SIDE STORY :: พี่รหัส #5
นารายณ์ talkคงเป็นโชคดีในโชคร้าย ที่คืนวันนั้นผมตัดสินใจไปตามหาไอ้เจอร์ที่ระบำบาร์
ก็ไม่รู้หรอกนะว่าอะไรดลใจให้ผมวางมือจากกองหนังสือเรียนและขับรถออกไปหาคนที่ไม่รู้ว่าจะหาไปทำไมในร้านเหล้า แต่ใจผมมันร้อนรุ่มแปลกๆเหมือนสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น และมันก็แม่นยำเสียด้วย
ผมไปถึงร้านแต่ไม่เจอมัน ตอนแรกก็ว่าจะกลับทว่า
“มึงว่าสองคนนั้นจะรอดป่าววะ”
เสียงพูดคุยของโต๊ะๆนึงก็ดังขึ้น ผู้ชายวัยทำงานสามสี่คนกำลังพูดถึงอะไรสักอย่างแบบออกรส
“กูว่าเละว่ะ เด็กสมัยนี้ก็แปลกนะผู้ชายเหมือนกันแต่ได้ยินว่าจะฉุดไปปล้ำด้วยหนิ”
“ฮ่าๆๆๆ นั่นดิวะ แต่กูก็ว่าน่ารักดีนะ คนที่ดูนิสัยนิ่มๆอ่ะ”
ทั้งๆที่บทสนทนานั้นไม่น่ามีอะไรโยงไปถึงคนที่ผมตามหาเลยแท้ๆ แต่ผมกลับออกตัววิ่งตามหาเด็กสองคนที่ผู้ชายกลุ่มนั้นพูดอย่างกระวนกระวาย ผมวิ่งวนดูรอบๆร้านหาที่เปลี่ยวเหมาะกับการทะเลาะวิวาทและผมก็เจอเข้าจนได้ ร่างโปร่งของน้องรหัสกลิ้งคลุกดินอยู่บนพื้น
มีสี่คนรุมยำมันอยู่ เหมือนพยามลากมันไปไหนสักที่แต่มันขัดขืนเลยโดนถีบแบบไม่ยั้ง พอมันหมดแรงขัดขืนก็ลากคอให้เดินตาม
“พวกมึงปล่อยน้องกูนะเว้ย!!”
พระเอกมากกู แม่งหันมามองกันตาเขียวปั๊ด เอาไงดีทีนี้ สี่ต่อหนึ่งฝั่งนั้นมีตัวประกันกับอาวุทครบมือ
“ใครวะ? พี่ชายมึงเหรอ หน้าไม่เหมือนกันเลยหนิ”คนที่ลากคอไอ้เจอร์อยู่ดึงปกเสื้อมันสูงขึ้นและกระชากเสียงถาม
“ถุ้ย!”
ไอ้ห่าเจอร์มึงก็ช่วยทำตัวเรียบร้อยๆหน่อยเหอะ จะโดนลากไปไหนก็ไม่รู้ยังไม่วายถุยน้ำลายใส่หน้าเขาอีก จะอวดเก่งก็รอตอนกูช่วยมึงได้ก่อนนะน้องนะ
“ไอ้เหี้ย!”
ผลั่ก!
“โดนตบหน้าหันเลยเป็นไงมึง สำนึกแล้วก็ยืนนิ่งๆรอกูช่วยได้ยัง?”ผมกล่าวทีเล่นทีจริง หางตาเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนนึงยืนคุมเชิงอยู่ไม่ไกล เอ...หน้าคุ้นๆนะ เหมือนว่าจะเป็น “ซันนี่?” คนถูกเรียกผงะ ไม่รู้ว่าเธอตกใจที่ผมจำได้หรืออะไรนะแต่เธอก็รีบกรีดนิ้วสั่งเจ้าสี่คนนั้นวเสียงเฉียบว่า
“มัวยืนโง่อะไรอยู่ล่ะ กระทืบมันสิ”
อ้าวน้อง พูดงี้ก็สวยสิ
พวกมันสี่คนก็ว่าง่ายเนอะ คนนึงล็อคตัวไอ้เจอร์ไว้ส่วนสามคนที่เหลือวิ่งมาล้อมผม พวกเราสบตากันชั่วอึดใจเพื่อคุมเชิง โชคดีที่พวกนั้นไม่คิดจะจับน้องรหัสผมเป็นตัวประกันผมถึงกล้าสู้อย่างสบายใจหน่อย
เห็นอย่างงี้พี่ก็พระเอกนิยายนะครับ แค่สามต่อหนึ่งจะแพ้ได้ไง
มีคนนึงกระโจนเข้ามาผมก็รีบถีบสวนกลับทันที ยันมันกระเด็นไปเป็นเมตรก่อนโยนตัวหลบหมัดอีกคนที่สวนเข้ามา เหมือนพวกมันจะสู้แบบลองเชิงเพราะไม่รู้ว่าผมเป็นใครมาจากไหนอยู่ดีๆก็โผล่มาแบบหล่อๆ
สู้กันได้แค่เดี๋ยวเดียวไอ้คนที่หิ้วคอไอ้เจอร์อยู่ก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง
“เห้ย! ไอ้หล่อ! ถ้ามึงไม่อยากให้น้องมึงไส้ไหลก็หยุดซะ!!”ไม่พูดเปล่า มันกางมีดพับออกมาจี้เอวคนที่มันจับอยู่ ไอ้เจอร์ในสภาพฟกช้ำสติใกล้หลุดเต็มแก่ขมวดคิ้วมองอย่างไม่สบอารมณ์
“พี่มึงก็โง่นะ บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมายุ่ง กลับไปเถอะ ทำแบบนี้ไม่มีใครชมว่าหล่อหรอก...”เสียงมึงป้อแป้มากเจอร์ ที่สำคัญคือไอ้งั่งที่เอามีดจ่อมึงอยู่เพิ่งชมกูว่าหล่อครับ
“ถ้ารู้ตัวว่าพูดแล้วไม่มีอะไรดีขึ้นมึงก็เงียบเหอะเจอร์”น้องเวรกูกำลังใช้ความคิดหาวิธีชิงตัวมึงอยู่อย่ารบกวน
“ถ้ารู้ตัวว่าไม่เกี่ยวก็กลับไปเถอะ...พี่มึงหล่อก็ได้ หล่อมากเลย เท่านี้ก็หล่อแล้ว กลับไปเถอะ...”สภาพมึงแบบนั้นจะให้กูตอบว่าไงวะ เออ ดี เริ่มง่วงละ กลับบ้านนอนก่อนนะบาย งี้เรอะ!?
“อ๋อออออ นึกว่าใคร นี่ใช่พี่รหัสมึงรึป่าว ที่เป็นทั้งพ่อทั้งผัวมึงอ่ะ”
“เหี้ย! มึง โอ๊ย!”ร่อแร่แล้วเสือกดิ้น มีดไม่บาดก็บุญแล้วไอ้น้องโง่
ผมติดใจคำพูดของอีกฝ่ายนิดหน่อยแต่มันไม่ใช่เวลามาสงสัย ผมกวาดตามองไปรอบๆสถาการณ์ยังแย่เหมือนเดิม กลางซอยเปลี่ยวแบบนี้ลองผมเล่นตุกติกเพื่อดึงไอ้เจอร์กลับมาอีกฝ่ายต้องเห็นแน่ๆและไอ้เจอร์ก็จะโดนจวกเละ
“...”
ชู่วววว
ด้านหลังของไอ้เจอร์ปรากฏเงาตะคุ่มๆ ทีแรกผมตกใจเพราะนึกว่ามันมีพวกมาเพิ่มแต่ดูให้ดีนั่นมันพวกผมนี่หว่า ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อแวนนะ เดือนคณะแพทย์เอามือจุ๊ปากไม่ให้แสดงอาการพุรุธก่อนมันจะชูนิ้ว หนึ่ง สอง สาม เหมือนให้จังหวะ ทันทีที่มันชู้เลขสาม แวนกับผู้ชายอีกคนก็กระโจนใส่ไอ้คนที่จับเจอร์ไว้!
คนนึงปัดมีดออก อีกคนโดดถีบไอ้ห่านั่นสองตีน!
เรื่องมันเกิดขึ้นเร็วมาก เกิดความสับสนอลม่านขึ้น ไอ้คนที่รับหน้าที่ปัดมีดออกน่าจะเป็นเพื่อนสนิทเพลินชื่ออะไรสักอย่างจำไม่ได้ มันเข้าไปประคองเจอร์และฉวยจังหวะที่อีกฝ่ายตกใจวิ่งเหยาะๆมาหาผม มันส่งร่างโปร่งที่โคตรเยินมาให้ก่อนพูดว่า
“พี่รีบพามันไปโรงพยาบาลก่อนเหอะ ผมว่าหนักว่ะ”
จริงอย่างที่ว่า ตอนนี้ไอ้เจอร์หมดสติไปแล้ว
“ไหวเหรอ”ผมหมายถึงสองต่อสี่น่ะไหวเหรอ ไหนจะซันนี่ที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไงอีก
ผู้มาใหม่สองคนพยักหน้าหงึกหงัก เพื่อนของเพลินชู่นิ้วเป็นเชิงว่าสบายมาก ส่วนไอ้แวนไม่พูดอะไรแต่มันต่อยศัตรูโชว์ว่าแค่นี้เบาะๆ
“ขอบคุณมาก ให้พี่โทรเรียกตำรวจไหม”
“ไม่ต้องพี่ ไอ้ครอสมันอยากเคลียร์แบบส่วนตัว”
“ได้สติแล้วเหรอวะ”หลังจากนั้นอีกหลายชั่วโมงผมที่นั่งสัปหงกอยู่ข้างเตียงคนป่วยก็สัมผัสได้ว่าคนป่วยเริ่มขยับตัว เสียงร้องโอดโอยปลุกผมให้ตื่นขึ้น ไอ้เด็กอวดดีมันนิ่วหน้ามองผม เนื้อตัวมีแต่ผ้ากอซกับผ้าพันแผล”หมอเขาให้แอดมิทดูอาการน่ะ”
“อืม...เพลินเป็นไงมั่งวะ”ผมงืมงำถาม
“ปลอดภัยดี พวกครอสมาช่วยไว้”
“เหรอ...ดีแล้วล่ะ...”ตามันจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่
“มึงนอนต่อเถอะ อย่าฝืนเลย”
“อืม...”มันครางในลำคอและปรือตาหลับ เจอร์มันเงียบไปพักใหญ่ๆลมหายใจสม่ำเสมอผมเลยคิดว่ามันหลับไปแล้วทว่า...ก็มีคำพูดแสนแผ่วเบาเล็กลอดออกมาจากกลีบปากแตกๆของร่างบนเตียงว่า
“ขอบคุณมาก”แผ่วเบาราวกับหูฝาดไป คนพูดเองก็หลับตาอยู่จนนึกกลัวว่าจะเป็นแค่การละเมอ แต่รอยยิ้มเล็กๆมุมปากนั่นก็ทำให้ผมมั่นใจว่าคำพูดนั้น มันมอบให้ผม
เป็นคำขอบคุณจากใจจริงๆ
“พูดจาดีๆกับเขาก็เป็นเหมือนกันดีหว่า ไม่ยากใช่ไหมล่ะ เวลามีคนทำอะไรให้ก็ต้องขอบคุณ เวลาทำผิดก็ต้องขอโทษ เข้าใจไหม”
“ครับพ่อ”
สัส! กวนตีนกูตลอด หลับไปเลยมึง
ผมอยากเอาหัวโขกกำแพงตึกคณะตายห่าให้รู้แล้วรู้รอดไป ไม่ใช่หัวผมนะ หัวน้องรหัสผมต่างหาก!
ไอ้ห่าเจอร์ไม่เจียมสังขาร หมอเขานอนโรงบาลต่ออีกสองสามวันแต่พอเช้าตื่นมาแม่งเสือกหนีออกจากโรงพยาบาล!ไอ้ผมดันหลับลึกไปหน่อยตอนมันหายไปผมเลยไม่รู้ตัว พอตื่นมาเตียงก็ว่างเปล่าแล้ว ผมก็โทรหาคนนู้นคนนี้ให้วุ่นไปดิ รู้ไหมว่ามันไปไหน!?
มัน!ไป!เรียน!
ไอ้ห่า จะรักเรียนอะไรตอนนี้วะ
ไอ้เคนโทรมาบอกว่าเห็นไอ้เจอร์ในสภาพมัมมี่มีผ้าพันรอบตัวนั่งอยู่ใต้ตึกคณะ ผมรีบบึ่งรถออกจากโรงพยาบาลมาทันที(เสียเวลาจ่ายค่ารักษาไปครึ่งชม.)
กว่าจะถึงก็เกือบเที่ยง
“มันไปไหนวะ!?”ผมตรงไปถามไอ้เคนและกลุ่มเพื่อนที่นั่งปั่นการบ้านคาบบ่ายกันอยู่
“น้องรหัสมึงน่ะเหรอ ขึ้นไปเรียนเกือบชั่วโมงละ มึงนั่งดิ มาๆ เล่าด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น มึงกระทืบมันมาเหรอวะ”ไอ้เคนเขยิบที่ให้ผม มันเอ่ยถามแบบเสือกๆ พวกที่เหลือก็หูกระดิกรอฟังกันใหญ่
“กูก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่เหมือนไอ้เจอร์มันจะเข้าไปช่วยเพลินจากพวกอันธพาลมา”นับเป็นโอกาสดีเลย ถ้าเล่าวีรกรรมของมันให้คนในคณะฟังทุกคนจะได้เลิกเกลียดมันสักที แต่พอผมพูดออกไปเพื่อนกลับตีหน้ายุ่ง
“พอเหอะมึง กูรู้ว่ามึงห่วงมันนะ แต่แต่งเรื่องมาหลอกพวกกูอย่างงี้มันไม่โอเค”
“จริง คนมันเหี้ยต่อให้มึงพยามแค่ไหนมันก็คือเหี้ยอยู่วันยังคำ”
“...”ผมกลืนคำพูดลงคอ
“พอเถอะไอ้นารายณ์กูรู้ว่าวิ่งตามแบบนี้มึงก็เหนื่อย อย่าทำหน้าเครีดดิ ไปกินข้าวกลางวันกัน ป่ะๆ”ไอ้เคนเห็นผมเริ่มหงุดหงิดจึงพูดไกล่เกลี่ย มันตบบ่าผมและดึงไหล่บังคับให้ลุกขึ้นตาม
มีแค่ผมกับเคนเท่านั้นที่มากินข้าว พวกเราเลือกกินกันที่โรงอาหารคณะ ตอนเที่ยงแบบนี้คนเริ่มแน่น มีแต่พวกผู้ชายในเสื้อช็อปเดินกันให้ควักไม่มีความเจริญหูเจริญตาสักนิด ผมซื้อข้าวราดแกงง่ายๆและนั่งจองโต๊ะรอไอ้เคนที่กระแดะไปสั่งอาหารตามสั่งซึ่งคิวโคตรยาว และหางตาของผมก็เหลือบไปเห็น...มัมมี่
มัมมี่เมเจอร์เดินกะโผลกกะเผลกเข้ามาในโรงอาหารคณะ มันเดินก้มหน้าเลยไม่เห็นผม มันเลือกที่นั่งถัดออกไปสองโต๊ะ วางกระเป๋าจองไว้ส่วนตัวก็ไปซื้อข้าวราดแกงร้านที่คนน้อยที่สุด
สันดานเดียวกับกูเลย
แปลกนะที่ผมไม่เข้าไปทักมัน
คงเพราะทุกย่างก้าวที่มันย่างผ่านคนที่เห็นมันต่างมองตามและหันไปกระซิบกระซาบ
ผมไม่กลัวว่าจะโดนนินทาไปด้วยหรอก ก็แค่...อยากรู้ว่ามันจะทำยังไง
“โต๊ะนี้ป่าววะ พวกมึงนั่งๆ”มีเสียงนึงดังขั้นใกล้ๆ ไอ้ดิวอดีตเพื่อนสนิทของไอ้เจอร์พาพวกเดินตรงไปยังโต๊ะที่ไอ้เจอร์วางของจองไว้ เมื่อไอ้เจอร์กลับมามันก็ขมวดคิ้วมองผู้มาใหม่แบบงงๆแต่ก็ไม่พูดอะไร มันไม่หนีแต่มันก็ไม่ยิ้มทัก ไอ้ดิวยืนอึกอักมองไอ้เจอร์ที่เริ่มลงมือกินข้าวเงียบๆตรงมุมโต๊ะ
“มองขนาดนี้ไมมึงไม่เข้าไปแดกกะมันเลยวะ”ไอ้เคนกลับมาถึงก็แซะ ไอ้นี่มันลอยตัวเหนือดราม่าทั้งปวงรวมทั้งเรื่องไอ้เจอร์ด้วย
“วันนี้พอก่อน กูโกรธมันที่หนีมาโดยไม่บอกอยู่”ปากบอกว่าโกรธแต่ตานี่จ้องไม่กระพริบเลยกู
ไอ้เคน กูรู้ตัว มึงไม่ต้องอ้าปากเตรียมแซวเลยสัส
“หือ? มึงดูโน่น”ไอ้เคนเพยิดหน้าไปด้านหลังผมอย่างประหลาดใจผสมตื่นเต้น...สีหน้ามันบอกชัดมากว่ากำลังจะมีเรื่องสนุกๆเกิดขึ้น
พอผมหันไปก็เข้าใจ
ครอสกับเพลิน
ชาววิศวะหลายคนเริ่มให้ความสนใจการปรากฏตัวของโจทย์เก่าในครั้งนี้
พอโดนสายตาหลายสิบคู่เพ่งมองเพลินก็เดินสะดุด หน้าตาตื่นๆ ผิดกับไอ้ครอส ไอ้นี่เดินดุ่มๆหันซ้ายหันขวาขวับๆไม่แคร์ใครเหมือนกำลังมองหาใครอยู่ และมันก็หาเจอแล้วด้วย
ร่างสูงของทายาทเดือนมหาลัยเดินเลยโต๊ะผม สาวท้าวฉับๆเข้าไปหาไอ้เจอร์ด้วยสีหน้าจริงจัง
“เช้ดดดด จะมีมวยกลางโรงอาหารให้กูดูกลางวันแสกๆป่ะเนี่ย”ไอ้เคนผู้ลอยตัวเหนือดราม่าทั้งปวงเริ่มลดตัวลงมาเสือก
“มึงไม่เข้าไปช่วยเหรอวะ น้องรหัสมึงจะโดนซ้ำละนะ”
ผมไม่ตอบมัน เพียงแค่นั่งนิ่งๆไม่ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสนใจ
จากเสียงพูดคุยจอกแจกเริ่มเงียบลงและกลับมาดังกระหึ่มเหมือนนกกระจอกแตกลังเมื่อไอ้ครอสมันพูดขึ้นแบบโคตรดังว่า
“เจอร์!!”
ดังจนเด็กเวรอย่างเจอร์ยังสะดุ้ง
พวกดิวที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันทำท่าจะลุกขึ้นเพื่อกันท่า
เพลินเดินตามมาแบบช้าๆและหยุดอยู่ข้างผมพร้อมส่งรอยยิ้มแหะๆมาให้
ชาววิศวะวัยคะนองทั้งหลายหยุดแดกและเดินมาเสือกใกล้ๆอย่างพร้อมเพรียง
“เอาเลยๆๆ!”
“ซัดกันๆ ๆ ๆ!!”
เหี้ยมาก อย่าบอกใครว่ากูอยู่คณะนี้
ไอ้ครอสแม่งถอนหายใจยกมือเกาหัวแกรกๆแต่ไม่ยี่หระต่อวิศวะมุงเกือบร้อยคนสักนิด พอเห็นไอ้เจอร์ลุกขึ้นยืนชาววิศวะมึงก็เงียบปากอย่างลุ้นๆว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ไอ้เจอร์ก็แค่ลุกขึ้นยืนมองหน้าไอ้ครอสเฉยๆ
“ขอบคุณมากที่ช่วยเพลินเอาไว้!!”
“!!!!!?”
ผมไม่รู้ว่าเครื่องหมายตกใจหรือเครื่องหมายคำถามในโรงอาหารนี้จะเยอะกว่ากัน รู้เพียงแค่วิศวะมุงอ้าปากค้างกันเป็นแถบ ไอ้เคนหันมามองหน้าผมอย่างต้องการคำอธิบาย เรื่องราวสุดท้ายที่มันรับรู้คือไอ้ครอสแม่งโดนไอ้เจอร์เล่นตุกติกจนบาดเจ็บ
มางี้ก็งงกันดิ
สมน้ำหน้า ฮ่าๆๆ
“หึหึหึ”ผมหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นไอ้เจอร์ทำตัวไม่ถูก หน้ามันแดงนิดๆ กลอกตาไปมา สูดหายใจเข้าเต็มปอดเหมือนรวบรวมความกล้าเพื่อทำบางสิ่ง
“กูเองก็...ขอโทษที่ทำให้เจ็บมือ กูไม่ได้ตั้งใจ!!”
ดังๆเน้นๆเอาให้พวกวิศวะมุงงงตายกันไปข้าง
ไอ้ครอสคลี่ยิ้มและหันมาพูดกับเพลินว่า”ยืนเด๋ออยู่นั่นแหละ มาขอบคุณมันดิ”
เจอร์หันมามองเพลิน หางตามันคงเห็นผมนิดๆมั้งถึงยักคิ้วส่งมาให้แบบกวนโอ๊ย
“อ่า...ขอบคุณนะ แฮ่ๆ แล้วก็ขอโทษที่เข้าใจผิดด้วย”น้องโรงเรียนผมกล่าวแบบเขินๆ
“โหยยย ไรวะ เบาไป๊ ขอดังกว่านี้อีกหน่อยไม่ได้เหรอ พวกบนชั้นสองไม่ได้ยินนะ”ไอ้ครอสแม่งแซวเพลินซะอยู่เลย ฮ่าๆๆ
“อ่า...เอิ่มคือ...ขอโทษนะ มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ...”ไอ้ดิวที่ยืนเอ๋ออยู่กับกลุ่มเพื่อนอ้ำอึ้งถาม ซึ่งคำถามของมันก็ตรงใจชาววิศวะมุงเป็นอย่างยิ่ง
“อ่อ ไม่มีไรหรอก เพื่อนมึงเป็นคนดีนะดิว รู้เท่านี้ก็พอ”ครอสเป็นคนตอบ
“จะ...จะบ้าเรอะ!? พูดอะไรของมึงน่ะ หมดธุระแล้วไม่ใช่เหรอ กลับคณะมึงไปดิ!”น้องรหัสผมเป็นซึนเดเระรึ? พอมีคนชมมันดันหน้าเหวอบอกปัด
“เอาน่าๆ ไปแดกบุฟเฟ่ต์กะกูมะ ไอ้ดิวมึงก็ไปด้วยกันดิ”ครอสแม่งเผด็จการ ลากคอไอ้เจอร์สภาพซอมบี้ไม่มีปัญญาขัดขืนออกจากโรงอหาร
“ไอ้เหี้ยครอส ปล่อยกู กูยังมีเรียนบ่ายที่สำคัญกูเพิ่งกินข้าวเที่ยงเสร็จ!”
“อย่าคิดมากๆ กูไม่มีเรียนและที่สำคัญยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง เพลินมาเร๊ว ดิวด้วย มาๆๆ มากันให้หมด”
“เหี้ย ย ย ย ย ย”
เสียงก่นด่าสาปแช่งสัตว์เลื้อยคลานค่อยห่างออกไปเรื่อยๆ วิศวะมุงสลายตัวไปแบบงงๆส่วนผมก็เริ่มลงมือทานข้าวเที่ยงของตัวเองบ้าง
แม้ในใจลึกๆจะรู้สึกว่า...
มึงไม่คิดจะชวนกูหน่อยเหรอ?
น้อยใจสัส!
.......................................................................................
และแล้ว SIDE STORY พี่รหัสก็จบลงด้วยประการฉะนี้
กล่าวโดยสรุปคือพี่นารายณ์นกค่ะ....
ล้อเล่น 