S p e c i a l
Only me
ผมชอบแววตาที่ซื่อสัตย์ แสดงออกตรงไปตรงมาของเขา
ชอบ...ท่าทางกระตือรือร้น รอยยิ้มที่ฉีกกว้าง อารมณ์ดี
ชอบความใจร้อน ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง
ชอบ ที่เป็นคนที่ไม่ซับซ้อน
และชอบที่สุด เพราะเมื่อได้อยู่ภายใต้สายตาคู่นั้น ผมรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
“คืนนี้ผมต้องไปงานเลี้ยงส่งน้องฝึกงาน กลับดึกนะพี่ธาม”
สัปดาห์กว่าแล้วหลังจากกลับมาจากอเมริกาผมก็ย้ายมาอยู่กับแซค เจ้าของบ้านเอ่ยเสียงเรียบขณะที่ผมฉีดน้ำจากฟ็อกกี้ใส่โหลมอสส์ที่หน้าตาผิดเพี้ยนไปจากแรกเริ่ม ต้นไม้ด้านนอกเยอะมากพอจะจัดเป็นสวนหย่อมเล็กๆ อันที่จริง ผมคิดว่าบ้านทาวน์เฮ้าส์มันค่อนข้างอึดอัดไปสักหน่อย แม้บุญเหลือไม่คะนองเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่คงดีถ้ามีพื้นที่มากกว่านี้
“ฟังหรือเปล่า”
ตากล้องหนุ่มซ้อนตัวจากด้านหลัง ก่อนจะโอบเอวผมแล้วฉวยหอมที่แก้ม จมูกเขาเย็นเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของโรลออน แต่เอาเข้าจริง ผมชอบกลิ่นตัวแซคที่ปราศจากสารปรุงแต่งมากกว่า
“รู้แล้ว”
“อย่าลืมกินข้าว กินยาให้ตรงเวลานะ”
“อืม”
“เดี๋ยวเที่ยงผมโทรหา”
“ทำงานไปเถอะ”
“ปิดบ้านนอนได้เลยนะไม่ต้องรอ”
“สั่งเสียนี่จะไปทำงานหรือไปตาย” ผมเริ่มหงุดหงิดกับความจุกจิกเกินนิสัยผู้ชาย แต่แซคก็เป็นแบบนี้ เป็นห่วงเป็นใยเปิดเผย ไม่เคยวางฟอร์มว่านิ่งเฉยได้เลยสักครั้ง “ไปได้แล้ว”
“โอเค อย่าใช้สายตามากนะครับ”
“อืม จะนอนให้หนำเลย”
เขายิ้มยิงฟัน รวบผมครึ่งหัวไว้ด้านหลัง และยังคงถนัดใช้มอเตอร์ไซค์มากกว่ารถยนต์ ผมเพิ่งรู้หลังจากกลับมาสักพักว่าแซคถอยรถใหม่ ส่วนรถคันเก่าของผมฝากไอ้หม่อนขายพร้อมคอนโดฯ ตั้งแต่ก่อนบินไปแล้ว
บอกตรงๆ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะกลับมา
มองรอยแผลเป็นที่มือตัวเอง มันไม่เรียบลื่นเหมือนเมื่อก่อน แต่แซคก็บีบนวดมันราวกับเป็นสิ่งล้ำค่าที่ต้องรักษาไว้
ผมวางฟ็อกกี้ลงกับที่แขวน จะเปลี่ยนไปรดน้ำต้นไม้แต่เสียงเรียกเข้าของเครื่องมือสื่อสารก็ดังขึ้นเสียก่อน ไม่ใช่โทรศัพท์ของผมแน่เพราะเก็บไว้บนชั้นสองของบ้าน ดังนั้นเป็นคนที่เพิ่งออกไปที่ลืมทิ้งไว้อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งๆ ที่บอกว่าจะโทรหาอยู่กับปาก แต่พอสายเจียนตัวก็หุนหันออกไปไม่ยอมตรวจตราสัมภาระให้ดี
เบอร์เรียกเข้าเป็นเบอร์ของปูน ได้ยินจากปากเจ้าของเครื่องเล่าว่าเป็นน้องฝึกงานที่มาอยู่ในบริษัทได้สักพักใหญ่ ผมถือวิสาสะรับสาย ยังไม่ทันพูดอะไรเจ้าของเบอร์ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อนลอดมาทันที
“พี่แซค ออกมายัง แวะมารับหน่อยดิ ปวดขาอ่ะ เมื่อวานเดินเยอะ”
ผมเงียบเสียงไป รู้สึกฉุนนิดๆ กับคำพูดไม่มีมารยาทของเด็กที่ว่า
“เอารถยนต์ออกมานะ เย็นนี้ปูนจะเมาให้เละไปเลย”“แซคลืมโทรศัพท์ทิ้งไว้” ผมตัดสินใจเอ่ยเสียงเรียบ ไม่มีหางเสียง ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ
“พี่เจมเหรอ”
“เปล่า”
“พี่ชื่ออะไร เป็นอะไรกับพี่แซคอ่ะ”
“นายไม่จำเป็นต้องรู้จักฉัน เป็นแค่เด็กฝึกงานไม่ใช่หรือไง”
“โห รู้ด้วย” น้ำเสียงสะบัดเล็กน้อย
“คู่ใหม่เหรอ ทีกับผมมาเป็นบอกไม่ได้ๆ”“เอาเป็นว่าแซคเอามอเตอร์ไซค์ออกไปแล้ว ตอนนี้ลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน หมดธุระหรือยัง”
“ครับๆ เดี๋ยวผมคุยกับพี่แซคเอง ขอบคุณครับ”
และถึงแม้เด็กที่ว่าจะกล่าวกลับมาด้วยถ้อยคำที่สุภาพกว่าแรกเริ่ม แต่ความขุ่นในจิตใจผมกลับไม่กระจ่างใสขึ้นมาแม้แต่น้อย
เกือบตีสาม กว่าตากล้องหนุ่มจะกลับมาจากงานเลี้ยงด้วยอาการไม่สู้ดีนัก หน้าแดงก่ำ กลิ่นเหม็นฉุน เมื่อถึงโซฟาก็ทิ้งตัวลงนั่งหมดสภาพ ปราดตามองก็รู้ว่าโดนพิษแอลกอฮอล์เล่นงานสาหัสสากรรจ์
ในทีแรกผมนั่งดูโฆษณาบ้านเดี่ยวในเว็บไซต์รอเวลาอยู่ชั้นบน หลังจากได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดับค่อยลงมารับเจ้าของบ้านกลับขึ้นห้อง แซคปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตลงสามเม็ด เหลือแค่เม็ดสุดท้ายต่ำกว่าสะดือเท่านั้นที่ยังคาอยู่ มือใหญ่ยกนวดขมับ สะบัดหน้าหลายครั้งราวกับเรียกสติสัมปชัญญะให้กลับมา
ไม่เห็นเมาแบบนี้มานานมากแล้ว
“ถ้าจะเมาแบบนี้ทีหลังโทรเรียกให้ไปรับ” ผมกอดอกแล้วมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประเมิน ไม่โดนรถใหญ่เหยียบตายก็นับว่าเป็นบุญหนักหนา “แล้วทำไมต้องเมาขนาดนี้”
“พี่ธาม” นอกจากไม่ตอบแล้วยังเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ก่อนจะเดินโซซัดโซเซมาจับบ่า พยายามประคองตัวเองให้ยืนตรง
“ไปนอน”
“ขึ้นไปบนห้องไหวไหม”
“คืนนี้ผมนอนนี่” ผมขมวดคิ้วฉับเมื่อโดนรุนหลังให้กลับขึ้นบนบันได ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเพียงนิดก็หลุดจากการเกาะกุมได้
“มีอะไร”
“เปล่า”
“ฉันเช็ดตัวให้”
“ไม่ต้อง!” เสียงทุ้มตวาดก้อง แม้แต่บุญเหลือที่นอนสงบนิ่งหน้าพัดลมยังสะดุ้งตื่น ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ป่วยการจะซักไซ้ให้ได้ความ แล้วยินยอมกลับขึ้นห้องนอนเพียงลำพัง รอจนกระทั่งไฟด้านล่างดับลงถึงเดินลงมาอีกครั้ง
แซคนอนหลับสนิท ลมหายใจผ่อนเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เมื่อเปิดไฟ คนเมาก็ผินหน้าเข้าหาพนักพิงโซฟาเพื่อหลบแสงแยงตา ครางฮือในลำคอแต่ไม่มีปฏิกิริยาเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้
จะหลับทั้งๆ ที่ใส่ชุดทำงานแบบนี้ แถมยังนอนบนโซฟาอีก สบายตัวที่ไหน
ผมหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กแล้วชุบน้ำพอหมาด ปลดกระดุมที่ยังค้างอยู่ในรังดุมทุกเม็ด ถอดเสื้อออกอย่างเชื่องช้า ก่อนจะจัดการกับกางเกงเป็นลำดับต่อไป
แซคดูแลผมมาเป็นพันครั้ง แต่กลับไม่ยอมให้ผมดูแลสักครั้งเดียว
ผมถอนหายใจพลางแตะผ้าชุบน้ำอุ่นลงบนใบหน้า ตามด้วยแขน ก่อนจะหยุดสายตาลงเมื่อชายหนุ่มเอี้ยวตัวเผยให้เห็นร่องรอยสีม่วงแดงที่ลำคอ
ผมไล่ปลายนิ้วไปตามผิวหนัง หัวใจกระตุกวูบ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นรอยจูบซึ่งผมไม่ชอบทำโดยเฉพาะในพื้นที่นอกเหนือร่มผ้า ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะดึงบ็อกเซอร์ที่สวมอยู่ของคนรักลง ใช้ปลายนิ้วสัมผัสเพื่อสำรวจ อย่างน้อยๆ ถ้ากลับมาในสภาพนี้โดยผ่านศึกอะไรมาบ้างก็ไม่น่าคิดทำลายหลักฐานทัน โชคดีเป็นของแซคที่ไอ้นั่นยังสงบนิ่ง ไม่มีรอยเหนียวเหนอะ หรือเรียบลื่นของน้ำยาหล่อลื่นหลงเหลืออยู่
แม้ไม่บอกก็รู้ รอยนี่คนเมาได้มาจากใคร
ผมผ่อนลมหายใจอย่างใจเย็น ปลอบใจตัวเองในหัวว่าอย่างน้อยแซคก็ยังไม่เกเรถึงขั้นที่ต้องแตกหักกันไปเสียทีเดียว
กระนั้นหัวใจก็ฟีบแบน เหมือนถูกเหยียบย่ำไม่มีชิ้นดี
เสียงบุญเหลือครางหงิงดังจากชั้นล่างมาข้างบน ท้องฟ้าเวลานี้ยังไม่สว่างดี แต่ต้องปล่อยมันออกไปทำธุระด้านนอกก่อนจะทำเลอะเทอะในบ้าน ผมม้วนสายจูงกับข้อมือแล้วเดินตามโกลเด้นพันธุ์ผสมที่แก่จนเดินเชื่องช้าไปในซอยที่ท้องฟ้าเริ่มผันเป็นสีน้ำเงินสดใส
เช้าตรู่วันเสาร์ ในหมู่บ้านค่อนข้างสงบเงียบ ร้านน้ำเต้าหู้รถเข็นเป็นร้านเดียวในย่านนี้ที่เปิดก่อนใครเพื่อน ผมพกเงินติดตัวมาไม่มาก สั่งน้ำเต้าหู้ไม่ใส่เครื่องหวานน้อยสองถุงกับปาท่องโก๋ แล้วลากบุญเหลือกลับบ้านก่อนเจ้าของจะตื่น
แซคขยับตัวบิดขี้เกียจเมื่อเสียงประตูเปิดอีกครั้ง ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อพบว่าสภาพตัวเองบนโซฟาเหลือไว้เพียงกางเกงบ็อกเซอร์กับผ้าห่มคลุมกาย เขามองหน้าผมอย่างตื่นตระหนก ใช้มือตะปบคอตัวเองโดยไม่ต้องเกริ่นเรื่องให้มากความ
“พี่ธาม ผม...”
“ล้างหน้าล้างตา มากินน้ำเต้าหู้ก่อนสิ”
“พี่...”
ผมไม่ถาม แต่หันไปปลดล็อกโซ่จากปลอกคอบุญเหลือออกแล้ววางถุงบรรจุอาหารเช้าลง หลังจากล้างมือเรียบร้อยแล้วก็วนกลับมาที่โต๊ะอาหารอีกครั้ง แซควางตัวไม่ถูก กลอกตาหลุกหลิกอย่างใช้ความคิด “พี่เช็ดตัวให้ผมเหรอ”
“อืม”
“แล้ว...”
“มากินน้ำเต้าหู้”
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาทำไหล่ห่อเมื่อเดินผ่านผมไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา เมื่อกลับมาอีกครั้งก็ยังมีสีหน้าไม่สู้ดี “เมื่อคืนผมดื่มหนัก โดนจับกรอกไปเสียเยอะ”
ผมพยักหน้านิ่งเฉย รอฟังคำสารภาพจากปากทั้งหมดโดยที่ยังคงไม่คิดจะถาม แซคเป็นคนซื่อสัตย์ นับตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกระทั่งวันนี้ ผมไม่เคยมองเห็นลายเสือของเขาจากคำกล่าวอ้างที่เคยได้ยินมาแม้แต่นิดเดียว และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมใจเย็นมากพอจะฟังความทุกอย่างด้วยเหตุผล
“คือ...ปูนมันนั่งข้างๆ สักพักพอเมาก็ขึ้นมานั่งตัก ผมบอกปัดแล้วพี่ธาม แต่แบบ ผมมึนมาก รู้ตัวอีกทีก็ถูกมันคว้าคอไปดูดแล้ว”
“เด็กนั่นโทรมาเมื่อวาน ตอนที่นายออกไปแล้ว ให้เข้าไปรับ”
“ผมไม่ได้ไปรับ ขากลับก็ไม่ได้ส่งด้วย พอได้สติผมก็ลุกเลย” แซคกอดผมจากด้านหลัง เอาคางเกยบนบ่าเหมือนที่ชอบทำ เสียงหัวใจเขาเต้นหนัก เต็มไปด้วยความกังวล ผมไม่เคยบอก ไม่มีคำประกาศิตใดๆ ระหว่างเราว่าหากนอกใจหรือนอกกายเพียงสักครั้งเหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่เพราะแคร์อีกฝ่ายมากเหลือเกินกับเรื่องชู้สาวเพียงน้อยนิดก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้
“ผมขอโทษที่ไม่ทันระวังตัว”
“แล้วจะยังไงต่อกับเด็กคนนั้น”
“ไม่มีอะไรจริงๆ ไม่มีอะไรตั้งแต่แรก ตั้งแต่ก่อนพี่กลับมาผมก็ไม่ได้ยุ่งด้วยเลย”
ผมเชื่อแซค แต่ก็อดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ “บอกมันหรือยังว่ามีเมียแล้ว”
“ครับ”
“แล้วยังจะยุ่งอีกน่ะเหรอ”
“พี่ธาม น้องมันยังเด็ก ปูนก็เหมือนผมเมื่อก่อนนั่นแหละ ทำอะไรคิดแต่สนุก”
“ช่างมันเถอะ”
“พี่โกรธผมหรือเปล่า”
“ฉันควรรู้สึกยังไงที่เห็นรอยจูบบนตัวแฟนตัวเอง ที่ไม่ได้มาจากตัวเองล่ะ” ผมถามกลับพลางกอดอก น้ำเต้าหู้ห่าเหวอะไรนั่นช่างมัน ไม่มีอารมณ์จะกินแล้ว
“ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ต่อไปจะระวังตัวมากกว่านี้”
แซคขอโทษซ้ำทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความผิดของตัวเองเสียทั้งหมด ผมเม้มปาก แล้วเบือนหน้าออกไปด้านนอก ท้องฟ้าเริ่มทอแสงสีสว่างจ้า ผู้คนเริ่มเปิดประตูหน้าต่างออกมาทักทายในวันหยุด
“เคยนอนกับปูนหรือเปล่า”
“หลังจากพี่ผมก็ไม่มีใครเลย”
“ทำไมไม่ทำล่ะ”
“จะให้ทำได้ยังไง ในหัวผมมีแต่เรื่องพี่!” แซคเอ่ยเสียงกร้าว ดุดันกว่าครั้งไหน เขาเดินวนไปมา บุญเหลือมองตามยังรู้สึกเหนื่อยไปด้วย “ที่ถามแบบนี้เพราะอยากให้ผมมีคนอื่น อยากยัดเยียด อยากให้ไปเสียที หรือระแวงกันแน่”
“จะแบบไหนก็ไม่โอเคทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่ไง” ชายหนุ่มกล่าวอย่างหัวเสีย แม้จะโตขึ้นเท่าไหร่แซคก็ยังเป็นแซคที่ใจร้อนเหมือนเคย “พี่แม่ง น่าหงุดหงิด”
“ก็แค่ถาม ทำไมต้องรำคาญด้วย”
“เพราะคำถามมันโคตรป่วนประสาทผมเลยไง”
“ร้อนตัวหรือไง”
“อย่ามาหาเรื่องทะเลาะได้ไหมวะ”
“แซค” ผมเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ คนถูกถามเมื่อครู่หลับตาลงคล้ายจะข่มอารมณ์ “ฉันถามเพราะสงสัย นายมีทางเลือกตั้งมากมายนอกจากฉัน ไม่ได้จะหาเรื่อง”
“เพราะผมรักพี่ไง”
“ก็แค่อยากได้ยินคำนี้เท่านั้นเอง”
ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วนั่งไขว่ห้าง ยังอยู่ในชุดนอนผ้าแพรมันเลื่อมสีขาวมุก เอนกายพิงเบาะหนังนุ่มจนแผ่นหลังจมหายไปบางส่วน มองเจ้าของบ้านด้วยสายตาพึงพอใจ แซคจ้องหน้าผม ความขุ่นเคืองยังวาวโรจน์ในตาไม่จางหาย
“มานี่สิ”
“พี่อยากได้อะไรทำไมไม่บอกผมตรงๆ ทำไมต้องทำให้หงุดหงิดก่อนเสียทุกครั้ง”
“ฉันถามเพราะเห็นว่านายมีโอกาส” ผมเงยหน้าเชิดขึ้น แต่กดสายตาลงต่ำ “ฝั่งนั้นก็ไม่ได้จริงจัง ถ้าลองเล่นด้วยก็ไม่น่ามีปัญหา”
“ถ้าพี่มีโอกาสพี่จะทำหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ” ผมอมยิ้มที่มุมปากเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าฉุนเฉียวขึ้นมาอีก แซคเดินเข้ามาหา ก้มตัวลงกดบ่าผมจนแผ่นหลังยิ่งจมลึกไปในเบาะ
“อย่าพูดแบบนี้ให้ผมได้ยินนะนิธาน”
ผมเลิกคิ้วขึ้นเพียงน้อยนิด คล้ายไม่ฟังคำสั่ง แล้วริมฝีปากหนาก็กดลงมาอย่างจาบจ้วง แซคตะโบมจูบลงมาด้วยโทสะ และผมก็น้อมรับมันด้วยความยินดีที่ฝังอยู่ลึกในจิตใจ
ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนที่ไม่มีใครปรารถนา แม้กระทั่งร้องขอความรักจากบิดาก็ยังถูกกระทำอย่างหลบๆ ซ่อนๆ
ถึงคราวที่มีความรักและแซคแสดงออกมาได้อย่างเปิดเผยจริงใจ แม้จะขัดใจเวลาที่อีกฝ่ายดื้อรั้นบ้าง แต่ลึกลงไปกลับปลาบปลื้มยินดีเมื่อเขาแสดงความรู้สึกต้องการออกมาโดยไม่ปรุงแต่ง
เสื้อที่สวมอยู่ถูกดึงออกจากกันจนกระดุมหลุด กางเกงนอนร่นลงมาถึงตาตุ่ม ลิ้นและฟันช่วงชิมผิวเนื้อจนได้ยินเสียงจูบเมื่อยามริมฝีปากผละออก ลมหายใจร้อนรดรินตามแอ่งชีพจร ผมหลับตาลง เอียงคอให้อีกฝ่ายคุกคามได้ตามใจชอบ
“ธาม...”
แซคกระซิบเสียงพร่าด้วยชื่อของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาชอบบอกรักพอๆ กับขบกัดจนเป็นแผลช้ำไปทั้งตัว ผมนิ่วหน้าเมื่อคมเขี้ยวฝังลงลึก คล้ายกับเป็นการสร้างร่องรอยเอาไว้เป็นสัญลักษณ์แสดงความเป็นเจ้าของที่พอจะทำได้เพียงอย่างเดียว
เป็นแบบนี้ตั้งแต่มีเซ็กซ์กันครั้งแรกแล้วด้วยซ้ำ
ผมใช้จังหวะกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันพลิกตัวแซคให้เป็นฝ่ายนั่งลงบนโซฟา หยิบเสื้อนอนที่ตกอยู่แถวนั้นขึ้นมัดแขน ชายหนุ่มยังเฝ้าจุมพิตไปทุกที่ รู้ตัวอีกทีทั้งสองร่างก็เปลือยเปล่า โดยมีพันธนาการรัดรึงมือปลาหมึกไม่ให้ยุ่มย่ามมากเกินไปเสียแล้ว
“เล่นอะไรธาม”
ความปรารถนาของอีกฝ่ายแสดงชัด ผมนั่งคร่อม บดเบียดร่างกายให้แนบชิด แซคคำรามในลำคอ มองกลับมาด้วยแววตาดุดัน
“ผมไม่ไหวแล้ว อย่าทำแบบนี้”
“แบบไหน”
“ธาม”
ผมกระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนโน้มตัวลงกระซิบข้างหู ชันเข่ากับเบาะนั่ง แล้วหย่อนตัวลงมาเชื่องช้าบนร่างกายที่ตื่นตัวเต็มที่ของอีกฝ่าย
“จำไว้อย่างนะ ถ้าจะหาใหม่
หาให้มันดีกว่าฉัน”
ผมเกาะบ่าอีกฝ่ายไว้ กางขาเพื่อรับร่างกายอีกฝ่ายเข้าลึก ผมจะเป็นคนควบคุมเกมนี้ด้วยตนเอง แซคครางในลำคอเมื่อผมยกสะโพกขยับขึ้นสูงและลงต่ำราวกับกำลังระบำอยู่บนเรือนร่าง ไม่มีประโยคที่สื่อสารกันรู้เรื่องอีกต่อไป ผมทอดสายตามองใบหน้าที่บิดเบี้ยว ทรมาน ชายหนุ่มผู้เร่งเร้าอยากเอาแต่ใจกลับถูกควบคุมทุกสิ่งอัน ความต้องการของแซค ความรัก ความเสน่หา บัดนี้ผมเป็นคนกอบกุมทุกอย่างด้วยตัวเอง
“เรียกชื่อฉัน”
ผมจิกเล็บลงบนแผ่นหลัง แซคทำตามคำสั่งเพียงแผ่วเบาก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกและผ่อนออกมาลอดไรฟัน
“เร็วหน่อย ธาม”
“สั่ง?” ผมกุมขยำเส้นผมสีดำสนิทของอีกฝ่ายด้วยนิ้วทั้งห้า บังคับให้เงยหน้ามาร้องขอ “พูดกับฉันดีๆ สิแซค”
“พี่ธาม ผมไม่ไหวแล้ว”
“ขอร้อง?”
“ได้โปรด”
ผมไล้มือลงบนโครงหน้าอีกฝ่ายอย่างใจเย็น แซคเอียงคอเข้าหาเพียงเล็กน้อย แล้วใช้ริมฝีปากงับเบาๆ บนปลายนิ้ว ผมโปรดปรานยามที่อีกฝ่ายเว้าวอน ตกเป็นของผม และของผมแต่เพียงผู้เดียว “ธามครับ ขยับสะโพกให้ผมหน่อย”
“เร็วหรือแรง”
“ทั้งสอง”
จบประโยคทั้งสองร่างก็พากันเคลื่อนไหวตามแรงปรารถนา หากเป็นอาหารก็คงจะเป็นอาหารเลิศรสที่ทำให้อิ่มท้อง หากเป็นยารักษาโรคก็คงจะแก้ไขอาการที่ป่วยไข้จนหายชะงัด
หากขึ้นชื่อว่าเป็นคู่ชีวิต
จะทำให้ชีวิตของคู่ครอง ไม่ปรารถนาจะลิ้มรสสุขสมจากที่ใดอีก
เสียงฉีกขาดของเสื้อดังขึ้นเมื่ออารมณ์พุ่งทะยาน รู้ตัวอีกที สิ่งที่มองเห็นคือเพดาน ผมกระตุกยิ้มที่มุมปากเพียงข้างหนึ่ง
และนี่คือแซค แซคที่ต้องการเพียงแค่ผม
แต่เพียง
ผู้เดียว
Fin
พี่ธ๊ามมมม /เสียงสูง
นางไม่มีความหวานค่ะ นางมีแต่ความเผ็ซ อิเด็กปูนนั่นจะมาสู้อะไรคุณชายของน้องได้
เป็นมุมเล็กๆ ของธามที่บอกว่าชอบแซคที่ตรงไหน ใครยังไม่ได้อ่าน 10Fact about สู่กลางใจ ในแฟนเพจเรามีน้า เผื่อจะรู้จักพี๋ธามกันมากขึ้น
ใครอยากเห็นพี่ธามรุก ตอนนี้รุกแล้วนะะคะ รุกขึ้นมารับ อะเร๊ะ
ขอบคุณทุกกำลังใจที่ให้กันมาตลอด
จะพยายามพัฒนาฝีมือให้ถูกใจคนอ่านในเรื่องหน้าๆ ต่อไป
ไว้เจอกันค่ะ
