ภาคที่สอง : เชลยผู้สูงศักดิ์
บทที่ 16 : ข่าวลือ (1)
***********
สายลมบางเบากรีดผ่านยอดไม้ส่งให้ใบไม้สีเขียวสดที่เพิ่งแตกยอดออกมาได้ไม่นานเสียดสีกันเป็นเสียงซ่าฟังรื่นหู ภายในเก๋งกลางสระบัวภายในจวนแม่ทัพหย่งฉีบัดนี้หาได้ว่างเปล่าเช่นเคย กลับมีร่างสูงโปร่งของบุรุษสองคนนั่งอยู่คนละฝั่งฝากวางเม็ดหมากขาวดำสลับไปมาอย่างไม่รีบร้อน ใบหน้าของทั้งสองสงบนิ่ง บางคราแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม บางครั้งแปรเปลี่ยนไปตามจังหวะหมากบนกระดาน บรรยากาศกลมเกลียวราวกับสหายที่คบหากันมาชั่วชีวิต แต่ภาพอันสุขสงบนี้หาได้ทำให้คนมองชื่นชม
แต่เป็นความรู้สึกจนใจชนิดหนึ่ง
บุรุษทั้งสองมิใช่ใครอื่นนอกจากท่านแม่ทัพใหญ่ลู่ซือเหยียนผู้เป็นเจ้าของจวนแห่งนี้และเชลยผู้สูงศักดิ์ที่ถูกท่านแม่ทัพ 'ขอพระราชทาน' มาจากผู้ปกครองแผ่นดินในฐานะของรางวัลจากการชนะศึก อดีตรัชทายาทแห่งต้าซาง หลิวชางหลิน อันว่าของรางวัลที่ท่านแม่ทัพใหญ่ของในครานี้ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงสั่นสะเทือนขึ้นมาครั้งหนึ่ง ข่าวลือที่ว่าลู่ซือเหยียนชมชอบบุรษไม่ชอบสตรีลือกันมาได้พักใหญ่แล้วทว่าไม่มีผู้ใดเชื่อถือ พากันหัวเราะเย้ยหยันใส่หน้าของผู้ที่นำข่าวลือมาแพร่อย่างดูแคลน ท่านแม่ทัพลู่คือผู้ใด? คือเทพสงครามไร้พ่ายแห่งต้าเสียง! ความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์ แลผลงานที่สั่งสมมาทอดมองทั่วต้าเสียงก็หาได้มีผู้ใดเทียบเคียงได้! เป็นยอดบุรุษอย่างแท้จริง! บุคคลประเภทนี้จะนิยมบุรษด้วยกันได้เยี่ยงไร เหลวไหลสิ้นดี ด้วยเหตุนี้ข่าวลือจึงซาหายไปไม่มีผู้ใดหยิบยกขึ้นมาพูดอีก
บุรุษมากความสามารถย่อมเคียงคู่โฉมสะคราญ นี่เป็นความจริงที่ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนรับรู้ เดิมทีชาวเมืองถึงกับตั้งวงพนันขันต่อว่าคุณหนูสกุลใดจะโชคดีเป็นที่หมายปองของท่านแม่ทัพใหญ่ที่ครองตัวโสดมานานหลายปี มิคิดเลยว่าสายฟ้าที่เรียกว่าสมรสพระราชทานจะผ่าลงมากลางฟ้าแจ้ง ผู้ที่เอ่ยปากขอมิใช่ใครนอกจากลู่ซือเหยียน แม้ฮ่องเต้จะไม่ได้พระราชทานสมรสให้ทันที ทว่าก็ยินยอมยกเชลยผู้สูงศักดิ์หลิวชางหลินให้ไปอยู่ในความดูแลของแม่ทัพใหญ่ในที่สุดหลังจากเจ้าตัวเอ่ยปากว่านอกจากบุรุษผู้นี้แล้วตนเองไม่ต้องการรางวัลอื่นใดอีก จากเชลยศึกคนสำคัญแปรเปลี่ยนมาเป็นคู่หมายของท่านแม่ทัพใหญ่ในการเข้าเฝ้าเพียงครั้งเดียว
ชาวเมืองทั้งหลายรู้สึกราวกับถูกตบฉาดใหญ่จนแก้มร้อนผ่าว รู้สึกราวกับถูกหลอกลวงอย่างโหดร้าย ไม่มีผู้ใดทำใจให้เชื่อในข่าวเหลวไหลเช่นนี้ได้จนกระทั่งได้เห็นท่านแม่ทัพใหญ่ประคองมือของชายหนุ่มผู้หนึ่งลงจากรถม้าแล้วพาเข้าไปในจวนด้วยตนเอง เรื่องนี้ถึงกับทำให้เหล่าบ่าวไพร่ของจวนที่เพิ่งยืดอกอยู่ภูมิใจต้องพากันรีบซื้อรีบหาของใช้ให้มากพอหลังจากที่เจ้าของจวนสั่งปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใด
จากความตกตะลึงเป็นโกรธเกรี้ยว จากคาดหวังกลายเป็นผิดหวัง ราวกับหยดหมึกลงบนผ้าขาว ความน่านับถือและคุณงามความดีของจวนแม่ทัพคล้ายถูกสั่นคลอนในคราเดียว น้ำคำของชาวเมืองยิ่งมายิ่งเผ็ดร้อน คำวิจารย์ยิ่งนานคล้ายยิ่งจะทนฟังไม่ได้ขึ้นมาทุกที ทั้งๆที่ภายนอกร้อนระอุเช่นนี้ แต่ภายในจวนแม่ทัพนั้นคล้ายกับไม่รับรู้ถึงความวุ่นวายนี้เลยแม้แต่น้อย อย่างน้อยตัวต้นเรื่องก็ยังสามารถนั่งเดินหมากกับอีกคนในข่าวลืออย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
"ท่านว่างนักรึ?" หลิวชางหลินเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน หลังจากบอกให้อีกฝ่ายวางหมากขาวลงบนตำแหน่งหนึ่งในกระดาน ตามที่ตนเองต้องการ พลิกจากไล่ตามมาถือแต้มนำในที่สุด น้ำเสียงของอดีตรัชทายาทหนุ่มราบเรียบไร้อารมณ์อย่างยิ่ง
"แม่ทัพที่เพิ่งกลับจากศึก จะมีอะไรให้ทำเล่า?" ลู่ซือเหยียนมองกระดานหมากลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะวางหมากลงไปพลิกกระแสหมากให้กลับมาทางตนอีกครั้ง มุมปากขยับยิ้มอย่างถูกใจ
"แม่ทัพที่เพิ่งกลับจากศึกควรมีอะไรให้ทำมากมาย ท่านไม่จำเป็นต้องมาหาข้าทุกวันเยี่ยงนี้" คราวนี้ในกระแสเสียงราบเรียบคล้ายมีความจนใจแฝงอยู่ ปลายนิ้วเรียวขาวไล้เม็ดหมากที่ถือเอาไว้ในมือตั้งแต่ต้นแบบคนใช้ความคิด "ข้าคิดคนที่ท่านอยากให้เชื่อ ก็น่าจะเชื่อข่าวลือแล้วมิใช่หรือ?"
ลู่ซือเหยียนหัวเราะเสียงต่ำในคอ "แน่นอนว่าเหยื่อกินเบ็ดแล้ว แต่ยังไม่มากพอที่จะสาวออกมาได้ทั้งหมด ข่าวลือตอนนี้ยังต้องการความต่อเนื่องอยู่"
คำตอบของอีกฝ่ายทำให้คนฟังได้แต่ทอดถอนใจ ดวงตาหลุบลงหลับตา แล้วเอ่ยตำแหน่งที่ทำให้ร่างสูงกว่าถึงกับชะงักไป หลิวชางหลินขยับตัวยืดขึ้นเล็กน้อยนิ่งรอ
"ข้าแพ้แล้ว" หลังจากมองกระดานอยู่นานไม่เห็นหนทางไปต่อ แม่ทัพใหญ่แห่งต้าเสียงก็เอ่ยขึ้นมาแบบไม่เต็มใจนัก
"ท่านแม่ทัพออมมือแล้ว" หลิวช่างหลินตอบตามมารยาท แล้วหยิบชาอุ่นๆขึ้นจิบด้วยท่าทางลื่นไหลที่มองอย่างไรก็ไม่คล้ายคนตาบอดเลยแม้แต่น้อย ท่าทางนี้ทำให้มุมปากของลู่ซือเหยียนยกขึ้นมากกว่าเดิมเล็กน้อย
"เช่นนั้นเมื่อไหร่ท่านจะออมมือให้ข้าบ้าง" แม่ทัพบ่นย้อนเบาๆแล้วทำหน้าที่ประจำของตน หรือก็คือการเก็บหมากบนกระดานเข้าที่ด้วยต้นเอง "ตาท่านมองไม่เห็นยังเดินหมากได้ ข้าไม่รู้จริงๆว่าในหัวทำงานเยี่ยงไร"
มองจากภายนอกแล้วเหมือนลู่ซือเหยียนกำลังเดินหมากกับตนเองโดยมีร่างสูงโปร่งคอยนั่งจิบชาพูดคุยอย่างสนิทสนม หาได้มีผู้ใดรู้ไม่ ว่าความจริงแล้วกลับเป็นการเดินหมากของคนสองคน ทั้งแม่ทัพหนุ่มยังไม่เคยเอาชนะได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ความคิดอันสลับซับซ้อน ความจำอันยอดเยี่ยม กระบวนการที่แยบคายที่ได้พบนั้นทำให้ลู่ซือเหยียนลอบนับถือบุรุษตรงหน้าบางเบา
หากเขาไม่ได้วางหมากที่เหนือคาดเอาไว้ หรือถูกพบเข้าก่อนได้ใช้งาน น่ากลัวว่าชัยชนะระหว่างสองแคว้นคงยากจะตัดสินในเวลาอันสั้น แม้กำลังคนของต้าเสียงจะมากกว่าถึงสองสามเท่าก็ตาม
หลิวชางหลินไม่ตอบรับการยอกย้อนของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักปลอมๆของตน เพียงเป่าผิวชาแล้วจิบดื่มด้วยท่วงท่าสง่างามไม่แยแส จวบจนหมดจอกแล้วถึงได้วางลง "พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง"
"แม่ทัพที่ถูกจับมาทั้งหมดยกเว้นหลี่ต้วนถูกตัดหัวไปแล้ว ส่วนหญิงกับเด็ก ข้าจัดการให้ไปใช้แรงงานอยู่ทางใต้" การเปลี่ยนเรื่องของหลิวชางหลินมิได้ทำให้แม่ทัพหนุ่มเปลี่ยนสีหน้า เขาตอบคำถามที่อีกฝ่ายอยากรู้อย่างตรงไปตรงมา ถึงอย่างไรข่าวนี้ก็มิใช่ความลับที่ต้องปิดบัง
"ยกเว้นหลี่ต้วน?" หลิวชางหลินทวนคำ สีหน้าแสดงความเข้าใจออกมาอย่างชัดเจน คลี่ริมฝีปากยิ้มเยาะออกมา "นั่นคงเป็นหนึ่งในหนอนที่ท่านวางเอาไว้ในต้าซาง ไม่เลวจริงๆ"
ไว้ชีวิตแม่ทัพของเมืองศัตรู หากไม่ใช่คนที่ส่งไปแทรกซึมตั้งแต่แรก คงไม่มีใครยอมไว้ชีวิตบุคคลอันตรายเช่นนี้ไว้แน่นอน
ลู่ซือเหยียนเพียงเลิกคิ้วแล้วรินชาดื่มอีกครั้ง เขาไม่ได้โต้แย้งการคาดเดาของอีกฝ่าย เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบังอะไร หลี่ต้วนเป็นคนของบิดาเขาที่วางไว้เนินนานแล้ว เขาเองก็เพิ่งจะรับรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายตอนที่ยกทัพออกจากเมือง
"อีกสามวันท่านต้องเข้าวังพร้อมกับข้า" ในที่สุดลู่ซือเหยียนก็เอ่ยจุดประสงค์หลักในการมาเยี่ยมเยือนในวันนี้ออกมาในที่สุด
"ด้วยเหตุอันใด"
"ข้าต้องไปงานฉลองชัยชนะในศึกนี้ ท่านเองก็ต้องไปตามหน้าที่ 'คู่หมาย' ของข้า"
"ถ้าข้าไม่ไป?"
"ข้อตกลงระหว่างเราก็จะถูกยกเลิก" ลู่ซือเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม น้ำเสียงนั้นกระตุ้นให้คนฟังถอนหายใจ แล้วพยักหน้า
"อย่างไรข้าก็ไม่มีทางเลือก ท่านจะให้ข้าทำอะไรก็บอกแล้วกัน"
คำตอบที่ถูกใจเรียกรอยยิ้มได้เล็กน้อย หยิบกาขึ้นมารินชาให้ร่างโปร่งอีกครั้ง ก็หยิบเม็ดหมากสีดำขึ้นมาถืออีกครา
"งั้นมาเดินหมากกันอีกสักกระดานเถอะ"
*******
"เจ้าว่าท่านพี่ไปพบองค์ชายนั่นอีกแล้วงั้นหรือ? ไหนว่าวันนี้จะมานั่งเล่นกับข้าไง" น้ำเสียงหวานดุจน้ำผึ้งของหญิงสาวดังขึ้น น่าเสียดายที่เจ้าของน้ำเสียงหวานๆนี้กลับกำลังอารมณ์ไม่ดีจนจังหวะการพูดกระแทกกระทั้นไปบ้าง มือเรียวขาวขยุ้มพัดในมืออย่างหงุดหงิด เจ้าของเสียงนี้มิใช่ใครนอกจากลู่หลินหลัน น้องสาวเพียงคนเดียวของเจ้าของจวนแห่งนี้
"ท่านแม่ทัพบอกว่าให้มาเชิญคุณหนูไปที่เก๋งกลางน้ำด้วยกันเจ้าค่ะ" สาวใช้ผู้เคราะห์ร้ายเอ่ยรายงานอย่างระมัดระวัง ตั้งแต่กลับมาท่านแม่ทัพผิดนัดกับคุณหนูของนางสามครั้งแล้ว แต่ละครั้งล้วนมีสาเหตุมาจากองค์ชายผู้นั้นทั้งสิ้น
"ท่านพี่ให้มาเชิญข้า? ดี งั้นข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลย อาจู ยกขนมที่ข้าเตรียมไว้มา อ้อ อย่าลืมเตรียมส่วนขององค์ชายนั่นด้วย ข้ามิอยากถูกหาว่าแล้งน้ำใจ!"
อาจูยอบกายรับคำจากคุณหนูของตนแล้วรีบเดินไปสั่งให้สาวใช้ยกขนมตามคุณหนูที่สาวเท้าออกจากเรือนไปแล้ว รีบเร่งฝีเท้าเพื่อไม่ให้คลาดจากผู้เป็นนาย
*******
จวนของแม่ทัพใหญ่แห่งต้าเสียงนั้นตั้งอยู่บนถนนสายหลักอยู่ถัดมาจากพระราชวังไม่ไกลมากนัก ขนาดของจวนใหญ่โตสมกับเป็นจวนของแม่ทัพขั้นหนึ่งของแคว้น ประกอบด้วยสามสิบตึก ยี่สิบลาน ทะเลสาบจำลองสองแห่ง สวนอีกสิบสองสวน แถมด้วยลานฝึกซ้อมกว้างใหญ่อีกหนึ่งลานสมกับเป็นตระกูลที่รับราชการเป็นแม่ทัพฝ่ายบู้มาหลายชั่วคน กล่วได้ว่าจวนแม่ทัพแห่งนี้มีขนาดใหญ่ชวนตะลึงอย่างยิ่ง ดีว่าเก๋งกลางน้ำที่ลู่ซือเหยียนและหลิวชางหลินพำนักอยู่นั้นอยู่ไม่ไกลจากเรือนหรวนเซียงของหญิงสาวมากนัก กินเวลาเพียงสองเค่อลู่หลินหลันก็ก้าวเข้ามาที่สวนที่เก๋งกลางน้ำตั้งอยู่แล้ว
เสียงผีเท้าที่ย่ำเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆแว่วเข้าหูของชายหนุ่มทั้งสองที่ยังคงเดินหมาก หลิวชางหลินเป็นผู้เงยหน้าขึ้นมาก่อน
"ดูเหมือนแขกของท่านจะมาถึงแล้ว" ร่างโปร่งเอ่ยเรียกคนที่ยังจมอยู่กับกระดานหมากให้เงยขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเป็นน้องสาวของตนก็ลุกขึ้นมาต้อนรับ
"หลันเอ๋อร์ มาแล้วหรือ มา พี่จะแนะนำคนรักของพี่ให้รู้จัก"
รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กสาวงอง้ำลงทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ความดีใจที่ได้มาพบพี่ชายสลาบไปเหลือเพียงความขุ่นเคือง ตวัดสายตาค้อนใส่ชายคนรักของท่านพี่วงใหญ่ แม้เจ้าตัวจะไม่ได้รับรู้เลยก็ตาม ลู่ซือเหยียนเห็นภาพนั้นก็ได้แต่หัวเราะเบาๆในคอ
"นี่หลันเอ๋อร์ น้องสาวของข้า หลันเอ๋อร์ ท่านนี้คือว่าที่พี่สะใภ้ของเจ้า หลิวชางหลิน ชื่อรองคือหงหยวน เจ้าเรียกเขาว่าพี่หยวนก็ได้"
"หลันเอ๋อร์คารวะองค์ชาย" ลู่หลินหลันยอบกายคารวะเล็กน้อยตามมารยาทรอจนหลิวชางหลินตอบรับค่อยเดินไปนั่งข้างพี่ชายของตนที่บัดนี้กำลังหมุนหมากสีดำในมืออย่างครุ่นคิด แลเห็นหมากดำที่กำลังโดนหมากขาวไล่ต้อนเสียจนมุมก็อดออกปากไม่ได้
"ท่านพี่ ท่านเดินหมากคนเดียวทำไมลำเอียงเข้าข้างหมากขาวเสียขนาดนี้ อยากจบกระดานก็อย่าเดินตั้งแต่แรกไม่ดีกว่าหรือ?" เด็กสาววิจารย์ทางหมากออกมาโดยไม่สนใจสีหน้าที่แปรเปลี่ยนของท่านแม่ทัพใหญ่เลยแม้แต่น้อย คำพูดอันตรงไปตรงมานั้นถึงกับทำให้อดีดรัชทายาทถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
เด็กสาวชะงักถ้อยคำ หันไปมองคนหัวเราะอย่างงุนงง
"ท่านหัวเราะด้วยเหตุใด"
"ข้าไม่ได้เดินหมากกับตัวเอง" เป็นลู่ซือเหยียนเปิดปากตอบน้องสาวของตน ส่งผลให้ใบหน้าของเด็กสาวฉายแววงุนงงหนักขึ้นไปอีก
"พี่หานไม่อยู่ ท่านพี่จะเดินกับใครกัน วันนี้ไม่มีแขกไม่ใช่หรือ?"
คราวนี้สายตาของท่านแม่ทัพใหญ่เลื่อนกลับไปมองเจ้าของหมากข่าวที่ยังนั่งจิบจาอย่างสบายอารมณ์เป็นคำตอบ ลู่หลินหลันอุทานเบาๆ รีบเขยิบกายเข้าไปชิดพี่ชายแล้วชะโงกหน้ามองหมากให้ละเอียดกว่าเดิม
"มิใช่ว่าตาขององค์ชายมีปัญหาหรือ?" สุดท้ายเด็กสาวก็กลั้นความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ไม่ได้
"ตามองไม่เห็น หูก็ยังได้ยิน หัวก็ยังพอใช้การได้อยู่ ข้ามีดีที่ความจำเล็กน้อย ทำให้คุณหนูหัวเราะเยาะแล้ว"
"ข้าอยากหัวเราะเยาะท่านพี่ของข้ามากกว่า ความสามารถของท่าน ข้าไหนเลยจะกล้าหัวเราะเยาะได้" ในฐานะคนที่รักในการเดินหมากและศึกษาตำราเดินหมากกับผู้เชี่ยวชาญมาตั้งแต่วัยเยาว์ ทางหมากบนกระดานนั้นถึงกับทำให้ตาของเด็กสาวเปล่งประกายความนับถือออกมาเต็มเปี่ยม สามารถไล่ต้อนพี่ชายของนางได้ถึงเพียงนี้ ก็พอแล้วสำหรับการยอมรับนับถือ
ความไม่พอใจที่โดนแน่ความสำคัญตลอดหลายวันที่ผ่านมาคล้ายถูกเม็ดหมากที่วางเรียงรายกันอย่างสวยงามสลายไปจนหมดสิ้น
"ข้าชื่อว่าหลินหลัน หากองค์ชายไม่รังเกียจจะเรียกข้าเหมือนที่ท่านพี่เรียกก็ได้ วันหลังของหลันเอ๋อร์มาเดินหมากกับท่านได้หรือไม่"
ได้ฟังคำน้องสาว ลู่ซือเหยียนก็คิ้วกระตุกเล็กน้อย กระแอมเบาๆแล้วขัดว่า
"ชายหญิงแตกต่าง เดินหมากตามลำพังล้วนไม่เหมาะสม"
"ข้ามาตอนท่านอยู่ด้วยก็ได้นี่"
"...นี่เป็นเวลาส่วนตัวของข้ากับเชา เจ้าจะมารบกวนทุกวันได้อย่างไร" ลู่ซือเหยียนยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี
"วันๆท่านได้มาหาองค์ชายตั้งหลายรอบ ข้ามาเดินหมากวันละกระดาน จะกินเวลาท่ายไปเท่าไหร่กันเชียว"
"เจ้าเคยเดินหมากกระดานหนึ่งเจ็ดวัน ข้าให้เจ้ามาได้แค่สามวันครั้ง ข้าไม่ต้องการให้ใครมารบกวนเวลาสงบสุขของข้า" ลู่ซือเหยียนยื่นคำขาด ขืนให้น้องสาวมาทุกวัน อย่าว่าแต่หลิวช่างหลินจะไม่ไหว เขาเองก็อยากจะใช้เวลาส่วนตัวกับคนตรงหน้าบ้างจริงๆ
เด็กสาวทำหน้ามู่ทู่อย่างขัดใจ ติดที่เกรงใจหน้าดุๆของพี่ชายเลยได้แต่พยักหน้ายอมรับอย่างเสียมิได้ สุดท้ายก็ตัดใจกวักมือเรียกสาวใช้ให้ยกขนมมาวางแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยแทน
"ท่านเรียกข้ามา คงมิใช่อยากให้ข้ามาดูท่านเสียท่าเฉยๆกระมัง?"
"แน่นอนว่าไม่ใช่" ลู่ซือเหยียนตอบรับ เขาเคยชินกับลักษณะการพูดที่ไม่เข้ากับเสียงหวานๆของน้องสาวมานานแล้ว ใครใช้ให้นางเติบโตมาในจวนที่มีแต่พวกผู้ชายตัวโตพูดจากวนประสาทกันไปมาล่ะ
"แล้วท่านเรียกข้ามาทำไม"
"แน่นอนว่ามีเรื่องให้เจ้าช่วยทำ" ลู่ซือเหยียนตัดสินใจวางหมากลงก่อน แล้วหันมาคุยกับน้องสาวตัวเองอย่างจริงจัง "เจ้าเป็นหญิง เรื่องนี้เจ้าคงช่วยข้าได้"
ลู่หลินหลันกระพริบตาปริบๆ ดวงตากลมโตฉายแววงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อมองตามสายตาพี่ชายไปก็ร้องอ๋อ "พระราชโองการเรื่องงานเลี้ยงใช่ไหมเจ้าคะ?"
ลู่ซือเหยียนพยักหน้า "ข้าอยากให้เจ้าเสาะหาช่างที่ฝีมือดีที่สุดมาทำชุดของต้าเสียงให้หงหยวน ข้าไม่ต้องการให้เขาน้อยหน้าผู้ใด"
เหตุผลของผู้เป็นพี่ชายนั้นทำให้ผู้เป็นน้องสาวประหลาดใจไม่น้อย แต่ทว่าก็ไม่ได้ทำให้ท่านพี่ของตนต้องผิดหวัง เด็กสาวพยักหน้าอย่างมั่นใจ ก่อนจะหันไปยึดมือเรียวขาวที่เพิ่งวางจอกชาลงอีกครั้งมากุม
"พี่สะใภ้ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะทำให้ท่านโดดเด่นไม่แพ้คุณหนูคนไหนในงานแน่นอน ข้าเอาชื่อลู่หลินหลันเป็นประกัน!"
เมื่อหญิงสาวรับคำเป็นแม่นมั่นเยี่ยงนี้...หลิวชางหลินก็เริ่มกังวลขึ้นมาแล้ว
ชุดเขา...จะไม่เป็นอะไรแน่หรือ
***********************
มาต่อแล้วค่ะ! มาดึกไปหน่อยเพราะต้องตรวจสำนวนกับพยายามหาคำผิด(..แต่ก็ยังน่าจะมีหลงเหลืออยู่บ้าง ใครเห็บอกกันได้นะคะ!)
หายไปนาน มีอยู่สองประเด็นคืองานล้น และป่วยบ่อยมากค่ะ โรคที่ป่วยค่อนข้างส่งผลกับการเขียนพอสมควรเลยตัดสินใจพักไว้ก่อน ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามรอกันนะคะ ไรท์กลับมาแล้วค่ะจะพยายามอัพทุกวันเว้นวันนะคะ!
บทนี้ส่งตัวละครที่จะมีบท(เยอะ)พอสมควรในภาคที่สองมาก่อน ส่วนบทแบบไหนขอให้ติดตามกันในตอนต่อๆไปนะคะ
ชอบไม่ชอบยังไงก็เม้นติชมพูดคุยกันได้ค่ะ ไรท์กินยาแล้ว ไม่กัดแน่นอน!!