ตอนที่ 6 Keep your friends close, Keep your enemies closerเอากระเป๋าเข้าท้ายรถเสร็จ ผมก็เดินไปกำลังเปิดประตูรถด้านซ้าย แต่แป่ววว.....ผมลืมไปว่ารถอเมริกานี่ ที่นั่งคนขับอยู่ด้านซ้าย ผมซึ่งเป็นผู้โดยสารควรจะต้องไปนั่งด้านขวา หน้าแตกเลยเรา พี่แนทเค้าก็อมยิ้ม หัวเราะหึ....หึ แบบพยายามกลั้นเสียง
ผมเดินหน้าเชิดคอตั้งอ้อมไปด้านขวา คิดในใจ โถ่....ใครมันจะไปตรัสรู้ว่ะ สี่ตีนยังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง แล้วผมก็คนธรรมดาถึงจะหล่อดูดีมีชาติตระกูลก็เถอะ มันก็พลาดกันได้
พอเปิดประตูรถแค่นั้นแหละ แทบเป็นลม ทำไมมันถึงรกขนาดนี้ บนเบาะข้างคนขับมีกองกระดาษวางระเกะระกะ มีถ้วยโฟมซึ่งคงเคยมีบะหมี่สำเร็จรูปอยู่ในนั้นวางปนอยู่ แถมมีถ้วยกาแฟสตาร์บัคที่เห็นแต่คราบกาแฟแห้งกรังวางซ้อนในถ้วยโฟม ยังมีเศษเปลือกห่อลูกอมอีกหลายชิ้นวางปนอยู่ ส่วนที่เบาะนั่งด้านหลังก็มีแต่กองตำราหนังสือพร้อมเศษกระดาษวางเต็มไปหมด นี่ถ้ามีงูเงี้ยวขี้ยวขอหลบซ่อนอยู่ในรถผมจะไม่แปลกใจเลยจริงๆ
ผมเงยหน้ามองข้ามหลังคาไปหาพี่แนททันที พร้อมส่งสายตาแสดงความฉงนแกมต่อว่าไปให้ คิดในใจ...พี่แกก็ดูมาดเนี้ยบ การแต่งตัวก็สะอาดสะอ้าน ทำไมปล่อยให้รถเป็นกองขยะซกมกอย่างงี้วะ นี่แหละน้าคนเรา...ดูแต่รูปกายภายนอกไม่ได้เลยจริงๆ อย่าให้ภาพมายามาหลอกเราได้
พี่แกรีบบอกทันที “ไม่ต้องมามองอย่างงั้นเลยนะ นี่รถไอ้โอมไม่ใช่รถพี่ มันนั่ง subway ไปมหาลัย เลยให้เอารถมันมารับเราไง”
โห....พี่โอมของผม ทำไมถึงได้ซกมกขนาดนี้ ต้องโทรฟ้องแม่ซะหน่อยแล้ว เอ...อย่างงี้แสดงว่าพี่โอมยังไม่มีแฟนแน่ๆ เพราะถ้ามีคงไม่ปล่อยให้รถมีสภาพเป็นสุสานขยะแบบนี้แน่ๆ แต่ทำไมพี่โอมหรือพี่แนทไม่ทำความสะอาดเสียหน่อยก่อนมารับผมนะ รู้ก็รู้อยู่ว่าผมจะมา
ว่าแล้วผมใช้นิ้วค่อยๆคีบถ้วยโฟมและกระดาษต่างๆอย่างเชื่องช้า ไปวางกองสุมที่เบาะด้านหลัง แล้วเอาตัวเองยัดลงเบาะหน้าข้างคนขับ พี่แนทก็มองผมตาขวางกับท่าทางของผมที่ค่อยๆคีบสิ่งของต่างๆอย่างช้าๆ
“นี่เรา...ถ้ารังเกียจมาก พรุ่งนี้ก็ทำความสะอาดล้างรถให้ไอ้โอมสิ มาทำความเดือดร้อนให้คนอื่นแล้วยังไม่สำนึกอีก”
โอ้ยยย.. ผมควันออกหูเลยครับ ได้แต่นั่งแค้นด่าว่าพี่เค้าในใจ
แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะตอนนี้เหมือนลูกไก่ในกำมือพี่เค้า จะบีบก็ตายจะคายก็รอด ถ้าพี่เค้าถีบผมลงจากรถตอนนี้ผมตายแน่ กระเป๋าเดินทางเอย เป้เอยก็อยู่ท้ายรถหมดแล้วด้วย
ถอน...ถอนให้หมด ขอถอนความคิดก่อนหน้านี้ที่ว่าพี่เค้าหล่อดูดี คนอะไรปากสุนัขชะมัด ทำไมพี่โอมถึงมีแต่เพื่อนปากร้ายอย่างไอ้โรคจิตวัยทองรูมเมทนั่นคนนึง แล้วยังมาพี่แนทอีก ผมคงทำหน้าตาบอกบุญไม่รับ แถมทำตาประหลักประเหลือกแถมให้อีก พี่แกเลยว่าต่อ
“เด็กอะไรเอาแต่ใจ....ไม่มีการวางแผนในการเดินทางไกล นึกอยากมาก็มา เหมือนเล่นขายของ เหมือนอยากมาเพื่อให้ได้ชื่อว่ามาต่างประเทศแล้ว ไม่ได้รู้หรอกว่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนขนาดไหน”
พี่ครับ...ผมอยากจะกระโดดถีบพี่มากเลยครับ :เตะ1: :เตะ1: แต่ผมต้องอดใจไว้ก่อน ได้แต่นั่งนับหนึ่งถึงร้อย ท่องพุทธโธ หายใจเข้าพุทธ หายใจออกโธ หายใจเข้าพุทธ หายใจออกโธ แต่ไม่ไหวแล้วครับ หายใจเข้าจนจะระเบิดแล้ว ไม่ธงไม่โธมันแล้ว เส้นความอดทนมันขาดผึง
“มันเหตุสุดวิสัยนะพี่ ผมก็ไม่ได้อยากให้พี่มารับหรอก ถ้าไม่มีพายุเข้าที่โตเกียว ผมก็ถึงตั้งแต่เมื่อวานและคงเป็นพี่โอมที่ต้องมารับผม ไม่ใช่พี่!!!!” ท้ายประโยคผมกระแทกเสียงดังใส่ มันทนไม่ไหวแล้วครับ พี่โอมอยู่ไหนมาช่วยผมที
“นี่....เด็กอะไรไม่มีมารยาท คราวที่แล้วก็ทีนึงละ โทรศัพท์มาไม่พูดไม่จาก็มากระแทกหูโทรศัพท์ใส่คนอื่น นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นน้องไอ้โอมนะ จะปล่อยลงมันข้างทางนี่แหละ”
ผมหันหน้าพรืดไปหาพี่เค้าทันที หา.....อย่าบอกนะว่าไอ้โรคจิตวัยทองนั่นคือพี่แนท มิน่าถึงว่าเสียงมันคุ้นๆตั้งแต่แรก
“อ้าวววลุง...จะมาปล่อยผมลงกลางทางได้ไง นี่พึ่งรู้ว่าลุงคือไอ้โรคจิตวัยทองนั่นที่ด่าผมซะไม่มีดี มิน่าถึงว่าเสียงคุ้นๆ นี่ลุง....ลุงเข้าวัยทองฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงรึไงถึงได้หงุดหงิดงุ่นง่าน หรือแฟนไม่ให้อึ๊บมาหลายเดือนถึงอารมณ์เสีย แต่อย่างว่าอ่ะนะ ปากแบบนี้คงหาสาวมาเป็นแฟนไม่ได้” สะใจมากเลยครับได้ตอกกลับซะบ้าง ว่ามันเป็นลุงซะเลย อยากมาว่าผมเป็นเด็กดีนัก
“ว่าไงนะ!!!! ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม จะมากไปแล้วนะ หาว่าเป็นลุงเหรอ หาว่าเป็นไอ้โรคจิตวัยทองเหรอ?!!?” หน้าตาพี่เค้าถมึงทึงหน้ากลัวมากเลยครับ เค้าจะบีบคอฆ่าผมหมกข้างทางรึเปล่าเนี้ย
“ผมไม่ใช่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนะ ผมขอบอกลุงไว้ก่อนนะว่า ผมไม่ได้มาแบบไม่วางแผนอะไรเลยและผมก็ไม่ได้มาอเมริกาเพราะแค่อยากชุบตัวอย่างที่ลุงว่า!!” สงสัยชาตินี้ผมกับไอ้พี่แนทไม่มีทางญาติดีกันแน่ๆ
[I used to rule the world
Seas would rise when I gave the word
Now in the morning I sleep alone
Sweep the streets I used to own]
เสียงโทรศัพท์ของพี่แนทดังขึ้น เฮ้อ.....ช่วยต่อชีวิตผมไปอีกสักระยะ เพลง Viva la Vida ของ Coldplay ซะด้วย ทันสมัยเหมือนกันแฮะ
“Hello”
“...........” มีเหลือบตามองผมด้วยครับ
“Hmmm…..He is here. I’m driving.”
“...........”
“I’ll be there in 40 minutes. See you.”
ใช่แล้วครับ ไอ้สำเนียงพูดอังกฤษอเมริกันจ๋านี่ผมจำได้แม่นและแน่ใจล้านเปอร์เซนต์ว่า...มันเป็นเสียงเดียวกับไอ้โรคจิตนั่น พี่เค้าวางโทรศัพท์แล้วไม่คุยกับผมอีกเลยครับ เราสองคนก็นั่งเงียบคุมเชิงกันอยู่ ไม่มีใครส่งเสียงอะไรออกมาก่อน มีแต่เสียงเพลงจากวิทยุเปิดคลออยู่
ผมนึกถึงที่พี่โอมบอกว่าจะให้โรคจิตรูมเมทนั่นพาผมเที่ยว นี่...หมายความว่าผมต้องไปเที่ยวกับไอ้พี่แนทใช่มั้ย แล้ววันนั้นทำไมตอนพี่เค้ารับโทรศัพท์ถึงบอกว่าชื่อ Simon แต่ทำไมชื่อเล่นถึงชื่อแนท แล้วทำไมเวลาคุยกับพี่โอมต้องคุยภาษาอังกฤษกันด้วย มีแต่คำถามทำไมและทำไม ผมสะบัดหัวไปมา
โอ้ยย...คิดจนหัวแทบระเบิดแล้ว แต่คิดไม่ออกว่าจะทำยังไงจะได้ไม่ต้องไปเที่ยวกับไอ้โรคจิตนี่
คิดถึงตรงนี้รถก็หยุดหน้าตึกสูงตึกหนึ่งน่าจะเป็นอพาร์ทเมนท์ของพี่โอม โห...ดูหรูดูดีกว่าที่คิดแฮะ มองสำรวจไปรอบๆ หน้าอพาร์ทเมนท์มี สวนหย่อมเล็กๆ ส่วนใต้ตึกชั้นล่างสุดมีร้านไอศกรีมน่ารักๆอยู่หนึ่งร้าน มองไปฝั่งตรงข้ามมีตึกสูงอีกหลายตึกลักษณะคล้ายๆกัน คงเป็นอพาร์ทเมนท์คอมเพล็กซ์ ชั้นล่างของทุกตึกจะมีร้านค้าต่างๆ ทั้งร้านสตาร์บัคส์ ร้าน Block Buster บางตึกก็มีร้านอาหารญี่ปุ่น อืม......ใช้ได้ๆ เยื้องไปอีกด้านเห็นป้ายสถานีรถไฟฟ้าอยู่ ยังงี้ก็หวานหมูสิ สถานีรถไฟอยู่หน้าอพาร์ทเมนท์แบบนี้
“นั่งเหม่ออะไรอยู่ล่ะ เอากระเป๋าลงได้แล้ว!! พี่จะเอารถไปจอด รออยู่ตรงเคาท์เตอร์ชั้นล่างก่อน เดี๋ยวค่อยขึ้นไปพร้อมกัน” เสียงเข้มมาเลยครับ คงยังอารมณ์บ่จอยอยู่ เหมือนผู้หญิงวัยทองเลยแฮะ
ตอนนี้ก็ประมาณห้าโมงเย็นแล้วครับ ผมเอากระเป๋าลงจากรถ รอสักพักพี่เค้าก็มา เราขึ้นไปบนห้องกัน ห้องอยู่ชั้นที่ยี่สิบจากทั้งหมดยี่สิบแปดชั้น ตอนอยู่ในลิฟท์ พี่เค้าจ้องผมเขม็งแล้วพูดว่า
“ไอ้เด็กแสบ ระวังไว้เหอะ....เรายังต้องอยู่ด้วยกันอีกหลายวัน แล้วจะต้องเสียใจที่ว่าพี่เป็นไอ้โรคจิต หึ....หึ.....” นี่มันเป็นการประกาศสงครามอย่างชัดเจนใช่ไหมเนี่ย ผมจะเหลือครบสามสิบสองกลับไปหาม๊ากับป๊ามั้ยครับ
พอเข้าไปในห้องปุ๊บ พี่โอมเดินมากอดผมเลยครับ
“อาร์มคิดถึงพี่โอมจังเลย” ผมเอาหน้าซุกอกพี่โอม เพราะพี่เค้าตัวสูงกว่าผมเยอะ น่าจะประมาณ 185 เซ็นต์ได้ พี่โอมลูบหัวผมเบาๆ ตาผมรื้นๆน้ำตาปริ่มขอบตา แต่ต้องพยายามกลั้นไว้ กลัวไอ้โรคจิตนั่นเห็น ผมเงยหน้ามองพี่โอม ไม่ไหวแล้วครับทั้งเหนื่อยทั้งง่วงทั้งเครียดเพราะไอ้ลุงโรคจิตนั่น น้ำตาร่วงแล้วครับ
“หืม.....เป็นไงไปล่ะเรา ทำไมขี้แยเหมือนเด็กๆจัง” พี่โอมขยี้หัวผม แล้วเอานิ้วเกลี่ยน้ำตาให้ ผมไม่ตอบอะไรได้แต่ส่ายหัวไปมา ถึงผมกับพี่จะอายุห่างกันสิบปี แต่ผมก็สนิทกับพี่โอมมาก มาช่วงหลังนี่แหละที่พี่มาเรียนที่อเมริกา ทำให้เราห่างกันไปเล็กน้อย แต่ผมก็คุยเว็ปแคมกับพี่ตลอด
กอดกันซักพัก น้ำตาผมก็หยุด ผมเดินไปเปิดกระเป๋า แล้วค้นเอาทั้งหนังสือนิยายจีนและวีซีดีให้พี่โอม รวมถึงพวกอาหารไทยที่แม่ฝากมาหลายกระปุก ถึงตอนนี้ไอ้พี่แนทเห็นผมรื้อหนังสือนิยายหลายเล่ม เค้าคงรู้แล้วว่าทำไมกระเป๋าผมถึงได้หนักนัก
“อ่ะนี่พี่โอม นิยายจีนที่พี่อยากได้ ส่วนนี่ก็อาหารไทยที่ม๊าฝากมา”
“โห.....เยอะจัง อาร์มขอบใจมากนะที่อุตส่าห์ขนมาให้พี่ อาร์มหิวรึยัง ไปหาอะไรกินกันดีกว่า อยากกินอาหารประเภทไหนหล่ะ เฮ้ยแนทไปกินด้วยกัน” พี่ผมตอนนี้อารมณ์ดีสุดๆครับ หลังจากเห็นบรรดาของฝากทั้งหลาย
“ตามสบายไปกินกันประสาพี่น้องเถอะ พอดีมีนัดกินกับเพื่อนหว่ะ”
“แหม....ไอ้นี่กินกับเพื่อนแน่หรือวะ” พี่แนทไม่ตอบอะไรได้แต่ยักคิ้วหัวเราะ หึ...หึ น่าหมั่นไส้จริงๆ แต่ผมจะไปหมั่นไส้พี่เค้าทำไมเนี้ย
“อาร์มอยากกินอาหารญี่ปุ่นครับ เมื่อกี้เห็นอยู่ใต้ตึกใกล้ๆนี้”
“อืม....ก็ดี ไปกันเหอะ ช้าเดี๋ยวคนเยอะ เออ...เดี๋ยวกินเสร็จอย่าลืมโทรไปหาม๊าหล่ะ จะได้ไม่เป็นห่วง”
*************************************************************
หลังจากมื้อเย็นวันนี้ ผมได้เก็บข้อมูลของไอ้โรคจิตพี่แนทมาเพียบ ถือคติของท่านซุนวู ‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’
ไอ้พี่แนทอายุเท่าพี่ผมคือ 31 ปี (ผมอายุ 21 ปี พอดีผมเรียนเร็วกว่าเกณฑ์ตอนเด็กๆ ทำให้ผมอายุน้อยกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันหนึ่งปี) เป็นเพื่อนกับพี่โอมตั้งแต่ม.ต้นยันม.ปลาย มาห่างกันตอนเข้ามหาลัย
พี่แนทเป็นลูกครึ่งครับเกิดที่นี่ พ่อเป็นคนอเมริกันเป็นหมอทำงานเกี่ยวกับโรคเอดส์ที่เมืองไทย แม่เป็นคนไทยเป็นครู ครอบครัวแกย้ายไปเมืองไทยตอนแกอายุซักแปดปี ตอนนี้ทั้งพ่อและแม่อยู่เมืองไทย ส่วนพี่แนทพอจบหมอที่เมืองไทย ใช้ทุนไปได้หนึ่งปีก็ทนระบบราชการไทยไม่ไหว เลยลาออกใช้เป็นเงินแทน แล้วบินมาเรียนต่อหมอเด็กและหมอทารกแรกเกิดที่นี่
พอดีพี่แกเป็น US citizen แถมภาษาก็ดีเรียนก็เก่งด้วย การเข้ามาเรียนต่อที่นี่จึงไม่ยุ่งยากนัก แต่ก็ต้องสอบผ่านข้อสอบของหมออเมริกาก่อนเข้าเรียนนะครับที่เรียกว่า USMLE (United States Medical Licensing Examination) แต่ให้ตายเถอะโรบิน.....ผมนึกภาพไม่ออกจริงๆครับว่าตอนแกตรวจเด็กแรกเกิดมันจะเป็นยังไง มือออกจะใหญ่ยังกับใบพายขนาดนั้น จับเด็กทีเด็กคงคอหักตายคามือ
ตอนนี้พี่แนทเป็นสต๊าฟหมอทารกแรกเกิดที่ New York-Presbyterian University, Hospital of Columbia and Cornell โรงพยาบาลนี้อยู่ในเกาะแมนฮัตตัน มีชื่อเสียงติดท็อปไฟว์ของอเมริกาเรื่องสาขาทารกแรกเกิดด้วย
อพาร์ทเมนท์ที่อยู่นี่ก็ของพี่แกครับ ส่วนพี่โอมมาขอเช่าเพราะมันมีสองห้องนอนสองห้องน้ำ พี่แนทก็คิดค่าเช่าแบบถูกมากให้พี่โอมถ้าเทียบกับความหรูของอพาร์ทเมนท์แล้ว ไว้เดี๋ยววันหลังผมจะบรรยายลักษณะและที่ตั้งของอพาร์ทเมนท์ให้ฟัง
ส่วนเรื่องที่ว่าแกชื่อ Simon แล้วทำไมมีชื่อเล่นว่าแนทนี่ก็มีที่มาครับ ชื่อเต็มๆพี่แกคือ
‘Simon Nathan Wright’ ซึ่งจริงๆแล้วชื่อไทยแกคือ
‘สิมันต์’ (โห...เท่ห์ซะไม่มีอ่ะ) พอสะกดเป็นอังกฤษมันก็กลายเป็น Simon แต่พวกเพื่อนฝรั่งนี่ออกเสียงสิมันต์ไม่ได้หรอกครับ พี่แกก็เลยต้องยอมเรียกตัวเองว่า ‘ไซม่อน’ ส่วนชื่อกลางแกคือ Nathan ซึ่งฝรั่งทั่วไปทื่ชื่อ Nathan หรือ Nathaniel จะมีชื่อย่อที่ใช้เรียกกันคือ ‘Nat (แนท)’ เหมือนๆกับชื่อฝรั่งอื่นๆอย่างเช่น ถ้าชื่อ Angelina ก็จะเรียกย่อว่า Angie ถ้าชื่อ Kimberlie ก็จะเรียกย่อว่า Kim ถ้าชื่อ Edward ก็จะเรียกย่อว่า Eddy ด้วยเหตุนี้ ‘แนท’ จึงกลายเป็นชื่อเล่นของพี่เค้า
แล้วที่ว่าทำไมพี่แนทถึงพูดภาษาอังกฤษกับพี่โอม ก็เพราะพี่โอมขอให้แกพูดครับ พี่โอมอยากฝึกภาษา ถึงแม้พี่แกจะเรียน PhD แล้วก็ตาม แต่ถ้าไม่ฝึกพูดเอาแต่พูดภาษาไทย หรือมัวแต่สมาคมกับคนไทย ภาษาอังกฤษมันก็จะไม่ค่อยได้หรอกครับ
ถึงตอนนี้ข้อมูลของพี่แนทผมมีพร้อมเต็มร้อย ถึงแม้ผมจะต้องพักอยู่อพาร์ทเมนท์เดียวกันกับไอ้พี่แนทก็ไม่เป็นไร เพราะถือคติ
‘Keep your friends close, Keep your enemies closer’ ฮ่า........ฮ่า......ฮ่า
*******************************************
รักคนอ่านทุกคน รอคอมเมนท์อย่างใจจดใจจ่อค้า