Remedy
ยารักษาใจ
เคยรู้สึกไหมว่าชีวิตของเรามีส่วนที่แหว่งอยู่เสมอ
มันอาจจะเป็นความรู้สึกตอนที่ตื่นมาทุกเช้าแล้วไม่มีใครให้คิดถึง ตอนที่นั่งดูหนังคนเดียว ตอนที่มองออกไปนอกหน้าต่างในวันที่ฝนโปรย ตอนที่มีเรื่องตลกอยากเล่าให้ใครสักคนฟัง หรือตอนที่อยากได้มือใครมากุมไว้ขณะที่ทรมานจากอาการป่วย
เพื่อนคนหนึ่งจะปรากฏขึ้นในช่วงเวลาเหล่านี้
เพื่อนชื่อ ‘ความเหงา’ มักจะมากระซิบบอกข้างหูว่า “ถ้ามีใครสักคนอยู่ข้างๆ ตรงนี้ก็คงดี”
ผมอยู่กับเพื่อนคนนี้มาทั้งชีวิต
จนกระทั่งหน้าร้อนปีนั้น
“ครับแม่ ไม่ลืมครับ พกมาแยกอีกกระเป๋านึงแล้วครับ”
“ไอ้แป้ด! เดี๋ยวมึงยกพวกอุปกรณ์ช่างไปไว้ใต้อาคารเลยนะ”
“ครับ ฉีดวันพุธกับวันศุกร์ฮะ”
“พี่ไทด์ แล้วกลองพวกนี้ล่ะพี่”
“เดี๋ยวกูไปตามพวกสันฯ มาช่วยยกให้ ไอ้พวกนี้แม่งรถจอดปุ๊บออกมาเซลฟี่ปั๊บ อีตูน!!!!”
“อ้อไม่มีอะไรครับ เสียงรุ่นพี่น่ะครับ”
“ว่าไง๊!!!!!”
“มาช่วยยกกลองหน่อยอีดอก เร็วๆ!”
“เออเดี๋ยวไป!”
“ฮัลโหลครับ ตะกี้แม่พูดว่าอะไรนะครับ เสียงดังผมไม่ค่อยได้ยิน”
“น้องครับ อย่ายืนขวางประตูครับ เค้าขนของกัน”
“อะ...อ้อ...ขะ...ขอโทษครับ”
ผมก้มหัวปลกๆ ให้พี่ผู้ชายด้านหลังแล้วเดินหลบมุมมาอยู่ตรงส่วนหน้าของรถบัสสีแดงคันโต มือซ้ายพะรุงพะรังไปด้วยเป้และกระเป๋ายา มือขวาถือโทรศัพท์ไว้แนบหู
[เสียงดูวุ่นวายกันจัง แม่ชักไม่แน่ใจแล้วว่ามันจะปลอดภัย]
คนในสายพูดด้วยความเป็นกังวล
“แม่...ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมอยู่นี่อาทิตย์เดียวเอง”
[เอางี้ดีกว่า เดี๋ยวแม่ไปรับกลับมาเลย แม่เปลี่ยนใจแล้ว เดี๋ยวหนึ่งส่งโลเคชั่นมา...]
เสียงจริงจังของแม่ทำให้ผมต้องลอบถอนหายใจเงียบๆ ด้วยความหน่าย แม่เป็นแบบนี้อีกแล้ว...กังวลเกินไปอีกแล้ว...
[ฮัลโหลบีหนึ่ง ได้ยินแม่ไหม ทำไมเงียบ]
“ฮัลโหลครับ...”
[แม่บอกให้ส่งโลเค…]
“ฮัลโหลแม่ ไม่ได้ยินเลยครับ อยู่บนดอยอ่ะแม่สัญญาณไม่ค่อยดีเลย ฮัลโหล...ค่อก...ฮัลโหลครับ...ไม่ได้ยินเลยครับ! คิกค่อกๆๆๆ ฮัลโหล!” ผมยกมือป้องปากและแกล้งพูดติดๆ ขัดๆ ใส่โทรศัพท์มือถือ ได้ยินเสียงแม่ตะโกนออกมาก่อนที่ผมจะกลั้นใจกดตัดสายไป
เฮ้อ...ขอโทษนะครับแม่ ครั้งนี้ผมจำเป็นต้องทำจริงๆ
ผมปิดโทรศัพท์ เก็บในกระเป๋ากางเกง แบ่งสัมภาระพะรุงพะรังให้เท่ากันทั้งสองมือและกลับหลังหัน
“ทำไรอ่ะ”
รุ่นพี่หน้าโหดผมฟูคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลัง และเหมือนจะยืนอยู่มาได้...สักพัก เขาขมวดคิ้วมองผมกลับมาด้วยสายตาไม่ค่อยไว้วางใจ
“อะ...เอ่อ...” ผมก้มหน้างุดด้วยความอาย เขาต้องเห็นผมขากน้ำลายกับโทรศัพท์เมื่อกี้แน่ๆ
“น้องคนที่ไม่ผ่านจีอี*กิจกรรมป่ะ” พี่หน้าโหดถาม ผมพยักหน้าหงึกๆ
“เอ้อ หาตัวตั้งนานมาหลบอยู่นี่เอง พี่ชื่อไทด์นะ เป็นประธานค่าย ตามพี่มาเดี๋ยวจะพาไปฝาก”
พี่ไทด์รัวคำพูดใส่ผมจบปุ๊บแล้วก็เดินนำปั๊บ ผมชะงักอยู่กับที่สักพักแล้วออกเดินตาม แสงแดดเปรี้ยงตอนเที่ยงส่องตกกระทบใบหน้าทันทีที่ก้าวออกจากเงารถ ผมรู้สึกวูบเล็กๆ แต่ก็พยายามประคองตัวเองและก้าวไวๆ ให้ทันเขา จมูกได้กลิ่นฝุ่นจางๆ แม้ว่าจะสวมผ้าปิดปากครอบอยู่ก็ตาม รอบตัวขวักไขว่ไปด้วยเหล่านักศึกษาที่ช่วยกันขนของลงจากรถ ทั้งเสบียง ของนันทนาการ และอุปกรณ์การช่างที่เตรียมมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ
ปิดเทอมภาคฤดูร้อนหลังจากสิ้นสุดสถานะเฟรชชี่ปีหนึ่ง ผมพบตัวเองยืนอยู่ในที่ๆ ที่ตัวเองยังไม่คาดคิดว่าจะได้มาเหยียบ นึกไปถึงละครที่เคยดูตอนที่ตัวละครในเรื่องรวมกลุ่มกันจัดค่ายอาสาพัฒนา สงสัยว่าบรรยากาศร่มสงบแบบในละครกับเรื่องจริงมันช่างต่างกันลิบลับ เพราะแดดตอนนี้มันช่างแผดผิว อากาศตลบอบอวลไปด้วยฝุ่น และมีเสียงตะโกนข้ามหัวผมตลอดเวลา
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังยอดเยี่ยม
นี่เป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปีของผมที่ได้ออกมาไกลบ้านขนาดนี้ ถึงจะไม่เหมือนกับที่คิดแค่ไหน...มันก็ยอดเยี่ยม
‘วิทยาสานฝันปันหนังสือ ครั้งที่ 7
21-27 พฤษภาคม 255X
โรงเรียนธารอิงดาว’ ผมยิ้มบางๆ ตอนเดินผ่านป้ายผ้าที่ขึงไว้กับป้ายไม้กระดานสีฟ้าซีดของโรงเรียน พื้นที่ของธารอิงดาวถูกล้อมรอบด้วยรั้วไม้เตี้ยดูคร่ำครึ เป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านธารอิงดาว ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ใจกลางหุบเขาทางตอนใต้ของจังหวัดกาญจนบุรีอีกที การเดินทางเข้ามาที่นี่ค่อนข้างทุลักทุเล แต่กลับได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่ ‘ภูอิงดาว’ ภูเขาเตี้ยแต่วิวโคตรสวยอันโด่งดัง (ผมอ่านรีวิวเขามาอีกทีน่ะ ไม่เคยไปจริงๆ หรอก) ที่ซึ่งนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติชอบมาตั้งแคมป์กินลมชมวิวกัน รายได้ส่วนใหญ่ของชาวบ้านแถวนี้ก็ได้มาจากการเป็นไกด์นำทางและผลิตสินค้าขายให้ผู้มาเยี่ยมเยียน เหตุผลที่รุ่นพี่ตัดสินใจมาจัดค่ายที่หมู่บ้านนี้ก็น่าจะมาจากการรู้จักที่นี่เพราะเคยมาเที่ยวภูอิงดาวเช่นกัน
ใจผมเต้นแรงอยู่ในอกด้วยความตื่นเต้นขณะมองรอบๆ นี่เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่ได้ออกมาเจอคนเยอะขนาดนี้ เสียงสรวญเฮฮาดังมาจากทุกทิศทุกทาง ทุกคนกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ศาลาไม้ที่ห่างออกไปห้าสิบเมตร ซึ่งน่าจะเป็นลานอเนกประสงค์ของโรงเรียน รอบๆ ศาลามีเด็กๆ หน้าตามอมแมมและชาวบ้านชนเผ่าอีกจำนวนหนึ่งเข้ามามุงเหล่านักศึกษาจากเมืองกรุง ไกลออกไปจากศาลาเป็นอาคารเรียนสามตึกตั้งประกบกันเป็นรูปคล้ายกล่องเปิด ช่องว่างตรงกลางกล่องมีสนามฟุตบอล ฐานเสาธง และศาลาไม้นี้ตั้งอยู่ตรงกลาง
“รอนี่นะ เดี๋ยวพี่ไปคุยงานกับผู้ใหญ่บ้านแปป”
พี่ไทด์บอกแล้วทิ้งผมไว้เมื่อเรามาถึงศาลา ผมเขยิบตัวมาหลบมุมอยู่ตรงเสาต้นหนึ่ง หายใจช้าๆ เงียบๆ เพื่อคลายอาการหอบ ระยะทางจากรถกับที่นี่ไม่ไกลมากแต่สำหรับผมมันก็เหนื่อยเอาการเหมือนกัน ผมปลดสัมภาระวางกับพื้น ยกแขนขึ้นปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก มองเหล่านักศึกษาที่กำลังเตรียมของขณะที่ไม่มีใครสังเกตเห็นผมสักคน
แต่ผมชินกับมันแล้วล่ะ
ทั้งร่างกายที่อ่อนแอ และการที่ไม่มีใครเห็น
“พร้อมยังๆ อ่ะเอานะ สามสี่ มาทางเน้มาทางเน้มาทางเน้ เชิญทางเน้เชิญทางเน้เชิญทางเน้ เข้ามาๆ นี่เซ่ะ เข้ามาๆ นี่เซ่ะมาดูตรงนี้ว่ามีอะไร...”
พักเหนื่อยได้สักพัก เสียงรัวกลองและร้องเพลงก็ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ที่มาของเสียงคือพี่กะเทยร่างใหญ่ใส่แว่นคนหนึ่งที่เต้นเย้วๆ เรียกร้องความสนใจอยู่กลางศาลากับพี่ผู้หญิงอีกสามคน และพี่ผู้ชายตัวสูงผมฟูเหมือนรังนกผู้เป็นมือกลอง จำไม่ผิดพี่กะเทยน่าจะชื่อตูน เป็นหัวหน้าฝ่ายสันทนาการปีสาม ส่วนคนอื่นผมจำชื่อพวกเขาไม่ได้เลย
ทุกคนในค่ายเริ่มเคลื่อนตัวเข้าตรงกลางศาลาเป็นวงกลม อ่า...เหมือนจะมีพิธีเปิดค่ายแฮะ ผมค่อยๆ เขยิบตัวเข้าไปแทรกอยู่ด้านหลังผู้หญิงสองคนที่เหมือนจะอยู่ปีหนึ่งเหมือนกันอย่างเนียนๆ
“เอ๊าล่ะค่ะทุกคนคะ! ก็ถึงฤกษ์งามยามดีกันแล้วเนาะ!!!!” ทำไมพี่ตูนต้องเล่นใหญ่รัชดาลัยแบบนั้นผมก็ไม่เข้าใจ “ขอเชิญคุณลุงผู้ใหญ่บ้านขึ้นมากล่าวอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก่อนเปิดค่ายหน่อยค่าาาา”
เสียงปรบมือเปาะแปะ ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาในวงพร้อมกับพี่ไทด์ เขาสวมชุดผ้าม่อฮ้อมสีดำทึบอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวบ้านแถวนี้ ประดับประดาด้วยสร้อยหลากสีที่ห้อยซ้อนกันหลายชั้นรอบคอดูหนัก บนหัวมีหมวกที่เหมือนทำมาจากเขาสัตว์บางชนิดซึ่งน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของตัวผู้ใหญ่บ้านเอง
“สวัสดีครับ ผมกับชาวบ้านยินดีเป็นอย่างมากที่น้องๆ นักศึกษาทุกคนมีจิตอาสามาช่วยสร้างห้องสมุดให้กับโรงเรียน หากมีอะไรขาดตกบกพร่องหรือต้องการความช่วยเหลือบอกได้เลยนะครับ ชาวบ้านของเราไม่ค่อยได้ใช้ภาษาไทยกัน แต่เราพยายามสอนในโรงเรียนกันอยู่ ยังไงถ้าสื่อสารกันไม่เข้าใจก็มาบอกผม หรือบอกเด็กๆ ได้นะครับ”
ผู้ใหญ่บ้านกล่าว และได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่นอนที่จัดไว้ให้ และคำเตือนอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเพิงเก่าหลังตึกที่ผมได้ยินไม่ค่อยชัดนักเพราะเพื่อนผู้หญิงข้างหน้ากระซิบกระซาบและหัวเราะคิกคักใส่กัน หลังจากผู้ใหญ่บ้านพูดจบ พี่ไทด์ผู้เป็นประธานค่ายก็พูดเปิดค่ายอย่างเป็นทางการ เสียงโห่เชียร์ดังขึ้นจากฝั่งนักศึกษากับชาวบ้านราวกับตื่นเต้นที่จะได้ทำอะไรสนุกๆ
และก่อนเริ่มงานกันอย่างจริงจัง พี่ไทด์ขอให้เราทุกคนในวงกลมแนะนำตัวเองและบอกฝ่ายงานที่จะทำเพื่อบรีฟงานกันต่อไป
ผมเริ่มรู้สึกลำบากใจ เพราะเดาออกว่าก่อนหน้าการออกค่ายครั้งนี้นักศึกษากว่าห้าสิบชีวิตตรงนี้รู้จักกันเป็นอย่างดีจากการประชุม เดินกล่องเรี่ยไรเงินบริจาค และน่าจะมีการแบ่งหน้าที่กันมาหลายครั้งแล้ว
มีแค่ผมคนเดียวที่(เสนอหน้า)มาในวันจริง
ว่ากันตามตรง ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ด้วยซ้ำ
พี่ฝ่ายสันทนาการสัมภาษณ์คนในวงทีละคนจนสุดท้ายมาหยุดอยู่หน้าผม...ที่พยายามทำตัวลีบเล็กสุดชีวิตให้ไม่เป็นที่สังเกต มองข้ามไป...มองข้ามไปอย่างที่เคยทำกับผมบ่อยๆ
จึ๊กๆ
สัมผัสที่หัวไหล่ ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เจอแว่นกรอบสีฟ้าสดใสของพี่ตูนตรงหน้า ผมค่อยๆ ถอดมาส์กสีเขียวของตัวเองออก พี่ตูนผงะไปนิดหนึ่งอาจเพราะเห็นสีหน้าที่ซีดมาก(เป็นปกติ)ของผม ก่อนจะเอ่ยถาม
“น้องชื่ออะไรค้า”
“เอ่อ...”
“...?” รอคำตอบ
“บะ...บีหนึ่ง” แล้วกระซิบบอก
“หะ...ห๊า? หะ...- ีอึ่ง”
“บีหนึ่ง!!!!!” พี่สันฯ ข้างหลังแก้ เสียงหัวเราะเพราะคำพูดโฉ่งฉ่างของพี่ตูนดังขึ้นรอบวง ยิ่งทำให้ผมหน้าร้อนด้วยความอาย
"อ๋อออออ บีหนึ่งแบบในกล้วยหอมจอมซน** ใช่มะ แล้วบีสองไปไหนอ่ะน้อง"
คำถามนี้อีกแล้ว
ไม่ว่าใครในชีวิตที่ผมแนะนำชื่อตัวเองให้ฟัง ต้องมีคำถามนี้ตามมาเสมอสินะ
ผมยิ้มบางๆ แล้วตอบว่า
“ยังไม่เกิดครับ”
แล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอีกครั้งเพราะการตบมุกของผม
“เอ้อ น้องตลกดีว่ะ พี่ชอบ” พี่ตูนยิ้มร่า “แต่แปลกจังทำไมไม่ค่อยคุ้นหน้าเลย แล้วน้องบีหนึ่งทำอะไรในค่ายอ่ะจ๊า”
" เอ่อ..."
ติดอ่างแบบไม่รู้จะตอบอะไรทันที ผมพยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากพี่ไทด์ เขาพยักหน้าแล้วมากระซิบสองสามคำกับพี่ตูน
“อ๋ออออ เบ็ดเตล็ด โอเคค่า” พี่ตูนสรุป “คราวนี้ก็หมดละเนาะ เดี๋ยวขอเฮดแต่ละฝ่ายจัดแจงงะ...”
“เดี๋ยวครับๆ!”
พี่ตูนยังไม่ทันพูดจบ เสียงทุ้มหนาเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นซะก่อน เสียงนั้นดังมาจากด้านหลังของผม นาทีนั้นเกิดเสียงกรี๊ดเบาๆ ของเพื่อนผู้หญิงสองคนข้างผม และเสียงกรี๊ดแรงๆ จากพี่ตูนตรงหน้า ความว่า
“กรี๊ด พี่เคน”
“กรี๊ดดดดดดดดด! น้องเคนหมวย!!!”
เคน? เคนหมวย?
ผมค่อยๆ หันไปมองบ้างอย่างช้าๆ ใจเต้นแรงขึ้นเพราะชื่อนั้น คนชื่อเคนที่ผมรู้จักในชีวิตมีไม่กี่คน ยิ่งคนที่ผมให้ความสำคัญก็คงมีแค่คนเดียว
และคนข้างหลังนั่นคือ ‘เคน’ คนนั้นจริงๆ
ใจผมระรี้ระริกอย่างน่าหมั่นไส้เมื่อเห็นหน้าเขาอีกครั้ง เขาแทบไม่เปลี่ยนไปเลยจากครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ผู้ชายร่างสูงผู้มีใบหน้าแบ๊วที่สุดในบรรดามนุษย์ปุถุชนบนโลก และมีรอยยิ้มพิฆาตที่มีสยบทุกสรรพสิ่งในจักรวาล
พี่เคนประธานปีสอง
ผมสีน้ำตาลเข้มของเขาหนาขึ้นนิดหน่อยจากครั้งสุดท้ายที่เจอกัน แหงล่ะมันหนาขึ้นอยู่แล้ว เพราะครั้งสุดท้ายที่ผมเจอเขาก็เกือบหนึ่งปี อันที่จริงนั่นเป็นแค่ครั้งเดียวด้วยซ้ำที่เราเจอกัน
แต่ครั้งเดียวนั้นก็ทำให้ผมเก็บเอาภาพเขาไปฝันถึงทุกคืน
To Be Continued...-----------------------------------------------------------------------
*General Education (GE) วิชาพื้นฐานที่นักศึกษาถูกบังคับให้เรียน โดยจะแตกต่างกันไปตามคณะหรือสาขาวิชา
**กล้วยหอมจอมซน (Bananas in Pyjamas) เป็นรายการสำหรับเด็กที่ได้รับความนิยมสูง เป็นเรื่องราวของแฝดกล้วยหอมชื่อ B1 และ B2 เจ้าของวลีฮิต “นายกำลังคิดอย่างที่ฉันคิดอยู่หรือเปล่า B1” และ B1 ก็จะตอบกลับ B2 ว่า “ฉันกำลังคิดอยู่ล่ะ B2” กล้วยหอมจอมซนออกฉายครั้งแรกในปี พ.ศ. 2535 ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ABC ส่วนในประเทศไทยได้ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7