ตอนที่ 25
เสาร์ที่สามของการทำงาน เต็งหนึ่งสอบเสร็จแล้วแต่ก็เข้าสู่ช่วงแข่งฟอมูล่าทั่วประเทศอย่างเต็มตัว ก็ต้องไปพัฒนาวางระบบอยู่โยงอยู่มหาลัยทุกวัน
เป็นเอกถือกระเป๋าหนังใส่เอกสารสีดำใบใหม่ราคาเกือบแสนเข้างานตรงเวลาเป๊ะ 8.30 น. ยืนรอลิฟต์ร่วมกับพนักงานบริษัททุกฝ่าย
บ้างก็หาว..
บ้างก็คุยโทรศัพท์เรื่องงาน..
บ้างก็เหมือนคนเมาค้าง..
“มอนิ่ง”
เสียงเรียบปนแหบดังขึ้นจากข้างหลัง
คุณนันทิชา…
“สวัสดีครับ”
หันไปยกมือไหว้
“หึหึ…ไหว้สวยดีนี่”
หายากที่คนสมัยนี้จะไหว้ซะถูกต้องเป๊ะเหมือนเด็กนี่ แต่หน้านิ่งๆนี่มันขัดหูขัดตาจริง
“…”
“มองอะไร”
“ผม..”
“ลิฟต์มาแล้ว จะพูดทีก็ยากเย็น เสียเวลา! ไปหัดพูดให้ได้ก่อนไป”
เดินผ่านเข้าลิฟต์ คนโดนว่ากระพริบตาปริบๆก่อนจะตามเข้าไปยืนข้างกัน
“สอน”
คำสั้นๆกับตาสวยนิ่งที่จ้องมา
คุณชากลอกตาก่อนจะลากเด็กพูดไม่เป็นออกมาจากลิฟต์ด้วยกันทันทีที่ถึงชั้นสี่แผนกจัดซื้อ
“เอาล่ะ ฟังนะ”
“…”
“ฉันเบื่อที่จะต้องคุยกับนายมาก คุยกันแค่สองครั้งยังเบื่อ รู้มั้ยว่าการทำให้คนที่คุยด้วยรู้สึกเบื่อก็ถือเป็นความล้มเหลวทางการสื่อสาร”
กระพริบตาปริบ…
“ถ้าอยากจะคุย ไปพูดให้เต็มประโยค มีประธาน มีกริยา มีกรรม! พูดไทยไม่ได้ก็ภาษาอังกฤษ มาเป็นคำโดดๆใครจะเข้าใจ มันน่ารำคาญ”
บ่นเสร็จก็เดินหันหลังเข้าแผนก หวังเหลือเกินว่าที่สอนไปจะเข้าหูไอ้เด็กหน้านิ่ง…
เป็นเอกเม้มปากเล็กน้อย…
คิดไม่ออกว่าต้องทำยังไง
ทำยังไงก็ไม่เข้าใจ…พูดไม่รู้เรื่องตรงไหน
มือเรียวมองตามแผ่นหลังกว้างก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาเต็งหนึ่ง
“โหลเอกว่าไง ถึงที่ทำงานยัง”
“หนึ่ง”
“ว่า?”
“พูดไม่รู้เรื่อง”
“ห้ะ กูหรอ?”
“กู”
“อ้อ…โดนว่าหรอ?”
เต็งหนึ่งคิดไว้แล้วว่าสักวันคงจะมีคนด่ามันเรื่องนี้เหมือนกัน
“อื้อ”
“งั้น…เย็นนี้หลังเลิกงานจะพาไปฝึกพูด โอเค๊?”
“ได้หรอ”
“เชื่อกู กูมีอาจารย์พิเศษ พูดมากสิบล้านเท่า”
ไม่เคยไม่เชื่อเต็งหนึ่ง….ได้ก็ได้
“ทุกคนฟังทางนี้ อีกสองอาทิตย์บริษัทจะจัดงานเลี้ยงพนักงานประจำปี ซึ่งเมื่อวานไปประชุมมาแล้วตีมงานปีนี้คือเทศกาล”
แต่ละคนทำหน้าเซ็งกันเป็นแถว…แผนกนี้ไม่มีคำว่าผ่อนคลายแถมมองว่าเรื่องพวกนี้ไร้สาระ
“แผนกบริหารธุรกิจเราได้ตีมฮาโลวีน ขอให้ทุกคนเตรียมตัวด้วยถ้าแผนกเราชนะก็จะได้วันพักร้อนเพิ่มสิบห้าวันกันทุกคนในปีหน้า คิดเรื่องการแสดงด้วยล่ะ เราจะประชุมกันเย็นวันอังคารเรื่องนี้”
หัวหน้าแผนกพูดจบก็กลับเข้าห้องกระจก…
ไอเดียของบริษัทที่จะชักจูงผนักงานให้เข้าร่วมกิจกรรมกันอย่างเต็มที่
หลังจากฟังประกาศก็แยกย้ายไปทำงานของตัวเองกันต่อรวมถึงเป็นเอกที่ถูกใช้มาจัดห้องเอกสาร จัดไปก็อ่านไป
ส่วนมากก็เป็นจำพวกสรุปการประชุมและพวกสัญญาที่ทำกับห้างร้าน มีของเลอบูเป็นหนึ่งในนั้นด้วย
ตาสวยมองไปที่ห้องด้านในห้องเอกสารอีกชั้นหนึ่งมีป้ายเล็กๆติดว่าเอกสารทางการเงิน…ทำไมต้องแยกห้อง?
สงสัยจะแบ่งชนิดเอกสาร…แปลกที่ต้องถึงกับสร้างห้องใหม่ทั้งๆที่แยกชั้นก็ได้
ขายาวเดินเข้าไปในห้องที่มีชั้นสูงๆไม่ต่างกัน สันแฟ้มเอกสารมีทั้งชื่อบัญชีรวมถึงปีจัดไว้เป็นระเบียบ
เป็นเอกนั่งลงข้างตู้เอกสารของฝ่ายการเงินแล้วหยิบบัญชีย้อนหลังมาอ่าน อยากรู้ว่าบริษัทแต่ละวันจ่ายค่าอะไรบ้างแล้วมีรายรับจากไหนบ้าง
ไม่มีใครสังเกตว่าเป็นเอกจะหายไปนานแค่ไหนเพราะมองว่าเป็นเด็กเส้น…
เด็กเส้นที่บังเอิญเข้าไปยุ่งกับการเงินบริษัท…ห้องเอกสารชั้นในที่ควรจะล็อคแต่ใครบางคนที่มีหน้าที่ตรงนี้กลับเปิดทิ้งไว้
เวลาล่วงเลยไปจนเกือบเที่ยง…คนไม่เก่งเลขอ่านไปได้ทีละนิด ช้าๆ เพราะยังไม่ค่อยเข้าใจหลายอย่างจึงหยิบแฟ้มติดมือกลับมาด้วย
คงไม่ใช่เอกสารสำคัญใช้งานบ่อยๆเพราะนี่ก็ย้อนหลังไปเกือบสองปี
…เย็นนี้เอาตรงที่ไม่เข้าใจไปถามหนึ่งดีกว่า
“สวัสดีเอก”
“สวัสดี”
คนที่เต็งหนึ่งพามาสอนพูด…คือสก๊อต
“พูดไม่เก่งหรอ ไอ้หนึ่งบอก”
พยักหน้า
“ไม่ต้องเครียดหรอก หนึ่งแม่งก็พูดจาปากหมา”
ผั้วะ
“ให้สอนมันไม่ใช่เผากู ไอ้เหี้ย”
“ไสหัวไปได้ละกูจะสอนไอ้เอก สัสตบมาได้หัวคนนะแสส”
“แปปดิ ขอสวีทก่อน คิดถึง”
สก๊อตทำหน้าเอือม…เดินหนีไปที่ระเบียงเพราะเพื่อนเริ่มกลายเป็นหมากระดิกหางกระโจนฟัดเป็นเอกที่ยังทำหน้านิ่ง…
“คิดถึงจัง”
กระซิบข้างใบหูนิ่มก่อนจะหอมแก้มนวนหลายที
“อื้อ”
“อย่าไปยอมให้ก๊อตนะถ้ามันจะลวนลาม”
“เพ้อเจ้อ”
“หึหึ อย่าลืมกินข้าวให้เป็นเวลาด้วยเข้าใจปะ? กูไม่อยู่อย่าเหงานะ”
“เหงา”
แค่คิดว่าจะไม่อยู่ก็เหงาแล้ว
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับ คืนนี้คงนอนมหาลัย…เฮ้อ…ไม่ได้นอนกอดมึงกี่วันแล้ววะ”
ดึงมากอดแน่น…คิดถึง คิดถึงมาก
“รอ”
จะรอ
“อีกไม่กี่วัน…เราไปเที่ยวกันนะ”
พยักหน้ากลับบ่ากว้าง
“จูบหน่อย”
ทำหน้าอ้อนคนหน้านิ่งที่แก้มซับซีเรื่อจางๆ…แต่สุดท้ายก็พยักหน้าช้าๆ
“สก๊อตมึงห้ามทำเอกเสียคนนะโว้ย”
“เออน่า กูซะอย่าง รีบไปเลยสัสเดี๋ยวเชี่ยแมทก็บ่น”
“เออออ กูไปละ”
โบกมือให้เพื่อนแล้วเดินออกจากห้องไป
“เริ่มเลยนะ…มึงมาเจอกูอ่ะถูกคนแล้วเอก พ่อกูเป็นท่านทูตใหญ่ม้ากกกกกกกกกกกกกกกกกก กูจะแนะนำการพูดแบบชาญฉลาดให้
รับรองมึงเจ๋ง เพราะกูจำทริคมาจากพ่อ พ่อกูเก่งมากเพราะถ้าไม่เก่งป่านนี้ประเทศไทยไม่คบค้าสมาคมกับประเทศกูแล้วล่ะ”
“อื้อ”
“ขั้นแรก….ความจริงที่โกหก”
คิ้วขมวด
“งงอ่ะดิ … ถ้าเราอยากอยู่ในสังคมเราต้องหัดโกหกบ้างเว่ย เช่นมึงเจอผู้หญิงหน้าเหี้ยมากถ้ามึงทักเค้าว่า สวัสดีคุณหน้าเหี้ยจัง พังครับพัง เค้าด่ามึงยันโคตรรากเหง้า ถ้าอยากสนิทสนมก็ต้องพูดอะไรที่คนฟังเขาอยากฟัง แต่…ต้องไม่เวอร์เกินไป อยากเค้าหน้าไม่สวยก็ต้องรู้ตัวเองอยู่แล้วแต่เราก็แค่ทัก สวัสดีครับคุณหน้าตาสดใสจัง เห็นปะ? เค้าก็โอเคแล้ว”
ฟังเลคเชอร์จากลูกชายนักการทูตไปเรื่อยๆจนครบสองชั่วโมง
“เอาล่ะ คืนวันเสาร์พอดีเลย เดี๋ยวพาไปลองวิชา! จำไว้แค่ว่าพูดยาวๆ พูดสิ่งที่คิด ห้ามคิดอย่างเดียว พอคิดอย่างเดียวก็ไม่มีคนฟังมึงรู้
เรื่องนอกจากไอ้หนึ่งโอเคนะ”
สองคน…กับรถเบนซ์ทะเบียนสถานทูตพากันไปทองหล่อ…
ไปลองวิชา…ที่ผับ
โจทย์แรกของสก๊อต…จีบสาว
“ผู้หญิงเที่ยวกลางคืนเนี่ยเป็นหนูทดลองที่ดี มึงพูดถูกใจเขาก็ยิ้ม มึงพูดไม่ถูกใจเขาก็เมิน พวกนี้อ่ะกูชอบไม่ต้องมานั่งแอ๊บเก็บอาการ ผู้หญิงไทยส่วนมากชอบขี้อาย ไม่รู้อายอะไร ฝรั่งไม่เข้าใจ”
บ่นเสร็จก็พาผู้ชายในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำกางเกงขาเดฟสีขาวและรองเท้าหนังสีน้ำตาลเดินตามเข้าผับที่รับเฉพาะวีไอพีที่จ่ายค่าสมาชิกต่อปี
สูงลิบลิ่ว
“สวัสดีครับขอตรวจบัตรด้วยครับ”
สก๊อตหยิบบัตรสมาชิกสีเงินเมทัลลิคส่งให้พนักงาน สแกนข้อมูลเรียบร้อยก็เดินเข้าสู่สถานอโคจร…
เป็นเอกกระพริบตาปริบๆเพราะไม่เคยผ่านเข้ามาในโลกแบบนี้…เสียงดัง…และมีแต่คนเบียดกันไปมา
“ไปเคาน์เตอร์แล้วกัน”
“รับอะไรดีครับ?”
บาร์เทนเดอร์ยิ้มต้อนรับ
“เอาอะไรเบาๆก่อนแล้วกันครับ”
คอกเทลสีสวยสองแก้ววางลงตรงหน้า ก่อนสก๊อตจะเริ่มเลคเชอร์อีกครั้ง
“เอาล่ะ…ผู้หญิงคนนั้นเลย มองมึงหลายทีละ กระโปรงสั้นสีแดงที่นั่งกับเพื่อนโต๊ะนั้น เข้าไปทักเลย”
ลูกศิษย์ป้ายแดงสูดหายใจเข้าปอดก่อนจะเดินหน้านิ่งไปที่โต๊ะดังกล่าว
“สวัสดีครับ”
“คิก…สวัสดีค่ะ”
ยิ้มกริ่มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร…ดวงตาใต้เครื่องสำอางแค่แพรวพราวระยับสบกับตาสวยที่นิ่งสนิท
“คุณ…ขาใหญ่จัง”
เพี้ยะ!
สก๊อตกุมขมับ…เมื่อคนหน้าหล่อมีรอยแดงเถือกข้างแก้มเดินกลับมาที่โต๊ะ
“ไม่เป็นไรนะมึง…”
รีบสั่งเหล้าแรงๆดับอารมณ์ขุ่นมัวให้คนตัวซีด
“อ่ะๆย้อมใจๆ แล้วไปคุยท่าไหนวะเนี่ย”
“ขาใหญ่…”
“ห้ะ”
“ชมเขา”
ตึง!
หัวฝรั่งกระแทกเคาน์เตอร์
“ผู้หญิงเขาไม่ชอบฟังเรื่องขาใหญ่!”
“ไม่ดีตรงไหน?”
ยังคิดว่าอยากขาใหญ่กว่านี้…เพราะดูผอมไป
“เฮ้อ….เอก…เรื่องขานี่ผู้หญิงเขาเซนซ์ซิทีฟสุดพลัง เอาน่ะเดี๋ยวลองดูโต๊ะอื่น คราวนี้ไม่ต้องชมรูปร่างหน้าตาอะไรแล้วนะ เดี๋ยวได้มาอีกรอยกูไม่รู้จะไปตอบคำถามไอ้หนึ่งยังไง โวะ!”
โต๊ะอื่นไม่ตบ…แต่ไล่มาเลย
นั่งกินข้าวต้มรอบดึกมองคนหน้ายังมีรอยนิ้วแล้วก็ละเหี่ยใจ งานยาก ยากมาก ให้มันพูดเต็มประโยคยังไม่ได้ ไปพูดก็พูดไม่เข้าหู คุยกับคนไม่รู้เรื่องอีก
คุยกับคนไม่ได้….ไปคุยกับหมากับแมวก่อนแล้วกัน!
“เอก ลองหาแมวหาหมามาเลี้ยงดิ ฝึกคุยกับพวกมันไปก่อน อาจจะเวิร์คดีกว่านั่งเฉยๆ”
“กับหนึ่ง”
“ถ้าคุยกับไอ้หนึ่งมันเวิร์ค มึงพูดเก่งไปนานละ ลองหาหมาหาแมวดูนะ”
พยักหน้ารับ… หมาหรือแมวดี?
ค่อยถามหนึ่ง
“มึงอยากได้ก็ซื้อ เดินสามรอบแล้วนะมันก็เหมือนเดิมแหละ”
“หนึ่ง”
เป็นเอกเรียกเบาๆขณะสบตากับลูกหมาตัวน้อยในกรง
“เออ”
“เบื่อหรอ”
คนถูกถามชะงักเพราะไม่รู้ไอ้คนถามนี่ถามแบบไหน ถามว่าเบื่อที่มาเดิน หรือ เบื่อมัน.. แล้วกูจะตอบยังไงวะเนี่ย
“ไม่เบื่อเว่ย แต่ร้อนแล้วไม่เห็นมึงซื้อสักที ให้กูช่วยเลือกมั้ย”
เป็นเอกละสายตาจากลูกหมาตัวน้อยหันมาสบตาคนหน้าดุในที่สุด
“….เอาตัวไหน?”
ตาคมมองไปทั้งร้าน ซึ่งร้านนี้ก็มีลูกหมาตัวเล็กๆเยอะจริงๆ แต่ทั้งเขาทั้งมันไม่เคยเลี้ยงมาก่อนก็ต้องเอาที่ดูจะตายยากๆ อดทน อึดถึกหน่อย … จนกระทั่งไปเจอหมาตัวอ้วนหน้าย่นตัวย่นนั่งพิงกรงหันมาสบตา
“เฮ้ยเอก ตัวนั้นหน้าตลกว่ะ มึงเอาตัวนั้นดิ”
บลูด๊อกตัวอ้วนนั่งลิ้นห้อยอยู่ในกรง
“ชอบหรอ?”
“เออ หน้าแม่งเบื่อโลกดีว่ะ ดูๆแม่งหาวด้วย ก๊ากลิ้นโคตรยาว”
“เอาตัวนี้”
สุดท้ายบลูด๊อกตัวอ้วนก็ย้ายจากกรงมาอยู่ในอ้อมแขนของเต็งหนึ่ง ส่วนคนซื้อก็เดินเลือกปลอกคออุปกรณ์น้องหมา ก็ได้มาครบทั้งชามข้าวและเบาะนอน
“มึงจะดูไหวมั้ยเอก?”
เพราะต้องบิดเวสป้ากลับ กลัวมันทำหมาตกถนนตาย ของอุปกณ์อีกเยอะแยะด้วย
“…”
ไม่ตอบแต่มองด้วยความไม่แน่ใจ
“งั้นมาขับกูจัดการไอ้หมานี่เอง นั่งกั้นไว้ระหว่างมึงกับกูมันคงไม่ตก”
“อือ”
…เวสป้าสีสนิม
…คนขับตัวซีดหน้าตาย..
…คนซ้อนตัวดำถือของหนักแทบตาย..
…หมาหนึ่งตัวที่เกาะเบาะสุดชีวิตเพราะกลัวตาย…
“หนึ่ง!!!”
เสียงตะโกนดังลั่นจากชั้นล่างเรียกให้คนที่กำลังจะอาบน้ำรีบวิ่งลงไปทันที ไอ้เอกไม่เคยเรียกดังขนาดนี้มาก่อนนอกจากเวลามีเรื่องอะไร
“เกิดไรขึ้น!”
“…”
หน้าที่เคยนิ่งเสมอ เบิกตากว้างเล็กน้อยกัดปากแน่นชี้ไปที่…ไอ้หมาอ้วน…
“ไมวะ ?”
“มันฉี่”
ตาคมเบิกกว้างมองข้างๆตัวหมาที่มีรอยน้ำเล็กๆเป็นวง
“มึงตกใจอะไรเนี่ย ก็หมามันต้องฉี่ปะวะ ก็เอาไม้มาถูดิ แล้วพรมหน้าทีวีเดี๋ยวเอาออกเลยเผื่อมันไปฉี่ใส่”
เต็งหนึ่งไม่เข้าใจว่ามันแปลกตรงไหน
“หนึ่ง…”
“อะไรอีกล่ะ?”
“หมามึง มึงเช็ด”
“ห้ะ หมามึงดิมึงซื้อไม่ใช่รึไง”
เต็งหนึ่งเลิกคิ้วขึ้นทำหน้างง
“กูเดิน.. แต่มึงเลือก”
“ก็กูช่วยมึงเลือก”
“กูบอกหรอว่าจะซื้อหมา”
ตอนนั้น…กำลังจะไปเลือกแมว แต่อีกคนก็บ่นซะก่อน
“เอ้าก็มึงบอกเอาตัวนี้”
“มึงบอกว่าชอบ”
ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย กูบอกชอบแต่กูต้องซื้อมั้ยยย แล้วตังมึงมันเป็นหมากูยังไง ไอ้ง่าว!!
“มึงไปนอนนะเอกนะ เดี๋ยวกูดูแลหมาตัวนี้เอง มึงไปอาบน้ำฟังเพลง สวดมนตร์ เดินจงกลมอะไรก็ได้ ไปอ่านการ์ตูนก็ได้ ไปๆๆ ไปไกลๆกู
เลย มานี่ลูกปะป๊าดูแลหนูเอง อย่าไปยุ่งกับมันนะลูก มันบ้า”
“คนอะไรมีลูกเป็นหมา”
“เสือก ไม่ต้องมาแตะลูกกูด้วย ไปไกลๆ กูจะตั้งชื่อเอง”
“อือ”
เป็นเอกทำหน้าเอือมก่อนจะย้ายตัวเองไปนั่งบนโซฟามองคนกับหมาประคบประหงมกัน
…หน้าก็ย่น…ตัวก็ย่น…เต็งหนึ่งเลือกมาได้ยังไง…
เวลาเที่ยงคืน…บนเตียงคิงไซส์สีน้ำเงิน ผู้ชายตัวหนานอนซุกแผ่นหลังคนตัวสูง.. ปลายเตียงมีหมาอ้วนนอนแผ่หลาหนึ่งตัว…
ครอบครัวใหม่ พ่อ ลูก … และแฟนพ่อ(เนื่องจากเป็นเอกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหมาตัวนี้ตามที่เจ้าตัวกล่าวไว้)
=======================================
ตอนนี้มิกซ์ไว้เยอะนะคะ ตอนต่อไปหนึ่งคงต้องเหนื่อยแล้วค่ะ 555 (เป็นเอกดูจะยังไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น)
ปล. น้องหมาชื่ออะไรมีใครเดาถูกบ้าง อิอิ (ใบ้ให้ว่าหนึ่งตั้งชื่อจากความหมั่นไส้เป็นเอกล้วนๆ) >_<
นี่คืออิมเมจน้องหมา อิอิ