อนูบิส จ้าวแห่งแดนมรณะ
บทที่ 13
Anubis Lord of the Death
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าอินทร์ภู”
เสียงร้อนรนด้วยความเป็นห่วงดังอยู่ใกล้หูเรียกสติคืนมาสู่อนูบิส และเพียงได้อยู่ใกล้อาศิรเขาก็รู้สึกถึงพลังอบอุ่นพุ่งตรงมา
จากอังค์ที่อยู่ภายในร่างกายนั้น ร่างเทพของเขาจึงค่อยมีเรี่ยวแรงกลับคืนมารวมถึงเลือดสีน้ำเงินจากแผลใหญ่ที่ต้นแขนก็ไหลน้อยลง
และหยุดในที่สุด
“ผมไม่เป็นไร”
อนูบิสฝืนยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใย หากอยู่เพียงลำพังอนูบิสนึกอยากจะดึงอาศิรมากอดใจแทบขาด
“เกิดอะไรขึ้น ที่คุณสู้กับมันคือเนรูใช่ไหม”
“อย่าเพิ่งถามผมตอนนี้เลย เรากลับบ้านกันก่อนดีกว่า”
อาศิรเองก็เพิ่งจะตั้งสติได้ ด้วยความเป็นห่วงจึงได้ลืมไปว่าตอนนี้ทั้งคู่ยังอยู่ที่ลานจอดรถและอนูบิสยังบาดเจ็บ อาศิรเงย
หน้ามองอนูบิสที่ยังคงอิดโรย
“ไหวไหมอินทร์ภู”
อนูบิสพยักหน้า เขาเป็นฝ่ายกุมมือของอาศิรให้เดินช้าๆไปที่หน้าประตูโรงพยาบาลและโบกเรียกรถแท็กซี่ไปส่งที่บ้าน ตลอด
ทางอนูบิสได้แต่นั่งเงียบๆหลับตาลงพิงศีรษะไปกับเบาะรถ มีเพียงสายตาเป็นกังวลของอาศิรที่คอยหันมามองเป็นระยะและสองมือที่ยัง
ประสานแนบแน่นไม่ยอมปล่อยจนกระทั่งถึงบ้าน
แวะทักทายกับป้าแก้วและเล่าอาการยายจันทร์ให้ฟังคร่าวๆก่อนที่ป้าแก้วจะขอตัวกลับไปพักผ่อน ป้าแก้วทำกับข้าวไว้ให้แล้ว
ในครัวอาศิรจึงเดินนำอนูบิสมาที่โต๊ะอาหาร เพิ่งสังเกตว่าแผลที่ต้นแขนสมานตัวจนเหลือเพียงแผลเล็กๆและความอ่อนเพลียอีกเล็กน้อย
บนสีหน้าเท่านั้น
“ผมตักข้าวให้”
อนูบิสนั่งมองอาศิรที่กำลังตักข้าวใส่จานมาวางตรงหน้าเขา ใบหน้าอ่อนโยนนั้นทำให้อนูบิสคลี่ยิ้มบางๆออกมา
“โอม นั่งใกล้ๆผมนะ”
ขยับเก้าอี้ตัวติดกันให้อาศิรเดินมานั่งด้านข้าง อนูบิสนั่งมองอีกฝ่ายที่ตักอาหารเข้าปากและเคี้ยวตุ้ยๆ อาศิรเหลือบตามองเมื่อ
เห็นอนูบิสยังนั่งนิ่งจึงวางช้อนลงและเอ่ยถามโดยไม่รู้เลยว่าน้ำเสียงของตนนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย
“กินข้าวเสียสิอินทร์ภู นั่งมองหน้ากันอยู่นั่นแหละ ไม่หิวรึไง”
“ป้อนหน่อยสิ”
น้ำเสียงของอนูบิสก็ทุ้มนุ่มเป็นปกติ หากแต่เมื่อรวมกับดวงตาพราวที่มองมา กลับทำให้อาศิรหน้าร้อนขึ้นมาได้ง่ายๆ อาศิร
เฉไฉหลบตาเพราะไม่อาจมองใบหน้าของอนูบิสตรงๆได้
“มือไม่มีเหรอ”
“ก็เห็นอยู่ว่าผมบาดเจ็บ” อนูบิสต่อรอง “ไม่เห็นใจบ้างหรือ โอมใจร้าย”
ปลายเสียงออดอ้อนทำให้อาศิรมองอย่างหมั่นไส้ แต่เขาก็คว้าจานข้าวของอนูบิสมาและตักข้าวป้อนใส่ปากของเทพผู้ยิ่ง
ใหญ่
“โอม ป้อนช้าๆ ผมเคี้ยวไม่ทัน”
“เทพเรื่องมาก กินๆเข้าไปเหอะ ง่วงแล้วนะ”
ชักจะหงุดหงิดเพราะความเขินเกินขนาด อาศิรรู้สึกถึงเลือดที่วิ่งมาเป็นริ้วอยู่บนใบหน้าจนอนูบิสต้องหัวเราะเบาๆขณะจ้อง
มองไม่วางตา
“ผมอิ่มแล้ว เดี๋ยวผมล้างจานเอง โอมไปอาบน้ำเถอะ”
“ไหนว่าแขนเจ็บแล้วคุณจะล้างจานได้ยังไง”
ยังไม่วายเป็นห่วงจนอนูบิสต้องหันข้างให้เห็นว่าบาดแผลที่ต้นแขนนั้นเหลือเพียงรอยจางๆแล้วอาศิรจึงได้เลิกเป็นห่วงและ
ยอมเดินกลับไปยังห้องนอน ส่วนอนูบิสจัดการล้างจานชามคว่ำเรียบร้อยเขาจึงเดินไปยังห้องนอนบ้าง เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เห็นอาศิรใน
ชุดนอนกำลังนั่งมองกรอบรูปแม่และยายจันทร์พร้อมกับถอนหายใจ
“คุณยายจะต้องดีขึ้น”
อนูบิสทรุดตัวลงนั่งข้างๆและสวมกอดอาศิรหลวมๆ กำลังใจจากอนูบิสทำให้อาศิรยิ้มได้ เขาหันมาหาและตั้งคำถามกับ
อนูบิสบ้าง
“ไหนบอกถึงบ้านแล้วจะเล่าเรื่องเนรูให้ฟังไงล่ะ”
พูดถึงเนรูอนูบิสจึงมีสีหน้าหนักใจ
“ตอนนั้น ที่ยืนอยู่หน้าโรงพยาบาล ผมเห็นเนรูเกาะอยู่บนหลังคารถของหมอที่ชื่อคีรี”
“อะไรนะ!” อาศิรอุทานด้วยความเหลือเชื่อ “พี่คีรีเหรอ เป็นไปได้ยังไง”
“ผมเคยได้กลิ่นสาบจากเขาในวันที่พาคุณยายไปโรงพยาบาลที่โอมทำงานอยู่ ก็ยังนึกแปลกใจ แต่มาวันนี้ ผมเห็นชัดเจนว่าเนรู
อยู่กับเขา”
ความหนักใจแผ่ไปถึงอาศิรบ้าง เขาไม่นึกว่าเนรูจะอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ ใจหนึ่งก็ยังไม่กล้าปักใจเชื่อว่าคนอย่างคีรีจะเข้าไปข้อง
เกี่ยวกับปีศาจร้ายอย่างเนรู
“และที่น่าเป็นกังวลก็คือ เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าผมอยู่ห่างโอมไม่ได้เพราะอังค์อยู่ในกายของโอม แต่ถ้าหากให้โอมอยู่ใกล้ ผมก็
เป็นห่วงกลัวโอมจะได้รับอันตราย”
“อย่าเป็นห่วง คุณต้องสู้เต็มที่”
“ไม่ห่วงไม่ได้เพราะโอมคือคนที่ผมรัก”
คำบอกรักอย่างสัตย์ซื่อ ตรงไปตรงมาเหมือนน้ำทิพย์ที่ทำให้หัวใจของอาศิรชุ่มชื้น เขาไม่ได้นึกขัดเขินเพราะดวงตาคมที่มอง
มานั้นจริงจังกับคำพูดของตนมากกว่าจะเป็นไปในเชิงเกี้ยวพาราสี อาศิรสบตาอย่างค้นคว้า ความสับสนเกิดขึ้นมาในหัวใจของเขา
“ผมเป็นผู้ชายเช่นเดียวกับคุณนะอินทร์ภู คุณไม่นึกตะขิดตะขวงใจบ้างเลยหรือที่รักผู้ชายเหมือนกัน”
“โอม” นัยน์ตาคู่นั้นอ่อนแสงลง อนูบิสวางมือบนหน้าอกข้างซ้ายของอาศิร
“ผมรักที่ความดี ผมรักที่ความนึกคิดจากหัวใจอันดีงามดวงนี้ โดยไม่ได้สนใจร่างกายเลยว่าโอมจะอยู่ในสภาพไหน แล้วโอม
ล่ะรักผมบ้างไหม”
อาศิรนิ่งงันไปบ้างกับคำถามที่อีกฝ่ายโยนมา ดวงตาอ่อนโยนจับจ้องรอคอยคำตอบที่อาศิรเองก็เฝ้าถามใจตนเองตั้งแต่วัน
ที่อนูบิสเคยบอกรักกับเขาครั้งแรกนั่นแล้ว
ความห่วงหาอาทร ความอบอุ่นที่อนูบิสมีให้จนอาศิรอยากจะให้มีเทพองค์นี้อยู่ข้างกายตลอดเวลาคงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่
อาศิรใช้ตอบใจตนเองและคำถามของอนูบิส
“รักสิ ผมรักคุณอินทร์ภู”
คำตอบหนักแน่นจากอาศิรเรียกรอยยิ้มจากอนูบิสให้กว้างกว่าเดิม มือแกร่งโอบเอวให้อาศิรเข้ามาชิดใกล้ อีกมือหนึ่งดึง
คางเรียวเข้าหาจนกระทั่งสบตาในระยะใกล้ ได้ยินเสียงลมหายใจพร้อมความอุ่นระอุอยู่บนผิวแก้มของอีกฝ่าย
ไม่มีความสับสนใดๆมาขวางทางอีกแล้วในเมื่อต่างตอบใจตนเองได้ว่าความรู้สึกนั้นล้ำลึกแค่ไหน อนูบิสกดริมฝีปากลงไป
แผ่วเบาลงบนเรียวปากอิ่มสีแดงเรื่อที่ไม่ได้ปฏิเสธเมื่อเขาทาบปากลงไปจนแนบสนิท อาศิรพริ้มตารอรับให้ปลายลิ้นหยุ่นชื้นได้สอด
สัมผัสภายในโพรงปาก มันทั้งหวานทั้งปลุกเร้าจนอาศิรรู้สึกว่ามือไม้ตนเองนั้นช่างเกะกะยามที่ต้องจูบตอบกลับอย่างเก้ๆกังๆ อนูบิสดึงมื
อนุ่มทั้งสองข้างให้มาวางไว้บนบ่าของเขา
“อืม หวานมากครับโอม”
ขบเม้มไล่กลีบปากช้าๆเมื่อผละปลายลิ้นออกมาให้อาศิรได้พักหายใจ ตอนนี้หัวสมองของอาศิรไม่หลงเหลือสิ่งใดอีกแล้ว
นอกจากความหวานที่อนูบิสมอบให้ ยังไม่ทันจะเลิกหอบอนูบิสก็ชิงโอกาสล่วงล้ำเข้าไปอีกครั้ง ไม่มีจุดไหนที่อนูบิสจะไม่ได้ชมเชย
ร่างกายของอาศิรกำลังร้อนผ่าวเหมือนเต้นระบำอยู่รอบกองไฟเมื่อปลายนิ้วอุ่นร้อนแตะลงไปที่หลังเอวพร้อมกับกายแกร่งที่โน้มกายลง
มาทำให้เขาต้องเอนกายลงไปจนแผ่นหลังสัมผัสกับที่นอนนุ่ม
“อา อนูบิส ผมยังไม่...”
อาศิรรู้ ความรักย่อมทำให้อยากชิดใกล้ และความชิดใกล้พาให้เกิดความปรารถนาที่ไม่อาจหยุดยั้ง ใช่ว่าเขาเองจะไม่รู้สึก
เช่นนั้นเมื่อตอนนี้เขาก็อยากจะให้วงแขนที่กอดรัดได้โอบกระชับมากกว่านี้ หากแต่อาศิรยังนึกกลัว เขากลัวว่าหากถลำลึกเกินกว่าที่เป็น
อยู่จะทำให้เขาผูกพันจนยากที่จะตัดใจยามที่อนูบิสต้องจากไปในสักวันหนึ่ง
อนูบิสทอดถอนใจ เขาเข้าใจในความรู้สึกของอาศิร มือที่โอบกอดแน่นหนาจึงคลายลงไว้แค่พอมอบความอบอุ่น ริม
ฝีปากบดเบียดหนักหน่วงผ่อนลงจนเหลือเพียงสัมผัสบางเบาก่อนจะผละออกอย่างเสียดาย
“ผมเข้าใจโอม”
กดจูบไปที่ขมับพลางหักใจให้พ้นจากความต้องการทางกาย แม้ว่าจะต้องใช้ความอดทนแต่อนูบิสก็ไม่อาจดึงดันแต่ความ
สุขส่วนตัวได้ ชีวิตของเขาชินชากับความอดทนอยู่แล้ว เพียงแค่ได้นอนนิ่งๆและกอดร่างอุ่นของอาศิรไว้ตลอดราตรีก็เป็นความสุขจนไม่
อาจประเมินค่า
ฝ่ามือลูบแผ่นหลังของอาศิรเบาๆเมื่ออาศิรตะแคงกายโอบกอดซุกหน้าเข้าหาแผ่นอกของเขาราวกับลูกแมวขาดความ
อบอุ่น อนูบิสพึมพำแผ่วเบาราวกับเห่กล่อมให้คนในอ้อมกอดฝันดีตลอดคืน
“หนทางมืดมิด มีเพียงแสงสว่างจากเจ้าส่องนำให้หัวใจของข้าสว่างไสว หลับตาเถิดเมอริ ข้านี้จะอยู่กับเจ้าตลอดราตรี
อันเป็นนิรันดร์”
เวทิศหอบตำรามานั่งที่ร้านกาแฟใกล้กรมสืบสวนคดีพิเศษ เขานัดกับปาลไว้ว่าจะนำข้อมูลปลีกย่อยมาให้ และปาลก็จะนำ
ข้อมูลผู้ตายมาให้เขาด้วย ระหว่างนั่งรอเวทิศจึงได้อ่านหนังสือเล่มหนาไปพลางๆ สมาธิชะงักลงเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขารีบรับเมื่อ
เห็นว่าอาศิรโทรมา
“ว่าไงวะ ไอ้น้ำชามันบอกว่ายายป่วย เป็นไงมั่ง กูยังไม่มีเวลาไปเยี่ยมเลย”
ถามด้วยความเป็นห่วง ชีวิตของอาศิรมีคนที่รักก็เพียงยายเท่านั้น เขาเองก็ไปมาหาสู่บ้านเพื่อนจนรักและเคารพยายของ
เพื่อนไปด้วย
“ย้ายยายมาอยู่โรงพยาบาลของพ่อแล้วว่ะ ค่าเสียหายคราวนี้คือกูต้องไปทำงานกับพ่อ นี่ก็เพิ่งจะมายื่นใบลาออกที่โรง
พยาบาล” น้ำเสียงของอาศิรฟังดูเหนื่อยหน่าย
“ว่าแต่กูมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง” เพื่อนสนิทเล่าเหตุการณ์เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา รวมทั้งเรื่องที่อนูบิสสงสัยในตัวของนายแพทย์คีรี
เวทิศถึงกับตาโตก่อนจะเป็นฝ่ายเล่าเรื่องที่เขาถูกดึงตัวมาเป็นผู้ช่วยให้ปาล
“แล้วมึงจะทำงานกับผู้กองเขารอดไหมวะ” อาศิรอดเป็นห่วงไม่ได้
“เฮ้ย กูมืออาชีพโว้ย กูไม่เอาเรื่องส่วนตัวปนกับเรื่องงาน แต่ว่านะ กูจะบอกไอ้ผู้หมวดปากหมาก็ไม่ได้ว่ากูสงสัยว่าคนร้ายจะ
เป็นหมอเพราะว่าท่านเทพกูเห็นปีศาจบนหลังรถ ผู้หมวดแม่งคงจะเชื่อหรอก คงต้องหาวิธีและหลักฐานโน้มน้าวให้ลองพุ่งเป้าไปที่หมอ
คีรี”
“อีกเรื่องนึง กูจะเอาไอ้อังค์อะไรเนี่ยออกจากตัวแล้วคืนอินทร์ภูได้ยังไงวะ กูเป็นห่วงเขาเวลาต่อสู้”
เวทิศสะดุดหูกับกระแสห่วงใยที่หลุดออกมาจากปากเพื่อน เขาสนิทกับอาศิรมากพอที่จะรู้ว่ามันมากเกินธรรมดา
“ไอ้โอม นี่มึงกำลังมาเป็นแฟนคลับท่านเทพกับกูใช่ไหม แหมๆ อยู่บ้านเดียวกัน ห้องเดียวกัน เตียงเดียวกันมานานเป็น
เดือน กูว่ามันต้องสปาร์คกันมั่งแหละนะ ท่านเทพของกูแม่งเท่สัสขนาดนั้น”
เวทิศหัวเราะคิกคักเมื่อเพื่อนสนิทเงียบไป ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงอวยพรตามมาเบาๆ
“เหี้ยทิศ”
อาศิรวางสายไปแล้วพร้อมกับที่ปาลผลักประตูร้านกาแฟเข้ามาพอดี ผู้หมวดหนุ่มกระหืดกระหอบตรงเข้ามาหาเขาพร้อมกับ
แฟ้มอันใหญ่ ทักทายกันพอสมควรแล้วปาลก็บอกข้อมูลใหม่ให้เวทิศ
“เพื่อนของผมที่อยู่นิติเวช ได้ข้อมูลใหม่มาจากฝ่ายนิติเวชของโรงพยาบาล มีภาพจากกล้องวงจรปิดด้วยแต่มองไม่เห็น
หน้าเพราะมันไกลและมีการพรางหน้าไว้”
โป๊ะเชะ!
“ทำไมคุณผู้หมวดไม่ลองสงสัยคนในโรงพยาบาลบ้างล่ะ ใครกันมันจะเดินลอยชายแบบนี้โดยที่ไม่มีใครสนใจนอกจากเจ้า
หน้าที่ในนั้น”
ปาลเองก็สงสัยไม่ต่างอะไรกับเวทิศ เขาและใจภักดิ์กำลังหาข้อมูลว่าใครบ้างที่ทำงานในคืนวันเกิดเหตุนั้น และคิดว่าน่าจะ
เข้าใกล้ความจริงมากขึ้น
ปรึกษากันอยู่อีกพักใหญ่เสียงโทรศัพท์ของปาลก็ดังขึ้นมา ผู้หมวดหนุ่มก้มลงมองดูชื่อคนโทรเข้าแล้วเขาก็ส่ายหน้าและ
ปล่อยให้เสียงนั้นดังจนกระทั่งสายหลุด แต่ยังไม่ทันทิ้งช่วงเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้งจนปาลต้องยอมหยุดจากงานและรับสายนั้น