อยากฟังประสบการณ์แปลกๆของเพื่อนๆในเล้า เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับที่เคยเจอมา
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อยากฟังประสบการณ์แปลกๆของเพื่อนๆในเล้า เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับที่เคยเจอมา  (อ่าน 8842 ครั้ง)

ออฟไลน์ หมีจำศีล

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-1
อาจจะเป็นเหตุการณ์ผิดปกติบางอย่างที่หาสาเหตุมาอธิบายไม่ได้ว่ามันเกิดจากอะไร จะเป็นเรื่องผี ปรากฎการณ์โพรเทอร์ไกด์ หรืออะไรก็ได้ที่เราเจอมันมาแล้วทำให้ชีวิตเราช่วงนั้นรู้สึกขนหัวลุกมากที่สุด
Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ snoopydooey

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
มีแต่สมัยเด็กครับ 7-8 ขวบ ตื่นมากลางดึก แล้วมองไปข้างๆมุ้งที่นอนอยู่
เจอผญแก่ๆ มานั่งเฝ้าเรา พอเล่าให้แม่ฟัง แม่บอกว่า ผีบ้านผีเรือนมานั่งเฝ้าละมั้ง อาจจะเป็นแม่ซื้อหรือเปล่า ?
แต่ 7 - 8 ขวบ แม่ซื้อยังอยู่อีกหรอ ผมสงสัย นึกว่าจะเฉพาะเด็กเล็กๆ
แต่เค้าใส่ชุดสมัยโบราณ เสื้อ โจงกระเบน อารมประมาณนี้อะครับ



แล้วก็พวกเหตุการณ์เดจาวูทั่วไป เหมือนเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เกิดซ้ำอีก ประมาณนี้ครับเท่าที่จำได้

 :call: :call: :call:

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
ของผมเป็นเรื่องตอนที่ไปเดินขึ้นเขายอดดอยหลวงเชียงดาว จ. เชียงใหม่ครับ
ไปกับเพื่อนๆ ที่ทำงานประมาณ5-6 คน
ขึ้นไปถึงยอดสูงสุดเพื่อไปดูพระอาทิตย์

ซึ่งพอไปถึงเนี่ย มันก็เย็นมากแล้ว
ปัญหามันก็เกิดขึ้นตอนขาลงเนี่ยล่ะครับ

เพราะมันเริ่มมืดแล้ว บนยอดเขาดอยหลวงไม่มีไฟฟ้าด้วยครับ (คือธรรมชาติ 1000000 เปอร์เซ็นต์)
เดินลงมาต้องเปิดไฟฉายส่องทางเท่านั้น

ประเด็นคือไม่มีใครยอมเดินรั้งท้ายครับ เพราะต่างคนต่างกลัว
ผมเลยรับหน้าที่อาสาเดินรั้งท้ายให้ โดยเอาแทปเลตเปิดแฟลชส่องทางเดินรั้งหลังไว้

ในขณะที่กำลังเดินลงจากยอดลงมาเรื่อยๆ เพื่อกลับไปยังจุดตั้งแคมป์
เพื่อนผมคนนึงที่เดินอยู่ข้างหน้าผม ก็ดูหวาดระแวงอะไรบางอย่าง
เอาแต่หันซ้ายหันขวาอยู่ตลอด

ผมก็เลยทักไปว่า "เฮ้ย มองอะไร หันกลับไปมองทางข้างหน้า ไม่ต้องมอง"

แล้วคืนนั้น พวกเราก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้กัน เพราะเขาถือ
และที่สำคัญ "เมา" ครับ 555555555+
(เพราะซื้อเหล้าขาวขึ้นไปกินกันด้วย กินกันที่จุดกางเต๊นท์นั่นล่ะครับ)

พอเช้ามา เก็บสัมภาระเรียบร้อย

ผมก็เลยถามเจ้าเพื่อนคนนี้ว่า "เฮ้ย เมื่อคืนมึงเจออะไรวะ เดี๋ยวหันๆ อยู่นั่นล่ะ"
มันก็บอกว่า เหมือนได้ยินเสียงคนฮัมอะไรสักอย่าง คล้ายๆ สวดมนต์

เท่านั้นล่ะครับ ต่างคนต่างสยองกันทั้งกลุ่ม

ซึ่งก็ยังเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้ว่า เสียงที่ได้ยินนั้นคือเสียงอะไร


ไม่มีใครรู้คำตอบเลยครับ



















ยกเว้นผมคนเดียวที่รู้

เพราะเสียงฮัมๆ คล้ายๆ สวดมนต์ที่ว่า คือเสียงผมฮัมเพลงในลำคอน่ะครับ  :z6: :z6:


ปล. เรื่องจริงครับ ยังมีคลิปถ่ายไว้อยู่จนทุกวันนี้ 5555+
ปล.2 แหม่ะ เพื่อนตู จินตนาการล้ำเลิศ

ออฟไลน์ snoopydooey

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ของผมเป็นเรื่องตอนที่ไปเดินขึ้นเขายอดดอยหลวงเชียงดาว จ. เชียงใหม่ครับ
ไปกับเพื่อนๆ ที่ทำงานประมาณ5-6 คน
ขึ้นไปถึงยอดสูงสุดเพื่อไปดูพระอาทิตย์

ซึ่งพอไปถึงเนี่ย มันก็เย็นมากแล้ว
ปัญหามันก็เกิดขึ้นตอนขาลงเนี่ยล่ะครับ

เพราะมันเริ่มมืดแล้ว บนยอดเขาดอยหลวงไม่มีไฟฟ้าด้วยครับ (คือธรรมชาติ 1000000 เปอร์เซ็นต์)
เดินลงมาต้องเปิดไฟฉายส่องทางเท่านั้น

ประเด็นคือไม่มีใครยอมเดินรั้งท้ายครับ เพราะต่างคนต่างกลัว
ผมเลยรับหน้าที่อาสาเดินรั้งท้ายให้ โดยเอาแทปเลตเปิดแฟลชส่องทางเดินรั้งหลังไว้

ในขณะที่กำลังเดินลงจากยอดลงมาเรื่อยๆ เพื่อกลับไปยังจุดตั้งแคมป์
เพื่อนผมคนนึงที่เดินอยู่ข้างหน้าผม ก็ดูหวาดระแวงอะไรบางอย่าง
เอาแต่หันซ้ายหันขวาอยู่ตลอด

ผมก็เลยทักไปว่า "เฮ้ย มองอะไร หันกลับไปมองทางข้างหน้า ไม่ต้องมอง"

แล้วคืนนั้น พวกเราก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้กัน เพราะเขาถือ
และที่สำคัญ "เมา" ครับ 555555555+
(เพราะซื้อเหล้าขาวขึ้นไปกินกันด้วย กินกันที่จุดกางเต๊นท์นั่นล่ะครับ)

พอเช้ามา เก็บสัมภาระเรียบร้อย

ผมก็เลยถามเจ้าเพื่อนคนนี้ว่า "เฮ้ย เมื่อคืนมึงเจออะไรวะ เดี๋ยวหันๆ อยู่นั่นล่ะ"
มันก็บอกว่า เหมือนได้ยินเสียงคนฮัมอะไรสักอย่าง คล้ายๆ สวดมนต์

เท่านั้นล่ะครับ ต่างคนต่างสยองกันทั้งกลุ่ม

ซึ่งก็ยังเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้ว่า เสียงที่ได้ยินนั้นคือเสียงอะไร


ไม่มีใครรู้คำตอบเลยครับ



















ยกเว้นผมคนเดียวที่รู้

เพราะเสียงฮัมๆ คล้ายๆ สวดมนต์ที่ว่า คือเสียงผมฮัมเพลงในลำคอน่ะครับ  :z6: :z6:


ปล. เรื่องจริงครับ ยังมีคลิปถ่ายไว้อยู่จนทุกวันนี้ 5555+
ปล.2 แหม่ะ เพื่อนตู จินตนาการล้ำเลิศ

อ่านจนจบ...ลุ้นแทบตาย สรุปไม่มีอะไรเลยนะเนี่ยพี่ 555 คิดกันไปเองหมดเลย  :katai1:

ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ไม่ใช่คนมี sixth sense อะไรที่เพื่อนมีเซนส์เห็น รู้สึก เราก็ไม่เคยสัมผัสได้

จะมีก็ ไปเที่ยว ไม่อยู่บ้าน 10วัน ก่อนไปก็สับเบรกเกอร์ลงหมด ปิดวาล์วน้ำ กลับมาก็ค่อยเปิด พรมเช็ดเท้าในห้องน้ำเปียกแบบชุ่มเลย แต่เช็คดูตามก๊อก ท่อในห้องน้ำไม่มีรั่วซึมเลย กระเบื้องแห้งสนิท เปียกแค่พรมผืนนั้น แค่นั้นค่ะ ไม่มีไรเอาไปตากให้แห้งใช้ต่อ ไม่รู้เรียกว่าประหลาดได้ไหม 555

แล้วก็นานๆที ได้กลิ่นธูปกับดอกไม้ ลอยมา ทั้งที่ไม่ได้จุดบูชาอะไร อาจจะมโนไปเองก็ได้

ออฟไลน์ หมีจำศีล

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-1
มีแต่สมัยเด็กครับ 7-8 ขวบ ตื่นมากลางดึก แล้วมองไปข้างๆมุ้งที่นอนอยู่
เจอผญแก่ๆ มานั่งเฝ้าเรา พอเล่าให้แม่ฟัง แม่บอกว่า ผีบ้านผีเรือนมานั่งเฝ้าละมั้ง อาจจะเป็นแม่ซื้อหรือเปล่า ?
แต่ 7 - 8 ขวบ แม่ซื้อยังอยู่อีกหรอ ผมสงสัย นึกว่าจะเฉพาะเด็กเล็กๆ
แต่เค้าใส่ชุดสมัยโบราณ เสื้อ โจงกระเบน อารมประมาณนี้อะครับ



แล้วก็พวกเหตุการณ์เดจาวูทั่วไป เหมือนเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เกิดซ้ำอีก ประมาณนี้ครับเท่าที่จำได้

 :call: :call: :call:

โอ้ รูปช่าง...

ออฟไลน์ หมีจำศีล

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-1
ของผมเป็นเรื่องตอนที่ไปเดินขึ้นเขายอดดอยหลวงเชียงดาว จ. เชียงใหม่ครับ
ไปกับเพื่อนๆ ที่ทำงานประมาณ5-6 คน
ขึ้นไปถึงยอดสูงสุดเพื่อไปดูพระอาทิตย์

ซึ่งพอไปถึงเนี่ย มันก็เย็นมากแล้ว
ปัญหามันก็เกิดขึ้นตอนขาลงเนี่ยล่ะครับ

เพราะมันเริ่มมืดแล้ว บนยอดเขาดอยหลวงไม่มีไฟฟ้าด้วยครับ (คือธรรมชาติ 1000000 เปอร์เซ็นต์)
เดินลงมาต้องเปิดไฟฉายส่องทางเท่านั้น

ประเด็นคือไม่มีใครยอมเดินรั้งท้ายครับ เพราะต่างคนต่างกลัว
ผมเลยรับหน้าที่อาสาเดินรั้งท้ายให้ โดยเอาแทปเลตเปิดแฟลชส่องทางเดินรั้งหลังไว้

ในขณะที่กำลังเดินลงจากยอดลงมาเรื่อยๆ เพื่อกลับไปยังจุดตั้งแคมป์
เพื่อนผมคนนึงที่เดินอยู่ข้างหน้าผม ก็ดูหวาดระแวงอะไรบางอย่าง
เอาแต่หันซ้ายหันขวาอยู่ตลอด

ผมก็เลยทักไปว่า "เฮ้ย มองอะไร หันกลับไปมองทางข้างหน้า ไม่ต้องมอง"

แล้วคืนนั้น พวกเราก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้กัน เพราะเขาถือ
และที่สำคัญ "เมา" ครับ 555555555+
(เพราะซื้อเหล้าขาวขึ้นไปกินกันด้วย กินกันที่จุดกางเต๊นท์นั่นล่ะครับ)

พอเช้ามา เก็บสัมภาระเรียบร้อย

ผมก็เลยถามเจ้าเพื่อนคนนี้ว่า "เฮ้ย เมื่อคืนมึงเจออะไรวะ เดี๋ยวหันๆ อยู่นั่นล่ะ"
มันก็บอกว่า เหมือนได้ยินเสียงคนฮัมอะไรสักอย่าง คล้ายๆ สวดมนต์

เท่านั้นล่ะครับ ต่างคนต่างสยองกันทั้งกลุ่ม

ซึ่งก็ยังเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้ว่า เสียงที่ได้ยินนั้นคือเสียงอะไร


ไม่มีใครรู้คำตอบเลยครับ



















ยกเว้นผมคนเดียวที่รู้

เพราะเสียงฮัมๆ คล้ายๆ สวดมนต์ที่ว่า คือเสียงผมฮัมเพลงในลำคอน่ะครับ  :z6: :z6:


ปล. เรื่องจริงครับ ยังมีคลิปถ่ายไว้อยู่จนทุกวันนี้ 5555+
ปล.2 แหม่ะ เพื่อนตู จินตนาการล้ำเลิศ

พออ่านจบ ผมนี่ยืนขึ้นเคารพธงชาติเลยครับ :ruready

ออฟไลน์ หมีจำศีล

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-1
ไม่ใช่คนมี sixth sense อะไรที่เพื่อนมีเซนส์เห็น รู้สึก เราก็ไม่เคยสัมผัสได้

จะมีก็ ไปเที่ยว ไม่อยู่บ้าน 10วัน ก่อนไปก็สับเบรกเกอร์ลงหมด ปิดวาล์วน้ำ กลับมาก็ค่อยเปิด พรมเช็ดเท้าในห้องน้ำเปียกแบบชุ่มเลย แต่เช็คดูตามก๊อก ท่อในห้องน้ำไม่มีรั่วซึมเลย กระเบื้องแห้งสนิท เปียกแค่พรมผืนนั้น แค่นั้นค่ะ ไม่มีไรเอาไปตากให้แห้งใช้ต่อ ไม่รู้เรียกว่าประหลาดได้ไหม 555

แล้วก็นานๆที ได้กลิ่นธูปกับดอกไม้ ลอยมา ทั้งที่ไม่ได้จุดบูชาอะไร อาจจะมโนไปเองก็ได้

เอ้อ เหมือนเราเลย นั่งซดขาไก่ซุปเปอร์อยู่ในครัวตอนห้าทุ่ม ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินลงส้นตึ่กๆอยู่ข้างหลัง นึกว่ายายเดินมา เราเลยหันกลับไปกะจะเรียกมากินด้วย พอวกไปดูจริงๆไม่เห็นมีใคร ไฟหน้าบ้านก็ปิด ไฟห้องรับแขกก็ปิด ไฟตรงทางเดินที่เชื่อมมาถึงในครัวก็ปิด เปิดเข้่าไปดูยายในห้องก็เห็นหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง ป้าก็ปิดห้องนอนไปแล้ว เป็นแบบนี้อยู่สองรอบ จนเรางงว่ามันคืออะไร

ออฟไลน์ คนอ่าน

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-13
แหม  กำลังกลัว  พอเฉลยปุ๊บฮาเลย55

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
เราก็เป็นคนหนึ่งค่ะที่ไม่มีเซนส์สัมผัสอะไรพวกนี้เลย และเป็นคนที่กลัวผีเอามากๆ

แต่ก็มีอยู่ช่วงหนึ่งสมัยที่เรายังเรียนอยู่ ม.6 เกิดนึกพิเรนทร์อยากไปเห็นบ้านร้างอะไรเทือกนี้สักครั้งหนึ่งในชีวิต แล้วที่ที่พวกเราเลือกไปกันก็คือ 'สุสานโสเภณี' (ท่าล้อซอย 9) ที่ไม่ไกลจากตัวเมืองกาญจน์ที่เพื่อนเราอยู่กันเท่าไรนัก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาทีได้ค่ะ แบบนึกว่าจะไปก็ไปกันวันนั้นเลย ตอนนั้นเราออกจาก ร.ร. กันประมาณ 4 โมงกว่าๆ ซ้อนสามกันไปมีเรา มีเพื่อนผู้หญิง และเพื่อนผู้ชายที่อยู่คนละห้องเรียนเป็นคนขับ กว่าจะไปถึงที่หมายก็เริ่มโพล้เพล้ๆ แต่ด้วยความที่พวกเราไม่เคยไปกันก็เลยขี่เลยเข้าไปในซอย ทั้งๆ ที่ที่หมายมันอยู่ปากซอยแท้ๆ
-*- (ตอนนั้นยังไม่น่ากลัวเท่าไรค่ะ เพราะในซอยก็ยังมีชาวบ้านนั่งอยู่ตามหน้าบ้านประปราย)

มันจะมาเริ่มน่ากลัวก็ตรงที่ต้องเดินเข้าไปข้างในนี่ล่ะค่ะ ตอนนั้นถ้าเราจำไม่ผิดน่าจะเป็นประตูบานใหญ่นะคะที่เปิดอยู่ แต่ไม่สุดบาน แล้วก็มีป้อมยามทางด้านขวามือที่มีช่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่พอแค่ให้ลูกตาคนในป้อมมองลอดผ่านออกมาเท่านั้น (เราเข้าไปแบบเรียงแถวตอน ให้เพื่อนผู้ชายเดินนำ เราคนกลาง และเพื่อนผู้หญิงปิดท้าย แต่มือนี่จับกันแน่นเชียวค่ะ) พอก้าวพ้นธรณีประตูไปปุ๊บ อื้อหือ ความรู้สึกแรกคือน่ากลัวมากๆ เพราะกำแพงขนาดใหญ่รอบด้านนี่สูงท่วมหัวเราไปหลายเมตรเลย แถมอากาศยังเย็นๆ และความสว่างก็ลดลงไปหลายระดับเลยค่ะ แต่บอกก่อนนะคะว่าที่พวกเรายืนกันอยู่มันเป็นแค่ลานกว้างๆ ที่มีแค่ต้นไม้ใหญ่ผลัดใบแห้งหล่นอยู่เต็มลาน ตอนเดินก็ได้ยินเสียงย่ำใบไม้ แกร่กๆ ตามมาตลอด แล้วก็มีรองเท้าเก่าๆ ของผู้หญิงตกอยู่ข้างหนึ่ง แต่เราไม่ได้ความสำคัญกับมันเท่าไรค่ะ เพราะเดี๋ยวจะคิดไปไกลเสียก่อน

จนเราพากันเดินมาถึงช่องประตูที่ไม่มีบาน (น่าจะเป็นประตูที่พาเข้าไปข้างในจริงๆ นะคะ) เพื่อนผู้ชายที่เดินนำหน้ามันก็หันมาถามเรากับเพื่อนอีกคนก่อนว่า 'จะให้ตัวมันชะโงกหน้าเข้าไปดูข้างในให้ก่อนไหม?' เรากับเพื่อนอีกคนก็เลยพยักหน้าเป็นคำตอบไปให้ พอมันมองเข้าไปเท่านั้นล่ะค่ะ เราสองคนกับเพื่อนเลยคิดตรงกันว่าคงเจอดีเข้าให้แล้วล่ะ เพราะเพื่อนผู้ชายที่เป็นหน่วยกล้าตายมันหันมามองเราสองคนแบบหน้าซีดๆ ทีนี้ก็กระเจิงเลยค่ะ เพื่อนคนสุดท้ายวิ่งนำ เราวิ่งตาม จนไปยืนอยู่ด้านหน้า แล้วเพื่อนผู้ชายก็ออกมาเป็นคนสุดท้าย แต่เดินออกมาแบบนิ่งๆ นิ่มๆ ตอนแรกเราก็คิดว่าเก่งจังที่ไม่กลัว แต่ความจริงมันบอกว่า มันขาแข็งวิ่งไม่ออกต่างหาก เราก็พากันกลับเลยค่ะ

พอขากลับเพื่อนผู้หญิงอีกคนก็บอกว่าให้แวะปั๊มน้ำมันให้หน่อย เพราะจะเข้าห้องน้ำ ระหว่างรอเราก็เลยถามเพื่อนผู้ชายว่ามันเห็นอะไร มันก็เลยบอกว่า 'ตอนที่มันชะโงกหน้าเข้าไปดู มันเห็นชายผ้าสีเหลืองๆ ไหวตามแรงลมอยู่หลังประตูที่อยู่ข้างในอีกบาน' พอเราได้ฟังก็ขนลุกเลยสิคะ เพราะกำแพงมันสูงท่วมหัวขนาดนั้นไม่มีทางเลยที่ลมจะลอดผ่านเข้าไปได้ ขนาดใบไม้ยังไม่มีกระดิกสักแอะ จนกระทั่งพากันกลับบ้าน โดยที่เพื่อนผู้ชายก็ตระเวนไปส่งเรากับเพื่อน แต่ใครจะไปคิดล่ะคะว่าเรื่องมันจะยังไม่จบแค่นั้น

พอเช้าวันต่อมาเพื่อนผู้ชายมันมาเล่าให้เราฟังอีกว่า เมื่อคืนตอนที่มันมาส่งเราที่บ้านเสร็จแล้ว ระหว่างทางกลับบ้านของมันเองไม่ว่ารถกี่คันต่อกี่คันที่ขับสวนกับมันไปต่างก็บีบแตร ไม่ก็กระพริบไฟใส่มันตลอด มันก็งงๆ แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรจนถึงเช้า แล้วพอเพื่อนผู้หญิงมาถึงมันก็มีเรื่องมาเล่าเหมือนกันค่ะ แล้วเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับเพื่อนผู้ชายโดยตรงเลย เรื่องมันมีอยู่ว่า 'เมื่อวานตอนที่ไปส่งมันที่ทำงานแฟน เพื่อนแฟนมัน (มันบอกว่าเป็นคนที่มีองค์ มีของอะไรประมาณนี้นี่ล่ะค่ะ) ก็ถามมันขึ้นมาเลยว่า พวกเราสามคนไปที่ไหนกันมา มันก็เลยเล่าให้เขาฟังทั้งหมด เขาก็เลยบอกว่า ตอนที่เราซ้อนท้ายกันมาสามคนมาส่งมันน่ะ เขาเห็นมีผู้หญิงอีก 1 คนนั่งอยู่ตรงแฮนด์รถด้วย และตัวมันเองก็เหมือนกับเห็นอะไรแวบๆ ในนั้นเหมือนกัน' ได้ฟังแบบนี้เราก็ไปไม่ถูกเลยสิ จนเอาไปเล่าให้เพื่อนผู้ชายฟังอีกที มันถึงได้หลุดปากออกมาว่า 'ถึงว่าสิเมื่อวานทั้งๆ ที่ก็ขี่รถเร็วแต่ทำไมผมหน้าถึงไม่มีกระดิกเลย'

เราเองก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งค่ะ แต่เพื่อความสบายใจเราก็เลยตกลงกันว่าพรุ่งนี้ก่อนมา ร.ร. จะไปทำบุญถวายสังฆทานที่วัดกันก่อน คิดดูสิคะ นี่แค่เหยียบเข้าไปแค่พื้นที่รอบนอกยังเจอกันขนาดนี้เลย ไม่อยากจะคิดเลยค่ะว่าถ้าเดินเข้าไปอีกจะเจอกับอะไรกันบ้าง จะมีก็แต่เราคนเดียวที่ไม่เห็นอะไรกับเขาเลย รู้สึกอุ่นใจสุดๆ เพราะตอนที่เข้าไปเราก็มีพระที่ห้อยคอเป็นที่พึ่ง แต่ถึงแม้เราจะไม่เจออะไร หลังจากวันนั้นเวลาที่เรานั่งรถตู้เข้ากรุงเทพฯ ผ่านท่าล้อซอย 9 ทีไรเราก็หันมองไปอีกทางหนึ่งทุกที..

ประสบการณ์ครั้งนี้จำจนตายเลยล่ะค่ะ :sad2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ขนมโก๋

  • เป็ดหัวเน่า
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-0
มีแต่สมัยเด็กครับ 7-8 ขวบ ตื่นมากลางดึก แล้วมองไปข้างๆมุ้งที่นอนอยู่
เจอผญแก่ๆ มานั่งเฝ้าเรา พอเล่าให้แม่ฟัง แม่บอกว่า ผีบ้านผีเรือนมานั่งเฝ้าละมั้ง อาจจะเป็นแม่ซื้อหรือเปล่า ?
แต่ 7 - 8 ขวบ แม่ซื้อยังอยู่อีกหรอ ผมสงสัย นึกว่าจะเฉพาะเด็กเล็กๆ
แต่เค้าใส่ชุดสมัยโบราณ เสื้อ โจงกระเบน อารมประมาณนี้อะครับ



แล้วก็พวกเหตุการณ์เดจาวูทั่วไป เหมือนเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เกิดซ้ำอีก ประมาณนี้ครับเท่าที่จำได้

 :call: :call: :call:

เห็นรูปนี้แล้ว... ประเด็นคือตอนนี้อยู่หอคนเดียว o22

ออฟไลน์ snoopydooey

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
มีแต่สมัยเด็กครับ 7-8 ขวบ ตื่นมากลางดึก แล้วมองไปข้างๆมุ้งที่นอนอยู่
เจอผญแก่ๆ มานั่งเฝ้าเรา พอเล่าให้แม่ฟัง แม่บอกว่า ผีบ้านผีเรือนมานั่งเฝ้าละมั้ง อาจจะเป็นแม่ซื้อหรือเปล่า ?
แต่ 7 - 8 ขวบ แม่ซื้อยังอยู่อีกหรอ ผมสงสัย นึกว่าจะเฉพาะเด็กเล็กๆ
แต่เค้าใส่ชุดสมัยโบราณ เสื้อ โจงกระเบน อารมประมาณนี้อะครับ



แล้วก็พวกเหตุการณ์เดจาวูทั่วไป เหมือนเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เกิดซ้ำอีก ประมาณนี้ครับเท่าที่จำได้

 :call: :call: :call:

เห็นรูปนี้แล้ว... ประเด็นคือตอนนี้อยู่หอคนเดียว o22

แบบนี้จริงๆครับ บอกเลย จำติดตา แม่เจ้า แต่ยายเค้าจะแก่ๆกว่าในรูปนะ ลองจินตนาการดู ดู ดู. . . . ... :ling3:

ออฟไลน์ snoopydooey

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เราก็เป็นคนหนึ่งค่ะที่ไม่มีเซนส์สัมผัสอะไรพวกนี้เลย และเป็นคนที่กลัวผีเอามากๆ

แต่ก็มีอยู่ช่วงหนึ่งสมัยที่เรายังเรียนอยู่ ม.6 เกิดนึกพิเรนทร์อยากไปเห็นบ้านร้างอะไรเทือกนี้สักครั้งหนึ่งในชีวิต แล้วที่ที่พวกเราเลือกไปกันก็คือ 'สุสานโสเภณี' (ท่าล้อซอย 9) ที่ไม่ไกลจากตัวเมืองกาญจน์ที่เพื่อนเราอยู่กันเท่าไรนัก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาทีได้ค่ะ แบบนึกว่าจะไปก็ไปกันวันนั้นเลย ตอนนั้นเราออกจาก ร.ร. กันประมาณ 4 โมงกว่าๆ ซ้อนสามกันไปมีเรา มีเพื่อนผู้หญิง และเพื่อนผู้ชายที่อยู่คนละห้องเรียนเป็นคนขับ กว่าจะไปถึงที่หมายก็เริ่มโพล้เพล้ๆ แต่ด้วยความที่พวกเราไม่เคยไปกันก็เลยขี่เลยเข้าไปในซอย ทั้งๆ ที่ที่หมายมันอยู่ปากซอยแท้ๆ
-*- (ตอนนั้นยังไม่น่ากลัวเท่าไรค่ะ เพราะในซอยก็ยังมีชาวบ้านนั่งอยู่ตามหน้าบ้านประปราย)

มันจะมาเริ่มน่ากลัวก็ตรงที่ต้องเดินเข้าไปข้างในนี่ล่ะค่ะ ตอนนั้นถ้าเราจำไม่ผิดน่าจะเป็นประตูบานใหญ่นะคะที่เปิดอยู่ แต่ไม่สุดบาน แล้วก็มีป้อมยามทางด้านขวามือที่มีช่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่พอแค่ให้ลูกตาคนในป้อมมองลอดผ่านออกมาเท่านั้น (เราเข้าไปแบบเรียงแถวตอน ให้เพื่อนผู้ชายเดินนำ เราคนกลาง และเพื่อนผู้หญิงปิดท้าย แต่มือนี่จับกันแน่นเชียวค่ะ) พอก้าวพ้นธรณีประตูไปปุ๊บ อื้อหือ ความรู้สึกแรกคือน่ากลัวมากๆ เพราะกำแพงขนาดใหญ่รอบด้านนี่สูงท่วมหัวเราไปหลายเมตรเลย แถมอากาศยังเย็นๆ และความสว่างก็ลดลงไปหลายระดับเลยค่ะ แต่บอกก่อนนะคะว่าที่พวกเรายืนกันอยู่มันเป็นแค่ลานกว้างๆ ที่มีแค่ต้นไม้ใหญ่ผลัดใบแห้งหล่นอยู่เต็มลาน ตอนเดินก็ได้ยินเสียงย่ำใบไม้ แกร่กๆ ตามมาตลอด แล้วก็มีรองเท้าเก่าๆ ของผู้หญิงตกอยู่ข้างหนึ่ง แต่เราไม่ได้ความสำคัญกับมันเท่าไรค่ะ เพราะเดี๋ยวจะคิดไปไกลเสียก่อน

จนเราพากันเดินมาถึงช่องประตูที่ไม่มีบาน (น่าจะเป็นประตูที่พาเข้าไปข้างในจริงๆ นะคะ) เพื่อนผู้ชายที่เดินนำหน้ามันก็หันมาถามเรากับเพื่อนอีกคนก่อนว่า 'จะให้ตัวมันชะโงกหน้าเข้าไปดูข้างในให้ก่อนไหม?' เรากับเพื่อนอีกคนก็เลยพยักหน้าเป็นคำตอบไปให้ พอมันมองเข้าไปเท่านั้นล่ะค่ะ เราสองคนกับเพื่อนเลยคิดตรงกันว่าคงเจอดีเข้าให้แล้วล่ะ เพราะเพื่อนผู้ชายที่เป็นหน่วยกล้าตายมันหันมามองเราสองคนแบบหน้าซีดๆ ทีนี้ก็กระเจิงเลยค่ะ เพื่อนคนสุดท้ายวิ่งนำ เราวิ่งตาม จนไปยืนอยู่ด้านหน้า แล้วเพื่อนผู้ชายก็ออกมาเป็นคนสุดท้าย แต่เดินออกมาแบบนิ่งๆ นิ่มๆ ตอนแรกเราก็คิดว่าเก่งจังที่ไม่กลัว แต่ความจริงมันบอกว่า มันขาแข็งวิ่งไม่ออกต่างหาก เราก็พากันกลับเลยค่ะ

พอขากลับเพื่อนผู้หญิงอีกคนก็บอกว่าให้แวะปั๊มน้ำมันให้หน่อย เพราะจะเข้าห้องน้ำ ระหว่างรอเราก็เลยถามเพื่อนผู้ชายว่ามันเห็นอะไร มันก็เลยบอกว่า 'ตอนที่มันชะโงกหน้าเข้าไปดู มันเห็นชายผ้าสีเหลืองๆ ไหวตามแรงลมอยู่หลังประตูที่อยู่ข้างในอีกบาน' พอเราได้ฟังก็ขนลุกเลยสิคะ เพราะกำแพงมันสูงท่วมหัวขนาดนั้นไม่มีทางเลยที่ลมจะลอดผ่านเข้าไปได้ ขนาดใบไม้ยังไม่มีกระดิกสักแอะ จนกระทั่งพากันกลับบ้าน โดยที่เพื่อนผู้ชายก็ตระเวนไปส่งเรากับเพื่อน แต่ใครจะไปคิดล่ะคะว่าเรื่องมันจะยังไม่จบแค่นั้น

พอเช้าวันต่อมาเพื่อนผู้ชายมันมาเล่าให้เราฟังอีกว่า เมื่อคืนตอนที่มันมาส่งเราที่บ้านเสร็จแล้ว ระหว่างทางกลับบ้านของมันเองไม่ว่ารถกี่คันต่อกี่คันที่ขับสวนกับมันไปต่างก็บีบแตร ไม่ก็กระพริบไฟใส่มันตลอด มันก็งงๆ แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรจนถึงเช้า แล้วพอเพื่อนผู้หญิงมาถึงมันก็มีเรื่องมาเล่าเหมือนกันค่ะ แล้วเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับเพื่อนผู้ชายโดยตรงเลย เรื่องมันมีอยู่ว่า 'เมื่อวานตอนที่ไปส่งมันที่ทำงานแฟน เพื่อนแฟนมัน (มันบอกว่าเป็นคนที่มีองค์ มีของอะไรประมาณนี้นี่ล่ะค่ะ) ก็ถามมันขึ้นมาเลยว่า พวกเราสามคนไปที่ไหนกันมา มันก็เลยเล่าให้เขาฟังทั้งหมด เขาก็เลยบอกว่า ตอนที่เราซ้อนท้ายกันมาสามคนมาส่งมันน่ะ เขาเห็นมีผู้หญิงอีก 1 คนนั่งอยู่ตรงแฮนด์รถด้วย และตัวมันเองก็เหมือนกับเห็นอะไรแวบๆ ในนั้นเหมือนกัน' ได้ฟังแบบนี้เราก็ไปไม่ถูกเลยสิ จนเอาไปเล่าให้เพื่อนผู้ชายฟังอีกที มันถึงได้หลุดปากออกมาว่า 'ถึงว่าสิเมื่อวานทั้งๆ ที่ก็ขี่รถเร็วแต่ทำไมผมหน้าถึงไม่มีกระดิกเลย'

เราเองก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งค่ะ แต่เพื่อความสบายใจเราก็เลยตกลงกันว่าพรุ่งนี้ก่อนมา ร.ร. จะไปทำบุญถวายสังฆทานที่วัดกันก่อน คิดดูสิคะ นี่แค่เหยียบเข้าไปแค่พื้นที่รอบนอกยังเจอกันขนาดนี้เลย ไม่อยากจะคิดเลยค่ะว่าถ้าเดินเข้าไปอีกจะเจอกับอะไรกันบ้าง จะมีก็แต่เราคนเดียวที่ไม่เห็นอะไรกับเขาเลย รู้สึกอุ่นใจสุดๆ เพราะตอนที่เข้าไปเราก็มีพระที่ห้อยคอเป็นที่พึ่ง แต่ถึงแม้เราจะไม่เจออะไร หลังจากวันนั้นเวลาที่เรานั่งรถตู้เข้ากรุงเทพฯ ผ่านท่าล้อซอย 9 ทีไรเราก็หันมองไปอีกทางหนึ่งทุกที..

ประสบการณ์ครั้งนี้จำจนตายเลยล่ะค่ะ :sad2:

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
จริงๆแค่เดินผ่านเข้าไป ก็ลบหลุ่กึ่งหนึ่งแล้วนะครับ
ผมไม่เคยไปลองของอะไรแบบนี้เลย
เพราะเหมือนเป็นการบุกรุกเข้าไปใน ในที่ๆไม่สมควรเข้าไป
ขนาดเราบุกรุกบ้านคน ยังผิดกฎหมาย
นี่เราบุกรุกบ้านสิ่งที่เราสัมผัสไม่ได้ เค้าคงไม่พอใจอย่างมาก
ทำบุญคือสิ่งที่ดีที่สุดครับตอนนี้  :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
เข้ามาอ่านกระทู้นี้ละขนลุกแฮะ บรึ่ยๆ


โดยส่วนตัว ผมไม่มีซิกเซ้น ไม่มีสัมผัส ไม่เคยเจออะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลยครับ

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
จริงๆแค่เดินผ่านเข้าไป ก็ลบหลุ่กึ่งหนึ่งแล้วนะครับ
ผมไม่เคยไปลองของอะไรแบบนี้เลย
เพราะเหมือนเป็นการบุกรุกเข้าไปใน ในที่ๆไม่สมควรเข้าไป
ขนาดเราบุกรุกบ้านคน ยังผิดกฎหมาย
นี่เราบุกรุกบ้านสิ่งที่เราสัมผัสไม่ได้ เค้าคงไม่พอใจอย่างมาก
ทำบุญคือสิ่งที่ดีที่สุดครับตอนนี้  :ling3: :ling3:

ครั้งเดียวจริงๆ ค่ะ เข็ดขยาดเลย รายละเอียดอะไรในนั้นเราก็จำไม่ได้มาก เพราะเราเดินมองหลังเพื่อนหรือไม่ก็มองพื้นตลอด และก็อย่างที่บอกว่าเข้าไปไม่ถึงไหนแค่จากข้างนอก แล้วก้าวเข้าไปข้างในที่เป็นชั้นแรกแค่นั้นเองค่ะ ก็ต้องพากันเตลิดออกมาแล้ว

แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งนะคะ ตอนไปช่วยงานศพที่จัดที่บ้านเพื่อน วันนั้นเป็นวันสุดท้ายคือเผาแล้ว เวลาประมาณ 1 ทุ่มได้ เราก็นอนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงเปลใต้ต้นมะยมมืดๆ หน้าบ้านเพื่อนนั่นล่ะค่ะ (คือบ้านเพื่อนเรา 2 คน มี 2 หลังอยู่ในรั้วเดียวกัน) เปลอยู่เกือบถึงรั้ว ห่างจากตัวบ้านประมาณ 7-8 เมตรได้ค่ะ แล้วทั้งสองบ้านก็มีคนนั่งคุยกันอยู่ด้วยนะคะ ไฟสว่างเชียว แต่นั่งไปได้สักพักเดียวล่ะค่ะ กลิ่นพิมเสนโชยมาเลย~ เราก็ไม่ได้เอะใจอะไรนะคะ (กลิ่นหายไปตอนไหนไม่ทราบเหมือนกัน) จนคุยโทรศัพท์เสร็จก็เดินไปบ้านหลังที่มีเพื่อนวัยเดียวกันนั่งอยู่ (อีกหลังหนึ่งผู้ใหญ่เขาตั้งวงกันค่ะ) พวกนั้นก็คุยกันว่าเมื่อกี้ได้กลิ่นพิมเสนสงสัยว่าแม่คุณจะมา เราก็หืม จริงดิ? (มารู้ทีหลังว่าตอนจัดงานศพเขาจะโรยพิเสนไว้ในงานกันด้วย แต่เราจำไม่ได้แล้วค่ะว่าทำไม?) และนั่นก็คือครั้งเดียวที่เราได้รู้สึกอะไรจะๆ แบบนั้น..

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
มาอ่านแล้วอยากเล่าบ้าง แต่ว่าเราไม่เคยเจอจังๆ หรอกนะคะ เป็นความรู้สึกแบบที่สัมผัสได้มากกว่าค่ะ
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าเหมือนกันแต่ก็พอนึกถึงแล้วก็ยังหลอนๆ มาถึงทุกวันนี้ค่ะ 55555  :ling3:

ตอนเรียนมัธยมเราอยู่โรงเรียนประจำค่ะ ที่หอพักจะแบ่งออกเป็นโซนๆ โดยโซนหนึ่งจะอยู่ได้ประมาณสี่สิบกว่าคน สองล็อคแรกจะเป็นเตียงนอน ถัดมาจะเป็นล็อคเกอร์เก็บของ แล้วก็ห้องน้ำรวมค่ะ

เตียงนอนจะเป็นเตียงเหล็กสองชั้น โดยเตียงที่เรานอนอยู่จะอยู่ตรงกลางพอดี ติดกับเสา และมีเตียงข้างๆ อีกฝั่งละสองเตียงแล้วก็มีเตียงอยู่ฝั่งตรงข้ามอีก

ตอนนั้นม.3 จำได้ว่าเพื่อนคนนึงที่นอนเตียงข้างกัน (เพื่อนนอนเตียงบน) เรานอนเตียงล่าง เพื่อนคนนั้นเค้าไม่สบายค่ะ หลังจากกินยาอะไรเสร็จเรียบร้อยพอได้เวลานอนเพื่อนทุกคนก็ปิดไฟ ตอนนั้นประมาณห้าทุ่มเที่ยงคืนก็เข้านอนกันแล้วค่ะ พอปิดไฟแล้วตามลักษณะหอพักรวมคือทุกอย่างเงียบมาก วังเวงมาก แล้วไม่รู้ทำไมทุกโรงเรียนจะต้องมีเรื่องเล่า ตำนานหลอนๆ อะไรงี้ด้วยนะคะ เราเองเป็นคนนอนหลับยากอยู่แล้ว ตอนที่เพื่อนปิดไฟก็ยังไม่ทันได้หลับเลยค่ะ แต่พอทุกอย่างเริ่มเงียบก็เอาล่ะ คิดไปสะระตะ เริ่มหลอนไปเอง เคยได้ยินรุ่นพี่เล่าว่าเปิดโคมไฟนั่งทำการบ้านดึกๆ แล้วได้ยินเสียงลากโซ่ พอชะโงกไปมองก็เห็นเป็นทหารสมัยก่อนคลานเข่าไปตามช่องว่างระหว่างเตียง (พิมพ์ไปก็ขนลุกไป ;___;) เราก็เริ่มคิดตาม ถ้ากุเจอแบบนั้นจะทำไงวะ?

คิดไปได้สักพักก็รู้สึกเหมือนบรรยากาศมันเย็นๆ ขึ้นมาบอกไม่ถูกค่ะ ตอนนั้นทุกอย่างเงียบมาก เงียบแบบจนเราได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนเสียงคนเดินเข้ามาใกล้ และประเด็นคือเสียงฝีเท้านั้นเดินมาหยุดอยู่ที่ระหว่างเตียงเรากับเตียงข้างๆ ค่ะ ในใจตอนนั้นคือใครวะ? คิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนคนอื่นมาดูอาการเพื่อนที่ไม่สบายล่ะมั้ง แต่ก็ยังไม่ยอมลืมตาค่ะ จนกระทั่งรู้สึกเหมือนมีคนเหยียบลงบนเหล็กขอบเตียงที่เรานอนอยู่ เพื่อที่จะยืดตัวขึ้นไปมองเตียงบนได้ถนัด คือน้ำหนักมันยวบลงไปจนรู้สึกได้ แล้วจากนั้นเราก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเพื่อนคนที่ไม่สบาย สมมุติเพื่อนเราชื่อ เอ เค้าก็เรียกแบบ เอ.. เอ.. เอ.. เรียกแบบเสียงเนิบๆ บอกไม่ถูกเลยค่ะ แต่จำได้ว่าหลอนมาก ตอนนั้นเราหลับตาปี๋เลย ไม่คิดว่าเป็นคนแล้ว ต้องเป็นผีแน่ๆ อยากดึงผ้าห่มมาคลุมโปงมากแต่ก็ไม่กล้า กลัวผีรู้ว่าเรายังไม่หลับ 555555555 แต่เซอร์ไพร้ค่ะ ผีรู้! ชิบหาย! 5555555555 คือหลังจากที่เรียก เอ ไปสักพัก พอไม่มีสัญญาณตอบรับก็เหมือนจะเงียบไป แต่หลังจากนั้นเราก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจค่ะ บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่เหมือนมีลมหายใจมาจ่ออยู่ที่หน้า คือถ้าให้กะเราระยะห่างไม่น่าจะถึงหนึ่งฝ่ามือด้วยซ้ำ เหมือนเค้าก้มลงมาเอาหน้ามาจ่อเราเลยค่ะ แบบดูว่าเราหลับไปหรือยัง ตอนนั้นแบบหลับตาแน่นมาก กลัวลืมตาขึ้นมาแล้ว ผ่างงงงง! ใจเต้นแรงมาก ไม่เคยสัมผัสประสบการณ์ใกล้ชิดแบบนี้มาก่อน ความรู้สึกคือไม่ใช่เพื่อนแกล้งแน่ๆ ล่ะ เพราะทุกคนรู้ว่าบรรยากาศโรงเรียนประจำมันน่ากลัวอยู่แล้ว ยิ่งตอนกลางคืนนี่แบบโอ้โห.. จะลุกออกไปเข้าห้องน้ำยังไม่กล้าเลยค่ะ และโซนที่เราอยู่เองก็ขึ้นชื่อเรื่องความหลอนจากรุ่นพี่ปีก่อนๆ ด้วย ตอนนั้นคิดเลย เจอแล้วกู ฮือออออออ  :hao5:

แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะคะ คือพอเราพยายามไม่ลืมตาก็เหมือนว่าเค้าจะถอยออกไป สักพักทุกอย่างก็เงียบลงอีกค่ะ เหมือนเค้าไปแล้ว บรรยากาศแบบรู้สึกได้ว่ามันตึงเครียดน้อยลงอ่ะ พอตื่นเช้ามาเราก็เล่าให้เพื่อนที่ไม่สบายฟังว่าเมื่อคืนมีคนมาเรียกแกหรือเปล่า? มันก็บอกไม่นะ หลับสนิทไม่รู้เรื่องอะไรเลย ถามเพื่อนอีกคนที่อยู่เตียงชั้นล่างข้างๆ กันเค้าก็บอกว่าไม่รู้สึกอะไร เราก็เลยเล่าให้ฟัง เพื่อนก็ปลอบบอกว่าอาจจะเป็นเจ้าที่เจ้าทางมาดูแลเด็กก็ได้ เพราะเห็นว่ามีคนไม่สบาย และอีกอย่างคือ เตียงของเพื่อนคนที่ไม่สบายเจ้าของเก่าเค้าชอบเอาพวกดอกไม้ ธูป เทียนอะไรงี้มาไว้ใต้หมอนค่ะ เหมือนเป็นการซื้อที่หรือบูชาอะไรนี่ล่ะมั้ง เราก็จำไม่ได้ แต่ตอนนั้นเป็นประสบการณ์หลอนที่ยังไม่ลืมมาจนถึงวันนี้ค่ะ

แต่เอาจริง เรียนจบมาแล้วเพื่อนก็มาเล่าให้ฟังนะว่าเคยเห็นที่เตียงเราบ่อย บางทีเห็นคนนอนอยู่บนเตียงแต่ไม่เห็นหน้าก็มี ทั้งที่ตอนนั้นเราไม่อยู่ พอคนนึงเริ่มอีกคนก็บอกกูก็เคยเจอ คือแบบ อ้าว เตียงกูนี่จุดศูนย์รวมเร๊อะ? 555555 คงเพราะว่าเตียงเราอยู่ตรงเสาและตรงกับคานพอดีด้วยค่ะ เพื่อนเห็นแต่เราไม่เคยเห็นนะ อาจเพราะเป็นคนไม่มีเซ้นส์ด้วยแหละ ที่เจอจังๆ แถวเตียงก็มีแค่ที่เล่าไปเท่านั้นเองค่ะ


ทุกวันนี้ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าตอนนั้นเราลืมตาขึ้นมา จะเห็นอะไรวะเนี่ย???  :ling3:




ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
^
นึกภาพตามแล้วบรรยากาศก็ชวนวังเวงจริงๆ นั่นล่ะค่ะ แถมยังเป็น ร.ร. ที่มีประวัติเล่าต่อๆ กันมาแบบนี้อีก เราก็เลยคิดว่าไม่น่าจะมีเพื่อนผู้หญิงคนไหนของคุณ aiLime13 ลุกขึ้นมาแกล้งเล่น หรือถ้าเกิดเป็นเพื่อนจริงๆ ก็ต้องมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดตอนขยับลุกออกจากเตียงบ้างล่ะน่าา.. บอกได้คำเดียวค่ะว่า เป็นประสบการณ์ที่ชวนหลอนมากๆ :sad5:

ออฟไลน์ OitJi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1012
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
-   ที่บ้านเป็นตึกแถวเวลาสักประมาณทุ่ม-2ทุ่มถ้าอยู่คนเดียวในบ้านจะชอบได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อเราบ่อยมาก
แอบชะเง้อมองจากระเบียงทีไรก็ไม่เจอตัวคนเรียกสักที... (แม่บอกห้ามขานตอบ เลยต้องเดินมาชะเง้อที่ระเบียง
ไม่ก็เดินจากชั้นบนลงมาดูที่ชั้นล่างเท่านั้น... จะเรียกทำไมบ่อยๆก็ไม่รู้ตูขี้เกียจเดินมาดู  :katai1:)

-   ทำนายไพ่ทาโร่ในคอมก่อนไปเที่ยวเกาะเสม็จ1วัน...  ไพ่บอกให้ระวังเรื่องการเดินทาง... ผลคือเพื่อนๆ
ที่ไปด้วยกันตังหาย+รถล้ม+แผลเต็มตัว+เสียค่าพยาบาล+หมอเกรียน (ส่วนเรารอดปลอดภัยไร้แผล
เงินไม่หายแต่ช่วยเพื่อนจ่ายค่ารถล้ม สรุปไอที่ทำนายที่ให้ระวังนี่คือของเพื่อนๆเราใช่ไหม หรือว่าเรานำ
ความซวยไปให้เพื่อน :ruready)

-  แต่ก่อนเรามีบ้าน2หลังบ้านหลังแรกเป็นตึกแถวกับอีกหลังเป็นบ้านเดี่ยว2ชั้น ซึ่งปกติเวลานอนที่บ้านเดี่ยว
ครอบครัวเราจะชอบไปนอนรวมกันในห้องนั่งเล่น คือเปิดแอร์ปูผ้านอนดูทีวีกันพอง่วงก็หลับกันในห้องนั้นเลย
แล้วปกติเวลานอนห้องแอร์เราจะชอบเอาผ้าห่มคลุมทั้งตัว(ตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย)  เรื่องมันมีอยู่ว่าคืนนึงเรา
ตื่นมากลางดึก(ยังไม่ได้ขยับตัวหรือกระดิกแม้แต่นิดเดียวแล้วก็อยู่ใต้ผ้าห่มที่คลุมมิดตัว เราได้ยินเสียงใคร
ไม่รู้เป็นเสียงผู้ชายกำลังบ่น/ด่า/พูดสบถนเร็วมากซึ่งมันเป็นภาษาที่เราฟังไม่ออก น้ำเสียงก็เหมือนโกรธๆ
 (ไม่ใช่เสียงพ่อหรือพี่ชายเราแน่ๆเพราะเราเคยได้ยินเสียงที่พ่อกับพี่ตอนละเมอบ่อยๆ) สักพักเสียงมันก็
ค่อยๆเบาลงจนเงียบไป เราก็ขี้เกียจจะลุกออกมาดูเลยนอนต่อในท่าเดิมจนหลับไป  :katai5: 


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-07-2015 21:28:19 โดย OitJi »

ออฟไลน์ tuckky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1
ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับวันที่เกิด ราศีที่เกิดหรือเปล่าทำให้มีสัมผัสที่ 6 (เป็นบางเวลา555 ไม่ได้เกิดตลอดนะ เห็นตลอดก็ตายซิ)
อย่างล่าสุดที่เจอ วันนั้นเป็นตอนเช้าวันอาทิตย์ บ้านที่อยู่ปัจจุบันนี้แหละเป็นบ้านเช่า มี 3 ห้องนอน เราชอบเปิดประตูห้องนอนทิ้งไว้ วันนั้นรู้สึกจะอยู่บ้านกัน 3 คน มีเรา พี่สาว กับหลายชายคนโต เรายืนอยู่ในครัวหันหน้ามาทางประตูห้องนอน แล้วเห็นคนเดินเข้าไปในห้อง คิดว่าเป็นหลานชาย เลยตะโกนถาม เฮ้ย...เข้าไปในห้องน้าทำไม ปรากฎว่าหลานชายโผล่มาจากหน้าบ้านจ้า บอกคุยกับแม่เขาอยู่หน้าบ้าน ตอนนั้นมีเราอยู่ในบ้านคนเดียว 555 งานงอกเบย ยืนยันเลยว่าเห็นกับตา ไม่ได้มโน แต่กลัวว่าคนอื่นจะกลัว เลยแก้ตัวว่าคงตาฝาดไปเอง
สมัยเรียนมหาลัยก็เจอบ่อย แต่ชอบปลอบตัวเองว่าคิดมากไปเอง  :sad4:

ออฟไลน์ Evergreen

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เคยเจอตอนอยู่หอในมหาลัย
เวลาเมทกลับบ้านและอยู่คนเดียว
ตอนดึกๆจะได้ยินเสียงลากเก้าอี้จากห้องข้างบน
ดัง เอี๊ยดดดดดดด อยู่หลายครั้งเลย
เราก็คิดว่า ไอ่ห้องข้างบนนี่เป็นไรมากป้ะวะ ไม่เกรงใจเลย
และเมทเราก็โดน มันเลยขึ้นไปถามว่าจะลากทำส้น*อะไร
เจ้าของห้องก็บอกว่า ไม่ได้ลาก ก็นั่งอยู่เฉยๆ (เมทเล่า)
เราก็...โอ้ เอาแล้วไงตู 5555555
  o22 :a5:

และเวลาอาบน้ำก็ชอบได้ยินเสียงเปิดน้ำก้อก
ตรงอ่างล้างหน้าข้างนอกห้องน้ำ
เราก็จะไม่คิดก็ไม่ได้ กูอยู่คนเดียววว ใครมันจะมาเปิดดดด !!
 แต่ก็พยายามไม่คิดมาก 555555
 :hao5: :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ขอเล่าบ้าง ตอนนั้นเราน่าจะราวๆ7ขวบนะ เรียนประถมมีใครเคยเห็นหนังสือเล่มเล็กๆรวมเรื่องผี เรื่องลี้ลับบ้าง เราเดาว่าส่วนหนึ่งคงเป็นเรื่องเล่าจริงๆแบบปากต่อปาก จำได้แค่ว่าเรื่องที่เราอ่านเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนที่ถูกรถชนตายที่สถานที่นั้นแล้วเขาตั้งใจให้เกิดอุบัติเหตุอีกเพื่อเอาตัวตายตัวแทน ตอนนั้นอ่านจบแล้วหลอนมาก อ่านหลายเรื่องแต่จำได้เรื่องเดียว
คืนนั้นเราก็ฝันเลยค่ะ เห็นถาพลักษณะคล้ายๆกับวิณญาณตามเรื่องแต่ไม่เห็นหน้า และโค้งที่คาดว่าเป็นสถานที่ที่เขาสิงอยู่ แค่นั้นเองค่ะไม่มีเรื่องราวอื่นใด
เช้ามาแม่ถามว่าว่าเมื่อคืนฝันเหรอ แม่บอกว่าเรานอนละเมอ เรานี่งง เลย เกิดมาไม่เคยนอนละเมอ
แม่บอกว่าเราพูดแค่สองคำว่าแปดสี่ จากนั้นเรื่องนี้ก็ดังในละแวกบ้าน ในงวดนั้นคนถูกหวยหลายคนค่ะเพราะเขาซื้อ 48 กับ 84 แต่แม่เราไม่ได้ซื้อแหละ ฮ่า ในฝันน่ากลัวมากไม่นึกว่าเขาจะเอ็นดูมาให้หวยเราเลย และนั่นเป็นการละเมอครั้งเดียวของเราค่ะ
หลังจากนั้นเราก็ไม่หาอ่านเรื่องผีสักเท่าไหร่เพราะกลัวเก็บไปฝัน เราว่าเราไม่มีเซ้นส์นะ ไม่เคยเห็นหรือได้ยินอะไรแปลกๆเลย แถมเราไม่ชอบลองของด้วย

ออฟไลน์ Baddest_Female

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เราไม่ค่อยมีเซนส์เลย เพราะเกลียดผีมากกกกกกก แต่ชอบดูหนังทริลเลอร์ไซไฟที่มีเอ็ฟเฟ็คสนุกๆอ่ะ พอดีเพิ่งไปอ่านอาจารย์ใหญ่ของคุณหมีจำศีลมา ชื่อแต่ล่ะตอนโคตรน่ากลัวเลย ไหนจะลมหายใจของศพ ผีตายโหงล้มกระดานงี้ อยากถามคุณหมีจำศีลว่าเจอคนตายบ่อยไหมคะ? แบบบทบรรยายแต่ล่ะตอนมันน่ากลัวอ่ะ เหมือนเจอคนตายบ่อยๆเลย :katai1: :ling2:

ออฟไลน์ หมีจำศีล

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-1
เราก็เป็นคนหนึ่งค่ะที่ไม่มีเซนส์สัมผัสอะไรพวกนี้เลย และเป็นคนที่กลัวผีเอามากๆ

แต่ก็มีอยู่ช่วงหนึ่งสมัยที่เรายังเรียนอยู่ ม.6 เกิดนึกพิเรนทร์อยากไปเห็นบ้านร้างอะไรเทือกนี้สักครั้งหนึ่งในชีวิต แล้วที่ที่พวกเราเลือกไปกันก็คือ 'สุสานโสเภณี' (ท่าล้อซอย 9) ที่ไม่ไกลจากตัวเมืองกาญจน์ที่เพื่อนเราอยู่กันเท่าไรนัก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาทีได้ค่ะ แบบนึกว่าจะไปก็ไปกันวันนั้นเลย ตอนนั้นเราออกจาก ร.ร. กันประมาณ 4 โมงกว่าๆ ซ้อนสามกันไปมีเรา มีเพื่อนผู้หญิง และเพื่อนผู้ชายที่อยู่คนละห้องเรียนเป็นคนขับ กว่าจะไปถึงที่หมายก็เริ่มโพล้เพล้ๆ แต่ด้วยความที่พวกเราไม่เคยไปกันก็เลยขี่เลยเข้าไปในซอย ทั้งๆ ที่ที่หมายมันอยู่ปากซอยแท้ๆ
-*- (ตอนนั้นยังไม่น่ากลัวเท่าไรค่ะ เพราะในซอยก็ยังมีชาวบ้านนั่งอยู่ตามหน้าบ้านประปราย)

มันจะมาเริ่มน่ากลัวก็ตรงที่ต้องเดินเข้าไปข้างในนี่ล่ะค่ะ ตอนนั้นถ้าเราจำไม่ผิดน่าจะเป็นประตูบานใหญ่นะคะที่เปิดอยู่ แต่ไม่สุดบาน แล้วก็มีป้อมยามทางด้านขวามือที่มีช่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่พอแค่ให้ลูกตาคนในป้อมมองลอดผ่านออกมาเท่านั้น (เราเข้าไปแบบเรียงแถวตอน ให้เพื่อนผู้ชายเดินนำ เราคนกลาง และเพื่อนผู้หญิงปิดท้าย แต่มือนี่จับกันแน่นเชียวค่ะ) พอก้าวพ้นธรณีประตูไปปุ๊บ อื้อหือ ความรู้สึกแรกคือน่ากลัวมากๆ เพราะกำแพงขนาดใหญ่รอบด้านนี่สูงท่วมหัวเราไปหลายเมตรเลย แถมอากาศยังเย็นๆ และความสว่างก็ลดลงไปหลายระดับเลยค่ะ แต่บอกก่อนนะคะว่าที่พวกเรายืนกันอยู่มันเป็นแค่ลานกว้างๆ ที่มีแค่ต้นไม้ใหญ่ผลัดใบแห้งหล่นอยู่เต็มลาน ตอนเดินก็ได้ยินเสียงย่ำใบไม้ แกร่กๆ ตามมาตลอด แล้วก็มีรองเท้าเก่าๆ ของผู้หญิงตกอยู่ข้างหนึ่ง แต่เราไม่ได้ความสำคัญกับมันเท่าไรค่ะ เพราะเดี๋ยวจะคิดไปไกลเสียก่อน

จนเราพากันเดินมาถึงช่องประตูที่ไม่มีบาน (น่าจะเป็นประตูที่พาเข้าไปข้างในจริงๆ นะคะ) เพื่อนผู้ชายที่เดินนำหน้ามันก็หันมาถามเรากับเพื่อนอีกคนก่อนว่า 'จะให้ตัวมันชะโงกหน้าเข้าไปดูข้างในให้ก่อนไหม?' เรากับเพื่อนอีกคนก็เลยพยักหน้าเป็นคำตอบไปให้ พอมันมองเข้าไปเท่านั้นล่ะค่ะ เราสองคนกับเพื่อนเลยคิดตรงกันว่าคงเจอดีเข้าให้แล้วล่ะ เพราะเพื่อนผู้ชายที่เป็นหน่วยกล้าตายมันหันมามองเราสองคนแบบหน้าซีดๆ ทีนี้ก็กระเจิงเลยค่ะ เพื่อนคนสุดท้ายวิ่งนำ เราวิ่งตาม จนไปยืนอยู่ด้านหน้า แล้วเพื่อนผู้ชายก็ออกมาเป็นคนสุดท้าย แต่เดินออกมาแบบนิ่งๆ นิ่มๆ ตอนแรกเราก็คิดว่าเก่งจังที่ไม่กลัว แต่ความจริงมันบอกว่า มันขาแข็งวิ่งไม่ออกต่างหาก เราก็พากันกลับเลยค่ะ

พอขากลับเพื่อนผู้หญิงอีกคนก็บอกว่าให้แวะปั๊มน้ำมันให้หน่อย เพราะจะเข้าห้องน้ำ ระหว่างรอเราก็เลยถามเพื่อนผู้ชายว่ามันเห็นอะไร มันก็เลยบอกว่า 'ตอนที่มันชะโงกหน้าเข้าไปดู มันเห็นชายผ้าสีเหลืองๆ ไหวตามแรงลมอยู่หลังประตูที่อยู่ข้างในอีกบาน' พอเราได้ฟังก็ขนลุกเลยสิคะ เพราะกำแพงมันสูงท่วมหัวขนาดนั้นไม่มีทางเลยที่ลมจะลอดผ่านเข้าไปได้ ขนาดใบไม้ยังไม่มีกระดิกสักแอะ จนกระทั่งพากันกลับบ้าน โดยที่เพื่อนผู้ชายก็ตระเวนไปส่งเรากับเพื่อน แต่ใครจะไปคิดล่ะคะว่าเรื่องมันจะยังไม่จบแค่นั้น

พอเช้าวันต่อมาเพื่อนผู้ชายมันมาเล่าให้เราฟังอีกว่า เมื่อคืนตอนที่มันมาส่งเราที่บ้านเสร็จแล้ว ระหว่างทางกลับบ้านของมันเองไม่ว่ารถกี่คันต่อกี่คันที่ขับสวนกับมันไปต่างก็บีบแตร ไม่ก็กระพริบไฟใส่มันตลอด มันก็งงๆ แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรจนถึงเช้า แล้วพอเพื่อนผู้หญิงมาถึงมันก็มีเรื่องมาเล่าเหมือนกันค่ะ แล้วเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับเพื่อนผู้ชายโดยตรงเลย เรื่องมันมีอยู่ว่า 'เมื่อวานตอนที่ไปส่งมันที่ทำงานแฟน เพื่อนแฟนมัน (มันบอกว่าเป็นคนที่มีองค์ มีของอะไรประมาณนี้นี่ล่ะค่ะ) ก็ถามมันขึ้นมาเลยว่า พวกเราสามคนไปที่ไหนกันมา มันก็เลยเล่าให้เขาฟังทั้งหมด เขาก็เลยบอกว่า ตอนที่เราซ้อนท้ายกันมาสามคนมาส่งมันน่ะ เขาเห็นมีผู้หญิงอีก 1 คนนั่งอยู่ตรงแฮนด์รถด้วย และตัวมันเองก็เหมือนกับเห็นอะไรแวบๆ ในนั้นเหมือนกัน' ได้ฟังแบบนี้เราก็ไปไม่ถูกเลยสิ จนเอาไปเล่าให้เพื่อนผู้ชายฟังอีกที มันถึงได้หลุดปากออกมาว่า 'ถึงว่าสิเมื่อวานทั้งๆ ที่ก็ขี่รถเร็วแต่ทำไมผมหน้าถึงไม่มีกระดิกเลย'

เราเองก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งค่ะ แต่เพื่อความสบายใจเราก็เลยตกลงกันว่าพรุ่งนี้ก่อนมา ร.ร. จะไปทำบุญถวายสังฆทานที่วัดกันก่อน คิดดูสิคะ นี่แค่เหยียบเข้าไปแค่พื้นที่รอบนอกยังเจอกันขนาดนี้เลย ไม่อยากจะคิดเลยค่ะว่าถ้าเดินเข้าไปอีกจะเจอกับอะไรกันบ้าง จะมีก็แต่เราคนเดียวที่ไม่เห็นอะไรกับเขาเลย รู้สึกอุ่นใจสุดๆ เพราะตอนที่เข้าไปเราก็มีพระที่ห้อยคอเป็นที่พึ่ง แต่ถึงแม้เราจะไม่เจออะไร หลังจากวันนั้นเวลาที่เรานั่งรถตู้เข้ากรุงเทพฯ ผ่านท่าล้อซอย 9 ทีไรเราก็หันมองไปอีกทางหนึ่งทุกที..

ประสบการณ์ครั้งนี้จำจนตายเลยล่ะค่ะ :sad2:

โอ้... เป็นประสบการณ์ที่ดีนะคะ ฮ่า

ออฟไลน์ หมีจำศีล

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-1
มาอ่านแล้วอยากเล่าบ้าง แต่ว่าเราไม่เคยเจอจังๆ หรอกนะคะ เป็นความรู้สึกแบบที่สัมผัสได้มากกว่าค่ะ
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าเหมือนกันแต่ก็พอนึกถึงแล้วก็ยังหลอนๆ มาถึงทุกวันนี้ค่ะ 55555  :ling3:

ตอนเรียนมัธยมเราอยู่โรงเรียนประจำค่ะ ที่หอพักจะแบ่งออกเป็นโซนๆ โดยโซนหนึ่งจะอยู่ได้ประมาณสี่สิบกว่าคน สองล็อคแรกจะเป็นเตียงนอน ถัดมาจะเป็นล็อคเกอร์เก็บของ แล้วก็ห้องน้ำรวมค่ะ

เตียงนอนจะเป็นเตียงเหล็กสองชั้น โดยเตียงที่เรานอนอยู่จะอยู่ตรงกลางพอดี ติดกับเสา และมีเตียงข้างๆ อีกฝั่งละสองเตียงแล้วก็มีเตียงอยู่ฝั่งตรงข้ามอีก

ตอนนั้นม.3 จำได้ว่าเพื่อนคนนึงที่นอนเตียงข้างกัน (เพื่อนนอนเตียงบน) เรานอนเตียงล่าง เพื่อนคนนั้นเค้าไม่สบายค่ะ หลังจากกินยาอะไรเสร็จเรียบร้อยพอได้เวลานอนเพื่อนทุกคนก็ปิดไฟ ตอนนั้นประมาณห้าทุ่มเที่ยงคืนก็เข้านอนกันแล้วค่ะ พอปิดไฟแล้วตามลักษณะหอพักรวมคือทุกอย่างเงียบมาก วังเวงมาก แล้วไม่รู้ทำไมทุกโรงเรียนจะต้องมีเรื่องเล่า ตำนานหลอนๆ อะไรงี้ด้วยนะคะ เราเองเป็นคนนอนหลับยากอยู่แล้ว ตอนที่เพื่อนปิดไฟก็ยังไม่ทันได้หลับเลยค่ะ แต่พอทุกอย่างเริ่มเงียบก็เอาล่ะ คิดไปสะระตะ เริ่มหลอนไปเอง เคยได้ยินรุ่นพี่เล่าว่าเปิดโคมไฟนั่งทำการบ้านดึกๆ แล้วได้ยินเสียงลากโซ่ พอชะโงกไปมองก็เห็นเป็นทหารสมัยก่อนคลานเข่าไปตามช่องว่างระหว่างเตียง (พิมพ์ไปก็ขนลุกไป ;___;) เราก็เริ่มคิดตาม ถ้ากุเจอแบบนั้นจะทำไงวะ?

คิดไปได้สักพักก็รู้สึกเหมือนบรรยากาศมันเย็นๆ ขึ้นมาบอกไม่ถูกค่ะ ตอนนั้นทุกอย่างเงียบมาก เงียบแบบจนเราได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนเสียงคนเดินเข้ามาใกล้ และประเด็นคือเสียงฝีเท้านั้นเดินมาหยุดอยู่ที่ระหว่างเตียงเรากับเตียงข้างๆ ค่ะ ในใจตอนนั้นคือใครวะ? คิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนคนอื่นมาดูอาการเพื่อนที่ไม่สบายล่ะมั้ง แต่ก็ยังไม่ยอมลืมตาค่ะ จนกระทั่งรู้สึกเหมือนมีคนเหยียบลงบนเหล็กขอบเตียงที่เรานอนอยู่ เพื่อที่จะยืดตัวขึ้นไปมองเตียงบนได้ถนัด คือน้ำหนักมันยวบลงไปจนรู้สึกได้ แล้วจากนั้นเราก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเพื่อนคนที่ไม่สบาย สมมุติเพื่อนเราชื่อ เอ เค้าก็เรียกแบบ เอ.. เอ.. เอ.. เรียกแบบเสียงเนิบๆ บอกไม่ถูกเลยค่ะ แต่จำได้ว่าหลอนมาก ตอนนั้นเราหลับตาปี๋เลย ไม่คิดว่าเป็นคนแล้ว ต้องเป็นผีแน่ๆ อยากดึงผ้าห่มมาคลุมโปงมากแต่ก็ไม่กล้า กลัวผีรู้ว่าเรายังไม่หลับ 555555555 แต่เซอร์ไพร้ค่ะ ผีรู้! ชิบหาย! 5555555555 คือหลังจากที่เรียก เอ ไปสักพัก พอไม่มีสัญญาณตอบรับก็เหมือนจะเงียบไป แต่หลังจากนั้นเราก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจค่ะ บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่เหมือนมีลมหายใจมาจ่ออยู่ที่หน้า คือถ้าให้กะเราระยะห่างไม่น่าจะถึงหนึ่งฝ่ามือด้วยซ้ำ เหมือนเค้าก้มลงมาเอาหน้ามาจ่อเราเลยค่ะ แบบดูว่าเราหลับไปหรือยัง ตอนนั้นแบบหลับตาแน่นมาก กลัวลืมตาขึ้นมาแล้ว ผ่างงงงง! ใจเต้นแรงมาก ไม่เคยสัมผัสประสบการณ์ใกล้ชิดแบบนี้มาก่อน ความรู้สึกคือไม่ใช่เพื่อนแกล้งแน่ๆ ล่ะ เพราะทุกคนรู้ว่าบรรยากาศโรงเรียนประจำมันน่ากลัวอยู่แล้ว ยิ่งตอนกลางคืนนี่แบบโอ้โห.. จะลุกออกไปเข้าห้องน้ำยังไม่กล้าเลยค่ะ และโซนที่เราอยู่เองก็ขึ้นชื่อเรื่องความหลอนจากรุ่นพี่ปีก่อนๆ ด้วย ตอนนั้นคิดเลย เจอแล้วกู ฮือออออออ  :hao5:

แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะคะ คือพอเราพยายามไม่ลืมตาก็เหมือนว่าเค้าจะถอยออกไป สักพักทุกอย่างก็เงียบลงอีกค่ะ เหมือนเค้าไปแล้ว บรรยากาศแบบรู้สึกได้ว่ามันตึงเครียดน้อยลงอ่ะ พอตื่นเช้ามาเราก็เล่าให้เพื่อนที่ไม่สบายฟังว่าเมื่อคืนมีคนมาเรียกแกหรือเปล่า? มันก็บอกไม่นะ หลับสนิทไม่รู้เรื่องอะไรเลย ถามเพื่อนอีกคนที่อยู่เตียงชั้นล่างข้างๆ กันเค้าก็บอกว่าไม่รู้สึกอะไร เราก็เลยเล่าให้ฟัง เพื่อนก็ปลอบบอกว่าอาจจะเป็นเจ้าที่เจ้าทางมาดูแลเด็กก็ได้ เพราะเห็นว่ามีคนไม่สบาย และอีกอย่างคือ เตียงของเพื่อนคนที่ไม่สบายเจ้าของเก่าเค้าชอบเอาพวกดอกไม้ ธูป เทียนอะไรงี้มาไว้ใต้หมอนค่ะ เหมือนเป็นการซื้อที่หรือบูชาอะไรนี่ล่ะมั้ง เราก็จำไม่ได้ แต่ตอนนั้นเป็นประสบการณ์หลอนที่ยังไม่ลืมมาจนถึงวันนี้ค่ะ

แต่เอาจริง เรียนจบมาแล้วเพื่อนก็มาเล่าให้ฟังนะว่าเคยเห็นที่เตียงเราบ่อย บางทีเห็นคนนอนอยู่บนเตียงแต่ไม่เห็นหน้าก็มี ทั้งที่ตอนนั้นเราไม่อยู่ พอคนนึงเริ่มอีกคนก็บอกกูก็เคยเจอ คือแบบ อ้าว เตียงกูนี่จุดศูนย์รวมเร๊อะ? 555555 คงเพราะว่าเตียงเราอยู่ตรงเสาและตรงกับคานพอดีด้วยค่ะ เพื่อนเห็นแต่เราไม่เคยเห็นนะ อาจเพราะเป็นคนไม่มีเซ้นส์ด้วยแหละ ที่เจอจังๆ แถวเตียงก็มีแค่ที่เล่าไปเท่านั้นเองค่ะ


ทุกวันนี้ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าตอนนั้นเราลืมตาขึ้นมา จะเห็นอะไรวะเนี่ย???  :ling3:

อู้ว... เราอยากสัมผัสสายตานั้นจังเลย

ออฟไลน์ หมีจำศีล

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-1
-   ที่บ้านเป็นตึกแถวเวลาสักประมาณทุ่ม-2ทุ่มถ้าอยู่คนเดียวในบ้านจะชอบได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อเราบ่อยมาก
แอบชะเง้อมองจากระเบียงทีไรก็ไม่เจอตัวคนเรียกสักที... (แม่บอกห้ามขานตอบ เลยต้องเดินมาชะเง้อที่ระเบียง
ไม่ก็เดินจากชั้นบนลงมาดูที่ชั้นล่างเท่านั้น... จะเรียกทำไมบ่อยๆก็ไม่รู้ตูขี้เกียจเดินมาดู  :katai1:)

-   ทำนายไพ่ทาโร่ในคอมก่อนไปเที่ยวเกาะเสม็จ1วัน...  ไพ่บอกให้ระวังเรื่องการเดินทาง... ผลคือเพื่อนๆ
ที่ไปด้วยกันตังหาย+รถล้ม+แผลเต็มตัว+เสียค่าพยาบาล+หมอเกรียน (ส่วนเรารอดปลอดภัยไร้แผล
เงินไม่หายแต่ช่วยเพื่อนจ่ายค่ารถล้ม สรุปไอที่ทำนายที่ให้ระวังนี่คือของเพื่อนๆเราใช่ไหม หรือว่าเรานำ
ความซวยไปให้เพื่อน :ruready)

-  แต่ก่อนเรามีบ้าน2หลังบ้านหลังแรกเป็นตึกแถวกับอีกหลังเป็นบ้านเดี่ยว2ชั้น ซึ่งปกติเวลานอนที่บ้านเดี่ยว
ครอบครัวเราจะชอบไปนอนรวมกันในห้องนั่งเล่น คือเปิดแอร์ปูผ้านอนดูทีวีกันพอง่วงก็หลับกันในห้องนั้นเลย
แล้วปกติเวลานอนห้องแอร์เราจะชอบเอาผ้าห่มคลุมทั้งตัว(ตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย)  เรื่องมันมีอยู่ว่าคืนนึงเรา
ตื่นมากลางดึก(ยังไม่ได้ขยับตัวหรือกระดิกแม้แต่นิดเดียวแล้วก็อยู่ใต้ผ้าห่มที่คลุมมิดตัว เราได้ยินเสียงใคร
ไม่รู้เป็นเสียงผู้ชายกำลังบ่น/ด่า/พูดสบถนเร็วมากซึ่งมันเป็นภาษาที่เราฟังไม่ออก น้ำเสียงก็เหมือนโกรธๆ
 (ไม่ใช่เสียงพ่อหรือพี่ชายเราแน่ๆเพราะเราเคยได้ยินเสียงที่พ่อกับพี่ตอนละเมอบ่อยๆ) สักพักเสียงมันก็
ค่อยๆเบาลงจนเงียบไป เราก็ขี้เกียจจะลุกออกมาดูเลยนอนต่อในท่าเดิมจนหลับไป  :katai5:

อาจจะเป็นเพื่อนที่ยังไม่ได้หายใจก็เป็นได้ค่ะ แฮ่

ออฟไลน์ หมีจำศีล

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-1
ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับวันที่เกิด ราศีที่เกิดหรือเปล่าทำให้มีสัมผัสที่ 6 (เป็นบางเวลา555 ไม่ได้เกิดตลอดนะ เห็นตลอดก็ตายซิ)
อย่างล่าสุดที่เจอ วันนั้นเป็นตอนเช้าวันอาทิตย์ บ้านที่อยู่ปัจจุบันนี้แหละเป็นบ้านเช่า มี 3 ห้องนอน เราชอบเปิดประตูห้องนอนทิ้งไว้ วันนั้นรู้สึกจะอยู่บ้านกัน 3 คน มีเรา พี่สาว กับหลายชายคนโต เรายืนอยู่ในครัวหันหน้ามาทางประตูห้องนอน แล้วเห็นคนเดินเข้าไปในห้อง คิดว่าเป็นหลานชาย เลยตะโกนถาม เฮ้ย...เข้าไปในห้องน้าทำไม ปรากฎว่าหลานชายโผล่มาจากหน้าบ้านจ้า บอกคุยกับแม่เขาอยู่หน้าบ้าน ตอนนั้นมีเราอยู่ในบ้านคนเดียว 555 งานงอกเบย ยืนยันเลยว่าเห็นกับตา ไม่ได้มโน แต่กลัวว่าคนอื่นจะกลัว เลยแก้ตัวว่าคงตาฝาดไปเอง
สมัยเรียนมหาลัยก็เจอบ่อย แต่ชอบปลอบตัวเองว่าคิดมากไปเอง  :sad4:



เราราศีสิงห์นะ เซ๊นส์ทื่อมู่ตู้มาก ฮ่า

ออฟไลน์ หมีจำศีล

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-1
เคยเจอตอนอยู่หอในมหาลัย
เวลาเมทกลับบ้านและอยู่คนเดียว
ตอนดึกๆจะได้ยินเสียงลากเก้าอี้จากห้องข้างบน
ดัง เอี๊ยดดดดดดด อยู่หลายครั้งเลย
เราก็คิดว่า ไอ่ห้องข้างบนนี่เป็นไรมากป้ะวะ ไม่เกรงใจเลย
และเมทเราก็โดน มันเลยขึ้นไปถามว่าจะลากทำส้น*อะไร
เจ้าของห้องก็บอกว่า ไม่ได้ลาก ก็นั่งอยู่เฉยๆ (เมทเล่า)
เราก็...โอ้ เอาแล้วไงตู 5555555
  o22 :a5:

และเวลาอาบน้ำก็ชอบได้ยินเสียงเปิดน้ำก้อก
ตรงอ่างล้างหน้าข้างนอกห้องน้ำ
เราก็จะไม่คิดก็ไม่ได้ กูอยู่คนเดียววว ใครมันจะมาเปิดดดด !!
 แต่ก็พยายามไม่คิดมาก 555555
 :hao5: :hao5:

ดีแล้วที่คิดแบบนั้น ฮะๆ

ออฟไลน์ หมีจำศีล

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-1
ขอเล่าบ้าง ตอนนั้นเราน่าจะราวๆ7ขวบนะ เรียนประถมมีใครเคยเห็นหนังสือเล่มเล็กๆรวมเรื่องผี เรื่องลี้ลับบ้าง เราเดาว่าส่วนหนึ่งคงเป็นเรื่องเล่าจริงๆแบบปากต่อปาก จำได้แค่ว่าเรื่องที่เราอ่านเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนที่ถูกรถชนตายที่สถานที่นั้นแล้วเขาตั้งใจให้เกิดอุบัติเหตุอีกเพื่อเอาตัวตายตัวแทน ตอนนั้นอ่านจบแล้วหลอนมาก อ่านหลายเรื่องแต่จำได้เรื่องเดียว
คืนนั้นเราก็ฝันเลยค่ะ เห็นถาพลักษณะคล้ายๆกับวิณญาณตามเรื่องแต่ไม่เห็นหน้า และโค้งที่คาดว่าเป็นสถานที่ที่เขาสิงอยู่ แค่นั้นเองค่ะไม่มีเรื่องราวอื่นใด
เช้ามาแม่ถามว่าว่าเมื่อคืนฝันเหรอ แม่บอกว่าเรานอนละเมอ เรานี่งง เลย เกิดมาไม่เคยนอนละเมอ
แม่บอกว่าเราพูดแค่สองคำว่าแปดสี่ จากนั้นเรื่องนี้ก็ดังในละแวกบ้าน ในงวดนั้นคนถูกหวยหลายคนค่ะเพราะเขาซื้อ 48 กับ 84 แต่แม่เราไม่ได้ซื้อแหละ ฮ่า ในฝันน่ากลัวมากไม่นึกว่าเขาจะเอ็นดูมาให้หวยเราเลย และนั่นเป็นการละเมอครั้งเดียวของเราค่ะ
หลังจากนั้นเราก็ไม่หาอ่านเรื่องผีสักเท่าไหร่เพราะกลัวเก็บไปฝัน เราว่าเราไม่มีเซ้นส์นะ ไม่เคยเห็นหรือได้ยินอะไรแปลกๆเลย แถมเราไม่ชอบลองของด้วย

งวดหน้าถ้ามีแพลมๆมาบอกเราด้วยนะ แหะๆ

ออฟไลน์ หมีจำศีล

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-1
เราไม่ค่อยมีเซนส์เลย เพราะเกลียดผีมากกกกกกก แต่ชอบดูหนังทริลเลอร์ไซไฟที่มีเอ็ฟเฟ็คสนุกๆอ่ะ พอดีเพิ่งไปอ่านอาจารย์ใหญ่ของคุณหมีจำศีลมา ชื่อแต่ล่ะตอนโคตรน่ากลัวเลย ไหนจะลมหายใจของศพ ผีตายโหงล้มกระดานงี้ อยากถามคุณหมีจำศีลว่าเจอคนตายบ่อยไหมคะ? แบบบทบรรยายแต่ล่ะตอนมันน่ากลัวอ่ะ เหมือนเจอคนตายบ่อยๆเลย :katai1: :ling2:

เหอ... เราไม่ได้มีอาชีพเป็นสัปเหร่อนะ ฮ่าๆๆๆๆ ตอนคุณ Baddest_Female ถามเราว่าเห็นคนตายบ่อยๆไหม? นี่เราคิดถึงตัวเองกำลังยกศพออกจากโลงใส่ตะแกรงแล้วเปิดประตูเมรุเผาเลย นึกว่าตัวเองเป็นสัปเหร่อ ฮ่า


เอาจริงๆคือเขียนๆไปตามสถานที่ที่ตัวเองเคยไปอยู่มา แล้วแต่ล่ะที่ที่เราไปมันจะมีตำนานเรื่องเล่าหรืออะไรทำนองนั้นเป็นสินค้าโอท็อปชิ้นสำคัญในวงสนทนาเวลาก่อกองไฟผิงไล่ยุงในตอนกลางคืน เราเลยเอาสิ่งนั้นมายำๆเขียนลงไปเวลาตัวละครในเรื่องเจอผี
แต่ถ้าเอาจริงๆเรื่องที่ถามว่าเห็นคนตายบ่อยไหม อืม... ก็ตามวัฏจักรของโลกน่ะค่ะ เห็นเป็นปกติ ฮ่า แต่ก็มีอยู่ห้าเคสที่ฝังใจเรามาจนถึงทุกวันนี้นะคะ


1.เด็กข้างบ้าน ชอบมาเล่นกับหลานกับน้อง เข้าออกบ้านเรากินข้าวอยู่ที่บ้านเรา เหมือนที่นี่เป็นบ้านหลังที่สองของเขา แต่สุดท้ายเขากลับเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวที่กำเริบแบบปุบปั่บกระทันหัน ตอนที่เสียเขาอายุประมาณ 6 ขวบ แต่ช่วงเวลากว่าเขาจะหมดลมมันทรมานมากค่ะ ทั้งเจาะคอ เจาะท้อง ใส่เครื่องพยุงชีวิตเพื่อที่จะยื้อไว้ให้ได้นานมากที่สุด ตอนน้องเขาหยุดหายใจเรายืนมองยายเขาร้องไห้อยู่ข้างเตียง ตอนนั้นเราเรียนอยู่ ม.4 พอหลังจากนั้นตกเวลาดึกๆ มักจะมีคนมาเคาะประตูหลังบ้านเรา แล้วลูกสาวป้าเราที่ชอบเล่นกับเขาจะเดินมาสะกิดเราให้ลุกขึ้นไปเปิดประตูให้หน่อย เพื่อนหนูเข้ามาไม่ได้


2.รุ่นน้อง เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน ห่างกัน 1 ปี แต่น้องเขาตัวสูงมาก ทะลุ 177 เซนต์ ตอนอายุ 14 ปี สูงที่สุดในชั้น ม.2 ตอนนั้น เล่นกีฬาทุกอย่าง ลุยงานทุกประเภท เป็นเด็กกิจกรรม แต่กลับไปจมน้ำตายอยู่ตรงอ่างเก็บน้ำอีกหมู่บ้านนึงที่อยู่ติดกัน แต่เรื่องของเรื่องมันอยู่ที่ว่าบริเวณที่น้องเขาจมน้ำเสียชีวิตมันเกือบติดชายฝั่ง ไม่ได้ลึกเลยสำหรับส่วนสูงขนาดน้องเขา สมมุติถ้าเกิดว่าน้องเขาเป็นตะคริวขาไม่มีแรงว่ายเลยจมน้ำไปมันไม่บาลานซ์กันกับตรงนั้นเลยซักนิด พวกเด็กคนอื่นๆที่เล่นด้วยกับน้องเขาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาค่อยๆจมลง หันไปอีกทีเห็นแค่หัวและหน้าผากที่โผล่พ้นน้ำ เลยรีบว่ายไปช่วยกันดึงขึ้นอยู่สองสามคน แต่สุดท้ายต้องผละออกเพราะเด็กๆเขาเตี้ยกว่าน้องคนนี้เยอะ ขาเหยียบไม่ถึงพื้น ถ้ารั้นจะยื้อต่ออาจตายหมู่ สุดท้ายน้องเขาเลยจมลงไปจนกู้ภัยมางมอีกทีก็ปรากฎว่าเสียชีวิตแล้ว แล้วจุดที่เขานอนนิ่งอยู่ในน้ำมันไม่ได้ไกลเลย อยู่ติดขอบฝั่งตรงทางขึ้นไปบนถนน เลยกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ประจำหมู่บ้านกับครอบครัวเรา เพราะก่อนเสียชีวิตหนึ่งวันเขาขับรถมาหาเราที่บ้าน แล้วพูดขึ้นโต้งๆเลยว่ามาจีบ ต่อหน้ายายกับป้าเราที่กำลังยืนรดน้ำผักรดน้ำต้นไม้อยู่ พอวันต่อมาน้องเขาเสีย ยายรีบไปหยิบสายสิญจ์จากในห้องพระมากางไว้หน้าบ้าน ลากตั้งแต่เสาหลักอีกฝั่งนึงจนไปสุดอีกฝั่งนึง เพราะบ้านเราไม่มีศาลพระภูมิ อาศัยแค่ว่าวันพระใหญ่หรือวันสำคัญของปีจะไหว้บรรพบุรุษแทน แต่ในงานศพเราก็ไปจุดธูปไหว้เขาตามปกติ

* เรื่องอ่างเก็บน้ำหมู่บ้านข้างๆเรานี่มีประเด็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะเด็กก็จม ผู้ใหญ่ก็จม รึแม้แต่คนที่จมแล้วงมขึ้นมาได้ ไม่ตาย อีกวันสองวันก็ตายอยู่ดี มีอยู่ครั้งนึงกำนันตำบลเราเคยพูดกับศาลสังกะสีเก่าๆที่ตั้งอยู่เหนืออ่างเก็บน้ำว่าจะสร้างศาลใหม่ให้ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ทำตามที่พูดเอาไว้ คนที่ดูมอเป็น (ไม่ใช่หมอผีหรือคนเข้าทรง ยายบอกกับเราว่าคนประเภทนี้แค่สื่อสารกับวิญญาณได้เฉยๆ ไม่ได้มีคาถาอาคมติดตัวแต่อย่างใด) บอกว่าเขาจะเอาคนไปอยู่ด้วยเรื่อยๆ เป็นตัวตายตัวแทนอย่างนี้ไปทุกๆปี (แต่ไม่ได้บอกไว้ว่าถ้าเกิดทำตามสัญญาสร้างศาลใหม่ให้แล้วจะหยุดทำ)


3.เพื่อนรุ่นพี่ เสียชีวิตปีนี้ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ เป็นคนที่เราสนิทด้วยมากๆเพราะเห็นกันมาตั้งแต่ยังเด็กๆ เรียนคนล่ะมหาลัย แต่พอวันว่างตรงกันจะนัดก๊วนเพื่อนสนิทคนที่เหลือขับรถจักรยานยนต์ขึ้นเขาใหญ่ ไปหัวหิน วังตะไคร้ ทุกๆปีเป็นประจำ กลุ่มเพื่อนเราจะขับบิ๊กไบค์ของพี่ที่เสียแกโดนฮอนด้าแจ๊สมุดแซงรถพ่วงตรงฝั่งเลนส์สำหรับรถจักรยานยนต์วิ่งจนโดนชนท้ายเข้าเต็มๆ บิ๊กไบค์ 4 สูบ 1,000 ซีซี แฉล่บลงข้างทางจนพลิกทับแกทั้งตัว เราที่ขับอยู่หัวขบวนก็ยังขับไปต่อเพราะทิ้งช่วงห่างกันค่อนข้างมากเนื่องจากเราปวดฉี่อยากแวะเข้าปั้มเร็วๆ จนเพื่อนอีกคนโทรเข้าเราเลยจอดรถรับโทรศัพท์ก่อนจะรีบยูเทิร์นวกกลับไป ตอนที่ไปถึงพี่เขายังหายใจแผ่วๆอยู่ รถเก๋งคู่กรณีก็ปักฝากระโปรงรถเข้ากับต้นไม้ข้างๆจนไอน้ำขึ้นฟุ้ง แต่โดยรวมคนขับไร้สติมันก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร เพื่อนผู้ชายเราอีกสี่คนเลยช่วยกันยกรถที่ทับแกขึ้นแบบทุลักทุเลเพราะมันหนักมาก แต่ไอ้คนชนมันกลับยืนตีหน้ามึนๆจนเราโมโหเดินเข้าไปต่อย ตอนนั้นทั้งเสียใจทั้งใจเสีย เรารู้อยู่แก่ใจว่าพี่เขาต้องไม่รอด เพราะตอนยกรถออกได้สำเร็จ เราเห็นตรงหน้าอกฝั่งขวาของแกยุบลงไปเหมือนข้างในซี่โครงตรงนั้นมันหัก เแล้วเลือดมันไหลย้อนขึ้นมาออกหู ออกจมูก สุดท้ายพี่เขาหมดลมอยู่ที่นั่นจริงๆ ต่อหน้าเรา ต่อหน้าเพื่อน พอกู้ภัยมา ตำรวจมา ประกันมา พวกเรายืนน้ำตาไหลกันหมด ตำรวจสอบปากคำไปร้องไห้ไป มันเป็นเหตุการณ์บัดซบที่สุดในชีวิต ยิ่งตอนจะกดเบอร์โทรศัพท์ไปบอกพ่อแม่พี่เขาว่าลูกลุงเสียแล้วนะ แทบไม่มีแรงยกมือถือขึ้นมา ชาไปหมดทั้งตัว

*พวกเรากับเพื่อนๆถึงจะขับบิ๊กไบค์แต่ก็ใช่ว่าจะโชว์พาวขับเร็วๆ ปาดหน้ากระบะ หรือขี่เกาะเรียงกันเป็นหน้ากระดานจนเต็มเลนส์วิ่งของรถยนต์ เรากับเพื่อนเจอคำวิจารณ์มามากพอเกี่ยวกับนิสัยการขับขี่แย่ๆของคนบางคนที่ขับบิ๊กไบค์เหมือนกัน เราเลยขับเลาะตามเลนส์จักรยานยนต์ธรรมดามาเรื่อยๆ ไม่มีเบิ้ลรถ ไม่มีแซงกันเองไปมาๆ เพราะนี่มันเป็นถนนที่ใช้สัญจรจริงๆไม่ใช่สนามแข่งรถ เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาหรือสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ร่วมเดินทางคนอื่นๆมันจะแย่ ใจเขาใจเรา

**ช่วงนั้นเราเพิ่งแต่งนิยายเรื่องที่สามลงเล้า ช่วงงานศพเรารีบอัพส่วนที่เคยพิมพ์ๆไว้ลงไปให้ได้อ่าน คิดว่าเสร็จงานจะมาต่อ แต่สุดท้ายมันมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล เราเลยทิ้งมันไประยะนึงจนทุกอย่างเริ่มเข้าที่จึงกลับมาเขียนต่อ


4.ลูกชายคนที่อยู่หลังบ้านผูกคอตาย วัยกลางคนแล้วนะ อายุราวๆ 38 ปี ตอนนั้นเราเรียนอยู่ ม.6 เหตุเกิดตอนเกือบถึงวันสิ้นปี บ้านเขาเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงแบบบ้านโบราณสมัยเก่า เวลาเราเดินมาซักผ้าหรือล้างจานที่หลังบ้าน เขาจะเปิดไฟบนบ้านแล้วเปิดหน้าต่างจะเห็นข้างในชัดแจ๋วเลย เพราะบ้านเราเป็นบ้านชั้นเดียว แล้วรั้วบ้านเราก็ไม่ได้สูง มองทะลุถึงใต้ถุนบ้านคนอื่นเขาได้แบบสบายๆ วันที่เขาเสียเป็นวันที่เราเข้าเมืองไปทำธุระ กลับมายายก็มาเล่าให้ฟังว่าลูกชายคนที่อยู่หลังบ้านเราเขาผูกคอตาย เราเลยเดินไปดูศพพร้อมๆกับกู้ภัยมาปลดเชือกลงพอดี ส่วนสภาพ... อืม คนมันดิ้นจะขาดอากาศหายใจตาเลยเหลือกขึ้นจนสุด ลิ้นจุปาก รอบคอมีรอยช้ำเลือดสีม่วง เพิ่งเคยเห็นคนตายโหงแบบใกล้ๆในลักษณะนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต เตือนใจได้ดีเลยทีเดียว

*หลังจากสิ้นสุดงานศพ พ่อแม่เขาก็เปิดไฟไว้ด้านบนแล้วพาตัวเองลงมานอนใต้ถุนบ้านนานเกือบสองเดือน แถมเปิดหน้าต่างบานนั้นไว้ด้วย เราล้างจานตอนกลางคืนทีหรือเอาเสื้อผ้าไปซักตอนใกล้สว่างทีก็ต้องเหลียวหลังจ้องแบบลุ้นๆทุกรอบ


5.คุณตายที่เลี้ยงเรามาเสียชีวิต เป็นโรคมะเร็งในสมองค่ะ อายุแกตอนนั้นประมาณ 64 ปี เสียตอนเราเรียนอยู่ ป.4 เริ่มแรกอาการแกเริ่มเหม่อลอย ขับรถไปในที่ไกลๆโดยที่ตัวเองไม่รู้สึกตัว เมื่อก่อนตาเราสอนเราให้ขับรถมอไซต์ตั้งแต่เรียนอยู่ ป.2 วิธีการสอนของแกคือให้ค่อยๆกำแฮนด์ทั้งสองข้างไปทีล่ะนิ้ว จนครบห้านิ้วตอน ป.3 แกเลยปล่อยให้บิดเอ็งแต่แกจะเป็นคนซ้อนอยู่ตลอด ป.3 เทอมสองกำลังขาเราพอสตาร์ทรถเองได้แกเลยปล่อยให้หัดขับเอ็งอยู่หน้าบ้าน สอนให้พยุงรถเวลาจะเลี้ยวเข้าโค้ง จนเราพยุงตัวเองได้สำเร็จหลังจากล้มๆไปได้สามสี่เที่ยวตอนป.4 หลังจากนั้นมาตาก็เริ่มแปลกไป จากที่ไม่กินเหล้ากลับชอบไปสังสรรกับเพื่อนฝูง กว่าจะถึงบ้านก็ต้องให้เราขี่มอไซต์ไปรับแบบบังคับให้กลับบ้าน ไม่งั้นเมายาว เป็นอยู่อย่างนั้นอาทิตย์นึง จนแกทรุดลงจริงๆต้องเข้าโรงพยาบาล ป้าเราตัดสินใจส่งตาเข้าโรงบาลเอกชนทันที หมอเอ็กซเรย์สมองแล้วพบเนื้องอก เขาหันมาถามป้าว่าจะผ่าไหม โอกาสรอด 50-50 ถ้าตรวจแล้วเป็นเนื้องอกธรรมดาก็ต้องระวังภาวะแทรกซ้อนเพราะตามีโรคความดันเป็นโรคประจำตัว แต่ถ้าเป็นเนื้อร้ายที่เรียกว่ามะเร็ง... ก็ต้องรอดูว่าเป็นระยะไหน สุดท้ายก็แจ็คพ็อตแตก ตาเราเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เพราะการผ่าสมองทำให้ปากของตาเราบิดผิดรูป เป็นช่วงที่ทรมานมากสำหรับเรา เราเห็นความเป็นไปทุกอย่างจากอาการของโรคนี้ หลังจากที่ยื้อกันจนสุดชีวิตหมดเงินไปหลายแสน ยายเราตัดสินใจถอดเครื่องช่วยหายใจออกแล้วพาตากลับมานอนที่บ้าน สามวันสุดท้ายก่อนตาเสียเราเรียนแทบไม่รู้เรื่อง ไปโรงเรียนเหมือนคนไม่มีสติ จนวันที่ตาจากไปเราตัดสินใจหยุดเรียนแล้วเดินกลับบ้าน พอมาถึงเห็นทุกคนนั่งล้อมรอบตา ตาหายใจแผ่วๆจนเราเดินเข้าไปหาแล้วคุกเข่าจับมือแกก่อนจะกราบลงตรงอก แกหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่อยู่สามครั้งแล้วจากไป เป็นภาพที่ติดตาเรามาจนถึงทุกวันนี้

*ครอบครัวเรามีประวัติเป็นมะเร็งอยู่สามคน คนแรกเป็นลุงเรา เสียชีวิตเพราะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง คนที่สองเป็นตาเรา เสียชีวิตจากมะเร็งในสมอง คนที่สามเป็นน้องสาวตา เสียชีวิตจากมะเร็งในตับ

**ตลกร้ายของชีวิตคือปู่เราที่ตอนนี้แกอายุร้อยปี เป็นเจ้าภาพในงานศพหลานและลูกของตัวเองทั้งสามคน ในแต่ล่ะครั้งที่ลูกหลานล้มป่วยแกมาอยู่เฝ้าคอยดูแลเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต


เรากลัวความตายมากกว่ากลัวผีอีกค่ะ และเราไม่ได้กลัวว่าความตายมันจะเกิดขึ้นกับเรานะ แต่เรากลัวว่ามันจะฉุดคนที่เรารักให้หายไปจากชีวิตของเรามากกว่า


ส่วนเรื่องผีจริงๆแล้วเนี่ยเราไม่เคยเห็นเป็นตัวเป็นตนเลยนะ คือไม่เคยเห็นแบบมีเนื้อหนัง มีหน้าตา อะไรทำนองนี้ คนเวลาตาย สิ่งที่หลุดไปเราจะชอบคิดว่ามันคือพลังงานอีกรูปแบบนึงที่หมดอายุขัยจากสังขารทางโลกไปแล้ว เลยไม่ค่อยเอามันไปรวมกับคำว่าผีเท่าไหร่ แต่เรียกไปเฉยๆเพราะติดปาก


ครั้งแรกที่เราเจอวิญญาณจะๆคือตอนป.3 ตอนนั้นมือถือโนเกีย 3310 กำลังฮิตมากสำหรับที่ที่เราอยู่ จำได้ว่าไปขโมยโทรศัพท์ของตามาโทรหาเพื่อนในห้องเรียน เดินไปคุยไปริมถนนตรงหน้าบ้าน เวลาน่าจะสักประมาณสามทุ่มกว่า แต่สำหรับหมู่บ้านชนบทที่ยังไม่มีไฟฟ้าติดข้างทางถือว่าเปลี่ยวสุดๆ ถ้าบ้านไหนไม่เปิดไฟหน้าบ้านถนนจะมืดมาก เราก็เพลินน่ะนะ เดินคุยไปเตะก้อนหินข้างทางไปเรื่อยๆ คิดในใจว่าจะเดินไปดูร้านค้าบ้านเพื่อนว่ายังเปิดอยู่ไหม เพราะจะไปซื้อบัตรเติมเงินมากลบเกลื่อนหลักฐานเงินในโทรศัพท์ที่หมดไปกับการโทรเล่น แล้วทีนี้ตอนที่เกือบใกล้จะถึงร้านค้า เยื้้องไปข้างหน้าจากตรงนั้นอีกจะเป็นเสาหลักกิโลเมตรตั้งอยู่ แล้วพอดีบ้านหลังนึงที่อยู่ติดถนนฝั่งตรงข้ามเขาไม่ได้เปิดไฟหน้าบ้าน มีแค่บ้านร้านค้าเพื่อนเราที่เปิดไฟข้างหน้า เลยพอมองเห็นสลัวๆ ไอ้เรากำลังคุยโม้ในโทรศัพท์พร้อมกับก้มหน้าเตะก้อนดินอยู่เพลินๆ เงยหน้าขึ้นมาดูทางอีกที เอ้า เกือบจะถึงร้านค้าแล้วนี่หว่า

แต่

พอเราเหลือบตาไปเห็นตรงเสาหลักกิโล

เป็นครั้งแรกที่เรารู้จักคำว่าช็อคจนหัวใจเกือบหยุดเต้น

เงาสีดำเป็นลูกคลื่นกำลังเคลื่อนไหวแล้วเดินตรงมา รูปร่างเป็นผู้ชายกำลังจูงมือเด็กที่เป็นเงาสีดำเหมือนกัน

คือตอนนั้นจำได้เลยว่าตะโกนคำว่าผีออกมาเต็มปากเต็มคำแล้ววิ่งไปเขย่าประตูร้านค้าแบบเอาเป็นเอาตาย ปากเปิกหน้าเน้อนี่สั่นไปหมด เราทั้งเขย่าทั้งตะโกนขอความช่วยเหลือเกือบสองนาทีก็ไม่มีใครลงมาเปิดประตูให้ ขวัญเลยยิ่งกระเจิดกระเจิงไปคนล่ะทิศล่ะทาง สุดท้ายเลยตัดสินใจวิ่งแบบไม่คิดชีวิตกลับบ้าน แทบไม่อยากเหลียวหลังกลับไปดูด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นมันวิ่งตามเรามารึเปล่า พอถึงบ้านขาสั่นจนล้มลงไปกองอยู่หน้าประตู ล่ะล่ำล่ะลักเล่าให้ตาฟังว่าเจอผีมา กว่าจะตั้งสติพูดได้เล่นเอาเกือบครึ่งชั่วโมง เป็นโมเม๊นต์สยองขวัญที่สุดในชีวิตสำหรับเรา

*เราจ้องมันนานเหมือนกันนะ คือตอนแรกนึกว่าคนในหมู่บ้านเดินมาซื้อเหล้าขาวไปกินที่สวนยาง เลยหยุดยืนรอให้เดินมาใกล้แสงไฟจะได้เห็นหน้าชัดๆแล้วจะได้ทักถูกไหว้ถูกว่าเป็นพี่ป้าน้าอาตรงบ้านหลังไหน ปรากฎว่าไม่ใช่ โกยแน่บ

**เงาที่เราเห็นมันเป็นรูปเป็นร่าง เหมือนเงาคนเวลาไปยืนกลางแดด แต่มันเป็นคลื่นๆหยักๆแนวขวาง แล้วตรงขอบมันจะเป็นละอองแสงสีสว่างๆเล็กน้อย แต่ที่ทำให้เราหลอนจนต้องโกยหน้าตั้งก็ตรงที่มันเดินเนิบๆเข้ามาหาเรานี่แหละ แถมตอนนั้นยังเด็กด้วย ภูมิต้านทางเรื่องนี้ยังไม่แข็งแรง =_=

***ตอนที่เราวิ่งหนีมาเขย่าประตูร้านค้า เราเพิ่งระลึกได้ว่าตรงเสาหลักกิโลนั่นมีคนขับรถมาชนแล้วเสียชีวิตบ่อย ตั้งแต่เราจำความได้ถ้าได้ยินเสียงตึ้ม!ดังๆนี่คือต้องมีคนเอารถโหม่งเสาหลักกิโลเข้าให้แล้วแน่ๆ เตรียมซื้อโลงได้เลยเพราะส่วนมากร้อยล่ะเก้าสิบห้าจะตายคาที่เนื่องจากเหยียบมาเร็ว ทีนี้พอนึกขึ้นได้ตอนนั้นยิ่งหลอนเข้าไปอีก โคตรทรมาน


อีกเรื่องเป็นตอนที่เราบวชชีพราหมณ์ช่วงปิดเทอมใหญ่ตอนม.2 ประมาณ 2 อาทิตย์ ที่วัดป่าแห่งหนึ่งแถวแนวตะเข็บชายแดน เนื่องจากโดนท่านแม่ลงทัณฑ์บนเพราะก่อนหน้านั้นหนีไปแข่งรถแล้วรถแหกโค้ง เจ็บหัวเข่าจนเดินไม่ได้เกือบสองอาทิตย์ ลาขาดที่โรงเรียนจนใบปพ.6มีเครื่องหมายสีแดงขีดเป็นทางยาวแม้จะส่งใบรับรองแพทย์ยืนยันไปแล้วก็ตาม ช่วงนั้นยายเราก็บวชด้วย แต่เราโดนป้ากับแม่กีดกันห้ามอยู่วัดเดียวกันกับยายเพราะกลัวจะไปป่วนสังขารคนแก่ให้ทุกข์มากกว่าสุขเลยโดนอัปเปหิมาอีกวัดนึง แต่เราทำตัวเป็นศรีธนญชัย เวลาพระท่านสวดให้อุบาสิการับศีลแปดเราเลยแอบยืนกวาดใบไม้อยู่ลานวัดด้านข้าง พอท่านเริ่มสวดให้ศีลห้ากับสต๊าฟพี่เลี้ยงในโครงการเราเลยทิ้งไม้กวาดแล้วไปนั่งพนมมือรับแค่ศีลห้า ตกเย็นซดมาม่าประทังชีวิต ทีนี้เนื่องจากเป็นวัดป่า ห่างไกลความเจริญ เลยไม่มีเมรุเผาศพ เขาก็จะเอาศพทั้งคนแก่ คนหนุ่ม ตายโหง หรือตายตามอายุขัยขึ้นไปไหว้ตรงเชิงตระแกงสำหรับเผาศพ

แล้วไอ้สถานที่นั้นมันกลับอยู่ถัดไปจากห้องน้ำและสุขาที่สร้างไว้ให้ทำธุระส่วนตัวแค่สิบกว่าเมตร

สิบกว่าเมตรที่มาพร้อมๆกับกลิ่นเนื้อไหม้ฉุนกึกขึ้นจมูกเวลาลมพัดมาทางอาคารเอนกประสงค์ที่เรากับแม่ชีคนอื่นๆพักอยู่

แล้วอีกฝั่งนึงของอาคารก็มีตุ๊กตาของเล่นผู้หญิงเก่าๆอันนึงฝังอยู่ในดิน และสามวันถัดมาแม่ชีบางคนที่เจออะไรแปลกๆแหวกมุ้งเข้าไปเซย์ไฮก็ขอให้หลวงพ่อไปสร้างศาลพระภูมิให้

แถมห้องปิดตายห้องนึงในวัดที่อยู่หลังพระประธานและแท่นอาสนะที่หลวงพี่เอาไว้ใช้นั่งเทศน์ทำวัดเช้าวัดเย็น ชาวบ้านแถวนั้นดันพูดว่าเจ้าอาวาสคนเก่าที่เป็นพระเขมรเดินธุดงค์ขึ้นมาฝั่งไทย ขังหรือเลี้ยงอะไรสักอย่างไว้ในห้องนั้น จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าเปิดแม่กุญแจใหญ่ล็อคสามสี่ชั้นที่อยู่ตรงห้องนั้นสักที แม้ท่านจะทิ้งลูกกุญแจไว้ให้ดูต่างหน้าก็ตาม

ชีวิตเราช่วงนั้นมีแต่คำว่างานงอก

อนึ่ง เวลาเราอยากกินต้มมาม่าตอนดึกๆหรือไมโลโอวัลตินสักแก้ว เราจะต้องเดินผ่านห้องนั้นในระยะประชิด

สอง เราชอบอาบน้ำตอนเขานั่งทำวัดเช้ากันเพราะตื่นสาย แต่ถึงจะตื่นสาย ตอนนั้นมันก็ตีห้า ฟ้ายังมืดตึ๊บ เราต้องหอบสังขารเปื่อยๆไปอาบน้ำตรงที่อยู่ใกล้ๆกับเชิงตะกอนเผาศพเพื่อหลบพระพี่เลี้ยงที่เดินมาตรวจมุ้งหาคนตื่นสาย

สาม เรามักจะแอบหนีการนั่งพับเพียบสวดมนต์ทำวัดเย็นมานั่งซักผ้าอยู่อีกฝั่งหนึ่งของอาคารที่ใช้นอน ซึ่งเหนือเนินดินตรงที่มีไม้ไผ่พาดไว้สำหรับซักผ้า จะมีศาลที่หลวงพ่อเพิ่งตั้งให้ใหม่สดๆร้อนๆพร้อมกับตุ๊กตาผู้หญิงหน้าเปื้อนดินมอมแมมวางอยู่ข้างล่าง

อ่า... แต่ชีวิตเราก็อยู่รอดปลอดภัยดีนะ

จนถึงสามวันสุดท้าย

เนื่องจากเรานอนไม่เป็นที่เป็นทาง มุดมุ้งคนนั้นทีคนนี้ทีเพราะว่าช่วงนั้นมีรุ่นพี่เราที่ห่างกันไม่มากมาบวชอยู่ประมาณนึง เลยสนิทกันเร็ว สามวันสุดท้ายทีเหลือเราหอบผ้าห่มไปนอนตรงมุ้งพี่สาวที่รู้จักกันได้อาทิตย์กว่า แล้วบริเวณที่แกนอนมันอยู่ตรงทางเดินเข้า-ออก แถมยังอยู่เยื้องจากห้องน้ำมาไม่กี่เมตร เราที่เพิ่งแอบไปซัดไมโลมาสองแก้วกลัวปวดฉี่กลางดึกเดี๋ยวเข้าออกลำบากเลยตัดสินใจไปนอนที่นั่น

ทีนี้มันเริ่มมีประเด็นเล็กๆในมุ้ง

เพราะวันนั้นมันหนาวเกินไป

หนาวจนผิดปกติ

มีรุ่นพี่ หรือแม้แต่รุ่นคุณยายคุณป้าก็บ่นว่าวันนี้มันหนาวแปลกๆตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว

แต่เผอิญเดือนนี้เดือนเมษา

แถมท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆ

แต่พอเอาปฏิทินขึ้นมากางดูอีกที

อ้อ

วันนี้วันพระค่ะ

แถมเป็นวันพระเดือนดับ

เราจำได้ดีว่าคืนนั้นหนาวมาก แล้วก็ปวดฉี่มาก นอนๆห่มผ้าอยู่สะดุ้งตื่นเพราะปวด เลิกผ้านวมออก ขยับไปรูดซิบมุ้งขึ้น ก้าวขาออกมา กำลังจะเดินไปสวมรองเท้า

เงาสีดำที่เป็นรูปครึ่งตัวคนค่อยๆเลื่อนผ่านหน้าเราไปแบบช้าๆ มุ่งหน้าไปทางศาลาวัดที่ใช้สวดมนต์

เราหยุดกึก เดินกลับเข้าไปเปิดมุ้ง รื้อเอาไฟฉายตรงหัวนอน กะว่าจะส่องตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะในศาลามันมืด หลวงพี่ไม่ได้เปิดไฟ

แต่พอหันมาอีกทีเงาหายไปแล้ว

เราเลยเลิกสนใจเดินเข้าห้องน้ำไปฉี่แทน แล้วกลับมานอนต่อ


นี่เป็นสองครั้งในชีวิตที่เรามั่นใจว่าสิ่งที่เห็นคือวิญญาณจริงๆ ไม่ใช่แค่หรี่ตามอง หรือเห็นตอนไร้สติแล้วไปสร้างมโนภาพเอาในความคิด


หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยเห็นอะไรทำนองนั้นอีกจนถึงทุกวันนี้ค่ะ ^_^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2015 17:41:48 โดย หมีจำศีล »

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
มีหลายครั้งแหละ แต่ครั้งที่ทำให้ขนลุกเสียวสันหลังจริงๆ
ก็เกิดมาเมื่อไม่นานมานี้เอง ประมาณเดือนมิถุนาได้
มันสลึมสลือ ไม่รู้ว่าความจริงมันเป็นยังไงกันแน่อะนะ
แต่เอาจริงๆ นะ เราว่าเราไม่ได้ฝัน
คือมันเกิดช่วงประมาณเช้าตรู่แหละ เราก็อยู่ ที่จริงก็ตื่นแล้วแหละ แต่ไม่อยากลุกไง นอนเล่นต่อ
พอนอนๆไปพอเคล้มๆว่าจะหลับ ตอนนั้นแบบ ผ้าห่มไรก็ร่นไปอยู่ช่วงเอว
ไม่รู้ตัวเลยว่าเสื้อชุดนอนอะ ถูกดึงขึ้นมาจนถึงไหล่ อารมณ์คือ นอนโชว์หลัง (เรานอนคนเดียว)
แล้วอยู่ดีๆ ก็รูสึกแบบ เหมือนมีคนเอาเล็บมาเขียนหลัง แบบขีดลงช้าๆอะ
กึดดด กึดดดด  เข้าใจอารมณ์มั้ย แบบ เราไม่ได้หลับเว้ย รู้สึกตัวดีแต่ขยับไม่ได้
รู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆอะ ขนนี่ลุกซู่เลย คิดไรไม่ออก ก็ท่อง นะโมตัสละไป ท่องๆไปจนสามรอบมั้ง
แล้วก็รู้สึกตัว แบบขยับได้อะ สันหลังยังให้ความรู้สึกเสียวซู่ไม่หาย แล้วก็เย็นหลังแปลกๆ
(คือตอนนั้นไม่รู้ไงว่าเสื้อถูกดึงขึ้น ไม่รู้ตัวว่านอนโชว์หลังอยู่)
พอลุกขึ้นมาได้นี่แบบ หัวใจนี่เต้นตั๊บๆ เลย ฮึ้ยย คิดแล้วเสียวอะ
แต่ก็นั่นแหละ เราเจอบ่อย แต่ก็เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้แหละ ก็เลยไม่คิดไรมาก ก็ยังนอนได้สบายใจเฉิบอยู่ดี
พอลงจากห้องแล้วไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็บอกให้ทำบงทำบุญบ้าง  เออ นั่นแหละ เรานี่แบบ เข้าวัดน๊านนนานครั้งจริงๆ
อาจจะปีละครั้งก็ได้เอา เทศกาลไรนี่แบบไม่ทำหรอก ขี้เกียจ คิดแล้วรู้สึกชั่วเบาๆ เป็นพุทธศาสนนิกชนแท้ๆ
ไม่ทนุบำรุงพระพุทธศาสนาเลย ให้ตาย
เราเป็นพวกไม่คิดอะไรมาก เลยไม่ค่อยกลัวอะไรเท่าไหร่ เจอก็เงียบๆ ไม่ได้ร้องโวกเวก หรือไปโม้ไรให้ใครฟัง
แต่ถ้ามีคนถามก็เล่าแหละ ว่าเป็นไงมาไง 
พอจะช่วยให้เขียนออกมั้ยคะ
 :mew2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด