ตอนที่ 16.2 ยั่ว (ใครยั่วใครเหรอออ)“วันนี้เราจะไปไหนกันครับ” ผมหันไปถามพี่แนทพี่แดนหลังจากกินเสร็จ
“พี่ซื้อตั๋วรถทัวร์รอบเมืองไว้แล้ว กะว่าไปเก็บตกพวกอนุสาวรีย์กันกับแวะดู Gorgetown” พี่แดนหันมาบอก ผมพยักหน้ารับรู้
“อาร์ม อย่าลืมทาครีมกันแดดกับเอาหมวกไปนะ พี่เช็คแล้ววันนี้ท้องฟ้าโปร่ง แดดแรง อากาศร้อนมาก เดี๋ยวจะไม่สบายอีก” พี่แนทพูด
หมวกผมหน่ะมีแต่ไอ้ครีมกันแดดไม่มีหรอก ใครจะบ้าไปทาวะ ผมออกจะมาดแมนแอนด์แฮนซัม ไม่ใช่พวกผู้หญิงประเภทกลัวแดดกลัวน้ำโดนแดดนิดโดนแดดหน่อยก็ร้อนกลัวผิวจะเสีย นี่พี่เค้าเห็นผมบอบบางอ่อนแอมากรึไง (แล้วไม่จริงเหรอเจ้าอาร์ม)
“ผมไม่มีหรอกครับครีมกันแดดและไม่คิดจะทาด้วย ไม่ใช่ผู้หญิงซักหน่อยจะได้กลัวผิวเสีย” ผมตอบพี่แนท หน้าเริ่มบูดแล้วครับ
“อาร์ม...ไม่ได้นะต้องทา เรานะผิวยิ่งขาวๆอยู่ เดี๋ยวโดนแดดแรงแล้วผิวไหม้ขึ้นมาจะทำยังไง แถมยังมีโอกาสเป็นมะเร็งผิวหนังด้วย” พี่ยังไม่เลิกเซ้าซี้อีก หน้าผมเริ่มหงิกเป็นสองเท่าคิดในใจมันเรื่องของผมทำไมพี่ต้องมายุ่งด้วย
“ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นเลย มานี่อาร์ม...พี่มี....เดี๋ยวพี่ทาให้” ไม่รอคำตอบ พี่แนทควักขวดครีมกันแดดออกมาแล้วคว้าแขนผมไปทา ตามด้วยหน้าแล้วก็คอ ทำเหมือนผมเป็นเด็กสามขวบเวลาแม่ทาแป้งให้ยังไงยังงั้น ผมอยากจะสะบัดออกแต่ยังเกรงใจพี่แดนที่ยืนมองอมยิ้มอยู่
“รู้รึเปล่า จากสถิตินี่ ในบรรดามะเร็งทั้งหลายของคนอเมริกันเนี่ย มะเร็งผิวหนังนี่เป็นอันดับสองเลยนะ”
พี่แนททาไปก็บรรยายวิชาการแพทย์ไปด้วย เชอะ...กะว่าจะไม่ให้ผมเถียงได้ละสิ
“อาร์ม ไม่เกี่ยวกับผู้ชายผู้หญิงหรอกนะ มะเร็งผิวหนังเนี่ยชายหรือหญิงก็มีโอกาสเป็นเท่าๆกันนั่นแหละ พี่ก็ทาเหมือนกัน” พี่แดนพูดสนับสนุนพี่แนท ผมเลยต้องก้มหน้าจำยอมเถียงต่อไม่ได้
******************************************
โปรแกรมวันนี้เป็นการทัวร์บรรดาอนุสาวรีย์ทั้งหลายแหล่และไวท์เฮาส์ โดยการนั่งรถทัวร์โอลด์ทาวน์โทรลเล่ซึ่งต้องเสียคนละ 32 เหรียญ (ถ้าซื้อออนไลน์จะถูกกว่าเหลือ 28 เหรียญ) แต่สามารถขึ้นลงตามจุดรับส่ง 19 จุดได้ตลอดวันกี่รอบก็ได้ แถมมีไกด์ทัวร์บนรถ (ก็คนขับนั่นแหละครับ) บรรยายประกอบสถานที่ที่รถผ่านทุกจุด อันนี้เป็นข้อดีมากๆทำให้ผมรู้ประวัติความเป็นมาของเมืองและสถานที่ต่างๆไปด้วยไม่ใช่สักแต่ถ่ายรูปกลับไปอย่างเดียว เสียแต่ว่าภาษาอังกฤษผมไม่ค่อยแข็งแรงต้องคอยถามพี่แนทเป็นระยะๆว่าเค้าพูดอะไร
ว่าแต่.... ตั้งแต่ออกจากอพาร์เมนท์มานี่ผมไม่เสียตังค์สักเซ็นต์ แหะ...แหะ....เที่ยวฟรีตังค์อยู่ครบ ก็พี่แนทเล่นออกให้ตลอดเลยอ่ะทั้งค่าอาหารค่าโรงแรมและอื่นๆจิปาถะ บอกว่าจะขอหารจ่ายด้วยก็ไม่ยอม ผมก็เลยตามเลย พูดแล้วละอายใจจังเลยครับ
(เหรอ...ได้ข่าวว่าแกงกจะตายนี่) แต่คิดไปคิดมาถือซะว่าเป็นค่าสมัครมาเป็นพี่เขยผมก็แล้วกัน
เช้านี้พี่แนทขับรถไปคืนที่บริษัทเช่ารถเพราะวันนี้ไม่ต้องใช้รถ ส่วนพรุ่งนี้ก็ขึ้นเครื่องไปซานดิเอโกแล้ว คืนรถเสร็จพวกเราก็ขึ้น Metro ไปที่สถานี Union Station เพื่อไปขึ้นรถทัวร์เที่ยวรอบเมือง
Union Station เป็นอาคารหลังใหญ่แถมสถาปัตยกรรมยังสวยมากๆ (อีกแล้ว) เป็นทั้งสถานีรถทัวร์ สถานีรถไฟใต้ดินซึ่งก็คือ Metro และสถานีรถไฟ (ทั้งรถไฟธรรมดาและรถไฟ Amtrack) แถมมีร้านค้า ร้านหนังสือ ร้านอาหารมากมายในตึกกว่า 130 ร้าน มีทั้งร้านระดับหรูเลิศและฟู๊ดคอร์ทบ้านๆ เปรียบไปก็เหมือนสถานีหัวลำโพงบ้านเราแต่ของเค้าใหญ่มหึมากว่าเยอะ ปีหนึ่งมีคนแวะที่นี่กว่า 25 ล้านคน ตามสถิติบอกว่า Union Station เป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวอันดับหนึ่งในวอชิงตันดีซี ส่วนอันดับสองคือ the National Air and Space Museum ที่เมื่อวานพวกผมต้องถอยทัพออกมาเพราะเด็กเยอะเป็นหนอน
พอขึ้นบนรถทัวร์ไกด์ก็เริ่มบรรยายทำให้ทราบว่าเมืองนี้ได้ชื่อมาจาก George Washington ประธาธิบดีคนแรกของอเมริกา (อย่าสับสนระหว่างวอชิงตันดีซีกับรัฐวอชิงตันนะครับเพราะมันอยู่กันคนละฝั่งประเทศเลย) ซึ่งเป็นคนแรกที่เลือกทำเลนี้ตั้งเป็นวอชิงตันดีซี ลักษณะเมืองเป็นสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดทั้งสี่ด้านยาวเท่ากันด้านละ 10 ไมล์ ดังนั้นพื้นที่ของเมืองนี้แค่ 100 ตารางไมล์เท่านั้น แต่เป็นที่ตั้งของที่ทำการหน่วยงานของรัฐบาลมากมายรวมถึง FBI และ White House สมกับที่เป็นเมืองหลวงของประเทศ (ที่จริงไกด์บรรยายเยอะมากแต่ผมไม่อยากพูดทั้งหมดเดี๋ยวมันจะน่าเบื่อ)
รถวิ่งออกจาก Union Station ผ่าน Nation Mall และพิพิธภัณฑ์ต่างๆที่เมื่อวานผมได้ไปมาแล้วและเกือบเป็นลมไปแล้ว พวกเราลงที่ World War II Memorial ลักษณะเป็นเสาทั้งหมด 56 ต้นตั้งเป็นวงกลมล้อมรอบน้ำพุ เสาแต่ละต้นเป็นตัวแทนของ 50 รัฐและอาณานิคมอีก 6 แห่งของอเมริกา
พวกเราถ่ายรูปเสร็จก็เดินต่อไปที่อนุสาวรีย์เวียตนาม (Vietnam Veterans Memorial) ซึ่งสร้างเป็นอนุสรณ์แก่ทหารอเมริกันที่ตายในสงครามเวียตนาม ประวัติของอนุสาวรีย์นี้น่าสนใจมากเพราะออกแบบโดย ‘Maya Lin’ ซึ่งเป็นคนอเมริกันเชื้อสายจีน ที่น่าสนใจเพราะเธอชนะการประกวดออกแบบขณะที่อายุเพียง 21 ปีและเป็นนักศึกษาศิลปะชั้นปีที่สาม Yale University เจ๋งจริงๆเลยครับ
ตอนนั้นที่ Lin ชนะการประกวดมีกระแสต่อต้านจากประชาชนมากมาย มีคนเอาเรื่องของเธอมาสร้างเป็นหนังสารคดีแถมได้รางวับอคาเดมีด้วยครับ (Maya Lin: A Strong Clear Vision)
ที่อนุสาวรีย์นี้มีญาติพี่น้องหลายคนของทหารที่เสียชีวิตมายืนไว้อาลัย บางคนก็เอาช่อดอกไม้มาวาง บางคนก็เอาภาพถ่ายมาวาง ดูแล้วก็รู้สึกเศร้าใจหดหู่ไปด้วย สงครามนี่ไม่เคยให้อะไรดีกลับมาเลยนะครับ
ไม่มีใครเป็นผู้ชนะที่แท้จริงในสงครามเพราะแต่ละฝ่ายก็ต้องสูญเสียกันทั้งนั้นเพียงแต่ฝ่ายใดจะเสียมากหรือน้อย
เดินต่อไปอีกหน่อยก็เป็น Lincoln Memorial สร้างเป็นอนุสรณ์แต่ Abraham Lincoln ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของอเมริกา เป็นอาคารหลังใหญ่ด้านหน้าเปิดโล่ง มีรูปปั้นท่านอับบลาฮัมทำจากหินอ่อนอยู่ข้างในอาคาร ที่ผมชอบไม่ใช่รูปปั้นแต่เป็นวิวมากกว่า เวลาหันหน้าออกจากอาคารแล้วมองตรงไปที่อนุสาวรีย์ World War II มันมีสระสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวมากกั้นระหว่างสถานที่ทั้งสอง ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมาแจ่มสวยมากๆๆ แถมมองเลยไปจะเห็น Washington Monument ที่เป็นหอสูงเหมือนแท่งหินขนาดยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ (ถ้าคนดู Get Smart ต้องเห็นฉากนี้เหมือนกัน)
“พี่ว่าพวกเราไปหาอะไรกินกันดีกว่า ตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว” พี่แนทหันมาพูดกับผมและพี่แดนพร้อมส่งน้ำขวดให้ผมดื่ม
“งั้นนั่งรถทัวร์ไปลง Gorgetown ดีกว่า ที่นั่นมีร้านอาหารเยอะ” พี่แดนเสริม
พวกเราขึ้นรถทัวร์ที่จุดรับส่ง แต่รถต้องวนไปในดาวน์ทาวน์ก่อนแล้วมุ่งออกไปทางเหนือเพื่อไปที่โบสถ์ ‘Washington National Cathedral’ ซึ่งเป็นโบสถ์แบบโกธิคที่ใหญ่อันดับหกของโลกและอันดับสองของอเมริกา เราแวะลงถ่ายรูปกัน ถึงแม้จะนับถือพุทธและไม่เคยไปโบสถ์เลยก็ตาม ผมก็ต้องยอมรับว่าโบสถ์นี้สวยมากๆทั้งกระจกเพ้นท์สีตามหน้าต่างและความใหญ่โตอลังการ มันให้ความรู้สึกเหมือนโบสถ์ในยุโรปที่เคยเห็นจากหนังสือท่องเที่ยวเลยครับ
จากโบสถ์รถวิ่งผ่านถนนเส้นหนึ่งที่มีแต่สถานฑูตประเทศต่างๆเป็นสิบๆตั้งอยู่สองฟากถนน คนขับนี่สามารถจริงๆ ขับไปบรรยายไป แถมพูดชื่อสถานฑูตแต่ละประเทศที่รถวิ่งผ่านแบบสายฟ้าแลบได้ครบถ้วนไม่มีตกหล่นสักประเทศ ผมชะเง้อชะแง้พยายามมองว่ามีสถานฑูตไทยรึเปล่าแต่ก็ต้องผิดหวังเพราะไม่มีเลยครับ แง....แง....
ในที่สุดก็ถึง Gorgetown พวกเราลงแล้วรีบหาร้านอาหารกินอย่างหิวโหยก็มันบ่ายโมงกว่าแล้วนี่ครับ กินเสร็จก็แวะดูร้านค้าต่างๆเป็นการย่อยอาหาร ที่นี่เป็นย่านเมืองเก่าเป็นแหล่งช็อปปิ้งและร้านอาหาร ลักษณะตึกจะเหมือนตึกแถวเล็กๆกะทัดรัดเรียงต่อกันเป็นแถบทาสีหวานๆเช่นสีฟ้า สีชมพู มันเลยให้ความรู้สึกแตกต่างจากตึกสูงใหญ่ที่พวกผมได้ไปดูกันมาก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง แต่นักท่องเที่ยวก็เยอะมากๆครับเดินกันเต็มทางเดินไปหมด
จากที่นี่เราขึ้นรถไปต่อกันที่ไวท์เฮาส์ แต่เข้าไปดูไม่ได้หรอกครับได้แต่ถ่ายรูปข้างนอก พวกเราไปจบทัวร์ที่ไชน่าทาวน์กันตอนเย็นพอดี ในไชน่าทาวน์นี่มีร้านอาหารไทยดูดีหลายร้าน พวกผมเลยตัดสินใจกินอาหารไทยกันที่นี่ เฮ้อ....อิ่มจังตังค์อยู่ครบอีกแล้ว
*******************************************
ตอนนี้พวกเราเดินอยู่แถวดูพองน์เซอร์เคิลใกล้โรงแรม เพื่อเป็นการย่อยอาหารและซึมซับบรรยากาศก่อนจากไปพรุ่งนี้ เดินไปเดินมาผมก็เริ่มสังเกตว่าทำไมมีชายหนุ่มเดินจับมือกันเป็นคู่ๆหลายคู่อยู่เหมือนกัน เลยหันไปถามพี่แนท
“พี่แนท ทำไมที่นี่มันดูแปลกๆจัง ผู้ชายเดินจูงมือกันด้วย”
พี่แนทฟังแล้วหัวเราะหึๆเบาๆ
“ก็ดูพองน์เซอร์เคิลนี่นอกจากมีร้านอาหารและร้านเสื้อผ้าเยอะ ยังขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งที่เกย์อยู่กันเยอะในดีซีด้วย ทำไมเหรออาร์ม”
ผมฟังแล้วอึ้งกิมกี่ ทำไมผมต้องมารับรู้ไอ้แหล่งพวกนี้ด้วยฟะ คราวไอ้คุณแมนดี้ก็ทีละ ดันมาเล่าว่าซานฟรานที่ผมกำลังจะไปนี่เป็นเมืองหลวงเกย์ของอเมริกาแล้วยังมาที่นี่อีก ทำไมชีวิตตูต้องวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ด้วย
แถมพี่โอมกับพี่แนทก็ยัง.....โอ้ยย....กลุ้มโว้ย ผมหมดอารมณ์สุนทรีย์ในการเดินชมเมืองทันที
กลับถึงโรงแรม ผมเดินดุ่มๆเข้าห้องอาบน้ำทันทีเพื่อคลายความหงุดหงิด คิดในใจ...ถึงคนรอบข้างจะเป็นเกย์แต่ตูไม่ใช่เกย์โว้ยยย
ผมเลยตั้งใจแน่วแน่..คืนนี้พี่แนทอย่าหวังเลยที่จะได้นอนกอดผมแบบสองคืนที่ผ่านมา ผมจะเอาหมอนมาทำเป็นกำแพงเมืองจีนกั้นซะให้สะใจ ผ้าห่มก็มีตั้งสองผืนอย่าได้หวังจะใช้เป็นข้ออ้างอีก พี่แนทเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว ผมก็ปฏิบัติการก่อกำแพงเมืองจีนทันที ทำเสร็จก็นั่งพิงหัวเตียงชื่นชมผลงานตัวเองพร้อมดูทีวีอย่างสบายอารมณ์
แกร็ก...เสียงประตูห้องน้ำเปิด ผมหันไปมองแล้วแทบตกเตียง
ก็....ก็....พี่แนทไม่ได้ใส่เสื้อกางเกงมีแต่ผ้าเช็ดตัวพันเอวไว้หลวมๆ เดินผ่านหน้าผมไปที่ตู้เสื้อผ้าที่อยู่ติดเตียงฝั่งที่ผมนั่งอยู่ ทุกทีก่อนหน้านี้ทั้งผมและพี่แนทจะเอาเสื้อผ้าไปแต่งเสร็จเรียบร้อยในห้องน้ำ แต่ทำไมวันนี้พี่เค้าทำแบบนี้อ่ะ
ไอ้ตาเจ้ากรรมของผมมันก็ดันทรยศเจ้าของ ผมมองตามพี่เขาตั้งแต่พี่แนทก้าวเท้าจากห้องน้ำผ่านหน้าผมไป มองไล่ไปตั้งแต่หน้าอันหล่อเหลา ไหล่กว้างสมบูรณ์เป็นประกายพราวไปด้วยหยดน้ำ (แอบเห็นรอยฟันที่ผมกัดพี่เขาเมื่อสองคืนก่อนด้วยอ่ะ) ตาผมมองต่ำลงมาที่หน้าอกมีมัดกล้ามชัดเจน ไล่มาที่หน้าท้องที่มีซิกแพ็คเป็นลอนสวยงาม มองต่ำลงไปก็เห็นไรขนรำไรๆ ให้ตายเถอะ.....ทำไมพี่หล่อเอ็กซ์แบบนี้วะหุ่นก็สุดยอดเหมือนรูปปั้นเทพบุตรกรีก หน้าผมร้อนขึ้นมาทันที
ผู้ชายเปลือยท่อนบนนี่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็น ของไอ้เพื่อนเวรทั้งหลายก็เห็นกันบ่อยๆ แต่ครั้งนี้มันรู้สึกแปลกๆไปยังไงไม่รู้ ทำไมหัวใจผมถึงเต้นระรัวแบบนี้
พี่แนทหันหน้ามาทางผมเต็มตัวแล้วเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าผมในระยะไม่เกินเมตร พี่ค้าบบบบ....เล่นมายืนในระยะประชิดแบบนี้ได้ไงอ่ะ ตาพี่เค้ามองเลยไปที่กำแพงหมอนกลางเตียงแล้วอมยิ้มเล็กน้อย
“อาร์ม วันนี้เป็นไงบ้าง เหนื่อยมั้ย” ผมอึ้งเพราะไอ้ตาไม่รักดีมันดันจ้องที่หน้าท้องพี่เค้าไม่เลิก นี่....พี่จะมาถามคำถามอะไรไม่สร้างสรรค์กันตอนนี้เนี่ย ถ้าผมตอบไปว่าไม่เหนื่อยพี่จะชวนผมทำอะไรเหรอค้าบบบ
“ไม่เหนื่อย....เอ่อ...ไม่ใช่....เหนื่อยครับ” ผมก้มหน้างุดๆตอบออกไปเสียงเบาๆ ผมนั่งลุ้นว่าพี่เค้าจะพูดอะไรต่อ
“งั้นอาร์มก็นอนเถอะ แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยจัดกระเป๋า” พี่แนทตอบ ทำไมผมถึงรู้สึกใจหายวูบแบบนี้ นี่ผมอยากให้พี่เค้าตอบอย่างอื่นใช่มั้ย
ผมลอบมองเห็นพี่เค้าหยิบเสื้อกล้ามมาใส่ ตามด้วยกางเกงนอนสีครีม เอ๊ะ...ยังงี้พี่เค้าก็ไม่ได้ใส่บ๊อกเซอร์หน่ะซิ รึว่าจะใส่ตั้งแต่อยู่ในห้องน้ำหว่า พี่เค้ายังก้มๆเงยๆจัดกระเป๋า ใจผมตุ๊มตุ๊มต่อมต่อมตื่นเต้นยังไงบอกไม่ถูก
ตาจ้องเขม็งที่ก้นพี่เขาพยายามเพ่งมองว่ามีรอยขอบบ็อกเซอร์รึเปล่า แต่มองเท่าไหร่ก็ไม่เห็นรอย จนพี่เขาหันกลับมา ผมรีบล้มตัวลงนอนดึงผ้าห่มคลุมถึงคางทันที
*********************************************