Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]  (อ่าน 279117 ครั้ง)

ออฟไลน์ KiteRunner

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พี่วินทร์ ~~~~~ แม่จ่าพี่เขาควรต้องเป็นของหนูวววววววว

ขอบคุณมากนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ lipure

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ขอบคุณ มาก ค้า สำหรับ เรื่องนี้ แต่งได้ ครบรสเลย

ทั้งหวาน ขม สุข เศร้า

พี่วินทร์คือสุดยอด เป็นคนที่รักมั่นคงมากๆ

หมอฮาร์ฟก็น่ารักมากๆๆๆ

เป็นกะลังใจให้คนแต่งน่ะตะเอง เด่วตามไปอ่านอีกเรื่องนึงน่ะค้า จุ๊ฟๆ

ออฟไลน์ Yukina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เห็นนานแล้วในนิยายได้รางวัล คิดว่าจะอ้านนานแล้ว พึ่งมีโอกาส
ขอบอกว่า ปมขมวดกันสุดมาก เหอะๆ อ่านแล้วหน่วงมาก ตอนแรกๆสงสารฮาร์ฟมาก เฮ้อ อีพี่วินทร์ก้อไม่ได้ดั่งใจ แต่สุดท้ายก้อแฮปปี้ ดีด้า
สนุกมากครับ อ่านรวดเดียวเลย ไม่เคยเจอนิยายแบบนี้ ถ้ามีโอกาส จะไปตามอ่านเรื่องอื่นนะขอรับ ขอบคุนครับบบ  :mew2: :mew1:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ reborn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 675
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
 o13สนุกมาก

ออฟไลน์ Timber

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Special moment Valentine's day

…หงุดหงิด…

อันที่จริงวินทร์ก็ไม่อยากใช้คำนี้ในวันแห่งความรักเลยนะ เขาพยายามแล้วจริงๆ ที่จะไม่คิดไม่หึงหวงแต่มันก็อดไม่ได้ เมื่อได้เห็นภาพบาดตาบาดใจที่คนรักของตัวเองนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับสมุดบันทึกเล่มเก่าเมื่อคืนก่อน พอเขาถามว่าทำอะไรอยู่ นรกรก็รีบเก็บสมุดเล่มนั้นให้พ้นไปจากสายตาแล้วส่งยิ้มมาให้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ด้วยความที่ยังหาบทลงโทษคนที่ทำให้หัวใจเขาปั่นป่วนไม่ได้ เช้านี้วินทร์จึงปล่อยให้นรกรไปเดินราวน์คนไข้คนเดียวแล้วอ้างว่าต้องเตรียมแผนการสอนสำหรับวันนี้

เช้าวันนี้ของนายแพทย์นรกรไม่ต่างอะไรกับทุกวัน ก็แค่วันพุธที่ 14 เดือนกุมภาพันธ์… เมื่อวานเขามีเคสผ่าตัดใหญ่ หลังจากยืนขาแข็งอยู่ 9 ชั่วโมงนั่นยังไม่นับว่าทรหดพอเมื่อเทียบกับการรอให้ผู้ป่วยลืมตาขึ้นมาหลังจากจากย้ายไปดูอาการต่อที่ไอซียู แล้ว 3 ชั่วโมงต่อมาเขาก็ค้นพบว่าที่พยายามมานั้นไม่สูญเปล่า และรอยยิ้มของญาติที่ส่งมาให้เขานั้นมีค่ามากกว่าคำขอบคุณใดๆ
นรกรเดินออกมาจากห้องผู้ป่วยหลังจากที่ให้พูดคุยอาการและแผนการรักษาต่อไปกับญาติเสร็จสิ้น เขาเดินอมยิ้มเอาแฟ้มมาส่งคืนให้พยาบาลที่เคาน์เตอร์และเธอก็สร้างความแปลกใจให้เขาด้วยการยื่นของสิ่งหนึ่งให้

“มีคนฝากมาให้คุณหมอค่ะ”

มันคือดอกกุหลาบสีแดงช่อโตที่ต้องใช้สองแขนประคองไว้ กะด้วยด้วยสายตาคร่าวๆ ยังไงก็ไม่ต่ำกว่าหลักร้อยดอก

“อะไรครับเนี่ย”

พยาบาลสาวหัวเราะคิกคัก “ดอกกุหลาบไงคะ คุณหมอไม่รู้จักเหรอ”

“รู้จักครับ แต่ผมคิดว่าไม่รู้จักคนที่เอามาให้… คุณพยาบาลให้ถูกคนหรือเปล่าครับ”

พยาบาลสาวหันไปยิ้มกับเพื่อน “ไม่ผิดค่ะ นี่ไงคะมีการ์ดด้วย” เธอบอกพร้อมกับชี้ให้ดู ซึ่งจะว่าไปแล้วมันเป็นแค่โน้ตของร้านดอกไม้ที่ระบุสถานที่ส่งกับผู้รับเท่านั้น ไม่มีชื่อผู้ส่งและไม่ข้อความใดๆ นอกจากกลิ่นหอมอบอวลที่มากับกลีบบางสีแดงสดใส

นรกรรับมาถือไว้อย่างเก้ๆ กังๆ ด้วยความเขิน เขาค้อมศีรษะขอบคุณพยาบาลที่ดูพออกพอใจกับหน้าที่กามเทพจำเป็นเป็นอย่างมาก ก่อนจะรีบเดินออกจากไอซียูมา

แต่นรกรก็ไม่อาจเดินได้ไวอย่างใจคิด เพราะเจ้ากุหลาบช่อโตนั้นใหญ่พอๆ กับตัวและเมื่อถือไว้ก็สูงท่วมหัว เขาเดินได้ต้วมเตี้ยมเหมือนเต่า แล้วพอเลี้ยวไปทางไหนก็มีแต่คนมองทั้งเพื่อนร่วมวิชาชีพไปจนถึงญาติคนไข้ และส่งสายตาแปลกๆ มาให้ แม้แต่คุณผีผู้หญิงตรงชั้นสองที่ปกตินั่งกอดอกก้มหน้าตลอดยังต้องรีบลุกขึ้นยืนเพื่อหลีกทางให้

นรกรอยากจะรีบเดินเอาดอกไม้ไปเก็บที่ภาควิชาใจจะขาด แต่เขายังเหลือคนไข้อีกหลายคนที่ต้องไปราวน์ให้เสร็จ เดินไปก็นึกภาวนาจนหมดใจว่าอย่าให้เจอคนรู้จัก หากทันทีที่คิดจบฟ้าก็เล่นตลกส่งแก๊งน้องๆ แพทย์ประจำบ้านตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีห้ามาเจอที่หน้าลิฟต์

“สวัสดีครับอาจารย์” น้องๆ ส่งเสียงทักทายในแบบที่รู้ว่าต่างพยายามกลั้นยิ้มไว้สุดฤทธิ์ แต่แล้วก็มีเสียงของคนใจกล้าแหวกกลางวงขึ้นมา

“พี่ฮาร์ฟ~” จิงโจ้ที่ตอนนี้เลื่อนขึ้นมาเป็นแพทย์ประจำบ้านปีสี่ร้องเป็นทำนองพร้อมกับยื่นหน้ายื่นตาเข้ามาดูช่อกุหลาบใกล้ๆ “กุหลาบสวยจัง~ ใครให้มาหนอ~”

“ไม่ใช่ว่าพี่ฮาร์ฟจะเอาไปให้ใครหรอดเหรอครับพี่โจ้” แพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งหน้าตาละอ่อนถาม

จิงโจ้จุ๊ปาก “พี่เข้าใจว่าแกเพิ่งมาใหม่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไร แต่อยู่ไปสักพักเดี๋ยวก็ชินนะ”

“ครับ” น้องแพทย์ประจำบ้านรับคำทั้งที่ยังงงๆ

“เวลาเข้าห้องผ่าตัดกับพี่เขาก็เตรียมพกพวกยาไล่มดอะไรแบบนี้ไว้ด้วยนะ” จิงโจ้พูดต่อ

“ครับ”

“จิงโจ้” นรกรพูดลอดไรฟัน ทำให้เจ้ารุ่นน้องตัวดีค่อยสงบปากสงบคำลงได้ “บ่ายโมงเจอกันที่ห้องประชุม หวังว่าวันนี้ทุกคนคงพร้อมสำหรับการพรีเซนต์ตัวเองนะ”

“โห~ พี่ฮาร์ฟอะ อย่าดุสิครับ แค่’จารย์สรวิชญ์คนเดียวพวกผมก็จะขาดใจตายอยู่แล้ว” อนุวัฒน์ที่ตอนนี้ขึ้นปีใหญ่โอดครวญ

“ใช่ๆ ใครจะดุก็ได้แต่พี่ฮาร์ฟห้ามดุนะครับ” น้องแพทย์ประจำบ้านปีสามรีบเข้ามาเกาะแขนขอความเห็นใจ

“พี่ว่าพี่ฮาร์ฟไม่ได้ดุเหมือนอาจารย์สรวิชญ์หรอก แต่ว่าดุเหมือนใครบางคนมากกว่า” จิงโจ้ยังไม่เลิกล้อเลียน

“ใครครับพี่โจ้” แพทย์ประจำบ้านปีสองหันไปถาม

“ก็ใครล่ะที่ชอบตีหน้ายักษ์ใส่พวกเราน่ะ มีอยู่คนเดียวน่ะแหละ… คนที่ชอบขลุกอยู่แต่กับพี่ฮาร์ฟน่ะ”

“ใครครับ” น้องแพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งถามย้ำ

“ก็พี่…”

“จิงโจ้” นรกรทำเสียงเข้มให้รู้ว่าเอาจริง

“พี่ธีร์ไง” จิงโจ้กลับลำแทบไม่ทัน “อ้อๆ พวกแกมาไม่ทันพี่ธีร์กันนี่นา เป็นพี่ชายพี่ฮาร์ฟ รายนั้นนะคู่ปรับ ‘พี่วินทร์’เลย” แต่ก็ยังไม่วายแอบเน้นเสียงมาเบาๆ

“บ่ายโมงตรงเจอกันนะ” นรกรตัดบทอย่างจนใจจะต่อล้อต่อเถียงกับรุ่นน้อง เขาเดินหอบกุหลาบฝ่าสายตาของประชากรนับร้อยในโรงพยาบาลเดินราวน์จนเสร็จและในที่สุดก็มาถึงภาควิชาจนได้

“ทำไมวันนี้ราวน์เสร็จช้าจัง” วินทร์ร้องทักมาจากหลังโต๊ะทำงาน

“ก็เพราะเจ้านี่แหละครับเลยเดินไม่สะดวก แถมยังโดนพวกน้องๆ กับคุณพยายาลแซวมาตลอดทางเลย” นรกรบอกพลางขยับช่อดอกไม้ในมือ

วินทร์ลุกจากโต๊ะของตัวเองมายืนตรงหน้านรกรเพื่อดูสิ่งทอยู่ในสองแขนนั้นให้ชัดๆ “ใครให้มาเหรอ”

“ญาติคนไข้ให้มาครับ” นรกรตอบยิ้มๆ เดาได้อยู่แล้วว่าคนให้เป็นใครเขาถึงได้รับมา

“คนไข้คนไหน” วินทร์ถามเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย “ฉันเพิ่งเคยเห็นญาติขอบคุณหมอด้วยกุหลาบช่อโตขนาดนี้ แถมวันนี้ยังเป็นวันวาเลนไทน์ด้วย”

นรกรหน้าเจื่อนไปทันที สีหน้าจริงจังของวินทร์บอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น “นี่ไม่ใช่ของพี่วินทร์เหรอครับ”

ตาคมเหลือบลงมองดอกไม้ที่ชูช่อสดใส ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ พร้อมกับดึงเอาสิ่งที่ถือซ่อนไว้ข้างหลังออกมา มันคือกุหลาบขาวดอกหนึ่งที่ผูกโบสีทองอันเล็กตรงก้าน “ของฉันอยู่นี่… รอไว้ให้เองกับมือน่ะ” วินทร์พูดเนิบ เสียงเบาลงเรื่อยๆ “โดนคนอื่นตัดหน้าจนได้ แถมยังดอกเล็กกว่าด้วย…” เขาเม้มปากสนิทพูดต่อไม่ออก มือที่ถือดอกไม้ไว้ค่อยลดลงต่ำ รู้สึกอายเกินกว่าจะให้

“ขอโทษครับ” นรกรละล่ำละลักบอกพร้อมกับรีบคว้าข้อมือคนตรงหน้าไว้ “ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้พี่วินทร์รู้สึกไม่ดี ผมคิดว่านี่เป็นของพี่วินทร์ก็เลยรับมา… ผมขอโทษ”

“ไม่ใช่ความผิดนายหรอก… เป็นความผิดฉันเองต่างหากที่…” วินทร์ค่อยเบือนสายตากลับมามองคนที่ฉุดรั้งตนไว้ แล้วคำพูดที่ค้างอยู่ก็ถูกกลืนหายลงไปในลำคอ เมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดกับนัยน์ตาสั่นไหวที่ราวกับโลกทั้งใบพังทลายลงในพริบตา “ของฉันเอง!” เขารีบพูดเสียงดังพร้อมกับดึงตัวนรกรเข้ามาใกล้ “ของฉันเองแหละ… ฉันเตรียมไว้เซอร์ไพรส์นายเอง”

“พี่วินทร์ไม่ต้องโกหกเพื่อให้ผมรู้สึกผิดน้อยลงหรอกครับ”

“จริงๆ นะ ไม่เชื่อดูนี่” วินทร์ลนลานหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดให้ดูอีเมลสั่งซื้อพร้อมกับหลักฐานโอนเงิน “แค่แกล้งเล่นน่ะ… อย่าคิดมากนะ”

นรกรพยักหน้าเข้าใจ และคนขี้แกล้งก็ได้เรียนรู้ว่าไม่ควรเลยจริงๆ ถึงสีหน้าของนรกรจะดีขึ้นแล้ว แต่มันก็เทียบกันไม่ได้เลยกับประกายวิบวับในแววตาตอนเดินกอดช่อกุหลาบเข้าประตูห้องมา และเขาก็เป็นคนทำลายมันเองกับมือ

วินทร์ใช้สองมือประคองใบหน้านั้นไว้ในอุ้งมือแล้วใช้ปลายนิ้วโป้งไล้เบาๆ เป็นการปลอบขวัญ “ขอโทษนะที่แกล้งแรงไปหน่อย”

“ครับ” นรกรพยักหน้า “แล้ว… ทำไมพี่วินทร์ต้องแกล้งผมด้วยครับ”

“ไม่มีอะไร… ก็แค่แกล้งเล่นน่ะ… กะว่าจะทำเป็นงอนแล้วให้นายง้อก็แค่นั้นแหละ”

“แล้วพี่วินทร์อยากให้ผมง้อด้วยอะไร”

“ก็…” วินทร์อึกอักเล็กน้อย แต่เขาเป็นฝ่ายผิดและคิดว่าควรสารภาพให้หมด “แค่อยากได้จูบ”

“เมื่อเช้าก็เพิ่งทำไปไม่ใช่เหรอครับ”

“ไม่ใช่แบบนั้นสิ” วินทร์ว่า “อยากได้แบบที่นายเป็นคนทำน่ะ”

“แค่นี้เหรอครับ”

“กับโปรโมชั่นวันวาเลนไทน์”

“อะไรคือโปรโมชั่นวันวาเลนไทน์ครับ”

ถึงตรงนี้วินทร์นึกอยากจะมุดดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด “ยังไม่ได้คิดเรื่องรายละเอียดน่ะ แต่คืนนี้ก็แลกเวรออกไว้แล้ว… ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็จินตนาการอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ… ว่าแต่… นายยกโทษให้ฉันหรือยัง”

นรกรเงียบไปอีกครั้ง ทำเอาคนผิดใจแป้ว “พูดสิครับ”

“ขอโทษนะ”

“ผมไม่ได้อยากฟังคำขอโทษครับ” นรกรว่า

“แล้วนายอยากฟังอะไรล่ะ”

“ก็พี่วินทร์บอกว่าวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์… ลืมเรื่องดอกไม้นั่นไปซะ ผมเพิ่งเดินเข้าห้องมาแล้วพี่วินทร์มีอะไรอยากจะพูดกับผมไหมครับ”

ริมฝีปากค่อยคลี่ออกเป็นรอยยิ้มกว้าง “คนไข้เป็นไงบ้าง”

“สบายดีครับ”

“แต่คนนี้ไม่ค่อยสบายเลย” วินทร์แสร้งทำเสียงอ่อย

“เป็นอะไรครับ”

“เป็นแฟนนายไง”

“พี่วินทร์~” นรกรหลุดยิ้มออกมาด้วยความเขิน “จะพูดอะไรก็พูด อย่าลีลาน่า”

“ก็นายให้พูดที่อยากพูดนี่นา”

“ไม่พูดผมก็ไม่ฟังแล้วนะ”

“รักนะ” วินทร์บอก “ยกโทษให้หรือยัง”

นรกรไม่พูดอะไร แต่คล้องสองมือลงรอบคอคนตัวสูงกว่าแล้วส่งคำให้ผ่านริมฝีปาก สะกดออกมาเป็นคำด้วยปลายลิ้นที่สอนประสานกัน

“แบบนี้ใช่ไหมครับที่อยากได้น่ะ”

“อย่าทำตัวน่ารักนักสิ เดี๋ยวลากขึ้นรถกลับบ้านนะ” วินทร์แกล้งว่าด้วยความมันเขี้ยวก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “รู้ไหมว่าทั้งช่อนี้มีกี่ดอก”

“ถ้าให้เดาก็ 999 ดอก ใช่ไหมครับ” นรกรทาย “ความหมายสุดคลาสสิคของกุหลาบจำนวนนี้คือรักนิรันดร์ แม้แต่คนอย่างผมก็พอจะรู้อยู่บ้างนะครับ”

“เกือบถูกล่ะแต่ผิด” วินทร์บอก “กุหลาบแดงในช่อนี้มี 998 ดอก รวมกับดอกสีขาวนี่ถึงจะเป็น 999”

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากัน “มันมีความหมายอะไรมากกว่าที่ผมคิดหรือเปล่าครับ ถึงได้ต้องแบ่งให้”

“กุหลาบน่ะไม่ว่าดอกไหนก็สวยเหมือนๆ กัน” วินทร์บอกพร้อมกับหยิบดอกกุหลาบขาวขึ้นมาปักตรงกลางช่อกุหลาบแดง “แต่ในบรรดาดอกไม้เหล่านั้นก็ยังมีดอกหนึ่งที่แตกต่าง”

“ยังไงต่อครับ”

“กุหลาบแดงคือคนอื่นคนทั่วๆ ไป ส่วนฉันเป็นดอกกุหลาบขาว… ฉันไม่อยากเป็นเหมือนคนอื่นน่ะ อยากเป็นคนพิเศษ เป็นคนที่นายรัก”

“ถึงต้องรอให้เองกับมือใช่ไหมครับ”

“นายจะรับรักฉันไหม” วินทร์ถามพร้อมกับส่งช่อดอกไม้ให้ด้วยตัวเองอีกครั้ง

“เราไม่ได้ผ่านขั้นตอนนั้นมาแล้วเหรอครับ” นรกรยิ้มเขินรับช่อดอกไม้ไปกอดไว้ “ขอบคุณนะครับ”

OOOOOO

หลังจากเลิกงานวินทร์ก็ทำเซอร์ไพรส์เล็กๆ อีกอย่างโดยการพานรกรไปทานอาหารร้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เขาเตรียมการจองล่วงหน้าไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว บรรยากาศดีๆ กับอาหารอร่อยพอจะช่วยทำให้แผนแกล้งกันเมื่อเช้ากลายเป็นโมฆะไปได้ แล้วตอนนี้วินทร์ก็แค่นั่งยิ้มฟังคุณสารานุกรมเคลื่อนที่ของเขาเล่าถึงขั้นตอนการเลาะเนื้องอกขนาดเท่ากำปั้นออกจากเนื้อสมองส่วนหลังอย่างออกรส ก็เคยนึกสงสัยเหมือนกันว่าคู่อื่นๆ เวลาไปเดทเขาคุยเรื่องอะไรกันเพราะคู่ของเขานี่มีแต่วิชาการ บางทีก็เผลอนึกไปว่ากำลังนั่งประชุมในงานโรคสมองนานาชาติไม่ได้มาเที่ยว แต่แล้วมันยังไงล่ะ ในเมื่อมันเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้คนชอบเก็บตัวอย่างนรกรมีชีวิตชีวาขึ้นมา อันที่จริงคนแปลกต้องเป็นเขาด้วยซ้ำที่นั่งยิ้มฟังได้ไม่เบื่อ นานๆ ทีก็พยักหน้า ขานรับ “อืม” “อือ” ให้รู้ว่ายังฟังอยู่และก็แสดงความคิดเห็นบ้างซึ่งส่วนใหญ่ก็จะหนักไปทางชมเสียมากกว่าว่า “สุดยอด” “นายเก่งมาก” หรืออะไรทำนองนั้น… เปล่านะ เขาไม่ได้อวยหรือพูดเวอร์เกินไปก็แฟนเขาเก่งจริงๆ นี่นา

กลับถึงบ้านวินทร์ที่วางแผนจะรวบหัวรวบหางชวนเล่นเกมยันสว่างก็รีบเอ่ยไปตามบทที่คิดไว้ “เดี๋ยวนายไปอาบน้ำ…”

“พี่วินทร์ไปอาบน้ำก่อนเลยนะครับ” นรกรหันมาบอกก่อนที่เขาจะพูดจบ
วินทร์หน้ายู่แอบเซ็งที่แผนเสีย “นึกว่าจะได้อาบด้วยกัน” ถ้านรกรอาบก่อนเขาจะหาทางเปิดประตูตามเข้าไปด้วยจนได้แม้อีกฝ่ายจะล็อก แต่ถ้าเป็นเขาอาบก่อนคิดเหรอว่านรกรจะมาเคาะประตูขออาบด้วยคน ซื้อหวยให้ถูกสามตัวตรงยังจะง่ายกว่าเลย

“ผมจะเอากุหลาบไปเก็บก่อน” นรกรบอก

“รอได้” วินทร์ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ

นรกรส่งยิ้มแกมดุมาให้พร้อมกับเดินหอบดอกกุหลาบหนีไปอีกทางเป็นการตัดบท
เมื่อลงเอยเช่นนี้วินทร์จึงจำยอมคว้าผ้าขนหนูเดินหน้าตูมเข้าห้องน้ำไป

วินทร์อาบน้ำเสร็จก็ใส่ชุดนอนมานอนรอที่เตียงระหว่างที่อีกฝ่ายผลัดเข้าไปอาบน้ำบ้าง เขานอนพลิกไปทางซ้ายของเตียงก่อนจะกลิ้งกลับมาทางขวา ใช้สองมือหนุนต่างหมอนนอนจ้องประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท แผนการสำหรับคืนนี้มีแน่ๆ ร้อยแปดพันท่า แต่ที่ยังคิดไม่ออกคือจะเริ่มต้นยังไงไม่ให้ดูจงใจจนเกินไป ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำก็เพราะว่าเคยนี่แหละเขาถึงอยากคิดหาอะไรที่มันแปลกไปจากทุกวัน อย่างน้อยก็สร้างบรรยากาศให้โรแมนติกขึ้นสักนิดก็คงจะดีกว่าสะกิดเรียกเบาๆ แล้วจับปล้ำแบบทุกคืน

หลังจากที่คิดไม่ตก สมองก็พาฟุ้งซ่านกลับไปถึงเรื่องเมื่อเช้า สีหน้าผิดหวังของนรกรที่ฉายแวบขึ้นมาทำเอาเจ็บแปลบจนจุกในอก
วินทร์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยอมรับกับตัวเองตรงๆ ว่าไม่ควรหมกมุ่นกับเรื่องนี้มากเกินไปและตัดใจลุกขึ้นจากเตียง เขาต้องหาทางทำอะไรสักอย่างให้ใจและลูกชายคนเล็กยอมสงบลงด้วยดีก่อนที่นรกรจะอาบน้ำเสร็จ

ร่างสูงใหญ่ในกางเกงนอนขายาวตัวเดียวเดินงุ่นง่านเหมือนหมีเข้าไปในครัวเพื่อหาตัวช่วย เดินวนไปวนมาอยู่สองรอบสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับมีดเล่มใหญ่ที่เสียบอยู่ในที่เก็บมีด เขาหยิบมันขึ้นมาหมุนไปหมุนมาอยู่อึดใจก็ได้ทางออกให้กับความหงุดหงิดในใจนี้แล้ว

ฉับ!
.
.
.
.
.
(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“พี่วินทร์ทำอะไรอยู่ครับ”

เพราะใจมัวแต่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำอยู่ จึงทำให้วินทร์สะดุ้งสุดตัว “เฮ้ย! อย่ามายืนเงียบๆ แบบนี้สิ ฉันตกใจนะ แถมอันตรายด้วย” เขาหันไปเอ็ดคนที่ยืนแอบดูอยู่ข้างข้อศอก

“ขอโทษครับ แล้วนี่พี่วินทร์ทำอะไร หิว?” นรกรถาม สายตากวาดมองเนื้อหมูชิ้นที่ถูกสับค้างอยู่บนเขียง ถัดออกไปมีกล่องพลาสติกใส่ผักที่หั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเสร็จแล้ววางเรียงกันอยู่สามกล่อง มีบล็อคโคลี่ แครอท และกล่องสุดท้ายที่เขาไม่ใจว่าใช่พริกหยวกหรือเปล่าเพราะถูกซอยจนเล็ก เขาเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องผักเสียด้วย แต่ก็คิดว่าคงไม่ใช่เพราะเขาเกลียดเจ้าผักชนิดนี้มากและคิดว่าวินทร์คงไม่ใจร้ายพอจะมาบังคับให้กิน

“พอดียังไม่ค่อยง่วงเลยมาเตรียมวัตถุดิบสำหรับเมนูพรุ่งนี้น่ะ” วินทร์บอก

“จะทำอะไรเหรอครับ” นรกรถาม

“ไม่บอกหรอกรอลุ้นเอาเองละกัน”

“พี่วินทร์รู้ใช่ไหมว่าผมไม่ชอบกินพริกหยวก” นรกรรีบบอก

แต่วินทร์ไม่ยอมบอกและเปลี่ยนเรื่อง “นายไปนอนก่อนเลยไป ฉันคงต้องใช้เวลาอีกสักพักน่ะ”

“ตกลงจะไม่มีพริกหยวกใช่ไหมครับ” นรกรถามย้ำ

“ถึงมีก็ต้องกิน”

“ผมไม่กิน” นรกรยืนกรานแล้วเดินกลับห้องนอน โดยมีวินทร์ชูมีดพร้อมกับแลบลิ้นใส่ตามหลัง

ใช้เวลาอีกไม่กี่นานวินทร์ก็เก็บหมูสับใส่กล่องและนำของที่เตรียมไว้ทั้งหมดไปวางเรียงในตู้เย็นเรียบร้อย เขากวาดตามองวัตถุดิบต่างๆ อีกครั้งให้แน่ใจว่ามีครบถ้วนและเพียงพอสำหรับอาหารมื้อเช้าที่ตั้งใจจะทำไข่ทรงเครื่องสำหรับคนไม่ชอบกินผักซึ่งแน่นอนว่าการแอบใส่พริกหยวกลงไปด้วยนั้นถือเป็นความซาดิสม์ส่วนตัว เอ๊ย! ความภาคภูมิใจเล็กๆ ของเขาที่ทำให้นนรกรกินผักได้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนใจร้ายเกินไปหรอกนะเพราะเดี๋ยวจะทำแซนด์วิซใส้ไข่ชีสเยิ้มๆ ของโปรดแพคใส่กล่องไปให้กินกับกาแฟเป็นของว่างตอนสายก่อนเข้าห้องผ่าตัดซึ่งเป็นเคสยากที่นรกรคงจะต้องยืนยาวไปจนบ่าย มื้อเที่ยง ไม่สิ! มื้อบ่าย เดี๋ยวเขาไปดักรอหน้าห้องผ่าตัดเพื่อจับลากไปกินด้วยกันที่คาเฟ่ต์ ส่วนตอนเย็นค่อยว่ากันอีกทีว่าเคสช่วงบ่ายจะเสร็จกี่โมง ถ้าเลิกเร็วก็ตั้งใจว่าจะทำกะหล่ำปลียัดไส้กับผัดผักรวมมิตร แต่ถ้าเลิกดึกก็ไปหาร้านกินข้างนอกเอาละกัน

ทบทวนรายละเอียดปลีกย่อยของวันพรุ่งนี้เสร็จสิ้นก็เก็บล้างอุปกรณ์ต่างๆ พลางนึกดีใจที่ตัวเองยกหน้าที่เตรียมเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ในแต่ละวันให้นรกรไปแล้ว ถ้าทำอาหารเสร็จแล้วต้องมานั่งคิดว่าวันนี้จะใส่เสื้อสีอะไรแล้วแมตซ์กับเนกไทลายไหนเขาคงปวดหัวตายแน่ๆ ไหนจะสีถุงเท้าอีก ในเมื่ออีกฝ่ายชอบบ่นว่าเขาแต่งตัวไม่เรียบร้อยงั้นก็ช่วยจัดการเลือกมาให้เลยละกัน

วินทร์เดินผิวปากกลับมาห้องแล้วก็ต้องแปลกใจว่าคนที่โดนไล่ให้มานอนก่อนยังนั่งพิงหัวเตียงง่วนอยู่กับอะไรสักอย่างบนตักที่เขามองไม่เห็น แถมยังเปิดแค่ไฟดวงเล็กหัวเตียงและไม่ใส่แว่น “มัวทำอะไรอยู่ก็บอกให้นอนก่อนเลยไง”

“รอได้ครับ” นรกรตอบทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาจากของที่ดูอยู่

วินทร์ย่นปากพร้อมกระโดดขึ้นเตียงไปนั่งข้างๆ “อย่ามาใช้มุกเดียวกันทั้งที่ไม่มีใจ”

“พี่วินทร์ผมถามอะไรหน่อย”

“ว่ามา”

“ไอ้นี่มันต่างจากแบบปกติยังไงครับ”

วินทร์หันไปดูแล้วก็ต้องตาโตเพราะที่วางกองอยู่บนตักคือกล่องถุงยางอนามัยสีสวยเกือบสิบกล่อง นึกสงสัยว่านรกรแอบไปซื้อมาตอนไหนเยอะแยะ แหม~ ชอบว่าเขาคิดแต่เรื่องลามกแต่ตัวเองก็ให้ท้ายจัง “แค่สีสวยกับมีกลิ่นหอมมั้ง” เขาแอบกลืนน้ำลายลงคอแกล้งทำเสียงนิ่ง “ลองอ่านข้างกล่องสิเขาก็มีคำอธิบายกับวิธีใช้บอกนี่”

“ถอดแว่นแล้วอ่านไม่ออก” นรกรบอก

วินทร์หลิ่วตายังไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนเขาเอื้อมมือไปกดไฟหัวเตียงปิดและพูดหน้าตาเฉย “ปิดไฟแล้วอ่านไม่เห็นเหมือนกัน” เสร็จแล้วก็หันไปจุ๊บราตรีสวัสดิ์ ตั้งใจจะนอนจริงๆ แต่ริมฝีปากบางที่แตะอยู่นั้นคล้ายกับมีแม่เหล็กดูดดึงไม่ให้ถอนออกได้ง่ายๆ

ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมหนีและเขาเองก็ไม่อยากปล่อย วินทร์กดจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าในขณะที่มือก็เริ่มซุกซนจากที่วางอยู่แค่หัวไหล่ก็ไต่ลงต่ำเรื่อยๆ จนถึงเนินสะโพก ทันทีที่ปลายนิ้วสอดผ่านขอบกางเกงนอนลงสัมผัสผิวเนื้ออุ่นวินทร์ก็เริ่มได้สติ เขากดย้ำริมฝีปากอีกครั้งแล้วถอนออกมาซุกลงที่ข้างซอกคอขาว ที่อุตส่าห์ลงทุนไปหาอะไรทำเพื่อเบี่ยงเบนความคิดจากเรื่องบนเตียงพังทลายลงไม่มีชิ้นดีด้วยจูบเดียว

“ฉันรู้ว่าตอนนี้มันดึกแล้ว…” วินทร์เอ่ยอ้อมแอ้มจะขอกันตรงๆ ก็นึกเกรงใจตารางงานวันพรุ่งนี้ แต่ยังไม่ทันจะพูดจบประโยคคนที่กอดอยู่ก็สอดสองแขนเข้าโอบรอบแผ่นหลังแล้วกระซิบที่ข้างหู

“โปรโมชั่นวันวาเลนไทน์ที่ขอไว้ ถ้าไม่ใช้คืนนี้ก็หมดสิทธิ์แล้วนะครับ”
 
วินทร์ตอบสนองต่อคำพูดนั้นไวปานสายฟ้าแลบ เขาพลิกตัวกลับรวดเร็วกดคนตัวเล็กกว่าลงกับเตียง ในเมื่ออีกฝ่ายยื่นคำอนุมัติมาขนาดนี้ เขาก็ขออนุญาตนำไปปฏิบัติโดยข้ามส่วนที่โรแมนติกไปส่วนอิโรติกเลยละกัน

ริมฝีปากป้อนจูบลึกล้ำดึงความสนใจไปจากมือที่ค่อยคลายกระดุมชุดนอนของคนที่อยู่ใต้ร่างออกทีละเม็ด ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ไปตามแผงอกขาวหมดจด เขาลากมือลงผ่านช่วงอก ท้อง ไปจนถึงเนินสะโพก เขาค่อยๆ ทำอย่างไม่รีบเร่งราวกับหยุดเวลาไว้แล้วและราตรีนี้ยังอีกยาวนาน สัมผัสนุ่มนวลของปลายนิ้วที่ลากไปบนผิวทำให้ขนอ่อนลุกซู่จุดอารมณ์หวามไหวให้ติดขึ้น ไม่ใช่เป็นแบบที่ลุกโชนแล้วดับไป แต่เหมือนถ่านไม้คุกรุ่นที่ร้อนระอุมาจากข้างในพร้อมจะโหมไหม้และให้ความร้อนยาวนานโดยไม่มอดดับลงง่ายๆ

ในขณะที่ริมฝีปากยังไม่ละออกจากกัน มือทั้งสองข้างของวินทร์ต่างก็สาละวนกันคนละที่ ข้างหนึ่งพอใจกับการเล่นยอดอกสีอ่อนที่เป็นไตแข็งขึ้นสู้มือ ส่วนอีกมือก็เพลิดเพลินกับการเค้นคลึงบั้นท้ายสลับกับการบดเบียดสะโพกแข็งแรงของตนเข้าหา สักพักเดียวมือข้างนั้นก็จัดการรูดกางเกงนอนผ่านเรียวขาออกไปโดยที่นรกรแทบไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ

ริมฝีปากละออกจากกันเป็นครั้งแรกให้คนใต้ร่างที่ลมหายใจแปรปรวนเริ่มหายใจไม่ทันได้สูดลมเข้าเต็มปอด วินทร์ค่อยขยับตัวลงต่ำมาใช้ปลายลิ้นเล่นกับยอดอกแทนมือที่เลื่อนลงไปช่วยมืออีกข้างที่กำลังพยายามจะหาทางเข้าสู่ข้างในที่ยังคงรัดแน่น

วินทร์ใช้สองนิ้วถูไถไปตามร่องลึกช้าๆ เน้นๆ เผลอแผลบเดียวเขาก็แทรกผ่านนิ้วชี้เข้าไปได้สำเร็จ มันค่อนข้างฝืดเล็กน้อยแต่เพียงแค่ขยับนิ้วเข้าออกไม่กี่ครั้งน้ำหล่อลื่นตามธรรมชาติก็เริ่มไหลออกมาชุ่มฉ่ำ ทว่าเท่านี้มันยังไม่เพียงพอ เขาละริมฝีปากจากยอดอกจูบสลับกับขบเม้มผิวเนื้อเบาๆ ไล่ต่ำลงเรื่อยๆ ผ่านหน้าท้องแบนราบ มาจนถึงจุดอ่อนไหวที่ตอนนี้เริ่มแข็งขืน เขาใช้มือข้างที่ว่างจับเรียวขาแยกออกจากกันจนกว้างพอให้เขาสอดตัวเข้าตรงกลาง เขากัดหยอกๆ ลงบนต้นขาขาวเรียกเสียงสูดปากเบาๆ จากอีกฝ่าย แล้วค่อยพรมจูบลงข้างซอกขาทั้งสองสลับกันไปมาจนสะโพกที่จับไว้เริ่มอยู่ไม่สุข มันขยับส่ายไปมาอย่างไร้การต้านทานส่งสัญญาณเชิญชวนให้วินทร์เริ่มบทรักต่อไป เขาอ้าปากออกใช้ปลายลิ้นสัมผัสวนไปรอบๆ ส่วนปลายที่สีอมชมพูระเรื่อตัดกับผิวขาว ร่างเล็กสะดุ้งเกร็งขึ้นเล็กน้อยเมื่อเขาครอบปากทับลงไปและเริ่มดูดดึง

ในขณะที่ส่วนอ่อนไหวในปากแข็งขึ้นเรื่อยๆ ช่องทางด้านหลังก็เริ่มอ่อนนุ่มจนเขาสอดนิ้วกลางตามเข้าไปได้

“อย่าเพิ่งเสร็จนะ”

วินทร์กระเซ้าแกมขอร้องคนที่นอนเกร็งปลายเท้าจิกเตียง นัยน์หลับตาพริ้ม สองมือขยุ้มศีรษะเขาแน่นจนเริ่มเจ็บนิดๆ

วินทร์ยกตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อขยับกลับขึ้นมากดจูบลงบนริมฝีปาก และในขณะที่ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดอยู่ในโพรงปากหวาน เขาก็ถอนนิ้วออกทางช่องทางแคบด้านหลังแล้วสอดลูกชายของตนเขาแทนที่

ถึงจะขยายขนาดเตรียมพร้อมไว้แล้ว แต่สองนิ้วนั้นก็ยังเล็กไปสำหรับลูกชายของวินทร์ที่กำลังโตเต็มที่ ร่างโปร่งสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความความคับแน่น ถ้าเป็นสมัยที่คบกันใหม่ๆ วินทร์ต้องหยุดพักไปครู่หนึ่งและใช้วิธีจูบเพื่อให้นรกรผ่อนลมหายใจตามให้ทัน แต่ตอนนี้พวกเขาผ่านจุดนั้นมาแล้ว ร่างกายของนรกรเรียนรู้ที่จะยอมรับเขาเข้าไป เขาไม่จำเป็นต้องรอเพียงแต่ต้องช้าลงพร้อมกับกระตุ้นอารมณ์หวามผ่านปลายลิ้น แล้วเพียงแค่อึดใจจังหวะที่เนิบช้านั้นก็ค่อยๆ เร่งแรงขึ้นเรื่อยๆ

“รู้สึกว่าจะไม่ได้มีดีแค่สีสวยสินะ” วินทร์อดหยอกคนที่บิดตัวอยู่ใต้ร่างไม่ได้ แม้ในแสงไฟสลัวยังพอเห็นเลือดฝาดที่สูบฉีดจนแก้มออกสีระเรื่อ ริมฝีปากแดงฉ่ำ ดูเหมือนว่านอกจากเจ้าของใหม่ที่เพิ่งซื้อมาลองใช้นั้นจะบางเฉียบแล้วบนพื้นผิวยังมีลวดลายเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยกระตุ้นให้รู้สึกดีขึ้นได้

วินทร์หยุดพักเล็กน้อยพร้อมกับจับนรกรให้นอนคว่ำ เขาส่งหมอนให้นรกรกอดไว้แล้วสอดแขนเข้าใต้ลำตัวดึงสะโพกเล็กให้ยกลอยขึ้นแล้วสอดใส่ลูกชายกลับเข้าไปอีกครั้งด้วยจังหวะเดิม เขาชอบท่านี้มากกว่าเพราะมันเข้าได้ลึกและทำให้เขาเล่นกับร่างกายอีกฝ่ายได้ง่ายขึ้น มือหนึ่งหยอกล้อกับยอดอก ในขณะที่อีกมือกอบกุมส่วนล่างแล้วขยับไปตามแรงสะโพก

“พี่วินทร์…” เสียงหวานที่ครางเรียกชื่อตนซ้ำๆ ทำให้วินทร์รู้ว่าอีกฝ่ายเกือบจะถึงแล้ว ครั้งนี้เขาไม่ขัดและตอบสนองด้วยการขยับสะโพกให้เร็วและแรงขึ้นอีกจนส่วนล่างนั้นทั้งร้อนและเปียกชุ่มไปด้วยน้ำรักที่ไหลออกมาไม่หยุด หัวใจสูบฉีดเต้นแรง อารมณ์หวามพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกินจะฉุดรั้ง แล้วในที่สุดมันก็ระเบิดออกมา

“ขอจูบหน่อย” วินทร์กระซิบข้างหูพร้อมกับคว้าลำคอระหงดึงให้หันหน้ามา ลมหายใจของอีกฝ่ายที่ทั้งร้อนและแรงพุ่งมากระทบหน้า นัยน์ตาหวานเยิ้ม และริมฝีปากแดงฉ่ำนั้นเร้าอารมณ์ของวินทร์ที่ยังคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าจะหยุด เขากดจูบหนักหน่วงพร้อมๆ กับขยับอย่างแรงอีกครั้ง… และอีกครั้ง… ทั้งสองร่างกอดเกี่ยวกันแน่นกระตุกพร้อมๆ กันก่อนที่จะนิ่งไป

วินทร์ดูดดึงริมฝีปากอิ่มนั้นอีกครั้งเป็นการทิ้งท้ายก่อนจะถอนออกพร้อมๆ กับดึงตัวลูกชายที่หมดแรงออก จัดการโยนถุงยางที่ใช้แล้วทิ้งลงถังขยะข้างเตียงเสร็จแล้วก็หันมาดึงตัวนรกรขึ้นมานอนพักบนอก… ตอนที่ทำนั้นรู้สึกดีก็จริงแต่อีกตอนหนึ่งที่ดีมากไม่แพ้กันคือการได้โอบกอดและคลอเคลียหลังจากทำเสร็จแล้วหลับไปด้วยกัน… หรือถ้ายังไม่ง่วง การที่นอนกอดก่ายแนบชิดกันทั้งตัวที่เปลือยเปล่าแบบนี้ก็ช่วยให้เขาปลุกไฟในตัวนรกรขึ้นมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

(ต่ออีกนิดค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

เขาซุกจมูกลงบนเรือนผมสีอ่อนสูดกลิ่นกายให้ชุ่มปอดพลางลูบมือไปตามแผ่นหลังลงไปจนถึงเนินสะโพกแล้วประคองกอดไว้หลวมๆ สายตาเหลือบมองนาฬิกาจากโทรศัพท์มือถือที่บอกเวลาเกือบตีสองแล้ว

วินทร์เม้มปากชั่งใจระหว่างไปต่ออีกยกกับปล่อยให้อีกฝ่ายได้นอนพัก แล้วจู่ๆ คนที่นอนใช้อกเขาต่างหมอนก็พูดขึ้น

“พี่วินทร์โกรธผมเรื่องอะไรครับ” นรกรเอ่ยถามเสียงแหบเล็กน้อยจากกิจกรรมที่ทำร่วมกันเมื่อครู่

วินทร์ผงกศีรษะขึ้นเพื่อมองหน้าให้ชัดๆ “โกรธอะไร? เปล่านี่”

“เรื่องดอกไม้นั่น… ปกติพี่วินทร์ชอบแกล้งก็จริง แต่ก็ไม่เล่นแรงแบบนี้” นรกรพูดต่อ “มีอะไรก็พูดมาครับ ถ้าโกรธผมจะได้ขอโทษ ถ้างอนผมก็จะได้ง้อถูก”

“ไม่มี” วินทร์พยายามปฏิเสธ แต่พอสบสายตาที่มองจ้องมาอย่างตรงไปตรงเขาก็ยอมแพ้ เมื่อก่อนนรกรเป็นคนคิดอะไรก็ไม่พูดจนเขาต้องเค้นถามจึงจะได้คำตอบ แต่หลังจากคบกันก็ยอมเปิดใจมากขึ้นเพราะฉะนั้นเมื่ออีกฝ่ายรวบรวมความกล้าเอ่ยถามมาแล้วเขาก็ต้องให้คำตอบแม้จะไม่ค่อยอยากตอบเท่าไหร่ “เอ่อ… มีก็ได้”

“เรื่องอะไรครับ”

“เมื่อวันก่อนฉันเห็นนายนั่งดูสมุดบันทึกเล่มนั้นน่ะ แล้วก็นั่งยิ้มอยู่คนเดียว… ฉันรู้ว่ามันไม่มีอะไร… แต่ก็ไม่ชอบใจน่ะ”
คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากัน “เล่มไหนครับ”

“ก็ไอ้เล่มนั้นน่ะ” วินทร์พยักเพยิดเป็นเชิงว่ารู้กันเพราะเขาไม่อยากเอ่ยชื่อบุคคลที่สามออกมา “ก็เล่มนั้นไง”

นรกรนิ่วหน้านึกอยู่อึดใจก็ลุกขึ้นจากเตียงคว้าเสื้อเชิ้ตสำหรับใส่นอนที่กองอยู่ข้างเตียงขึ้นมาสวมลวกๆ แล้วเดินไปที่โต๊ะทำงาน เปิดลิ้นชักล่างสุดแล้วหยิบเอาของข้างในออกมาและเดินกลับมาที่เตียง “เล่มนี้หรือเปล่าครับ”

วินทร์เหลือบตามองพร้อมกับพยักหน้า “อือ”

นรกรนั่งลงข้างกันแล้วยื่นสมุดเล่มนั้นให้ “เปิดสิครับ”

“ไม่เอาหรอก มันสมุดบันทึกของนาย”

“ผมอนุญาตแล้ว” นรกรบอก “เปิดดูสิครับ”

วินทร์รับมา ใจหนึ่งก็ยังเกรงใจ อีกใจก็อยากรู้ และในใจลึกๆ ก็กลัวจะเจ็บกับความทรงจำเก่าๆ ที่แสนสวยงามของอีกฝ่าย

เขาค่อยๆ เปิดออกแบบสุ่มตรงกลางๆ เล่มแล้วก็ต้องประหลาดใจกับหน้ากระดาษที่ค่อนข้างใหม่ ไม่เหมือนหนังสือเล่มเก่าที่เก็บมาหลายปี เขากวาดตามองผ่านๆ รวดเร็วตรงหัวกระดาษซึ่งมีวันที่กำกับไว้ และมันก็เป็นวันที่เมื่อเดือนก่อนนี่เอง วินทร์ลองพลิกย้อนกลับไปหน้าแรกๆ และมันก็เป็นช่วงเวลาก่อนหน้านั้นไม่นานนัก

นรกรไม่ได้เขียนบึนทึกประจำวันแบบไดอารี่ เขาใช้วิธีแปะสิ่งที่ได้มาในวันนั้นไว้เป็นเครื่องเตือนความทรงจำพร้อมกับโน้ตสั้นๆ ว่ามันคืออะไร มีที่มาที่ไปอย่างไร… และแทบทุกวันนั้นที่มีการบันทึกนั้นก็เรื่องของวินทร์อยู่ด้วย มีตั้งแต่เศษกระดาษที่เขาเขียนแปะไปกับข้าวกล่องว่า ‘ห้ามแอบเติมน้ำปลา!’ ที่จับแก้วกาแฟกันร้อนที่เขาวาดรูปหน้ายิ้มไว้ ตั๋วหนังที่ไปดูด้วยกัน มีกระทั่งใบเสร็จหรือกระดาษที่มีชื่อร้านอาหารที่ไปกินด้วยกัน

มันคือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่แสดงถึงความใส่ใจกัน ทำให้รู้สึกว่าทุกวันที่ได้ใช้เวลาร่วมกันเป็นวันพิเศษไม่ใช่มีแต่วันสำคัญตามเทศกาลเท่านั้น… และสิ่งนี้ก็ทำให้วินทร์ตื้นตันจนพูดไม่ออก ได้แต่พลิกดูหน้าแล้วหน้าเล่าและแอบอมยิ้มเขินๆ กับตัวเอง

“เล่มของพี่ปอผมทิ้งไปแล้ว” นรกรบอกเรียบๆ

“ทิ้ง?!” วินทร์แปลกใจไม่น้อยเพราะเท่าที่เขาเคยเห็นนรกรทั้งหวงและยังมีความอาลัยอาวรณ์มันมากทีเดียว

“ตั้งแต่ช่วงรับปริญญาปลายปีที่แล้ว” นรกรพูดต่อ

วินทร์นึกถึงหน้าฝนที่แล้วที่ตอนนั้นเขาก็แอบหึงเบาๆ ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่หลายวัน และแก้ปัญหาด้วยการทำโทษนรกรโดยไม่สนว่าจะเป็นกลางวันกลางคืนในวันที่ฝนตก “จริงๆ นายไม่ต้องทิ้งก็ได้นะ… เอ่อ… แต่ก็ทิ้งไปแล้วนี่นา”

“เสียดายเหมือนกันครับแต่ถ้ามันทำให้พี่วินทร์รู้สึกไม่ดี ทิ้งไปก็ไม่เสียใจ”

วินทร์มองสมุดบันทึกในมือสลับกับคนตรงหน้า รู้สึกดีใจที่นรกรให้ความสำคัญกับเขามากขนาดนี้

“ก็ว่าแปลกๆ อยู่ตอนเห็นกุหลาบแดงเพราะทั้งทิดกับพี่วินทร์รู้ว่าพี่ปอชอบกุหลาบแดงมาก พี่วินทร์เลยเลี่ยงไปให้ดอกฟอร์เก็ตมีน็อต… กุหลาบแดงช่อนั้นกับกุหลาบขาวหนึ่งดอกมีความหมายอย่างที่บอกจริงๆ สินะครับ… อยากเป็นคนพิเศษ คนที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ ”

“ขอโทษนะที่เป็นคนใจแคบ” วินทร์บอกเสียงอ่อยรู้สึกผิดจริงๆ กับนิสัยนี้ของตัวเอง
นรกรมองดูคนที่หน้าเจื่อนไปถนัดแล้วพิงศีรษะลงข้างหัวไหล่พร้อมกับลูบแขนเบาๆ ให้รู้ว่าไม่ได้โกรธเคืองอะไร “แคบก็ดีครับ ผมจะได้อยู่คนเดียว”

“อึดอัดหรือเปล่า”

“ตอนนี้สบายมากครับ ถ้ารู้สึกว่าเริ่มเยอะเกินไปแล้วจะบอก”

“ขอบคุณนะ” วินทร์กระซิบพร้อมกับกดจูบลงกลางหน้าผาก

“ถ้าหายงอนแล้วก็เอาคืนมาได้แล้วครับ” นรกรบอกพร้อมกับดึงสมุดคืนแต่วินทร์ยังยื้อไว้

“ขอดูอีกนิดสิ”

“พอแล้วครับ แค่นี้ผมก็เขินจะแย่แล้วนะ” นรกรแย่งคืนมาได้สำเร็จ เขารีบลุกออกจากเตียงเอาไปเก็บไว้ในลิ้นชักตามเดิม

“แล้วนายเอาดอกกุหลาบฉันไปเก็บไว้ไหน” วินทร์ถาม ช่อกุหลาบแดงนั้นเขาเห็นใส่แจกันวางไว้อย่างดีในห้องรับแขก แต่เขาไม่เห็นดอกกุหลาบขาว ทีแรกก็คิดว่านรกรคงเอามาทับใส่สมุดไปแล้ว ทว่าที่เขาแอบเปิดดูเมื่อกี้ก็ไม่เห็นมี

“ในลิ้นชักไงครับ”

“ทำไมไปเก็บไว้ตรงนั้นล่ะ” วินทร์ถามด้วยความแปลกใจพร้อมกับชะโงกตัวไปเปิดลิ้นชักหัวเตียงดู แต่สิ่งที่เจอกลับสร้างความประหลาดใจให้อีกครั้ง เขาค่อยๆ หยิบเอากล่องของขวัญสีแดงสดขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่พอถือได้ด้วยมือเดียวออกมา “นี่อะไรน่ะฮาร์ฟ”

“คิดว่ามีแต่ตัวเองหรือไงครับที่เซอร์ไพรส์เป็น” นรกรบอก

“ของขวัญให้ฉันเหรอ” วินทร์ถามด้วยความตื่นเต้นพลางคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าตนได้อะไร กล่องนั้นมีน้ำหนักพอสมควร และจากการลองเขย่าเบาๆ ก็ไม่ช่วยบอกใบ้อะไร

นรกรเดินกลับมานั่งลงข้างกันพร้อมกับบอก “เปิดสิครับ”

วินทร์แกะกล่องของขวัญด้วยหัวใจเต้นรัว แวบแรกที่เห็นคือผ้าผืนหนึ่งเขาหยิบมันออกมาคลี่ออกดูแล้วก็หัวเราะเสียงดัง เพราะมันคือผ้ากันเปื้อนสีขาวลายหมีสีน้ำตาลแถมยังมีขนปุยๆ ตรงหน้าหมีด้วย

“เวลาทำกับข้าวตอนเช้าชุดจะได้ไม่เปื้อนไงครับ” นรกรบอก

“รู้ใจจริงๆ” วินทร์เอาผ้ากันเปื้อนมาลองแนบกับตัวตั้งใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะใช้จริงๆ แล้วตอนนั้นเองที่สายตาเหลือบไปเห็นอะไรอีกอย่างอยู่ก้นกล่อง เขาวางผ้ากันเปื้อนลงและหยิบเจ้าสิ่งนั้นขึ้นมาดู “แล้วนี่อะไรน่ะฮาร์ฟ”

“ร้านขายผ้ากันเปื้อนเขาแถมที่ทับกระดาษมาให้ด้วยมั้งครับ” นรกรพูดยิ้มๆ

“ผ้ากันเปื้อนนี่ราคาเท่าไหร่เนี่ยทำไมถึงได้ของแถมแพงจัง” วินทร์ถามในขณะที่พลิกวัตถุทรงสีเหลี่ยมขนาดเหมาะมือสีดำวาววับเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืนไปมา

“แพงเพิงอะไรกันครับ ผมซื้อมาจากตลาดนัดหน้าโรงพยาบาลนี่เอง ผืนละ 199 บาทผมต่อได้ 150 บาทด้วยนะ เก่งไหมล่ะ”

วินทร์โอบแขนข้างหนึ่งลงรอบตัวเจ้าของของขวัญแล้วดึงมาชิดอกกว้าง… ที่ทับกระดาษอะไรราคาเกือบครึ่งแสน ใช้โทรออกรับสายได้แถมยังถ่ายรูปชัด นี่ไปแอบซื้อมาตอนไหนเนี่ย

“แล้วนั่นจะทำอะไรครับ” นรกรถามคนที่จู่ๆ ก็ยกโทรศัพท์เครื่องใหม่ขึ้นเปิดโหมดกล้องถ่ายรูปแล้วหันมาทางเขา

“อยากได้ภาพหน้าจอใหม่”

นรกรยกมือขึ้นปิดเลนส์กล้อง “แล้วมาถ่ายอะไรกันตอนนี้ครับ”

“ก็เขาโฆษณาว่าถ่ายในที่มืดก็สวย”

“แต่ไม่ใช่ในสภาพนี้ครับ”

“งั้นไม่ตั้งเป็นหน้าจอ แต่ขอถ่ายเป็นที่ระลึกก็ได้ นะ นะ” วินทร์กระเซ้า

“ไม่เอาอยู่ดีครับ เดี๋ยวคนอื่นเห็น” นรกรว่ามือหนึ่งยังปิดเลนส์กล้อง อีกมือรวบสาบเสื้อที่ไม่ได้ติดกระดุมสักเม็ดเข้าหากัน

“ไม่มีใครเห็นหรอกน่า ฉันจะเก็บไว้ดูคนเดียว”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่วินทร์ต้องเอามือถือไปอวดคนอื่นแน่ๆ” นรกรพูดอย่างรู้ทันก่อนจะหาทางมุดหนีเข้าโปงผ้าไปได้สำเร็จ “ไม่เอาหรอก”

วินทร์พยายามแกะผ้าห่มที่ม้วนเป็นก้อนกลมออกแต่ก็ไม่สำเร็จ… ก็ว่าทำไปตั้งเยอะทำไมแรงยังเหลือล่ะ “ไม่ถ่ายแล้วก็ได้ ออกมาให้เห็นหน้าหน่อย”

“ไม่ถ่ายแล้วจริงๆ นะครับ” เสียงนรกรดังอู้อี้ออกมาจากใต้ผ้าห่ม

“อืม” วินทร์รับคำ… ตอนนี้ไม่ถ่ายแล้วจริงๆ เดี๋ยวเอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยแอบถ่ายรูปตอนหลับไว้เก็บในคอลเล็กชั่นภาพส่วนตัวก็ได้
นรกรค่อยเลื่อนผ้าห่มลงและโผล่หน้าออกมา

“ไม่ถ่ายแล้วแต่ขอจูบทีได้ไหม” วินทร์ถาม “แทนคำขอบคุณ”

“ทำไมคำขอบคุณของพี่วินทร์แต่ผมต้องเปลืองตัวด้วยล่ะ” นรกรบ่น

“แล้วนายอยากได้อะไรล่ะ” วินทร์ถาม “บอกมาสิ ยกเว้นดาวกับเดือนฉันจะไปหามาให้”

นรกรมองตอบสายตาจริงจังของคนตรงหน้า ริมฝีปากค่อยคลี่ยิ้มช้าๆ อย่างสะท้านอายพร้อมกับกระซิบเสียงเบา “ปีหน้าไม่เอากุหลาบนะผมอายน้องๆ กับคนไข้”

“งั้นเอาเป็นดอกฟอร์เก็ตมีน็อตช่อเล็กๆ เหมือนเดิมได้ไหม”

“ก็ได้ครับ” นรกรบอก “อันที่จริงไม่ต้องมีอะไรมาเซอร์ไพรส์ก็ได้ แค่ยังอยู่ด้วยกันไปอีกปีผมก็ดีใจแล้วครับ”

“งั้นฉันเอาตัวเองผูกโบให้เอาไหม”

“ให้ก็รับครับ” นรกรว่า

“งั้นมาเอามัดจำไปก่อน” วินทร์บอกพร้อมกับก้มหน้าลงจูบ
และทันทีทีริมฝีปากสัมผัสกัน ไฟที่ยังดับไม่สนิทก็แตกเปรี๊ยะขึ้น

“ฮาร์ฟ… โปรโมชั่นวันวาเลนไทน์ของฉันใช้หมดไปหรือยัง” วินทร์กระซิบถามทั้งทียังขบเม้มกลีบปากล่างของนรกรเล่นอยู่ และตอนนี้มือทั้งสองข้างก็เลื้อยลงไปยึดสะโพกเล็กไว้ไม่ให้ขยับหนีได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“หมดแล้วครับ” นรกรตอบ

“ว้า~ แย่จัง”

“แต่ถุงยางยังไม่หมด” นรกรบอกอ้อมแอ้ม “อยากใช้ก็ได้นะครับ”

“ใช้หมดสิบกล่องเลยได้ไหม”

“นี่จะเอามาเป่าเล่นหรือเอามาทำอะไรครับ” นรกรขบฟันเบาๆ ให้คนที่ยังงับปากเขาไว้ปล่อยเสียที “เก็บไว้ใช้ปีหน้าบ้างสิครับ”

“ไม่ได้หรอกเดี๋ยวหมดอายุ” วินทร์บอกหน้าตาเฉยพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบซองพลาสติกขึ้นมาหนึ่งชิ้น “ใส่ให้หน่อยสิ”

“ใครจะใช้ก็ใส่เองสิครับ”

“งั้นไม่ใส่นะ”

คนฟังตาโตพร้อมกับเอ็ดเบาๆ “เดี๋ยวติดโรคนะครับ”

“ไม่กลัวหรอกติดมานานแล้ว” วินทร์ว่า

“โรคอะไรครับ”

“โรครักนายไง” วินทร์ยิงมุกที่คิดว่าเด็ดที่สุด และมันก็ได้ผล แก้มขาวซับสีฝาดขึ้นทันที “ตกลงจะใส่ให้หรือไม่ให้ใส่”

“ถ้าพี่วินทร์ไม่ใส่ ผมก็ไม่ให้ใส่เหมือนกัน” นรกรยื่นคำขาด

“ใส่เอง ฉันใช้สองอันนะ”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน “เขาให้ใส่ทีละอันไม่ใช่เหรอครับ”

“อืม” วินทร์ไม่ต่อความอะไรอีกแล้วก้มหน้าลงจูบ กว่านรกรจะคิดตามเกมได้ทันเขาก็คงแกะซองอันที่สองเสร็จพอดี

บอกแล้วใช่ไหมว่าค่ำคืนนี้ยังอีกยาวนาน

**********************************************
Talk

ไม่เจอกันนานคุยกันหน่อย
เขียนNC ครั้งแรกในรอบหลายปี... งือ~ เขิน เค้าพยายามทำตามสัญญาแล้วนะ(เปิดเพลงลุงตู่ประกอบ) ได้ประมาณนี้แหละ จะพยายามหัดเขียนให้มากขึ้นนะ(หรือเปล่าฟะ555)
เอาเป็นว่าขอตรงๆ เลยละกัน คอมเมนต์นิด ด่าก็ได้ให้กำลังก็ดีแบบว่ารามือจากnc18+แบบจัดเต็มขนาดนี้มานานมาก
ขอบคุณล่วงหน้างับ ^___^



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-02-2018 14:18:23 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เขิลลลลล

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ tkaekaa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
 :-[ ฟินมาก ไม่คิดว่าจะได้อ่านnc พี่วินทร์เป็นตลกนะคะ 555

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ทำไมฮาร์ฟต้องใจอ่อนตลอด
หมั่นไส้พี่วินทร์โว้ยยยยยยยย

ปล. เขารักกันละมุนมาก รู้สึกได้ว่านี่คือร่วมรัก

ออฟไลน์ haramoonlight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ทำไมพี่วินทร์ฬ้ายยยยย ถ้าใส่เองจะใช้สองอัน ทำไมเราโฟกัสแค่ประโยคนี้ 5555

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
ยังน่ารักเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
       Wooooooow!!!!
ดีมจมากเลยค่ะที่มาต่อตอนพิเศษให้ทั้งสองคนน่ารักไม่เปลี่ยนเลยค่ะ :heaven :heavenช่างเป็นวาเลนไทน์ที่หวานน่ารักและ18+ได้ลงตัวที่สุดค่ะ :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อะร้างงงงง.....ดีต่อใจจริงๆ  :hao5: :heaven
โปรโมชั่นวาเลนไทน์ ใช้หมดโปรเลย ทั้งกล่อง    :pighaun: :haun4: :jul1:

พี่วินทร์ ฮาร์ฟ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ciaiwpot

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1098
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
หมออออออออออออ
พรุ่งนี้จะไปทำงานยังไงล่ะ
ตีสองยังไม่ได้นอนต่ออีกสองรอบ
ฟ้าเหลือง
 :z1: :z1: :z1: :z1:

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ขอตอนพิเศษ มาอีกนะค๊ะ รักเรื่องนี้

ออฟไลน์ Naamtaan22

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
สวัสดีค่ะอ่านจบภายในวันเดียวเลยค่ะ  สนุกมากๆเลยเห็นชื่อเรื่องครั้งแรกแล้วนึกว่าจะเป็นเรื่องวัยมหาลัยซะอีกแต่ดีจังค่ะที่เป็นวัยทำงาน  เพราะตอนนี้เราชักอิ่มกับเรื่องรักตอนเรียน  เปิดมาตอนแรกก็สร้างความแปลกใจได้มากๆเลยค่ะ  ไม่คิดว่าให้นายเอกหมอฮาร์ฟเป็นหมอแล้วมีสัมผัสพิเศษเห็นวิญญาณอีกด้วยย้อนแย้งดีจัง  เราค่อนข้างเชื่อเรื่องเวลา49วันนะคะเพราะเจอมาด้วยตัวเองแล้วค่อนข้างอินเวลาอ่านอะไรแนวนี้มากพอสมควร  ชอบการวางพล็อตเรื่องมากๆเลยค่ะ  ค่อนข้างซับซ้อนเดาทางได้ยากแต่ก็ถ้าจับสังเกตุดีๆคุณก็บอกใบ้คนอ่านมาตลอดใส่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆมาให้ได้เอะใจเสมอ  เราเชียร์พี่หมอวินทร์มาตั้งแต่ต้นเลยค่ะ  ชอบผู้ชายแบบนี้มากๆดูเป็นไปได้จริงกับการมีตัวตนจริงๆดียิ่งตอนหลังๆยิ่งชอบมากขึ้นเรื่อยๆอีกแถมดีใจมากสุดๆที่การเดาของตัวเองถูกส่วนหมอฮาร์ฟเป็นอะไรที่เราเข้าใจในลักษณะนิสัยที่คนเขียนพยายามบอกเพราะเราก็มีบางส่วนที่เหมือนหมอฮาร์ฟเหมือนกันค่ะ 

สำหรับพาร์ทครอบครัวของหมอฮาร์ฟนั้นเราเข้าใจนะความสัมพันธ์แบบที่ต่างคนต่างอยู่แล้วไม่ยอมพูดคุยกันดีๆเลยทำให้เข้าใจผิดกันนานหลายปีแต่ก็สามารถปรับความเข้าใจกันได้ในท้ายที่สุดก่อนที่จะสายเกินไป  เราว่าทั้งหมดมันลงตัวที่สุดแล้วแถมยังจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งทำให้เรารู้สึกว่าดีใจจริงๆนะที่ได้มาอ่านนิยายเรื่องนี้  text book  เป็นงานเขียนเรื่องแรกที่เราได้อ่านผลงานของคุณแล้วเราจะตามไปอ่านเรื่องอื่นๆของคุณต่อไปนะคะ

ป ล.เราชอบตอนพิเศษมากๆเลยทั้งหวานทั้งฟิน :mew1:

ออฟไลน์ ๐๐ตะวัน๐๐

  • ๐๐๐ลูกตาล๐๐๐
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
อร๊ายยยยย น่ารัก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
คิดถึงคนเขียน..ยังสนุก น่ารักเหมือนเดิม   :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ noy

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-9
หวานจัง :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
หวานมากและ :jul1:มากด้วย

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ถ้าชั้นเลือดหมดตัวใครจะรับผิดชอบเนี่ย!
งื้อออออออออ
เขินตัวจะแตก(ไม่ได้แตกเพราะน้ำหนักนะคะ555555)

ออฟไลน์ PUN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :hao5:

อ่านเรื่องนี้แล้วประทับใจมาก คือมีอารมณ์ร่วมตามตัวละครจริงๆ  :กอด1:

ออฟไลน์ หมูหมู่

  • Your love ; Sometimes so hot, sometimes so cool
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-0

อ่านรวดเดียวจบ จริงๆแล้วเราพอจะเดาอะไรได้บ้าง แต่ไม่คิดว่าปมของเรื่องจะเป็นเหมือนที่เฉลย อ่านไปเเล้วเครียดมาก คิดตามอย่างหนัก พอค่อยๆเฉลยปุ๊บ เราเซอร์ไพรซ์ แต่งดีมากๆ

ขอบคุณนิยายดีๆมากค่า
 :L1:

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่1 Sign P.24 [15/05/2561]
«ตอบ #717 เมื่อ15-05-2018 22:39:50 »

Text Book#2

Intro

It is much simpler to buy books than to read them
and easier to read them than to absorb their contents.
William Osler

การซื้อหนังสือนั้นง่ายกว่าการอ่านหนังสือ และยิ่งง่ายกว่าการอ่านหนังสือนั้นให้เข้าใจ

…ความรักก็เช่นกัน…

การตกหลุมรักใครสักคนเป็นสิ่งที่ง่ายกว่าการมีความรัก และยิ่งง่ายกว่าการรักษาความรักนั้นไว้ตลอดไป

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2018 17:06:13 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 1 Sign

นัยน์ตาสีอ่อนหลังกรอบแว่นจับจ้องอยู่ที่ชิ้นส่วนของสมองส่วนหน้า เนื้อสีปกติที่ควรเป็นสีขาวอมเทามีจุดช้ำเลือดเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วไปหมดแสดงให้เห็นถึงการกระทบกระเทือนอย่างหนัก นัยน์ตานั้นยังคงนิ่งสนิทจนแทบไม่เห็นปฏิกิริยาการกะพริบ ในขณะที่มือทั้งสองขยับไม่หยุดแข่งกับเวลาชีวิตที่นับถอยหลังเรื่อยๆ หากเขาไม่สามารถค้นหาเจ้าสิ่งนั้นได้

และแล้วความพยายามก็ประสบผล ก้อนเลือดขนาดใหญ่ที่กดเบียดสมองอยู่ด้านใน เขาจัดการเอามันออกไปได้สำเร็จ
นายแพทย์หนุ่มผ่อนลมหายใจยืดยาวอย่างโล่งใจเป็นครั้งแรกนับจากยืนขาแข็งอยู่ในห้องผ่าตัดนานกว่าสี่ชั่วโมง มันเป็นเคสฉุกเฉิน เหตุเกิดตรงแยกไฟแดงบนถนนเส้นหลังโรงพยาบาลนี่เอง คนไข้กำลังขับรถกลับบ้านหลังเลิกงานเหมือนที่ทำเป็นประจำมาหลายปี ทว่าวันนี้เขาไม่อาจกลับถึงบ้านเพราะโดนรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งฝ่าไฟแดงมาปาดหน้า เขาหักหลบกะทันหัน คนขับรถมอเตอร์ไซค์ปลอดภัยในขณะที่รถของเขาเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้าเต็มที่

“ลุ้นแทบตายเลยนะ”

เสียงทุ้มดังขึ้นข้างตัว ร่างสูงใหญ่ในชุดสีเขียวของห้องผ่าตัดเดินมายืนเคียงข้างพร้อมกับถอดผ้าปิดปากปิดจมูกออกเผยให้เห็นรูปหน้าคมสันที่มีไรหนวดขึ้นเขียวตามแนวกราม

“กะโหลกแตกละเอียด เลือดออกในสมอง สมองทั้งช้ำทั้งบวมขนาดนั้นแถมญาติก็ไม่มี เป็นฉันนี่ไม่สู้แล้วนะ” วินทร์พูดพลางยกมือปิดปากหาว “ง่วงเป็นบ้าเลย กลับไปนอนกันเถอะ พรุ่งนี้เราต้องไปธุระด้วยกันแต่เช้านะ”

นรกรพ่นลมหายใจออกจมูกกึ่งขำคนที่บ่นเป็นหมีกินผึ้ง อยากถามกลับไปจริงๆ ว่าแล้วใครขอร้องให้มาช่วย ตัวเองอยู่เวรหรือก็เปล่า แค่เขาส่งข้อความบอกว่ามีเคสด่วน จู่ๆ คนที่น่าจะกลับบ้านไปแล้วก็เดินเข้ามาในห้องผ่าตัดเฉยเลย “เคสนี้อาจารย์ภูมิศิลป์ท่านลงมือเองเลยนะครับแล้วจะไม่ให้ผมมาช่วยได้ยังไง”

“ก็ถ้านายบอกสักคำว่าอาจารย์เข้าด้วยฉันก็คงไม่ย้อนกลับมาหรอก นึกว่าอยู่แต่กับเจ้าพวกลูกเจี๊ยบ”

“แล้วใครขอให้มาครับ กลับบ้านไปนอนก็ดีแล้ว” นรกรว่าออกไปจนได้ “ตัวก็โตเต็มห้องผ่าตัด สมองคนไข้ก็มีอยู่แค่นั้นเอง”

“ทำเป็นพูดดี วันหลังจะปล่อยให้อยู่คนเดียว” วินทร์ทำเป็นเชิดใส่ พูดไปแบบนั้นแหละ ต่อให้ไม่กลับบ้านก็คงนั่งแกร่วรอแถวๆ โรงพยาบาลนี่แหละ ใครจะอยากกลับไปนอนเหงาๆ คนเดียวกัน “จะว่าไปอาจารย์ภูมิศิลป์นี่ก็พอๆ กับพ่อนายเลยนะ ขยั๊นขยัน ดูสิ นี่ปาไปตีหนึ่งตีสองแล้วก็ยังช่วยผ่าจนจบเคสทั้งๆ ที่นายก็อยู่เวรแท้ๆ”

“อาจารย์คงเห็นว่ายากมั้งครับ แล้วพูดกันตามตรงผมก็เพิ่งจบได้ยังไม่ครบสามปีดีเลย ยังถือเป็นyoung staffอยู่ อาจารย์คงไม่ไว้ใจให้ทำกับน้องๆ”

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก” วินทร์ยกมือขึ้นสัมผัสไหล่คนช่างถ่อมตัว “เพราะนายกับอาจารย์เหมือนกันต่างหาก”

“อะไรครับ”

“ใจดีไง” วินทร์บอก “พวกขี้เป็นห่วง พวกชอบสอน”

“ชมกันขนาดนี้ผมไม่มีลูกสาวจะยกให้หรอกนะหมอวินทร์” อาจารย์ภูมิศิลป์ที่เพิ่งเปลี่ยนชุดเสร็จเดินมาร่วมวง

“ผมไม่ได้ชมสักหน่อยครับแค่พูดความจริง ตั้งแต่ผมมาเรียนที่นี่จนถึงตอนนี้อาจารย์ดูแลผมดีตลอดเลย” วินทร์ไม่ได้พูดเอาใจเพราะโดนจับได้อะไร เขาแค่พูดไปตามสิ่งที่สัมผัสได้ ถ้าเปรียบอาจารย์สรวิชญ์เป็นด้านมืด… หมายถึงในแง่ของความดุน่ะนะ… อาจารย์ภูมิศิลป์ก็คือด้านสว่าง ผู้ชายวัยสี่สิบปลายๆ พูดเก่งมากพอๆ กับรอยยิ้มสวยทรงเสน่ห์ มีข่าวลือว่าสมัยหนุ่มๆ เจ้าชู้มากมีสาวๆ ต่อคิวมาให้เลือกยาวเป็นหางว่าว และไม่รู้ว่าเป็นเพราะเลือกมากหรือไม่อยากจะเลือกใครตอนนี้แกก็อยู่เป็นหนุ่มใหญ่ที่ยังโสดสนิท ที่อุทิศทั้งชีวิตให้กับงานและใช้เวลาว่างที่เหลือในการดูแลน้องแพทย์ประจำบ้านกับนักเรียนแพทย์เหมือนลูกแท้ๆ ของตัวเอง

“เอาไว้พูดกับอาจารย์พ่อของเธอเถอะ” อาจารย์ภูมิศิลป์พูดกลั้วขำ “ผมแค่ทำไปตามหน้าที่น่ะ ไม่ได้ใจดีอะไรหรอก อายุมากแล้วแถมยังอยู่คนเดียวนอนไม่หลับเลยมาหาอะไรทำน่ะ นี่ถ้ารู้ว่าคนมีคู่บางคนนอนไม่หลับเหมือนกัน ผมก็คงไม่ผ่าเองหรอก กลับบ้านไปนอนดีกว่า”

วินทร์ยิ้มเขินไม่รู้จะแก้ตัวยังไง เพราะเป็นตัวเองที่นอกจากจะไม่ปิดบังเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับนรกรแล้วยังแสดงออกชัดเจนอีกต่างหาก

“ผมไปก่อนนะพรุ่งนี้เจอกัน” อาจารย์ภูมิศิลป์กล่าวลา

“สวัสดีครับอาจารย์” ทั้งสองยกมือไหว้พร้อมกันก่อนวินทร์จะหันไปบอกกับนรกร “เราก็ไปนอนกันบ้างเถอะ… มาเถอะฮาร์ฟ” วินเรียกซ้ำเมื่อเห็นนรกรนิ่งไป “มีอะไร”

“เปล่าครับ” นรกรรีบบอกพลางดึงสายตากลับมา “แค่… เปล่าครับ พี่วินทร์ครับผมลืมสมุดจดเคสไว้ในล็อกเกอร์น่ะพี่วินทร์ไปเปลี่ยนชุดแล้วฝากหยิบมาให้หน่อยได้ไหมครับ”

“ได้สิ รอแป๊บนึงนะ”

“ขอบคุณครับ”

ทันทีที่ร่างสูงใหญ่ของวินทร์คล้อยหลัง นรกรก็หันกลับไปมองยังจุดเดิมที่เขามองอยู่เมื่อสักครู่ ตรงแถวเก้าอี้ที่ตั้งไว้หน้าห้องผ่าตัดสำหรับให้ญาตินั่งรอ ตรงเก้าอี้ตัวในสุดที่โดนเงาของเสาบังไว้ครึ่งหนึ่ง เขาเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
นรกรค่อยเดินเข้าไปหาช้าๆ

“มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”

“ผมเอาหนังสือมาให้ครับ”

นรกรหลุดถอนหายใจออกมาเล็กน้อยกับชายหนุ่มหน้าตี๋ที่เดินออกจากเงามืดมายืนยิ้มหวานอยู่ตรงหน้า “คุณพาสมาทำอะไรตรงนี้ครับ”

“ผมเอาหนังสือมาให้” ภาษิตหรือพาสพูดซ้ำพร้อมทั้งส่งถุงหนังสือให้ “วันก่อนไปงานหนังสือ บังเอิญเจอเรื่องที่คุณหมอน่าจะชอบน่ะครับเลยซื้อมาให้”

นรกรรับถุงมาเปิดดู นัยน์ตาสีอ่อนหลังกรอบแว่นเป็นประกายวาววับขึ้นมาทันทีเพราะมันคือ textbook ฉบับอัปเดทล่าสุดที่เขาอยากได้ไว้อ้างอิง “ขอบคุณนะครับ”

คนให้อมยิ้ม ไม่เสียแรงที่ไปขอนั่งฟังตอนนรกรประชุมเคสกับรุ่นน้องทำให้ได้ยินอีกฝ่ายเปรยว่าน่าสนใจ เขาจึงดั้นด้นเดินฝ่าผู้คนไปหามาให้ “วันนี้ผ่าตัดเลิกดึกเลยนะครับ เหนื่อยไหมครับ”

“นิดหน่อยครับ”

“แล้วนั่นอะไรติดหน้าคุณหมอน่ะครับ” ภาษิตชี้ไปที่ข้างแก้ม “หันมาสิครับเดี๋ยวผมดูให้”

นรกรใช้มือลูบเองไม่เห็นมีอะไรติดมา จึงเอียงหน้าให้อีกฝ่ายช่วยดู “อะไรครับ”

“รอยมาส์กน่ะครับ” ภาษิตบอกหลังจากใช้ปลายนิ้วสัมผัสแล้วจับมาได้แค่เนื้อแก้มนิ่ม “มันมืดผมเลยดูผิดน่ะ”

“คุยกับใครน่ะฮาร์ฟ” วินทร์ที่เปลี่ยนชุดเสร็จเดินออกมาหา “คุณนี่เอง มีธุระอะไรกับฮาร์ฟเหรอครับ”

“คุณพาสเอาหนังสือมาให้ครับ” นรกรชิงตอบเสียก่อน

“พอดีผมเพิ่งเสร็จจากเลี้ยงรับรองลูกค้าน่ะครับ ผ่านมาทางนี้เลยแวะเอาของมาให้”

วินทร์กวาดตาดูชายหนุ่มหน้าตี๋ตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “ตีสองแล้ว… ขอบคุณนะครับที่ดึกขนาดนี้ยังอุตส่าห์มารอ” เขาทำน้ำเสียงไม่พอใจอย่างไม่ปิดบัง ไม่ว่าเหตุผลไหนก็ฟังไม่ขึ้นที่ผู้แทนจากบริษัทยาชื่อดัง หรือที่เขาชอบเรียกสั้นๆ ว่า ‘เซลล์ขายยา’ จะแวะมาหานรกรตอนนี้ ถึงแม้จะอ้างว่าอยากเอาใจลูกชายของคนที่มีอำนาจตัดสินใจในการสั่งซื้อยาตัวใหม่เพื่อนำมาใช้รักษาคนไข้ก็เถอะ แต่นี่มันตีสองแล้วนะ! อมพระประธานวัดพระแก้วมาพูดเขาก็ไม่เชื่อเว้ย!!

“ดูท่าวันๆ เวลาจะเหลือเยอะนะครับ” วินทร์ประชด

“ก็เหลือไม่เยอะเท่าไหร่หรอกครับ ต้องวิ่งไปโรงพยาบาลสลับกับบริษัท บางวันก็มีเลี้ยงรับรอง แต่สำหรับคุณหมอแล้วผมทำว่างเสมอครับ” เพราะภาษิตตอบด้วยท่าทีที่ดูไม่เสแสร้งนั่นยิ่งทำให้คนขี้หึงหงุดหงิด

“ไว้มาหาตอนเช้าก็ได้มั้งครับ”

“เห็นว่าตอนเช้าคุณหมอมีสอน ผมกลัวไม่เจอแล้วก็จะเป็นการรบกวนน่ะครับ ยังไงคืนนี้ผมก็ว่างอยู่แล้วเพราะว่าอยู่คนเดียวน่ะครับ”

…นอกจากขายยาเก่งแล้วยังเนียนขายตัวเองเก่งอีกต่างหาก… วินทร์นินทาในใจ

นรกรมองคนสองคนที่เริ่มเขม่นใส่กันแปลกๆ แล้วจึงรีบตัดบท “ขอบคุณ คุณพาสมากนะครับสำหรับหนังสือ ผมขอตัวกลับบ้านก่อนนะครับ”

“ขับรถดีๆ นะครับ” ภาษิตบอก

“ผมเป็นคนขับ” วินทร์รีบพูดแทรกพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่นักขายมือหนึ่งที่ทำเพียงส่งยิ้มกว้างมาให้พร้อมกับกล่าวทิ้งท้าย

“ฝันดีนะครับคุณหมอ”

นรกรหันไป คิ้วเรียวย่นเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะรีบตอบออกไป “ครับ”

เพราะมัวแต่มองภาษิต วินทร์จึงไม่ทันสังเกตว่าถึงนรกรจะตอบรับคำของภาษิต แต่สายตานั้นกลับมองเลยไปด้านหลัง ซึ่งเจ้าตัวก็รีบปรับสีหน้าทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเหมือนทุกครั้งที่เขาเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นก่อนจะถูกวินทร์ดันหลังให้รีบเข้าลิฟต์ไป

oooooo

“ฮาร์ฟไปนอนได้แล้ว” วินทร์ลุกจากเตียงมาเรียกนรกรที่กำลังอ่านหนังสือที่ภาษิตให้มาอย่างสนอกสนใจ เขาเหลือบตามองนาฬิกาอีกครั้ง ตอนนี้ล่วงไปถึงสามนาฬิกาของวันใหม่แล้ว “อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้วนะ”

“พี่วินทร์ไปนอนก่อนเลยครับ ผมขออ่านตรงนี้อีกหน่อย” นรกรตอบทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นมา

วินทร์ยกมือขึ้นกอดอก เริ่มหงุดหงิดเพราะนี่ไม่ใช่การเรียกครั้งแรกแต่เป็นครั้งที่สามแล้ว เขาเดินเข้าไปยืนข้างๆ และเอื้อมมือไปดึงหนังสือจากมือนรกรมาถือไว้ “พอได้แล้วฮาร์ฟ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยอ่านต่อ”

“ผมบอกพี่วินทร์แล้วนี่ครับว่าขออ่านให้จบตรงนี้ก่อน”

“นายเดี๋ยวมาสามเดี๋ยวแล้วนะ” วินทร์บอก “เราตกลงกันแล้วไว้ยังไงเรื่องนี้ นายยังจำได้ใช่ไหม”
คนถูกทวงสัญญาถอนหายใจ “พี่วินทร์ก็เอาแต่คิดถึงเรื่องใต้สะดือ”

“เดี๋ยวนะ!” วินทร์ว่า “ฉันยังไม่ได้คิดอะไรเลย ฉันก็แค่อยากให้นายเลิกอ่านไอ้หนังสือบ้านั่นแล้วไปนอนได้แล้ว... ตกลงที่ต้องรีบอ่านใจจบนี้เป็นเพราะเนื้อหามันน่าสนใจหรือเป็นเพราะกลัวไปคุยกับไอ้คนที่ให้มาไม่รู้เรื่องกันแน่”

“ผมว่าพี่วินทร์พาลใหญ่แล้วนะ” นรกรเองก็เริ่มอารมณ์ไม่ดีเช่นกัน

“ก็นายมาว่าฉันก่อนทำไมล่ะ” วินทร์สวนกลับ “นี่ดูไม่ออกจริงๆ เหรอว่าหมอนั่นมันกำลังจีบนาย”

“ดูออกครับ” นรกรบอก “แต่จะให้ผมทำปั้นปึงใส่เขามันก็ไม่ใช่เรื่องนี่ครับ เขาก็แค่มาคุยด้วยดีๆ แล้วเขาจะทำอะไรได้มากกว่านี้ในเมื่อพี่วินทร์ก็ประกาศตัวอยู่ว่าเป็นแฟนผม แล้วผมก็ไม่ได้ชอบเขา พี่วินทร์ก็แค่หึงเพราะเขาดูเป็นผู้ชายที่ผมเคยบอกว่าตรงสเปคเท่านั้นเอง”

วินทร์หน้าบึ้งที่โดนพูดแทงใจดำ “อยากทำอะไรก็ตามใจ อยากอ่านจนถึงเช้าไม่หลับไม่นอนก็ตามสบาย ฉันไม่สนใจนายแล้ว” พูดจบก็ส่งหนังสือคืนแล้วเดินย่ำเท้าหนักๆ กลับไปล้มตัวลงนอนบนเตียง

นรกรกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วหยิบหนังสือมาเปิดหาหน้าที่อ่านค้างไว้

ตามปกติแล้วเขาจะเป็นคนที่ตั้งสมาธิได้ง่ายมาก แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ อย่าว่าแต่อ่านให้จบหน้าเลย นรกรอ่านวนย่อหน้านี้ซ้ำมาสี่ห้ารอบแล้วก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ได้เข้าหัวเลยสักนิด เขากำลังหงุดหงิด... มากด้วย... กับการทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“ข้อตกลงบ้าอะไรก็ไม่รู้” นรกรบ่นพึมพำ

...ขึ้นเตียงช้าหนึ่งชั่วโมง ต้องยอมมีอะไรด้วยหนึ่งครั้งจนกว่าจะพอใจ... นั่นคือข้อตกลงระหว่างทั้งสอง

“ใครมันช่างคิดนะ”

ถึงจะเป็นข้อตกลงที่ฟังดูไร้สาระ แต่มันก็ผ่านการคิดและตกตะกอนระหว่างทั้งสองคนมาดีแล้ว เพราะวินทร์เองก็ต้องปรับอารมณ์ให้ยังยิ้มได้ทั้งที่จริงในใจก็คงหงุดหงิดไม่ต่างจากเขา

คิดมาถึงนรกรก็เริ่มใจเย็นลง จริงๆ แล้ววินทร์แค่โกรธที่เขาไม่ยอมนอนทั้งที่ตีสามแล้วและพรุ่งนี้มีนัดกันว่าจะไปทำบุญวันพระที่วัดด้วยกันแต่เช้าต่างหาก ส่วนเรื่องหึงนั่นถึงจะมีส่วนอยู่บ้างแต่เขาเองที่เป็นคนพาลเปิดประเด็นขึ้นมาตามที่อีกฝ่ายบอก

นรกรปิดหนังสือเก็บแล้วลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังห้องนอน

ปกติแล้วเขาจะขึ้นเตียงทางด้านซ้ายเสมอเพราะวินทร์จะยึดที่นอนฝั่งขวาไป ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าเจ้าตัวถนัดแบบนี้... ถนัดที่จะให้เขานอนหนุนบนแขนข้างซ้ายแล้วจะได้เหลือแขนขวาเอาไว้กอด

วันนี้วินทร์ก็ยังนอนในตำแหน่งเดิม แต่เขาหันหน้าหนีไปอีกทางทั้งยังคลุมโปงแน่นเหลือแต่ส่วนลูกตากับจมูกไว้หายใจ

นรกรยืนมองโปงผ้า ตัดสินใจระหว่างปล่อยให้วินทร์นอนหลับไปก่อนแล้วตอนเช้าค่อยมาคุยกัน หรือจะปลุกขึ้นมาง้อตอนนี้ นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองนาฬิกาที่เดินไปจนเกือบจะถึงเลขสี่แล้ว

เขาเดินอ้อมเตียงไปอีกฝั่ง แล้วล้มตัวลงนอน

“ทำไมมานอนตรงนี้ ที่นอนนายมันฝั่งโน้นต่างหาก” วินทร์พึมพำเสียงห้วนออกมาจากผ้าห่ม

“ไม่ใช่ครับ” นรกรบอกพร้อมกับเบียดตัวเข้าหา “ที่นอนผมคือตรงนี้ต่างหาก”

“นิสัยเสียแล้วนะเราน่ะ” วินทร์ว่า “คิดว่าทำอะไรผิดก็ได้ เพราะแค่ง้อนิดๆ หน่อยๆ ฉันก็จะยกโทษให้สินะ”

“ขอโทษครับ” นรกรพูด “พี่วินทร์แค่เป็นห่วง ข้อตกลงนี้เราก็ช่วยกันคิด ผมเองก็ยอมรับแล้ว”

คนในผ้าห่มเงียบไปอึดใจ “ขอโทษที่พาล”

“ตกลงผมนอนตรงนี่ได้ใช่ไหมครับ”

“ไม่ได้”

“ทำไม...”

วินทร์เปิดผ้าห่มออก แล้วใช้สองแขนรั้งคนตัวเล็กกว่าเหวี่ยงข้ามตัวเองไปนอนอีกฝั่งของเตียง “เพราะที่ของนายคือตรงนี้”

“ครับ” นรกรรับคำแล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าคมที่วางเกยอยู่ตรงหน้าผากของตน ลำแขนแข็งแรงถูกสอดรัดรอบตัวหากวินทร์ก็แค่กอดไว้เท่านั้นไม่มีทีท่าจะทำอะไรจนเขานึกสงสัย “ไม่ทำเหรอครับ”

“ไม่ล่ะ”

“ยังโกรธอยู่เหรอครับ”

“แค่ฉันอยากนอนกอดนายเฉยๆ นี่มันผิดมากเลยหรือไง”

“ไม่ผิดครับ แต่มันแปลก”

วินทร์ถอนหายใจแรง… วันพระตั้งใจจะรักษาศีลสักหน่อย แต่จะว่าไปศีลข้อข้อสามมันแค่ห้ามผิดลูกเมีย แล้วนี่ก็เมียเขาเองนี่นาไม่ได้ไปพรากของใครมา “งั้นก็ช่วยไม่ได้นะ” เขากระซิบพร้อมกับพลิกตัวขึ้นคร่อม

“ไหนว่าไม่ทำไงครับ”

“เปลี่ยนใจแล้ว” วินทร์บอกก่อนจะก้มหน้าลงปิดปากคนที่ชอบดื้อกับเขามากขึ้นทุกวัน เห็นทีต้องสั่งสอนเสียหน่อยว่าให้รู้บ้างว่าใครเป็นใคร

“พี่วินทร์อย่าเล่นมันจั๊กจี้” นรกรหัวเราะคิกคักพลางใช้สันมือดันหน้าคมที่ไรหนวดเริ่มขึ้นเขียวครึ้มทั้งที่ไม่ได้โกนหนวดแค่สองวันให้ออกห่างเพราะแทนที่จะจูบดีๆ วินทร์กลับถูคางเล่นไปมาตรงระหว่างแก้มกับซอกคอ

“ไม่เล่นแล้วก็ได้” วินทร์บอกพร้อมกับใช้แขนเท้าไว้ข้างศีรษะเพื่อดันตัวออกมองคนบนเตียงให้ชัดๆ

นรกรใช้สองมือประคองใบหน้าไว้ นัยน์ตาสองคู่จึงบังเอิญสบกัน เสียงหัวเราะหยุดลงเมื่อเขามองลึกเข้าไปในแววตาที่พราวระยับที่แสดงถึงความต้องการอย่างไม่ปิดบัง เกิดความรู้สะท้านอายขึ้นในอกจนต้องใช้ปลายนิ้วไล้ไปรอบคางที่อุดมหนวดนั้นแก้เขิน “พรุ่งนี้โกนด้วยนะครับ”

“ไม่ล่ะ” วินทร์ประกบมือทับลงไปบนเรียวนิ้วที่ยุกยิกอยู่ข้างแก้มแล้วเลื่อนริมฝีปากไปกดจูบหนักๆ ลงกลางฝ่ามือ… นิ่มนวลและเนิ่นนานทั้งที่ยังทิ้งสายตาให้สบกันไว้ “นั่นมันหน้าที่นาย”

“งั้นผมโกนให้นะ” นรกรเปลี่ยนคำใหม่ ก่อนจะกัดปากแน่นเมื่อความรู้สึกอุ่นซ่านแล่นจากฝ่ามือ ตรงที่วินทร์ยังฝังริมฝีปากไว้พุ่งเข้ากลางอกพาให้หัวใจเต้นรัวขึ้น นึกเกลียดตัวเองที่มักบ่นว่าเขาหมกมุ่น แต่ร่างกายของตัวเองก็ยอมให้เขาง่ายดายเหลือเกิน
ริมฝีปากอุ่นขยับไล่ขึ้นมาตามลำแขน แวะเล่นตรงเนินหัวไหล่ก่อนจะมาหยุดลงที่ข้างแก้ม และเลื่อนลงหยอกเย้าที่ยอดอก
เขาชอบตรงที่วินทร์ไม่เคยเร่งรัดแม้บางครั้งก็ควรจะรีบบ้างอย่างตอนนี้ที่อีกไม่กี่ชั่วโมงฟ้าจะสางก็ยังไม่เคยลัดขั้นตอนหรือหักหาญน้ำใจกัน และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่มำให้นรกรไม่เคยปฏิเสธได้ลง เพราะอีกฝ่ายใส่ใจกันขนาดนี้ และมันก็รู้สึกดีทุกๆ ครั้ง

“พ… พอได้แล้วมั้งครับ”

“อีกนิดนะ”

“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ… ม… มันจะ… เช้าแล้วนะ”

ตาคมตวัดขึ้นมองก่อนจะขยับไปกระซิบที่ข้างหู “ปากตรงกับใจหน่อยสิ… จะเช้าหรือจะเสร็จ”

“จะตีห้าแล้วนะครับ”

“ยังไม่เลิกปากแข็งอีก” คนขี้แกล้งคว้าเรียวขาข้างหนึ่งของอีกฝ่ายยกขึ้นพาดบนหัวไหล่เพื่อสอดปลายนิ้วเข้าสู่ด้านในที่ร้อนรุ่มให้ได้ลึกที่สุด ได้ยินเสียงครางเบาๆ จากคนที่นอนบิดอยู่ใต้ร่างเขากรีดยิ้มอย่างพึงใจเตรียมจะขยับเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะ

กริ๊ง… กริ๊ง…

“ขอเวลานอกครับ” นรกรละล่ำละลักบอกเพราะมันเป็นสายจากโรงพยาบาล แต่วินทร์ไม่ยอมปล่อย เขาละมือข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสายแล้วส่งให้

นรกรถลึงตาใส่ หากวินทร์ก็ยังไม่ยอมหยุดมืออีกข้างจนเขาต้องคว้าข้อมือแข็งแรงนั้นไว้แต่ก็แทบไม่ช่วยอะไรเลย

“พี่ฮาร์ฟครับ ขอโทษที่ต้องโทรปลุกตอนนี้ แต่ว่ามีเรื่องด่วนครับ”

เสียงร้อนรนที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ทำให้นรกรต้องรีบตอบรับ พยายามกลั้นหายใจไม่ให้เสียงสั่นหรือมีเสียงแปลกๆ หลุดออกไป

“ว่าไง”

เขาเงียบฟังเพียงแค่อึดใจก็กดตัดสายและหันมาบอกข่าวร้าย “คนไข้อีกคนอาการแย่ลงครับ น้องส่งไป CT ซ้ำแล้วมีเลือดออกเพิ่ม คงต้องผ่าใหม่ ผมต้องกลับไปโรงพยาบาลตอนนี้”

นรกรสบตาวินทร์ที่จ้องตาเขม็งมาคิดว่าต้องโดนโกรธแน่ๆ หากอีกฝ่ายก็ยอมหยุดมือทันทีและบอกเรียบๆ “เดี๋ยวฉันไปส่ง”

“ไม่เป็นไรครับผมไปเองได้ พี่วินทร์นอนเถอะ เดี๋ยวตอนเช้าต้องเตรียมของไปวัดอีก” เขารีบบอกอย่างร้อนรนแค่นี้ก็รู้สึกผิดกับวินทร์จะแย่แล้ว

“ส่งนายเสร็จเดี๋ยวค่อยกลับมาเตรียมก็ได้”

“แต่ว่า…”

“นายไปแต่งตัวซะ” วินทร์ตัดบทพร้อมกับลุกจากที่นอนแล้วคว้าเสื้อยืดมาสวมทับก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจรถ

เมื่อลงจากรถตรงหน้าห้องฉุกเฉินแล้ว นรกรก็ยังไม่ยอมลงจากรถ เขายังรีรออยู่ด้วยความรู้สึกผิดเพราะคำนวณเวลาแล้วยังไงก็ไม่น่าทันไปทำบุญด้วยกัน “เสร็จเคสแล้วผมจะโทรหานะ”

“ไม่เป็นไรฉันไปคนเดียวก็ได้แค่ทำบุญวันพระเอง” วินทร์ย้ำคำนี้ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนับตั้งแต่ขับรถมาด้วยกันจนถึงโรงพยาบาล

“แต่ว่า…”

“ไม่ต้องมีแต่แล้ว นายไปช่วยคนไข้ ส่วนฉันจะไปทำบุญ ยังไงเราก็ได้บุญเหมือนกัน เสร็จแล้วเดี๋ยวฉันกลับมาหา ตกลงนะ” วินทร์บอกพร้อมกับยิ้มให้อีกฝ่ายคลายใจว่าไม่มีอะไรต้องกังวลกับการผิดนัดครั้งนี้

“ครับ” นรกรรับคำทั้งที่ยังรู้สึกผิดเต็มหัวใจ เขาหันไปจับที่เปิดประตูรถแล้วก่อนจะหันกลับมาและชะโงกตัวไปหอมแก้มคนขับรถครั้งหนึ่ง “ไว้จะชดเชยให้นะครับ” กระซิบที่ข้างหูก่อนจะลงจากรถไป

วินทร์ยกมือขึ้นลูบแก้มที่ยังอุ่นซ่านพลางมองตามหลังนรกรจนลับตาไป “ก็เป็นซะแบบนี้แล้วจะโกรธลงไหมล่ะ… คอยดูนะ ครั้งหน้าจะเอาให้ลุกไม่ขึ้นเลย”

พลันโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขาหยิบมากดดูข้อความที่ขึ้นเตือนสิ่งที่ต้องทำในวันนี้ เขายิ้มเหงาๆ กับโทรศัพท์ก่อนจะวางมันลงและขับรถออกไป

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“ขอโทษนะครับ”

“พอๆ ไม่ต้องขอโทษขอโพยอะไรแล้ว การมีเลือดออกซ้ำหลังผ่าตัดเป็นภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ พวกนายเองก็ทำเต็มที่แล้ว และตอนนี้คนไข้ก็ปลอดภัยแล้วด้วย” นรกรกล่าวกับน้องๆ แพทย์ประจำบ้านตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีห้าที่อยู่เวรเมื่อคืนยืนก้มหัวประหลกๆ อยู่ตรงหน้า

“พี่ฮาร์ฟ รีบกลับไปทำธุระต่อเถอะครับ เห็นวันนี้นัดกับพี่วินทร์ไว้นี่นา” แพทย์ประจำบ้านปีสามบอก

นรกรโบกมือกลบเกลื่อน ไม่ว่าใครก็รู้เรื่องที่พวกเขาเป็นแฟนกันสินะ “ไม่เป็นไรๆ เราตกลงกันแล้ว”

“พี่วินทร์จะไม่โกรธใช่ไหมครับ พวกผมเห็นพี่วินทร์ดูคาดหวังมากเลย วันสำคัญอะไรหรือเปล่าครับ” น้องแพทย์ประจำบ้านปีสี่ถามซ้ำ

“ไม่หรอก แค่ไปทำบุญเอง”

จิงโจ้ที่ตอนนี้ขึ้นเป็นพี่ปีห้าแล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา “พี่ฮาร์ฟรีบตามพี่วินทร์ไปเถอะครับ นี่เพิ่งจะเก้าโมงน่าจะทันถวายเพลนะครับ”

“ไม่เป็นไร เราตกลงกันแล้วว่าไว้ครั้งหน้าน่ะ”

“ครั้งหน้า?” จิงโจ้ทวน “ปีหน้าเลยนะครับ”

“ทำไมถึงเป็นปีหน้าล่ะ”

จิงโจ้ขมวดคิ้ว “อย่าบอกนะครับว่าพี่ฮาร์ฟไม่รู้จริงๆ ว่าวันนี้วันอะไร”

“ก็วันพระไง” นรกรตอบพาซื่อ

จิงโจ้หน้าตื่นขึ้นทันที เขาคว้ามือนรกรพร้อมกับพูดเสียงดัง “พี่ฮาร์ฟรีบตามพี่วินทร์ไปเดี๋ยวนี้เลยครับ”

oooooo

“เจอกันอีกแล้วนะโยม” พระภิกษุแก่พรรษาท่าทางใจดีผู้ทำหน้าที่รับสังฆทานกล่าวเมื่อชายหนุ่มถวายชุดสังฆทานเรียบร้อยแล้วก้มลงกราบเป็นอันเสร็จพิธี

“สิบสองปีแล้วสินะ” พระภิกษุกล่าวต่ออย่างผู้ที่คุ้นเคยกันดี เพราะอย่างน้อยปีละสองครั้งที่เขาจะเห็นชายหนุ่มคนนี้มาทำบุญที่นี่ ยังจำปีแรกๆ ที่เจอกันได้ดีตอนนั้นผู้ชายคนนี้ดูซีดเซียวเหมือนคนเพิ่งออกจากโรงพยาบาล หลังจากทำพิธีต่างๆ เสร็จก็มักจะมานั่งในโบสถ์หรือสวนด้านหลังไม่พูดไม่จากับใครแล้วก็กลับไปเงียบๆ คนเดียวตอนตะวันตกดิน เขาเคยถามครั้งหนึ่งว่ารอใครอยู่หรือเปล่าและคำตอบที่ได้รับคือ

“ครับ ผมกำลังรอเขาอยู่”

“ยังไม่เจอคนที่รออีกเหรอโยม” พระท่านลองถามดูอีกครั้ง

“เจอแล้วครับ แต่วันนี้เขาไม่ว่าง” วินทร์ยิ้มแห้งๆ พลางหยิบชุดสำหรับกรวดน้ำขึ้นมา พระสงฆ์เตรียมจะขึ้นบทสวดเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน

“รับซะสิ” พระท่านบอก

วินทร์ยกมือไหว้แล้วกดรับ ยังไม่ทันจะพูดอะไร คนปลายสายก็ใส่มาเป็นชุดเขาต้องเอามือป้องไว้พลางเหลือบตามองพระท่านด้วยความเกรงใจ

“พี่วินทร์ใส่บาตรเสร็จหรือยังครับ แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน”

“ใส่บาตรเสร็จแล้ว ตอนนี้อยู่ในโบสถ์น่ะ เพิ่งถวายสังฆทานเสร็จกำลังจะกรวดน้ำแค่นี้ก่อนนะ”

“โบสถ์ใหญ่ที่อยู่ด้านในใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมไปหา”

“นายอยู่นี่เหรอ ฮาร์ฟ เดี๋ยว…” วินทร์มองโทรศัพท์ที่โดนตัดสายไปดื้อๆ ก่อนจะหันไปหาพระท่านอย่างลังเล “ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับท่าน แต่ว่าผมขอ…”

“ไม่เป็นไรโยม อาตมารอได้”

“ขอบคุณครับ” วินทร์ยกมือไหว้แล้วรีบลุกไปที่ประตูโบสถ์ ยังไม่ทันจะไปถึง ใครคนหนึ่งก็ก้าวพรวดเข้ามาถึงตัว “มายังไงเนี่ยแล้ว…”

“นั่งแท๊กซี่มาครับ” นรกรบอกรัวเร็วก่อนจะมองข้ามไหล่วินทร์ไปเห็นพระที่นั่งอยู่บนอาสนะจึงหันมากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน “เรามีเรื่องต้องเคลียร์กันนะครับ” เขาบอกแล้วกลับเป็นฝ่ายเดินนำไปนั่งลงตรงหน้าพระ โดยมีวินทร์เดินตามมานั่งข้างกัน “ก่อนจะกรวดน้ำ ผมขออนุญาตถวายสังฆทานอีกชุดได้ไหมครับ”

“ได้สิโยม” พระกล่าวทั้งรอยยิ้มพลางผายมือไปยังมุมหนึ่ง “โยมเลือกชุดที่ต้องการได้แล้วเอาเงินใส่ตู้ เสร็จแล้วกลับมาหาอาตมาตรงนี้นะ”

เสียงสวดมนต์กังวาลไปทั้งบริเวณที่เงียบสงบ พระภิกษุผู้ทำพิธีพินิจดูชายหนุ่มสองคนที่นั่งประนมมือคู่กันอยู่ตรงหน้า สีหน้าของชายหนุ่มผู้มาคนเดียวทุกปีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด และถึงปากจะสวดตามคำพระหากสายตากลับเหลือบมองคนที่นั่งข้างๆ ตลอดเวลา ไม่ต้องจับยามสามตาหรือรอให้ใครอธิบายอะไรท่านก็เข้าใจในความเป็นไปของโลก รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นในหน้า ท่านดูแลทำพิธีจนกรวดน้ำเสร็จสิ้นและทั้งสองก้มลงกราบพร้อมกัน

“ขอบคุณหลวงพี่มากนะครับ” วินทร์บอก “วันนี้ผมรบกวนเสียอย่างเลย”

“ไม่เป็นไรหรอกโยมอาตมาเต็มใจ”

วินทร์ตั้งท่าจะกราบลาพระท่านก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “ทั้งสองคนขยับมาใกล้ๆ สิ อาตมามีของจะให้” แล้วล้วงมือลงในย่ามหยิบสายสิญจน์ทำจากด้ายถักสีขาวเป็นเชือกเส้นกลมออกมาสองเส้นแล้วผูกที่ข้อมือให้ทีละคน ท่านเลือกผูกให้นรกรก่อนโดยไม่กล่าวอะไรเพียงแต่พึมพำคำสวดในลำคอ พอถึงตาวินทร์พอท่านสวดจบก็เอ่ยขึ้น “โยม… สุขทุกข์อยู่ที่ใจหาใช่รูปกาย เชื่อมั่นในหนทางที่โยมเลือก จากนี้ไปขอให้พบเจอแต่ความสุขนะ”

“ขอบคุณครับ”

กราบลาพระเสร็จ ทั้งสองเดินตามกันออกมาข้างนอก และทันทีที่เท้าพ้นธรณีประตู นรกรก็ใช้สองนิ้วหยิกเนื้อที่ข้างแขนคนที่เอาแต่ยิ้มไม่พูดไม่จาแล้วบิดเต็มแรง

“โอ๊ย!” วินทร์สะดุ้งโหยงก่อนจะกัดปากแน่นเพื่อไม่ให้ส่งเสียงดังรบกวน “เจ็บนะฮาร์ฟ”

ลงโทษจนรู้สึกสาแก่ใจแล้วนรกรจึงยอมปล่อย “ไม่ต้องมายิ้มเลยครับ ทำไมพี่วินทร์ไม่ยอมบอกผมว่าวันนี้วันอะไร”

วินทร์ลูบแขนตัวเองที่เป็นปื้นแดง... เห็นตัวเล็กๆ แต่มือหนักเป็นบ้า “ฉันเกรงใจนี่นา”

“แล้วมันใช่เรื่องที่ต้องเกรงใจไหมครับ นี่วันครบรอบวันที่คุณแม่ที่พี่วินทร์เสียนะ”

“แค่คิดว่านายคงไม่ค่อยชอบมาที่ที่น่าจะ ‘พวกนั้น’ อยู่เยอะน่ะ” วินทร์พูดเสียงอ่อย

“อย่าคิดเองเออเองสิครับว่าผมชอบหรือไม่ชอบอะไร” นรกรเงียบไปอึดใจก่อนจะพูดต่อ “นับแค่ช่วงระยะเวลาที่คบกันก็ปีนึงแล้วนะครับ... ผมอยากรู้ทุกๆ เรื่องของพี่วินทร์ ไม่ได้อยากรู้เพราะเป็นแฟนกันเลยต้องรู้ แต่ผมอยากรู้เพราะอยากเป็นคนที่พี่วินทร์แชร์ได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่องสุขหรือเรื่องทุกข์”

“ขอโทษนะ” วินทร์บอก

“พี่วินทร์ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ” นรกรพูดต่อเสียงของเขาสั่นขึ้นเล็กน้อย “จริงๆ แล้วก็เป็นความผิดผมเองที่ไม่เคยถาม ถ้าจิงโจ้ไม่พูด ผมก็คงไม่รู้ไปจนถึงปีหน้า... ไม่สิ อาจไม่มีวันรู้เลยก็ได้... ขอโทษนะครับ”

“ไม่ต้องโทษตัวเองหรอกเพราะฉันตั้งใจไม่บอกนายเอง” วินทร์บอก ทั้งที่รู้สึกผิดกับอีกฝ่ายแต่ใบหน้าก็ยังเปื้อนยิ้มด้วยความรู้สึกดีใจท่วมท้นที่นรกรรีบมาหาและสนใจเรื่องของเขา “ที่ฉันบอกคนอื่นได้ แต่บอกนายไม่ได้มันมีเหตุผลน่ะ... มันเป็นความตั้งใจของฉันที่จะทำแบบนั้น”

“เหตุผลอะไรครับ”

“ฉันมีเรื่องขอร้องหน่อยได้ไหม อยากให้ไปที่ๆ หนึ่งด้วยกันน่ะ”

นรกรพยักหน้า วินทร์จึงคว้าข้อมือให้เดินตามไป เขาพาลัดเลาะลึกเข้ามาด้านหลังโบสถ์ที่เงียบเชียบมากขึ้นทุกทีผ่านสวนเล็กๆ เข้ามาตรงส่วนสุสานที่เป็นเจดีย์เก็บอัฐิเรียงราย วินทร์ไม่พูดอะไรเลยสักคำตลอดเวลาที่เดินมาจนกระทั่งหยุดลงหน้าเจดีย์องค์หนึ่ง ตรงฐานด้านหน้ามีกระถางจุดธูปปักไว้หนึ่งดอกที่ยังคงไม่มอด และในแจกันทองเหลืองสองใบก็มีช่อดอกเบญจมาศขาวแสนสวยปักอยู่

นรกรมองแผ่นหินอ่อนที่แปะรูปด้านหน้าซึ่งเป็นภาพของชายหญิงสองคนซึ่งน่าจะเป็นสามีภรรยากัน เขาไม่เคยเห็นหน้าพ่อกับแม่วินทร์มาก่อนแต่ก็คิดว่าเข้าใจไม่ผิด เขารีบยกมือไหว้แต่ยังไม่รู้จะพูดอะไร บางทีที่วินทร์อยากพาเขามาทีนี่แต่ก็ลังเลอาจเป็นเพราะอยากให้เขาใช้ความสามารถพิเศษที่มีช่วยเปป็นสื่อให้ นัยน์ตาสีอ่อนรีบกวาดมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวังเผื่อว่าจะเจอใครสักคนที่เหมือนกับในรูป แต่ในบรรดาวิญญาณที่วนเวียนอยู่ในบริเวณนั้นเขาก็ไม่เห็นใครที่น่าจะใช่เลย

แล้วตอนนั้นเองที่คนซึ่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้น

“พ่อครับแม่ครับ ผมมาหาอีกแล้ว ปีนี้ผมไม่ได้มาคนเดียวแล้วนะครับ ผมพาใครคนหนึ่งมาแนะนำให้รู้จักด้วยล่ะ”

นรกรรู้สึกประหม่านิดๆ เมื่อฝ่ามือที่จับอยู่ตรงข้อมือค่อยเคลื่อนขึ้นสัมผัสกลางหลังเบาๆ วินทร์ยังคงพูดไปเรื่อยๆ ทั้งที่ตรงหน้าไม่มีใครนอกจากควันธูปที่ลอยวนเป็นสาย แต่ตอนนี้นรกรเข้าใจแล้ว เพราะตัวเขายังมีครบจึงไม่ได้คิดถึงจุดนี้ และประโยคที่วินทร์พูดต่อมาก็ช่วยยืนยันในสิ่งที่เขาคิดได้เป็นอย่างดี

“เขาชื่อฮาร์ฟครับ เป็นคนสำคัญของผม… คงไม่ใช่ลูกสะใภ้ที่พ่อกับแม่หวังสินะ แต่ผมรักเขา อยู่กับเขาแล้วผมมีความสุขทุกวันเลย… ขอโทษนะครับที่เคยทำให้เป็นห่วง ตอนนี้ผมสบายดีแล้วนะ... ไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วนะครับ”

แล้วเสียงที่มั่นคงของวินทร์ก็ขาดหายไปเสียเฉยๆ นรกรหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างกัน ในสายตาที่ทอดมองรูปถ่ายนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งเศร้า รู้สึกผิด คิดถึง หากก็ยังมีประกายของความยินดีปนอยู่บ้างตรงมุมปากที่เหมือนจะยกขึ้นนิดๆ

“พี่วินทร์…” นรกรพูดไม่ออก เขาไม่รู้จะพูดอะไร ควรจะยกมือไหว้แล้วฝากเนื้อฝากตัวไหม หรือควรจะคิดหาถ้อยคำมาปลอบคนข้างๆ ก่อนดี

“ฉันไม่เป็นไร” เสี้ยวนาทีหนึ่งที่นัยน์ตาซึ่งหาสบกันนั้นดูเหมือนจะพังทลายลงด้วยน้ำตาที่เก็บไว้ข้างหลัง

โดยไม่รู้ตัวนรกรยื่นมือออกไปข้างหน้าและรวบตัววินทร์ไว้ในอ้อมแขน ไหล่กว้างนั้นสั่นเทิ้ม เขาออกแรงกอดไว้ให้แน่นมากที่สุดเท่าที่จะแน่นได้ “ผมไม่รู้ว่าจะทำให้พี่วินทร์มีความสุขได้ทุกวันไหมเพราะบางวันผมก็ทำตัวงี่เง่า แต่ผมสัญญา ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์เราจะอยู่ด้วยกันนะ”

วินทร์ไม่ได้ตอบหรือพยักหน้า แต่วงแขนที่ยกขึ้นกอดรัดแน่นพอๆ กันนั้นก็แทนคำตอบรับได้เป็นอย่างดี

“ปีหน้าผมก็ขอมาด้วยคนนะครับ”

“อืม”

สายลมพัดแรงมาวูบหนึ่งพาให้ธูปในกระถางที่กำลังจะมอดดับสนิทลงทันที

oooooo

“เรียบร้อยไหมครับ” จิงโจ้รีบปราดเข้าไปถามทันทีที่เห็นนรกรอีกครั้งตอนบ่าย สีหน้าของเขาดูไม่สู้ดีนักและหนักไปทางหงุดหงิดเสียมากกว่า

“เอ่อ… ไม่…” นรกรพยายามจะปฏิเสธแต่มันก็จุกจนพูดไม่ออก

“ทะเลาะกันมาเหรอครับ… พี่วินทร์คงงอนน่ะ พี่ฮาร์ฟก็ช่วยง้อหน่อยละกันนะครับ” จิงโจ้พยายามทำตัวเป็นกาวใจ หมู่นี้เขาเห็นสองคนนี้ดูระหองระแหงกันบ่อยเสียจนนึกหวาดๆ อยู่ในใจว่าสุดท้ายจะจูนกันไม่ติด

“เปล่า ไม่ได้ทะเลาะ” นรกรพยายามตัดบท จิงโจ้จะพูดต่อก็มีสายเข้าพอดี นรกรรีบยกขึ้นมากรับพลางหันหนีไปคุยอีกทาง “มีอะไรครับ แล้วนี่โทรมาทำไมขับรถอยู่ไม่ใช่หรอครับ”

“จอดติดไฟแดงอยู่หลังโรงพยาบาลเนี่ย” วินทร์บอก “แค่อยากเช็กให้นายใจน่ะว่านายไม่เป็นอะไร”

“ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

“แน่ใจนะ เห็นตอนลงรถเมื่อกี้ทำท่าเหมือนจะยืนไม่ไหว”

แก้มขาวซับสีเข้มขึ้นทันที พยายามจะลืมสาเหตุที่ทะเลาะกันแท้ๆ ยังจะมาชวนขุดคุ้ยอีก “แล้วสาเหตุเป็นเพราะใครละครับ”

“นายเริ่มก่อนนะ” ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหยอกเอินผสมกลั้วขำ

“ผมไม่ได้เริ่มสักหน่อย” นรกรเผลอพูดเสียงดังจนจิงโจ้ที่ตามมาแอบฟังสะดุ้งทำเป็นหันไปมองทางอื่นแทบไม่ทัน เขาหันไปเห็นพอดีจึงรีบรวบรัด “แค่นี้นะครับผมไม่อยากคุยกับพี่วินทร์แล้ว พี่วินทร์คนบาป”

“ใจร้ายเกินไปแล้วนะมาเรียกกันแบบนี้”

“ก็มันจริงนี่นา… พี่วินทร์!”

“เกิดอะไรขึ้นครับ” จิงโจ้ที่แอบฟังอยู่ตลอดชะโงกหน้าออกมาถามเพราะจู่ๆ นรกรก็ตะโกนออกมา

“จู่ๆ สายก็ตัดไป” นรกรเครือเสียงสั่น หูแว่วได้ยินเสียงสะอื้นลอยมาตามลม เขาเหลือบตามองไปเห็นหญิงสาวที่ปกติจะนั่งกอดเข่าก้มหน้าตรงชั้นสองยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้าหายไปครึ่งหนึ่งจากการถูกไฟไหม้เป็นสีดำเกรียม ตรงบริเวณที่น่าจะเป็นดวงตาทั้งสองข้างมีของเหลวสีแดงไหลรินลงมาเป็นสาย มันดูน่ากลัวมากพอๆ กับน่าสงสาร ใจของนรกรล่วงลงไปอยู่ตาตุ่ม ใบหน้าขาวซีดเผือด เขาก้มลงมองโทรศัพท์ในมือที่ถูกตัดสายไปแล้วกดโทรออกอีกครั้ง… และอีกครั้ง…

แต่มันคงไร้ความหมาย…

เพราะตอนนี้เจ้าของโทรศัพท์ไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว เมื่อรถอีกคันที่ขับมาด้วยความเร็วสูงเกิดเสียหลักและพุ่งข้ามเลนมาชนเข้าอย่างจัง แม้ถุงลมนิรภัยจะทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยมก็ยังไม่อาจปกป้องชีวิตคนขับไว้ได้ทั้งหมด มือที่ยังถือโทรศัพท์ค้างไว้ตกห้อยลงข้างตัว แรงกระแทกทำให้กระจกหน้ารถแตกยุบลงมาใส่ร่างที่หมดสติ กระจกนิรภัยนั้นตามปกติแล้วจะแตกเป็นเม็ดเล็กๆ เหมือนเม็ดข้าวโพดไม่ค่อยมีเหลี่ยมคมทำอันตรายต่อคนขับ ทว่า มันคงเป็นเหตุบังเอิญที่แปลกจนเกินไปที่เศษกระจกชิ้นใหญ่กลับตัดผ่านสายสิญจน์ที่ทำจากด้ายถักเส้นใหญ่ตรงข้อมือให้ขาดลงได้อย่างง่ายดาย 

คนเราอาจกำหนดวันที่จะพบกันได้ หากไม่มีใครล่วงรู้ว่าวันสุดท้ายจะมาถึงเมื่อไหร่... ไม่มีใครรู้ ยกเว้นก็เพียงเงาดำที่เร้นกายอยู่ในความมืด


**********************************************TBC*******************************************

Talk

ไม่อยากใช้ว่าเป็นภาค2 เลยค่ะ จริงๆ แล้วอยากให้เป็นส่วนเติมเต็มมากกว่า
หลังจากที่เขียนจบในตอนแรก... ตามความคิดเรามันยังไม่จบเลย มันยังมี "ปม" อีกหลายปมที่เราอยากเขียนแต่ยังไม่ได้เขียน ทั้งๆ ที่คิดเอาไว้หมดแล้ว ว่าถ้ามีคนสงสัยในจุดนี้ก็จะตอบงี้ๆ... แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครถาม555 เราเลยขอสนองนี้ดตัวเองอีกครั้ง เขียน "ฉาก" และ "บทสนทนา" ที่อยากเขียน เพื่อที่เราจะได้ไม่มีอะไรติดค้างให้มันวุ่นวายใจอีกต่อไป
 


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด