คาถาที่ 17 [70%]คมเขี้ยวเดินกลับมาที่ออฟฟิศ พอเข้ามาด้านในก็เจอกับแพ็คหนังสือที่ถูกแกะทิ้งไว้บนโต๊ะทำงาน ในนั้นมีหนังสืออีกหลายเล่มอัดแน่นอยู่ด้วยกัน คมเขี้ยววางหนังสือในมือลงบนโต๊ะ นั่งลงบนเก้าอี้ หยิบบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวกับฟาร์มขึ้นมานั่งเคลียร์แทนแม่คุณนาย เขาหันไปมองประตูห้องนอนของคนตัวเล็กพักหนึ่งแล้วก็หันกลับมาสนใจงานตัวเองต่อ
คมเขี้ยวนั่งทำงานเงียบๆ จนรู้สึกว่ามันเงียบเกินไป มันโหวงเหวงในใจพิกล เขาเงยหน้าขึ้นจากกองงาน หยิบแม็กกาซีนมาเปิดดูอีกรอบ คราวนี้เขาค่อยๆ เปิดดูช้าๆ นั่งมองภาพแฟชั่นของตัวเองกับเรียวจันทร์ไปทีละภาพอย่างใจเย็น ในหนังสือมีหลายสิบภาพ ดึงเอาทุกเซ็ทที่ถ่ายกันในวันนั้นมาลงจนหมด แต่ก็คัดแต่ละภาพมาแล้วอย่างดี มีภาพนึงเรียวจันทร์ทำหน้าตกใจม้าที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้แม่นาง สองแขนคล้องคอเขาแน่นไม่ยอมปล่อย ส่วนตัวเขาหัวเราะโดยที่ช่างภาพไม่ได้สั่ง นี่ถ้าแม่คุณนายเห็นภาพนี้นางอาจวีนได้ว่าเอาภาพที่หน้าตัวเองกำลังเหวอไม่สวยมาลงได้ยังไง แต่เขาว่ามันไม่ปรุงแต่งดีนะ
เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น คมเขี้ยวหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นเบอร์อัจฉรา เขามองนิ่งสักพัก นึกงงใจตัวเองว่าทำไมมันรู้สึกหล่นวูบไปวูบหนึ่ง
“ครับเอื้อง”
[เอื้องใกล้จะออกเวรแล้วค่ะ จะชวนไปร้านขนมหวาน]
“ผมยังไม่แน่ใจเลยเอื้องว่าจะเคลียร์งานเสร็จตอนไหน” ปากพูด แต่สายตาก็มองรูปในแม็กกาซีน
[อีกแล้วเหรอ ช่วงสองอาทิตย์นี้เราไม่ค่อยได้ไปไหนด้วยกันเลยนะเขี้ยว]
“หือ ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าเราจะไปไหนด้วยกันบ่อยนะเอื้อง” เขากับอัจฉราคุยกันก็จริง แต่ก็ไม่ได้คุยกันทุกวัน หรือคุยตลอดเวลา เป็นอารมณ์คุยๆ หายๆ ไม่ใช่การสานต่ออย่างต่อเนื่อง มีช่วงนึงเขาเคยขาดการติดต่อกับเธอไปเกือบสองเดือน จนเอื้องทักแชทหาเขาอีกครั้งถึงได้กลับมาคุยกันต่อ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรพัฒนาเพิ่มเติม ก็ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง การเจอกันแต่ละครั้ง ซึ่งไม่ได้บ่อยครั้งด้วย ก็ไม่ใช่ลักษณะการออกเดทอะไรทำนองนั้น เหมือนมาเจอกันตามปกติ เหมือนเขาเจอกับเพื่อนทั่วไป เพียงแค่เพื่อนคนนี้อาจจะบ่อยกว่าเพื่อนคนอื่นมากหน่อยเท่านั้นเอง ตัวเขาไม่เคยกระตือรือร้นอยากพบอยากเจอเธอทุกวี่ทุกวัน ถ้ามีโอกาสเจอกันก็เจอ ถ้าไม่มีก็คือใช้ชีวิตในส่วนอื่นๆ ตามปกติ
เหมือนที่ไอ้ดินเคยบอกนั่นแหละ มือเธอเขายังไม่เคยจับเลย ไม่ว่าจะตั้งใจหรือเผลอก็ตาม
[แต่พักนี้เอื้องรู้สึกว่าเราห่างกันกว่าปกติ]
“มันเป็นปกติอยู่แล้วนะผมว่า หมายถึงไม่ใช่ห่างกันปกติ แต่รูปแบบชีวิตเราก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว” คมเขี้ยวพูดแบบไม่ได้คิดอะไรมาก นึกแค่อยากพูดให้เธอสบายใจว่าเขายังเหมือนเดิม เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็นแบบนี้ กับเธอเขาก็เป็นไปในลักษณะนี้อยู่แล้ว
อัจฉราเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดเสียงนิ่ง [งั้นเดี๋ยวเอื้องไปหาที่ฟาร์มนะ]
“ครับ เดี๋ยวเจอกัน” เขาวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะตามเดิม มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อดูภาพเบื้องหลังการถ่ายแม็กกาซีน เป็นรูปที่เขาผลักหัวเรียวจันทร์เบาๆ จำไม่แม่นว่าตอนนั้นแม่คุณนายแกจะเข้ามาลวนลามหรือว่าอะไร
คมเขี้ยวละสายตาจากแม็กกาซีนมามองงานบนโต๊ะ ถอนหายใจหนึ่งทีแล้วเก็บเอกสารทุกอย่างไว้ในลิ้นชัก รู้สึกไม่ค่อยมีสมาธิจดจ่อกับงานเท่าไหร่ เขาลุกขึ้นยืน วางหนังสือสองเล่มที่ดินเอาไปให้ไว้บนโต๊ะทำงาน ส่วนที่เหลือเขากะเอาไปเก็บไว้ที่บ้านก่อน แล้วจะยังไงต่อก็ค่อยว่ากัน
คมเขี้ยวเดินออกมาจากออฟฟิศ ตอนที่กำลังเดินตรงไปทางสวนหน้าบ้าน เขาเจอกับน้อยหน่า คนงานสาวในฟาร์มที่ทำงานกับเขามานาน เธอทำหน้าตกใจที่เห็นเขาแต่ก็ไม่ใช่อาการตกใจใหญ่โต เหมือนเธอสะดุ้งที่เจอเขาโดยไม่ได้ตั้งใจมากกว่า
“ไปไหนเหรอน้อย” เขาถามตามปกติ หญิงสาวยิ้มนิดหนึ่งก่อนตอบ
“กำลังจะเข้าไปเคลียร์พื้นที่ในแคมป์ปิ้ง พี่เขี้ยวจะเข้าบ้านเหรอ” เขาพยักหน้าหนึ่งทีแทนคำตอบ หญิงสาวมองห่อกระดาษสีน้ำตาลในมือคมเขี้ยวด้วยความสงสัย
“อะไรเหรอพี่เขี้ยว”
“หนังสือน่ะ”
“หนังสืออะไรเหรอ”
“แม็กกาซีนถ่ายแบบ” น้อยหน่าทำหน้าประหลาดใจเพียงครู่ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นทำหน้าหงิก คมเขี้ยวรู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจหรือเอามาเป็นประเด็นเด่นในชีวิต เขาไม่ได้คิดอะไรกับเธอ เท่านั้นก็จบแล้วสำหรับเขา
“ที่พี่ถ่ายกับแม่คุณนายนั่นน่ะเหรอ”
“อือ” หญิงสาวเบ้ปากนิดๆ สองแขนยกขึ้นกอดอก
“ถามจริงสิพี่เขี้ยว พี่เป็นเกย์เหรอ” คนถูกถามเลิกคิ้วขึ้นแล้วทำหน้าเฉยและตอบแบบเฉยๆ ไม่ได้ผวาตกใจหรือลนลานราวกับไปทำความผิดอะไรร้ายแรงมา
“ก็ไม่นี่ พี่ก็เป็นพี่เหมือนเดิม”
“แต่พี่กับคุณเรียวแลจะสนิทกันมากนะ” น้อยหน่าว่าด้วยความหมั่นไส้ สายตาดูแคลนคนที่พูดถึงหน่อยๆ
“พี่ก็สนิทกับไอ้ดิน สนิทกับคนงานตั้งหลายคน มันเป็นเรื่องแปลกตรงไหนเหรอน้อย”
“ไม่แปลกหรอก แต่พี่กับยัยคุณนายมันแตกต่าง ถ้าพี่คิดจะมีแฟนจริงๆ ผู้หญิงที่ชื่อเอื้องนั่นก็ได้พี่ แต่อย่าวิปริตไปเอาผู้ชายด้วยกันเลย” คมเขี้ยวหน้าตึงแทบจะทันที เขามองหน้าน้อยหน่าด้วยสายตานิ่งแต่เฉียบคม ไม่กะพริบตาสักนิด ไม่มีคำพูดตอบกลับ แค่มองนิ่ง มองไม่ละสายตาจนอีกฝ่ายเริ่มหน้าเสียไปเอง และสุดท้ายเธอก็ก้มหัวเดินผ่านเขาไป คมเขี้ยวไม่ได้หันไปมองตาม แค่ส่ายหัวช้าๆ และก้าวเท้าเดินต่อไปทางบ้าน คำพูดของน้อยหน่าถูกปัดออกไปอย่างไม่ได้คิดเอามาต่อยอดใดๆ
“แบกอะไรมาน่ะเขี้ยว” แม่ถามเขาตอนที่เดินขึ้นมาถึงประตูหน้าบ้านด้านบน อันที่จริงบ้านเขามีประตูหน้าบ้านและชานด้านหน้าที่ด้านล่าง แต่ส่วนห้องนอนของเขาอยู่ชั้นบน เลยขึ้นมาทางนี้เลยทีเดียว
“หนังสือที่ผมถ่ายกับเรียวจันทร์” บัวบูชาตาโตด้วยความตื่นเต้น
“ไหนๆ ขอแม่ดูหน่อย” คมเขี้ยวเอาห่อกระดาษไปวางไว้บนโต๊ะ ฉีกกระดาษออกอีกนิด หยิบหนังสือส่งให้แม่ มองเข้าไปในห่อกระดาษก็เห็นเล่มเบื้องหลังการถ่ายทำวางอยู่ เขาเลยหยิบขึ้นมาส่งให้แม่อีกเล่ม เขาลองแหวกห่อกระดาษดูเลยได้เห็นแฟลชไดรฟ์สีดำอันเล็กตกอยู่ตรงก้นห่อ
“อันนั้นอะไรล่ะน่ะ”
“แฟลชไดรฟ์อะแม่ ในนี้คงมีไฟล์รูปละมั้ง ผมเดาเอานะ” เพราะเขาได้ยินแว่วๆ จากตอนถ่ายแบบเสร็จว่า บรรณาธิการจะให้รูปแบบพิเศษกับแม่เขาเลย
“โอ๊ยตาย แม่ชอบมากเลยเขี้ยว ลูกแม่หล่อ น้องเรียวก็น่าร้ากน่ารัก” คมเขี้ยวอมยิ้มกับสีหน้ายิ้มใหญ่และยิ้มใหญ่มากของแม่ หล่อนเปิดหนังสือดูแต่ละรูปอย่างช้าๆ ราวกับจะซึมซับทุกอณูของรูปให้ได้มากที่สุด
“กว่าหนูเรียวจะกลับก็ตั้งมะรืน คิดถึงน้องเหมือนกันนะ ปกติอยู่ก็จะแจ้วๆ ตลอด” แสดงว่าไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่รู้สึกแบบนี้
ค่อยโล่งใจหน่อยว่าตัวเองไม่ได้จมอยู่กับไอ้จันทร์ไรมากไป
“แม่ยังไม่เคยเห็นมันเงียบ” หญิงสูงวัยเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ
“เขาก็ต้องมีเงียบบ้างสิเขี้ยว ใครจะมาพูดได้ทั้งวี่ทั้งวัน” หล่อนพูดจบก็ก้มดูนิตยสารต่อ คลี่ยิ้มเมื่อเห็นภาพด้านในถูกใจตนเองเหลือเกิน
“อันนั้นผมรู้ แต่หมายถึงตอนที่น้องเรียวของแม่เขาเงียบซึมเพราะมีปัญหา” แม่เขาเงยหน้าขึ้นจากรูปในนิตยสารอีกครั้งทั้งที่ยังมีรอยยิ้มติดอยู่บนใบหน้า
“หือ น้องมีปัญหาอะไรเหรอ”
“ผมก็ไม่รู้หรอก แต่เคยซึม นิ่งเงียบเหมือนโดนดูดวิญญาณออกไปจากตัว” บัวบูชาทำหน้านึก แต่ก็นึกไม่ออกว่าเรียวจันทร์ไปเจอปัญหาอะไรเข้า หรือว่ามีปัญหาอะไรอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วหรือเปล่า แต่สามีของเธอน่าจะพอเดาได้อยู่
“ยังไงก็ดูแลน้องด้วยนะเขี้ยว แม่ไม่ได้ให้เขี้ยวดูแลเพียงเพราะว่าพ่อเขามีบุญคุณกับบ้านเรา แต่เรียวจันทร์เป็นเด็กดี…” หล่อนยิ้มบาง เลื่อนสายตาไปมองรูปคู่ของทั้งสองคนในนิตยสารแล้วก็ถอนหายใจแผ่วๆ เงยหน้าขึ้นมองลูกตัวเองอีกครั้ง มองใบหน้าหล่อเหลาของลูกชายด้วยสายตาอ่อนโยน
“…ถ้าเกิดเราลงเอยกับหนูเรียวจริงๆ แม่ก็ไม่รังเกียจ ไม่กีดกัน แค่ลูกรักกันแล้วมีความสุข แม่ก็ยินดี” คมเขี้ยวทำตาโต แล้วเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้ว ก่อนที่จะมีท่าทีอึกอัก เขายกมือขึ้นเกาปลายจมูก
“แม่ ว่าไปนั่น แม่ไม่อยากอุ้มหลานรึไง ถ้าผมมีเรียวจันทร์เป็นเมีย ผมก็ไม่มีลูกนะ” บัวบูชาปิดหนังสือ มองหน้าลูกชายตรงๆ แล้วส่งยิ้มใจดีให้
“มีลูกแล้วเขี้ยวมีความสุขรึเปล่าล่ะ…” คมเขี้ยวมองหน้าแม่อย่างไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่
“…ถ้ามีก็ดี แต่ถ้าไม่มี เขี้ยวก็ต้องคิดให้ดีว่าชีวิตต้องการอะไรกันแน่ อยากมีลูกเพื่อตอบโจทย์กรอบชีวิตของสังคม หรืออยากมีความสุขกับคนที่เรารัก” คนเป็นลูกชายมองมารดาตัวเองด้วยความทึ่งกับแนวคิดที่แสนจะสมัยใหม่
“แม่คิดงี้จริงๆ เหรอ” บัวบูชาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“สำหรับแม่กับป๋า ก็หวังให้เขี้ยวมีความสุขนั่นแหละ เขี้ยวเป็นลูกที่ดีมาตลอด ถ้าแค่ลูกอยากจะขอมีเมียเป็นผู้ชาย แม่จะไปว่าอะไรล่ะ” หล่อนยิ้มแซวกับใบหน้าเก๊กขรึมของลูกชาย
“เป็นตุเป็นตะเชียวนะแม่” คนเป็นแม่เบะปากเบาๆ พร้อมกับมองผู้เป็นลูกด้วยความหมั่นไส้เล็กๆ
“ว่าแม่เป็นตุเป็นตะ แต่ก็ไม่ปฏิเสธนะพ่อเขี้ยว” คมเขี้ยวทำหน้าตาย พูดด้วยน้ำเสียงไหลไปเรื่อย
“ผมเห็นแม่พูดก็ไม่อยากขัด เดี๋ยวจะหาว่าเถียงพ่อเถียงแม่”
“หื้ม จ้า” หญิงสาวยังคงมองลูกชายด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะนึกถึงประเด็นหนึ่งที่เมื่อกี้ลืมพูด
“ถ้าเกิดเรามีความรู้สึกที่ดีกับหนูเรียวเขาจริงๆ เคลียร์หนูเอื้องให้รู้เรื่องด้วยนะ”
“เคลียร์อะไรล่ะแม่ ผมกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน การที่เขามาบ้านเราบ่อยๆ มาเจอพ่อกับแม่ ไม่ได้หมายความว่าผมจะเปิดตัวนะ ก็เหมือนเพื่อนมาบ้าน ตั้งแต่รู้จักกันมา ความสัมพันธ์เราไม่ได้ไปไหนไกลเลย”
“แล้วเขาคิดอย่างเรารึเปล่าล่ะ” คุณบัวมองคล้ายว่าจะดุอยู่ในที คมเขี้ยวยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มแค่นๆ แล้วหุบลงอย่างเร็ว
“แม่ว่าเวลาเราอยู่กับหนูเอื้องก็น่ารักดี แต่แค่นั้นก็ไม่ใช่คำตอบของทั้งหมด” สองแม่ลูกกำลังจะคุยกันต่อ แต่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยการมาเยือนของหญิงสาวที่เพิ่งอยู่ในบทสนทนาเมื่อครู่นี้
“คุณแม่สวัสดีค่ะ” บัวบูชารับไหว้พร้อมรอยยิ้ม
“สวัสดีจ้ะหนูเอื้อง เพิ่งเลิกเวรเหรอลูก”
“ใช่ค่ะแม่ เอื้องแวะไปซื้อขนมมาฝากทุกคนด้วยนะคะ” หญิงสาวยิ้มหวาน วางถุงขนมที่แวะซื้อมาก่อนจะเข้ามาบ้านของคมเขี้ยว เธอกำลังยิ้มแย้มและกำลังจะเริ่มชวนทั้งสองคนคุย แต่สายตาเหลือบไปเห็นนิตยสารบนโต๊ะเสียก่อน เลยชะงักไปนิดหน่อย บัวบูชาหันไปมองหน้าลูกชายที่ยังนิ่ง ไม่ได้สังเกตปฏิกิริยาของผู้มาใหม่เลย
“ไปถ่ายตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอเขี้ยว” คมเขี้ยวหันไปมองเธองงๆ แต่พอเห็นว่าอัจฉราเอื้อมมือไปหยิบนิตยสารขึ้นมาดูเขาเลยทำหน้าเข้าใจ และมีความลำบากใจปะปนด้วย
“สักพักแล้วล่ะ” อัจฉรายิ้มอ่อน ก้มลงมองหน้าปกของหนังสือด้วยสายตาที่เขาไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ หญิงสูงวัยมองหญิงสาวอีกคนด้วยความเห็นใจ ตัวหล่อนเองไม่คิดบังคับเรื่องหัวใจของลูกชาย แค่อยากให้เป็นลูกผู้ชายมากพอที่จะเคลียร์ทุกอย่างให้ชัดเจน อันที่จริงกับอัจฉรา หล่อนก็เห็นอย่างที่ลูกชายว่า พยาบาลสาวแสดงออกว่าชอบพอและพึงพอใจในตัวลูกชายหล่อนมาก ส่วนลูกชายหล่อนก็ไม่ได้มีท่าปฏิเสธ แต่ก็ไม่ยอมให้ความสัมพันธ์ก้าวไกลไปมากกว่าที่เป็นอยู่สักที เมื่อก่อนนี้ หล่อนหวังให้ลูกชายตกลงปลงใจกับอัจฉราเร็วๆ เพราะเห็นว่าทั้งสองเหมาะสมกันดี หล่อนยังเคยหวังให้หญิงสาวคนนี้มาเป็นลูกสะใภ้เลย แต่หล่อนกับสามีก็ไม่เคยเชียร์ออกนอกหน้า เพราะถือว่าใจใครใจมัน
สมัยที่หล่อนกับสามีคบกันก็มาจากใจของตัวเองกันทั้งนั้น ไม่เคยมีใครบังคับใดๆ แล้วเหตุอะไรทำไมหล่อนต้องบังคับลูกชายตนเอง ถ้าเขาชอบ หล่อนก็พร้อมยินดี แต่ถ้าเขาไม่ชอบ หล่อนก็พร้อมเคารพการตัดสินใจของลูกเช่นกัน
“เป็นงานชิ้นนึงนั่นแหละหนูเอื้อง ทางนิตยสารเขาขอมา ปกติเขี้ยวก็เคยถ่ายแบบให้สัมภาษณ์ในนิตยสารบ้าง แต่เล่มนี้เป็นเล่มแรกเลยที่ขึ้นปก” บัวบูชาอธิบายอย่างนุ่มนวลเพื่อให้อัจฉราไม่รู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ ต่อให้เงียบยังไงก็ดูออกนั่นแหละว่าพยาบาลสาวคงไม่สบายใจอยู่
อัจฉราเงยหน้าขึ้นมองแม่ของชายหนุ่มพร้อมรอยยิ้ม และหันไปมองคมเขี้ยวที่ทำหน้าไม่สบายใจอยู่อย่างสบายๆ เธอเปิดหนังสือดูรูปถ่ายในเล่มทีละรูป
“เขี้ยวหล่อดีนะ นานๆ ทีจะเห็นมาดนายแบบ” พอเห็นว่าเธอยิ้มได้ คมเขี้ยวเลยค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย เขายิ้มตอบเธอบางๆ
“ตอนถ่ายก็เกร็งอยู่เหมือนกัน”
“แต่คุณเรียวคงช่วยได้เยอะเลยละสิ” เธอทำท่าจะวางหนังสือไว้บนโต๊ะตามเดิม แต่สักพักก็เปลี่ยนใจ
“ขอเอื้องเล่มนึงได้มั้ยคะ เก็บเอาไว้ดูรูป เฉพาะเขี้ยวนะ ไม่นับคุณเรียว” เจ้าหล่อนหัวเราะเบาๆ คมเขี้ยวยิ้มแกนๆ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดด้วยความรู้สึกหึงหวงหรือเปล่า
“ได้ เอาไปสิจ๊ะ เอาเล่มรวมเบื้องหลังด้วยมั้ย” บัวบูชายื่นหนังสือเล่มเล็กกว่าไปให้อัจฉรา พยาบาลสาวยื่นมือไปรับมาวางไว้กับอีกเล่มบนตัก
“คุณพ่อกับดินไปไหนล่ะคะแม่” เธอว่าพลางเอาหนังสือยัดลงกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมสีครีมของตัวเอง
“ป๋าเขาไปดูไร่องุ่นจ้ะ ดินก็คงอยู่แถวๆ นี้แหละ”
“วันนี้เอื้องทำกับข้าวให้มั้ยคะ” เธอเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ต้องหรอกเอื้อง เมื่อวานก็มาทำให้ผมไปมื้อนึงแล้ว” คมเขี้ยวว่าอย่างเกรงใจ นึกถึงมื้อเย็นเมื่อวานที่กินแบบขัดๆ ฝืนๆ เหมือนกินได้ไม่เต็มที่แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ
“ทำอย่างกับเอื้องทำให้กินไปแค่มื้อเดียวงั้นแหละ” อัจฉรายิ้มเย้า คมเขี้ยวยิ้มไม่เต็มปากนัก
“ถ้าหนูสะดวกก็ทำเถอะจ้ะ แม่เองก็ชอบรสมือหนูเอื้อง” บัวบูชาบอกพร้อมรอยยิ้มใจดี หล่อนไม่อยากให้หญิงสาวตรงหน้ารู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นส่วนเกิน จากที่เคยเดินเข้าเดินออกบ้านนี้ได้อย่างเป็นกันเอง
“งั้นเดี๋ยวเอื้องทำรอคุณพ่อกับดินเลยแล้วกันนะคะ” ไม่รู้ว่าคมเขี้ยวคิดมากไปหรือเปล่า แต่เหมือนอัจฉราจะจงใจไม่พูดถึงเรียวจันทร์ ดีที่ว่าแม่คุณนายแกไม่อยู่พอดี
“ถึงจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา แต่อย่าทำเหมือนเขาไม่เคยใกล้ชิดกับเรามาก่อนเลยนะ” บัวบูชาบอกก่อนจะลุกขึ้นเดินตามอัจฉราเข้าไปในครัวเพื่อช่วยหล่อนทำอาหาร คมเขี้ยวยักคิ้วขึ้นหนึ่งที ก่อนจะพ่นลมหายใจเบาๆ
เม้าท์เม้าท์เม้าท์กะขุ่นเจ้
คุณแม่พี่เขี้ยวเปิดทางแล้วนะคะพี่ ตัวพี่ว่ายังไงคะ ตัวเองก็แอบคิดถึงคุณนาย ยังมิวายพยายามหาข้ออ้างให้ตัวเองนะ หุๆ
ที่คุณแม่พูดว่าคิดถึงเรียวจันทร์ คุณแม่ไม่ได้โดนบังคับเหมือนสองคนนั้นใช่มั้ยคะ 555555
สายตาของยัยเอื้องอ่านไม่ออก จะผีเข้าผีออก หรือผีบอกอะไรก็ยังไม่รู้ พี่เขี้ยวโปรดรีบเคลียร์ แต่ก่อนจะเคลียร์แม่นางคนนี้ ขอพี่เขี้ยวก็เคลียร์ใจตัวเองก่อนว่ายังไงกับแม่เรียว
แต่ก็เป็นสัญญาณดีๆ ละน้าาา ถ้าใครตามอ่านกันมานาน จะรู้เนอะว่าอีพี่เขี้ยวต่อต้านคุณนายมากแค่ไหน 555555 เนี่ยยยย อันนี้ดีแล้ว เริ่มมีคิดถึงจุ๊บจิ๊บๆ กรุบๆ กริบๆ
เอ๊าาา ลุ้นกันต่อปายยยย ว่าขุ่นแม่เรียวเข้าจะพุ่งชนเป้าพี่เขี้ยวได้สำเร็จหรือไม่ ฮู่เล่ๆ *ชูพู่เชียร์*
ขอบคุณคนอ่านทุกคนที่ตามอ่านเรื่องนี้กันอยู่ค่ะ คอมเม้นทุกคอมเม้นที่เม้นให้ เรื่องจำนวนตอมไม่ได้เอามาเป็นประเด็นใหญ่ แค่เห็นจำนวนคอมเม้นเพิ่มขึ้นในแต่ละครั้งที่อัพให้ก็ดีใจแล้วค่ะจริงๆ มันเป็นกำลังใจให้ตอมรู้ว่า เออ มีคนอ่านรอเราอยู่นะ ขอบคุณมากๆ นะคะทุกคอมเม้น และขอบคุณนักอ่านเงาด้วยค่ะที่คอยเพิ่มยอดวิวให้เสมอ ฮ่าๆๆ
#WorksTheMagic หรือ #คมเขี้ยวเรียวจันทร์