เกลียด
“จิงโจ้”
“จิงโจ้...”
หมอผู้ไม่ได้นอนมาทั้งคืนเพราะมัวแต่อ่านหนังสือทบทวนบทเรียน หลังจากเปิดเรียนได้หนึ่งอาทิตย์ เบื่อไอ้ผู้ชายห้องข้างๆ ที่มายืนแหกปากเรียกแต่เช้ามาก แถมเรียกชื่อที่หมอไม่ค่อยชอบ
“อะไรของมึง” จิงโจ้ที่เขาเรียกเปิดประตูออกมาถามด้วยเสียงห้วน
“ไปวิ่งกัน”
โจ้มองผู้ชายตัวใหญ่ในชุดเตรียมวิ่งยามเช้า หมอผู้ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายส่ายหน้าเพื่อปฏิเสธ
“ไม่ไป กูง่วง” เขาบอกห้วนก่อนจะปิดประตูลง แต่ก่อนที่ประตูไม้บานนั้นจะปิดสนิท อีกคนก็แทรกตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว แถมวิสาสะเดินเข้าห้องโดยที่ไม่ถอดรองเท้าวิ่งของมันออกก่อน
“นี่จิงโจ้ได้นอนยัง”
พายกวาดสายตามองโต๊ะหน้าทีวีที่เต็มไปด้วยหนังสือและเอกสารต่างๆ รวมถึงคอมพิวเตอร์หน้าจอยังสว่างจ้า
“จะไปวิ่งก็ไป อย่ามากวน” โจ้ออกปากไล่ผู้บุกรุกก่อนจะเดินกลับไปที่โซฟาตัวเดิม แล้วนั่งลงบนพื้น เอาหลังพิงโซฟาหนังเพื่อหันหน้าเข้าหาทีวีและวางของบนโต๊ะเตี้ยๆ ตัวนั้น
“จิงโจ้ทำอะไร” พายนั่งลงข้างๆ หมอ มองคุณหมอผู้กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้น ในมือนั้นกำลังรวบรวมกระดาษที่จดทุกอย่างด้วยลายมือของตัวเองขึ้น
“จิงโจ้…”
“เดี๋ยวกูจะฟาดด้วยรีโมต มึงเรียกจิงโจ้มากี่รอบแล้ว” หมอหันมาตวัดสายตาดุใส่ ถ้าเป็นคนปกติคงกลัวหัวหดวิ่งหนีไปแล้ว แต่นี่คือคุณพ. ถึงไม่กลัว ไม่วิ่งหนีแถมยังเอาลำตัวโตเบียดเขาเข้าไปเพื่อมองดูจอคอมพิวเตอร์อันเป็นที่รู้กันว่าเป็นของส่วนตัว แต่พายก็ไม่ได้ใส่ใจ
“นี่อะไรครับ” พ่อมือกีตาร์ชี้ไปที่คอมพิวเตอร์พกพา หน้าจอเต็มไปด้วยตัวหนังสือภาษาอังกฤษยุบยับ
“กูฟังภาษาอังกฤษยังไม่คล่องเท่าไหร่ เวลาเรียนเลยงงๆ ต้องมานั่งสรุปเอง ความจริงต่อให้เรียนเป็นภาษาไทยก็ต้องมานั่งทบทวนอยู่แล้ว” หมอบอกทั้งพยายามเก็บกระดาษที่กระจัดกระจายมาเรียงเป็นหมวดหมู่ โดยใช้กระดาษโพสต์อิสแต่ละสีเรียงไว้
“อย่าบอกนะว่าหมอไม่ได้นอนทุกคืน” พายที่ปกติออกทัวร์เป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือน นานๆ ได้กลับมาที่นี่ที วาดฝันไว้ว่าหมอต้องอยู่อย่างสบายและมีความสุขในบ้านของตัวเอง...แต่ดูท่าจะไม่ใช่แบบนั้นเสียแล้ว
“จริงๆ จะอ่านตอนกลางวันก็ได้ แต่กูเป็นโรคจิต ถ้ายังไม่รู้เรื่องจะนอนไม่หลับ แล้วกลางคืนมันมีสมาธิกว่าด้วย” โจ้เว้นหายใจเพียงครู่ก่อนจะพูดต่อ “ก็เหมือนมึงที่นั่งแต่งเพลงทั้งคืนไม่หลับไม่นอนนั่นแหละ”
ดูเหมือนตอนนี้คนโง่อย่างพายจะเข้าใจอะไรเพิ่มบ้างแล้ว ถึงการทำงานไม่ได้สบายนักแต่เขาก็มีความสุขที่จะทำ เหมือนหมอเองที่กำลังนั่งจัดชีตให้เป็นระเบียบอยู่ตอนนี้
คนที่กะจะไปวิ่งลุกขึ้นบิดขี้เกียจ
“เอาข้าวต้มไหม เดี๋ยวผมทำให้ แล้วโจ้ค่อยไปนอน”
หมอโจ้ฟังวิวัฒนาการชื่อของตัวเองที่ถูกตีสนิทขึ้นเรื่อยๆ แต่หมอเบื่อเกินกว่าจะบ่นอะไรนอกจากโบกมือไล่ให้อีกคนไปทำสิ่งที่อยากทำ ส่วนตัวเองนั่งเก็บกระดาษและหนังสือทั้งหมดให้เข้าที่
ซึ่งสิ่งที่อยากทำในเช้าวันนี้ของคุณพ.ไม่ใช่การไปวิ่งแล้ว เขายืนยิ้มหน้าระรื่นทำนั่นนิดนี่หน่อยในครัว ไม่นานนักข้าวต้มซุปไก่และไข่คนก็เสร็จเรียบร้อย
หมอเดินตามเสียงเรียกของอีกคนไปที่โต๊ะกินข้าวตัวเล็กๆ ที่แต่เดิมมีเก้าอี้เพียงตัวเดียว แต่ตอนนี้ไม่รู้อีกคนไปขนเก้าอี้อีกตัวมาจากไหน
“ถ้ามีกระเทียมเจียวกับผักชีคงดี” พ่อครัวจำเป็นว่าก่อนจะลากเก้าอี้นั่งลงบ้าง
หมอมองท่าทีเป็นธรรมชาติของอีกคนที่ไม่เคยเห็น แม้มันจะไม่กี่วินาทีเมื่อครู่แต่ก็ทำให้ฉุกคิดอะไรได้หลายอย่าง อย่างเช่นว่าคนๆ นี้อยู่ในที่แห่งนี้มานานแค่ไหนแล้ว และปกติใช้ชีวิตอยู่เช่นไร เคยนั่งที่โต๊ะนี้มากี่ครั้งแล้ว
“แค่นี้ก็พอแล้ว” หมอบอก ก่อนจะตักข้าวต้มคำแรกเข้าปาก
โจ้เองทำงานหนักมาหลายปี ถึงเคยไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องอาหารอะไรอร่อย ตัวเองชอบกินอะไร หมอที่ปกติกินเพื่ออยู่อย่างเดียวเงยหน้ามองอีกคน
“อร่อยดี ขอบใจนะ”
พายเลิกคิ้วมองอีกคน ก่อนจะจุดยิ้มเล็กๆ ที่่มุมปาก
พายเองค่อนข้างจะมั่นใจว่าชีวิตมันที่ผ่านมาเขาใช้ค่อนข้างจะคุ้ม อยู่และเติบโตมาในหลายที่ ดีบ้างร้ายบ้าง ทำให้เด็กที่โตและยืนขึ้นมาด้วยขาตัวเองอย่างเขาขาดประสบการณ์บางอย่าง
อย่างการที่ถูกใครบางคนขอบคุณด้วยความจริงใจแบบนี้...พายไม่ค่อยได้เจอนัก บางทีคงเป็นความสุขที่ได้ให้แบบที่หมอเคยบอกก็เป็นได้
พายลอบมองกิริยาของอีกคนที่ไม่ได้ต่างจากผู้ชายทั่วไป แล้วก็ลองคิดเป็นรอบที่ล้านว่าทำไมเขาถึงได้ติดใจหมอนัก ในตอนแรกที่ตกหลุมรักพายแอบคิดว่าคงเป็นความหลงฉาบฉวยเช่นเคยอย่างที่เคยเป็นกับคนอื่นๆ
...แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ใช่...
“หมอโจ้”
สิ้นเสียงเรียก อีกคนก็เงยหน้ามามองกัน
“อะไร” หมอถามหน้าดุ เพราะกำลังตั้งใจกินข้าวอยู่
พายยิ้มกว้างให้เขา ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่มีอะไรครับ”
...ก็แค่อยากเรียกชื่อเขา และมองหน้าเขาเท่านั้น…
.
.
.
.
หลังจากมื้อเช้าพายก็ออกไปวิ่งด้วยท้องที่หนักอึ้ง เช้าวันนี้อากาศไม่เย็นนัก คงเพราะเริ่มเข้าหน้าร้อนแล้ว เลยเห็นมีคนออกมาเล่นเซิร์ฟอยู่ประปราย และหนึ่งในนั้นก็คือเดฟเพื่อนในอพาร์ทเมนต์เดียวกัน
พายมักจะเจอเดฟบนลิฟต์บ้าง ที่ห้างบ้าง แต่ที่บ่อยที่สุดคงจะเป็นเวลาออกกำลังกายยามเช้าเช่นนี้
“ช่วงนี้ไม่มีทัวร์เหรอ” หนุ่มอเมริกันบ้ากล้ามหัวทองเดินเปลือยกายครึ่งตัวมาหาอีกคนที่ยืนยืดเส้นยืดสายอยู่ถนนริมหาด
“ไม่เชิง วันนี้หยุด” พายตอบพลางมองไปที่คลื่นสูงเกือบ 3 เมตร คงต้องรอให้ร้อนกว่านี้อีกนิด คุณพ.หนุ่มฮ็อตแห่งหาดนี้จะได้ขุดชุดเซิร์ฟบอร์ดของตัวเองออกมาบ้าง
“ทำไมวันนี้ดูวิ่งไม่ฟิต” อีกคนถาม คงเพราะเห็นพายยืดกล้ามเนื้ออยู่แถวนี้มาสักพักแทนที่จะเป็นการวิ่งฉิวเช่นเดิม
พายหัวเราะแทนคำตอบ จริงๆ แล้วจุกข้าวเช้าเกินไป
“เออ ช่วงนี้หาดเรามีคนเอเชียมาอยู่เพิ่มนะ ฉันเห็นชอบเดินไปห้างคนเดียว บางทีคงเรียนที่มหาลัยตรงนู้น” เดฟชี้มือไปทางตรงไหล่เขาตรงนู้นที่มีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งตั้งอยู่ เป็นมหาวิทยาลัยเล็กๆ ที่มีชื่อเรื่องความสวยงามของภูมิศาสตร์แห่งหนึ่งในประเทศ ช่วงเปิดเทอมและช่วงซัมเมอร์มักจะมีสาวๆ ชวนกันออกนอกหอพักมาอาบแดดตรงนี้เสมอ
คงเพราะเมืองนี้ค่อนข้างห่างไกลจากเมืองท่องเที่ยว ทั้งมีพื้นที่และประชากรไม่มากนัก เวลามีคนย้ายเข้าย้ายออกจึงมักเป็นประเด็นอยู่เสมอ โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่หาได้ยาก
“สวยไหม” พายแหย่ถามแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเดฟหมายถึงใคร
“ไม่สวยเว้ย ผู้ชาย แต่ก็น่ารักดี ฉับชอบ”
พายหน้าหงิกทันทีที่ได้รับคำตอบ เพราะรู้ดีว่าเดฟนั้นชอบหนุ่มๆ พอๆ กับสาวๆ
“อย่าเชียว นั่นแฟนกู”
ถึงพายจะเคยกวนตีนหมอว่าเป็นนั่นเป็นนี่กับตัวเอง แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่คิดจริงจังขนาดนี้ และยิ่งหงุดหงิดเมื่อรู้ว่ามีใครอื่นมองหมออยู่เหมือนกัน
“หวงเหรอวะเนี่ย” หนุ่มผมทองตาฟ้าว่าพลางหัวเราะ
“เออ หวง” คุณพ.บอกเพื่อน พวกเขาคุยกันสักพักเรื่องที่ว่าหน้าร้อนจะมาแข่งเซิร์ฟกันแล้วพาแฟนมาด้วย
พายผู้ขี้ตู่ว่าหมอโจ้เป็นแฟนตัวเองวิ่งเหยาะๆ กลับบ้านไปด้วยพยายามหุบยิ้มไปด้วย
ในระหว่างที่คุณพ.กำลังฮัมเพลงไปด้วยเดินเข้าในตึกไปด้วยก็เหลือบไปเห็นใครบางคนกำลังเดินตรงมาทางนี้เช่นเดียวกัน
“โจ้ไปไหน” พายนึกว่าหมอหลับไปแล้วถามเมื่อเห็นอีกคนพึ่งเดินออกมาจากลิฟต์ด้วยใบหน้ายุ่งเช่นเคย
“ไปห้าง” หมอตอบพลางหาว
คุณพ.มองนาฬิกาข้อมือตัวเองที่บอกเวลาเกือบเก้าโมงเช้า แล้วก็มองหน้าอีกคนก่อนรีบถาม เพราะกลัวหมอเดินหนีไปก่อน
“ขอขึ้นไปเอากุญแจรถก่อน เดี๋ยวผมพาไป” เขาว่าพลางฉวยข้อมืออีกคนขึ้นลิฟต์ตามไป
“โจ้จะไปทำอะไรครับ”
หมอที่เริ่มหลอนหูเมื่อได้ยินอีกคนเรียกชื่อตัวเองบ่อยๆ ขมวดคิ้วก่อนจะบอกออกมา
“ไม่เรียกชื่อเล่นได้ไหมวะ กูขนลุก”
“งั้นเรียกอะไรดี”
พายทำหน้าตาเหมือนนึกอยู่หน่อยทั้งๆ ที่ความจริงแล้วสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวมันแต่แรกก็คือ
“ฮันนี่ ดาร์ลิงดีไหม? ” และแล้วคุณพ.ก็โดนหมอทุบไหล่อยู่สองที
คนตัวโตร้องห้ามไปด้วยหัวเราะไปด้วย แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือเขา
“เรียกโจ้นั่นแหละเนอะ ดีแล้ว”
“ปล่อยมือด้วย” หมอบอกเมื่อลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นที่อยู่
พายเดินนำเข้าไปในห้องตัวเอง ส่วนอีกคนก็เดินตามอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่กระนั้นเมื่อห้องสีดำสนิทปรากฏต่อสายตา หมอก็อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าคนๆ นี้ซุกซ่อนอะไรไว้บ้างภายใต้ใบหน้าขี้เล่นกับเสียงหัวเราะแบบนั้น
“แล้วทำไมห้องนั้นถึงสว่าง” หมอถามถึงห้องสีครีมที่ตัวเองอยู่
“ผมว่าหมอน่าจะชอบสีสว่าง เลยให้ช่างมาทาใหม่” อีกคนว่าพลางเดินไปเปิดลิ้นชักบนโต๊ะหน้าทีวีที่หน้าตาเหมือนอีกห้องเพราะน่าจะเป็นคอเลคชั่นเดียวกัน
“แล้วจะไปห้างทำไมครับ ทำไมไม่นอนก่อน” พายเดินกลับมาพร้อมกับกุญแจรถและกระเป๋าตังค์ถามอีกคนที่กำลังก้มหน้ามองจอมือถืออยู่
“จะไปซื้อซิมใหม่ ใช้แต่ไวไฟเวลาไปข้างนอกโทรหาที่บ้านไม่สะดวก”
เจ้าของห้องพยักหน้าเป็นอันว่าเข้าใจ ก่อนจะเดินนำลงมายังลานจอดรถ โจ้หวังว่าจะเห็นรถหรูอีกสักคัน แต่กลับเห็นแค่รถแลนโรเวอร์คันใหญ่แบบรถครอบครัวเท่านั้นเอง
“ขอโทษนะ ผมลืมถามเรื่องพวกนี้ไปเลย แล้วไวไฟที่ห้องดีอยู่ใช่ไหม” คนที่รับหน้าที่เป็นคนขับรถว่าพลางสตาร์ตรถคันใหญ่ไปด้วย
“ขอโทษทำไม กูต้องดูแลตัวเองก็ถูกแล้ว” หมอบอก
พายรู้ว่าหมอไม่ได้ประชด แต่ก็ทำให้คิดได้หลายอย่าง ว่าการที่ตัวเองชอบหมอ...จะสามารถดูแลหมอได้ดีหรือเปล่า ขนาดได้มาอยู่ข้างกันแบบนี้แล้วยังเผลอหลงลืมไปหลายอย่างเลย
“รีบไหม ยืมของผมก่อนก็ได้” เจ้าของรถยื่นโทรศัพท์รุ่นล่าสุดให้ ซึ่งหมอปฏิเสธออกไปแต่ก็รับมาไว้ในมือ
“ไม่เป็นไร แค่จะไปซื้อไว้โทรหาหมาเวลาอยู่นอกบ้านกับที่ม.” โจ้ตอบขำๆ
พายยิ้มให้กับคำตอบนั้นก่อนจะบอกเลี้ยวรถออกจากลานจอดรถใต้อพาร์ตเมนต์
“ผมก็อยากคุยกับมันนะ” พายยื่นมือถือตัวเองให้อีกคน
โจ้รู้ว่านั่นไม่ใช่คำโกหกเพื่อเอาใจ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเรื่องที่พวกเขาคุยกันในแต่ละวันก็ไม่พ้นเรื่องหมา
หมอมองหน้าจอมือถือของอีกคน พายไม่ได้ใสารหัสอะไร ภาพพักหน้าจอเป็นรูปทะเลกว้าง ในระหว่างที่กำลังสงสัยว่าในนี้จะมีเบอร์น้องสาวหรือน้องชายกี่คน เขาก็ตัดใจกดโทรหาพี่สาว
“พี่กวาง หมาล่ะ”
พายได้ยินเสียงอีกคนกรอกลงไปในสายหลังจากกดมือถือและเงียบไปสักพัก
“พี่กับพ่ออยู่นี่ไม่ถาม ถามหาหมา”
พายได้ยินเสียงตอบกลับมาอย่างชัดเจนเนื่องจากหมอกดเปิดกล้องเพื่อมองหาหมาอย่างจริงจัง ปลายสายเป็นผู้หญิงผมยาวที่พายมองเห็นได้ไม่ชัดนักเนื่องจากกำลังขับรถอยู่ แต่ฟังจากเสียงหัวเราะของคนทางนี้ก็พอรู้ว่าคงเป็นพี่สาวที่หมอสนิทมากพอดู
พายยิ้มไปกับการโต้ตอบของสองพี่น้องที่ดูแล้วคล้ายกับกำลังเถียงกันอยู่เสียมากกว่า จนกระทั่งเธอบอกบางอย่างออกมา
“หมาอยู่กับน้องเนยข้างนอก” เมื่อจบประโยคบอกเล่านั้น พายก็หุบยิ้มลงอย่างช่วยไม่ได้
พายรู้สึกว่าตัวเองกำพวงมาลัยแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม ต่างจากอีกคนที่ดูเป็นธรรมชาติเหลือเกิน
เพราะห้างแห่งนี้อยู่ห่างจากอพาร์ตเมนต์ด้วยการขับรถแค่ไม่ถึงสิบนาที สายนั้นจึงถูกตัดทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย โดยที่หมอสัญญากับพี่สาวว่าจะโทรไปหาทันทีหลังจากได้ซิมการ์ดใหม่
พายจอดรถคันใหญ่ที่บริเวณลานจอดรถกลางแจ้งข้างห้างสรรพสินค้า เขาดับเครื่องลงด้วยความคล่องแคล่วเพียงแต่ประตูยังไม่ได้ถูกปลดล็อก โจ้มองท่าทีนิ่งงันของอีกคน ในความเงียบที่ไร้สาเหตุนั่นน่าอึดอัด
แต่ก็ตามเดิม…หมอไม่ได้ถามอะไรออกไป
“เรื่องน้องเนย โจ้เกลียดผมมากไหม”
หมอขมวดคิ้วไปพลางมองอีกคนที่ทำหน้าตาน่าสงสารไปพลาง หมอว่าเรื่องบางเรื่องมันค้างคามานานควรที่จะต้องพูดอะไรเสียที
“เคยมั้ง” เขาตอบตามจริงเมื่อนึกถึงไอ้บ้าข้างบ้าน ที่เมื่อก่อนชอบเกาะรั้วบ้านเพื่อจะกวนตีนแล้วหลุดขำออกมา ทั้งๆ ที่อีกคนหน้าเสียไปแล้ว
คนแก่กว่ามองไอ้เด็กตัวโตที่นั่งเอามือกำพวงมาลัยไว้
“ผมต้องทำยังไงบ้าง” โจ้เอียงคอฟังคำถามนั้นอย่างตั้งใจ
“ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ให้โจ้ไม่เกลียดกัน ให้โจ้ไม่ไล่ผมไปอีก”
พายพูดถึงคำสุดท้ายของหมอเมื่อเกือบปีที่ผ่านมา แต่เดิมพายทำอะไรไม่ค่อยคิด พอนึกย้อนหลังกลับไปถึงเจอแต่สิ่งที่ทำให้ล้วนแล้วแต่เสียใจภายหลังแทบทั้งนั้น
ในขณะที่กำลังดีใจกับการเจอกันใหม่มากแค่ไหน นั่นก็หมายความว่าเขาเองก็กำลังกังวลมากไม่ต่างกัน
หมอโจ้อมยิ้ม
“พาย ถ้าคนจะเกลียดถึงอยู่คนละโลกก็เกลียด” หมอบอก
อีกคนเบนหน้าออกไปมองกระจกอีกฝั่ง พายรู้ดีว่าเขาเป็นคนผิด
“ผมเจอกับเนยตอนที่ผมกลับไทยครั้งที่แล้ว ผมคบกับน้องเขาไม่ถึงเดือน แต่ก็ติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ เพราะคุยกันถูกคอ” พายอยากเล่าให้หมอฟัง ถึงจะโดนหาว่าแก้ตัวก็ตามที
“ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นของใคร แต่ผมรู้แล้วว่าไม่ควรจะทำแต่แรก ผมรู้แล้วนะ…”
เขาพยายามกดเสียงตัวเองให้ดูเป็นธรรมชาติทั้งพยายามหันหน้าออกไปที่ข้างกระจกฝั่งตัวเองให้มากที่สุด พายปล่อยมือที่กำแน่นจนชื้นเหงื่อออกจากพวงมาลัย และวางมันไว้บนตักของตนเองในที่สุด
“พวกเราเลิกติดต่อกันนานแล้ว หลังจากที่ผมรู้ตัวว่าผมชอบหมอ ผมเลิกติดต่อกับทุกคน ผมรู้ว่ามันดูไม่น่าเชื่อ แต่ตอนนั้นที่ผมกลับไทยไป เราแค่บังเอิญเจอกัน ผม…” พายถอนหายใจออกมาและสูดเข้าไปใหม่คล้ายกับกำลังให้กำลังใจตัวเอง
“ผมไม่เคยคบใครเป็นแฟน แต่ผมทำให้เนยเข้าใจผิด ผมมันแย่...”
โจ้มองไหล่ใหญ่ที่ดูลู่ลง
“ผมไม่รู้จะแก้อดีตยังไง แต่ผมเลิกหมดแล้วนะ…” พายหันกลับมามองอีกคนด้วยสายตาเจ็บปวด
ในสายตาโจ้ พายคือผู้ชายที่รวยไปด้วยรูปและทรัพย์ เขาได้ยินข่าวมามากมายว่าพายเป็นคนยังไง ปกติเขาฟังหูไว้หู แต่ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาใช้…ใจ…ฟัง
“อีกแค่ครั้งเดียว ครั้งเดียวก็พอ...”
หมอมองดูไหล่สั่นน้อยๆ ของอีกคน พยายามนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาของพวกเขาทั้งคู่ พวกเขาดูเหมือนจะเป็นแค่เพื่อนบ้านธรรมดาๆ เคยกินข้าวกัน แต่ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนถึงจูบกันหรือแม้กระทั่งร้องไห้กอดกัน
ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเรามันก้าวผ่านจุดๆ นั้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่
...แต่ก็ไม่อยากกลับไปเป็นคนที่ไม่รู้จักกันอีกแล้ว...
“ผมแค่อยากได้โอกาส” ผู้ชายตัวใหญ่บอกหมอทั้งน้ำตา
“ถ้าหมอกลับไปคบกับเนย ผมขอเป็นแค่เพื่อนหมอก็ได้ อย่าไล่ผมอีกเลยนะ”
โจ้ถอนหายใจ ไม่รู้ว่าความเจ็บปวดของแต่ละคนจะไปจบลงไปในทิศทางใด แต่ก็เบื่อกับการตั้งแง่แล้ว
ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาแม้โจ้จะวุ่นกับการเตรียมตัวมาเรียนแต่ก็ไม่เคยลืมเรื่องราวของเราเลย มันเหมือนกับฝุ่นผงเล็กๆ ที่ลอยคว้างอยู่ในใจ แม้จับต้องไม่ได้แต่ก็ทำให้ก็หงุดหงิด และอีกคนก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
“ร้องทำไม” หมอบอกก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปดึงอีกคนซบลงที่ไหล่ตัวเอง
“ไม่ได้โกรธแล้ว”
ดูเหมือนผู้ชายตัวใหญ่ที่พยายามฝืนตัวเองมานานจะหมดความอดทนแล้ว พายเอื้อมมือกอดอีกคนไว้แน่น
เสียงสะอื้นของคนตัวโตทำเอาทั้งสงสารทั้งขำ
หมอพูดกลั้วหัวเราะเมื่อไหล่ตัวเองเริ่มเปียก “กับน้องเนยก็จบกันดีแล้ว น้องเขามาบ้านเพราะสนิทกับพี่กวาง ส่วนเรื่องที่ผ่านมากูก็ต้องขอโทษเหมือนกัน” หมอบอกพร้อมกับตบไหล่หนาแปะๆ
“ถ้ากูเองดีพอเขาก็คงไม่ไปหรอก ถือว่าเลิกแล้วต่อกันนะ” โจ้บอกก่อนจะเงียบไปนาน จนได้ยินเสียงหายใจของคนทั้งคู่ในมวลอากาศ
เรื่องของคนอื่นอาจจะเคลียร์ได้จบแล้ว...ส่วนเรื่องของเรา
“คิดว่ากูไม่รู้เลยเหรอว่าห้องที่เช่านี่ของใคร” หมอว่าด้วยเสียงเรียบนิ่ง
ตอนแรกโจ้ไม่รู้ก็จริงแต่ใครล่ะจะไม่เอะใจเรื่องห้องหรูราคาถูก แต่ที่ยอมมาอยู่ที่นี่นอกจากจะเพื่อความสะดวกสบายของตนแล้ว
เป็นตัวเขาเองที่รู้ดีกว่าใครว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนข้างบ้านเป็นอย่างไร
โจ้จำได้ว่าไม่เคยกล้าเรียกอีกคนว่าเพื่อนเพราะความสัมพันธ์ไม่ได้ถูกพัฒนามาในทิศทางนั้นตั้งแต่แรก
“คิดว่ากูไม่รู้เหรอว่าต้องมาเจอใคร” หมอบอกก่อนจะถอนหายใจอีกรอบ
“ถ้าเกลียดจะมาหาทำไม...หืม? ”
แม้โจ้จะเป็นคนเข้มแข็งและดูเหมือนเฉยชา แต่หมอก็เป็นแค่คนๆ หนึ่งที่เคยเกลียด เคยรัก เคยอ่อนแอ เขาก็มีเปลือกนอกที่แข็งกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง
“จิงโจ้...” พายเรียกเสียงสั่น ทำเอาเจ้าของชื่อหัวเราะ
“เมื่อกี้ยังเรียกหมออยู่เลย” เขาทุบแผ่นหลังอีกคนหนักๆ เพราะพายมันเริ่มกอดแน่นขึ้นทุกที
แม้ตอนนี้จะเป็นแค่ช่วงเวลาเพียงนิดที่ได้คุยกัน แต่ราวกับว่าการพูดคุยในครั้งนี้จะช่วยให้หลายๆ อย่างดีขึ้น
“ไหล่กูเปียกหมดแล้ว ปล่อย” หมอดันไหล่อีกคนออก แต่พายก็ยังกอดหนึบ
ตอนนี้ไม่ได้ร้องไห้แล้ว...แต่ดีใจจนยิ้มกว้าง
ก่อนที่หมอจะทันรู้ตัว จมูกโด่งก็กดลงที่แก้มหนักๆ สองที พอโจ้เริ่มจะโวยวาย คุณพ. ที่ยังตาแดงก่ำก็กดปากลงที่ปากอิ่ม เสียงดัง...จุ๊บ...ลั่นรถ
หมอทำหน้าเหวอเมื่ออีกคนยังกอดไม่ปล่อย
“ไอ้เหี้ยพาย ปล่อยโว้ย!! ”
___________________________
TBC.
เขาใกล้จะมุบมิบกันหรือยังนะ เกินครึ่งเรื่องแล้ว ;_;