จูบที่สิบหก ผมเคยมีแฟนคนแรกตอนเรียนอยู่ชั้นมอห้า ช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกับครั้งแรกที่ผมเจอเขา
ไม่คิดเลยว่าไอ้ลูกดาราหน้ากวนส้นวันนั้นจะกลายเป็นแฟนกันวันนี้ จะว่าไปมันก็หลายปีเหมือนกันจากการมีแฟนครั้งนั้น...ผมชักจะลืมว่าคนเป็นแฟนกันจะปฏิบัติต่อกันยังไง
จีบกัน...ทำแล้ว
เปิดใจคุยกันตรงๆ...ทำแล้ว
ทะเลาะกันเรื่องงี่เง่า...ทำแล้ว
แสดงความรักต่อกันบ่อยๆ...ปากแทบเปื่อยแล้ว
พูดได้ว่าแทบทุกอย่างที่แฟนกันควรจะทำ เราทำมาหมดก่อนที่สถานะมันจะชัดเจนแบบนี้เสียอีก ความสัมพันธ์ของผมกับธีร์ก้าวกระโดดเร็วจนน่าตกใจ มันเหลืออีกไม่กี่อย่างเท่านั้นที่เรายังไม่ได้ทำ
ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้ทำอะไรที่ก้าวกระโดดขึ้นอีกขั้น...หลังจากเราตกลงคบกันไม่ถึงสิบนาที
อย่าคิดลึกครับ ผมกำลังหมายถึงการพาเขาเข้าบ้าน
เปียกไปทั้งตัว แต่หัวใจอุ่นพิกล
หลังจากเคลียร์ทุกเรื่องที่คั่งค้างในใจหมดไป รวมทั้งเรื่องเอิงเอยที่เขาสารภาพว่าขอให้มาเล่นละครตบตาให้ผมหึง(ซึ่งได้ผลชะงัด) ผมจูงมือเขาเข้ามาในเขตรั้วบ้าน เราถอนริมฝีปากออกจากกันขณะที่น้ำฝนรอบข้างนิ่งค้างเป็นเส้นๆ เราเดินฝ่าเม็ดน้ำฝนที่ลอยเท้งเต้งกลางอากาศเข้ามาจนถึงในที่ร่ม เห็นว่าแม่กำลังยืนมองจากหน้าประตูบ้าน ตาเบิกโตทอดเยิ้มไปยังหน้าประตูรั้วจุดที่ผมกับธีร์เคยยืน ริมฝีปากยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนพอใจในภาพที่เห็น
หน้าผมร้อนขึ้นมาทันที แม่อะทำไมขี้แอบดูแบบนี้ ฮึ้ยยยย
“ถอยออกมาก่อน” ผมบอกธีร์ที่กำลังยืนด้อมๆ มองๆ ข้างหน้าแม่อยู่(ทำไม) ดึงเขาให้เข้ามาหลบในเงามืด แล้วจุ๊บที่ปากเขาเบาๆ หนึ่งที
ฝนกลับมาตกหนัก แม่กลับมากระพริบตา เธอกำลังมองหาผมกับธีร์ที่หายไป
“อ้าว หายไปไหนวะ” แม่ตีหน้างง ผมใช้จังหวะนั้นโผล่เข้าไปแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงทันที
“แฮ่!”
“ว้ายยยยย” แม่หวีดร้อง พอเห็นมาเป็นผมก็ตีที่ไหล่เบาๆ “จุ๊บ! โผล่มานี่ได้ไง”
“ถ้ำมองจัง” ผมแซวแทนที่จะตอบ เจ้าของทรงผมบ๊อบเททำท่าจะตีผมต่อ แต่พอเห็นคนที่อยู่ด้านหลังก็เอียงคอยิ้มให้อย่างสนใจ
“สวัสดีครับ” ธีร์ยกมือไหว้ทักทาย
“สวัสดีจ้ะ” แม่รับไหว้อย่างยิ้มๆ “ธีร์...ใช่ไหม”
เขาพยักหน้าอย่างนอบน้อม วินาทีนั้นแม่ก็ตรงรี่กะจะเข้าไปกอด แต่เหมือนจะเพิ่งตระหนักได้ถึงสภาพเปียกซ่กของเราทั้งคู่ แม่จึงเลือกจูงมือเราทั้งคู่เข้าบ้านแทน
ทันทีที่เปิดประตู คนที่เคยกระจุกอยู่ด้านหลังบานประตูก็แตกฮือ ป้าเด้ากับจีบคือสองคนหน้าสุดแกล้งทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ถัดออกไปเป็นป้าแก้วและพ่อของผมที่เท้าตัวกับโซฟาและผนัง ทุกคนบังคับสายตาให้จับจ้องไปที่จอทีวีแล้วแสร้งเหมือนว่าเพิ่งมองเห็นผม
เนียนมากเลยครับทุกคน แหม่ ไม่รู้จริงๆ เลยนะเนี่ยว่าแอบฟัง
“ใครมาเหรอจุ๊บ” จีบแกล้งถาม แล้วค่อยๆ เบนสายตามาทางผม ผมยิ้มมุมปากให้อย่างมีเลศนัยแล้วกระเถิบไปด้านข้างเพื่อให้น้องเห็นคนด้านหลังชัดๆ...ไอ้จีบมันต้องกรี๊ดลั่นบ้านแน่ๆ
“สวัสดีครับ” ธีร์ยกมือไหว้ทักทายทุกคน...ซึ่งตอนนี้ตาเบิกแทบจะถลนออกจากเบ้า
“ถะ...ถะ...ถะ...” ตามคาด ลูกพี่ลูกน้องผู้เป็นติ่งธีร์ถึงกับติดอ่างไปเลย “ถะ...ถะ...ถะ...”
ตึง!
“เฮ้ยยยยย!”
แล้วมันก็ไปไกลเกินกว่าที่ผมคิดอีก ไอ้จีบเป็นลมไปแล้วเรียบร้อยครับ โคตรบ้า! โคตรพีค! ดีนะที่พ่อผมรับไว้ได้ทันเลยไม่ล้มหัวฟาดพื้นไปซะก่อน
“ยาดมๆ” ป้าแก้วเลิกตกใจที่เจอธีร์แล้วกระวีกระวาดหาทางรักษาลูกตัวเองทันที ไม่รู้จะขำหรือสงสารป้าดีที่ต้องมาเห็นสภาพของลูกสาวที่บ้าดาราจนกลายเป็นแบบนี้
“เดี๋ยวไปเปลี่ยนเป็นชุดแห้งก่อน แล้วค่อยมาคุยกัน จุ๊บ หาเสื้อผ้าให้ธีร์ใส่ด้วยนะ ทางนี้เดี๋ยวแม่จัดการเอง”
แม่บอก แล้วดันหลังเราออกจากตรงนั้น เพียงไม่กี่วินาทีการปรากฏตัวของดาราหนุ่มในบ้านของเราก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป เพราะทุกคนกลับให้ความสนใจกับร่างอ่อนแรงของจีบ...ซึ่งเป็นลมไปเพราะการปรากฏตัวของไอ้ดาราคนนี้นั่นแหละ
ผมพาธีร์เข้ามาในห้องนอน หาเสื้อผ้าที่เขาพอจะสวมได้ในตู้เสื้อผ้า ซึ่งเอาเข้าจริงก็หายากเอาการ ธีร์สูงกว่าผมกว่าสิบเซนฯ และมีโครงร่างใหญ่กว่า แต่เสื้อผ้าในชีวิตประจำวันผมก็มีแต่ตัวที่ใส่พอดี กับจำพวกที่ใส่ฟิตไปเลยอย่างกางเกงยีนส์ขาเดฟ
สุดท้ายก็ได้เสื้อกล้ามสีขาวสำหรับใส่นอนมาหนึ่งตัว และกางเกงผ้าโปร่งสีเนื้อตัวหลวมมีเชือกผูก แต่ความหนักใจของผมไม่ได้อยู่ตรงนั้น...ความกระดากคือผมรู้ว่าตัวเขาจะต้องเปียกไปถึงชั้นในสุด แล้วถ้าเปลี่ยนแค่ข้างนอกมันคงไม่สบายตัวหรอก…
เอาวะ ให้ยืมกางเกงในใส่ ใครที่ไหนเขาก็ทำกันทั้งนั้น(เหรอ)
“ทำไมทำหน้างั้น” ธีร์ถามเมื่อเห็นสีหน้าไม่มั่นใจของผม
“เปล่าๆ อะ ไปเปลี่ยนในห้องน้ำ” ผมบอก ยื่นชุดแห้งกับผ้าเช็ดตัวให้เขาทันที รวมไปถึงน้องลิงสีขาวสะอาดของรักของหวง
“เปลี่ยนตรงนี้ไม่ได้เหรอ” คนผิวสว่างเว้าวอนด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ ผมส่ายหัวพัลวันแล้วดันเข้าให้เข้าไปในห้องน้ำ
“ล้างตัวก่อนก็ดี เดี๋ยวเป็นหวัด”
“อย่าแอบดูนะ” เขาเกยหน้ากับขอบประตู
“ทะลึ่งละ รีบเลย คนรอหนาวนะเว้ย”
ธีร์หัวเราะ แต่ยังไม่วายแง้มประตูไว้เผื่อว่าผมจะแอบดู (...โว้ยยยย) ไม่นานนักก็ออกมาในชุดที่ให้ไป ธีร์พาดผ้าเช็ดตัวไว้บนบ่า เสื้อกล้ามสีขาวที่ว่าตัวใหญ่ๆ เขากลับใส่มันออกมาพอดี เช่นเดียวกับกางเกงที่ไม่เล็กเกินไป...เว้นแต่ว่ามันนูนแปลกๆ ตรงเป้ายังไงชอบกล พูดจริงๆ นะไม่ได้ทะลึ่ง
“มีอันเนี้ยไม่ได้ใส่” เขาชูกางเกงในสีขาวของผมขึ้นมาแกว่งๆ ผมรู้ทันทีเลยว่าทำไมตรงนั้นมันถึงนูน “ทำไมไม่ใส่” ผมถามกลับอายๆ
“มันเล็กไป”
บอกน้ำเสียงเรียบแต่กลับยักคิ้วเหมือนภูมิใจ แถมยังโคลงตัวไปมา ทำให้ตอนนี้แกว่งทั้งบนทั้งล่างเลยเว้ย
อยากจะล้อว่าไอ้หำใหญ่…แต่คิดดูแล้วไม่พูดดีกว่า งือ
“ไม่ใส่ก็ไม่ต้องใส่” ผมยึดกางเกงในมาจากมือเขาแล้วดึงผ้าเช็ดตัวมาพาดบ่าตัวเอง เบียดคนเป็นดาราที่ยืนขวางประตูห้องน้ำและพาตัวเองเข้าไปแทนพร้อมกับเสื้อผ้าแห้ง กลิ่นหอมของสบู่เหลวยังคลุ้งอยู่ในอากาศ
“ไม่ต้องล็อคนะ จะแอบดู” เขาพูดหน้าซื่อ แล้วโดนผมปิดประตูใส่และล็อคอย่างแน่นหนา ได้ยินเสียงหัวเราะหึดังลอดผ่านมาแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัยยังไงพิกล เสียงหัวเราะแบบนี้มันน่ากลัวว่าเสียงปั๊ดโถ่ด้วยความเสียดายอีกอะ
กระนั้นผมก็ใช้เวลาล้างตัวและใส่เสื้อผ้าไม่นาน เปิดประตูออกมาอีกทีก็เจอเขานั่งยองๆ อยู่ข้างเตียง เงยหน้าจากชั้นดีวีดีข้างเตียงขึ้นมาสบตาผมนิ่ง
“อะไร”
เขามองผมด้วยแววตาอ่านไม่ออก แล้วคลี่ยิ้มบนริมฝีปากออกมาช้าๆ “ห้องพี่จุ๊บนี่โคตรเป็นพี่จุ๊บเลย ชอบว่ะ”
ธีร์พยักเพยิดไปที่ดาวพลาสติกบนเพดานที่เมื่อปิดไฟแล้วมันจะเรืองแสง ไล่สายตามาที่โปสเตอร์หลายแผ่นบนหัวเตียง มีกรุดีวีดีและหนังสือหลายเล่มกองพะเนินอยู่ตรงนั้น
“ชอบหนังรักมากนะเนี่ย” เขาด้อมๆ แถวกองดีวี “ชอบเรื่องอะไรที่สุดในนี้...อ่อรู้ละ”
คนตัวสูงเข้าใจทันทีเมื่อกวาดตาไปเห็นโปสเตอร์ไททานิคใบเบ้อเริ่มติดอยู่เหนือหมอนของผม
“หนังเรื่องแรกที่ดูในโรงอะ” ผมยักไหล่ยอมรับ
“ดูซ้ำกี่รอบละ”
“ไม่รู้เหมือนกัน สี่สิบห้าสิบได้มั้ง”
“สี่สิบห้าสิบ!” เขาส่ายหัว “บ้าแล้ว”
“พูดงี้แสดงว่าไม่เคยชอบอะไรมากๆ แบบที่ดูกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ” ผมแหว
“เคยสิ” เขาตอบ จ้องหน้าผมอย่างจงใจ “แต่ไม่ใช่หนังนะ เป็นคน”
ผมทำหน้าเหรอหราแสร้งว่าไม่เชื่อ ธีร์อมยิ้มแล้วเสไปมองโปสเตอร์ใบอื่นต่อ
“ชอบวีเหรอ” เขาถามเมื่อประสานสายตากับเด็กสาวในโปสเตอร์ จริงๆ มันเป็นโปสเตอร์โฆษณาน้ำดื่มยี่ห้อหนึ่งที่วิโอเลตเป็นพรีเซนเตอร์อยู่ แต่ด้วยความชอบในตัวเธอบวกกับท่าทางที่โพสต์ในภาพ ผมเลยแอบขโมยมาแปะฝาผนังห้องซะ...จะได้สบตากับเธอทุกคืนเลย
“สุดที่รักเลย คนอะไรร้องเพลงก็เก่ง เล่นหนังก็ดี”
“วีอะนะ”
“ทำไม ไม่ชอบเหรอ”
“เปล่า ชอบมากเหมือนกัน” พระเอกซีรีส์ดังเผย “อยากร่วมงานด้วยกันสักงาน”
“เดี๋ยวก็ได้เล่น นายดังจะตาย คงมีสักเรื่องที่ได้มาเล่นด้วยกันแหละ” ผมบอกเขา แต่ดูเหมือนธีร์จะไม่สนใจ เขาไล่นิ้วไปตามกองหนังสือบนเตียงอีกครั้ง ก่อนจะหยุดลงที่สมุดเล่มเล็กๆ ที่ซ่อนไว้ในแผงนั้น
“อะไรเนี่ย” ก่อนที่ผมจะรู้ว่านั่นคือของต้องห้ามสำหรับเขา ธีร์ก็ดึงสมุดเล่มนั้นออกมาและเปิดดูอย่างถือวิสาสะ มันคือสมุดเฟรนด์ชิพที่ผมให้เพื่อนเขียนถึง แต่มีหน้าหนึ่งที่ไม่มีใครเขียน...มีเพียงแค่หน้ากระดาษที่คั่นไว้ด้วยก้านกุหลาบก้านหนึ่งซึ่งกลีบของมันแห้งกรอบไปตามกาลเวลา แต่ผมยังรักษาไว้อย่างดี
ด้านล่างเขียนชื่อคนให้เล็กๆ เอาไว้ และธีร์ก็เปิดเจอหน้านั้นอย่างพอเหมาะพอเจาะ
ผมรีบดึงสมุดออกจากมือเขาทันที แต่ก็ไม่เร็วพอที่จะปิดบังไม่ให้เห็นซากดอกกุหลาบ และข้อความที่เขียนไว้...เท่านั้นแหละเจ้าของชื่อก็กลั้นยิ้มทันที
“ยังเก็บกุหลาบที่เคยให้ไว้ด้วยอะ” เขาแหย่ ผมมองเขาตาขวาง จินตนาการออกเลยว่าตอนนี้หน้าตัวเองต้องแดงไปถึงหูแน่ๆ
“ยุ่ง”
“ชอบเราตั้งแต่ตอนนั้นเลยปะ” คนตัวสูงถาม ผมกัดริมฝีปากแน่นเพราะความขวยเขิน
“หลงตัวเองไปละ” ผมพูดขำๆ “เก็บไว้เป็นความทรงจำเฉยๆ”
“มันต้องเป็นความทรงจำที่สำคัญมากแน่ๆ”
“...เพ้อเก่งจังวะ”
“เป็นดาราก็ต้องฝึกจินตนาการเว้ย”
“เหรออออ” ผมล้อเสียงสูง จริงๆ ที่เขาพูดก็จริงแหละ แต่ไม่บอกหรอก
“แต่เราชอบพี่จุ๊บตั้งแต่ตอนนั้นเลยนะ” “เพ้อไรอีก” ผมขำ แต่ธีร์มองผมตาโตเหมือนดุว่าที่ผมขำน่ะมันไม่ควร โอเคยอมก็ได้
“เราพูดจริง ไม่งั้นจะให้ดอกกุหลาบทำไม”
“ตลกละ จะชอบคนที่ไม่เคยคุยกันสักคำจนเรียนจบได้ไง”
“พูดแบบนี้แปลว่าตอนเรียนอยู่ไม่เคยมีประสบการณ์แอบชอบรุ่นพี่อะดิ๊”
“ก็เคยเว้ย แต่มันแบบ...” ผมอ้อมแอ้ม “มันต้องสวยๆ เป็นลีด นมใหญ่ๆ หรือถ้าผู้ชายก็ต้องหล่อๆ เท่ๆ เป็นนักกีฬา แต่เราเป็นรุ่นพี่ประเภทกรรมการนักเรียนที่น้องมักจะเกลียด ไม่เก่งกีฬาอะไรสักอย่าง ทำได้อย่างมากก็เต้นคัฟเวอร์เฉิ่มๆ คือไม่ใช่รุ่นพี่ประเภทที่ใครจะมาแอบชอบเลย เห็นหน้าในกิจกรรมบ่อยก็จริงแต่มันก็...ไม่ใช่อ้ะ”
“ก็เพราะเป็นแบบเนี้ยเลยชอบ” เขาหัวเราะ
“ไม่ชอบคนนมใหญ่เหรอ”
“ก็ชอบ”
“จบเลย”
“ฮ่าๆๆ เอาจริงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกัน” เขาบอก “มันคงเกิดจากความประทับใจมั้ง”
“ตรงไหนน่ะ”
“เห็นหน้าแล้วตลกดี” ผมขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนโดนหลอกด่ายังไงชอบกล “หมายถึงน่ารัก เห็นแล้วอารมณ์ดี”
“แค่นั้นน่ะนะ”
“แอบชอบรุ่นพี่จะมันจะมีเหตุผลอะไรมากกว่านี้อีก”
“นี่ถ้าไม่บอกจะคิดว่าตามเรามาเรียนที่มหา’ลัยเดียวกันนะ”
“ก็เราตามมาจริง” คำบอกเล่าของธีร์ทำเอาผมเงิบ “อ้าว ไม่เคยบอกเหรอ”
“...ไม่เคย” ผมแกล้งทำเป็นยกผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดผมตัวเองเพื่อหลบสายตาเขา แม้ว่าจะหมาดได้ที่แล้ว...นึกย้อนกลับไปตอนที่ตัวเองบอกเขาว่าจะไปเรียนต่อทีไหนตอนเรียนจบ...
นึกถึงรูปกับข้อความ ‘Until we meet again’ ของเขาในเฟซบุ๊กแล้วก็ใจเต้นแรงขึ้นมา
‘จนกว่าเราจะพบกันใหม่’ ของเขา มันหมายความแบบนั้นจริงๆ
“รู้มาตั้งแต่ตอนเรียนม.ปลายแล้วว่ายังไงแม่ก็ต้องบังคับให้เรียนนิเทศแน่นอน ก็เลยคิดไว้ว่าเรียนที่ไหนน่าจะมีความสุขที่สุด เลยเลือกที่ที่คิดว่าน่าจะชอบ เพราะคนที่ชอบอยู่ที่นี่ แค่นั้นเลย”
ผมเช็ดหัวตัวเองแรงขึ้น ไม่ตอบอะไรหากรับรู้ถึงหัวใจที่กำลังพองโต ทันใดก็รับรู้ถึงสัมผัสอุ่นจากมือเขาที่แตะหลังมือของผมเอง
“เช็ดแรงแบบนี้หนังหัวก็ถลอกพอดี...”
ธีร์บอก แล้วกระเถิบตัวขึ้นนั่งชันเข่าบนเตียง ดึงผ้าขนหนูออกจากมือผมแล้วค่อยๆ ซับเส้นผมหมาดน้ำอย่างเชื่องช้า ผมหลับตารับสัมผัสนุ่มนวลจากเขา ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกดีขึ้นมาที่การพบกันใหม่ของเราดำเนินมาถึงขั้นนี้
แรงซับจากผ้าขนหนูของคนเป็นดาราทำให้ผมเคลิ้ม รู้ตัวอีกทีก็เผลอปล่อยสมุดในมือตกลงบนพื้น
“เอ๊อะ” ผมยืดตัวเก็บ ส่วนเขาก็จับเอวผมไว้หลวมๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผมไถลไปข้างหน้า จังหวะนั้นเองที่ได้ยินเสียงประตูเปิดออกพอดี
เงยหน้าขึ้นมาเห็นแม่ที่ตาเบิกโตเพราะภาพตรงหน้า จากมุมของเธอมันคงเหมือนผมกำลังกึ่งก้น...และธีร์ก็กำลังนั่งชันเข่าในองศาที่ตรงกับสะโพกผมพอดี...ให้มันได้อย่างนี้สิวะ
“ขอโทษ!” ประตูปิดดังปัง แม่เข้าใจว่าเราทำเรื่องนั้นโดยไม่ให้โอกาสผมอธิบายใดๆ อีกเลย
(ต่อด้านล่าง)