Heart
หัวใจนี้มีเพียงเธอ
บทที่ 1
ปลายมีดคมกรีดลงบนเนื้อเยื่อรูปร่างแปลกประหลาด แล้วอีกมือใช้คีมปลายแหลมกดบีบ
ก่อนจะคีบมันโยนลงในชามรูปไตอย่างมั่นใจเมื่อสามารถตัดมันออกจากอวัยวะของร่างกายได้
ผู้กระทำผ่อนลมหายใจเบาๆ อยู่ภายใต้หน้ากากซิลิโคนที่ใส่เพื่อป้องกันเชื้อโรคจากการผ่าตัด
และใช้เพื่อปิดบังใบหน้าของผู้สวมใส่ไปด้วย ก่อนที่เขาจะยกท่อนแขนปาดเหงื่อบริเวณหน้าผาก
การผ่าตัดครั้งนี้ยุ่งยากกว่าที่คิด เพราะเนื้อร้ายชิ้นนี้เป็นเนื้อชิ้นใหญ่และอยู่ใกล้กับเนื้อดีของอวัยวะ
ที่เสี่ยงต่อการสูญเสียเลือดหากคนที่ลงมือไม่มีความแม่นยำและชำนาญพอ เขาใช้เวลาไปมาก
กว่าจะค่อยๆเลาะมันออกจนหมดแล้วลงมือเย็บปิดบาดแผล ในที่สุดการผ่าตัดก็เสร็จสมบูรณ์
เขาถอดถุงมือทิ้งลงตะกร้าแล้วเดินไปล้างมือ ก่อนที่จะผลักประตูห้องผ่าตัดออกไปเผชิญหน้ากับ
ผู้ว่าจ้างที่ปรี่เข้ามาหาทันทีเมื่อเขาก้าวออกไป
“ลูกชายผมเป็นอย่างไรบ้างครับ เฮอคิวลิส”
ดวงตาเยือกเย็นหันไปสบกับแววตาห่วงใยจากชายร่างท้วมที่ใช้มืออวบอูมเกาะท่อนแขนเขาไว้
“ปลอดภัย”
คำพูดสั้นๆง่ายๆนั้น ทำให้ผู้เป็นบิดาของคนที่นอนสลบอยู่ข้างในถอนหายใจอย่างโล่งอก
พลางยิ้มและกล่าวขอบคุณอย่างละล่ำละลัก
“ขอบคุณจริงๆ หมอเฮอคิวลิส ถ้าไม่ได้คุณลูกชายคนเดียวของผมต้องตายแน่ๆ ผมไม่น่า
ไปเชื่อพวกดับบลิวเอสโอเลยว่ามันจะเพาะเนื้อเยื่อที่ตับได้สำเร็จ ดูสิ อุตส่าห์หวังว่าลูกจะหายกลับ
เกิดเป็นมะเร็งทับซ้อนไปอีก”
ผู้เป็นบิดาของคนไข้หยิบกระเป๋าใบหนักส่งให้ชายหนุ่มร่างสูงที่ยังคงใส่หน้ากากซิลิโคนอยู่
“นี่เงินค่าจ้างสำหรับคุณ สิบล้านเอเชียดอลล่าร์ ผมไม่เสียดายสักนิดที่มันสามารถช่วยลูกผม
ไว้ได้”
ร่างสูงก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วรับกระเป๋าใส่เงินมูลค่ามหาศาลมากระชับไว้ในมือ ก่อนที่จะ
เดินจากไปทีมงานผ่าตัดเริ่มทยอยออกมาจากภายในห้อง ผู้เป็นบิดาของคนไข้ตรงเข้าไปถามด้วย
ความสงสัย
“คุณพยาบาล หมอเฮอคิวลิสตัวจริงเป็นใคร หน้าตาอย่างไร พวกคุณเคยเห็นไหม”
พยาบาลอาวุโสคนหนึ่งหันมาตอบ
“พวกเราไม่เคยเห็นหน้าของคุณหมอหรอกและไม่มีความจำเป็นด้วย เรารู้แค่ว่าเขาเป็น
หมอที่ต้องคอยมาแก้ไขปัญหาให้คนอย่างพวกคุณที่เชื่อมั่นในคำโฆษณาของดับบลิวเอสโอ
แล้วเกิดผลเสียตามมาอย่างลูกชายของคุณนี่แหละ”
“ใช่” พยาบาลอีกคนหนึ่งหันมาสนับสนุน
“แล้วเงินค่าจ้างที่เก็บจากพวกคุณแพงๆ คุณหมอก็นำมันมาเปิดห้องผ่าตัดและห้องพักฟื้นลับๆที่นี่
เพื่อผ่าตัดให้คนที่ได้รับผลกระทบจากการทดลองสเต็มเซลล์ที่ยากจนไงล่ะ”
ชายหนุ่มร่างสูงขาวใส่แว่นตาทรงเหลี่ยม ยืนขรึมอยู่หน้ากรอบผ้าใบสีขาวที่ขึงจนตึงอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วจึงใช้ปลายพู่กันแต่งแต้มสีลงไปอย่างมั่นใจ เขาใช้สมาธิอยู่กับการระบายสีสันเป็นเวลานาน
จนกระทั่งได้ยินเสียงการเคลื่อนที่ของรถเข็นไฟฟ้าเข้ามาใกล้ จึงได้หยุดมือแล้วหันไปมองหญิงสาว
ผิวขาวหน้าตาหมดจดที่นั่งอยู่บนรถเข็นอย่างเอ็นดู
“พี่เอก มัวแต่วาดรูปจนลืมเวลาอีกแล้ว น้องเรียกไปทานข้าวตั้งนานยังไม่ยอมไปเลย”
สาวน้อยหน้าตาน่าเอ็นดูแต่น่าเสียดายที่ต้องใช้ชีวิตบนรถเข็นเป็นหลักหน้ามุ่ยเมื่อเอ่ยกับคน
เป็นพี่ ร่างสูงจึงก้มตัวลงไปสบตากับน้องสาวอย่างรักใคร่
“โทษทีแอม พี่กำลังมีไอเดียเลยเพลินไปหน่อย”
สาวน้อยยิ้มกว้างทำหน้าซุกซน กดปุ่มให้รถเข็นเคลื่อนที่มาหยุดหน้าผืนผ้าใบฝีมือของคนเป็นพี่
“ไหนดูหน่อย คราวนี้รูปอะไร”
หญิงสาวพิจารณาสีบนผืนผ้าใบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถอนหายใจ
“เมื่อไหร่พี่เอกจะเลิกวาดรูปแนวแอ็ปสแต็กสีเศร้าๆอย่างนี้เสียทีนะ ดูสิ มีจนเต็มแกลอรี่แล้ว
วาดแนวอื่นไม่ได้เหรอ”
เอก หรือชื่อจริงว่า ศรุต เลิกคิ้วขำ
“ทำไมจะให้พี่เลิกล่ะแอม แนวนี้มันก็ขายดีนะ ดูสิคนก็จองรอซื้อเต็มไปหมด”
“คนคิดอะไรก็มักจะแสดงสิ่งนั้นออกมาในงานศิลปะ แอมว่าในใจพี่เอกมีคงมีแต่เรื่องไม่สดใส”
น้องสาวพูดจริงจังอย่างห่วงใย
“แล้วแอมจะให้พี่แก้ปัญหายังไงล่ะ แม่คนช่างคิด”
ศรุตขยี้ผมคนเป็นน้องเล่น คนบนรถเข็นได้แต่ยกมือปัดป้อง
“ไม่เห็นจะยาก พี่เอกก็ลองหาแฟนดูสักคน เดี๋ยวหัวใจมันสดใสรูปที่วาดมามันก็สดชื่นตามเองแหละ”
แอม หรือ ศุภัคชญา ยักคิ้วแผลบทำหน้าทะเล้น ก่อนที่สองพี่น้องจะหันความสนใจไปที่รั้วสูงหน้าบ้านเมื่อ
ได้ยินเสียงเตือนว่ามียานพาหนะมาจอด
ยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าแล่นมาจอด ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของจะยื่นมือมาสแกนลายนิ้วมือ
ตรงหน้าประตูแล้วประตูรั้วก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ ยานยนต์จึงเคลื่อนมาจอดอยู่หน้าตัวบ้าน
สาวน้อยบนรถเข็นหน้าสุกปลั่งเมื่อเห็นคนที่มาเยือนเดินผิวปากเข้ามาในเขตตัวบ้านอย่างอารมณ์ดี
“ว่าไง ไอ้เด็กเนิร์ด วันนี้แวะมาได้ไง”
ศรุตเอ่ยทักอย่างสนิทสนม พลางมองน้องสาวอย่างเอ็นดูเมื่อตอนนี้หน้าเนียนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพู
จิรวิชญ์ยิ้มตอบกลับ พลางเผื่อแผ่รอยยิ้มมาให้สาวน้อยบนรถเข็น
“ก็คิดถึง ก็เลยเลี้ยวมานี่ก่อนเข้าบ้าน ไม่ได้แวะมาคุยนานแล้ว คิดถึงพี่บ้างไหมแอม”
ต้นประโยคเขาตอบคนที่อาวุโสสูงกว่า แต่ท้ายประโยคกลับหันไปถามคนที่นั่งหน้าแดง ศุภัคชญาเงยหน้า
มองเพื่อนบ้านที่ไปมาหาสู่กันตั้งแต่วัยเด็กแล้วก็ได้แต่ยิ้ม ยิ่งเมื่อสบตากับดวงตาที่ก้มต่ำมามอง
เลือดบนใบหน้าก็ฉีดเป็นริ้วจนแดงไปถึงใบหู เมื่อยู่ต่อหน้าพี่ชายข้างบ้านคนนี้ คนที่เคยพูดเจื้อยแจ้ว
กับพี่ชายแท้ๆ กลับกลายเป็นคนขี้อายไปได้
“ก็ คิดค่ะ”
สาวน้อยอึกอักตอบ จนจิรวิชญ์ต้องคุกเข่าลง เพื่อให้เห็นใบหน้าสาวน้อยชัดๆ
“อะไรนะ พี่เจมส์ไม่ได้ยินแอมเลย พูดดังกว่านี้ไม่ได้เหรอ”
ศุภัคชญายิ่งหน้าแดงเมื่อเห็นกิริยาดังกล่าว ศรุตรีบคว้าคอเสื้อของจิรวิชญ์แล้วดึงขึ้นมา
“เฮ้ย เกรงใจกันบ้าง คนเป็นพี่ชายยืนเป็นหัวหลักหัวตออยู่นี่ เห็นกันตั้งแต่เกิดแล้วยังจะมาจีบกัน
อยู่ได้”
แล้วศรุตก็ลากคอเสื้อจิรวิชญ์มานั่งบนเก้าอี้ในห้องรับแขกจนได้
“งานเป็นไงบ้าง”
“ก็ดีพี่”
จิรวิชญ์ตอบ แต่ดวงตากลับมองแต่สาวน้อยที่กดปุ่มรถเข็นให้เคลื่อนที่ตามคำสั่งเพื่อหาเครื่องดื่มมาต้อนรับ
คนมาเยือน
“ผมได้โปรเจ็คเพาะเนื้อเยื่อส่วนกระดูกต้นขาที่กำลังอยากทำพอดี ก็เลยตั้งใจเป็นพิเศษ”
จิรวิชญ์ นักวิทยาศาสตร์ในองค์การวิทยาศาสตร์โลก กล่าวอย่างมุ่งมั่นก่อนหันมาคุยอย่างจริงจังกับศรุต
“ผมรู้ว่าพี่ไม่เห็นด้วยกับการทดลองเหล่านี้ แต่ทุกวันนี้มันก็พัฒนาขึ้นมากจนสามารถเพาะสเต็มเซลล์
จนกลายเป็นอวัยวะที่ต้องการได้แล้ว แม้จะยังไม่เสถียร ซึ่งนั่นก็เป็นหน้าที่ของพวกผมที่จะพัฒนาต่อ”
“พัฒนาแม้ว่าแกจะรู้อยู่ว่า ยัยแอมคือตัวอย่างของผลพวงจากความผิดพลาดงั้นหรือ”
ศรุตถามเสียงขื่น เมื่อกล่าวถึงน้องสาวที่เกิดมาโชคร้ายที่เป็นอัมพาตที่ขาตั้งแต่แรกเกิด ผู้เป็นบิดา
ต้องแสวงหาการรักษาจนไปพึ่งองค์การวิทยาศาสตร์โลกให้ช่วยเหลือ แต่กลับยิ่งหนักกว่าเดิมเมื่อเด็กหญิง
ตัวน้อยเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายเนื้อเยื่อ แต่กลับได้รับผลข้างเคียงจนกลายเป็นเนื้อร้ายตามมา
“นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ผมต้องยิ่งพัฒนา”
จิรวิชญ์กล่าวหนักแน่น
“ผมอยากให้แอมหายแล้วเดินได้เหมือนคนอื่น เหมือนอย่างที่พี่ตัดสินใจเรียนแพทย์เพื่อรักษาแอม
และผมก็เสียดายอย่างที่สุดที่พี่วางมือทั้งที่ยังรุ่งโรจน์”
ศรุตถอนหายใจ
“พี่ไม่เห็นด้วยกับงานของแก แต่ก็ดีใจที่แกตั้งใจทำงาน เอาเถอะขอให้แกทำสำเร็จตามทฤษฎี
ของแกก็แล้วกัน ว่าแต่มานี่มีอะไรหรือเปล่า”
จิรวิชญ์ยิ้มกว้าง
“พรุ่งนี้ผมหยุด ได้เวเคชั่นหลายวัน เลยมาชวนพี่กับแอมไปเที่ยวนอกเมืองกัน ไม่ได้ไปด้วยกันนานแล้ว”
มีต่ออีกนิด