ตอนที่ 19 แพนโดร่า กล่องแห่งความลับ [สกาย ♥ เจ้า]
-ข้าวเจ้า-
ผมมีความลับ
เป็นความลับที่ผมเก็บซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด ไม่มีใครในโลกใบนี้รู้นอกจากตัวผมเอง
ความลับของผมเริ่มหลังจากที่โต๊ะถ่ายรูปใบนั้น เริ่มหลังจากที่โต๊ะคอยตามพี่เหนืออย่างอดทน
มันไม่ควรมีอะไรเกี่ยวข้องกับผม ถ้าโต๊ะจะไม่ลากผมไปด้วยเกือบทุกครั้ง
เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม ค่อยๆ ดึงดูดสายตาผมให้หันไปมอง จากที่แค่ตามไปเป็นเพื่อนโต๊ะ จากที่คอยช่วยสังเกตสังกาพี่เหนือ
จู่ๆ ผมก็มีจุดโฟกัสเป็นของตัวเอง
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ การเฝ้ามองใครบางคน ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นกิจวัตรประจำตัวของผมพอๆ กับโต๊ะ
ผู้ชายที่สดใสราวกับท้องฟ้า
สกาย
ผมอ่านแผ่นกระดาษในมือ ในใจเต้นรัว พยายามระวังสีหน้าให้มากที่สุด
“น้องเจ้าอ่านดังๆ เลย ใครคือผู้โชคดี”
“......”
“ว่าไงครับ ไม่อ่านพี่อ่านเอง” พี่สกายเอื้อมมือมาคว้ากระดาษในมือของผมไป
“.......”
“มึงอย่ามาท่ามาก เร็วๆ ใคร” เพื่อนๆ พี่สกายเร่งให้รีบอ่านชื่อว่าใครจะเป็นผู้โชคดี
“กูเอง”
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
“อยากชวนน้องมันดีนัก เทคแคร์เจ้ามันทั้งอาทิตย์นะมึง อย่าให้ตกหล่นแม้แต่วันเดียว” พี่เหนือเป็นคนย้ำกติกาอีกครั้ง
ดูท่าจะถูกใจมากที่ผมจับได้ชื่อพี่สกาย
ใจนึงผมยอมรับว่าผมดีใจมาก แต่อีกใจก็กลัว กลัวการเข้าใกล้กันมากไปกว่านี้ ของบางอย่างคนบางคนก็เหมาะกับการ
มองจากที่ไกลๆ ถ้าเข้าใกล้มากไปอาจทำให้เจ็บปวดได้
“เตี้ย กลับกัน” ผมหันไปมองหน้าคนเรียกตาวาว
“หิวไหมเตี้ย” ยัง ยังพูดคำเดิมอีก
“ผมไม่เตี้ย” ผมกัดฟันพูดทีละคำ
“เอ่อ..พี่สกายครับ ผมว่าเรียกเจ้ามันว่าเจ้าเหมือนเดิมดีแล้วครับ”
โต๊ะรีบห้ามเอาไว้เพราะรู้ดีว่าผมเกลียดคำนี้มากแค่ไหน เหตุเพราะครอบครัวผมไม่ว่าจะเป็นพี่ชายหรือน้องสาวต่างตัวสูง
กันตามพ่อทั้งนั้น มีผมที่ได้แม่มาทั้งความอวบและความเตี้ย เวลาไปไหนกันเฉพาะพี่น้อง ผมเหมือนหลุมดำอยู่คนเดียว
ด้วยความต่างเกิน 10 เซนฯ จึงถือเป็นปมด้อยอันใหญ่หลวงของผม
แต่ผมไม่คิดว่าคนถูกห้ามจะเชื่อฟัง เพราะทำหน้าเหมือนในที่สุดก็จับได้แล้วว่าผมเกลียดคำนี้ คำห้ามของโต๊ะยิ่งการันตี
คำตอบได้ดี หลังจากวันนั้นผมจึงถูกเรียกว่าเตี้ยทุกครั้งที่มีโอกาส
“เตี้ยทำไมลงมาช้า” ผมชะงักมองคนที่ยืนกอดอกพิงรถอยู่หน้าหอ มีโต๊ะยืนทำตาปริบๆ อยู่ข้างๆ ผม
“พี่สกายมาทำไมครับ”
“ถามแปลกๆ ก็มารับเราไง” ร่างสูงถอยห่างออกจากรถ ก่อนเปิดประตูข้างคนขับให้ผม
“สงสัยพื่ลืมดูปฏิทิน นี่วันที่แปดแล้วครับ เกมจบตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
“ไม่ได้ลืมดู” คนตอบยิ้มกวนๆ
“เร็ว เรียนเช้าไม่ใช่เหรอเดี๋ยวก็สาย โต๊ะขึ้นรถ”
“ครับ” เพื่อนสนิทผมก้าวขึ้นรถด้วยความว่องไวโดยไม่ปรึกษาผมสักนิดว่าอยากไปด้วยไหม
“พรุ่งนี้ไม่ต้องมาแล้วนะครับ เกมจบแล้ว” ผมย้ำอีกครั้งในรถ ไม่อยากหวั่นไหวไปมากกว่านี้
เจ็ดวันที่ผ่านมา ผมยอมรับว่ายิ่งตกลงหลุมผู้ชายคนนี้มากขึ้นๆ จะมีใครบ้างไม่ชอบคนช่างเทคแคร์
แม้ผมจะเป็นรุ่นน้องและเป็นผู้ชาย พี่สกายกลับดูแลผมไม่ต่างจากดูแลผู้หญิง ไปรับไปส่ง ถือของให้
แวะมาทานข้าวด้วยที่คณะ พาไปทานข้าวตอนเย็น ผมไม่แปลกใจเลยที่สาวๆ พากันคลั่งไคล้ผู้ชายคนนี้
“เดี๋ยวตอนเย็นรอที่คณะนะ พี่ไปรับ” คนพูดทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ผมบอก
“พี่สกาย”
“เตี้ย ไม่ให้ไปรับแล้วจะกลับยังไง รถก็ไม่ได้เอามา”
“เดี๋ยวผมให้เดซี่ไปส่ง ไม่มีปัญหาครับ”
“แล้วทำไมต้องไปรบกวนเพื่อน แฟนมีก็ใช้แฟนสิ”
แค่ก แค่ก แค่ก เสียงโต๊ะไอเพราะสำลักน้ำเต้าหู้(ที่ถือขึ้นมาดูดด้วย) ดังมาจากที่นั่งด้านหลัง
“ไม่ขำครับ”
เพราะเป็นคนขี้เล่นแบบนี้ ถึงทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่ายๆ ผมต้องเตือนตัวเองเอาไว้ให้มากๆ อย่าเผลอไปหลงเข้าเป็นอันขาด
“อดีตแฟนก็ได้เอ้า”
“เกมเขาให้จีบเจ็ดวันครับ ไม่ได้ให้เป็นแฟนเจ็ดวัน” ผมแก้ความเข้าใจของคนขี้โมเมเสียใหม่
“อะไร จะบอกว่าพี่จีบเราไม่ติดเหรอ สกายเอ๊ยฝีมือตกน่าดู ตามเอาใจเจ็ดวันเจ็ดคืนไม่เห็นความดีกันมั่งเลย”
“พี่สกาย เลิกล้อเล่นเรื่องนี้เถอะครับ เลิกเรียกผมว่าแฟนด้วย” ผมย้ำเสียงเข้ม เมื่อพูดยังไงก็ไม่ฟัง ห้ามมันเลยตรงๆ
แบบนี้แหล่ะดีที่สุด
“งั้นก็เรียกเตี้ยเหมือนเดิม”
ป๊าบ ผมอดใจไม่ไหว ฟาดเข้าไปเต็มหน้าอก รถถึงกับสะบัดเล็กๆ เพราะคนขับไม่ทันตั้งตัว
“แฟนก็ไม่ได้ น้องเจ้าก็ไม่ได้ เตี้ยก็ไม่ได้ งั้นเหลือคำเดียว.....”
“ที่รักครับ เดี๋ยวเย็นนี้พี่ไปรับนะ”
พรวด น้ำเต้าหู้พุ่งจากปากโต๊ะกระเด็นมาโดนผมที่นั่งอยู่ข้างหน้า
“อ่า ขอโทษครับๆ” โต๊ะวุ่นวายกับการเช็ดเบาะ ที่น้ำเต้าหู้กระเด็นไปโดน
“ไม่เป็นไรโต๊ะ เดี๋ยวพี่เอาเข้าคาร์แคร์ให้เขาทำความสะอาดให้” เจ้าของรถดูไม่ร้อนใจ คงเพราะเป็นเบาะหนังด้วยจึงไม่เป็นปัญหา
“พี่สกายสอนผมมั่งสิ ท่าทางจะจีบสาวเก่งน่าดู” ผมว่าโต๊ะมันคงอยากเอาไปจีบพี่เหนือมากกว่า
“ได้สิ แต่พี่จีบเก่งเฉพาะผู้หญิงนะ ผู้ชายกำลังฝึกอยู่ แถมดูท่าจะไม่ค่อยเอาไหน ไม่เห็นหวั่นไหวเลย”
ผมทำเป็นหันไปมองนอกหน้าต่าง เหมือนไม่ได้ยินที่ทั้งสองคนคุยกัน ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงให้เข้าตัว
“พี่สกายผมถามจริงเหอะ พูดจริงพูดเล่นเนี่ย”
“เรื่องไหน?”
“ก็เรื่องจีบเจ้...”
“โต๊ะ เอามือถือมาหน่อยสิ” ผมหันไปจ้องหน้าเพื่อนเขม็ง
“หา?”
“มือถือน่ะ เอามาหน่อย จะขอดูรูปในแกลอรี่” ผมขู่โต๊ะทางอ้อม ซึ่งก็ได้ผลดี เพื่อนผมสงบปากสงบคำลงทันที
ไม่ใช่ผมไม่อยากรู้คำตอบนะครับ แต่คิดว่าไม่รู้จะดีกว่า พี่สกายคงสนุกที่ได้แกล้งแหย่ผมไปอีกสักพัก เดี๋ยวก็คงเบื่อไปเอง
“ขอบคุณครับ” โต๊ะกล่าวขอบคุณและเปิดประตูรถลงไปก่อนผม
“เดี๋ยวเจ้า”
“ครับ” ผมหันไปตามเสียงเรียก เท้าข้างนึงแตะลงไปบนพื้นแล้ว
“พี่ไม่เคยจีบใครเล่นๆ ฝากตอบโต๊ะแทนพี่ด้วย” ผมเผลอมองดวงตาคู่นั้นที่กำลังจ้องมาที่ผม
อยากจะเชื่อว่ามันจริง แต่คนที่ชอบสีสันจัดจ้านแบบพี่สกายจะสนใจผมได้นานสักแค่ไหนกัน
“ผมจะบอกให้ครับ” ผมรักษาน้ำเสียงให้นิ่งที่สุด การไม่ออกอาการใดๆ จะช่วยรักษาความลับของผมเอาไว้ได้
“เจ้า” เสียงเรียกดังอีกครั้ง เมื่อผมกำลังจะปิดประตูรถ
“พี่ยังไม่เคยจีบใครไม่ติด และไม่คิดให้ตัวเองเสียประวัติด้วย”
ผมชะงักมือที่จะปิดประตูค้างเอาไว้แบบนั้น รวบรวมสติไม่ให้หลงเตลิดไปกับความดีใจที่จู่โจมเข้ามา
ก่อนก้มหน้าลงไปพูดกับคนที่นั่งอยู่ในรถ ให้พอได้ยินกันแค่สองคน
“พี่สกาย”
“ครับ”
“ถ้ามันจะทำให้พี่มีความสุข ผมยอมรับพี่เป็นอดีตแฟนก็ได้ครับ เจ็ดวันที่ผ่านมาถือเสียว่าพี่จีบผมติดแล้ว”
“ขอบคุณที่มาส่งนะครับ อดีตแฟน” ผมส่งยิ้มให้ ก่อนถอยตัวออกจากรถและปิดประตูตามเบาๆ
พยักหน้าเรียกโต๊ะให้เดินเข้าอาคาร โดยไม่ได้ยืนส่งจนรถขับออกไปเหมือนทุกครั้ง
ตึ๊ง เสียงเตือนของแอฟไลน์ดังเข้ามา
ผมกดเปิดอ่าน
Sudkobfah: เตี้ยเดินดีๆ ล่ะ ระวังลมพัด
kaojao: ผมไม่ปลิวง่ายๆ หรอกครับ
Sudkobfah: แน่ใจเหรอ ระวังนะ ลมมันกำลังพัดหวน
“................”
kaojao: ผมอยู่ในตึกแล้ว ไม่มีลมมีแต่แอร์
Sudkobfah: ใจร้ายว่ะ
“................”
Sudkobfah: happydayครับคุณแฟนอดีต
Sudkobfah: และปัจจุบัน
“................”
“ทำไมหน้าแดงวะเจ้า”
“หือ”
“อ่านอะไรเอามาดูเลย” ส้มที่ยืนรออยู่ ทำท่าจะเข้ามาดึงโทรศัพท์ในมือผม จนผมต้องรีบหย่อนลงกระเป๋าแทบไม่ทัน
“อ่านอะไรขำๆ ในทวิตเตอร์น่ะ ไม่มีอะไร”
“ให้มันจริงเถอะค่ะ อย่าให้รู้ว่าปิดอะไรอยู่นะ โดนแน่” เดซี่คาดโทษผม
“ไม่มีหรอก”
ผมตัดสินใจตอบเพื่อนไปแบบนั้น ไม่ใช่เพราะไม่ไว้ใจแต่เพราะรู้ว่าถ้าบอกทุกคนคงหาทางช่วย ต่อให้ห้ามไว้
หากมีช่องทางก็คงอดลองกันไม่ได้ และยิ่งมาเจอความขี้เล่นของพี่สกาย ผมกลัวเพื่อนผมมันจะยิ่งไปกันใหญ่
แล้วผมนี่แหล่ะจะเป็นคนห้ามใจไม่ได้เสียเอง เมื่อโดนแรงยุจากคนรอบข้าง ผมจึงตัดสินใจเก็บมันเอาไว้กับตัว
แบบนี้ก็ดีแล้ว
ผมเปิดลิ้นชักสุดท้ายของโต๊ะทำงาน หยิบกล่องที่ซุกอยู่ด้านในสุดออกมา
แพนโดร่า เป็นกล่องแห่งความลับ กล่องเล็กๆ ที่ใส่เรื่องราวของผมเอาไว้
ผมไม่ใช่STALKER แบบโต๊ะหรอกครับ ไม่ได้เก็บอะไรไว้มากมายขนาดนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย
ของแต่ละชิ้น เป็นความทรงจำตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา กระดาษสองใบที่เขียนว่า จีบ กับ สกาย
แผงยาพาราที่พี่สกายแวะซื้อให้วันที่ไปผับแล้วผมไม่สบาย ผ้าเช็ดหน้าที่เจ้าตัวให้ยืมเช็ดกาแฟที่หกแต่ไม่เอาคืน
กับอะไรอีกนิดหน่อย ที่บอกเล่าเรื่องราวช่วงนั้นได้ดีกว่าคำพูด ทุกชิ้นเป็นสิ่งที่ผมรัก มันเป็นเจ็ดวันที่มีความหมายมาก
ในชีวิตของผม
“เจ้า” เสียงเรียกหน้าประตูห้อง ทำให้ผมต้องรีบเก็บกล่องเข้าไปในลิ้นชักเหมือนเดิม
ผมรีบเดินไปเปิดประตูให้โต๊ะ ไอ้เพื่อนตัวดีเดินหน้ายุ่งเข้ามา
“พรุ่งนี้ใส่อะไรดี” นี่นะครับเรื่องที่โต๊ะมันถึงกับต้องมาห้องผม
“ใส่อะไรก็ใส่ ไปแค่เสม็ดไม่ได้ไปออกงานที่ไหน”
“เสม็ดที่มีพี่เหนือ มันไม่เหมือนเสม็ดทั่วไป เจ้าไม่รู้เหรอว่าไปเสม็ดต้องเสร็จทุกราย
เกิดใส่กางเกงในขาบานพี่มันเห็นเข้าจะคิดยังไง”
โป๊ก ผมอดไม่ได้จริงๆ ครับ ต้องขอเขกหัวเตือนสติเพื่อนตัวเองสักนิด
“คิดไปถึงไหน นี่จะไปถ่ายรูป ไปเที่ยว หรือไปจ้องจะปล้ำพี่เหนือ”
“ไปจ้องจะปล้ำพี่เหนือ” ถ้าผมเป็นคนคิดมาก โต๊ะก็คงเป็นคนที่คิดน้อยที่สุดแล้วครับ
“ไหนว่าแค่แอบมองก็พอ ไม่กล้า เทียบชั้นกันไม่ได้” ไม่รู้ผมกำลังพูดถึงโต๊ะหรือพูดถึงตัวเองอยู่
“ก็ตอนโน้นมันไม่มีทางเลยนี่ ใครจะคิดว่าดอกฟ้าจะโน้มลงมาหาหมาวัด”
โต๊ะ!! พี่เหนือผู้ชาย เทียบเสียน่าเกลียด”
“น่าเกลียดตรงไหน พี่เหนือนี่แหล่ะดอกฟ้าของหมาโต๊ะชัดๆ”
“แล้วพี่เขาโน้มลงมาหาตอนไหน เอาดีๆ”
“ตอนจูบกู”
“ไม่ได้จูบ!!”
“เจ้านี่ไม่ฉลาดเลย ไม่รู้จักคำว่าออสโมซิสเหรอ จากปากพี่เหนือสู่มือพี่เหนือสู่ปากโต๊ะ เรียกว่าจูบได้เหมือนกัน”
ผมโครตจะอ่อนใจกับเพื่อนตัวเองเลยครับ
“โต๊ะกลับไปเรียนม.ปลายใหม่เถอะ ไปเรียนว่าออสโมซิสเขาหมายถึงอะไรกันแน่”
“จะไล่ก็ไล่ไม่ถูก เขาสอนตั้งแต่มอหนึ่งต่างหาก” เอาล่ะครับ ผมจะไม่เถียงกับโต๊ะอีกแล้ว พอกันที
“ใส่กางเกงสามส่วนเสื้อยืด เอากางเกงในตัวใหม่ไป แค่นี้พอไหม”
“สีอะไรดี” โต๊ะยังซักผมไม่เลิก
“สีอะไรก็ใส่ไปเถอะ ดูที่ตัวใหม่ๆ หน่อยก็พอ”
“โอเค แล้วเจ้าจัดกระเป๋าหรือยัง”
“ยัง”
“รีบๆ จัดเลย ไม่ตื่นเต้นเหรอ พี่สกายก็ไปนะ”
“เกี่ยวอะไรด้วย”
“ก็แฟน อดีต...และปัจจุบันไง ฮ่าๆๆๆ”
โต๊ะ!!” ผมแทบจะวิ่งไปคว้าคอเสื้อคนที่กำลังเผ่นออกจากห้อง
“เดซี่มันเป็นคนแอบดู ไม่ใช่โต๊ะ” เสียงขายเพื่อนดังปิดท้ายก่อนประตูจะปิดลง
กลุ้มใจกับเพื่อนๆ จริงๆ เพราะแบบนี้ไงครับผมถึงไม่กล้าบอกใคร
ผมเดินไปหยิบกระเป๋า เปิดประตูตู้เสื้อผ้า หยิบเอาไปเท่าที่จำเป็น ผมคงไม่ต้องแต่งอะไรมากมายไปกว่าทุกทีที่ใส่อยู่
ถึงยังไงก็คงสู้ใครเขาไม่ได้
ผมสูงแค่ 165 ซม. ถือว่าเตี้ยมากสำหรับมาตรฐานปัจจุบัน หุ่นอวบมีเนื้อมีหนัง ไม่ใช่มัดกล้ามหรือซิกแพคแบบที่ผู้ชายหุ่นดีจะมีกัน
ผมเคยมองกระจกตอนยืนอยู่กับพี่สกาย เห็นแล้วท้อใจจนไม่อยากมอง มันต่างกันเกินไป มันดูไม่เหมาะสมเอาเสียเลย
สวย เผ็ด ร้อน คือสเปคของพี่สกายเท่าที่ผมได้เห็นตลอดเวลาเกือบปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ อวบ เตี้ย ธรรมดาและเป็นผู้ชายเหมือนอย่างผม
แล้วอย่างนี้ผมจะกระตือรือร้นไปทำไม ผมไม่ใช่ดอกฟ้ากับหมาวัดเหมือนโต๊ะ แต่เป็นหมากับเครื่องบินเสียมากกว่า
ได้แต่แหงนคอมอง
“สงสัยจะเป็นเนื้อคู่กันจริงๆ”
พี่สกายหยิบกระดาษที่เขียนชื่อขึ้นมา หลังจากที่ตกลงจะเล่นเกมกันในห้องพัก
“เจ้า”
ผมตัวแข็งทันที เพราะก่อนหน้านั้นพี่สกายจับได้คำว่า ดม
“กรี๊ดดด จะดมอะไรกันค่ะ ดมกางเกงในไหมสกาย ดูโรคจิตดี” พี่ของขวัญคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมบันทึกภาพ
“เจ้าขอวางเงินครับ”ผมรีบบอกโดยไม่ต้องคิด
“ได้ค่ะ แต่ต้องเต็มใจทั้งสองฝ่าย พี่สกายว่าไงคะ” เดซี่ ผู้เป็นคนควบคุมเกมในคืนนี้หันไปถามพี่สกาย
“ไม่ แค่ดมเองเจ้าจะกลัวอะไร พี่ไม่ทำอะไรโรคจิตเหมือนของขวัญบอกหรอก”
“งั้นจะดมอะไรน้องมันยะ พ่อสุภาพบุรุษ”
พี่สกายไม่ตอบพี่ของขวัญ แต่เดินเข้ามาหาผม ก่อนจะก้มหน้าลงมาที่ซอกคอ เอาจมูกเข้ามาใกล้
ถึงจะไม่ได้แตะลงมา แต่ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารด ก็ทำเอาผมหน้าแดงไปหมด
“หอมดี”
“กรี๊ด ผิดกติกาหรือเปล่าคะ แค่ดมนะคะ ไม่ใช่หอม”
“ดมครับ ไม่ได้แตะโดน” ผมรีบบอกทุกคน ไม่อยากให้ใครเข้าใจผิด ส่วนพี่สกายเอาแต่หัวเราะ นัยน์ตาระยิบระยับมอง
ตรงมาที่ผม
เกมยังดำเนินต่อไป คราวนี้ผมเป็นคนจับบ้าง แต่ได้กระดาษเปล่าจึงไม่ต้องทำอะไร ผมนั่งมองคนอื่นเล่นเกมต่อ
มาสะดุ้งตกใจเมื่อมีเสียงทุ้มๆ กระซิบอยู่ข้างหู
“ดมยังหอมขนาดนี้ ถ้าหอมลงไปจะขนาดไหน”
“จะถามกลิ่นน้ำหอมเหรอครับ ผมไม่ได้ใช้ ใช้แต่แป้งเด็ก” ผมทำเป็นไม่เข้าใจ นี่แหล่ะทางถนัดของผม
“ไม่เชื่อ”
“ไม่ต้องพิสูจน์ครับ” ผมรีบดักทางไว้ก่อน เมื่อหน้านั้นก้มลงมาใกล้ซอกคอผมอีกครั้ง
“เกลียดคนรู้ทัน”
“ผมก็เกลียดคนเจ้าเล่ห์”
“ ฮ่าๆๆๆ”
ในขณะที่ผมกับพี่สกายคุยกันอยู่ ก็เกิดเสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวแท้สาวเทียมดังลั่น เมื่อพี่เหนือต้องจูบกับโต๊ะ
และคราวนี้พี่เหนือจูบจริง
ผมค่อนข้างตกใจ หวนคิดไปถึงคำพูดโต๊ะ หรือพี่เหนือจะโน้มลงมาหาเพื่อนผมจริงๆ
แล้ว...
เครื่องบินลำที่อยู่ข้างๆ ผมล่ะ คิดจะลงจอดบ้างไหม
“ได้รูปถูกใจหรือยัง”
“ยังครับ” ผมหันไปมองคนที่ไม่ยอมกลับไปนอน จนเหลือผมถ่ายรูปอยู่คนเดียวแล้ว
“พี่สกายขึ้นไปก่อนได้นะครับ ผมจะรออีกสักพัก เผื่อดาวจะเยอะกว่านี้”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อนยังไม่ง่วง หนาวไหม”
คนถามไม่รอให้ผมตอบ ถอดเสื้อคลุมแขนยาวที่ใส่ทับเสื้อกล้ามออกมาคลุมให้ผม
“ไม่หนาวครับ พี่สกายใส่เถอะ”
“อย่าถอด” คนห้ามจับมือผมเอาไว้ไม่ยอมให้ปลดเสื้อออก
“ไม่ต้องดูแลผมขนาดนี้ก็ได้ครับ ผมไม่ใช่ผู้หญิง”
“รู้”
“รู้ว่าดูแลตัวเองได้ แต่อยากดูแล เข้าใจไหม” ผมกะพริบตาปริบๆ ไม่แน่ใจว่าต้องการคำตอบไหม
“เข้าใจไหมครับ” เมื่อถูกถามซ้ำอีกครั้ง ผมถึงรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการคำตอบ
“เข้าใจครับ”
“ดีมาก ถ่ายรูปไปเถอะ พี่ไม่กวนแล้ว” พี่สกายปล่อยมือผมออก แล้วถอยไปยืนอยู่ด้านหลังเหมือนเดิม
ผมกดสายชัตเตอร์ถ่ายดาวไปอีกสามสี่ช็อต รูปออกมาสวย แต่ผมไม่คิดว่าจะใช่รูปที่จะส่งเข้าประกวด
เพราะมันตรงตัวเกินไป เป็นรูปดาวบนท้องฟ้าที่หาได้ดาษดื่น
“อ๊ะ” ผมนึกอะไรขึ้นมาได้ เปิดกระเป๋ากล้องด้านหน้า หยิบซองกระดาษออกมา
ด้านในมีไฟเย็น กับไฟแช็คที่ผมซื้อเอาไว้ติดกระเป๋ามาด้วย
“พี่สกายครับช่วยถือให้ผมหน่อย” ผมส่งไฟเย็นกับไฟแช็คให้พี่สกาย ก่อนจับแขนพาเดินไปอยู่ด้านหน้ากล้อง
“เป็นนายแบบให้ผมหน่อยนะครับ”
“มีค่าจ้างหรือเปล่า”
“แค่นี้ก็ช่วยน้องนุ่งไม่ได้เหรอครับ” ผมพูดไปก็ปรับกล้องไปด้วย
“ไม่ได้ ว่าไง ไม่ให้ค่าจ้างพี่กลับขึ้นห้องไปนนอนน่ะ” ได้ทีเอาใหญ่ครับ เมื่อกี้ยังบอกว่าไม่ง่วงอยู่เลย
“จะเอาอะไรครับ”
“ไปค่ายอาสากับคณะพี่” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนพูด
“ตกลงครับ” ผมตอบรับอย่างไว ไม่บอกหรอกครับว่าผมสมัครไปเรียบร้อยแล้ว เพราะโดนโต๊ะมันบังคับ
“ห้ามลูกไม้ทีหลังนะ”
“ครับ ทีนี้ก็เป็นแบบให้ผมได้หรือยังครับ”
“ได้แล้ว” คนตอบยิ้มพอใจ ผมชอบรอยยิ้มนี้แต่อยากได้รอยยิ้มแบบอื่นบ้าง
“เดี๋ยวพี่สกายช่วยจุดไฟเย็น แล้วก็ก้มหน้านิดๆ อย่ามากนะครับเดี๋ยวไม่เห็นหน้า ตามองไปที่ไฟเย็น
แล้วก็มอง อืม ผมใช้คำว่าอะไรดี มองเหมือนกำลังนึกถึงอะไรที่ทำให้มีความสุข ที่ทำให้ยิ้มได้ แต่อย่ายิ้มออกมานะครับ
แบบยิ้มด้วยตาก็พอ ทำได้ไหมครับ”
“ไม่ได้” พี่สกายส่ายหน้า
“ว้า ไม่เห็นจะยากเลยครับ” ผมไม่เชื่อหรอกว่าอย่างพี่สกายทำไม่ได้
“ไม่ได้จริงๆ ไม่รู้จะนึกถึงอะไร”
พี่สกายทดลองจุดไฟแช็คไปด้วยระหว่างพูดกับผม แต่เพราะมีลมพัดมาไฟเลยดับไป
“เจ้ามาบังให้พี่หน่อย”
“ครับ” ผมเดินลงไป แต่เดี๋ยวตอนผมถ่ายใครจะช่วยล่ะ ไม่ได้เอารีโมทกล้องมาด้วยสิ สงสัยต้องตั้งเวลาเอา
แต่มันจะไม่ได้จังหวะพอดีน่ะสิ ผมคิดของผมไปเรื่อยเปื่อย
“ขยับมาใกล้ๆ” พี่สกายยื่นไฟแช็คออกมา ผมยกมือขึ้นป้องลม ขยับตัวเข้าไปใกล้อีกนิด
ฟอด
“อืมมม หอมจริงๆ ด้วย ไปถ่ายได้แล้ว พี่รู้แล้วว่าจะนึกถึงอะไร”
ผมที่รีบยกมือกุมแก้มได้แต่อ้าปากค้างที่เสียรู้คนเจ้าเล่ห์ นี่จะหอมให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย ผมได้แต่คิดอย่างอ่อนใจ
“เร็วๆ เดี๋ยวพี่ลืม ต้องขอใหม่อีกรอบนะ”
เท่านั้นแหล่ะครับ ผมไม่ยืนให้เสียเปรียบหรอก รีบวิ่งขึ้นไปยืนอยู่หลังกล้อง เหมือนของแค่นั้นจะช่วยปกป้องผมได้
แชะ
ผมกดชัตเตอร์ไปนับสิบจนไฟเย็นมอดลง ผมกดรูปขึ้นมาดู ใบหน้าที่อยู่ในภาพ เป็นใบหน้าแบบที่ผมต้องการ
ความสุขเล็กๆ ที่ไม่ต้องแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า ประกายไฟที่ให้ความรู้สึกเหมือนดาวระยิบระยับ
สักวันผมจะมีความสุขแบบนี้บ้าง ความสุขที่อยู่ใกล้ๆ แค่มือเอื้อม
นี่คือภาพ “ดั่งดาว” ของผม
“ได้ภาพถูกใจหรือยัง” เสียงตะโกนถามจากคนที่ยืนรออยู่
“ได้แล้วครับ”
“งั้นมานี่” พี่สกายกวักมือเรียกผม
ผมจัดการเก็บกล้องลงกระเป๋า เก็บขาตั้งกล้อง เรียบร้อยก็เดินลงไปหา
พี่สกายจุดไฟเย็นส่งให้ผม
“มาเล่นด้วยกัน”
“ครับ”
“สวยดีนะ”
“ใช่ไหมครับ ดีที่นึกได้ว่าเอามาด้วย”
“ไม่ถามเหรอว่าทำไมพี่ถึงหอมเรา” ผมเงียบไปทันที ไม่คิดว่าจะเจอคำถามนี้
“ไม่ถามหรอกครับ”
“ทำไมล่ะ”
“พี่สกายชอบเอาชนะ เมื่อกี้ตอนเล่นเกมบอกว่าไม่เชื่อ ต้องพิสูจน์ให้ได้สินะครับ ผมก็บอกแล้วว่าแป้งเด็ก”
ผมจะเชื่อของผมแบบนี้ เพราะมันคงดีกับผมมากกว่า
“ใช่”
ผมรีบเสลงมองพื้น ไม่อยากให้เห็นสีหน้าผิดหวัง ทั้งที่เป็นคนพูดถึงเหตุผลนั้นขึ้นมาเอง
“ดับหมดแล้วครับขึ้นกันดีกว่า เกือบตีสามแล้ว” ผมก้มลงเก็บก้านไฟเย็นที่ตกอยู่
“เดี๋ยวเจ้า”
“ครับ” ผมหันกลับไปมอง
“ที่บอกว่าใช่ พี่หมายถึง ใช่พี่เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น บอกว่าจะพิสูจน์ก็ต้องพิสูจน์ให้ได้”
“ครับ ก็เมื่อกี้ผมเป็นคนพูดเอง”
“งั้นเจ้าต้องรู้ว่าอะไรที่พี่พูดหรือพี่คิด พี่ทำจริงทุกเรื่อง”
“อ่า..ครับ ผม..ผมไปหยิบกระเป่ากล้องก่อนนะครับ” ผมรีบหันหลังให้เดินลิ่วขึ้นไปบนหาด
“หนีได้หนีไป อย่าให้พี่จับได้นะ”
ผมที่คิดจะหยุดรอเดินขึ้นไปพร้อมกัน เป็นอันล้มเลิก รีบเดินลิ่วกลับห้องพักไปก่อน ลืมมารยาททุกอย่างไปสิ้น
ใจเต้นโครมครามเหมือนมันจะทะลุออกมานอกอก
โชคดีที่เดซี่หลับไปแล้ว ผมวางของที่หอบหิ้วมาลงบนโต๊ะ
ดึงกระดาษทิชชู่ออกจากกล่อง วางก้านไฟเย็นลงไปก่อนห่อมันอย่างทนุถนอม
ผมหยิบปากกาออกจากกระเป๋ากล้อง เขียนลงไปบนทิชชู่
“ดั่งดาว” @เสม็ด
ผมเงยหน้าขึ้น มองออกไปทางหน้าต่างที่มีม่านปิดอยู่ ก่อนจรดปากกาลงไปอีกครั้ง
“หนีได้หนีไป อย่าให้พี่จับได้นะ”
นี่คือความทรงจำเล็กๆ ของผม
ในกล่องแพนโดร่า
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<
พรุ่งนี้มาออกกำลังกายกัน ^^
Darin ♥ FANPAGE