Only You EP.22 [100%]ผมนั่งคุยกับแซ็คเพลินเรื่องออกกำลังกายและเรื่องอื่นๆ รวมถึงบ้านเกิดของเขาอย่างแซนดิเอโก้ด้วย เขาเล่าประวัติคร่าวๆ ของเขาให้ฟังว่าเริ่มสนใจเรื่องกล้ามๆ ตั้งแต่อายุสิบเจ็ด ก็ชอบการออกกำลังกายมาเรื่อยๆ ว่างจากงานหรือเลิกจากงานเมื่อไหร่ เขามักจะใช้เวลาไปกับฟิตเนส แต่ก็ไม่ได้คลั่งเหมือนพวกนักกล้าม พวกประกวดกายงามอะไรทำนองนั้น เขาแค่ชอบรักษาหุ่นให้ดูดีอยู่เสมอเพราะเขาบอกว่าหุ่นมีผลต่อหน้าที่การงานเก่าของเขา แล้วพอเล่นหลายๆ ปีเข้า บวกกับมีเพื่อนเป็นเทรนเนอร์ เขาเลยอยากลองทำอาชีพนี้ดู
“อ้าว แล้วคุณยังทำงานเก่าอยู่มั้ยครับ หรือว่าลาออกจากงานนั้นไปแล้ว” เขาระบายยิ้มอ่อนๆ บนใบหน้า เป็นรอยยิ้มแปลกๆ ที่ผมไม่เข้าใจ ดวงสีเทาของเขาวูบไหวเล็กน้อย สีหน้าของเขาหมองลงนิดหนึ่ง
“ก็ยังมีไปทำบ้าง แต่ไม่ได้เป็นทัพหน้าแล้วละ” ผมย่นคิ้ว เผลอจ้องหน้าดูดีเข้าขั้นหล่อเหลาของเขานิ่งจนเจ้าตัวหันมายิ้มกว้างขำๆ นั่นแหละ ผมถึงรู้ตัวเลยกระพริบตาปริบๆ แล้วยิ้มแห้ง
“คุณพูดเหมือนในทำงานวงการบันเทิงเลย” แต่ถ้าทำงานในวงการจริงผมจะไม่รู้จักเขาได้ไง เอ้อ ได้สิ ขนาดตอนเจอวิคเตอร์ครั้งแรก ผมยังไม่รู้จักหมอนั่นเลย หรือคุณแซ็คกำลังจะดังแต่ล้มเลิกความตั้งใจอยากจะเป็นนักแสดงไปก่อน ผมมองหน้าเขาตาแป๋ว แซ็คมองผมแล้วยิ้มหล่อละมุน แววตาเขาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะว่าเสียงทุ้มและรอยยิ้มเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแกนๆ
“ตอนแรกมันก็เป็นงานที่ผมคิดจะทำต่อไปเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ไม่แล้วละ” ผมยิ้มเก้อ ไม่ค่อยจะเข้าใจที่เขาพูดสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่กล้าถามซอกแซกมาก กลัวเขาจะหาว่าสอด (ซึ่งก็อยากจะสอดจริงๆ)
“ผมมีเพจนะ กดไลค์ได้ แต่สำหรับคุณ แอดเฟซบุ๊คส่วนตัวผมไปเลยดีกว่า” เขาเปลี่ยนเรื่องด้วยท่าที่เปลี่ยนไป ต่างจากอาการกร่อยๆ เมื่อสักครู่นี้ ผมเลยเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างตามเขาไปด้วย ผมเข้าไปดูเพจของเขา สงสัยคงเพราะเพิ่งจะทำ คนเลยกดไลค์ไม่มาก ผมจัดการหาเฟซบุ๊คส่วนตัวของเขาแล้วแอดเป็นเพื่อนไว้
“เดี๋ยวต้องรวยแน่ๆ เลย” ผมเอ่ยแซวเพราะเขาเล่าว่ามีลูกค้าสนใจอยากให้เขาเป็นเทรนเนอร์ค่อนข้างมากจากการลองโยนหินถามทางดู ผมว่าส่วนหนึ่งก็มาจากหนังหน้าและหุ่นของเขานี่ละ ผมเชื่อเลยว่าหลายๆ คนที่เป็นลูกค้าเขา ต้องมีบ้างแหละที่หวังจะได้แอ้มเทรนเนอร์ส่วนตัวของตัวเอง ก็ดูสิ หุ่นน่ากินขนาดนี้ เหล่าชะนีเก้งกว้างบ่างละมั่งคงรีบแห่มาสมัครกับเขาเป็นขบวน
“ผมคงรับไม่มากหรอก อีกอย่างส่วนใหญ่ที่เข้ามาหาผม ก็ชอบขอมากกว่าให้เป็นเทรนเนอร์ให้ซะงั้น ผมเลยต้องปฏิเสธไปหลายคน” นั่นไง ผิดจากที่คาดการณ์ไว้ที่ไหนล่ะ ผมยิ้มยิงฟัน ห่อไหล่ขึ้นด้วยความเขินแทนเขา ท่าทางเขาคงฮ็อตพอตัว แซ็คหัวเราะกับท่าทีที่ผมแสดงออก
“แหม ก็ลองสนองสักคนสองคนสิครับ” ผมแกล้งทำเสียงเซ็กซี่ใส่เขา แซ็คยักคิ้วขึ้นหนึ่งที
“ก็อาจจะมีนะ” ผมอ้าปากหวอ เบิกตากว้างมองเขา แซ็ค ไนท์ฮู้ดขยิบตาอย่างมีเลศนัย ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไม่ต้องตื่นเต้นเวลาได้ฟังเรื่องอะไรแนวนี้ ตอนอดัมก็ทีนึงแล้ว
“แล้ว… แล้วบางคนที่คุณว่านั่น เพราะอะไรคุณถึงจะตอบรับเขาล่ะครับ” เอาล่ะ เสือกอีกแล้วจ้ะอีแมท เรื่องตัวเองยังเอาไม่รอด สอดเรื่องคนอื่นอีกแล้ว แต่ผมว่าการได้ยุ่งเรื่องชาวบ้านมันก็ทำให้ผมลืมสนใจเรื่องตัวเองได้ระยะหนึ่งเลยนะ (เป็นการบำบัดที่แปลกมาก)
“ก็ถูกใจละมั้ง” เขาไหวไล่นิดหนึ่ง ผมทำหน้าเอ๋อ แล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“แบบนี้ก็รวมถึงผู้ชายด้วยน่ะสิครับ” ผมตาโตมองหน้าเขา แซ็คยิ้มกริ่ม
“เป็นความลับ” โธ่! จะมาลับเลิบอะไรตอนนี้ ความเผือกกำลังได้ที่เลย แต่ก็นะ จริงๆ เขาคงอยากจะบอกผมว่า มึงอย่าเสือกหรืออาจจะบอกว่า เสือกไรกะกู แต่เลือกใช้คำนี้มากกว่า
ผมนั่งคุยกับเขาอีกสักพัก พยายามจะห้ามความอยากรู้อยากเห็นกับเรื่องที่เขาเล็ดลอดออกมาให้ได้ฟัง อยากถามอีกเยอะแยะแต่ที่ถามไปก่อนหน้านั้นก็คงเสียมารยาทมากพอแล้ว (เพิ่งรู้ตัว) เพิ่งรู้จักกัน ก็ละลาบละล้วงแค่นี้พอแหละ ไว้รู้จักกันมากกว่านี้ค่อยล้วงเยอะๆ (ฮะ?!)
“ไว้เจอกันใหม่นะ” เขาเอ่ยลาด้วยรอยยิ้มหลังจากนั่งคุยกันมานานมาก เขาคุยสนุกมากเลยอะ เขาเอ็นเตอร์เทนเก่งมากเลย ถ้าบอกว่ามีอาชีพเป็นนักแสดงผมก็เชื่อ ด้วยหน้าตาที่ไปได้กับสายนั้น กับกิริยาท่าทีที่ดูมีลูกเล่นแพรวพราวไม่น้อยตอนคุยกัน ผมยิ้มกว้างและยกมือโบกลาเขา แซ็คเดินสะพายเป้ออกไปจากฟิตเนส
“โห กูอยากได้กล้ามอย่างเขาว่ะ” วอร์มพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม พวกมันมีโอกาสได้พูดคุยกับแซ็คนิดหน่อยก่อนที่เขาจะกลับ
“โอ้ย แค่นี้ก็พอแล้ว อันนั้นเขาร่างฝรั่ง กล้ามแบบนั้นก็เหมาะกับเขาไง” ผมบอกพลางยกขวดน้ำขึ้นดื่ม
“ว่าแต่ ผัวมึงกับคนนี้ แบบไหนเร้าใจกว่ากันวะ” อีแชมป์นี่มันเป็นคนยังไง ผมเลยเอาผ้าขนหนูฟาดหัวมันไปอีกที มันไม่ได้ว่าอะไรแค่หัวเราะครื้นเครงเท่านั้น
“ไปส่งด้วย”
“เออ” มันรับคำ เปิดประตูหลังรถโยนกระเป๋าสำหรับมาฟิตเนสเข้าไปด้านใน ไอ้วอร์มบอกลาแล้วแยกตัวไปที่รถของมันเอง ผมกำลังจะขึ้นรถแต่ก็โดนเรียกเอาไว้ก่อน
“คุณแมทครับ” ผมหันไปมองออสตินด้วยความตกใจ ก็เล่นโผล่เข้ามาประชิดตัวอย่างเร็ว ใจหายแวบเลยทีเดียว ผมพ่นลมออกปาก ตบอกเบาๆ เรียกขวัญเอ๊ยขวัญมาให้ตัวเอง
“คุณเรย์มอนด์กำลังเดินทางมาไทย เขาอยากให้คุณไปรอที่อพาร์ทเม้นต์” ผมยืนนิ่ง ใจเต้นตึกๆ เมื่อได้ยินว่าเขากำลังมาที่นี่ แต่ก็แกล้งแสดงออกว่าไม่ได้สนใจทั้งที่จริงสนมาก ทำไมคนเราถึงมีพฤติกรรมสวนทางกับหัวใจแบบนี้นะ
“ทำไมผมจะต้องไปรอเขาที่นั่นด้วย” ผมปั้นหน้าปั้นเสียงนิ่ง แต่คงนิ่งไม่เท่าพ่อบอดี้ศพเขาหรอก เป็นซิกเนเจอร์ของเขาไปแล้ว
“เพราะคุณคงไม่อยากให้เขาเดินเข้าไปอุ้มคุณออกมาจากบ้านใช่มั้ยครับ” ผมหันหน้านิ่งของตัวเองไปมองหน้านิ่งกว่าของออกสติน ผมถอนหายใจนิดหนึ่งแล้วหันไปหาไอ้แชมป์
“มึงกลับไปเลย เดี๋ยวกูกลับกับเขา แต่กูจะบอกว่าไปนอนหอมึงเพื่อทำโปรเจ็คท์นะ” ไอ้แชมป์พยักหน้ารับ ผมหมุนตัวเดินนำออสตินไปที่รถบีเอ็มดับเบิลยูอันคุ้นเคยที่ผมไม่ได้นั่งมาจะสามวันแล้ว ออสตินกดปลดล็อคประตู ผมเปิดประตูหลังขึ้นไปนั่ง ออสตินเดินไปประจำที่ของตัวเองแล้วขับรถออกไป
“เขาไม่นอกใจคุณหรอกครับ” จู่ๆ ออสตินก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา ผมยิ้มมุมปากซ้าย ทำเสียงหึในลำคอ
“คุณรู้ได้ยัง คุณไม่เคยเห็นเขาก่อนหน้านี้นี่ ผมอยู่กับเขามา ผมเห็นเขาพาผู้หญิงมามีเซ็กส์ด้วยที่บ้านตั้งหลายคน” ภาพในวันวานช่วงฝึกงานยังคงชัดเจนว่าไอ้ยักษ์มันโชกโชนกับเรื่องแบบนี้ขนาดไหน
“ตอนนั้นเขามีใครรึเปล่าล่ะครับ” ผมเหลือบมองด้านข้างออสตินนิ่งๆ ตอบคำถามเขาเสียงเรียบ
“ไม่มี”
“ผมว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิดอะไรนี่ครับ เขาไม่มีใคร เขาก็มีสิทธิ์จะมีเซ็กส์กับใครที่ไหนก็ได้ ตราบใดที่เขายังป้องกัน” ผมกอดอก ทำหน้าไร้อารมณ์ เลื่อนสายตาไปมองวิวด้านนอกผ่านกระจกรถ
“ถ้าคุณคิดว่าเขาเจ้าชู้ ผมว่าเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น” ผมยังคงนั่งมองวิวด้านนอกเงียบๆ หัวสมองกำลังคิดตามกับสิ่งที่ออสตินพูด
“ผมพูดในฐานะที่เป็นผู้ชายด้วยกัน หมายความว่าผู้ชายจริงๆ คุณเรย์มอนด์ไม่ใช่คนเจ้าชู้ขั้นโคม่าหรอกครับ…” ผมเบนหน้ากลับไปสบตากับออสตินผ่านกระจกมองหลัง เอนหลังกับเบาะนุ่มๆ ในรถ สายตาเหม่อมองไปด้านหน้า
“แต่ก็ยังเจ้าชู้อยู่ดี” ผมเอ่ยเสียงราบเรียบ
“ผู้ชายมียีนส์เจ้าชู้อยู่ในตัวทุกคนนั่นแหละครับ อยู่ที่ว่ายีนส์นั้นจะรุนแรงหรือเปล่าเท่านั้นเอง”
“งั้นในตัววิคเตอร์คงจัดอยู่ในหมวดยีนส์เด่นเลยละ” ออสตินเหลือบมองผมในกระจกมองหลัง
“เขาเจ้าชู้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องทำร้ายคุณนี่ครับ” ผมถอนหายใจแผ่วเบา รู้สึกเนือยๆ ในอก
“งั้นเหรอ…”
“ผมเข้ามาทำงานกับเขาในช่วงที่อันเดรียนายังอยู่ ไม่กี่วันหลังจากนั้นเธอก็หายไป ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ตอนที่คุณเรย์มอนด์อยู่กับเธอ ผมไม่เห็นเขายิ้มหรือหัวเราะเท่ากับตอนที่อยู่กับคุณ” ผมยิ้มหึแล้วกลอกตาน้อยๆ เหตุผลช่างดูดี ฟังแล้วน่าชื่นใจ
“แต่ทำไมเขาถึงไปจูบกับเธอล่ะ คุณตอบผมได้มั้ยว่าทำไม” ผมไม่ได้ถามประชด ไม่ได้ถามเหวี่ยงวีนแต่อย่างใด ผมแค่อยากรู้คำตอบจริงๆ แค่คิดว่าบางทีออสตินอาจมีมุมมองดีๆ ก็เป็นได้
“ผมไม่รู้หรอกครับว่าตอนนั้นเขาคิดอะไร อันนี้คุณคงต้องถามเขาเอง แต่ผมแค่เชื่อว่าเขาไม่นอกใจคุณ”
“แต่เขาจูบกับเธอ เขาใกล้ชิดกับเธอ” ผมว่าสีหน้าเหนื่อยๆ
“ผมรู้ครับว่าอันนั้นมันไม่สมควร แต่ตอนนั้นอาจจะเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบก็ได้ ขอโทษนะครับที่ต้องพูดตรงๆ แต่คือยังไงเขาก็เคยคบผู้หญิงมาก่อน” ผมพยักหน้ารับอย่างเอื่อยเฉื่อย เข้าใจดีว่าออสตินต้องการจะบอกอะไร
“แล้วคุณแน่ใจได้ยังไงว่าเขากับเธอไม่มีอะไรกันจริงๆ คืนนั้นเขาก็ไม่ได้ติดต่อผมกลับมา”
“อันนี้คุณก็ต้องลองถามเขาเองครับ แล้วจากนั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ขึ้นอยู่กับคุณแมทเอง” ภาพอันไม่พึงประสงค์ปรากฏขึ้นในหัว กระบอกตาผมร้อนผ่าวอีกรอบของวัน
“เขารักคุณมากนะครับ ก่อนจะมาหาคุณ เขากลัวมากว่าคุณจะไม่อยากมาเจอเขา เขาตั้งใจจะมาหาคุณหลังจากเคลียร์กับอันเดรียนาเสร็จ แต่เผอิญงานฟิล์มติดต่อมาพอดี บวกกับที่เขากลัว เขาเลยใช้งานมาล่อคุณ”
“เขาบอกผมแล้วละ” ผมว่าเสียงซึม ออสตินพยักหน้าหนึ่งครั้ง
“ถ้าเป็นเรื่องคุณแมท คุณเรย์มอนด์จะค่อนข้างคิดมาก คิดเยอะ เขาทั้งวิตกกังวลกับคุณ เป็นห่วงคุณ ที่สำคัญคือเขารักคุณมาก ผมอาจไม่ใช่คนละเอียดอ่อนนัก แต่คนที่เคยผ่านสงครามมาอย่างผม ก็สัมผัสความรัก ความเอาใจใส่ที่เขามีให้คุณได้” ผมยิ้มขำขื่นกับมุกตลกแป้กๆ ของเขา แต่ถึงอย่างนั้นมันก็พอจะช่วยให้ผมไม่น้ำตาไหลออกมา
“แต่ถ้าเขานอนกับเธอ ต่อให้เขารักมากแค่ไหน ผมก็ขอพอดีกว่า” ออสตินถอนหายใจ สีหน้าของเขาเหมือนจะยอมแพ้กับการจี้ของผม
เรานั่งเงียบๆ ไปตลอดทางจนมาถึงคอนโดที่วิคเตอร์ซื้อไว้ อันที่จริงมันก็ไม่เชิงคอนโดนหรอก เพราะมันมีแค่ห้าชั้น แต่ละชั้นมีแค่สามห้องซึ่งห้องก็กว้างขวางและใหญ่มาก เป็นสไตล์โมเดิร์น ให้ความรู้สึกเป็นบ้านได้เลยละ เพราะด้านในมันแบ่งไว้เป็นสัดส่วนอย่างเหมาะสม ห้องนอนด้านล่างสี่ห้อง ห้องนั่งเล่นผสมเป็นห้องรับแขก ห้องครัวใหญ่มีอุปกรณ์ครบครัน มีชั้นสองด้วยนะ แต่ไม่ใช่ชั้นสองแบบแบ่งเป็นจริงจังทั้งห้อง เป็นเหมือนชั้นลอยที่ยกขึ้นไปมากกว่า ด้านบนมีหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ มีลานสำหรับนั่งเล่นนอนเล่น บริเวณนั้นวิคเตอร์ให้คนมาทำมุมอ่านหนังสือสำหรับผมไว้ด้วย เวลาว่างๆ ผมก็ชอบขึ้นไปหาหนังสืออ่านเล่น เปิดหน้าต่างด้านบนรับลมเย็นๆ แล้วนอนอ่านหนังสือเพลินๆ
ผมไม่รู้ว่าห้องอื่นตกแต่งยังไง แต่ห้องที่วิคเตอร์ซื้อไว้นั้นตกแต่งด้วยโซฟาสีดำ สีน้ำตาล แซมด้วยสีขาวและสีเทาบ้าง เรื่องราคาไม่ต้องคาดเดาให้ยาก แพงสมกับความน่าอยู่ ที่นี่คัดคนด้วยราคาก่อนจ่ายไปในตัว ซึ่งก็หมายความว่าถ้าเงินไม่ถึงจริงๆ ก็อยู่ไม่ได้ คนที่อาศัยอยู่ที่นี้นั้นมีไม่มาก ก็ตามจำนวนห้อง จำนวนน้อยแต่มีคุณภาพ ด้านล่างของที่นี่มีร้านอาหารหรูที่คนนอกสามารถเข้ามาทานได้ มีฟิตเนส สระว่ายน้ำ เซเว่นยังมีให้เลย
“อาบน้ำพักผ่อนเถอะครับ” ออสตินบอกพลางวางกระเป๋าใส่เสื้อผ้าเล่นฟิตเนสของผมไว้บนเค้าน์เตอร์ครัว ผมหันไปมองเขาแวบหนึ่งแล้วเดินไปเปิดไฟใต้บันไดโปร่งสีดำที่นำขึ้นไปชั้นลอยด้านบน
“คุณไม่ต้องออกไปนอนข้างนอกหรอก ที่นี่มีห้องนอนเหลืออีกตั้งสี่ห้อง” ผมวางกระเป๋าเป้ใส่ของไปมหาวิทยาลัยลงบนโซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มในห้องนั่งเล่นและเป็นห้องรับแขกไปด้วยในตัว ผมนั่งลงบนโซฟาที่เอามาเรียงต่อกัน เพื่อไว้สำหรับนั่งดูทีวีที่ตั้งอยู่ใกล้กับฐานบันได ด้านหลังเป็นผนังปูนสีเทามันเรียบที่ตกแตกด้วยชั้นวางของที่ทำจากไม้สีน้ำตาลอย่างเก๋ไก๋ มีชั้นวางไม้สีน้ำตาลอ่อนตัวสูงยาววางตั้งตระหง่านอยู่ใกล้กับทีวี เดินผ่านหน้าทีวีไปทางขวามือของผมก็จะเป็นห้องนอนใหญ่ที่ผมไว้ใช้นอนกับวิคเตอร์หรือเอาไว้นอนคนเดียวเวลามาพักที่นี่ และมีห้องนอนขนาดกลางสำหรับแขกอยู่ติดกันเป็นมุมฉาก ด้านหลังผมก็เป็นกระจกบานใหญ่มาก มีผ้าม่านสีเทาอ่อนผืนใหญ่ปิดกั้นไว้ สามารถเปิดปิดด้วยระบบอัตโนมัติ เปิดประตูกระจกกรอบไม้ออกไปด้านนอกก็จะเป็นระเบียงสี่เหลี่ยมกว้างพอให้ผมนอนเกลือกลิ้งได้ ผมกะว่าจะหาต้นไม้มาประดับเพิ่มเติมจากที่เขามีให้อยู่แล้วสองสามต้น
“ไม่ได้หรอกครับ” ผมพ่นลมหายใจเบื่อๆ ห้องออกจะใหญ่โต ให้ออสตินนอนด้วยจะเป็นอะไรไป ใช่ว่าเขาไม่มีห้องนอนในอพาร์ทเม้นต์นี้สักหน่อย เขาไม่เดินมาปล้ำผมที่ห้องนอนใหญ่หรอก
“แล้วคุณจะไปพักที่ไหน” ผมถามเขาพลางหยิบรีโมตมากดเปิดแอร์ในห้องนั่งเล่น ออสตินเดินไปกดปุ่มปิดม่าน มันค่อยๆ เลื่อนเข้าหากันอย่างช้าๆ แล้วในที่สุดก็ปิดจนแสงไฟจากด้านนอกที่ส่องเข้ามาหายไป นั่นจึงทำให้ต้องเปิดไฟสีส้มนวลๆ เพิ่มความสว่างในห้อง
“คุณเรย์มอนด์จองโรงแรมให้ผมแล้ว” ผมพยักหน้านิดๆ ออสตินกำชับว่าอย่าออกไปไหนให้รอวิคเตอร์อยู่ในห้อง
“ที่จริงคุณนอนนี่ก่อนก็ได้นะ กว่าเขาจะถึงไทยก็คงพรุ่งนี้”
“ผมว่าไม่น่าเกินคืนนี้ครับ เพราะเขาจ้างเครื่องบินเจ็ทมาส่ง” ผมทำสีหน้าตะลึงนิดหน่อย ออสตินโค้งหัวให้ผม หมุนตัวเดินไปเปิดประตูสีดำที่อยู่บริเวณเกือบใต้บันได ทิ้งให้ผมอยู่กับความเงียบและความเอ๋อของตัวเอง
“เครื่องบินเจ็ท?” ผมส่ายหัวช้าๆ มาเครื่องบินปกติธรรมดาคงไม่ทันใจเขาเลยใช้วิธีนี้สินะ เพราะไม่ต้องเสียเวลารอใครหรือเปลี่ยนเครื่องที่ไหน แต่บินตรงมาที่นี่ได้เลย ไม่อยากคิดราคาค่าจ้างเครื่อง ไหนจะค่าจ้างนักบินผู้ชำนาญอีก
ก่อนเข้าไปอาบน้ำ ผมโทรบอกแม่ว่าจะไม่กลับบ้าน พอบอกว่านอนกับเพื่อนๆ แม่เลยไม่ได้เซ้าซี้อะไรมาก ผมเข้าไปอาบน้ำในห้องนอนใหญ่ ใช้เสื้อผ้าที่วิคเตอร์ซื้อไว้ให้เปลี่ยนใส่จากชุดเดิม ผมใส่ชุดนอนเสื้อยืด กางเกงขาสั้น กะว่าถ้ารอนานไปจะได้เข้านอนเลย ผมเดินมาเปิดทีวี นั่งดูซีรีส์ที่วิคเตอร์เล่นย้อนหลัง เขาก็มีเสน่ห์เหมือนเดิม ไม่หล่อเป๊ะ แต่เสน่ห์แพรวพราว ฝีมือทางการแสดงก็ไม่ได้ด้อยไปว่านักแสดงชายคนไหนในวงการ
ผมนั่งมองเขาผ่านจอทีวี กำลังนึกขำกับตัวเองว่านั่นแฟนผมจริงๆ เหรอ เราก็เจอกันได้เนอะ ถ้าไม่ใช่เพราะผมหน้าด้านจะไปฝึกงานกับคุณเอมิลี่ผมคงไม่ได้เจอเขาและเราคงไม่ได้รักกันอย่างตอนนี้ จะว่าเพราะพรหมลิขิตที่ทำให้เราเจอกันด้วยก็คงส่วนหนึ่ง มันดูน้ำเน่าๆ หน่อย แต่เรื่องแบบนี้อยู่ที่บุญและกรรมนำพา ในทางศาสนา คนสองคนถ้ามีวาสนาต่อกัน ลำบากแค่ไหน ไกลกันแค่ไหน ยังไงก็ได้เจอกัน แต่กับบางคนพยายามมากแค่ไหน รักให้ตายยังไง ถ้าไม่มีวาสนาต่อกัน ดิ้นรนไปก็ไม่มีวันได้เจอกัน
แล้วผมกับวิคเตอร์นี่บุญหรือกรรมนำพามาเจอกันล่ะ เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ สงสัยจะทั้งสองอย่าง แต่ความสัมพันธ์ไหนมันจะสุขกายสบายใจได้ตลอด ผมว่ามันก็คงไม่มี ผมเคยได้ยินว่าทุกครั้งที่ทะเลาะกันมันก็เป็นการที่เราจะได้เรียนรู้นิสัยของกันและกันไปอีก มันจะจริงอย่างที่ผมเคยได้ยินมารึเปล่านะ หรือว่าเราสองคนจะทะเลาะกันแล้วคือเลิกไปเลย
ช่างเป็นอะไรที่ชวนเจ็บปวดหัวใจเสียจริงหากเขาจะทิ้งผมไปหาผู้หญิง แต่ผมว่ามันก็ไม่แปลกประหลาดอะไร ยังไงเขาก็คือผู้ชาย ผมขอแค่ถ้าจะไป ก็อย่ากั๊กผมไว้อีกเลย
“You wanna kill me?” วิคเตอร์ในบทบาทตำรวจสายสืบผู้เก่งกาจเรื่องการต่อสู้ ถามผู้ร้ายในเรื่องสีหน้ากวนเท้า ผมนั่งมองการแสดงของเขาไปเพลินๆ ลำตัวค่อยๆ ลดระดับลงบนโซฟา จนกระทั่งนอนตะแคงดูเขาบนจอทีวี ตาผมมองเขาในทีวีนะ แต่ในหัวนี่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย คิดว่าเราจะเลิกกันมั้ย คิดว่าเขานอกใจผมจริงหรือเปล่า หลังจากเขาขึ้นไปส่งอันเดรียนา ทั้งสองคนทำอะไรกัน มีอะไรกันกันสนั่นหวั่นไหวแค่ไหน
ผมคิดเงียบๆ คนเดียว หลับตาลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเงียบๆ เช่นกัน มีเสียงจากจอทีวีเป็นเพื่อนในความเงียบเหงา ผมนอนหลับตาอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเผลอหลับไป
ผมรู้สึกว่าตัวลอยเบาหวิว กลิ่นเนื้ออุ่นๆ อยู่ใกล้จมูก สัมผัสอบอุ่นแสนคุ้นเคยอบอวลอยู่รอบตัว ผมเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งของตัวเองขึ้นมามอง ก็เห็นใบหน้าหนวดเคราของวิคเตอร์เลือนรางอยู่ในสายตา
“อือ…” ผมครางงัวเงีย พยายามพลิกตัวหนีจากเขา
“ชู่ว… หลับซะนะเอเลี่ยนน้อย…” ผมรับรู้ถึงแรงกดจูบที่ขมับขวา มือของเขาลูบเส้นผมของผมแผ่วเบา อีกมือก็ลูบแขนผมไปมาราวกับจะช่วยกล่อมให้หลับ ผมเมื่อยจากการออกกำลังกายเลยค่อยๆ กลับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งอย่างอ่อนล้า มีเขาคอยลูบหัวลูบแขนปลอบโยน
“ขอโทษ… ขอโทษนะ… ฉันรักนายคนเดียว… มีนายคนเดียวเท่านั้น…” เสียงทุ้มของเขาเหมือนดังแว่วมาจากที่ไกลๆ ความสากจากหนวดเขาสัมผัสกับแก้มของผมพร้อมกับอ้อมกอดที่กอดร่างผมไว้แน่น
“อย่าทิ้งฉันไปนะ…” หยดน้ำเปียกชื้นหยดลงบนแก้มก่อนที่ผมจะหลับสนิท

ยักษ์มาแล้ววว บินตรงมาจากนิวยอร์กด้วยเครื่องบินเจ็ท มาแบบธรรมดาไม่ทันใจ เมียกำลังเคือง 55555
พี่แซ็คออกมาฉากเดียว ฟาดเรทติ้งไปเพียบ ยิ่งคนไหนได้เห็นอิมเมจแล้วก็กรีดร้องกันระนาว นี่ขนาดยังไม่ถึงคิวเรื่องตัวเองนะ พอๆ กับเสี่ยจอมทัพในเรื่องของพี่เขี้ยวกับเรียวจันทร์เลย คิวเรื่องตัวเองยังไม่ถึงแต่ฐานแฟนคลับแน่นจ้ะ

ตอนหน้ามาดูกันว่าอียักษ์จะแถแก้ตัวกับเมียเด็กยังไง หึๆ แต่ไว้ใจไอ้นี่ไม่ได้ มันร้ายนัก ! // คนอ่านตะโกนว่า มึงอะแหละร้ายสุดอีเจ้ !
