First fight of Father-in-law VS Son-in-law“โอ๊ยยยย อีดอกกก! แหวนเพชรบนนิ้วเพื่อนค่ะ แหวนเพชรรร!” ผมอมยิ้มเม้มปากเขินจมูกบานในขณะที่พวกเพื่อนๆ ดึงมือผมไปทางนั้นทีทางนี้ทีเพื่อดูแหวนหมั้นบนนิ้วนางข้างซ้าย
“แม่งงง! เพื่อนกูมีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้วอ่ะ แบบของจริงอ่ะ ไอ้เหี้ย”
“เฮ้ย เดี๋ยวๆ อีแชมป์ มึงอินอะไรขนาดนั้นอ่ะ อินเนอร์แรงไปนะ” ผมยกมือตีหัวไอ้ตี๋ไปหนึ่งป้าบ มันหดคอลงแล้วหัวเราะเสียงดังลั่นร้านจิ้มจุ่มแถวมอ
ทาดา! ผมกลับมาไทยได้สามวันแล้ว ยังไม่ทันได้พักเอาแรงจากการเดินทางหนึ่งวันเต็มๆ ผมก็โทรนัดเพื่อนๆ ให้มาเจอกันที่ร้านจิ้มจุ่มเจ้าประจำของพวกเราแถวมหาวิทยาลัย ผมคิดถึงพวกมันมาก ไม่ได้เจอกันมาครึ่งปี อีกสามเดือนจะสิ้นปีแล้ว และผมกำลังจะบวชต้นเดือนหน้า เลยกลับมาเตรียมตัวก่อน แต่พวกมันก็ไม่ได้มากันทุกคนหรอก ขาดไอ้วอร์มกับแบมไปสองคน ซึ่งไอ้สองคนนี้ติดงานจริงๆ ถึงเลิกงานแล้วก็เกรงว่าจะมาดึกไป เลยกะนัดเจอกันวันอื่นอีกที เพราะถ้ามัวแต่รอกันไปมา ผมก็อาจจะไม่ได้เจอใครเลย
“แล้วผัวมึงไปไหนล่ะ ทำไมไม่มาพร้อมกัน หนีไปกับชู้แล้วเรอะ?!” ผมกัดฟันแน่น หยิบผักกาดขาวจากจานขึ้นมาตีหัวไอ้แชมป์ไปหนึ่งฟาด มันก็ยังหน้าด้านหัวเราะเฮฮาอยู่
“เขาถ่ายหนังโว้ย จะให้เขามาได้ยังไง”
“หนังโป๊เหมือนกิ๊กมึงอะเหรอ”
“เอ๊ะ?! ไอ้แชมป์ ตีนมึงอะอยู่เฉยๆ บ้างเหอะ ไม่ต้องกวนบ่อย” มันสะทกสะท้านที่ไหน หัวเราะยิ้มกริ่ม ยื่นมือมาบีบแก้มผมเบาๆ จนผมต้องเอาผักตีหัวมันอีกที
“โห่ เสียดาย อยากเจอผัวแกอะ”
“เดี๋ยวๆ แคท เพื่อน นี่เพื่อนกลับมานะ คิดถึงเพื่อนก่อนผัวเพื่อนมั้ย ลองทำดู” ผมคีบหมูสามชั้นจุ่มลงไปในถ้วยน้ำจิ้มแล้วเอาใส่ปาก เคี้ยวกรุบๆ อย่างเอร็ดอร่อย
“เดี๋ยวเขาก็ตามมาอีแคท เขาต้องมาเจอพ่อแม่อีแมทไง เรายังมีหวัง” แคททำหน้าเห็นด้วยกับเหมียวแล้วยื่นมือไปแท็กกันสองคน ผมมองจิกพวกมันเล็กน้อยแต่ปากก็ไม่หยุดคีบหมูเข้าปาก
“เออ พูดถึงว่าเขามาเจอพ่อแม่แก แกเตรียมตัวเตรียมใจบอกเขาว่าไงอ่ะ” ผมทำหน้าจ๋อยไปนิด ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเริ่มต้นพูดยังไงดีให้ละมุนละม่อมที่สุด
“เฮ้ย คิดไรมากวะ มึงก็บอกไปสิว่ามึงคบกัน เพราะยังไงพ่อแม่มึงก็รู้อยู่แล้วว่ามึงเป็นลูกสาว” ผมหันไปตีไหล่ซ้ายไอ้แชมป์ มันสะดุ้งพร้อมทำหน้าตกใจ
“เอ๊า กูพูดไรผิดเนี่ย?!”
“ไม่ผิด!...” ผมถอนหายใจแรงๆ “…แต่ก็จริงอย่างที่มึงว่า ก็คงบอกเขาเลยแหละว่าคบกันอยู่” เพื่อนผมทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย มันก็คงไม่ได้มีหนทางไหนดีไปกว่าการบอกเขาไปตรงๆ ว่าผมกับวิคเตอร์คบกัน
“โห่ แล้วก็มาตีกูเฉย มาให้กูปล้ำเลยนะ” ผมกำลังจะยื่นมือไปหยิกหัวนมไอ้แชมป์ แต่เสียงกระแอมของพี่บอดี้การ์ดคนไทยทั้งสามคนที่นั่งอยู่โต๊ะด้านหลังทำให้พวกเราชะงักและทุกคนก็หันไปมองก่อนจะหัวเราะกันครื้นเครง
“เดี๋ยวมึงเจอปืนอีแชมป์” ผมทำหน้าเหนือกว่ามัน ไอ้แชมป์เบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ ก้มลงกระซิบเสียงรอดไรฟันให้ผมได้ยินชัดๆ
“เดี๋ยวมึงจะเจอปืนกูยัดปาก” มันไม่ได้พูดให้วาบหวิวด้วย แต่พูดด้วยความหมั่นล้วนๆ ผมขมวดคิ้ว ยกมือซ้ายวางบนหัวมันแล้วเอามือขวาตีหลังมือตัวเอง ส่งแรงสะเทือนไปให้มันอีกที
“โอ๊ย ไอ้เหี้ย…” แล้วมันก็หัวเราะเหมือนคนเสียสติ ผมปล่อยให้มันบ้าคนเดียวแล้วหันไปกินหมูต่อ
“แล้วเดี๋ยวนี้ทั้งแกทั้งเขาช่วยกันดูแลตัวเองเหรอค้า ผัวก็หล่ออยู่แล้ว ก็ล๊อหล่อไปอีก อีเมียจากขี้เหร่ๆ เดี๋ยวนี้มีน้ำมีนวลน่ารักขึ้น” แคทพล่ามยาวพลางลวกหมูในหม้อไปด้วย ผมอมยิ้มเขินตัวบิดเล็กน้อยที่โดนชมว่าน่ารักขึ้น แต่ก็ต้องหน้าตึง ไหล่ตกวูบเมื่อเจอคำพูดอีแชมป์
“โอ๊ย คงโดนผัวเอาแทบทุกวัน น้ำแตกใส่หน้าจนหน้าเด้งขนาดนี้ไง” มึงนี่มันกวนตีนเกินมนุษย์ทุกคนที่กูรู้จักในชีวิตจริงๆ ผมกัดริมฝีปากล่างแล้วถลึงตามองไอ้ตี๋ปากดี มันยิ้มกว้างพร้อมหัวเราะ ผมยกมือขวาไปบิดหูซ้ายของมัน ไอ้แชมป์ทำท่าโน้มเข้ามาจะหอมแก้ม แต่ผมรีบปล่อยมือออกจากหูมันแล้วเบี่ยงหน้าหลบ
“อ๊ายยย อีแชมป์” เก้าส่งเสียงหวีดร้องพร้อมกับทำหน้าคล้ายคนกินของเปรี้ยวไปเต็มปาก แล้วสักพักมันก็พาคนอื่นหัวเราะเสียงดังลั่นร้าน ผมขมวดคิ้วมองไอ้แชมป์แล้วถลึงตาใส่อีกรอบ มันทำหน้าลิงหลอกเจ้าไม่สะทกสะท้านอะไรทั้งสิ้น
“อีแชมป์! ปากมึงนี่ยังคงรักษามาตรฐานหมาอวอร์ดได้ไม่หลุดเลยนะ!” ผมแหวใส่มัน และเริ่มเปลี่ยนมาเป็นหยิกไปตามแขนล่ำขาวๆ ของมันแทน ไอ้ตี๋ดิ้นหนียุกยิกแล้วใช้สองแขนรวบกอดผมไว้แน่น ไม่ให้ผมเอาคืนมันได้
“นี่ถ้าอีแมทเป็นผู้หญิง ฉันจะคิดว่านางกำลังท้อง” เหมียวเสริมพลางทำหน้าจริงจังกับความคิดนั้น ผมพยายามดิ้นให้หลุดออกจากอ้อมแขนไอ้แชมป์แต่ก็ไร้ประโยชน์
“ปล่อยได้มั้ยเนี่ย เจ๊าะแจ๊ะ!”
“โห่ ไรวะ เมื่อก่อนกูกอดมึง แทบจะปี้มึงก่อนผัวมึงอีก มึงยังไม่ว่าอะไรกูเลยนะ มีผัวแล้วเล่นตัวเหรอ ฮะๆๆ” มันว่าแล้วก็ระดมหอมแก้มผมไม่หยุด ชะนีสามนางที่เหลือก็หัวเราะเฮฮาไม่ได้คิดจะช่วยยับยั้ง นี่ดีนะออสตินอยู่นิวยอร์ก ไม่งั้นเขาคงส่งสายตาเย็นยะเยือกแทนเจ้านายตัวเองแล้ว
ใช่ ออสตินอยู่นิวยอร์ก แต่พี่การ์ดไทยทั้งสามนายอยู่นี่ไง ได้รับถ่ายทอดพลังทายาทอสูรจากออสตินมาเรียบร้อยแล้วด้วย
“เอ่อ คุณแมทครับ…” ผมกัดแขนหนาๆ ของไอ้แชมป์จนมันร้องเสียงหลงแล้วยอมปล่อยตัวผมออก ผมรีบหันไปหาพี่การ์ดทั้งสามคนที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถือตะเกียบค้างอยู่ในมือ
“พี่ไม่ต้องห่วง แค่พี่ไม่บอกเรื่องนี้กับเขา เราก็จะอยู่กันอย่างมีความสุข เนอะๆ” สามคนนั้นมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“กินต่อเถอะพี่ ร้านนี้อร่อยจริงๆ นะ” ทั้งสามคนยิ้มแกนๆ ท่าทางลำบากใจ
ผมกลอกตาหน้าเซ็ง “ไม่ต้องทำตัวเป็นออสตินทุกกระเบียดนิ้วก็ได้พี่”
นี่ถ้าพวกเขาเอาไปบอกวิคเตอร์ว่าไอ้แชมป์ทำกับผมแบบนี้ ระเบิดคงลงไม่ยั้ง และเลเวลความไม่ชอบไอ้แชมป์ก็จะเพิ่มมากขึ้นโดยที่ไอ้ตี๋มันไม่รู้เรื่องห่าอะไรเลย วิคเตอร์ก็บ้าไปคนเดียว พวกพี่การ์ดคนไทยทั้งสามคนยังคงยิ้มไม่เต็มปาก แต่ก็พยักหน้ารับแบบงึกๆ งักๆ ผมฉีกยิ้มกว้างเป็นการขอบคุณแล้วหันกลับมาหาเพื่อนๆ ตามเดิม แคทยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ผม
“แกๆ บอดี้การ์ดแกหน้าตาก็ไม่ได้แย่เลยนะ แบบนี้ผัวไม่ว่าเหรอคะ” ผมไหวไหล่หนึ่งที
“ผัวเลือกมาให้เองอ่ะ แล้วก็ พี่ๆ พวกนี้นะ ไม่ใช่คนพูดเยอะ พูดมาก วิคเตอร์เลยชอบ” พวกมันพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ (ยกเว้นไอ้แชมป์ที่นั่งกินเอาเป็นเอาตาย)
เป็นจริงอย่างที่ว่า พี่ๆ ทั้งสามคนไม่ใช่คนพูดมาก ไม่ใช่เป็นคนพูดน้อยแบบออสตินนะ สามคนนี้ถ้าชวนคุยเขาก็จะคุย แล้วคุยอย่างเป็นมิตรด้วย ผมเพิ่งเริ่มคุยกับพวกพี่เขาก็วันที่พี่ทั้งสามคนไปรับที่สนามบิน นั่งอยู่บนรถด้วยกันผมไม่อยากให้บรรยากาศเงียบเลยชวนคุย ก็เลยได้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนนิ่งจนน่าอึดอัด คือถ้าคุยก็คือคุย ไม่มีหยิ่งถามคำตอบคำ และไม่ได้เกรงใจผมในฐานะแฟนเจ้านายพวกเขาจนเวอร์ด้วย ส่วนเรื่องที่ไม่พูดมาก ไม่ใช่คนปากโป้ง อันนี้ออสตินบอกมา และผมคิดว่าน่าจะจริง
“แล้ววิคเตอร์เขาจะบินมาเมื่อไหร่อะ” เก้าถามพลางตักน้ำซุปในถ้วยตัวเองเข้าปาก
“อาทิตย์หน้านี่แหละ แต่ยังไม่ได้บอกว่าวันไหน ระหว่างนี้เขาก็บอกให้ฉันเกริ่นกับพ่อกับแม่คร่าวๆ ไปก่อน…” ผมทำหน้าลำบากใจ ไอ้พูดน่ะพูดได้นะ แต่เริ่มเกริ่นนี่ย้ากยาก
“…เออ แชมป์ ที่พ่อบอกมีเรื่องจะให้ช่วย สรุปรู้ยัง” ไอ้แชมป์ย่นหน้าแล้วส่ายหัวทั้งที่อาหารยังเต็มปาก ผมกลอกตานึกไปมา แต่ก็นึกอะไรไม่ออกเลยปัดทิ้งไป แต่สักพักก็รีบกลืนเนื้อปลาหมึกลงคออย่างเร็วเพราะมีเรื่องแทรกเข้ามาในหัวพอดี
“เออๆ เรื่องไอ้วอร์มเป็นไงมั่ง สรุปว่าเคลียร์ลงตัวยัง” แคทถึงกับวางตะเกียบลงและทำท่าจริงจังขึ้นมา แสดงว่ามันต้องมีอะไรแซ่บๆ เด็ดๆ แน่นอน
“ลงตัวสิคะ ไม่ลงตัวได้ไง พวกฉันแหกหน้านางจนสิลิโคนจะทะลักออกจากจมูก!”
“ตอนแรกนางไม่ยอมรับว่าท้องกับคนอื่น คือประเด็นนี้อีวอร์มก็ทำพวกฉันลำบาก มันไม่จำห่าอะไรเลยว่าได้กับเขาช่วงไหนยังไงบ้าง พวกฉันเลยต้องทำตัวเป็นสต็อกเกอร์ ตามติดชีวิตนางอยู่เกือบอาทิตย์ สุดท้ายจับได้ว่านางไม่ได้มีอีวอร์มคนเดียวจ้า พวกฉันเข้าชาร์จเลยค่ะ ถ่ายคลิป ให้นางสารภาพทั้งหมด แต่นางเองก็ไม่มั่นใจจริงๆ ว่าท้องกับวอร์มหรือกับใคร เพราะนางคบซ้อนไง” เหมียวเล่ายืดยาว ใส่อารมณ์ในแต่ละท่อนอย่างเหมาะสม ผมทำหน้าตื่นเต้น พอจะนึกภาพออกกับปฏิบัติการตามล่าของเพื่อนสาวทั้งสี่นาง ไอ้แชมป์ทำตาปริบๆ ด้วยสีหน้าทึ่ง
“เฮ้ย พวกมึงไม่มีงานทำกันเหรอวะ ถึงได้มีเวลาไปสืบเรื่องพวกนี้อะ” สามนางยักคิ้วสวยๆ ท่าทางไม่ยี่หระจนผมขำ
“ก็แบ่งกันทำสิ เอาตารางงานมาดูว่าใครว่างวันไหน ช่วงไหนแล้วก็ไป” ไอ้แชมป์มองสามนางด้วยความทึ่งยิ่งกว่าเดิม ชะนีทั้งสามเชิดคางขึ้นเล็กน้อย สีหน้าภาคภูมิใจกับแผนการตัวเองเหลือเกิน ผมหัวเราะชอบใจแล้วปรบมือให้พวกนาง
“ดีอะ น่าสนุก เสียดายฉันมาไม่ได้”
“โอ๊ย เอาจริงไม่สนุกเลยค่ะ แต่เซ้นส์ชะนีมันไม่ไว้ใจนางอะเลยต้องแหกนางให้ถึงที่สุด ไม่งั้นอีวอร์มโดนดูดเลือดแน่ๆ” เหมียวเบะปากเล็กน้อยแล้วหยิบตะเกียบคีบอาหารทานต่อ
“แล้วไอ้วอร์มมันปลอดภัยมั้ย หมายถึงผู้หญิงคนนั้นคบซ้อนอะ แล้วมันดันมีอะไรกับเขาแบบไม่ป้องกันอีก” ผมถามด้วยความเป็นห่วง เหมียวยกมือขวาตบอกด้วยท่าทางภูมิใจ
“ไม่ต้องห่วง เจ๊พาไปตรวจเลือดมาแล้ว เพื่อนเรายังปลอดภัยค่ะ แล้วพวกฉันก็รุมเทศนามันไปแล้วด้วย ถ้าแกจะเทศน์มัน ถามพวกฉันก่อนนะว่าพูดอะไรไปแล้วบ้าง ประโยคจะได้ไม่ซ้ำกัน” ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วยพลางตักเห็ดเข็มทองพร้อมน้ำซุปเข้าปาก สามสาวยกนิ้วโป้งให้ผมแล้วพึมเพาเบาๆ ว่าเยี่ยมพร้อมกัน เล่นเอาไอ้แชมป์มองพวกเราอ้าปากหวอ
“โอ้โห ผู้หญิงแม่งน่ากลัวสัส”
“แม่มึงก็น่ากลัวด้วยงั้นสิไอ้แชมป์” ผมและอีกสองคนที่เหลือหัวเราะกับมุกแซะของแคท ไอ้แชมป์เองยังยิ้มขำไปด้วย มันอ้าปากด่าแคทว่าไอ้เหี้ยแบบไม่มีเสียง
ผมคิดถึงบรรยากาศนี้กับเพื่อนๆ มาก วันนี้ผมได้กลับมาอยู่กับพวกมันแล้วแม้จะไม่ครบทุกคนก็เถอะ แต่ก็ได้มาเจอเพื่อนอะ ผมดีใจที่วิคเตอร์ให้อิสระผมมากขึ้น แม้จริงๆ กว่าจะให้อิสระต้องออดอ้อนกันอยู่นาน แต่อย่างน้อยเขาก็ให้ผมออกมาพบกับเพื่อน แม้จะต้องมีบอดี้การ์ดมาด้วยถึงสามคน ซึ่งไม่รู้ว่าจะเอามาทำไมเลยนะจริงๆ
ผมกำลังยืนดูหนังสือในร้านนายอินทร์ในสนามบินอยู่อย่างเพลิดเพลิน จริงๆ ร้านนี้เล็กมาก ไม่มีหนังสือให้เลือกเยอะนักหรอก แต่ผมมายืนดูฆ่าเวลา กว่าเที่ยวบินของวิคเตอร์จะลงจอดก็อีกตั้ง… อ้าว เครื่องลงจอดแล้วนี่ ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือในขณะที่กำลังจะมองว่าเหลือเวลาอีกกี่นาทีกว่าเครื่องจะลงก็เห็นว่าเลยเวลาเครื่องวิคเตอร์ลงจอดมาได้ห้านาทีแล้ว อยู่ในร้านหนังสือนานเหมือนกันแฮะ
ผมเลยวางหนังสือนิยายแนวสืบสวนสอบสวนเรื่องหนึ่งลงบนชั้นตามเดิม เดินออกจากร้านกลับไปยังจุดรอรับผู้โดยสารขาเข้าประเทศ พี่พิทักษ์ที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าการ์ดคนไทยยืนรออย่างสบายๆ อยู่ตรงข้ามกับเค้าน์เตอร์สำหรับกรอกขอใบรายชื่อยืนต้อนรับ
“อีกสักพักคงออกมาครับ” ผมยิ้มแล้วพยักหน้าหงึกๆ
“พี่พิท เดี๋ยวแมทจะลองถามเขาก่อนนะว่าเจ็ทแล็กมากหรือเปล่า ถ้าไม่ พาแมทไปกินชาบูหน่อยนะ” ผมยิ้มร่า พี่พิทักษ์หรือพี่พิทที่ผมเรียกเอง (พี่เขาไม่มีชื่อเล่น ผมเลยตั้งให้) ทำหน้าประหลาดใจหน่อยๆ
“คุณแมทเพิ่งไปกินจิ้มจุ่มมาเมื่ออาทิตย์ก่อนเองนะ”
“หูย ยังกินไม่เต็มที่เลย มัวแต่เม้าท์กับเพื่อน วันนี้จะนั่งกินแบบเยอะๆ เลยอะ” พี่พิทยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้า
พี่พิทเป็นผู้ชายตัวสูง แต่เตี้ยกว่าวิคเตอร์นิดนึง แต่ก็ไม่ได้เตี้ยมาก ห่างสองสามเซ็นต์เอง พี่แกผิวคล้ำโดยกำเนิด ไม่ใช่คล้ำเพราะไปตากแดดตากลมจนคล้ำ รูปร่างผอม แต่ก็ไม่ได้เก้งก้าง แต่ก็ไม่ได้มีกล้ามใหญ่โตเช่นกัน ในบรรดาการ์ดทั้งสามคนพี่พิทอายุเยอะสุด เลยได้เป็นหัวหน้าการ์ดที่ไทย พี่แกอายุมากกว่าวิคเตอร์กับออสตินอีก แต่พี่พิทไม่ถือตัวเลย กลับให้ความเคารพวิคเตอร์กับออสตินในฐานะเจ้านายมาก
“พี่พิทได้กลับบ้านที่อุดรฯ มั่งป่ะครับ” เมื่ออยู่ว่างๆ เราก็ต้องเผือกเรื่องของคนอื่นเป็นการฆ่าเวลานี่แหละเพลินที่สุดแล้ว
“กลับครับ ช่วงที่คุณแมทอยู่นิวยอร์ก คุณวิคเตอร์ก็อนุญาตให้พวกเรากลับบ้านได้ ขอแค่อย่ากลับพร้อมกันเท่านั้นเอง โชคดีว่าบ้านพวกเราอยู่กันคนละจังหวัด” ผมทำหน้าว่าอ้อแล้วพยักหน้าหงึก
“พี่อีกสองคนเขาอยู่ที่ไหนเหรอ”
“ไอ้ทองเป็นคนกรุงเทพฯ ครับ ส่วนไอ้เคนเป็นคนสุราษฎร์ธานี” ผมทำตาวาว อ้าปากยิ้มหวอ
“คนใต้เหรอ?! ดีจัง ผมมีแพลนกับวิคเตอร์ว่าอยากไปเที่ยวใต้ มีไกด์ละ” ผมเปิดรูปให้ไอ้ยักษ์ดู เขาก็บอกว่าชอบ ผมเลยบอกว่าถ้าเขาว่างแบบตารางงานโล่งๆ เมื่อไหร่ จะพาไปเที่ยวทะเลใต้ของไทย เขาพร้อมไปตลอด แค่ให้ผมบอกว่าจะไปช่วงไหนแน่ๆ เขาจะได้จัดตารางไว้ล่วงหน้า
“บอกมันได้เลยครับ มันเป็นหัวโจกทางใต้ ไปกับมันไม่ต้องกลัวอิทธิพล” ผมทำตาโตด้วยความทึ่ง อึ้งไปนิดเมื่อได้ยินคำว่าอิทธิพล พี่พิทยิ้มขำ
“จริงเหรอ?! พี่เคนอะนะ” ลุคส์พี่แกก็ให้อยู่นะ สูง ล่ำ รอยสัก ดูเถื่อนๆ แต่พี่เคนแกก็เป็นมิตรกับผมและคนอื่นๆ นะ แรกๆ อาจจะนิ่งน่ากลัวหน่อย แต่พอได้คุย เขาก็ดูไร้พิษภัยใดๆ แต่แบบว่าเฮ้ย มีการข้องเกี่ยวกับอิทธิพลด้วยอะ
“ผมล้อเล่น” อ้าว ที่นึกที่คิดเมื่อกี้คนเดียวฉากต่อฉากเป็นอันดับวูบ ผมเบ้ปากบึน พี่พิทหัวเราะเบาๆ พี่พิทนี่ก็สุภ๊าพสุภาพ
“เอ้อ พี่ๆ สามคนมีแฟนกันยังครับเนี่ย” จ้ะ เผือกเพลิดเพลินจำเริญใจจนลืมเบรกตัวเองแล้ว
“ผมลูกสองแล้วครับ ไอ้ทองมีแฟนแล้ว ไอ้เคนโสด”
“อ้อ…” ผมพยักหน้าหงึกๆ ไม่ได้แปลกใจอะไรกับใคร เพราะแค่ถามด้วยความเผือกล้วนๆ แบบว่าไม่เคยได้คุยกับบอดี้การ์ดตัวเองจริงจังสักที
“Excuse me. I’m seeking my little boyfriend. Do you see him? (ขอโทษนะครับ ผมกำลังมองหาแฟนตัวเล็กๆ ของผม เห็นเขาบ้างมั้ย)” ผมหันขวับไปมองเมื่อได้ยินเสียงสำเนียงเกาะอังกฤษอันคุ้นเคย พอหันไปก็เจอหน้าหนวดหล่อๆ อยู่ใต้หมวกแก็ปสีดำ ผมยิ้มกว้างแล้วหัวเราะคิกคัก พุ่งตัวเข้าไปกอดเขาไว้
“No! He ran away with his mistress. (ไม่เห็นหรอก เขาหนีไปกับชู้เขาแล้ว)” ผมได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำคอ พร้อมกับแรงบีบที่ก้นซ้ายตัวเองแรงๆ
“Oh, did he? If I see him I will spank him with horse riding crop. (งั้นเหรอ นี่ถ้าผมเจอเขา เดี๋ยวจะฟาดก้นด้วยแส้ฟาดม้าเลยคอยดู)” ผมแหงนหน้ามองเขาแล้วยิ้มแฉ่ง หัวเราะกิ๊กกั๊ก วิคเตอร์ยิ้มมุมปากอย่างเท่ มองผมด้วยสายตาเอ็นดู หน้าตาเขาดูเหนื่อยล้านิดๆ
“สวัสดีพิท” พี่พิทักษ์ยิ้มแล้วเหลือบมองผม ผมยิ้มกว้าง ยืนกอดเอววิคเตอร์ไว้หลวมๆ พี่พิทเดินเข้ามาเข็นรถกระเป๋าของวิคเตอร์แล้วเดินนำออกไปทางลิฟต์ เพื่อขึ้นไปยังชั้นที่เราจอดรถเอาไว้ ผมไม่รีบพาเขาเดินออกจากจุดนั้นเพราะกลัวจะมีคนทันสังเกตว่าเป็นเขา
“นั่งเครื่องเหนื่อยมั้ยครับ” เขาส่ายหัวช้าๆ แขนซ้ายโอบรอบคอผมไว้ ผมยกมือซ้ายขึ้นจับมือซ้ายของเขาที่วางไว้บนไหล่ผมแล้วบีบเบาๆ
“ไม่ล่ะ ทำไม จะไปไหนก่อนใช่มั้ย” ผมยิ้มแหะๆ ที่เขารู้ทัน ผมเลยบอกว่าอยากกินชาบู เขาก็ถามเหมือนพี่พิทว่ากินไปแล้วไม่ใช่เหรอ ผมก็ต้องตอบแบบเดิมว่าวันนั้นยังไม่หนำใจ
“กินแล้วออกกำลังกายบ้างมั้ย อุตส่าห์ออกกำลังกายมาได้ขนาดนี้แล้วนะ”
“ออกสิ นานๆ ผมถึงจะได้กินอาหารอย่างนี้นะ นอกนั้นก็อาหารคลีนเป็นหลัก”
“ห้ามลืมออกกำลังกายนะ เดี๋ยวรูไม่ฟิต” เขายิ้มแซว ผมยิ้มเบ้ปาก วิคเตอร์จับมือซ้ายที่มีแหวนอยู่บนนั้นขึ้นมาจุ๊บสองจุ๊บ ผมยื่นหน้าไปหอมอกซ้ายเขาผ่านเชิ้ตผ้าฝ้ายสีขาวตัวบาง
“ดีใจอะ หนังคุณได้รายได้ทั่วโลกรวมกันตั้งสามร้อยกว่าล้าน” ตอนเห็นข่าวผมกรี๊ดดีใจประหนึ่งว่าตัวเองร่วมแสดงด้วย แต่ดีใจมากจริงๆ คือหนังไม่ขาดทุน นักแสดงก็โด่งดังกันอย่างมากมาย ดังในที่นี้คือเหมือนดาวรุ่งได้แจ้งเกิดใหม่อย่างไรอย่างนั้น วิคเตอร์มีชื่อเสียงอยู่แล้วประมาณหนึ่ง แต่พอหนังเรื่องนี้มันบูม ชื่อเสียงเขาก็ยิ่งกว้างขวางมากขึ้น ผมแฮปปี้กับเขามาก ทางค่ายหนังแฮปปี้ คนดูก็แฮปปี้ คำชมและคำวิจารณ์เป็นไปในทางบวกจนน่าชื่นใจ จนไม่สนใจแง่ลบต่างๆ
“ยังไม่เลิกดีใจอีกเหรอ จนแผ่นออก แล้วนายก็เปิดจนแผ่นแทบพังไปแล้วเนี่ยนะ” ผมแสร้งมองค้อน วิคเตอร์ยิ้มขำ ยกมือซ้ายขึ้นขยี้หัวผมเบาๆ
“ดีใจสิ คุณไม่ดีใจรึไง สมัยนี้ใช่ว่าหนังทุกเรื่องจะทำรายได้ได้มากๆ ทุกเรื่องนะ แถมหนังยังได้รับคำชมว่าดีมากกว่าแย่อีก” หนังฮอลลีวูดหลายๆ เรื่องในสมัยนี้ทำรายได้กันเยอะอย่างง่ายๆ ก็จริง แต่จะมีสักกี่เรื่องที่ทำรายได้ถล่มทลายมหาศาลจนเกินต้นทุนขาดลอย แล้วไหนจะได้รับคำชมคำวิจารณ์ในแง่บวกมากกว่าแง่ลบ แต่ที่ผมปลื้มมากคือหนังเรื่องนี้สร้างโลกอีกโลกนึงให้คนดูอินได้สำเร็จ
“รายได้จากนายคนเดียวอยู่ในนั้นเป็นร้อยล้านแล้วมั้ง” ผมย่นจมูกน้อยๆ แล้วก็ขำตัวเอง พอนึกๆ ไปว่าช่วงที่หนังเขาเข้าฉาย ผมไปดูทุกอาทิตย์ ไม่ได้ดูทุกวันหรอก แต่ทุกอาทิตย์จริงๆ วิคเตอร์ไปดูกับผมแค่อาทิตย์แรก หลังจากนั้นเขาปล่อยให้ผมไปเอง แต่ให้ไปเฉพาะวันที่เขาไปทำงาน วันไหนเขาอยู่บ้าน ห้ามออกไปไหน นอกจากเขาจะพาไป
“หนังสนุกจริงๆ นะ คุณกับคุณชารอนก็เคมีดีมาก มีฉากจูบอยู่ฉากเดียว นอกนั้นแค่ใกล้ชิดกันเฉยๆ แต่ทำผมเขินมากเลย ที่สำคัญคุณหล่อมากด้วย ฮี่ๆ” วิคเตอร์ยิ้มกว้างขำขันแล้วยื่นหน้ามาจุ๊บปากผมในระหว่างที่เรากำลังจะเดินถึงรถที่พี่พิทยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“ในหนังกับตัวจริง อันไหนหล่อกว่ากัน” วิคเตอร์ถามพลางเปิดประตู ผมมุดตัวเข้าไปในรถก่อนแล้วเขาก็ตามเข้ามาและปิดประตูตามหลัง
“หล่อทั้งสอง แต่ผมชอบตัวจริงมากกว่า เพราะผมสัมผัสได้ คิกๆ” ผมยื่นมือไปจับกล้ามแขนซ้ายของเขาแล้วบีบปี๊บๆ วิคเตอร์หัวเราะหึๆ ยื่นแขนซ้ายมาคล้องคอผมแล้วโน้มผมเข้าไปหา ก้มลงกดจูบบนขมับขวาของผม
“คิดถึงนาย” เขายิ้มหล่อละมุน มองผมด้วยสายตาคิดถึงอย่างที่พูดจริงๆ ผมยิ้มหน้าแป้นแล้น
“มากมั้ย”
“ที่สุด” ผมหรี่ตามอง แต่มุมปากทั้งสองข้างก็ขยับยิ้มน้อยๆ
“เพิ่งห่างกันอาทิตย์เดียวเอง” วิคเตอร์ขมวดคิ้วน้อยๆ
“อาทิตย์เดียวที่ไหน ไม่ได้เจอกันตั้งสามเดือน”
“โถ่ ทำอย่างกับไม่ได้เจอกันเลยงั้นแหละ แล้วที่ผมบินไปหาที่แคนาดานั่นวิญญาณผมมั้ง” เขาหัวเราะเบาๆ นั่งโอบไหล่ผมไว้ เขาไปถ่ายหนังในแคนาดามาสี่เดือน แต่ก็ไม่ใช่คิวเขาตลอด อันนี้ผมบอกแบบรวมๆ ว่าหนังภาคสองถ่ายทำทั้งหมดสี่เดือน แต่ก็นะ เขาเป็นพระเอก วันหยุดของเขาเลยมีแค่เสาร์อาทิตย์เท่านั้น พอว่างก็จะบินกลับนิวยอร์ก แต่ช่วงเดือนสุดท้าย ผมไม่อยากให้เขาบินกลับมาหาผมบ่อยๆ ฝ่ายเดียว เลยบินไปอยู่กับเขาก่อนกลับไทยสองอาทิตย์
ผมชอบช่วงเวลาห่างกันนะ ไม่ใช่ว่าผมโรคจิต แต่ชอบเพราะมันทำให้เราได้ห่างกันบ้าง ไม่ใช่ตัวติดกันตลอดเวลา ได้ออกไปทำการทำงาน ช่วงที่เขาไปถ่ายหนัง ผมก็ยังคงเรียนเขียนบทกับเกวินและเดวิด ซีรีส์วิคเตอร์ปิดกล้องแล้ว และสรุปว่าซีรีส์นี้มีแค่สามซีซั่น ไม่มีต่อใดๆ อีก เนื่องจากเดวิดอยากจากไปแบบให้คนคิดถึง และแน่นอนว่าตัวผมก็คิดถึงด้วย เพราะกำลังเรียนรู้งานอยู่ดีๆ ดันจะไม่มีแหล่งให้เสพความรู้แล้ว วิคเตอร์เสนอให้เข้าไปในกองถ่ายหนังแทน แต่ผมเกร็งๆ ดีแลน ไม่รู้ว่าเขาไม่พอใจผมจากเหตุการณ์วิคเตอร์หนีงานพรีเมียร์มากน้อยแค่ไหน
“เลือกซีรีส์ให้ฉันได้รึยัง ไม่รีบตัดสินใจเดี๋ยวฉันไม่มีเงินเลี้ยงนะ” วิคเตอร์ว่ายิ้มๆ ผมทำปากจู๋แล้วหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูรูปบทซีรีส์เรื่องใหม่ของเขา ที่สองสถานีเสนอมาให้เขาเล่นและเขาให้ผมเป็นคนตัดสินใจเลือกแทน
“ชอบทั้งสองเรื่องเลย เรื่องนึงชอบเพราะเป็นแนวแฟนตาซีผสมด้วย ผมชอบเห็นคุณปล่อยพลัง อีกเรื่องชอบเพราะมันเป็นวรรณกรรมที่โด่งดังมากจริงๆ แต่ไม่ชอบตรงที่เลิฟซีนจะเร่าร้อนและเยอะไปไหน” ผมทำหน้าบูด วิคเตอร์ยิ้มขำน้อยๆ
“ฉันตามใจนายนะ ถ้าไม่สบายใจที่จะเห็นฉันเล่นเลิฟซีนก็เลือกอีกเรื่อง” อีกเรื่องก็ใช่ว่าจะไม่มี แต่ก็น้อยกว่าเรื่องหลัง และร้อนแรงน้อยกว่ามาก เป็นเลิฟซีนแบบใสๆ ไม่เร่าร้อนเท่าอีกเรื่อง
“ในหนังฉันก็มีปล่อยพลังไม่ใช่รึไง ดูในหนังเอาก็ได้” ผมกัดริมฝีปากล่างแล้วถลึงตามองไอ้ยักษ์ที่ยิ้มทะเล้น
“อ๋อ อยากเล่นอีกเรื่องสินะ อยากโชว์เซ็กซี่มากนักใช่มั้ย?!” ผมยื่นมือซ้ายไปบิดจมูกเขาแรงๆ ไอ้ยักษ์ร้องโอดโอยแต่ไม่ถึงขั้นร้องเพี้ยนร้องหลง
“ก็เห็นนายตัดสินใจลำบากไง” เขายกมือขวาลูบจมูกป้อยๆ แต่ใบหน้ายังมีรอยยิ้มล้อเลียนติดอยู่ ผมส่ายหัวกับตัวเองแล้วเก็บมือถือเข้าไปในกางเกงขาสั้นตามเดิม
“ค่อยตัดสินใจแล้วกัน ตอนนี้มาเป็นกังวลเรื่องที่บ้านผมดีกว่า” วิคเตอร์เลิกคิ้วขึ้น มือซ้ายลูบหัวผมเบาๆ อย่างเพลินๆ
“กังวลอะไร ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวล พูดความจริง แล้วค่อยดูท่าทีพวกเขาอีกที” ผมพ่นลมหายใจออกทางจมูกเบาๆ เอนหัวพิงกับไหล่เขาไว้ วิคเตอร์กดจูบลงกลางกระหม่อม ความคิดมากมายไหลวนในหัวอย่างรวดเร็ว ผมกังวลจนมันแล่นเร็วปรื๋อ หวังว่าพรุ่งนี้ตอนเจอพ่อกับแม่คงจะไม่ทำสติหายกลางคันนะ
ฮูเร่! เอาตอนพิเศษจากในเล่มมาฝากค่ะ เป็นตัวอย่างสั้นๆ ใครที่สั่งหนังสือไว้ อดใจรออ่านในเล่มนะคะ หนังสือมาแล้ว ตอนนี้กำลังแพ็คของ เตรียมจัดส่งอยู่ค่า
ส่วนใครที่สนใจหนังสือ ติดตามการอัพเดตอีกครั้ง ตอมจะมีรอบสต็อกราวๆ 50 ชุด เดี๋ยวจิอัพเดตอีกทีค่ะ
เป็นตอนพิเศษที่บอกเลยว่า น่ารัก เขียนเองยังชอบ อะหุๆ ทั้งเจ็ดตอนที่มีในเล่ม เราจะไปร่วมให้กำลังใจพี่ยักษ์พิชิตใจพ่อตาแม่ยายกันค่ะ ไม่รู้ว่าจะต้องโดนอะไรบ้าง และพี่ยักษ์ใหญ่ของเราจะทนเพื่อเอเลี่ยนน้อยได้ขนาดไหน หื้มมมม เจอกันในเล่มนะคะ คริๆ