังสือที่ชั้นล่าง เพราะกินขนมได้ (ที่บ้านผมห้ามเอาของกินขึ้นชั้นสองครับ ยกเว้นป่วยจนลงมาไม่ไหวจริงๆ ถึงมีคนยกขึ้นไปให้)
อ่านไปสักพัก ก็รู้สึกเหมือนลืมอะไรไปสักอย่าง เรื่องอะไรหว่า…
ระหว่างกำลังนึก คนนั่งอ่านหนังสือฝั่งตรงข้ามกลับเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“วิชาเรียนรวม…” ผมเงยหน้ามอง รอว่าพาร์จะพูดอะไรต่อ “ลงเรียนด้วยกันไหม?”
ให้ตายเถอะ! สบถในใจกับการรุกกะทันหัน
ต่างคนต่างเงียบเนิ่นนาน มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษ แต่เชื่อเถอะครับ ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือหรอก
“…เรื่องกู มึงตัดสินใจแล้ว?”
พาร์พ่นลมหายใจ ไม่ได้ตอบคำถามผม แต่เอ่ยอีกเรื่อง “ก็แค่อยากลองเรียนด้วยกันสักครั้ง…ไม่ได้เหรอ?”
“…ลงเหมือนกันก็ใช่ว่าจะได้เรียนด้วยกัน”
“ไม่ต้องลงตามตารางหลักสูตรสิ”
ผมนิ่งไปพักหนึ่ง “จะดึงวิชาบังคับที่เหมือนกันมาลงเรียนก่อน?”
“อือ”
“งั้นก็มีแค่ตัวเดียว”
“ไม่ มีอีก แต่ไว้ลงตอนปีสองก็ได้”
ผมครุ่นคิดสักพักก็ถอนหายใจ “นั่นเรียกกิจกรรมไม่ใช่เหรอ ที่ต้องไปค้างคืนที่อื่นด้วยน่ะ”
“ก็ใช่”
ผมเม้มริมฝีปากสักพักก็คลายออก “แค่สองคน?”
“แล้วแต่ ถ้าลำบากใจ ทั้งกูทั้งมึงดึงเพื่อนมาเรียนด้วยก็ได้ แต่เทอมหน้า...”
พาร์พูดแค่นั้นก็หยุด แต่ผมพอเข้าใจว่ามันหมายถึงเทอมหน้าลงวิชาเรียนรวมด้วยกัน
“…ถ้าแค่เรียนในห้องลงสองคนก็ได้ แต่ที่ได้ค้างคืน ไปเป็นกลุ่มสนุกกว่า”
พาร์คลี่ยิ้มทันที “งั้นเอาตามที่มึงว่า แต่กูขอเป็นกลุ่มเพื่อนนะ ไม่เอาเพื่อนทั้งคณะ”
ผมหัวเราะหึในคอ หลุบตามองชีทในมือ
“รอขึ้นปีสองก่อนค่อยมาว่ากัน ส่วนเทอมหน้า…ตามใจมึง”
กว่าผมจะนึกได้ว่าลืมเรื่องอะไรก็ช่วงบ่ายของวันพุธ ยำยำส่งข้อความมาทางไลน์กลุ่มเพื่อนเก่าแก่
YamYam: เมียกูนอกใจวะ เล่นกกผู้ชายในห้องตัวเอง
ผมรีบยกมือปิดปาก ก่อนหลุดคำสบถออกมา สถานที่ไม่อำนวยครับ เพราะอยู่ร้านเครื่องประดับมีราคา แค่ใส่ชุดนักศึกษามาก็แปลกพอแล้ว นี่ยังมาสั่งทำกำไลคู่รักอีก ด้วยความที่พาร์เรื่องมากเอง ผมเลยให้มันออกหน้าไปเลย อยากได้แบบไหนตามสบาย ผมขอแค่เป็นแบบเรียบๆ และเป็นสีเงินก็พอ
เลื่อนข้อความมาเจอสติกเกอร์ถอนหายใจจากยำยำ ตามด้วยข้อความจากเพื่อนคนอื่น
Templar: มึงเห็นเองกับตา?
YamYam: เออ
Wind: ว่าแล้ว ช่วงหลังมึงห่างเมียมากไป
YamYam: คงงั้น พวกมึงอยู่ไหนกัน กูอยากเจอ
Templar: ยำไปอยู่กับไอ้วินก่อน
Templar: แล้วค่อยไปรวมตัวคอนโดไอ้ต่อตอนสี่โมงครึ่ง
Templar: พวกมึงด้วย มาให้ครบองค์ประชุม และค้างคืน
Templar: ใครจะมาเลทรีบบอกเนิ่นๆ ไม่งั้นเจอเกมลงโทษแน่
Wind: ยำ มาหากูที่คณะวิศวะ
Blue Sky: กูเลิกเรียนห้าโมงครึ่ง คงไปถึงตอนหกโมง
Templar: โอเค ไอ้หมอมาเลท มีใครอีกไหม
White Rabbit: ไอ้ทีเตรียมเสบียงให้พวกกูด้วย
Wind: เบียร์ด้วยก็ดีนะ เดี๋ยวพวกกูลงไปช่วยขน
Blue Sky: งดของมีแอลกอฮอลล์ กูให้แค่น้ำอัดลม
Wind: ว่าที่หมอเฮี๊ยบวะ
Blue Sky: รอสอบเสร็จก่อน กูถึงอนุญาต
Puzzle: แล้วทำไมเลือกคอนโดกูวะ
Templar: เพราะใหญ่รองจากบ้านไอ้ที
White Rabbit: อย่าเทียบๆ ไม่งั้นห้องไอ้ต่อจะเป็นแค่รังหนูในบ้านไอ้ที
Templar: กูลืมนึก
ผมหลุดขำนิดๆ และเชื่อว่ายำยำคงอารมณ์ดีขึ้นหลังได้อ่านข้อความที่เพื่อนๆ เถียงกัน ส่วนเรื่องที่ผมรู้มา ไว้เจอหน้ากันก่อนค่อยบอกนะเพื่อน
“ที”
ผมรีบเงยหน้าตามเสียงเรียก พาร์กวักมือเรียก เลยจำต้องลุกขึ้นไปยืนข้างมัน ให้พนักงานมองด้วยแววตาแปลกๆ
“เอาวงนี้นะ เป็นสแตนเลสทั้งวง”
ผมก้มมองแบบที่พาร์ชี้ให้ดู เป็นกำไลสีเงินเรียบไปทั้งวงอย่างที่ผมต้องการจริงๆ เลยพยักหน้า
“ระหว่างฟ้ากับน้ำเงิน ชอบสีไหนมากกว่ากัน?”
ถึงจะงงว่าถามไปทำไม แต่ก็ตอบ เพราะนึกว่าจะให้เพิ่มสีที่กำไล
“น้ำเงิน”
“เพิ่มไพลินตามที่บอกได้เลยครับ”
เฮ้ย!
“เดี๋ยวๆ”
ผมรีบคว้าไหล่พาร์ คือถึงจะมีคนออกค่าใช้จ่ายให้ แต่ถึงกับใส่อัญมณีเพิ่มนี่ก็เกินไปหน่อยนะ เหมือนพาร์จะรู้ว่าผมคิดอะไร ถึงได้ก้มกระซิบข้างหู
“แค่เม็ดเล็กๆ กะรัตเดียว แล้วค่าไพลินกูออกเอง”
“มึงบ้าเรอะ แพงจะตาย แล้วราคาเท่าไหร่?”
“อย่ารู้เลย”
“พาร์!”
“เอาน่า กูมีตังค์จ่ายแล้วกัน เงินสะสมที่กูหามาเองตอนเรียนไฮสคูล”
มองตาแล้วพาร์เอาจริงแน่
“…อย่าเลือกแพงล่ะ”
พาร์หัวเราะ “กูเลือกไปแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ไม่ทำอะไรเกินตัวหรอก ไปนั่งรอไป๊”
“ไม่ล่ะ”
ผมไม่ไว้ใจให้พาร์จัดการเองแล้ว เลยอยู่ฟังพาร์คุยกับพนักงาน ท่าทางพาร์หาข้อมูลมาดีครับคุยได้ลื่นไหล ในขณะที่ผมเข้าใจมั้งไม่เข้าใจมั้ง ผมกับพาร์โดนวัดข้อมือข้างที่จะใส่ ผมเลือกมือข้างซ้าย จะได้ไม่เกะกะเวลาใช้มือขวา ส่วนพาร์เลือกมือขวาครับ
“ข้อความด้านในสลักตามนี้ครับ” พาร์ยื่นข้อความที่พี่ดินให้มาไป “ส่วนด้านนอก…”
เหล่มองผมทำไม?
พาร์ทำหน้าครุ่นคิด ก่อนหัวเราะเบาๆ แล้วตวัดเขียนข้อความลงกระดาษเป็นตัวเขียนอังกฤษ ผมชะโงกดูก็อ่านไม่ออก เหมือนไม่ใช่ภาษาอังกฤษ
“ภาษาอะไร?”
“ภาษาบ้านเกิดปู่กู”
“ประเทศอะไรเล่า”
“ไม่บอก”
“แล้วที่เขียนไปแปลว่าอะไร”
“ยังไม่ถึงเวลารู้”
ผมทำหน้าบึ้งใส่ พาร์ไม่สนใจ หันไปคุยรายละเอียดกับพี่พนักงานต่อ
“สลักสองประโยคนี้ทั้งสองวงเลยครับ ให้สองประโยคนี้อยู่คนละฝั่ง ฝังไพลินไว้ตรงนี้…”
ฟังพาร์พูดสักพักก็ชักปวดหัว ละเอียดทุกจุดจริงๆ ว่าจะอยู่ฟังจนจบ แต่ไม่ไหว เดินหนีไปนั่งรอที่เดิมดีกว่า หลังนั่งรอพลางจ้องแผ่นหลังพาร์ครู่ใหญ่ก็เผลอถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนหน้านี้ผมกับมันทะเลาะเรื่องกำไลพอสมควร แบบสำเร็จรูปก็ดีอยู่แล้ว แต่พาร์กลับไม่ถูกใจ จะสั่งทำท่าเดียว…ก็สมควรล่ะนะ ถ้ามันจะบอกความต้องการละเอียดยิบขนาดนี้
กว่าพาร์คุยกับพี่พนักงานเสร็จ ผมแทบหลับรอ
“กลับกัน”
พาร์ฉลาดเป็นบ้า เก็บใบเสร็จรับของไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ถ้าไม่อยากให้รู้ขนาดนี้ ผมไม่สนก็ได้
“แล้วจะได้ของเมื่อไหร่?”
“เดือนหน้า”
“เร็วชะมัด!”
“นี่ช้าแล้ว แต่กูอยากได้งานละเอียดเลยต้องให้เวลาทางช่างหน่อย”
“มึงดูจริงจังจนกูอึ้ง”
พาร์แค่ยิ้ม ไม่ตอบอะไรกลับมาสักคำเดียว ผมมองอย่างหมั่นไส้ เตะขามันไปหนึ่งที รอยยิ้มไม่หายดูกว้างขึ้นด้วย ผมยอมเปลี่ยนเรื่องดีกว่า
“คืนนี้กูไปค้างห้องเพื่อนนะ”
รอยยิ้มหุบฉับ “ไปกับใคร”
“คนเดียวสิ”
เห็นมันหงุดหงิด ผมกลับอารมณ์ดีขึ้นอย่างประหลาด ตัดสินใจไม่บอกรายละเอียด อยากอมพะนำดีนัก ขอทำบ้างแล้วกัน
-------------
ผมเช็คของในเป้อีกครั้งว่าไม่ลืมอะไร ก่อนคล้องสายเป้ทั้งสองกับไหล่ เดินลงมาถึงชั้นล่างต้องผงะ มารดาที่เคารพกับน้องสาวที่น่ารัก กำลังยืนกอดอกมองเขม็งตรงมา ท่าทางเหมือนรอผมลงมายังไงอย่างนั้น
“พี่จะไปไหน?”
“คอนโดเพื่อน”
“เพื่อนคนไหนลูก”
ผมกำลังจะอ้าปากบอก เหลือบไปเห็นพาร์นั่งโซฟามองมาทางนี้พอดี แววตาไม่ต่างจากแม่หรือน้องสาวผมเลย
“อยากรู้ทำไมล่ะครับ? ทุกทีไม่เห็นเคยถาม”
“ตอนนี้แม่อยากรู้”
“น้ำก็อยากรู้”
“แต่ทีไม่อยากบอก”
“พี่อ่ะ!” ยัยน้ำส่งเสียงขัดใจ
“งั้นแม่ไม่อนุญาตให้ลูกออกจากบ้าน!”
กลายเป็นผมที่อ้าปากค้างแทน ไหงวันนี้คุณนายของบ้านเข้มงวดจัง
“แต่ทีจำเป็นต้องไป งานนี้ไม่ไปไม่ได้” ผมพูดอย่างจริงจัง
“งั้นเอาพาร์ไปด้วย แม่ถึงยอม”
ฮะ!
ผมหันมองคนนั่งตรงโซฟา ชักเริ่มตงิดๆ ใจ ว่ามันนี่แหละ สาเหตุที่แม่กับยัยน้ำโผล่มาดักหน้าผมถึงบันได
“แต่ทีกำลังจะสายนะแม่ รอพาร์เก็บของไม่ไหวหรอก”
ผมอ้างไปนู้น ที่จริงเหลือเวลาอีกเพียบ เพราะต้องแวะซื้อเสบียงติดมือไปตามที่เพื่อนขอ
“ถ้าอยากออกจากบ้าน ลูกต้องรอ”
ผมแอบเบ้ปาก พาร์ไปด้วยไม่มีปัญหาหรอกครับ แต่มันไม่สนุกนี่สิ แล้วดูคนในบ้านเข้าข้างฝ่ายนู้นหมด อย่าถามหาพ่อนะ ยังไม่กลับ แถมมีคิวต้องไปรับตัวเล็กด้วย คงกลับบ้านมืดหน่อย ส่วนน้องสาวที่เหลืออีกคนก็ดูท่าจะเข้าข้างพี่ชายแท้ๆ เต็มที่
ผมยกมือยอมแพ้ “ครับๆ ทีอยู่รอแค่สิบนาทีนะ ช้ากว่านี้ให้มันตามทีไปเองแล้วกัน”
ถ้าตามถูกนะ
“พาร์ไปเก็บของเลยลูก ว่าแต่ค้างกี่คืน?”
“คืนเดียวครับ ถ้าต้องค้างเพิ่มเดี๋ยวทีกลับมาเก็บของที่บ้านเอง”
“ตามนั้นจ๊ะพาร์ อย่าลืมเอาชุดนักศึกษาติดไปด้วยนะ”
ดูสิ น้ำเสียงที่แม่พูดกับผมต่างกับพาร์สุดๆ ลำเอียงชัดๆ
“งั้นทีมาช่วยแม่ทำครัวรอแล้วกัน”
อีกครั้งที่แอบเบ้ปาก ดูก็รู้ตั้งใจถ่วงเวลาผมชัดๆ แล้วขัดได้ที่ไหน ยัยน้ำก็ดีดี๊ช่วยแม่ด้วยการดึงเป้ออกจากไหล่ผม อุ้มไปวางแหมะบนโซฟา ปล่อยแม่ดึงผมเข้าครัว
ทำงานเป็นทีมดีจริงๆ
สิบห้านาทีต่อมา ผมก็โดนปล่อยตัวออกจากบ้าน โดยมีพาร์ตามหลังมาติดๆ ปลดล็อกรถปุ๊บขึ้นไปนั่งรอปั๊บเหมือนกลัวโดนทิ้ง ผมยักไหล่ เดินอ้อมไปขึ้นฝั่งข้างคนขับ ส่งกุญแจในมือให้ ในเมื่ออยากขับนักก็ปล่อยไปครับ
ผมคอยบอกทางเป็นระยะ ก่อนให้เลี้ยวรถแวะเข้าซุปเปอร์ใกล้คอนโดเพื่อน
พาร์เข็นรถให้ ส่วนผมเดินนำไปแผนกขนมขบเคี้ยว กวาดมาหลายอย่าง ต่อด้วยแผนกเครื่องดื่ม จบท้ายด้วยแผนกของสด ผมไลน์ถามเพื่อนแล้วว่ากินสุกี้ดีไหม หลายเสียงเห็นด้วย ที่ห้องต่อมีหม้อสุกี้ไฟฟ้าอยู่ กินแปดคนสบาย ตอนนั่งก็เบียดๆ กันหน่อย ผมเลยกวาดทั้งเนื้อทั้งผักมาเต็มที่ งานนี้ไม่อิ่มให้รู้ไป เหลือค่อยเอาไปทำอาหารเช้าต่อ เมนูก็รวมมิตรของสดที่เหลือผัดแห้งกับเส้นบะหมี่สำเร็จรูปครับ (หยิบบะหมี่สำเร็จรูปไปเผื่อแล้ว)
ผมเหลือบมองสีหน้าคนเข็นรถทุกครั้งที่เอาของไปใส่เพิ่ม หน้าพาร์ดำทะมึนขึ้นเรื่อยๆ ดูจากแววตาแทบจะงับหัวผมอยู่แล้ว เดาความคิดมันไม่ยาก ต้องนึกว่าผมไปคอนโดพี่พีทแหงๆ ปล่อยพาร์เข้าใจผิดไปครับ นี่ก็ยังไม่บอกเพื่อนๆ เลยว่าจะเอาคนนอกกลุ่มไปด้วย
ถือเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์จากผมแล้วกัน
หลังจ่ายเงิน ผมเก็บใบเสร็จอย่างดี (ต้องเอาไปยืนยันเวลาหารค่าใช้จ่าย) ขับรถไปต่ออีกนิดหน่อยก็ให้พาร์ขับเลี้ยวเข้าคอนโดเป้าหมาย ช่วยกันหิ้วของพะรุงพะรังกดลิฟต์ไปชั้น18
ผมเหลือบมองคนข้างๆ เป็นระยะ แผ่รังสีทะมึนยิ่งกว่าตอนอยู่ในซุปเปอร์อีก
หลังออกจากลิฟต์ตรงไปหน้าห้องเป้าหมาย ด้วยความที่มือไม่ว่าง เลยใช้เข่ากระแทกประตูแทนการกดกริ่ง สักพักประตูก็เปิดออก
“อ้าว ไมไม่เรียกลงไปช่วยหิ้ว”
นอกจากคนเปิดประตู ยังมีเดินตามออกมาอีกสองคน ไม่ต้องพูดพร่ำทักทาย พวกมันก็กรูมาช่วยผมหิ้วของแล้ว เมื่อมือเริ่มว่างผมก็ชี้คนที่ยืนห่างออกไปหน่อย
“ไปช่วยคนนู้นด้วย”
เพื่อนทั้งสามชะงักกึก หันมองตามนิ้วผม ต่างฝ่ายต่างยืนตัวแข็งทื่อ ท่าทางจะติดสตันกันหมดทั้งสี่คน
“…ใครวะที”
แต่มีคนหนึ่งตั้งสติได้เร็วครับ สมเป็นคนของประชาชนชาวมหาลัยเรา
“คนที่พวกมึงอยากรู้จักไง”
############