อุแม่เจ้า กรกฎาคมมันมี 31 วันหรือนี่ ข้าน้อยนึกว่ามี 30 วัน เมื่อวานเลยไม่ได้มาอัพ
เสียงคนอ่านตะโกน 'อย่ามาแถเอาสีข้างเข้าถู ดูซิเลือดออกซิบๆแล้ว'
ข้าน้อยสมควรตาย ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ แต่ก็มีเหตุผลข้อนึงคือบอสกลับมาจากลาพักร้อนเมื่อวาน เลยต้องทำตัวขยันอยู่จนดึกจนดื่น จึงไม่มีเวลาแต่งนิยาย ว่าแล้วก็มาอ่านกันต่อเลยดีกว่าค่ะ*****************************************
ตอนที่ 9 แค้นนี้สิบปีก็ไม่สายผมเข้าไปแต่งตัวในห้องพี่โอม เลยมีโอกาสได้สำรวจห้องอย่างจริงๆจังๆ เพราะตั้งแต่เมื่อคืนหัวถึงหมอนก็สลบทันที (คิดดูขนาดเจ้าแพนงเนี่ยเมื่อคืนผมยังไม่เห็นมันเลย) ห้องรกใช้ได้แฮะ หยั่งงี้พาสาว (หรือหนุ่มหว่า) เข้าห้องนอนไม่ได้แน่ มองสำรวจไปเรื่อยจนไปเห็นรูปถ่ายสามใบใส่กรอบวางที่ชั้นหนังสือติดกับโต๊ะทำงาน
รูปแรกนี่เก่าเหมือนกันเกือบสิบปีเห็นจะได้ เป็นรูปถ่ายทั้งครอบครัวมีป๊าม๊า พี่เอ ผมและพี่โอม รูปที่สองเป็นรูปถ่ายพี่โอมยีนโอบไหล่ผมอยู่ รูปที่สามเป็นรูปพี่โอมถ่ายกับเพื่อนๆสี่ห้าคนและหนึ่งในนั้นเป็นไอ้โรคจิต มันยืนเอาแขนมาพาดไหล่พี่โอมด้วย โหย...ทำผมจี๊ดเลยอ่ะ
อาการหวงพี่ชายกำเริบขึ้นมาทันที แต่มามัวคิดอะไรมากไม่ได้ ผมรีบคว้าหนังสือท่องเที่ยวนิวยอร์คหมวกและกล้องใส่เป้
พอเดินออกมาจากห้องก็เห็นคนที่ไม่อยากเห็น ไอ้หมอนั่นใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์สบายๆ แต่ให้ตายเถอะทำไมมันดูหล่อขนาดนี้วะเนี้ย คนหุ่นสูงสมส่วนนี่ใส่อะไรมันก็ดูดีไปหมด ไม่เหมือนผมใส่อะไรก็ดูเหมือนเด็กมัธยมไม่มีมาดเลยจริงๆ
“อาร์ม เดี๋ยวเราไปรถไฟใต้ดินกันนะ พี่จะพาไปดูตรงที่เคยเป็นตึกเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ แล้วเราค่อยไปอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพกัน พอตกบ่ายก็ไปเดินถนนห้า ต่อด้วย Art museum ว่าแต่....น้องอาร์มมีที่ไหนอยากไปเป็นพิเศษรึเปล่า” ไอ้โรคจิตถามผม
หยึยยย......’เรา’....’น้องอาร์ม’....ฟังแล้วขนลุก แน่นอนที่มันเสแสร้งแกล้งพูดดีขนาดนี้ คงเป็นเพราะตอนนี้ยืนต่อหน้าพี่โอมนะสิ ฮึ..ทีลับหลังหล่ะเรียกเราไอ้เด็กแสบ แถมขู่เอาขู่เอา อย่างงี้ไม่แน่จริงนี่หว่า
“ที่จริง...ผมเกรงใจพี่แนทจังเลยครับเพราะพี่แนทคงไปมาหลายรอบแล้ว ผมไปเองก็ได้นะครับ” ผมเลยส่งประโยคเสแสร้งแอ็บแบ๊วกลับไป
“อาร์ม....รถไฟใต้ดินที่นี่ไม่เหมือนที่กรุงเทพนะ..บอกไว้ก่อน เดี๋ยวได้หลงกันพอดี ให้ไอ้แนทพาไปนะดีแล้ว” พี่โอมรีบบอก ไอ้นั่นก็ทำตัวเป็นขุนพลอยพยักแถมมีการพยักหน้าสนับสนุนพี่โอมประกอบการแสดง
“รึว่า....น้องอาร์มไม่อยากไปกับพี่” ดู๋....ดูดู...ไอ้โรคจิตนั่นมันแกล้งดักคอผมต่อหน้าพี่โอม แถมทำหน้าตาใสซื่อใส่ผมกับพี่โอม
ผมเหมือนน้ำท่วมปากไปต่อไม่ถูกแล้วครับ
ในที่สุด ผมก็จำใจเดินตามไอ้โรคจิตไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่เรียกว่า PATH ที่สถานีตรงหน้าอพาร์ทเมนท์ PATH นี่เป็นรถไฟที่เชื่อมการเดินทางระหว่างนิวเจอร์ซีกับแมนฮัตตันครับ จุดหมายปลายทางของพวกเราอยู่ที่สถานีเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ในแมนฮัตตัน สถานีนี้เพิ่งบูรณะใหม่หลังตึกเวิล์ดเทรดถล่มเมื่อ 9/11 เลยดูยังใหม่อยู่มาก
มาถึงสถานีนี้เนี่ย...คนมหาศาลเลยครับ พอก้าวขาออกจากรถไฟปุ๊บ ไอ้พี่แนทก็เอามือมาจับมือผมปั๊บ พาจูงเดินขึ้นบันไดเลื่อนของสถานี ผมพยายามบิดมือแกะออกแต่มือมันยังกับคีมอ่ะแกะยังไงก็ไม่ออก แถมมันยังส่งสายตาตวัดปล๊าบมาเหมือนบอกว่า....ถ้าขืนมึงเรื่องมากงานนี้มีการเจ็บตัวแน่ ผมได้แต่ทำหน้าหงิกงอบูดบึ้ง อารมณ์ไม่จอยแล้วครับ
“ไม่ต้องมาทำหน้าหงิกหน้างอจนปากเชิดแบบนี้เลยนะเรา เดี๋ยวถ้าหลงแล้วจะทำยังไง”
นี่เห็นตูเป็นไรฟะ ตูไม่ใช่เด็กอนุบาลนะเฟ้ย ทำไมต้องมาจูงด้วย
“อยากจูงก็เชิญ แต่ผมจะคิดซะว่า ‘ชีวิตฉันมีแต่หมานำไป จะเดินหนใดมีหมานำ’ ละกัน”
“ฮึ....ปากดีให้มันได้ตลอดเหอะ พี่ยังไม่อยากเห็นเด็กร้องไห้ขี้มูกโป่ง ยิ่งถ้าเป็นบางคนแถวนี้เนี่ย....ถ้าหลงไป คงมีคนจับไปทำปู้ยี่ปู้ยำแน่ ขึ้เกียจหาน้องใช้คืนไอ้โอม”
ย้ากกก....มีขู่เหรอ...เชื่อตายหล่ะ ผมไม่ได้เป็นเด็กอมมือนะถึงจะมาหลอกกันง่ายๆ ว่าแต่ว่า....มือที่จับอยู่นี่มันก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นดีเหมือนกันแฮะ แต่ทำไม....ผมถึงรู้สึกร้อนๆที่หน้าด้วยอ่ะ
ยังไม่ทันจะตอบโต้กลับไปพวกเราก็เดินถึงทางออกจากสถานี มองไปด้านขวาเห็นพื้นที่เป็นแอ่งขนาดใหญ่ลึกลงไปจากพื้นดินซึ่งคงเคยเป็นบริเวณตึกที่ถล่มมาก่อน มีการก่อสร้างอยู่ล้อมรอบด้วยรั้วตาข่าย เดินต่อไปหนึ่งบล็อคถนน ก็เห็นอนุสาวรีย์เวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์โกลบ ซึ่งเค้าเอาเศษซากจากตึกที่ถล่มมาต่อเชื่อมเข้ากันเป็นรูปโลกเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เหตุการณ์ 9/11 เห็นแล้วผมก็ได้แต่สะท้อนใจว่า ทำไมคนเราถึงได้แก้แค้นกันโดยเอาชีวิตคนเป็นเดิมพันเหมือนเป็นของเล่นขนาดนี้ ที่จริงศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี
แต่มันผิดที่คนต่างหากที่ตีความนำมาใช้หาประโยชน์เข้าตัว
ระหว่างนี้ผมก็ถ่ายรูปเก็บไปตลอดทาง คนเยอะมากจริงๆ แต่ดีที่อากาศกำลังสบายๆไม่ร้อนเกินไป เดินลงใต้ไปเรื่อยๆจนถึงท่าเรือเพื่อขึ้นเรือข้ามไปอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ เห็นคนต่อแถวรอขึ้นเรือแล้วแทบเป็นลม ทำไมคนเป็นแสนอย่างงี้ฟะ นี่ขนาดวันธรรมดานะเนี่ยแถมเสียเงินนะครับไม่ใช่ขึ้นฟรี แต่เอาไงเอากันวะ....มาถึงแล้วก็ต้องขึ้น มันเป็นไฟล์ทบังคับที่ทุกคนที่มานิวยอร์คต้องไป เหมือนคนไปเชียงใหม่แล้วต้องขึ้นดอยสุเทพ คนไปเชียงรายตัองขึ้นดอยตุง คนไปศรีษะเกษต้องขึ้นเขาพระวิหาร ไม่งั้นมันเหมือนไปไม่ถึง
ระหว่างยืนต่อแถวรอ ผมไม่รู้จะทำอะไรก็ถ่ายรูปมันไปเรื่อยเพราะไม่อยากคุยกับใครบางคน กำลังถ่ายเพลินๆ เอ๊ะ...ทำไมภาพมันมืดอย่างงี้หว่า เงยขึ้นมองก็เห็นมือใครบางคนปิดเลนส์กล้องอยู่ หันไปมองจะด่าซักหน่อยก็ต้องชะงัก เพราะไอ้โรคจิตมันยืนอยู่ด้านหลังผมแล้วเอามืออ้อมมาปิดกล้อง อ๊ากกกก....มันทำอะไรของมันเนี่ย
“นี่จะถ่ายให้ได้โล่ห์เลยรึไง เห็นถ่ายไปเป็นร้อยแล้วมั้งเนี่ย”
แล้วจะทำไม...ยุ่งอะไรด้วยฟะ กล้องก็กล้องตู ไม่ใช่กล้องมึงซักหน่อย ผมเอี้ยวตัวหันไปมอง ไอ้โรคจิตมันคงเห็นผมทำคิ้วขมวดใส่เลยพูดต่อ
“แล้วไม่คิดจะถ่ายคนพามามั่งเหรอ เห็นถ่ายแต่สถานที่”
มันจะมาไม้ไหนกับตูวะ แถมพูดจาไม่สร้างสรรค์อีก แล้วนี่...ช่วยขยับออกไปหน่อยได้มั้ย ที่ออกจะกว้าง ทำไมต้องมายืนเหมือนโอบอยู่ด้านหลังอย่างงี้ด้วย
“แล้วมันหนักส่วนไหนของพี่ไม่ทราบ กล้องก็กล้องผม ผมจะถ่ายอะไรหรือถ่ายใครมันก็เรื่องของผม” ผมตอกกลับ
“นี่....พูดจาให้มันน่ารักสมตัวหน่อย นี่แหละน้า..คนเรา อุตส่าห์พามาเที่ยว ทำคุณบูชาโทษจริงๆเลย”
อะไรนะ...ผมฟังไม่ผิดใช่มั้ย ไอ้โรคจิตมันบอกว่าผมน่ารัก อ๊ากกก....ไม่ยอม
นี่มันสายตาสั้นรึเปล่าหรือจอประสาทรับภาพเสื่อม อย่างผมนะเค้าเรียกว่าหล่อเฟ้ยไม่ใช่น่ารัก ขนาดไอ้แมนดี้ยังบอกว่าหน้าผมนะเอพลัส
“พี่...เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า ผมไม่ได้ขอให้พี่พาเที่ยวนะครับ พี่อาสาเองนะ”
ฮึ....ต่อหน้าพี่โอมทำเป็นพูดดี บอกว่าไม่เป็นไรไม่ต้องเกรงใจ นี่มันเสแสร้งตีสองหน้านี่หว่า
“โถ่....ถ้าไม่เห็นเป็นน้องไอ้โอมนะ อย่าหวังเลยว่าจะพาไปไหน”
ก็ใช่สิ... พี่หน่ะ...ต้องเกรงใจพี่โอมอยู่แล้ว ออกจะสนิทแนบแน่นท้องชนตูดขนาดนั้น อีกอย่างถ้าไม่เอาใจตูทำดีกับตูละก้อ...อย่าหวังเลยว่าจะได้เป็นพี่เขย รู้จักรึเปล่า love me love my dog (แต่ผมไม่ใช่ dog นะครับ แค่เปรียบเทียบเฉยๆ) นี่ถือว่าอยู่ในช่วงทดลองงานให้โอกาสสามเดือน ถ้าไม่ผ่านช่วงนี้อย่าหวังเลยว่าจะได้เทิร์นโปรมาเกี่ยวดองเป็นญาติกัน
แล้วก็เสร็จสิ้นการทัวร์สาวน้อยเทพีเสรีภาพ พวกผมเดินขึ้นจากท่าเรือมุ่งตรงไปวอลสตรีท ไปถ่ายรูปกับรูปปั้นวัวกระทิง (Charging Bull) ตัวใหญ่ตั้งอยู่เกาะกลางถนนซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของวอลสตรีท มีกรุ๊ปทัวร์จีนมะรุมมะตุ้มถ่ายกันเต็มไปหมด แถมบางคนแทนที่จะถ่ายด้านหน้ารูปปั้น ดันไปถ่ายก้นวัวแถมจับไข่พะโล้สองใบด้วย สังเกตว่าคนคงจับตรงนั้นบ่อยจริงๆเพราะไข่ของวัวมันแวววาวเลยครับ
(โปรดพิจารณารูปประกอบเพื่อความกระจ่าง)
คราวนี้ก็ลงสถานีรถไฟเพื่อไปตึกเอ็มไพร์เสตรท ไอ้พี่แนทมันเอาอีกแล้วครับจับมือผมจูงอีกแล้ว อยากจะกระโดดงับคอจริงๆเลย แต่พอลงไปในสถานีนี่ผมแทบเป็นลม มันช่างต่างจากสถานี PATH ในนิวเจอร์ซีจริงๆ คนแน่นไปหมด แถมสกปรกมากครับ อากาศก็ทั้งอับทั้งร้อน ทำให้หายใจไม่ค่อยออก ถ้าคนเป็นโรคทางเดินหายใจนี่มีสิทธิแย่ได้เลย เส้นทางเดินรถไฟก็มีหลายสายเยอะแยะไปหมดจนเวียนหัว
อย่างที่พี่โอมบอกจริงๆ ถ้าผมมาเองคนเดียวต้องหลงแน่ๆ
เห็นแล้วก็อดนึกเปรียบเทียบกับรถไฟฟ้าใต้ดินบ้านเราไม่ได้ ของเรานี่ถือว่าสะอาดสุดยอดโดยเฉพาะเทียบกับที่นี่ แถมมีแอร์เย็นสบาย มีกระจกกั้นระหว่างชานชลากับรางรถไฟ แต่ผมก็ไม่ทราบว่าเพราะของเราเพิ่งเปิดใช้มาไม่กี่ปีรึเปล่าแถมคนก็ใช้น้อยกว่ามันจึงยังสะอาดอยู่ ถ้าผ่านไปซักสามสี่สิบปีเหมือนของที่นี่ ของเราอาจจะสกปรกกว่าก็ได้
ขึ้นมาจากสถานีก็ไปดูตึกเอ็มไพร์เสตทที่เราๆท่านๆเคยเห็นในหนังบ่อยๆ ดูเสร็จก็กินข้าวกลางวันตอนบ่ายสอง ไอ้พี่แนทกางแผนที่แล้วชึ้ว่าน่าจะเดินไปจนถึง Central Park ไปจบที่ Metropolitan Museum of Art เอาวะ...เดินก็เดิน ดูจากแผนที่เหมือนไม่ไกลเท่าไหร่ (ประมาณห้าสิบบล็อคถนนนี่นะไม่ไกล) แถมประหยัดตังค์ไปหลาย
เดินตอนแรกๆมันก็ดีอ่ะครับ ได้เดินย่อยอาหารดูถนนหนทางร้านค้าบนถนนห้าไปเรื่อยๆ มองคนรอบตัวก็เพลินดีเหมือนกัน ผมสังเกตคนที่นี่เน้นเดินเป็นหลัก คนเดินบนทางเท้ายั้วเยี้ยเต็มไปหมดแถมเดินแบบรีบเร่งด้วย ผู้ชายก็แต่งตัวชุดทำงานใส่สูท ผู้หญิงก็ใส่เดรสสวยงาม หุ่นดีๆกันทั้งนั้น เหมือนฉากในหนังฮอลลีวูดยังไงยังงั้น
เดินมาเรื่อยๆผ่านร้านขายเสื้อผ้ายี่ห้อหนึ่งที่เน้นเสื้อผ้าวัยรุ่นชายและหญิง (Aber…) เค้ามีวิธีเรียกลูกค้าที่น่าสนใจมากโดยเฉพาะลูกค้าชาย (เกย์) และหญิง โดยเค้าจัดชายหนุ่มหล่อใส่แต่กางเกงยีนส์ไม่ใส่เสื้อเพื่อโชว์กล้ามอกเป็นมัดๆและซิกแพ็คยืนหน้าร้าน ประกบสองข้างด้วยหญิงสาวสวยใส่กระโปรงสั้นมากกับเสื้อสายเดี่ยวรัดอกอวบอิ่ม
ยืนยิ้มตบมือประกอบเพลงเร้าใจที่เปิดดังสนั่นจากในร้าน พอมองเข้าไป โหยยย....คนยังกับมดเหมือนแจกฟรี นี่ถ้าเมืองไทยเอาไปใช้บ้างคงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า กำลังคิดอยู่เพลินๆไอ้พี่แนทก็สะกิด
"ว่าไง....ไอ้เด็กแสบ จะเข้าไปซื้ออะไรรึเปล่า เห็นมองจนน้ำลายจะหยดอยู่แล้ว”
พี่ครับ.....ถ้าพี่ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าพี่เป็นใบ้หรอกครับ ผมขออยู่สงบๆพักสมองมองภาพสวยๆงามๆไม่ได้เลยรึไง ผมสะบัดหน้าไม่ตอบ
แล้วรีบเดินต่อ แต่หูดีดันได้ยินเสียงไอ้โรคจิตนั่นหัวเราะ หึ...หึ
ในที่สุดก็ถึงด้านหนึ่งของ Central Park ที่นี่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่สุดในแมนฮัตตัน ใหญ่จริงๆครับมีทะเลสาบขนาดในสวนด้วยดูร่มรื่นมาก ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าท่ามกลางเมืองใหญ่ติดอันดับโลกอย่างนี้จะมีสวนร่มรื่นขนาดใหญ่อยู่ใจกลางเมือง ตามทางเท้าด้านนอกมีแผงขายของที่ระลึกกับภาพวาดตั้งอยู่เป็นระยะๆ มีบางคนก็แต่งตัวเป็นเทพีเสรีภาพมายืนแสดงเปิดหมวกหารายได้ ถึงตอนนี้อากาศเริ่มร้อนมากแต่ยังไม่มีวี่แววจะถึงมิวเซียมซะที หน้าผมชักบ่งบอกอารมณ์ไม่ดีแล้วครับก็มันทั้งร้อนทั้งเหนื่อยทั้งเมื่อย
“นี่พี่อีกไกลรึเปล่า ทำไมไม่ถึงซะทีอ่ะ”
“ใกล้แล้ว อะไร....เดินแค่นี้ทำเป็นไม่ไหวแล้วเหรอ” โอเค....ไม่บ่นก็ได้วะ
เดินกันมาอีกยี่สิบบล็อคถนนก็เห็นหลังคาตึกมิวเซียมอยู่รำไร ย่างเท้าเข้าตึกปั๊บได้ยินเสียงประกาศปุ๊บ
“Museum will be closed in 15 minutes”
ผมหันไปมองหน้าไอ้พี่แนทตาขวางเลย อยากจะกระโดดถีบสกายคิ๊กแถมด้วยฟิกเกอร์โฟร์เฮดล็อค :เตะ1: :เตะ1: ไอ้พี่เวรรรร...หลอกให้เราเดินมาตั้งไกลตั้งห้าสิบบล็อค เพื่อมาดูประตูกับเสาหน้ามิวเซียมรึไงวะ จำไว้....แค้นนี้สิบปีก็ไม่สาย
*********************************************
ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้คะ ขอให้ติดตามต่อไปเรื่อยๆนะคะ