๓๐
ภาพความฝันที่ผ่านมาเมื่อคืน ติดตามอยู่ในความคิดของชายหนุ่มมาตั้งแต่เช้า จนกระทั่งเขาได้เห็นการตัดไม้ท่อนใหญ่ นำมาใช้เชือกมันให้ติดกันเป็นแผ่น
“นั่นเขาทำอะไรกันน่ะ” รพีพันธ์ ถามออกไป
“แพ” จันทริ ตอบ
“แพ ... เอาไว้ทำอะไร” ชายหนุ่มถามด้วยความไม่สบายใจ คำพูดในความฝันผ่านเข้ามาในความคิด
... บูชายัญ ด้วยการทำให้เสียชีวิต แล้วทิ้งร่างลงในน้ำ ...
“หมู่บ้านแห่งนี้ เมื่อมีผู้หมดลมหายใจ จักนำร่างของผู้นั้นวางลงบนแพ ปล่อยให้ล่องไปตามกระแสน้ำ ถือเป็นการส่งวิญญาณของผู้นั้น กลับไปยังที่ที่ส่งให้มากำเนิดบนผืนดิน”
รพีพันธ์ รู้สึกว่า มีเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผาก
“ใคร จะมีใครตายเหรอไง” เขาถามออกไป สายตาจับจ้องอยู่ที่แพ ซึ่งกำลังถูกผูกให้เป็นรูปร่างชัดเจนขึ้น
“ท่านหวาดกลัวสิ่งใดหรือ” มือของ จันทริ ลูบเบาๆบริเวณหลังมือของชายหนุ่ม
“พวกคุณจะทำอะไรผม พรุ่งนี้เป็นคืนวันเพ็ญ พวกคุณจะจับผมบูชายัญใช่มั๊ย” รพีพันธ์ ถามด้วยความหวาดหวั่น
“การบูชายัญด้วยสิ่งมีชีวิต เป็นเรื่องโหดร้าย พวกเรามิเคยคิดจะกระทำ” จันทริ ตอบด้วยเสียงอ่อนโยน จันทร์เสี้ยวสีขาวปรากฏขึ้น ส่องแสงนวลตา “ท่านกำลังหวาดวิตก ท่านกำลังคิดในสิ่งเหลวไหล ท่านควรพักสักนิด”
จันทริ กวาดมือผ่านใบหน้าของชายหนุ่ม ฉับพลันสติของชายหนุ่มก็ดับวูบลง จันทริ โอบร่างหนาของ รพีพันธ์ ไว้ ก่อนที่จะล้มลงกับพื้น
............................................................................
...................................
รพีพันธ์ ค่อยๆลืมตาขึ้น ก็พบว่าเขากำลังนอนอยู่บนเตียงหินภายในถ้ำ ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบใคร เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปบนโพรงเหนือถ้ำ ก็เห็นว่าฟ้าเริ่มมืดสลัว คงเป็นเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน เขาค่อยๆนึกถึงสิ่งต่างๆในความทรงจำที่เพิ่งจะระลึกขึ้นได้ กับความเป็นจริงที่เขาเห็น พลางคิดว่าเขาควรจะทำอย่างไรดี
... หนี ... ถ้าสิ่งที่อยู่ในความทรงจำของเขาเป็นความจริง แต่จะหนีไปที่ไหน ถ้าหนีไปจากที่นี่แล้ว จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร
แล้วถ้ามันไม่ใช่ความจริง ... แพนั้นถูกสร้างขึ้นมาทำไม
จันทริ คงเป็นคนเดียวที่จะให้คำตอบกับเขาได้ ช่วงเวลาที่ผ่านมา เขารู้สึกได้ว่า จันทริ ไม่เคยคิดร้ายต่อเขา มิหนำซ้ำยังมีแต่ความอ่อนโยน ความอบอุ่น โอนอ่อนผ่อนตามเขาทุกอย่าง คงเป็นไม่ได้เด็ดขาดที่จะคิดร้ายต่อเขา คิดแล้ว รพีพันธ์ ก็ลุกขึ้นจากเตียงหิน เดินไปยังช่องทางที่จะออกไปจากถ้ำ และเมื่อเขาก้าวเท้าออกมาสู่ลานกว้าง เขาก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น
จันทริ นั่งคุกเข่ากอดคออยู่กับ พยัคฆา ที่ยื่นขาหน้าข้างหนึ่งออกมาโอบไหล่ของ จันทริ ไว้ ราวกับจะโอบกอดร่างบางไว้
“ฮึ่ม....” พยัคฆา คำรามเบาๆในลำคอ พลางลดขาหน้าที่โอบ จันทริ ไว้ลงบนพื้น
จันทริ ลุกขึ้นยืน หันหน้ายิ้มน้อยๆให้ รพีพันธ์ พลางกวักมือเรียก ชายหนุ่มเห็นแล้วก็ค่อยๆเดินเข้าไปหาอย่างช้าๆ เพราะยังนึกหวาดกลัวเสือโคร่งตัวมหึมานั้นอยู่บ้าง
“ฮึ่ม...” พยัคฆา คำรามเบาๆในลำคออีกครั้ง
“พยัคฆา บอกให้ท่านคุกเข่าลง” จันทริ พูดยิ้มๆ
รพีพันธ์ มอง จันทริ สลับกับมอง พยัคฆา
“กระทำเถิด หาไม่หาก พยัคฆา มิพอใจ อาจวิ่งชนใส่ท่านสักครั้ง” พูดจบ จันทริ ก็หัวเราะด้วยความขบขัน
... เอาวะ ทำอะไรก็ทำ แค่คุกเข่าคงไม่เป็นไรน่า ... คิดแล้ว รพีพันธ์ ก็คุกเข่าลง โดยไม่รู้ตัวเลยว่า ปานแดงที่กลางหน้าอก ส่องแสงทะลุเนื้อผ้าของเสี้อที่สวมอยู่ ออกมาเป็นแสงเรือง
พยัคฆา เดินเข้าหาชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ จนศรีษะใหญ่โตปกคลุมด้วยขนละเอียดอันอ่อนนุ่ม แนบเข้ากับศรีษะของชายหนุ่ม ขาหน้าข้างหนึ่งยกขึ้นมาโอบร่างชายหนุ่มไว้ เหมือนกับที่ทำกับ จันทริ
“รพีพันธ์ อาทิตย์ที่สถิตอยู่ในใจของ จันทริ ผู้เปรียบดังบุตรของข้า ข้าขอขอบคุณท่านที่ทำให้ จันทริ มีความสุข ขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดี ขอความเจริญจงมีแก่ท่านต่อไปเทอญ”
เสียงที่เปี่ยมอำนาจ ราวเสียงของชายผู้เหี้ยมหาญ ดังอยู่ในหัวของชายหนุ่ม และระหว่างที่ รพีพันธ์ กำลังตกตะลึง พยัคฆา ก็ถอยตัวห่างออกไป แล้วหันหลังเดินเข้าไปในหมู่ไม้ หายลับจากสายตาไปในที่สุด