เราไม่ค่อยมีเซนส์เลย เพราะเกลียดผีมากกกกกกก แต่ชอบดูหนังทริลเลอร์ไซไฟที่มีเอ็ฟเฟ็คสนุกๆอ่ะ พอดีเพิ่งไปอ่านอาจารย์ใหญ่ของคุณหมีจำศีลมา ชื่อแต่ล่ะตอนโคตรน่ากลัวเลย ไหนจะลมหายใจของศพ ผีตายโหงล้มกระดานงี้ อยากถามคุณหมีจำศีลว่าเจอคนตายบ่อยไหมคะ? แบบบทบรรยายแต่ล่ะตอนมันน่ากลัวอ่ะ เหมือนเจอคนตายบ่อยๆเลย

เหอ... เราไม่ได้มีอาชีพเป็นสัปเหร่อนะ ฮ่าๆๆๆๆ ตอนคุณ Baddest_Female ถามเราว่าเห็นคนตายบ่อยๆไหม? นี่เราคิดถึงตัวเองกำลังยกศพออกจากโลงใส่ตะแกรงแล้วเปิดประตูเมรุเผาเลย นึกว่าตัวเองเป็นสัปเหร่อ ฮ่า
เอาจริงๆคือเขียนๆไปตามสถานที่ที่ตัวเองเคยไปอยู่มา แล้วแต่ล่ะที่ที่เราไปมันจะมีตำนานเรื่องเล่าหรืออะไรทำนองนั้นเป็นสินค้าโอท็อปชิ้นสำคัญในวงสนทนาเวลาก่อกองไฟผิงไล่ยุงในตอนกลางคืน เราเลยเอาสิ่งนั้นมายำๆเขียนลงไปเวลาตัวละครในเรื่องเจอผี
แต่ถ้าเอาจริงๆเรื่องที่ถามว่าเห็นคนตายบ่อยไหม อืม... ก็ตามวัฏจักรของโลกน่ะค่ะ เห็นเป็นปกติ ฮ่า แต่ก็มีอยู่ห้าเคสที่ฝังใจเรามาจนถึงทุกวันนี้นะคะ
1.เด็กข้างบ้าน ชอบมาเล่นกับหลานกับน้อง เข้าออกบ้านเรากินข้าวอยู่ที่บ้านเรา เหมือนที่นี่เป็นบ้านหลังที่สองของเขา แต่สุดท้ายเขากลับเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวที่กำเริบแบบปุบปั่บกระทันหัน ตอนที่เสียเขาอายุประมาณ 6 ขวบ แต่ช่วงเวลากว่าเขาจะหมดลมมันทรมานมากค่ะ ทั้งเจาะคอ เจาะท้อง ใส่เครื่องพยุงชีวิตเพื่อที่จะยื้อไว้ให้ได้นานมากที่สุด ตอนน้องเขาหยุดหายใจเรายืนมองยายเขาร้องไห้อยู่ข้างเตียง ตอนนั้นเราเรียนอยู่ ม.4 พอหลังจากนั้นตกเวลาดึกๆ มักจะมีคนมาเคาะประตูหลังบ้านเรา แล้วลูกสาวป้าเราที่ชอบเล่นกับเขาจะเดินมาสะกิดเราให้ลุกขึ้นไปเปิดประตูให้หน่อย เพื่อนหนูเข้ามาไม่ได้
2.รุ่นน้อง เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน ห่างกัน 1 ปี แต่น้องเขาตัวสูงมาก ทะลุ 177 เซนต์ ตอนอายุ 14 ปี สูงที่สุดในชั้น ม.2 ตอนนั้น เล่นกีฬาทุกอย่าง ลุยงานทุกประเภท เป็นเด็กกิจกรรม แต่กลับไปจมน้ำตายอยู่ตรงอ่างเก็บน้ำอีกหมู่บ้านนึงที่อยู่ติดกัน แต่เรื่องของเรื่องมันอยู่ที่ว่าบริเวณที่น้องเขาจมน้ำเสียชีวิตมันเกือบติดชายฝั่ง ไม่ได้ลึกเลยสำหรับส่วนสูงขนาดน้องเขา สมมุติถ้าเกิดว่าน้องเขาเป็นตะคริวขาไม่มีแรงว่ายเลยจมน้ำไปมันไม่บาลานซ์กันกับตรงนั้นเลยซักนิด พวกเด็กคนอื่นๆที่เล่นด้วยกับน้องเขาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาค่อยๆจมลง หันไปอีกทีเห็นแค่หัวและหน้าผากที่โผล่พ้นน้ำ เลยรีบว่ายไปช่วยกันดึงขึ้นอยู่สองสามคน แต่สุดท้ายต้องผละออกเพราะเด็กๆเขาเตี้ยกว่าน้องคนนี้เยอะ ขาเหยียบไม่ถึงพื้น ถ้ารั้นจะยื้อต่ออาจตายหมู่ สุดท้ายน้องเขาเลยจมลงไปจนกู้ภัยมางมอีกทีก็ปรากฎว่าเสียชีวิตแล้ว แล้วจุดที่เขานอนนิ่งอยู่ในน้ำมันไม่ได้ไกลเลย อยู่ติดขอบฝั่งตรงทางขึ้นไปบนถนน เลยกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ประจำหมู่บ้านกับครอบครัวเรา เพราะก่อนเสียชีวิตหนึ่งวันเขาขับรถมาหาเราที่บ้าน แล้วพูดขึ้นโต้งๆเลยว่ามาจีบ ต่อหน้ายายกับป้าเราที่กำลังยืนรดน้ำผักรดน้ำต้นไม้อยู่ พอวันต่อมาน้องเขาเสีย ยายรีบไปหยิบสายสิญจ์จากในห้องพระมากางไว้หน้าบ้าน ลากตั้งแต่เสาหลักอีกฝั่งนึงจนไปสุดอีกฝั่งนึง เพราะบ้านเราไม่มีศาลพระภูมิ อาศัยแค่ว่าวันพระใหญ่หรือวันสำคัญของปีจะไหว้บรรพบุรุษแทน แต่ในงานศพเราก็ไปจุดธูปไหว้เขาตามปกติ
* เรื่องอ่างเก็บน้ำหมู่บ้านข้างๆเรานี่มีประเด็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะเด็กก็จม ผู้ใหญ่ก็จม รึแม้แต่คนที่จมแล้วงมขึ้นมาได้ ไม่ตาย อีกวันสองวันก็ตายอยู่ดี มีอยู่ครั้งนึงกำนันตำบลเราเคยพูดกับศาลสังกะสีเก่าๆที่ตั้งอยู่เหนืออ่างเก็บน้ำว่าจะสร้างศาลใหม่ให้ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ทำตามที่พูดเอาไว้ คนที่ดูมอเป็น (ไม่ใช่หมอผีหรือคนเข้าทรง ยายบอกกับเราว่าคนประเภทนี้แค่สื่อสารกับวิญญาณได้เฉยๆ ไม่ได้มีคาถาอาคมติดตัวแต่อย่างใด) บอกว่าเขาจะเอาคนไปอยู่ด้วยเรื่อยๆ เป็นตัวตายตัวแทนอย่างนี้ไปทุกๆปี (แต่ไม่ได้บอกไว้ว่าถ้าเกิดทำตามสัญญาสร้างศาลใหม่ให้แล้วจะหยุดทำ)
3.เพื่อนรุ่นพี่ เสียชีวิตปีนี้ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ เป็นคนที่เราสนิทด้วยมากๆเพราะเห็นกันมาตั้งแต่ยังเด็กๆ เรียนคนล่ะมหาลัย แต่พอวันว่างตรงกันจะนัดก๊วนเพื่อนสนิทคนที่เหลือขับรถจักรยานยนต์ขึ้นเขาใหญ่ ไปหัวหิน วังตะไคร้ ทุกๆปีเป็นประจำ กลุ่มเพื่อนเราจะขับบิ๊กไบค์ของพี่ที่เสียแกโดนฮอนด้าแจ๊สมุดแซงรถพ่วงตรงฝั่งเลนส์สำหรับรถจักรยานยนต์วิ่งจนโดนชนท้ายเข้าเต็มๆ บิ๊กไบค์ 4 สูบ 1,000 ซีซี แฉล่บลงข้างทางจนพลิกทับแกทั้งตัว เราที่ขับอยู่หัวขบวนก็ยังขับไปต่อเพราะทิ้งช่วงห่างกันค่อนข้างมากเนื่องจากเราปวดฉี่อยากแวะเข้าปั้มเร็วๆ จนเพื่อนอีกคนโทรเข้าเราเลยจอดรถรับโทรศัพท์ก่อนจะรีบยูเทิร์นวกกลับไป ตอนที่ไปถึงพี่เขายังหายใจแผ่วๆอยู่ รถเก๋งคู่กรณีก็ปักฝากระโปรงรถเข้ากับต้นไม้ข้างๆจนไอน้ำขึ้นฟุ้ง แต่โดยรวมคนขับไร้สติมันก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร เพื่อนผู้ชายเราอีกสี่คนเลยช่วยกันยกรถที่ทับแกขึ้นแบบทุลักทุเลเพราะมันหนักมาก แต่ไอ้คนชนมันกลับยืนตีหน้ามึนๆจนเราโมโหเดินเข้าไปต่อย ตอนนั้นทั้งเสียใจทั้งใจเสีย เรารู้อยู่แก่ใจว่าพี่เขาต้องไม่รอด เพราะตอนยกรถออกได้สำเร็จ เราเห็นตรงหน้าอกฝั่งขวาของแกยุบลงไปเหมือนข้างในซี่โครงตรงนั้นมันหัก เแล้วเลือดมันไหลย้อนขึ้นมาออกหู ออกจมูก สุดท้ายพี่เขาหมดลมอยู่ที่นั่นจริงๆ ต่อหน้าเรา ต่อหน้าเพื่อน พอกู้ภัยมา ตำรวจมา ประกันมา พวกเรายืนน้ำตาไหลกันหมด ตำรวจสอบปากคำไปร้องไห้ไป มันเป็นเหตุการณ์บัดซบที่สุดในชีวิต ยิ่งตอนจะกดเบอร์โทรศัพท์ไปบอกพ่อแม่พี่เขาว่าลูกลุงเสียแล้วนะ แทบไม่มีแรงยกมือถือขึ้นมา ชาไปหมดทั้งตัว
*พวกเรากับเพื่อนๆถึงจะขับบิ๊กไบค์แต่ก็ใช่ว่าจะโชว์พาวขับเร็วๆ ปาดหน้ากระบะ หรือขี่เกาะเรียงกันเป็นหน้ากระดานจนเต็มเลนส์วิ่งของรถยนต์ เรากับเพื่อนเจอคำวิจารณ์มามากพอเกี่ยวกับนิสัยการขับขี่แย่ๆของคนบางคนที่ขับบิ๊กไบค์เหมือนกัน เราเลยขับเลาะตามเลนส์จักรยานยนต์ธรรมดามาเรื่อยๆ ไม่มีเบิ้ลรถ ไม่มีแซงกันเองไปมาๆ เพราะนี่มันเป็นถนนที่ใช้สัญจรจริงๆไม่ใช่สนามแข่งรถ เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาหรือสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ร่วมเดินทางคนอื่นๆมันจะแย่ ใจเขาใจเรา
**ช่วงนั้นเราเพิ่งแต่งนิยายเรื่องที่สามลงเล้า ช่วงงานศพเรารีบอัพส่วนที่เคยพิมพ์ๆไว้ลงไปให้ได้อ่าน คิดว่าเสร็จงานจะมาต่อ แต่สุดท้ายมันมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล เราเลยทิ้งมันไประยะนึงจนทุกอย่างเริ่มเข้าที่จึงกลับมาเขียนต่อ
4.ลูกชายคนที่อยู่หลังบ้านผูกคอตาย วัยกลางคนแล้วนะ อายุราวๆ 38 ปี ตอนนั้นเราเรียนอยู่ ม.6 เหตุเกิดตอนเกือบถึงวันสิ้นปี บ้านเขาเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงแบบบ้านโบราณสมัยเก่า เวลาเราเดินมาซักผ้าหรือล้างจานที่หลังบ้าน เขาจะเปิดไฟบนบ้านแล้วเปิดหน้าต่างจะเห็นข้างในชัดแจ๋วเลย เพราะบ้านเราเป็นบ้านชั้นเดียว แล้วรั้วบ้านเราก็ไม่ได้สูง มองทะลุถึงใต้ถุนบ้านคนอื่นเขาได้แบบสบายๆ วันที่เขาเสียเป็นวันที่เราเข้าเมืองไปทำธุระ กลับมายายก็มาเล่าให้ฟังว่าลูกชายคนที่อยู่หลังบ้านเราเขาผูกคอตาย เราเลยเดินไปดูศพพร้อมๆกับกู้ภัยมาปลดเชือกลงพอดี ส่วนสภาพ... อืม คนมันดิ้นจะขาดอากาศหายใจตาเลยเหลือกขึ้นจนสุด ลิ้นจุปาก รอบคอมีรอยช้ำเลือดสีม่วง เพิ่งเคยเห็นคนตายโหงแบบใกล้ๆในลักษณะนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต เตือนใจได้ดีเลยทีเดียว
*หลังจากสิ้นสุดงานศพ พ่อแม่เขาก็เปิดไฟไว้ด้านบนแล้วพาตัวเองลงมานอนใต้ถุนบ้านนานเกือบสองเดือน แถมเปิดหน้าต่างบานนั้นไว้ด้วย เราล้างจานตอนกลางคืนทีหรือเอาเสื้อผ้าไปซักตอนใกล้สว่างทีก็ต้องเหลียวหลังจ้องแบบลุ้นๆทุกรอบ
5.คุณตายที่เลี้ยงเรามาเสียชีวิต เป็นโรคมะเร็งในสมองค่ะ อายุแกตอนนั้นประมาณ 64 ปี เสียตอนเราเรียนอยู่ ป.4 เริ่มแรกอาการแกเริ่มเหม่อลอย ขับรถไปในที่ไกลๆโดยที่ตัวเองไม่รู้สึกตัว เมื่อก่อนตาเราสอนเราให้ขับรถมอไซต์ตั้งแต่เรียนอยู่ ป.2 วิธีการสอนของแกคือให้ค่อยๆกำแฮนด์ทั้งสองข้างไปทีล่ะนิ้ว จนครบห้านิ้วตอน ป.3 แกเลยปล่อยให้บิดเอ็งแต่แกจะเป็นคนซ้อนอยู่ตลอด ป.3 เทอมสองกำลังขาเราพอสตาร์ทรถเองได้แกเลยปล่อยให้หัดขับเอ็งอยู่หน้าบ้าน สอนให้พยุงรถเวลาจะเลี้ยวเข้าโค้ง จนเราพยุงตัวเองได้สำเร็จหลังจากล้มๆไปได้สามสี่เที่ยวตอนป.4 หลังจากนั้นมาตาก็เริ่มแปลกไป จากที่ไม่กินเหล้ากลับชอบไปสังสรรกับเพื่อนฝูง กว่าจะถึงบ้านก็ต้องให้เราขี่มอไซต์ไปรับแบบบังคับให้กลับบ้าน ไม่งั้นเมายาว เป็นอยู่อย่างนั้นอาทิตย์นึง จนแกทรุดลงจริงๆต้องเข้าโรงพยาบาล ป้าเราตัดสินใจส่งตาเข้าโรงบาลเอกชนทันที หมอเอ็กซเรย์สมองแล้วพบเนื้องอก เขาหันมาถามป้าว่าจะผ่าไหม โอกาสรอด 50-50 ถ้าตรวจแล้วเป็นเนื้องอกธรรมดาก็ต้องระวังภาวะแทรกซ้อนเพราะตามีโรคความดันเป็นโรคประจำตัว แต่ถ้าเป็นเนื้อร้ายที่เรียกว่ามะเร็ง... ก็ต้องรอดูว่าเป็นระยะไหน สุดท้ายก็แจ็คพ็อตแตก ตาเราเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เพราะการผ่าสมองทำให้ปากของตาเราบิดผิดรูป เป็นช่วงที่ทรมานมากสำหรับเรา เราเห็นความเป็นไปทุกอย่างจากอาการของโรคนี้ หลังจากที่ยื้อกันจนสุดชีวิตหมดเงินไปหลายแสน ยายเราตัดสินใจถอดเครื่องช่วยหายใจออกแล้วพาตากลับมานอนที่บ้าน สามวันสุดท้ายก่อนตาเสียเราเรียนแทบไม่รู้เรื่อง ไปโรงเรียนเหมือนคนไม่มีสติ จนวันที่ตาจากไปเราตัดสินใจหยุดเรียนแล้วเดินกลับบ้าน พอมาถึงเห็นทุกคนนั่งล้อมรอบตา ตาหายใจแผ่วๆจนเราเดินเข้าไปหาแล้วคุกเข่าจับมือแกก่อนจะกราบลงตรงอก แกหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่อยู่สามครั้งแล้วจากไป เป็นภาพที่ติดตาเรามาจนถึงทุกวันนี้
*ครอบครัวเรามีประวัติเป็นมะเร็งอยู่สามคน คนแรกเป็นลุงเรา เสียชีวิตเพราะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง คนที่สองเป็นตาเรา เสียชีวิตจากมะเร็งในสมอง คนที่สามเป็นน้องสาวตา เสียชีวิตจากมะเร็งในตับ
**ตลกร้ายของชีวิตคือปู่เราที่ตอนนี้แกอายุร้อยปี เป็นเจ้าภาพในงานศพหลานและลูกของตัวเองทั้งสามคน ในแต่ล่ะครั้งที่ลูกหลานล้มป่วยแกมาอยู่เฝ้าคอยดูแลเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
เรากลัวความตายมากกว่ากลัวผีอีกค่ะ และเราไม่ได้กลัวว่าความตายมันจะเกิดขึ้นกับเรานะ แต่เรากลัวว่ามันจะฉุดคนที่เรารักให้หายไปจากชีวิตของเรามากกว่า
ส่วนเรื่องผีจริงๆแล้วเนี่ยเราไม่เคยเห็นเป็นตัวเป็นตนเลยนะ คือไม่เคยเห็นแบบมีเนื้อหนัง มีหน้าตา อะไรทำนองนี้ คนเวลาตาย สิ่งที่หลุดไปเราจะชอบคิดว่ามันคือพลังงานอีกรูปแบบนึงที่หมดอายุขัยจากสังขารทางโลกไปแล้ว เลยไม่ค่อยเอามันไปรวมกับคำว่าผีเท่าไหร่ แต่เรียกไปเฉยๆเพราะติดปาก
ครั้งแรกที่เราเจอวิญญาณจะๆคือตอนป.3 ตอนนั้นมือถือโนเกีย 3310 กำลังฮิตมากสำหรับที่ที่เราอยู่ จำได้ว่าไปขโมยโทรศัพท์ของตามาโทรหาเพื่อนในห้องเรียน เดินไปคุยไปริมถนนตรงหน้าบ้าน เวลาน่าจะสักประมาณสามทุ่มกว่า แต่สำหรับหมู่บ้านชนบทที่ยังไม่มีไฟฟ้าติดข้างทางถือว่าเปลี่ยวสุดๆ ถ้าบ้านไหนไม่เปิดไฟหน้าบ้านถนนจะมืดมาก เราก็เพลินน่ะนะ เดินคุยไปเตะก้อนหินข้างทางไปเรื่อยๆ คิดในใจว่าจะเดินไปดูร้านค้าบ้านเพื่อนว่ายังเปิดอยู่ไหม เพราะจะไปซื้อบัตรเติมเงินมากลบเกลื่อนหลักฐานเงินในโทรศัพท์ที่หมดไปกับการโทรเล่น แล้วทีนี้ตอนที่เกือบใกล้จะถึงร้านค้า เยื้้องไปข้างหน้าจากตรงนั้นอีกจะเป็นเสาหลักกิโลเมตรตั้งอยู่ แล้วพอดีบ้านหลังนึงที่อยู่ติดถนนฝั่งตรงข้ามเขาไม่ได้เปิดไฟหน้าบ้าน มีแค่บ้านร้านค้าเพื่อนเราที่เปิดไฟข้างหน้า เลยพอมองเห็นสลัวๆ ไอ้เรากำลังคุยโม้ในโทรศัพท์พร้อมกับก้มหน้าเตะก้อนดินอยู่เพลินๆ เงยหน้าขึ้นมาดูทางอีกที เอ้า เกือบจะถึงร้านค้าแล้วนี่หว่า
แต่
พอเราเหลือบตาไปเห็นตรงเสาหลักกิโล
เป็นครั้งแรกที่เรารู้จักคำว่าช็อคจนหัวใจเกือบหยุดเต้น
เงาสีดำเป็นลูกคลื่นกำลังเคลื่อนไหวแล้วเดินตรงมา รูปร่างเป็นผู้ชายกำลังจูงมือเด็กที่เป็นเงาสีดำเหมือนกัน
คือตอนนั้นจำได้เลยว่าตะโกนคำว่าผีออกมาเต็มปากเต็มคำแล้ววิ่งไปเขย่าประตูร้านค้าแบบเอาเป็นเอาตาย ปากเปิกหน้าเน้อนี่สั่นไปหมด เราทั้งเขย่าทั้งตะโกนขอความช่วยเหลือเกือบสองนาทีก็ไม่มีใครลงมาเปิดประตูให้ ขวัญเลยยิ่งกระเจิดกระเจิงไปคนล่ะทิศล่ะทาง สุดท้ายเลยตัดสินใจวิ่งแบบไม่คิดชีวิตกลับบ้าน แทบไม่อยากเหลียวหลังกลับไปดูด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นมันวิ่งตามเรามารึเปล่า พอถึงบ้านขาสั่นจนล้มลงไปกองอยู่หน้าประตู ล่ะล่ำล่ะลักเล่าให้ตาฟังว่าเจอผีมา กว่าจะตั้งสติพูดได้เล่นเอาเกือบครึ่งชั่วโมง เป็นโมเม๊นต์สยองขวัญที่สุดในชีวิตสำหรับเรา
*เราจ้องมันนานเหมือนกันนะ คือตอนแรกนึกว่าคนในหมู่บ้านเดินมาซื้อเหล้าขาวไปกินที่สวนยาง เลยหยุดยืนรอให้เดินมาใกล้แสงไฟจะได้เห็นหน้าชัดๆแล้วจะได้ทักถูกไหว้ถูกว่าเป็นพี่ป้าน้าอาตรงบ้านหลังไหน ปรากฎว่าไม่ใช่ โกยแน่บ
**เงาที่เราเห็นมันเป็นรูปเป็นร่าง เหมือนเงาคนเวลาไปยืนกลางแดด แต่มันเป็นคลื่นๆหยักๆแนวขวาง แล้วตรงขอบมันจะเป็นละอองแสงสีสว่างๆเล็กน้อย แต่ที่ทำให้เราหลอนจนต้องโกยหน้าตั้งก็ตรงที่มันเดินเนิบๆเข้ามาหาเรานี่แหละ แถมตอนนั้นยังเด็กด้วย ภูมิต้านทางเรื่องนี้ยังไม่แข็งแรง =_=
***ตอนที่เราวิ่งหนีมาเขย่าประตูร้านค้า เราเพิ่งระลึกได้ว่าตรงเสาหลักกิโลนั่นมีคนขับรถมาชนแล้วเสียชีวิตบ่อย ตั้งแต่เราจำความได้ถ้าได้ยินเสียงตึ้ม!ดังๆนี่คือต้องมีคนเอารถโหม่งเสาหลักกิโลเข้าให้แล้วแน่ๆ เตรียมซื้อโลงได้เลยเพราะส่วนมากร้อยล่ะเก้าสิบห้าจะตายคาที่เนื่องจากเหยียบมาเร็ว ทีนี้พอนึกขึ้นได้ตอนนั้นยิ่งหลอนเข้าไปอีก โคตรทรมาน
อีกเรื่องเป็นตอนที่เราบวชชีพราหมณ์ช่วงปิดเทอมใหญ่ตอนม.2 ประมาณ 2 อาทิตย์ ที่วัดป่าแห่งหนึ่งแถวแนวตะเข็บชายแดน เนื่องจากโดนท่านแม่ลงทัณฑ์บนเพราะก่อนหน้านั้นหนีไปแข่งรถแล้วรถแหกโค้ง เจ็บหัวเข่าจนเดินไม่ได้เกือบสองอาทิตย์ ลาขาดที่โรงเรียนจนใบปพ.6มีเครื่องหมายสีแดงขีดเป็นทางยาวแม้จะส่งใบรับรองแพทย์ยืนยันไปแล้วก็ตาม ช่วงนั้นยายเราก็บวชด้วย แต่เราโดนป้ากับแม่กีดกันห้ามอยู่วัดเดียวกันกับยายเพราะกลัวจะไปป่วนสังขารคนแก่ให้ทุกข์มากกว่าสุขเลยโดนอัปเปหิมาอีกวัดนึง แต่เราทำตัวเป็นศรีธนญชัย เวลาพระท่านสวดให้อุบาสิการับศีลแปดเราเลยแอบยืนกวาดใบไม้อยู่ลานวัดด้านข้าง พอท่านเริ่มสวดให้ศีลห้ากับสต๊าฟพี่เลี้ยงในโครงการเราเลยทิ้งไม้กวาดแล้วไปนั่งพนมมือรับแค่ศีลห้า ตกเย็นซดมาม่าประทังชีวิต ทีนี้เนื่องจากเป็นวัดป่า ห่างไกลความเจริญ เลยไม่มีเมรุเผาศพ เขาก็จะเอาศพทั้งคนแก่ คนหนุ่ม ตายโหง หรือตายตามอายุขัยขึ้นไปไหว้ตรงเชิงตระแกงสำหรับเผาศพ
แล้วไอ้สถานที่นั้นมันกลับอยู่ถัดไปจากห้องน้ำและสุขาที่สร้างไว้ให้ทำธุระส่วนตัวแค่สิบกว่าเมตร
สิบกว่าเมตรที่มาพร้อมๆกับกลิ่นเนื้อไหม้ฉุนกึกขึ้นจมูกเวลาลมพัดมาทางอาคารเอนกประสงค์ที่เรากับแม่ชีคนอื่นๆพักอยู่
แล้วอีกฝั่งนึงของอาคารก็มีตุ๊กตาของเล่นผู้หญิงเก่าๆอันนึงฝังอยู่ในดิน และสามวันถัดมาแม่ชีบางคนที่เจออะไรแปลกๆแหวกมุ้งเข้าไปเซย์ไฮก็ขอให้หลวงพ่อไปสร้างศาลพระภูมิให้
แถมห้องปิดตายห้องนึงในวัดที่อยู่หลังพระประธานและแท่นอาสนะที่หลวงพี่เอาไว้ใช้นั่งเทศน์ทำวัดเช้าวัดเย็น ชาวบ้านแถวนั้นดันพูดว่าเจ้าอาวาสคนเก่าที่เป็นพระเขมรเดินธุดงค์ขึ้นมาฝั่งไทย ขังหรือเลี้ยงอะไรสักอย่างไว้ในห้องนั้น จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าเปิดแม่กุญแจใหญ่ล็อคสามสี่ชั้นที่อยู่ตรงห้องนั้นสักที แม้ท่านจะทิ้งลูกกุญแจไว้ให้ดูต่างหน้าก็ตาม
ชีวิตเราช่วงนั้นมีแต่คำว่างานงอก
อนึ่ง เวลาเราอยากกินต้มมาม่าตอนดึกๆหรือไมโลโอวัลตินสักแก้ว เราจะต้องเดินผ่านห้องนั้นในระยะประชิด
สอง เราชอบอาบน้ำตอนเขานั่งทำวัดเช้ากันเพราะตื่นสาย แต่ถึงจะตื่นสาย ตอนนั้นมันก็ตีห้า ฟ้ายังมืดตึ๊บ เราต้องหอบสังขารเปื่อยๆไปอาบน้ำตรงที่อยู่ใกล้ๆกับเชิงตะกอนเผาศพเพื่อหลบพระพี่เลี้ยงที่เดินมาตรวจมุ้งหาคนตื่นสาย
สาม เรามักจะแอบหนีการนั่งพับเพียบสวดมนต์ทำวัดเย็นมานั่งซักผ้าอยู่อีกฝั่งหนึ่งของอาคารที่ใช้นอน ซึ่งเหนือเนินดินตรงที่มีไม้ไผ่พาดไว้สำหรับซักผ้า จะมีศาลที่หลวงพ่อเพิ่งตั้งให้ใหม่สดๆร้อนๆพร้อมกับตุ๊กตาผู้หญิงหน้าเปื้อนดินมอมแมมวางอยู่ข้างล่าง
อ่า... แต่ชีวิตเราก็อยู่รอดปลอดภัยดีนะ
จนถึงสามวันสุดท้าย
เนื่องจากเรานอนไม่เป็นที่เป็นทาง มุดมุ้งคนนั้นทีคนนี้ทีเพราะว่าช่วงนั้นมีรุ่นพี่เราที่ห่างกันไม่มากมาบวชอยู่ประมาณนึง เลยสนิทกันเร็ว สามวันสุดท้ายทีเหลือเราหอบผ้าห่มไปนอนตรงมุ้งพี่สาวที่รู้จักกันได้อาทิตย์กว่า แล้วบริเวณที่แกนอนมันอยู่ตรงทางเดินเข้า-ออก แถมยังอยู่เยื้องจากห้องน้ำมาไม่กี่เมตร เราที่เพิ่งแอบไปซัดไมโลมาสองแก้วกลัวปวดฉี่กลางดึกเดี๋ยวเข้าออกลำบากเลยตัดสินใจไปนอนที่นั่น
ทีนี้มันเริ่มมีประเด็นเล็กๆในมุ้ง
เพราะวันนั้นมันหนาวเกินไป
หนาวจนผิดปกติ
มีรุ่นพี่ หรือแม้แต่รุ่นคุณยายคุณป้าก็บ่นว่าวันนี้มันหนาวแปลกๆตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว
แต่เผอิญเดือนนี้เดือนเมษา
แถมท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆ
แต่พอเอาปฏิทินขึ้นมากางดูอีกที
อ้อ
วันนี้วันพระค่ะ
แถมเป็นวันพระเดือนดับ
เราจำได้ดีว่าคืนนั้นหนาวมาก แล้วก็ปวดฉี่มาก นอนๆห่มผ้าอยู่สะดุ้งตื่นเพราะปวด เลิกผ้านวมออก ขยับไปรูดซิบมุ้งขึ้น ก้าวขาออกมา กำลังจะเดินไปสวมรองเท้า
เงาสีดำที่เป็นรูปครึ่งตัวคนค่อยๆเลื่อนผ่านหน้าเราไปแบบช้าๆ มุ่งหน้าไปทางศาลาวัดที่ใช้สวดมนต์
เราหยุดกึก เดินกลับเข้าไปเปิดมุ้ง รื้อเอาไฟฉายตรงหัวนอน กะว่าจะส่องตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะในศาลามันมืด หลวงพี่ไม่ได้เปิดไฟ
แต่พอหันมาอีกทีเงาหายไปแล้ว
เราเลยเลิกสนใจเดินเข้าห้องน้ำไปฉี่แทน แล้วกลับมานอนต่อ
นี่เป็นสองครั้งในชีวิตที่เรามั่นใจว่าสิ่งที่เห็นคือวิญญาณจริงๆ ไม่ใช่แค่หรี่ตามอง หรือเห็นตอนไร้สติแล้วไปสร้างมโนภาพเอาในความคิด
หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยเห็นอะไรทำนองนั้นอีกจนถึงทุกวันนี้ค่ะ ^_^