ตอนที่ 13“เพี๊ยง ตื่งงงง ตื่งงงง” เสียงใครมากวนผมแต่เช้าเลย แถมยังนิ้วเล็กๆ ป้อมๆ ที่กำลังถ่างตาผมนี่อีก
“นะ ปล่อยพี่เพี้ยนนอนไป ห้ามแกล้ง” เสียงพี่พ่ายนี่นา ดังใกล้จัง
“เพี๊ยงเป็งเด็กไม่ดี ตื่งสาย”
ผมปัดมือเล็กๆ ออกจากดวงตาของตัวเองเบาๆ แสบตาจัง ทำไมเด็กๆ มาถ่างตาผมอย่างนี้เนี่ย ตอนแรกนึกว่าคนเดียว แต่ที่ไหนได้ น้องโยตาซ้าย น้องนะตาขวา
“เพี๊ยงเด็กไม่ดี” น้องยะว่ามาอีกคน
“ปวดหัวนี่นา” ผมขยับตัวบิดขี้เกียจ ก่อนจะเลื้อยเข้าไปหาพี่พ่ายที่กำลังนั่งพิงหัวเตียงอ่านหนังสืออยู่
“พี่พ่าย กี่โมงแล้ว”
“หกโมงเช้า”
ว่าแล้วเชียวทำไมถึงปวดหัว เพราะผมนอนไปได้แค่สองสามชั่วโมงเอง แถมเมื่อคืนยังใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำกับพี่พ่ายโคตรนาน ไม่ได้ทำอะไรจริงจังหรอกครับ แค่ล้อเล่นตามสไตล์ไร้พ่าย
“เด็กๆ ตื่นเช้ากันจัง ผมนอนต่อได้ไหม ปวดหัว”
“อืม” พี่พ่ายตอบรับ ก่อนจะบอกเด็กๆ ที่กำลังดึงแก้ม ทึ้งหัวผมเล่นกันอยู่ให้ออกไปเล่นข้างนอก
“นะจะอยู่กับเพี๊ยง” น้องนะยืนกราน ปล่อยมือจากแก้มผม แล้วจ้องมาตาแป๋ว “เพี๊ยงตลก นะอยากเล่งกับเพี๊ยง”
“เพี๊ยงเป็งคงบ้าล่ะป๋า โยชอบ”
“เพี๊ยง ยะหิวข้าว”
แต่ละคนเรียกชื่อก็ไม่ถูก แต่ให้อภัยหรอกเพราะน่ารัก แถมพ่อยังหล่อด้วย ไม่ถือโทษโกรธสักนิด แต่จะดีมากถ้าปล่อยให้ผมได้นอนอย่างสงบ ฮืออออ พี่พ่ายนี่ก็อ่านหนังสือไม่สนใจกันเลย
“หิวข้าวววว”
“เล่งกังๆ”
“นะห้ามแย่ง โยจะเล่งกับเพี๊ยง”
ปวดหัวเป็นจริงเป็นจังแล้ว คนหนึ่งทึ้งหัว คนหนึ่งดึงคอเสื้อ อีกคนขึ้นขี่หลัง ผมต้องตายแน่ๆ ทำไมทั้งพ่อทั้งลูกถึงได้ชอบทรมานผมแบบนี้กัน
ก๊อกๆๆๆๆๆ
“เด็กๆ ตื่นกันยังเอ่ยยย ปู่ซื้อน้ำเต้าหู้มาเยอะแยะเลย ออกมากินกันนะครับ”
ท่านประธานมาช่วยชีวิตผมได้ทัน เพราะเมื่อได้ยินคำว่า น้ำเต้าหู้ ลิงซนสามตัวก็พากันวิ่งไปออที่ประตูห้อง พี่พ่ายลุกไปเปิดประตูให้ ตัวใหญ่ๆ ของเขาบังสายตาท่านประธานไม่ให้มองเข้ามาในห้องด้วยครับ ที่ผมรู้เพราะได้ยินเสียงโวยวายของท่านนั่นแหละ
“พ่าย พ่อขอเข้าไปในห้องหน่อยไม่ได้รึไง”
“เข้ามาทำไม ไม่มีธุระสำคัญไม่ใช่เหรอ”
“โธ่ พ่อไม่เคยเข้าห้องลูกเลยนะ ตั้งแต่ลูกขึ้นปอสาม ก็ห้ามพ่อเข้าห้องนอนตลอด พ่ายใจร้ายกับพ่อมากๆ เลย พ่อเสียใจ”
เป็นความน้อยใจของคนเป็นพ่อที่ถูกลูกต่อต้านตั้งแต่ปอสาม แต่ผมว่าพี่พ่ายคงมีเหตุผลของเขานั่นแหละครับ และเหตุผลก็น่าจะมาจาก โลกส่วนตัวสูง ไม่อยากให้ใครเข้ามาวุ่นวาย พี่เอกับพี่เกมก็ไม่เคยเข้ามาหรอกที่ห้องนอนของพี่พ่ายน่ะ ผมนี่ยกเว้นครับ ไม่ใช่คนพิเศษ แต่ปกติหน้าด้านเข้ามาเอง อ้อ ไม่รวมเมื่อคืนนะ นั่นเหตุสุดวิสัย เขาใจดีเพราะผมไม่มีที่นอนต่างหาก
“ไปเล่นกับหลานได้แล้วไป”
ผมได้ยินเสียงเด็กๆ เจี๊ยวจ๊าวอยู่นอกห้อง ก่อนจะเบาลงเมื่อพี่พ่ายปิดประตู
เขาเดินมานั่งอ่านหนังสือตามเดิม พอไม่มีเด็กๆ แล้วผมก็ถือโอกาสหนุนตักของเขา ดีที่ไม่ถูกผลักหรือถูกด่า
“พี่พ่าย”
“ว่า”
“อยู่กับผมจนกว่าผมจะตื่นนะ”
“อืม”
“ใจดีจัง”
“อยากให้ใจร้าย?”
ถ้าพยักหน้า...เขาจะหาว่าผมบ้าไหม แต่ใจดีทีไร...ผมหวั่นใจทุกที มันรู้สึกเหมือน...ไม่ใช่เรื่องจริงยังไงก็ไม่รู้ กลัวว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ แล้วจะถูกใครสักคนตบหน้าให้ตื่นขึ้นมา ผม...กลัวจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
“อยู่ด้วยกันแบบนี้แล้ว เหมือนเราคบกันอยู่เลยเนอะ”
“...”
“อยากให้เป็นอย่างนี้ไปทุกวัน”
พี่พ่ายพลิกหน้ากระดาษแล้วกวาดตาอ่านอย่างไม่สนใจ แต่ผมคิดว่าเขาได้ยินนะ คงกำลังฟอร์มไม่รู้ไม่ชี้อยู่
“พ่ายอปป้า”
“...”
“ซารางเฮ”
“อะไรของมึง”
“ภาษาเกาหลี แปลว่า หิวข้าวจัง”
“หึ” หลุดยิ้มแล้ว หล่อแรง
“ไอเลิฟยู อปป้า”
“...” หืม...เงียบเลย นิ่งเลยดิ
“คราวนี้ไม่ถามเหรอว่าอะไร”
“กูเด็กนอก” หมายถึงว่ารู้ความหมายใช่ไหมล่ะ...
ผมยิ้มแล้วมุดหน้าลงกับหน้าท้องที่เต็มไปด้วยซิคแพ็คของพี่พ่าย ทำไมตอนเช้าๆ ก็ยังตัวหอม มีเคล็ดลับอะไรกันวะ
“นอกคอกเหรอ”
“คนที่แขนหักไปก็ถามแบบมึงนี่แหละ”
“โหดโซมัช บัทไอไลคึ”
พี่พ่ายยกมือตีหน้าผากผม ก่อนจะดึงแก้มจนยืด แต่ผมก็ยังยิ้ม
เจ็บนะ แต่ก็ชอบอ่ะ โมเม้นแบบนี้เหมือนแฟนกันเลย...หยิกหยอกกันเล่นงี้ ผมมโนไว้มานานแล้ว ว่าต้องทำแบบนี้แบบโน้น อยากมีช่วงเวลาดีๆ กับพี่พ่ายให้เยอะๆ เผื่อว่าวันไหนผมต้องเสียใจและเดินตามเขาต่อไม่ไหว ผมจะได้มีความทรงจำดีๆ ให้นึกถึง
“ไม่มีสติแต่เช้าเลยนะมึง นอนไป”
นอนก็ได้ ไม่กวนแล้วล่ะ ขอบคุณที่ทำให้ผมฟินแต่เช้านะครับพี่ รักพี่พ่ายมากน้า...จุ๊บ!
ผมตื่นเกือบๆ เก้าโมง วันอาทิตย์ก็อยากนอนพักผ่อนล่ะครับ แต่เป็นไปไม่ได้เมื่อมีลูกชายสุดแสนน่ารักของพี่พ่ายคอยป่วน เด็กๆ อยากไปเที่ยว งอแงใส่พี่พ่ายตั้งแต่แปดโมงครึ่ง และนี่เป็นสาเหตุให้ผมนอนต่อไม่ไหว ต้องตื่นมางับหัวเด็ก เอ้ย ไม่ใช่ครับ ลูกของว่าที่แฟน ใครจะตีลง ผมก็มากล่อมเด็กๆ ให้เลิกงอแง ส่วนพี่พ่ายแกนิ่งอย่างเดียว ไม่หือไม่อืออะไรสักอย่าง จนพี่เกมกับพี่เอต้องช่วยกันพูดว่าพาลูกไปเที่ยวบ้าง เรื่องงานเดี๋ยวพวกพี่กับท่านประธานดูกันให้เอง เขาก็เลยเตะผมที่กำลังเล่นบทเป็นว่าที่แฟนที่ดีอยู่ให้ไปอาบน้ำ
เหมือนเรารักกันด้วยลำแข้งเลยเนอะ อิอิ เขินอ่ะ รักกัน...ว่าไปนั่น
“จะไปสวงสัตว์” น้องนะแหกปากขึ้นคนแรก เป็นคนนำทีมน้องๆ ได้เป็นอย่างดี
“โยก็จะไปดูนกเพนกวิน” น้องโยกำลังเสริมที่ดีของพี่คนโต ร้องจะไปดูนกเพนกวินแต่เสือกเต้นท่าช้าง บอกพี่เพี้ยนทีสิครับ คุณพ่อเป็นคนสอนเหรอ ฮ่าๆ
ส่วนน้องยะนั้น...กำลังมุ้งมิ้งอยู่กับพายสตรอเบอรี่ที่พี่เกมทำให้ อืม...ผมคิดว่าน้องยะคงไปที่ไหนก็ได้ที่มีของกินแหละครับ
แต่เดี๋ยวก่อน...ทูนหัวของพี่เพี้ยน เชียงรายไม่มีสวนสัตว์นะครับลูก ถ้าจะดูต้องไปเชียงใหม่เลยนะ ซึ่งพี่เพี้ยนนั้นคิดว่าพ่อของหนูๆ คงไม่เสด็จไปเยือนถึงที่นั่นแน่
“ไปไม่ได้ มันไกล” พี่พ่ายตอบเสียงเข้ม เด็กๆ เลยเงียบกริบ ทำหน้าเศร้าสร้อยประหนึ่งว่าอยากจบชีวิตตัวเองลงในวัยเกือบสามขวบ
ด้วยเหตุนั้น พี่พ่ายจึงจะพาเด็กๆ ไปที่...ห้างสรรพสินค้าแทน
ช่างเป็นคุณพ่อที่...สุดตีนจริงๆ ครับ พี่พ่ายบอกว่าถ้าจะเดินกันนานๆ ต้องไปที่ไหนก็ได้ที่มีแอร์ ด้วยกำลังของลิงซนสามตัว จะทำให้อุณหภูมิร่างกายขึ้นสูงเป็นสามเท่าของอากาศ พี่พ่ายเลยตัดปัญหา แต่ว่าก็ว่าเถอะครับ ไอ้ห้างสรรพสินค้าเนี่ย ให้ท่านประธานพาลูกพี่เที่ยวที่กรุงเทพก็ได้ป่ะวะ
เอาเถอะ ยังไงนี่ก็ถือว่าเป็นการออกมาเที่ยวกับพี่พ่ายเป็นครั้งแรก เหมือนเดทเลยล่ะ ผมเห็นในซีรีย์บ่อยๆ ที่นางเองจะเพ้อเจ้อไปเองว่า อ้ะ นี่เหมือนเดท ตื่นเต้น หัวใจเต้นรัวแรงอะไรแบบนั้น ซึ่งผมเองก็...ตื่นเต้นนิดหน่อย แหะๆ
“เพี๊ยงเป็งคงบ้าล่ะป๋า” น้องโยคงเห็นว่าผมยิ้มไม่ยอมหุบ น้องก็เลยคิดไปเองว่าผมมีอาการทางประสาท อืม...ถ้าพ่อไม่หล่อ หน้าตาไม่น่ารักล่ะก็ ผมตบหัวหลุดไปแล้ว
ไม่ครับไม่...ผมไม่ควรคิดอย่างนั้น อีกไม่นานเด็กๆ ก็จะกลายเป็นลูกของผมอีกคนหลังจากที่ผมกับพี่พ่ายแต่งงานกัน...หืมมมม! พอคิดแล้วก็เขินว่ะ
“ป๋า เพี๊ยงยิ้มใหญ่เลย” แฝดพวกนี้จะมาสนใจอะไรผมนักหนา ขนาดน้องยะยังยิ้มมุ้งมิ้งมาล้อเลยอ่ะ
“อย่าไปมอง เดี๋ยวติดเชื้อบ้า”
“งั้นพี่พ่ายคงบ้าแล้วสินะตอนนี้ เพราะเมื่อคืนเรามองกันนานเลย อิอิ” ผมเข้าไปกระซิบข้างหูเขา ไม่กล้าพูดเสียงดัง เพราะท่านประธาน พี่เกมและพี่เอยังนั่งคุยกันอยู่ใกล้ๆ
พอเตรียมตัวกันเสร็จแล้ว ผมก็พาเด็กๆ ไปขึ้นรถของพี่เกม ด้วยเพราะรถของพี่พ่ายไม่สามารถบรรจุพวกเราห้าคนได้
แพงซะเปล่าแต่ไร้ประโยชน์มากในตอนนี้ อยากแนะนำให้พี่พ่ายเอาไปปลูกผักขายชะมัด เพราะตั้งแต่รู้จักกับเขามาผมเคยนั่งแค่ครั้งสองครั้งเอง นอกนั้นก็น้องเดียร์ของป๋าพ่ายนั่นแหละที่ได้นั่งบ่อย คิดแล้วก็เกลียดจนอยากเผารถทิ้ง
“เพี้ยน ดูแลเด็กๆ ด้วยนะ พี่ไว้ใจเราคนเดียวนี่แหละ” พี่เกมเดินมาที่รถพร้อมกับกล่องขนมเป็นของว่างให้กับเด็กๆ ก่อนจะกระซิบกับผมด้วยว่า “ดูแลป๋ามันด้วย”
“ทำไมอ่ะพี่เกม” อย่างพี่พ่ายไม่ต้องดูแลหรอกครับ ตัวโตอย่างกับควาย
“เออน่า เดี๋ยวก็รู้”
เพราะคำว่าเดี๋ยวก็รู้ของพี่เกม ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองต้องทำให้ดีที่สุดสำหรับเดทครั้งนี้ อ่า...นี่ตกลงผมมาเดทเหรอวะ แต่พอเหลือบมองเด็กๆ ที่ร้องเพลงอยู่เบาะหลังแล้วก็รู้สึกห่อเหี่ยวลงนิดหน่อย
ไม่ใช่เดทนี่หว่า...
“เป็นไร เดี๋ยวก็ยิ้ม เดี๋ยวก็หงอยอย่างกะหมา” พี่พ่ายหันมาถาม แว่นตากรอบดำของเขาก็ยังดูสวยสง่าอยู่บนดั้งจมูกโด่งเช่นเดิม แต่ไม่รู้ทำไม...วันนี้ถึงได้รู้สึกว่าเขาหล่อกว่าทุกวัน คงเพราะเขาไม่ได้ใส่สูทผูกไท ทรงผมก็ไม่ต้องหวีเสยขึ้นให้ดูภูมิฐาน ก็เลยดูแปลกตา มองดูเผินๆ แบบไม่รู้จักก็คงคาดอายุประมาณแค่ยี่สิบสามยี่สิบสี่ เสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนก็ทำให้พี่พ่ายดูเด็กลงมากด้วย
“ไม่ใช่หมาซะหน่อย” ผมตอบแล้วตั้งใจมองพี่พ่ายเงียบๆ
...เขาไม่ใช่คนหล่อที่สุด แต่เป็นคนที่ดูดีมาก ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่เบื่อ และสิ่งที่มีเกินหน้าเกินตาคนอื่นๆ ก็คือเสน่ห์กับความเซ็กซี่ล่ะมั้งครับ จะขยับตัวหรือทำอะไรแต่ละที ก็ทำเอาผมใจหวิว แถมจังหวะในการเต้นก็รัวแรงมาก ยิ่งตอนที่ได้เห็นรูปร่างของเขา ได้เห็นตอนที่มีหยดน้ำเกาะพราวไปตามผิว ได้สบกับดวงตาคู่ดุที่เวลามองกรุ้มกริ่มก็ทำเอาใจระทวย
เขา...ทำให้ผมเป็นหนักจริงๆ
“ง่วง?” จู่ๆ ก็หันมามองแบบไม่ให้ผมตั้งตัว ผมก็เลยแก้เก้อด้วยการยิ้มให้เขา
“เปล่า”
“ง่วงก็นอน”
ทั้งๆ ที่บอกว่าเปล่า แต่พี่พ่ายก็สรุปคำตอบแล้วว่าผมง่วง ผมก็เลยเลิกสนใจเขาแล้วหันมาช่วยเด็กๆ ร้องเพลง ยังไงมันก็ดีกว่านั่งเงียบๆ แหละครับ จะได้สร้างความสนิทสนมกับลูกๆ ของพี่พ่ายด้วย
พวกเรามาถึงที่ห้างเกือบๆ สิบเอ็ดโมง และวันอาทิตย์เป็นวันที่คนเยอะมากกกกกก สงสัยเพราะมันเป็นวันของครอบครัว พ่อแม่ที่หยุดงานต่างก็พาลูกๆ มากัน บ้างมาซื้อของ บ้างมาดูหนัง บ้างมานั่งกินข้าวกินสุกี้ มองไปทางไหนร้านอาหารสำหรับครอบครัวก็คนเยอะอย่างกับทางร้านให้กินฟรี โซนเด็กเล่นก็มีแต่ลิงกังปีนป่ายกันอยู่บนเครื่องเล่น
วุ่นวาย...ชิบหาย ขนาดผมยังคิดอย่างนี้ ไม่ต้องพูดถึงพี่พ่ายหรอกครับ รายนั้นหน้าบึ้งสนิท ยิ่งน้องโยงอแงให้เขาอุ้ม เขายิ่งตีหน้ายักษ์เข้าไปทุกที
“เรามาเดินแข่งกันเอาม้า ใครชนะพี่เพี้ยนจะพาไปกินไอติมล่ะ” อย่างน้อยก็ควรเอาน้องโยออกมาให้ห่างจากพ่อผู้ขี้รำคาญดีกว่า เกิดพี่พ่ายดุลูกขึ้นมา คงได้ทนฟังเสียงเด็กๆ ร้องไห้กลางห้างแน่
“อื้อ โยเอาช็อคโกแล็ตนะ” ยังไม่ชนะเลยนะ รีเควสรสแล้วเหรอ
“นะชอบมะนาว”
“ไลก็ได้” น้องยะน่ารักมากๆ น้องไม่ค่อยโวยวาย เป็นเด็กยิ้มง่าย แถมยังมุ้งมิ้ง ชอบร้องเพลงมากด้วย แต่ชอบกินมากที่สุด ฮ่าๆ
ผมเดินนำมากับเด็กๆ ได้สักพัก พอหันกลับไปถามพี่พ่ายว่าจะไปเดินชั้นไหนดี...ปรากฎว่า ข้างหลังไม่ใช่พี่พ่ายแต่เป็นลุงแก่ๆ หัวล้าน ตัวเตี้ยลงพุง ผมรีบขอโทษลุงแล้วมองหาพี่พ่าย แต่มองหายังไงก็ไม่เจอ
“เพี๊ยง ป๋าไปไหน โยจะไปหาป๋า” น้องโยเริ่มงอแงอีกแล้ว เป็นลูกคนเล็กที่ติดพ่อมาก แต่อีตาพ่อนั่นไม่ค่อยจะสนใจใยดี อยากตบหัวให้ทิ่ม ไม่รู้ตอนนี้ไปมึนอึนอยู่ที่ไหน
ผมกดโทรหาพี่พ่าย รออยู่ไม่กี่อึดใจเขาก็รับสาย
“อยู่ไหนวะ” หงุดหงิดนิดๆ ครับ เลยเผลอหยาบใส่เขาไป
“มึงล่ะอยู่ไหน เดินไปเรื่อย” ห้ะ? ผมนี่นะเดินไปเรื่อย -_-
“ก็เดินนำพี่อยู่ หันกลับไปอีกที หายไปไหนก็ไม่รู้ รีบๆ มาเลย ผมยืนอยู่หน้าร้านแว่นตาเนี่ย”
“แล้วไอ้ร้านแว่นมันอยู่ตรงไหน”“แล้วตอนนี้พี่อยู่ตรงไหน”
“หน้าทางเข้า”“เอ้า พี่ไปอยู่ทำไมตรงนั้น”
งงเป็นจริงเป็นจัง เราผ่านทางเข้ามาได้ค่อนข้างไกลแล้วนะ แล้วพี่พ่ายไปโผล่ที่ทางเข้าได้ยังไง
“เออ รออยู่ร้านแว่นนั่นแหละ เดี๋ยวไปหา”“โอเคครับ รีบๆ มานะ น้องโยจะร้องไห้แล้วเนี่ย”
“เออๆ”พี่พ่ายคงกำลังหงุดหงิด เพราะเสียงฟังห้วนๆ สั้นๆ แต่ไอ้ที่บอกว่าเดี๋ยวไปหานั้น...ตอนนี้เกือบสิบนาทีแล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา ผมพาน้องๆ มานั่งในร้านโดนัทข้างๆ ร้านแว่น สั่งมากินเพื่อรอพี่พ่าย แต่จนแล้วจนรอด ไร้พ่ายอปป้าก็ยังไม่ปรากฎตัว กระทั่งเสียงประชาสัมพันธ์ห้างประกาศเรียกผมกับพวกเด็กๆ ให้ไปหาที่เคาท์เตอร์นั่นแหละครับ ผมถึงได้รู้ว่า ทำไมพี่เกมถึงบอกให้ดูแลพี่พ่าย
ไอ้เหี้ยยย อปป้าว่าที่แฟนของผม เป็นมนุษย์หลงทิศ เรื่องเหลือเชื่อที่สุดยิ่งกว่าโทเมเนเจอร์เป็นมนุษย์ต่างดาวอีก ให้ตายเถอะอปป้า ห้างสรรพสินค้าพี่มึงยังหลงได้เหรอ!
ผมพาเด็กๆ ที่ได้โดนัทคนละสองชิ้นไปที่จุดประชาสัมพันธ์ ดีหน่อยที่มีของกินมาทำให้แฝดสามอารมณ์ดีได้ แต่ผมนี่ทั้งหงุดหงิดทั้งขำ หาพวกผมไม่เจอพี่แม่งก็ไม่ยอมโทรมาหา เหมือนกลัวเสียฟอร์ม ไปประกาศหาเด็กหลงซะงั้น คือเอาจริงๆ พี่หลงเองป่ะวะ ไม่ใช่พวกผม
“ดีใจด้วยนะคะที่หาเจอแล้ว” นังพนักงาน อย่ามายิ้มให้อปป้านะเว้ย เดี๋ยวๆ เจอพี่เพี้ยนแล้วจะหนาวนะน้อง คนนี้พี่จองแล้ว
“ครับ” พี่พ่ายตอบหน้านิ่งๆ ก่อนจะหันมายักคิ้วให้ผม ยื่นมือไปจับมือน้องนะแล้วเดินนำ
“พี่พ่าย” ผมเรียกแล้วเดินตามให้ทัน จากนั้นก็ดึงมือเขามาจับไว้
“อะไร”
“เดี๋ยวหากันไม่เจออีก” ถ้าบอกว่ากลัวพี่จะหลง ผมคงโดนยันเปรี้ยงเข้าที่กลางอก เพราะฉะนั้นบอกแบบนี้แหละครับดีแล้ว พี่พ่ายจะได้สบายใจด้วย
แต่ถึงจะจับมือกันไว้แล้ว พอถึงโซนของเล่น ผมกับเด็กๆ ก็ไปรุมรถบังคับคันใหญ่ๆ กัน แล้วพอหันไปจะอ้อนให้พี่พ่ายซื้อให้ เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย คือพี่พ่ายจะเป็นคนที่ชอบเดินไปนั่นไปนี่แล้วไม่บอกครับ ก่อนหน้านี้ก็หายไปดูอุปกรณ์แต่งรถ ทั้งๆ ที่ผมกำลังพาเด็กๆ ไปเข้าห้องน้ำ บอกให้รออยู่หน้าห้อง แต่เขากลับเดินไปโดยไม่บอก มันจะไม่เดือดร้อนอะไรหรอกถ้าหากันเจอ กว่าจะหากันเจอได้ก็ต้องแชร์โลเคชั่น เพราะให้พี่พ่ายเดินมาหา ชาติหน้านั่นแหละจะเจอ ผมถึงต้องเดินไปเอง
พี่พ่ายเขาไม่ใช่คนโง่ แต่เป็นคนทื่อแบบไม่มีเซ้นและหยิ่งมาก ไม่ถามใคร ต่อให้ไม่รู้ที่พี่แม่งก็จะเดินงมเดินวนอยู่นั่นแหละ ขับรถมีป้ายบอกทางพี่พ่ายไปถูกเพราะเคยขับพาผมจากกรุงเทพมาเชียงรายแล้ว เดินป่าถ้ามีเข็มทิศพี่พ่ายก็คงทำได้ (อันนี้ต้องชวนไปป่ากันสักที จะได้พิสูจน์ว่าจริงไหม) แต่ในความวุ่นวายที่หันมองไปทางไหนก็มีแต่สารพัดสิ่งของ แถมป้ายสัญลักษณ์อะไรเด่นๆ มันก็มีเหมือนกันหมดอย่างนี้ เขาก็จะเงอะงะ ถึงอย่างนั้นไร้พ่ายก็จะไม่ถามใครเขา และไม่ยอมรับด้วยว่าตัวเองหลง
ผมแม่ง...โคตรปวดหัวกับอีโก้ผิดมนุษย์มนาของอปป้าคนนี้มาก
“ป๋าไม่ชอบอยู่กับโยเหลอเพี๊ยง”
โอ้ย ไม่ใช่หรอกครับลูก ป๋าของหนูน่ะมันแค่หลงทาง แต่มันไม่ยอมรับว่ามันหลง แล้วมันก็ชอบเดินไปไหนไม่บอกไม่กล่าว แถมยังหาทางกลับมาหาพวกเราไม่ถูกก็เท่านั้นเอง
ด้วยเพราะมนุษย์หลงทิศอย่างไร้พ่ายบังเกิดขึ้น ทำให้ผมอดทึ่งกับสถาปัตยกรรมและการตกแต่งของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ไม่ได้ อยากเห็นหน้าสถาปนิกที่ออกแบบนัก ถ้าเจอหน้ากันก็อยากจะถามสักทีว่า ออกแบบให้ซับซ้อนอย่างนี้ทำไม ว่าที่แฟนของผมหลงทาง เดินจนจะเป็นไส้เลื่อนอยู่แล้ว แล้วถ้าเป็นขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ!
เอาเถอะ พาเด็กๆ ไปกินไอติมดีกว่าครับ ส่วนพี่พ่ายก็ปล่อยเขาเถอะ อืม...คืนนี้ผมจะเล่านิทาน ไร้พ่ายในดินแดนมหัศจรรย์ให้เด็กๆ ฟังก็แล้วกัน
“เดี๋ยวป๋าก็ตามพวกเรามา แต่ตอนนี้พี่เพี้ยนคิดว่า ถึงเวลาไปกิน ไอติมกันแล้ววว เย้!”
“เย้!” แฝดสามร้องออกมาพร้อมกัน โดยเฉพาะน้องยะที่ตะโกนดังกว่าใคร ยิ้มมุ้งมิ้งอีกแล้ว น่ารักแรงมากลูก พี่เพี้ยนไม่เอาพ่อแต่เปลี่ยนมาเอาหนูได้ไหม ดาเมจหัวใจพี่เพี้ยนมาก
ระหว่างนั่งกินไอศกรีมอยู่ที่โต๊ะริมกระจกของร้าน ก็เห็นพี่พ่ายเดินผ่านไปพอดี ผมก็เลยเคาะกระจกเรียกเขา แต่มันหยิ่งครับ ไม่แม้จะเหลือบแลสายตามองอะไรเลย หน้าแม่งเชิดอย่างเดียว เออนะ ไม่แปลกใจแล้วว่ะที่พี่หลง ผมก็เลยต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเขา
“พี่พ่าย หันมา”
“อะไร”“กินไอติมกันอยู่ หันมาดิ”
สุดท้ายก็หันมามอง แถมยังมาขมวดคิ้วมองอีก
“จะไปไหนก็ไม่บอก”ฮึ่ม! อยากกัดหูคน ใครกันแน่วะที่ไปไหนไม่บอก
พี่พ่ายวางสายแล้วเดินเข้ามานั่งฝั่งเดียวกับผม สีหน้านิ่งๆ แผ่ความเย็นที่เย็นยิ่งกว่าไอศกรีมออกมาทำให้ผมต้องยื่นมือไปจับมือของเขาใต้โต๊ะ
“พี่ไปซื้อของมาเหรอครับ”
“เปล่า”
“แล้วเดินไปไหนมา”
“ร้านกระเป๋า”
เขาตอบแค่นั้น ผมก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่ก็ได้รู้คำตอบในเพียงไม่กี่นาทีต่อมาเพราะมีสายเรียกเข้าจากมือถือพี่พ่าย เขาดึงมือออกจากมือผมแล้วกดรับสาย น้ำเสียงหวานๆ ที่ดังลอดมานั้น ทำให้ผมไม่หันกลับไปมองหน้าเขาอีก
“ป๋าขา เย็นนี้มาหาเดียร์นะคะ กระเป๋าที่ป๋าซื้อให้ เดียร์ชอบมากเลยค่ะ”อืม...ไปซื้อกระเป๋าให้เด็กเขามานี่เอง เชียงรายนี่ก็แคบเนอะ มาเดินห้างก็ยังมาเจอกันได้
“เย็นนี้ไม่ว่าง”
“ป๋าไม่สะดวกเหรอคะ แต่เดียร์อยากเจอป๋านะ เราไม่ได้เจอกันมาสักพักแล้วนะคะ เดียร์คิดถึงป๋า”
“อืม ไว้คุยกันทีหลัง”
เขาวางสาย พร้อมกับวางมือถือลงบนโต๊ะ แค่ไม่กี่วินาที ไลน์ก็เด้งข้อความจากน้องเดียร์มา
‘รักป๋านะคะ รีบๆ มาหาเดียร์นะ เดียร์เหงา’
ผมเหลือบมอง ก่อนจะเบือนสายตามาจับจ้องที่น้องนะกำลังป้อนเชอร์รี่ให้กับน้องยะ
“นะไม่ชอบ ไม่อร่อย” น้องนะบอกแล้วก็หยิบเชอร์รี่อีกลูกให้กับน้องโย จากนั้นก็จ้วงกินไอศกรีมในถ้วยตัวเองจนหมด
“ปากเลอะ เป็นยักษ์เลย” ผมยิ้มแล้วยื่นกระดาษทิชชู่ไปเช็ดปากให้เด็กๆ ทีละคน แต่แขนดันไปชนแก้วน้ำ จนน้ำกระฉอกมาโดนหน้านิดหน่อย
“เพี๊ยง” น้องโยเรียกแล้วเอียงคอมอง
“หืม”
“เพี๊ยงล้องไห้ทำไม”
แค่น้ำกระเซ็นใส่หน้าเอง...ไม่ได้ร้องไห้ซะหน่อย
“ไม่ได้ร้อง น้ำนี่ต่างหาก”
“อื้อ เพี๊ยงห้ามล้องนะ เพี๊ยงต้องยิ้ม เพาะเพี๊ยงน่าลัก” น้องโย พ่อเด็กเกรียนของพี่เพี้ยน แต่ตอนนี้ไม่เกรียนแล้ว น่ารักมาก สงสัยสีหน้าของผมคงแย่เกินไป เด็กๆ ก็เลยคิดว่าผมกำลังจะร้องไห้
“เพี๊ยง ทิชชู่ๆ เช็ดๆ” น้องนะยื่นกระดาษทิชชู่มาให้ ผมเลยยื่นหน้าไปให้น้องเช็ด แต่น้องนะดันนั่งเก้าอี้เด็กอยู่หัวโต๊ะ ทางซ้ายมือของน้องก็เป็นพี่พ่าย มันก็เลย...
“คิดมาก” เขาบอกเสียงเรียบ ดึงกระดาษทิชชู่จากมือน้องนะแล้วเช็ดที่แก้มให้ผม “ตอนนี้กูอยู่กับมึง ยังจะคิดมากทำไม”
แต่ใจพี่ไม่ได้อยู่ที่ผม และผมก็ไม่แน่ใจว่ามันอยู่ที่น้องเดียร์รึเปล่า เพราะผมไม่รู้...ว่าคนอย่างพี่...มีหัวใจเหมือนอย่างคนอื่นเขาไหม
“ครับ ผมไม่คิดมากหรอก”
ผมว่าหลายๆ คน...ก็จำเป็นต้องโกหก...เพื่อยื้อเวลาของตัวเอง ผม...ยังอยากจะไปต่อ ยังอยากที่จะอยู่ข้างๆ พี่พ่าย เพราะฉะนั้น...ผมจะไม่ทำตัวเป็นปัญหาจนทำให้เราทะเลาะกัน
เพราะผม...ก็แค่ไม่อยาก...ถูกทิ้ง
............................................................TBC.................................................................
นังน้องเดียร์ แกรรรรร อย่ามายุ่งกับพี่พ่ายของเรานะ

ทำไมทุกคนต้องระแวงไร้พ่ายอปป้าของเราด้วยยย ทำมายยยยย
รักทุกคน
