Only You EP.20 [100%]หลังจากกินไก่เคเอฟซีจนอิ่มแปล้ตามที่ต้องการ ออสตินก็ขับรถมาส่งผมที่บ้าน วันแรกที่ออสตินมาส่งผม พ่อกับแม่ตกใจพอสมควรที่จู่ๆ ก็มีรถหรูเวิร์ดคลาสคันหนึ่งมาจอดอยู่หน้าบ้าน ผมก็บอกพวกเขาไปตามปกติว่าเป็นคนขับรถของวิคเตอร์ (ที่อยู่ในสถานะเจ้านายผม) ส่งมาดูแลเรื่องการเดินทางเพื่อความสะดวกในการทำงานที่วิคเตอร์ฝากไว้ให้ทำที่เมืองไทยก่อนที่ผมจะต้องบินไปอเมริกาหลังจากเรียนจบ มันอาจไม่ใช่การโม้ใหญ่โต แต่ก็ไม่ใช่การบอกความจริงทุกสิ่งอย่างว่าอะไรเป็นอะไร วิคเตอร์มีงานอะไรให้ผมทำล่ะ นอกจากเรียนให้จบแล้วบินไปหาเขาทันที
“เจ้านายเรานี่เขาใจดีไปรึเปล่า ส่งคนขับรถมาให้ขนาดนี้” พ่อเอ่ยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด สายตามองรถบีเอ็มดับเบิลยูขับออกไปจากหน้าบ้าน
“มีเจ้านายดีก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ” ผมยิ้มเฝื่อน หากจะมีใครนึกสงสัยเรื่องผมกับวิคเตอร์ที่สุดในตอนนี้ก็คงเป็นพ่อนี่แหละ ตั้งแต่วันที่วิคเตอร์มาหารอบนั้นเขาก็ยังไม่ได้พูดอะไร แต่เวลาแม่เอยถึงเรื่องงานผมที่นิวยอร์ก (ที่ไม่มีจริง) พ่อก็จะมีประเด็นมาถามย้อนแย้งแนวๆ นี้อยู่บ่อยๆ
และที่สำคัญ ตอนนี้พ่อกับแม่รู้แล้วว่าวิคเตอร์เป็นดารานักแสดงที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งในวงการบันเทิงตะวันตก มันอาจไม่ใช่เรื่องน่าตกใจหรือน่าตื่นเต้นอะไร แต่ผมรู้สึกว่านั่นเป็นการทำให้พ่อผมยิ่งสงสัยในตัววิคเตอร์มากขึ้น
“ก็ดี แต่ดีไปรึเปล่า ใส่ใจลูกน้องเกินไปพ่อว่า” ผมไม่รู้ว่าพ่อจะเห็นข่าวระหว่างผมกับวิคเตอร์บ้างหรือยัง พ่อไม่ใช่คนชอบเรื่องวงการบันเทิงก็จริง แต่พ่อก็ไม่ได้อยู่หลังเขาถึงขนาดที่จะไม่รู้หรือจะไม่ได้รับข่าวสารใดๆ เลย
“ใส่ใจมากไปก็ไม่ดีเหรอ” ผมยิ้มเจื่อน พ่อหรี่ตามองผมแวบหนึ่ง
“สงสัยแมทจะได้เจ้านายดีเกินไปแล้วมั้ง” ที่พ่อพูดนั้นไม่ใช่ประโยคกำกวมแต่อย่างใด สีหน้าจับผิดของพ่อที่แสดงออกมานั่นต่างหากที่ทำให้ผมมีความรู้สึกว่าตัวเองเหมือนวัวสันหลังหวะยังไงชอบกล
“ก็เป็นเรื่องน่ายินดีออก” ผมพยายามเก็บอาการกระต่ายตื่นตูมไว้ให้มิดชิด เวลาคุยกับพ่อในเรื่องที่ออกแนวโกหก ไม่ใช่ความจริง ต้องสงบนิ่งให้ได้มากที่สุด แม้ในใจจะกลัวว่าพ่อจับได้ที่สุดก็ตาม หากถามว่าระหว่างพ่อกับวิคเตอร์ ผมกลัวใครมากกว่ากัน บอกอย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า ผมกลัวทั้งสองคนนั่นแหละ เพราะสองคนนี้มีลักษณะนิสัยคล้ายคลึงกัน แม้นหน้าตาจะไม่เหมือนกันก็เถอะ
“เจ้านายแมทนี่หน้าตาดีเหมือนกันนะ” แน่ะ ยังไม่หยุดนะพ่อ นี่คือรู้แล้วใช่มั้ย หรือว่ายังไม่รู้ แบบนี้โคตรอึดอัดเลย จะพูดอะไรมากไม่ได้อีก เดี๋ยวจะกลายเป็นเผยไต๋ซะเอง
“ถ้าหน้าตาไม่ดีเขาจะได้เป็นดารารึไงล่ะ”
“เขามีแฟนรึยัง”
“ยัง แต่ก็คงมีคนคุยๆ ด้วยแหละ เรื่องนั้นแมทไม่ได้เข้าไปยุ่งเท่าไหร่” สายตาที่พ่อมองมานั้น แม้นจะนิ่งสงบ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันคืออาการของคนน้ำนิ่งไหลลึก ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องราวดีๆ เท่าไหร่ เพราะผมจะไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วพ่อกำลังรู้สึกนึกคิดยังไง
“อืม ก็ไม่น่าแปลก หล่อขนาดนั้นแฟนเขาคงสวยนะ” ผมชะงักกึก รับรู้อะไรบางอย่างในน้ำเสียงของพ่อ แต่ก็แสดงออกอะไรมากมายไม่ได้ ที่ทำได้คือยิ้มบางเบาและพยักหน้าไปเรื่อย ในใจเต้นกระตุกแปลกๆ นิดหนึ่ง
“ก็คงสวยแหละ ยังไม่เคยเห็นเหมือนกัน” ผมแสร้งพูดสมทบตีเนียน พ่อผงกหัวขึ้นนิดหนึ่ง
“แล้วเรื่องบวชว่ายังไง จะบวชก่อนไปอเม’กาอย่างที่แม่เขาขอรึเปล่า”
“ยังไงแมทก็บวช ไม่ว่าแมทจะเป็นยังไง เป็นอะไร แมทก็จะบวชให้แน่นอน…” ผมเอาบ้าง ส่งสัญญาณกลับไปในน้ำเสียงของตัวเอง พ่อรู้ว่าผมหมายถึงอะไรเพราะเขาแอบหลบสายตาผมไปนิด
“…แต่แมทขอไปเก็บประสบการณ์การทำงานสักพักได้มั้ย ขอเก็บเงินด้วย ไม่เกินปี แมทกลับมาบวชแน่นอน” ณ ตอนนี้ การไปอเมริกาของผมคือการไปอยู่กับวิคเตอร์ ไม่ได้ไปทำงานอย่างที่บอกพ่อกับแม่ แต่ผมตั้งใจว่าเมื่อไปถึงยังไงผมก็ต้องหางานทำ จะให้อยู่เฉยคงไม่ได้
“พ่อไม่ได้มีปัญหา แต่เคลียร์กับแม่เขาให้เข้าใจแล้วกัน” ผมพยักหน้ารับคำ
“แล้วนี่แม่ไปไหน”
“ไปเล่นกับน้องพรีม” ผมพยักหน้าอีกรอบ หมุนตัวเดินเข้าไปด้านในบ้าน ปล่อยให้พ่อนั่งหน้าร้านต่อไป อีกนัยหนึ่งคือผมไม่อยากอยู่ต่อประเด็นให้ตัวเองเป็นที่สงสัยของพ่อมากไปกว่านี้
ผมเดินขึ้นไปบนห้องนอน เปิดไฟให้ความสว่าง กดเปิดแอร์เพื่อให้ความเย็น ผมมองนาฬิกาดิจิตอลข้างหัวเตียงก็ต้องขมวดคิ้วไปนิด เพราะเวลานี้วิคเตอร์น่าจะคอลสไกป์มาแล้วตามที่เขาบอก อันที่จริงเขาควรคอลมาตั้งแต่สองชั่วโมงก่อนที่เขาบอกไว้ ผมหยิบมือถือขึ้นมาดู เท่านั้นแหละผมก็รู้สึกถึงอาการหน้าซีดทันที
แบตหมด!
ผมยกมือเกาหัวแรงๆ เดินไปเปิดแม็คบุ๊ค หยิบสายชาร์ตโทรศัพท์ออกมาชาร์ตโทรศัพท์แล้ววางไว้บนโต๊ะทำงาน ผมเลื่อนเม้าท์ไปคลิกโปรแกรมสไกป์ในแม็คฯ พอกดออนไลน์ได้ยังไม่ถึงสิบนาที เสียงคอลวีดีโอก็ดังขึ้น ยังไม่ทันได้กดรับ ผมก็รับรู้ถึงกระแสความไม่พอใจของไอ้ยักษ์หน้าหนวดมาจากนิวยอร์ก
“H—hi.” ผมทักเขาเสียงสั่นตอนที่กดรับ ใบหน้าเขาเรียบนิ่ง ไม่รู้ว่าโกรธจัดหรือว่าไม่ได้โกรธกันแน่ ซึ่งอันหลังนี่ผมกำลังคิดว่าตัวเองน่าจะฝันอยู่นะ
“ปิดเครื่องเหรอ” เขาถามเสียงสงบ ใบหน้าหนวดเครานั่นก็ดูสงบตามเสียง
“แบตผมหมด อย่าโกรธนะ” รีบอ้อนไว้ก่อน ถ้าเขาจะโกรธ จะได้ไม่ทรงพลังมากจนเกินไป
“ตอนแรกโกรธ แต่พอดีออสตินรายงานว่าส่งนายถึงบ้านแล้ว” อันนี้คือผมต้องขอบคุณพ่อบอดี้ศพนั่นรึเปล่าที่ช่วยพยุงชีวิตของผมไว้
“ไปอยู่ไหนมา” เขาถามต่อ ผมยกแม็คบุ๊คขึ้นจากโต๊ะ เดินไปนั่งบนเตียง เอาหมอนเป็นที่รองแม็คฯ ไว้ ขยับปรับหน้าจอให้เข้าที่เข้าทางเล็กน้อย นั่งพิงหัวเตียงคุยกับเขา
“คุยกับพ่ออยู่ครับ” ถ้าเป็นเรื่องคนในครอบครัว วิคเตอร์จะไม่ว่า ไม่โมโหใส่ หรืองี่เง่าใดๆ ใส่ผม แต่ถ้าลองผมบอกว่า คุยกับเพื่อน อยู่กับคนอื่น ติดธุระอยู่กับใครสักคนที่นอกเหนือจากพ่อและแม่ ผมจะไม่ได้เห็นเขาพยักหน้ารับรู้แบบสุภาพอย่างนี้หรอก
“ออกไปถ่ายงานกี่โมงครับ”
“เก้าโมง” ผมพยักหน้านิดหน่อย แอบสำรวจอารมณ์เขาแวบหนึ่งว่าตอนนี้เขาไม่ได้โกรธอย่างที่ปากพูดแล้วแน่หรือเปล่า
“คุณกับเซล่า (Cayla) เคลียร์กันเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย” ผมถามถึงเรื่องระหว่างเขากับโฆษกส่วนตัวที่ทำเขาโมโหก่อนกลับไปนิวยอร์ก กับประเด็นเรื่องราวของผมกับเขาที่เธอไม่ต้องการให้เป็นข่าวใหญ่โตไปมากกว่านี้ หลังจากวันนั้นวิคเตอร์ก็ยังไม่ได้เล่าอะไรให้ผมฟังเพิ่มเติมมาก บอกแค่ว่าเดี๋ยวเขาเคลียร์เอง ไม่รู้ว่าเคลียร์ไปถึงไหนแล้ว
“พูดกับเธอ ฝึกไมเคิลให้ฉี่ลงโถส้วมยังง่ายกว่า” ผมอมยิ้มขำ หน้าตาวิคเตอร์บ่งบอกว่าเซ็งและเบื่อโฆษกคนนี้มาก ผมไม่รู้ว่าเธอดูน่าเบื่ออย่างที่วิคเตอร์บอกรึเปล่า เพราะเอาเข้าจริงวิคเตอร์ก็เบื่อคนไปทั่วนั่นแหละ ยิ่งถ้าคนไหนขัดใจเขามากๆ คนนั้นจะกลายเป็นบุคคลน่าเบื่อ นิสัยน่ารำคาญไปทันทีในสายตาเขา
“แล้วคุณกับคุณชารอนล่ะ เป็นยังไงกันบ้าง” วิคเตอร์ขมวดคิ้วแน่น หน้าตาเขามีความงงงวยกลับมา
“แล้วจะให้ฉันกับเธอเป็นยังไงล่ะ เราไม่ได้เป็นอะไรกันนี่”
“ก็แหม กระแสข่าวระหว่างคุณกับเธอก็แรงพอๆ กับกระแสหนังนั่นแหละ” เป็นความจริงที่ว่าเหล่าบรรดาแฟนคลับนั้นมโนคู่นี้แรงพอๆ กับคู่จิ้นที่ผมเคยติดตามในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง มีอินสตาแกรมคู่ของสองคนนี้ผุดขึ้นเพียบนับตั้งแต่ค่ายหนังปล่อยภาพเบื้องหลังการถ่ายทำของพระนางออกมา ซึ่งภาพนั้นเป็นภาพโมเม้นต์ชวนฟินของเหล่าแฟนๆ ได้ดีเหลือเกิน
“กำลังจะคิดมากอีกแล้วใช่มั้ย” เขาหรี่ตามอง แววตาเหมือนจับผิดอาการของผมอยู่
“ผมไม่ได้คิดมากสักหน่อย” ผมบอกเสียงอู้อี้แล้วทำแก้มป่องน้อยๆ แอบเลื่อนสายตาหลบดวงตาคู่คมของเขา วิคเตอร์ทำสีหน้าว่าไม่เชื่อ
“แน่ใจ?”
“แน่สิ ผมรู้น่าว่าอะไรเป็นอะไร”
“ไม่ใช่แค่รู้ แต่นายต้องเชื่อใจฉัน เข้าใจมั้ย” คิ้วเขาย่นหน้าตึง สีหน้าเขาซีเรียสกับสิ่งที่ถาม ผมยกยิ้มมุมปาก พยักหน้าแทนคำตอบ วิคเตอร์เลิกคิ้วขึ้นสูง ผมถอนหายใจแผ่วเบา
“เข้าใจครับ”
“ทำให้ได้อย่างที่พูดและที่พยักหน้าไปด้วย”
“คุณก็อย่าวอกแวกแล้วกัน ชารอนเธอก็ใช่ว่าหน้าตาขี้เหร่สักหน่อย” เธอสวยมาก แถมยังมีความน่ารักผสมด้วย ถึงวิคเตอร์จะเคยบอกว่าเธอมีแฟนแล้ว แต่ใครจะไปรู้ล่ะ วิคเตอร์กับเธอใกล้ชิดกันเกือบทุกวัน บางทีมันอาจจะเป็นตัวแปรของทั้งคู่ก็เป็นได้
“ใช่ เธอไม่ได้หน้าตาขี้เหร่อย่างนาย ฉันไม่ชอบหรอก” เขายิ้มกว้างอย่างขบขัน ผมเบ้ปากใส่เขาแรงๆ จนเขาหัวเราะเสียงทุ้ม
“แล้วกระแสข่าวที่นั่นเป็นยังไงบ้าง” ผมสามารถติดตามข่าวได้จากโลกโซเชียลก็จริง แต่ผมไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วกระแสเรื่องเขากับผมนั้นเป็นอย่างไร วิคเตอร์ไม่ได้ประกาศชัดเจนก็จริงว่าผมกับเขาคบกัน แต่จากภาพในอินสตาแกรมเขานั้นมันสามารถเป็นประเด็นได้ไม่หยุด อันที่จริงรูปนั้นมันไม่เท่าไหร่หรอก รูปในแฟนเพจเฟซบุ๊คของผมกับเขาต่างหากที่สื่อต่างๆ เอาไปเปิดประเด็นเพิ่มเติม แต่พวกนั้นก็ไม่ได้เขียนข่าวโจ่งแจ้งอะไรมาก เพราะเอาเข้าจริงแล้วก็ยังไม่มีอะไรหลุดออกจากปากวิคเตอร์เลยสักนิด
“ไม่ต้องไปสนใจข่าวนักหรอก แค่ใช้ชีวิตของเราปกติต่อไปนั่นแหละ…” เขาขยับตัวลงจากเตียง หยิบเสื้อยืดมาพาดบ่า หน้าจอสั่นเคลื่อนไหวไปมายามที่เขาก้าวเท้าเดิน
“…ว่าแต่นายโอเคนะที่เรื่องของเราจะอยู่ไปเงียบๆ แบบนี้” ผมพยักหน้ารับรัวๆ
“โอเคมากๆ ครับ ไม่ต้องบอก ไม่ต้องพูด อยู่เงียบๆ แบบนี้แหละ” วิคเตอร์ยิ้มเนือยดูเหนื่อยหน่ายใจ
“ไม่อยากเปิดตัวบ้างเหรอ” ผมทำปากยู่ ย่นคิ้วใส่จอ เอานิ้วชี้เกาหัวคิ้วขวาเบาๆ
“จำเป็นต้องเปิดด้วยเหรอ ผมไม่ได้พูดให้ตัวเองดูดีนะ แต่ผมคิดว่า อยู่แบบนี้ผมก็มีความสุขดีแล้ว จะเปิดหรือปิด เราก็ยังรักกันไม่ใช่เหรอ” ผมพูดตาแป๋ว กระพริบตามองหน้าวิคเตอร์ปริบๆ ไอ้ยักษ์ยิ้มกว้างจนร่องแก้มขึ้น แววตาวิบวับจับจ้องมองหน้าผม
“ฉันแข็งแล้ว” ผมเบิกตากว้าง ใบหน้าร้อนฉ่า วิคเตอร์ใช้ลิ้นเลียริมฝีปากล่างอย่างเชื่องช้า
“ขะ… แข็งได้ไง ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” ผมทำแก้มอูม รู้สึกทึ่งหน่อยๆ กับปฏิกิริยาแห่งต่อมความรู้สึกทางเพศของเขา
“นายพูดจาเข้าท่าดี” โอ๊ะ แค่เนี้ยน่ะเรอะ เพิ่งรู้ว่าคำพูดสร้างอารมณ์ได้ด้วย
“ช่วยตัวเองไปสิ”
“แล้วอาทิตย์ก่อนฉันทำอะไรล่ะ” เขายิ้มร้ายกาจ ผมหน้าแดงแปร๊ดไปทั่วหน้า
อาทิตย์ก่อน เรากำลังคุยกันผ่านหน้าจอแบบนี้ละ สักพักเขาก็บอกว่ามีอารมณ์ ผมก็ไม่รู้จะช่วยยังไง เขาเลยบอกให้ผมถอดเสื้อผ้า นอนเปลือยนิ่งๆ บนเตียง นอกนั้นเขาจะจัดการเอง เขามองผมด้วยสายตามัวเมา ใช้มือรูดรั้งลูกชายเขาไปเรื่อย ตอนแรกผมก็นอนนิ่ง แต่พอเห็นแฟนตัวเองชักขึ้นลง แมทน้อยมันก็ตื่นตัว วิคเตอร์ยิ้มยั่วและบอกให้ผมทำตามเขา เราเลยนั่งช่วยตัวเองผ่านหน้าจอจนเสร็จ เป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับผมมาก
“อันที่จริงฉันอยากฟัดนายตัวเป็นๆ มากกว่า เฮ้อ… อีกนานเลยกว่าฉันจะได้ไปหานาย” เขาบ่นสีหน้าเซ็ง ถอนหายใจยาวๆ
“ตั้งใจทำงานก่อนเถอะครับ ว่างแล้วค่อยมาก็ได้”
“ห้ามนอกใจฉันนะแมท” เขามองผมด้วยสายตาดุๆ ผมกลอกตาหน้าเอือม ว่าแต่ผม เขาเองก็ชอบทำท่าว่าไม่ไว้ใจผมเหมือนกันนั่นแหละ
“คุณส่งออสตินประกบผมขนาดนี้ ผมจะเอาเวลาที่ไหนไปนอกใจคุณเนี่ย” แววตาเขาหยาบกระด้างขึ้นไปนิดเมื่อผมพูดจบ ผมงุนงงกับท่าทีของเขา
“หมายความว่าถ้าไม่มีออสตินนายจะมีคนอื่นใช่มั้ย?!” หะ…หา?! ทำไมคิดไปอย่างได้ล่ะ ไม่ได้หมายความอย่างนั้นเลยนะ
“เปล่า! ผมไม่ได้จะทำแบบนั้น”
“ก็ลองทำสิ นายโดนล่ามโซ่แน่!” เขาเปล่งเสียงแข็ง ใบหน้าขึงตึงขึงขัง ผมขมวดคิ้วงง กำลังงงว่าเขาพาผมมาจุดที่เขาเสียงดังใส่ผมได้ยังไง
“ผมรู้แล้วละครับว่าคุณมีโซ่” ห้อยอยู่ในห้องเซ็กส์ทอยนั่นไง
“รู้แล้วก็ดี และฉันทำจริงนะถ้านายนอกใจฉัน” บ๊ะ! สวยเว้ยยย! ผัวรักผัวหลง แต่กลัวมันจะรักจะหลงแค่ช่วงโปรโมชั่นนี่ละวะ
“คุณเห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย” ผมขมวดคิ้วใส่พ่อยักษ์หน้ายุ่ง ไม่รู้จะหึง จะหวงอะไรนักหนา เออ ถ้าว่า ผมหน้าตาเป๊ะปังกะละมังถังแตกจะไม่ว่าเลย นี่มีอะไรดึงดูดตัวผู้บ้าง ถ้ามันจะมี ผมไม่โสดร้างค้างแรมมานานเป็นยี่สิบกว่าปีหรอก
“ฉันรักนายนะ” โอเค แค่ประโยคเดียว เล่นเอาอ่อนระทวยเลย ไม่ว่าเขาจะเห็นผมเป็นคนยังไง แต่ที่สำคัญคือเขารักผมนี่ละนะ ฮี่ๆ เขินจัง โดนบอกรัก
“ผมก็รักคุณ คุณเองก็ห้ามนอกใจผมล่ะ คุณอะมันเจ้าชู้ มักมากในกาม”
“มักมากในกามไม่ปฏิเสธ แต่ฉันก็มักมากกับนายคนเดียว ส่วนเรื่องเจ้าชู้ การที่ฉันมีอะไรกับใครมาเยอะ ไม่ได้หมายความว่าฉันหลายใจสักหน่อย ถ้างั้นฉันก็มีแฟนเป็นร้อยคนแล้วสิ” อันนี้ก็จริงอยู่ วิคเตอร์มีแฟนมาแค่สองหรือสามคนเอง แล้วแต่ละคนเขาก็ใช่ว่าคบแปบๆ แล้วเลิก คบกันนานพอสมควร อย่างคนแรกที่ว่าเป็นรักแรกของเขานั้นก็สามสี่ปีอยู่นะ
“โอเค เอาเป็นว่าเราต้องเชื่อใจกัน”
“นายห้ามคิดมากเรื่องฉันกับชารอน โอเค๊?” ผมกำลังจะพยักหน้า แต่สักพักก็ทำปากยื่น หน้าตาหงอยเหงา
“แต่คุณกับเธอก็เหมาะอย่างที่พวกแฟนคลับเขาว่าจริงๆ นะ ชารอน (Sharon) กับวิคเตอร์ (Victor) รวมกันเป็นชาเตอร์ (Shator)” อันนี้เป็นชื่อกลุ่มแฟนคลับของสองคนนี้ ที่เมืองนอกมักจะมีแบบนี้แหละ พระนางคนไหนที่เคมีเข้ากันมากๆ เขาจะเอาชื่อมาบวกกัน ทำเหมือนว่าเป็นคนๆ เดียวกันอะไรประมาณนั้น ที่ไทยก็มีมั้ง แต่ผมไม่ค่อยติดตามคู่จิ้นเมืองไทยเท่าไหร่
“สู้มอนด์แมท (Mondmatt) ไม่ได้หรอก” กำลังทำหน้านอยด์ๆ อยู่ถึงกับขำเสียงดังที่เขาเอานามสกุลตัวเองกับชื่อเล่นผมมาบวกกัน พอเห็นว่าผมหัวเราะได้ เขาเลยยิ้มกว้างแบบที่ผมชอบมอง
“That’s nice. (เก๋จัง)” เขายักคิ้วหลิ่วตาอย่างน่ามองมาให้ ผมยิ้มเขินอยู่คนเดียว กรี๊ด~ >< คือเขาเท่ง่ะ
“จะเริ่มไปฟิตเนสเมื่อไหร่”
“อาทิตย์หน้าแล้วครับ” กว่าจะขอไปได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเขาไม่ชอบที่ผมต้องไปอยู่ในสถานที่ที่มีผู้ชายเยอะขนาดนั้น ผมก็เถียงกลับไปว่าไม่มีใครมาสนใจกันหรอก ทุกคนไปออกกำลังกายไม่ได้ไปหาคู่ เขางอแงจะไม่ให้ผมไป ต้องอธิบายเหตุผลว่าที่ผมไปก็เพราะอยากมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเพื่อที่จะได้รบกับเขาบนเตียงได้ ท่าทีเขาตอนที่ได้ยินประโยคนี้นั้นสงบลง สีหน้าแบ่งรับแบ่งสู้ ผมเลยต้องออกอาการอ้อนผสมกับความดื้อด้านของตัวเองลงไปอีกนิด เขาเลยจำยอมให้ผมไปฟิตเนส แต่มีกฎว่าห้ามจ้างเทรนเนอร์ ให้ออสตินไปเฝ้า ต้องรายงานว่าแต่ละวันเล่นอะไรไปบ้าง เพื่อที่จะดูว่าผมไปออกกำลังกายจริงหรือไม่ ดู๊ดู เรื่องผีบ้าผีบอ ผีเข้าผีออก คำสั่งเพี้ยนๆ นี่ขอให้บอกพ่อยักษ์เขาเถอะ
“ห้ามเข้าใกล้ผู้ชายคนไหน แล้วอย่าให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้ ไม่งั้นฉันสั่งออสตินยิงมันทิ้งจริงๆ ด้วย” โอย หึงกะด้อกะเดี๊ยน้อ มันบ่อมีไผมาซอบข่อยดอกกก
“อย่าบ้าน่าวิคเตอร์”
“ฉันบ้าได้มากกว่าที่นายคิดอีก…” เออ ผมเชื่อสนิทใจเลยแหละ
“…เฮ้ ทักทายไมเคิลหน่อยซิ ไมเคิลทักทายแม่แกหน่อยเร็ว” จากที่กำลังอึนๆ อัดอั้นในอก พอได้เห็นหน้าตาน่ารักของเจ้าไมเคิลตัวอ้วน ผมก็ฉีกยิ้มกว้าง มันส่ายหางตอบรับวิคเตอร์ ดวงตามองมาทางจอมือถือด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“มันงงแน่เลยว่าคืออะไร” ผมว่าด้วยรอยยิ้มตลกขบขันกับสีหน้าเอ๋อๆ ของมัน เจ้าหมาตัวโตแลบลิ้นห้อย คิ้วย่นยึกยักไปมา คงกำลังสงสัยว่าสิ่งที่วิคเตอร์ถืออยู่นั้นกินได้หรือเปล่า
“แมทไง แม่แกน่ะ จำได้มั้ย” มันมองวิคเตอร์ด้วยสายตาว่าอะไรเหรอ ผมหัวเราะกับท่าทีของเจ้าหมา ไมเคิลมันคงไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพ่อมันเอาจอกระจกสี่เหลี่ยมชิดจมูกมันทำไมนักหนา
“มันกลับมาตอนไหนครับ”
“เมื่อวานตอนเย็น คนเลี้ยงเอามันมาส่งหน้าบ้านเลย” ช่วงที่เขามาไทย เขาเอาไมเคิลกับฟอกซ์ไปฝากไว้กับคนรับเลี้ยงคนเดิม คนที่ผมเคยไปรับไมเคิลกลับมาบ้านเมื่อตอนช่วงฝึกงานอยู่กับเขา ตอนเขากลับไปช่วงแรกๆ งานเขาค่อนข้างยุ่ง เขาเลยยังไม่กล้าไปรับไมเคิลมาอยู่ด้วย เพราะกลัวจะดูแลมันไม่ดีแต่ตอนนี้เขาเอามันกับเจ้าฟอกซ์กลับมาอยู่ด้วยแล้ว เนื่องด้วยเขาไม่อยากให้บ้านเงียบเหงาจนเกินไป
“แล้วฟอกซ์ไปไหน” วิคเตอร์นั่งยีหัวไมเคิลเล่น สายตาสอดส่องมองหาเจ้าแมวตัวอ้วนสีเทารอบบ้าน
“สงสัยแอบขึ้นไปบนดาดฟ้าอีกแล้วมั้ง” เขาก้มลงไปมองเจ้าไมเคิลตามเดิม สั่งให้มันเห่า แต่มันกลับทำหน้าโง่แบบน่ารักกลับมา ผมนั่งหัวเราะกับปฏิกิริยาที่มันแสดงออกมา ช่างน่ารักน่าชังน่ากอดชะมัด
“ทำไมไม่เห่าเลย ไม่คิดถึงแม่แกเหรอ” มันยังคงย่นคิ้วใส่พ่อมัน สายตามองสลับที่หน้าจอกับหน้าวิคเตอร์
“ไมเคิล…” ผมลองเรียกชื่อมัน แล้วก็เหมือนจะได้ผลเมื่อเจ้าตูบหันรีหันขวางมองไปรอบบ้าน
“…ไมเคิล เห่าซิ” ผมสั่งมันผ่านจอ มันลุกขึ้นยืนแล้วเดินวนรอบตัววิคเตอร์ เขามองตามมันแล้วหัวเราะยกใหญ่กับท่าทีตื่นเต้นของมัน ไมเคิลดมดอมไปทั่วตัวเจ้านายมัน วิคเตอร์ยื่นหน้าจอเข้าไปใกล้มันอีกนิด
“ไมเคิล เห่าหน่อยเร็ว โฮ่ง!!!” มันหยุดนิ่งเหมือนกำลังฟังว่าต้นกำเนิดเสียงมาจากไหน มันจ้องมองที่จอมือถืออีกรอบ ผมยกมือทักทายมัน
“โฮ่ง!!” ผมลองส่งเสียงนำไปอีกครั้ง ไมเคิลโบกหางเป็นพวงของมันแรงขึ้น กำลังจะอ้าปากส่งเสียงเห่าเป็นต้นเสียงให้มันอีกครั้ง เสียงเห่าอันทรงพลังก็ดังลั่นบ้าน
“โฮ่ง!!!” ทั้งผมทั้งวิคเตอร์หัวเราะเสียงดังลั่น เขาเอาแขนกอดคอเจ้าหมาตัวอ้วนไว้ สีหน้าเขามีทั้งความรัก ความมันเขี้ยวไมเคิลเต็มเปี่ยม
“ทีฉันสั่งแกไม่เคยเห่าเลยนะ” เขาว่าพลางยีหัวไมเคิลแรงๆ เจ้าหมาใหญ่นั่งมองหน้าจอลิ้นห้อย มีการยกเท้าขวาขึ้นมาแตะหน้าจอทำท่าจะสวัสดีผมด้วย
“เรารู้กันเนอะไมเคิล” ผมยิ้มกริ่ม ส่งเสียงหยอกล้อกับเจ้าโกลเด้นท์ด้วยความคิดถึง
“เดี๋ยวฉันจะเอาไมเคิลไปทิ้ง” วิคเตอร์ยกจอไปที่หน้าตัวเอง เขายักคิ้วกวนๆ กลับมาให้ ผมแสร้งมองเขม่นกลับไป
“กับหมาก็ยังหึงเนาะ”
“แต่ท่าหมาเป็นหนึ่งในท่าที่ฉันชอบเวลาอึ๊บนายนะ” ผมยิ้มจมูกบาน วิคเตอร์หัวเราะเสียงใส จะว่าไปช่วงนี้หน้าตาเขาดูผ่องใสมากเลย
“ผมชอบท่านั่งตักคุณนะ” ผมแลบลิ้นด้วยความเขิน พูดเองก็เขินเอง ผมย่นคอห่อไหล่เพราะเริ่มรู้สึกกระดากปากกับสิ่งที่ตัวเองพูดไปมาก ยิ่งพอเห็นรอยยิ้มหล่อๆ ของพ่อยักษ์หนวด ก็ยิ่งเขินอายจนต้องหัวเราะคิกคัก
“ชอบท่าเดียวเองเหรอ” เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปทางตู้เย็น ผมทำหน้ายู่
“ชอบทุกท่าที่คุณทำนั่นแหละ…” เขายิ้มกริ่ม
“…แต่ไม่เอาตอนคุณโกรธนะ” เพราะจะไม่มีอะไรน่าอภิรมย์เลยสักนิด
“ถ้านายไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่ขัดคำสั่งฉัน ฉันจะโกรธทำไมล่ะ” พูดอย่างกับตูเป็นเด็กอายุน้อยๆ แบบว่าเพิ่งเข้าอนุบาลหนึ่งหมาดๆ อะไรแบบนั้น
“Aye! (ครับผม!)” ผมทำเสียงจริงจังหน้าตาขึงขัง ยกมือขวาขึ้นมาตะเบ๊ะเหมือนทหาร นี่ถ้ายืนตรงทันจะยืนขึ้นแล้วละ
พ่อยักษ์รูปหล่อยกยิ้มเท่ ยกกล่องนมกระดกเข้าปากไปสองสามอึก “อยู่กับออสตินมากไปจนติดนิสัยทหารเขามารึไง” เขาว่าพลางเก็บกล่องนมกล่องใหญ่เข้าไปในตู้เย็นตามเดิม
“ไม่เอาหรอก นิสัยอย่างเขาไม่น่าลอกเลียนแบบเลยสักนิด” วิคเตอร์ยิ้มมุมปากเพียงนิด หมุนตัวไปเท้าแขนกับโต๊ะหินอ่อนในครัว
“อยู่ใกล้กันมาก ห้ามชอบออสตินนะ”
“คุณย้ำบ่อยแล้วเนี่ย” มีผู้ชายคนเดียวที่วิคเตอร์จะไม่ย้ำเรื่องการเข้าใกล้ผมนั่นคือพ่อของผมเอง เขายักคิ้วหนึ่งที ทำสีหน้าว่าไม่สนใจกับสีหน้าระอาของผม
“คิดถึงฉันมั้ย” เขาถามตาใส ผมชอบมองหน้าเขาเวลาแบบนี้นะ เหมือนเด็กน้อยที่ถามด้วยความบริสุทธิ์ใจ ถามออกมาจากใจ ไม่มีเลศนัยอะไร
“ที่สุดเลย” ผมยิ้มละมุน ถ้าอยู่ด้วยกันตอนนี้ ผมจะเข้าไปกอดเขาไว้แน่นๆ
“I wanna fuck you. (อยากเอานายจัง)” ผมย่นคิ้วเล็กน้อย ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มหน่ายหน่อยๆ
“Could you try to change to ‘I wanna hug you’ instead. Do you? (กรุณาลองเปลี่ยนเป็น ‘ฉันอยากกอดนาย’ แทนได้มั้ย)” เขายิ้มหล่อ ยืดตัวขึ้นเต็มความสูง หน้าอกเปลือยเปล่านั้นยังคงแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ
“Okay. I wanna hug you…” ผมยิ้มแฉ่ง
“…And fuck you, too.” ผมหุบยิ้มฉับทันควันจนวิคเตอร์หัวเราะลั่นกับหน้าตาผมที่เปลี่ยนว่องไวไปมา สุดท้ายอีพ่อยักษ์มันก็วกเข้าหาเรื่องตรงเป้ากางเกงได้เสมอ
ผมนั่งพิงหัวเตียงคุยกับเขาต่อไปเรื่อย จะขอวางเขาก็ไม่ยอมวางหรอก ต้องรอให้เขาเอ่ยปากเอง ถ้าวางก่อนเดี๋ยวงอนอีก นอกจากว่าผมจะมีธุระเร่งด่วนจริงๆ เขาถึงจะยอมให้ไป ผมคุยไปหาวไป แอร์เย็นฉ่ำ กับอาการเพลียๆ นิดหน่อยตลอดวันเลยทำให้หนังตาเริ่มปิดลง เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงโวยวายของวิคเตอร์
“เอเลี่ยน! ฉันยังไม่หายคิดถึงเลยนะ อย่าเพิ่งหลับ…” ไว้คิดถึงวันอื่นบ้างก็ได้
แม้ตัวจะห่างกัน แต่ไอ้ยักษ์ก็ไม่ยอมให้เมียเด็กห่างไกล คริๆ คุมเข้มยิ่งกว่ากองกำลังทหารรักษาองค์หญิงแคว้นอิสระ ให้พี่แกหน่อย แห้งแล้งไปนาน มีคนมาเติมความชุ่นชื้นให้เลยใจกระชุ่มกระชวย กริ๊บกริ้ววว
ฝากนิยายเรื่องใหม่หน่อยน้าาา
ลิงก์ค่าา >
Woks The Magic!ขอบคุณคนอ่าน ณ เล้าเป็ดมากๆ ค่ะ เจอคำผิดบอกด้ายยยย