๕.
เช้าวันเสาร์ของอาทิตย์ถัดมาเป็นเสาร์แรกในกำหนดการของสนธยาที่จะเริ่มต้นสอนดนตรีให้กับนาคิน ชายหนุ่มร่างโปร่งตื่นขึ้นมาเปิดตู้เก็บเครื่องดนตรีในเรือนดอกแก้วแต่เช้าตรู่ ก่อนจะยกขิมตัวหนึ่งออกมาทำความสะอาดและตรวจสอบกวดขันดูเส้นลวดไม่ให้ตึงหรือหย่อนจนเกินไป เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีจึงยกไปวางไว้ด้านหลังสุดของชานเรือนซึ่งเป็นพื้นที่เรียนดนตรีไทยของเด็กนักเรียนตัวน้อยในวันนี้ จากนั้นจึงกลับขึ้นเรือนใหญ่เพื่อเตรียมโน๊ตดนตรีฉบับฝึกหัดขั้นพื้นฐานให้นักเรียนคนใหม่ของเขาอีกหนึ่งฉบับ
ดวงตาสุกใสจ้องมองแผ่นกระดาษในมืออยู่ครู่หนึ่งจึงถอนหายใจออกมาแผ่วเบา จะว่าเหนื่อยหน่ายก็ไม่ใช่ จะว่ารำคาญก็ไม่เชิง ออกจะรู้สึกดีทุกครั้งที่มีคนสนใจเรียนดนตรีเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหรือสองคน ทว่านายนาคินคนนี้กลับทำให้สนธยารู้สึกกังวลใจและหนักใจเสียตั้งแต่ยังไม่เริ่มสอนกันด้วยซ้ำ เพราะเขาสังหรณ์ใจว่านาคินจะเป็นลูกศิษย์ที่รับมือได้ยากกว่าลูกศิษย์คนไหนๆที่เคยเจอมา
"พี่สน พี่สนคะ!" เสียงเรียกแหวแหวกอากาศของน้องสาวตัวดีทำเอาเจ้าของชื่อถึงกับสะดุ้ง อีกทั้งเสียงของหล่อนยังผลักความกังวลใจของสนธยาเสียกระเด็นกระดอน
"มีอะไร?" สนธยาเดินมาเปิดประตูห้องนอนเพื่อเผชิญหน้ากับสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม
"พ่อให้มาเรียกไปกินข้าวเช้า" เธอตอบ
"อืม เดี๋ยวพี่ตามไป" สนธยาว่า
"นั่นกระดาษอะไรน่ะพี่สน?" มัทนาถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นโน๊ตเพลงในมือของสนธยา
"โน๊ตเพลงน่ะ"
"อ๋อ...ที่จะเอาไปสอนพี่คินวันนี้หรือเปล่า"
"อืม รู้ได้ไง" สนธยาถามพลางเก็บข้าวของอีกนิดหน่อยก่อนจะเดินออกมาจากห้อง
"พิมก็เดาๆเอาน่ะสิ...เห็นพ่อบอกว่าวันนี้พี่คินจะเรียนดนตรีกับพี่สน พิมก็เลยคิดว่าน่าจะใช่ ว่าแต่พิมเดาถูกไหมล่ะคะ" มัทนาอธิบายเสียยืดยาวก่อนจะปิดท้ายด้วยคำถามขณะเดินเคียงไปกับพี่ชาย
"อืม" สนธยาได้แต่พยักหน้ารับและไม่พูดอะไรต่อ เนื่องจากเดินมาถึงโต๊ะกินข้าวพอดี โดยที่โต๊ะมีมนตรีกับนาคินนั่งคุยกันอยู่ก่อนแล้ว ดูท่าทางคงจะกำลังคุยกันออกรสเพราะเขาเห็นพ่อหัวเราะชอบใจใหญ่
"อ้าว! มากันแล้วๆรีบกินข้าวกันเถอะ อีกเดี๋ยวเด็กๆคงจะเริ่มทยอยมากันแล้วล่ะ นี่พิมก็ต้องไปเรียนพิเศษด้วยใช่ไหมลูก รีบๆเข้า เดี๋ยวก็ไปเรียนสายกันพอดี" มนตรีหันมาพูดกับลูกสาวคนเล็ก
"อันที่จริงพิมมีเรียนสายค่ะพ่อ ไม่รีบหรอก" สาวน้อยคนเดียวของบ้านบอกก่อนจะตักข้าวต้มเครื่องเข้าปาก
"อย่างนั้นเหรอ พอดีเลย วันนี้พ่อจะออกไปทำธุระ พิมออกไปพร้อมพ่อเลยก็แล้วกัน พ่อจะได้ให้ลุงเสริมไปส่งพิมที่โรงเรียนก่อน" ผู้เป็นพ่อแจงกับลูกสาว
"ค่ะพ่อ" มัทนาพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการข้าวต้มของตนเองต่อจนหมด
"สน”
“ครับพ่อ”
“ประเดี๋ยวพ่อจะไม่อยู่สามสี่วัน ดูแลบ้านด้วยนะลูก"
"ไปไหนหรือครับ" สนธยาเงยหน้ามาจากจานอาหารแล้วขมวดคิ้วถาม
"พ่อต้องไปทำธุระเรื่องที่ดินที่อยุธยาน่ะลูก พอดีว่ามีคนเขามาติดต่อของซื้อ คงต้องพากันไปดูที่ แล้วว่าจะแวะไปเยี่ยมยายช้อยแกด้วย ไม่ได้ไปหาแกมานานแล้ว"
"ครับ" สนธยาพยักรับรู้ และไม่สืบเท้าเอาความอันใดต่อ
เป็นที่เข้าใจตรงกันเมื่อเอ่ยถึงที่ดินมรดกตกทอดของตระกูลกับญาติผู้ใหญ่ที่ไม่ใคร่จะน่าพิสมัยเท่าใดนัก เนื่องจากรู้กันกับมัทนาว่าถ้าพูดถึงยายช้อย ทั้งสนธยาและมัทนาก็จะไม่มีใครปริปากถามอะไรให้มากความ ด้วยเพราะกลัวว่าจะถูกพ่อชวนให้ไปเยี่ยมเยียนแกเป็นเพื่อน
"พ่อให้เสริมไปส่งแล้วก็กลับเพราะรถของสนยังอยู่ในอู่ พิมกับสนจะได้มีคนรับส่งตอนไปเรียน เอาไว้วันที่พ่อกลับค่อยโทรให้เสริมไปรับอีกที" มนตรีอธิบายกำหนดการณ์ทั้งหมดให้ลูกชายลูกสาวรวมถึงนาคินฟังด้วยกัน
"ไม่เป็นไรหรอกครับพ่อ ให้ลุงแกไปอยู่ที่นั่นกับพ่อก็ได้ ลุงเสริมจะได้ไม่ต้องขับกลับไปกลับมา อีกอย่างถ้าเกิดจะต้องไปไหนพ่อจะได้เรียกใช้ได้สะดวก ไม่ต้องลำบากหารถอีก ผมกับพิมไม่เป็นไรหรอกครับ โตๆกันแล้ว ไปเรียนแค่นี้ก็ไปกันเองได้ พ่อไม่ต้องห่วง"
"เอาอย่างนั้นหรือ" ผู้เป็นพ่อมีท่าทีลำบากใจ ก่อนจะหันไปถามความเห็นจากลูกสาว "แล้วเราว่ายังไงล่ะพิม"
"เอาอย่างที่พี่สนว่าก็ได้ค่ะพ่อ โรงเรียนอยู่ใกล้แค่นี้ พิมไปเรียนเองได้สบายมาก" มัทนายืนยันเหมือนที่พี่ชายว่าอีกเสียง ถึงแม้จะลำบากกว่าปกติแต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้พ่อต้องลำบากหากมีธุระต้องใช้รถ
"ถ้าลูกๆว่าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ ยังไงพ่อฝากดูบ้าน ดูน้องด้วยนะสน คิน"
"ครับ/ครับ" คนถูกสั่งตอบรับและพยักหน้าพร้อมกัน แล้วหัวข้อสนทนายืดยาวก็จบลง ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาทานอาหารของตนเองต่อไปโดยที่ไม่พูดคุยอะไรกันอีก
หลังจากมื้อเช้าผ่านไป มนตรีกับมัทนาก็เดินทางไปทำธุระของตนเอง ส่วนลูกชายคนโตของบ้านตอนนี้ก็แยกตัวออกมามาทำหน้าที่ของตนเองที่ทำอยู่เป็นกิจวัตรทุกวันเสาร์-วันอาทิตย์ ชายหนุ่มเดินหอบแฟ้มที่เต็มไปด้วยโน๊ตเพลงเพื่อไปยังเรือนดอกแก้วซึ่งในขณะนี้เด็กๆเริ่มทยอยมากันแล้ว แต่ร่างสูงของหนุ่มรุ่นน้องก็ดันวิ่งตึงๆลงบันไดตามหลังมา เป็นจังหวะเดี๋ยวกับที่สนธยาสวมรองเท้าเสร็จพอดี ทันทีที่ออกเดินร่างสูงก็เร่งตีฝีเท้ามาเดินข้างๆกับสนธยา
"ให้ช่วยถือไหมครับ" นาคินว่าพลางมองแฟ้มหนาในอ้อมแขนของสนธยา
"ไม่ได้หนักอะไร ฉันถือเองได้" สนธยาบอกเรียบๆ
"..." นาคินไม่ได้ต่อความเพียงแต่พยักหน้ารับ และเดินตามหลังร่างโปร่งบางไปเงียบๆเท่านั้น
เสียงดนตรีไทยของเด็กๆถูกบรรเลงขึ้นพาคนฟังให้รู้สึกสดชื่นเหมาะกับยามสายที่มีแดดอบอุ่นท้องฟ้าสดใส ถือว่าโชคดีที่เรือนดอกแก้วเป็นเรือนไทยแบบเปิดโล่งด้านในแทบจะทั้งหมด สายลมเย็นสบายจึงพัดมาช่วยไม่ให้อากาศร้อนมากนัก
การเรียนการสอนเป็นไปอย่างปรกติสุขดี แม้เด็กๆจะคอยแอบชำเลืองมองนักเรียนคนใหม่ของคุณครูพี่สนด้วยความสงสัยระคนสนใจบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเพราะต้องซ้อมเพลงของตัวเองตามที่คุณครูสั่งด้วย ระหว่างที่เด็กๆกำลังซ้อมเพลงอย่างขะมักเขม้น สนธยาก็ใช้โอกาสนี้เพื่อแวะเวียนมาสอนนักเรียนตัวโตของตัวเองตัวต่อตัว เพื่อให้นาคินสามารถเริ่มเล่นได้ถูกทางถูกวิธี สนธยาจึงเริ่มใช้แบบฝึกหัดอย่างง่ายๆในการสอนเป็นลำดับแรกก่อน
ขณะที่เด็กนักเรียนทุกคนกำลังหยุดพักสิบห้านาทีเพื่อดื่มน้ำดื่มท่าและเข้าห้องน้ำ สนธยาก็ฉวยโอกาสนี้เร่งสอนนาคินเพิ่มเป็นพิเศษด้วย
หากแต่สนธยาไม่คิดว่ามันจะเป็นจริงอย่างที่เจ้าตัวเคยว่าไว้ ดูเหมือนนาคินจะไม่ค่อยมีหัวทางด้านนี้เท่าใดนัก ขนาดวิธีจับไม้ที่เพิ่งสอนไปเมื่อชั่วโมงก่อนหน้า พอเผลอเข้าหน่อยเจ้านักเรียนตัวโตก็จับเอาอย่างที่ตนเองถนัดไปเสียอย่างนั้น ทั้งน้ำหนักในการตีสายไล่โน๊ตก็แรงเสียจนกลัวว่าสายลวดจะขาดผึ่ง เสียงที่ตีออกมาดังโด่งฟังดูแข็งเสียจนแสบแก้วหู อยากจะส่ายหน้าด้วยความระอา แต่พอเห็นหน้าตาจริงจังกับคิ้วเข้มที่ขมวดเป็นเส้นเดียวของพ่อนักเรียกตัวโตแล้ว คุณครูสนธยาก็ยั้งใจไม่ให้ตนเองแสดงท่าทางหักหาญน้ำใจเช่นนั้นออกไปได้ แต่ถึงอย่างไรก็คงต้องเตือนกันสักหน่อย พอคิดได้เสียงเรียบๆตามแบบฉบับก็ถูกส่งออกไปในทันที
"จับไม้ดีๆสิ แบบนั้นมันผิด เมื่อกี้ก็บอกแล้ว"
"ครับๆ"
นาคินพยักหน้ารับก่อนจะเปลี่ยนท่าให้ถูก ผ่านไปสักพักเสียงของสนธยาก็เตือนออกมาอีกรอบ หากแต่ครั้งนี้ติดจะดุไปสักหน่อยตามอารมณ์ เมื่อนักเรียนทำตามที่สอนได้ไม่นานสักที
"เบา! บอกให้ตีเบาหน่อย"
"ก็เบาแล้วนะ" นาคินเถียงเพราะคิดว่าตนเองเบามือกว่าเดิมมากแล้ว
"เบากว่านี้อีก ตีแรงจนเสียงแหลมโด่แล้วเห็นไหมเนี่ย"
“ก็ผม…”
“อย่าเถียง”
"ครับๆ" ร่างสูงยอมพยายามทำตาม และไม่ออกเสียงเถียงโต้ตอบ เนื่องจากกลัวว่าจะทำให้คุณครูหงุดหงิด
"สอนไม่จำสักที" ริมฝีปากสีอ่อนแอบบ่นขมุบขมิบ
"โธ่...ผมก็พยายามอยู่นะครับ
ทำไมคุณครูพี่สนถึงดุจังเลยล่ะครับ"
อาจเพราะอยู่ใกล้กันเกินไปนิด ประโยคที่บ่นพึมพำคนเดียวจึงไปเข้าหูของร่างสูงจนถูกแซวแบบนี้ ยิ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นรอยยิ้มติดจะล้อเลียนอยู่กลายๆ นั่นยิ่งทำให้สนธยานึกฉุนเข้าไปใหญ่
"หัดตั้งใจเล่นให้ได้ดีสักครึ่งหนึ่งอย่างปากจะไม่ว่าเลย" สนธยาตอกกลับ
นาคินมองตามปากยื่นๆของอีกฝ่ายอย่างนึกขำ ยิ่งผนวกกับใบหน้างอง้ำและคิ้วผูกโบยิ่งดูน่าขันมากขึ้นไปอีก คิดดูให้ดีสนธยาเองก็มีด้านที่คล้ายกับเด็กอยู่หลายส่วนเหมือนกัน นี่อาจเป็นเหตุผลที่เขาไม่รู้สึกกลัวคุณครูจำเป็นคนนี้เลยสักนิด มัวแต่คิดเพลินจนไม่ได้สนใจว่าคุณครูนั่งรอชมอยู่ ร่างสูงจึงถูกสะกิดด้วยน้ำเสียงดุๆอีกคำรบ
"มัวเหม่ออะไร ทำไมไม่เล่นล่ะ"
"อ๋อ...อ่า...ครับๆ คุณครูพี่สน" นาคินพยักหน้ารับรู้และยังไม่วายจะเอ่ยสัพยอกให้อีกคนหงุดหงิดเล่น
"นายนี่มัน!” สนธยาขู่ฟ่อลอดไรฟัน ก่อนจะถอนหายใจทิ้งแล้วออกคำสั่ง “ซ้อมไปเลยนะ ฉันจะไปสอนเด็กแล้ว ถ้ากลับมาแล้วยังทำไม่ได้ก็ไม่ต้องเล่นมันแล้ว จะถือซะว่าไม่มีหัวทางนี้" พูดจบคุณครูคนเก่งก็เดินตึงๆไปเรียกเด็กๆมาเริ่มเรียนกันต่อ และการเรียนการสอนตลอดชั่วโมงนั้น สนธยาก็ไม่ได้แวะเวียนหรือเฉียดกรายเข้ามาใกล้ลูกศิษย์เจ้าปัญหาของเขาอีกเลย
ภาพของครูเพลงคนเก่งสอนลูกศิษย์บ่าวคนงามเล่นดนตรีเป็นประจำทุกครั้งที่กลับมาจากในวัง เป็นภาพที่คนในเรือนคหบดีเสืองเห็นจนชินตา แม้ผู้เป็นแม่จะเอ่ยทัดทานถึงความไม่เหมาะสม ทว่าพ่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก็หาฟังคำทัดทานนั้นไม่ ทั้งพ่อเสืองยังไม่ได้ห้ามปรามอันใดปล่อยให้สินทำตามใจ นายหญิงบนเรือนใหญ่จึงจนปัญญาจะค้านอันใดได้อีก
หากแต่ด้วยสินเป็นคนมีความคิดจึงระแวดระวังตนไม่ให้ใครเอาไปพูดถึงเสียหายได้ว่าหมกตัวอยู่กับบ่าวในเรือนสองต่อสอง หลังจากหัดให้แก้วเล่นดนตรีได้ไม่นาน สินจึงเอ่ยปากถามความสมัครใจของลูกบ่าวคนอื่นๆ ว่ามีผู้ใดอยากจะหัดเล่นดนตรีด้วยหรือไม่ เวลาต่อมาจากนั้น เรือนดอกแก้วจึงมีเด็กๆขึ้นเรือนมาเรียนกับสินด้วย หากแต่ก็มีไม่มากนัก เนื่องจากเด็กๆ ส่วนใหญ่จะติดเล่นตามประสา ยิงนก ตกปลาเสียมากกว่านั่งสงบเรียนดนตรีอยู่บนเรือน
นับวันผ่านพ้น เป็นเดือนเป็นปี ความใกล้ชิดสนิทสนมของแก้วและคุณสินก็มีแต่จะเพิ่มพูนมากขึ้น แม้หนุ่มสาวทั้งสองจะไม่เคยเจรจากันเหมือนชายเกี้ยวหญิง หากแต่ก็เรียนรู้นิสัยใจคอกันมากขึ้น สินนั้นมองว่าแก้วเป็นหญิงสาวที่ไม่เหมือนผู้หญิงคนใดที่ตนเคยประสบพบเจอ เพราะเธอเป็นคนที่สดใส ใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีความกล้าที่จะซักถามไม่ได้เหนียมอายอย่างหญิงทั่วไป หากแต่ก็รู้จักเจียมตนและสำนึกว่าเป็นบ่าวอยู่เสมอ แม้อายุอานามจะย่างเข้าสิบแปดปี โตพอจะเรียกได้ว่าเป็นสาวสะพรั่ง ทว่าอุปนิสัยกลับคล้ายกับเด็กน้อย ทำให้สินรู้สึกเอ็นดูแม่ลูกศิษย์คนนี้ขึ้นอีกหลายส่วน
ในอีกด้านหนึ่ง สำหรับแก้วนั้น คุณสินเป็นทั้งครูและผู้มีพระคุณของเธอ หญิงสาวจึงรักและบูชาเจ้านายคนนี้ยิ่งนัก เมื่อพิศดูลักษณะที่แสนจะใจดี เยือกเย็นและอบอุ่นไปในคราวเดียวกัน มันยิ่งทำให้แก้วผูกใจสมัครรักใคร่ในตัวของคุณสินมากยิ่งขึ้น ถึงกระนั้น หญิงสาวก็เก็บเอาความรู้สึกของตนเองข่มไว้ภายใน ด้วยเจียมกะลาหัวว่าตนเป็นเพียงบ่าว ไม่เคยริอาจจะคิดฝันการใดๆที่ไกลเกินเอื้อมเลยสักครั้ง ชีวิตนี้ขอเพียงได้รับใช้ ได้เฝ้ามองรอยยิ้มสุขใจของคุณสิน เพียงเท่านั้นก็ถือว่าเป็นบุญวาสนาของเธอแล้ว
"คุณสินเจ้าคะ แก้วเล่นได้แล้วเจ้าค่ะ เพลงเถาที่คุณสินสอนคราวที่แล้ว" หญิงสาวว่าหน้าตายิ้มแย้มทันทีที่โผล่ขึ้นเรือนมาพบนาย
"ไหนลองแสดงฝีมือให้ชมเป็นขวัญตาหน่อยซี"
"เจ้าค่ะ"
ชายหนุ่มเดินไปหยุดที่หน้าตั่งวางขิมเพื่อฟังบ่าวสาวบรรเลงเพลง เมื่อเสียงไพเราะหวานหูตามแบบฉบับที่เขาเคยสอนจบลง สาวหน้าคมก็ยิ้มร่ารอรับคำชมจากอาจารย์ รอยยิ้มนั้นช่างกระตุกให้หัวใจสั่นไหว ทั้งยังพาให้รู้สึกซาบซ่านในหัวใจแทบจะลอยลมจนตัวเขาเองเผลอยิ้มกว้างตามไปด้วย
แน่นอนว่าสินเป็นผู้ใหญ่ ความรู้สึกนึกคิดใดๆย่อมประจักษ์แก่ใจตนเองดีที่สุด หากแต่ด้วยเส้นบางๆที่ขีดไว้ของคำว่าครูกับลูกศิษย์ ทำให้เขากระดากอายที่จะแสดงออกว่าตนเองคิดเกินเลยกว่านั้นเสียแล้ว ความสุขที่มีอยู่ทุกครั้งที่กลับมาบ้านจึงเป็นการเฝ้ามองรอยยิ้มสดใสซึ่งไม่คู่ควรแก่การทำลายนี้ เพราะชายหนุ่มรู้ว่าถ้าเขากับแก้วรักกัน แก้วคงต้องพบเจอกับอะไรๆที่จะคืบคลานมาบั่นทอนความสดใสในตัวเธอไปเป็นแน่ และปราการด่านแรกที่ต้องเจอคือผู้เป็นแม่ของเขาเอง คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกที่จะหักห้ามใจของตนเองเอาไว้
ทว่าเขาจะทนได้นานเพียงใด ใครเล่าจะรู้... คุณครูหนุ่มยืนกอดอกมองดูเด็กตัวน้อยๆ เดินเรียงแถวเข้ามาเรียนดนตรีไทยที่บ้านคุณครูมนตรีพร้อมหน้า ทุกคนต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใสและทักทายกันโหวกเหวกไปหมด เนื่องจากไม่ได้พบกันมากว่าครึ่งเดือน เหตุเพราะเมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นวันหยุดเข้าพรรษา โรงเรียนสอนดนตรีไทยจึงปิดให้เด็กๆได้ไปทำบุญกับผู้ปกครอง
หลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของแต่ละคนกันพอหอมปากหอมคอ ทุกคนก็นั่งสงบพร้อมจะเริ่มต้นเรียนกันได้สักที หากแต่ก่อนที่สนธยาจะเริ่มสอน สายตาก็พลันเคลื่อนไปหยุดที่นักเรียนตัวโตซึ่งมีท่าทีอิดโรยและดูเคร่งเครียดกว่าที่เคยเห็น ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานาคินกลับไปเยี่ยมที่บ้านเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาอยู่กรุงเทพ พอกลับมาก็ไปเรียนพร้อมกันตามปรกติ ซ้ำบางวันนาคินก็จะลงมาซ้อมดนตรีตอนเย็นพร้อมกับตนด้วย นั่นทำให้ร่างสูงพัฒนาฝีมือขึ้นไปได้อีกนิด ทว่าที่แปลกใจคือสนธยาไม่ได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงของนาคินเลยกระทั่งตอนนี้ว่าลูกศิษย์ตัวโตดูทรุดโทรมลงไปแค่ไหน
ระหว่างที่เรียนดนตรีกันไปอาการเคร่งเครียดและเหม่อลอยของนาคินยิ่งแสดงออกมาให้เห็นชัดเจน จนสนธยาที่เผลอมองชายหนุ่มบ่อยครั้งพาลไม่มีสมาธิไปด้วย ในที่สุดการเรียนการสอนก็จบลง นักเรียนทุกคนพากันกลับบ้านเรียนร้อย ตัวสนธยาเองก็กำลังจะไปกินข้าวกลางวัน แต่เป็นเพราะยังเหลือนักเรียนอีกคนที่กำลังนั่งตีขิมโดยไม่สนใจใครอยู่ตรงด้านหลังสุดของชานเรือน จึงทำให้คุณครูสนธยาไม่อาจละลงไปจากเรือนดอกแก้วได้
นาคินรู้สึกอ่อนเพลียมากในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรหักโหมเลยสักนิดซ้ำเขาเองก็เป็นคนที่เล่นกีฬาเป็นประจำไม่น่าจะป่วยอย่างไม่มีสาเหตุได้ ถึงอย่างนั้นนาคินก็รู้สึกเหมือนตัวเองนอนไม่พอและไม่ค่อยมีแรงอยู่ตลอดเวลา หรืออาจจะเป็นเพราะความฝันที่คอยตามมาฉายภาพซ้ำให้เห็นทุกค่ำคืนติดต่อกัน ภาพความสัมพันธ์ของหญิงชายคู่หนึ่งที่ตอนนี้เพียงแค่หลับตาใบหน้าของคนทั้งคู่ก็ปรากฏให้เห็นชัดเจน นั่นอาจเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจของเขาอยู่ก็เป็นได้
"ไม่สบายแล้วทำไมไม่กลับไปพัก" เสียงนุ่มๆฟังดูอ่อนลงอย่างที่ไม่เคยได้ยิน พร้อมกับสัมผัสเบาๆบนหลังมือทำให้ร่างสูงหยุดคิดฟุ้งซ่าน ดวงตาคมมองมือเรียวที่แตะบนหลังมือของเขาก่อนจะเคลื่อนขึ้นมาสบกับใบหน้านิ่งๆของสนธยา นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นฉายแววอาทรอยู่น้อยๆ และนั่นทำให้นาคินยิ่งนั่งนิ่งไม่โต้ตอบอะไรออกไปสักคำ
เหมือน...เหมือนกันเกินไป ร่างสูงได้แต่อุทานขึ้นมาในใจ
"ถามทำไมไม่ตอบ เป็นอะไรหรือเปล่า" เสียงของสนธยาย้ำถามอีกครั้ง
"เอ่อ...ไม่ได้เป็นอะไรครับ" นาคินตอบ
"แต่สีหน้าดูไม่ค่อยดี วันนี้ไม่ต้องซ้อมหรอก ไปพักเถอะ เดี๋ยวเป็นอะไรขึ้นมาจะแย่" คำพูดนั้นแม้จะพูดออกมาเรียบๆ แต่คนฟังก็รู้สึกได้ว่าคนตรงหน้าเป็นห่วงเขาอยู่ไม่น้อย
"..." ร่างสูงยิ้มบางที่มุมปากโดยไม่ต่อความอะไร แต่ภาพนั้นทำให้สนธยารู้สึกร้อนรนขึ้นมาเสียดื้อๆ
"ไม่ใช่อะไรนะ...แค่...แค่กลัวว่าถ้าเป็นอะไรหนักขึ้นมาพ่อจะว่า ว่าไม่ยอมดูแลลูกศิษย์ให้ดี" คนพูด พูดไปพลางมือก็เกาแก้มไปพลาง การกระทำนั้นมันทำให้นาคินยิ้มกว้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว
"คุณครูพี่สนเนี่ย ความจริงอ่อนโยนแล้วก็ใจดีมากเลยนะครับ ถึงไม่ค่อยชอบใจดีกับผมเท่าไหร่นักก็เถอะ"
ท่าทางผ่อนคลายลงของนาคินทำให้ลักษณะประจำตัวและรอยยิ้มการค้าฉบับเดิมๆกลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกชวนให้ปั่นป่วนพุ่งตรงเข้าเล่นงานสนธยาเข้าอย่างจัง เมื่อมองเห็นรอยยิ้มนี้ใกล้ๆ มันยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดแต่ก็เก้อเขินอย่างไรบอกไม่ถูก นั่นทำให้สนธยาต้องแสร้งขมวดคิ้วเก๊กขรึมเพื่อกลบเกลื่อนอาการต่างๆ ที่กำลังจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า
"อ...อ่อนโยนบ้าอะไร แล้วก็ไม่ได้ใจดีด้วย แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้นแหละ อย่ามาพูดมั่วๆ" คนเคร่งครัดในหน้าที่ว่าอย่างติดๆขัดๆ และยังไม่ลืมทิ้งหางเสียงเหวี่ยงๆแบบที่เคยทำบ่อยๆด้วย
"ว้า...ไอ้เราก็นึกว่าเป็นห่วง ที่แท้ก็ทำตามหน้าที่ แต่ก็ต้องขอบคุณนะครับ ผมแค่ปวดหัวนิดหน่อย ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก งั้นขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ
คุณครูพี่สน"
สนธยานั่งอ้าปากค้างคิดจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็พูดไม่ออก นึกเจ็บใจตัวเองขึ้นมาว่าไม่น่าไปนึกเป็นห่วงหรือเวทนาสงสารไอ้คนตัวโตนั่นเลยจริงๆ
"กวนประสาทที่สุด!...ให้ตายสิ ชอบพูดเป็นเล่นอย่างนี้อยู่เรื่อย" มือเรียวขยี้หัวแรงๆ อย่างนึกขัดใจพลางบ่นพึมพำเมื่อนาคินเดินลงจากเรือนดอกแก้วไปแล้ว
หลังจากที่สนธยานั่งซ้อมมือตีขิมอยู่บนเรือนดอกแก้วเพียงลำพังเกือบชั่วโมง ในที่สุดชายหนุ่มก็รู้สึกสงบใจลง ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร ทั้งที่ตามปรกติเขาออกจะเป็นคนไม่คิดอะไรมาก ไม่ค่อยเก็บเรื่องของใครๆมาใส่ใจ ทว่าตั้งแต่ที่ได้พบกับนาคิน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร ก็ดูจะขวางหูขวางตาเขาไปหมด แต่หากสนธยาใคร่ครวญดูดีๆสักนิด เจ้าตัวอาจรู้ ที่ว่าขวางหูขวางตานั้น บางทีอาจไม่ไกลกับคำว่า
อยู่ในสายตาสักเท่าไหร่
ระหว่างที่โน้ตตัวสุดท้ายจบลง มือเรียวก็รวบไม้ตีมารวมกันตรงกลาง ร่างที่ตั้งตรงสง่างามค่อยๆผ่อนคลายลง ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มออกมาบางๆอย่างพอใจ เครื่องสายชนิดนี้ช่วยทำให้เขารู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้เล่น แม้เพลงเหล่านั้นจะจบแล้ว แต่เหมือนกับเสียงสะท้อนของเพลงครวญยังคงกังวานแว่วหวานล่องลอยอยู่ในอากาศ
สนธยาดื่มด่ำกับความรู้สึกรักในการเล่นดนตรีเงียบๆ กระทั่งมีเสียงบางอย่างดังผ่านสายลมมาต้องหู หูของนักดนตรีที่ไม่ว่าตัวโน๊ตไหนเล่นผิดเพี้ยนก็จะแยกออกเสมอ
“คุณพี่” ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองหูแว่ว แต่เขาก็ยังหันมองเหลียวซ้ายแลขวาไปรอบๆเรือนไม้หลังเก่า และสิ่งที่มองเห็นมีเพียงใบไม้แห้งที่ปลิวมาตกอยู่ทั่วชานเรือนด้านนอก ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆส่ายไหวไปมาตามสายลมอ่อน ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรผิดเพี้ยน
ชายหนุ่มส่ายหัวเบาๆแล้วคิดในใจว่า วันนี้ฟังดนตรีมากไปทำให้หูฝาดเสียแล้วกระมัง ทว่าเมื่อหันหน้ากลับมา เสียงร้องเรียกเบาๆเสียงเก่าก็ดังขึ้นอีกคำรบ และคราวนี้สนธยาสามารถบอกได้แล้วว่าเสียงนั้นดังมากจากทิศทางไหน
“คุณพี่…” ดวงตาคู่สวยตวัดมองไปที่ประตูบานน้อยที่ปิดผนึกห้องที่มีเพียงห้องเดียวของเรือนหลังนี้เอาไว้ เขาจ้องมองมันอยู่นาน กระทั่งในที่สุดก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องนั้น สนธยาไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางหรือวิญญาณ แต่เขาก็เชื่อว่าหูเขาไม่ได้เพี้ยนไปเช่นกัน เนื่องจากเขาได้ยินถึงสองครั้งสองครา ยืนมองบานประตูอยู่อึดใจ ก่อนจะผลักให้มันเปิดออกแล้วก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปภาย
แสงในห้องน้อยไม่สว่างนัก เพราะแหล่งที่มามีเพียงบานประตูที่เปิดกว้างเอาไว้เพียงแห่งเดียว หน้าต่างทุกบานในห้องถูกปิดสนิททั้งหมด สนธยาหยุดยืนอยู่กลางห้อง มองไปรอบๆชั้นต่างๆที่พ่อขนเข้ามาไว้ใช้จัดวางเครื่องดนตรี ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมกับเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนตอนที่เขาเข้ามาปัดกวาดเช็ดถูกพร้อมคนอื่นๆ แต่อาจเป็นเพราะครั้งนี้ไม่มีใคร มีเพียงเขาคนเดียวที่อยู่ในห้องเก็บของปิดทึบนี้ ดังนั้นบรรยากาศภายในจึงเงียบสงัดวังเวงนัก
ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆอีกครั้ง ไม่ขยับตัวไปไหนให้กระดานลั่น เพราะต้องการดักฟังเสียงปริศนา แต่จนแล้วจนรอด เมื่อผ่านไปนานหลายนาที ทุกอย่างก็ยังสงบเงียบเช่นเดิม สนธยาจึงถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วก้าวออกจากห้อง พร้อมกับบอกตัวเองให้เชื่อว่าเมื่อกี้คงหูฝาดจริงๆ
‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧
สวัสดีผู้อ่านที่รัก
การดำเนินเรื่องจะพยายามปรับให้ไม่ยืดยาดเกินไปนัก แม้ช่วงรอยต่อบางช่วงไม่ได้ใส่คำอธิบายชัดเจน แต่ก็หวังว่าท่านผู้อ่านจะเข้าใจกันนะคะ 5555 ในส่วนของภาษาก็จะพยายามเขียนไม่ให้มันดูแปลกเกินไปอีกนั่นแหละ บางที่เราอาจจะมีการใช้คำที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนัก หรือบางครั้งก็วนไปวนมา(อย่างหลังกำลังพยายามปรับปรุง) ท่านผู้อ่านก็อย่าได้ถือสาเราเลยนะคะ จุดไหนที่งงๆ ก็ถามกันได้ค่ะ
ในขณะที่นาคินหลอนมาหลายตอน ตอนนี้พี่สนก็รวมด้วยช่วยกันหลอนนิดๆแล้วล่ะค่ะ 55555
แต่เอาจริงๆเห็นมีหลายคนบอกว่าเรื่องนี้น่ากลัว แต่ฝนเขียนไปก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่ากลัวเท่าไหร่นี่นา
หรือมัวแต่ไปโฟกัสความช่างหยอดของนาคินก็ไม่รู้สิเนอะ
บางคนอาจไม่ถูกใจที่หลายตอนแล้วก็ยังเรื่อยๆอยู่ อันนี้หมายถึงความสัมพันธ์ของตัวเอก
แต่เราว่านี่ก็ไม่เรื่อยเท่าไหร่นะ เอาเป็นว่าสไตล์เรามันค่อยเป็นค่อยไปอย่างนี้ล่ะมั้ง ต้องทำใจหน่อยนะคะ T^T
ถึงยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยอ่านและช่วยคอมเม้นให้นะคะ เป็นกำลังใจที่ดีสำหรับนักเขียนแบบเรามากๆ เลย ^^
พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ
ละอองฝน
(๐๙/๐๖/๒๕๕๘ , ๑๙:๓๓)