คำเตือน
เนื้อหาในตอนนี้มีความรุนแรงและค่อนข้างน่าหดหู่ หากไม่ต้องการเสพ สามารถข้ามไปอ่านสรุปเฉพาะประเด็นสำคัญของงวดนี้ตอน Talk ท้ายงวด (เพื่อจะได้อ่านตอนต่อไปรู้เรื่อง) ที่รีพลาย 1375 ได้เลยค่ะ (เลื่อนข้ามไปตอนท้ายรีพลายหลังจากบรรทัดที่มีตัวหนังสือสีแดงนะคะ) >> http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46317.msg3502948#msg3502948
(แต่ถ้าพอไหว อ่านทั้งตอนน่าจะได้รายละเอียดที่ตั้งใจเต็มที่จะถ่ายทอดมากกว่า จะยินดีและขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ)
ขอบคุณค่ะ ┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 23.5 SIN OF INNOCENCE
เพราะวัยเยาว์นั้นขาวสะอาดจนเกินไป
ฝนแรกของฤดูกระหน่ำเดี๋ยวเบาเดี๋ยวหนักติดต่อกันมาเป็นวันที่สองแล้ว แทบไม่มีช่วงเว้นว่างสักนิด กระทั่งตอนกลางวัน มองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่ว่าจะเช้าสายบ่ายเย็นก็เห็นแต่เมฆครึ้มปกคลุมท้องฟ้า ครั้นถึงค่ำมืดยิ่งลงเม็ดหนักยิ่งกว่า เสียงฟ้าคำรามดังไม่ได้ขาดไปตลอดทั้งคืน
ฤดูฝนวนกลับมาอีกครั้ง ราวหนึ่งปีนับจากพิมพิชชา คุณแม่ของเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเต้านม
ธัญญ์อายุได้สิบสี่ปี เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สอง แม้เพิ่งสูญเสียคุณแม่ไปได้หนึ่งปี แต่ก็ยังคงมีชีวิตต่ออย่างเข้มแข็งในบ้านหลังใหญ่โต ภายใต้การดูแลของธเนศซึ่งเป็นพ่อบุญธรรม ร่วมใต้ชายคาเดียวกันมาเป็นเวลากว่าแปดปีแล้ว นับตั้งแต่คุณแม่แต่งงานใหม่เข้ามา
หากหักเรื่องความอาภัพที่สูญเสียทั้งพ่อและแม่แท้ ๆ ไปตั้งแต่วัยเยาว์แล้ว ธัญญ์นับเป็นเด็กโชคดีคนหนึ่งซึ่งเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่หลายคนเฝ้าปรารถนาแต่ไม่มีวันได้ครอบครอง เขามีทั้งรูปทรัพย์ สินทรัพย์ สติปัญญา ทั้งยังอัธยาศัยดี เป็นที่รักของผู้คนรอบตัว
เขาควรเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์พร้อม
ใช่..มันควรเป็นเช่นนั้น..
“ธัญญ์ อ่านหนังสือดึกเชียว หิวหรือเปล่า”
“ไม่หิวครับ” เด็กหนุ่มตอบ หันไปส่งยิ้มให้ผู้มาใหม่ที่ถือถาดเล็ก ๆ เดินเข้ามาหา
“ไม่หิวเลยหรือ” ชายหนุ่มย่อตัวลงนั่งเคียงข้าง วางถาดไว้บนโต๊ะ ในนั้นมีนมร้อนสองแก้ว ไอสีขาวบิดเป็นเกลียวชดช้อยลอยเหนือขึ้นไป ข้างกันมีช่อดอกไฮเดรนเยียเล็ก ๆ สีม่วงแซมน้ำเงินวางอยู่
ธัญญ์ก้มลงมองพวกมันครู่หนึ่ง จากนั้นเงยขึ้นมองธเนศผู้เป็นพ่อบุญธรรม เห็นรอยยิ้มอบอุ่นทั้งสายตาเจือคาดหวังอยู่เล็กน้อย ใจแข็งต่อไม่ไหวจนต้องเปลี่ยนคำตอบใหม่
“แต่นมร้อนสักแก้วก็ดีเหมือนกัน”
“ใช่ไหมล่ะ”
เขาพยักหน้าตอบแข็งขัน “คุณพ่อก็จะนั่งกินด้วยกันใช่ไหมครับ”
“แน่อยู่แล้ว” ฝ่ายนั้นเอ่ยเสียงนุ่ม “เตรียมมาสองแก้วนี่นา กินคนเดียวเดี๋ยวจะเหงา”
“ที่แท้คุณพ่อก็กลัวเหงานี่เอง”
“อ้าว ตกลงเป็นพ่อเองที่เหงาหรอกเรอะ!?”
“ไม่ใช่หรอกหรือครับ”
เขายิ้ม ถามกลับตาใส แทบจะเป็นท่าไม้ตายอันดับต้น ๆ ทำคนฟังได้แต่ยิ้มอ่อนใจ ยอมจำนนให้จนได้
“นั่นสินะ ที่เขาว่าคนแก่ขี้เหงา สงสัยเป็นอย่างนี้นี่เอง”
เด็กหนุ่มมองธเนศหัวเราะ ประกายวาววามในนัยน์ตาอีกฝ่ายชวนให้อุ่นใจเสมอ แม้ยามต้องผ่านช่วงเวลายากลำบากอย่างตอนเพิ่งเสียคุณแม่ไป
ธัญญ์คิดว่าตัวเองคงทนอยู่ไม่ไหวหากไม่มีคนคนนี้คอยเคียงข้าง หากถามว่าชีวิตดำเนินมาถึงบัดนี้ เขาไว้เนื้อเชื่อใจใครที่สุด คำตอบก็คงจะเป็นคุณพ่อธเนศนี่เอง
“ขอบคุณนะครับ” ธัญญ์พึมพำ ยกแก้วขึ้นเป่าใกล้ริมฝีปาก มองไอร้อนต้องลมปากลอยขึ้นสูงแล้วจางหายไปในอากาศ
พวกเขามักทำอย่างนี้ในบางคืนที่ธัญญ์อ่านหนังสือหรือทำงานของโรงเรียนจนดึก พอสักห้าทุ่มกว่า หากเขายังไม่นอน คุณพ่อจะยกถาดเล็ก ๆ เดินเข้ามาหา มีนมอุ่น ๆ สองแก้ว บางครั้งมีขนมหรือผลไม้เช่นกล้วยสุกฝานมาสองสามชิ้น และหากที่บ้านมีไฮเดรนเยียออกดอกช่วงนั้น คุณพ่อมักเด็ดช่อเล็ก ๆ มานิดหน่อยเพื่อวางคู่กันไว้เสมอ
เมื่อก่อนตอนยังเด็กกว่านี้ ช่วงที่มาอยู่ร่วมชายคาใหม่ ๆ ตอนนั้นเขาอายุสักหกขวบได้ แก้วนมยังเล็กกว่านี้ เวลาก็ไม่ดึกดื่นเท่านี้ เขาเคยถามด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมต้องมีดอกไม้มาพร้อมของกินด้วย หรือว่ามันกินได้
“กินได้ที่ไหนกัน” คุณพ่อหัวเราะพลางลูบผมเขาแผ่วเบา “ก็ลูกชอบไม่ใช่หรือ”
“เลยเอามาวางไว้หรือครับ?”
“ใช่สิ” คุณพ่อยังคงยิ้มกว้าง “แต่ถ้าไม่ชอบ คราวหน้าจะเอาออกก็ได้นะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ” เขาส่ายศีรษะจนผมยุ่ง “ผมชอบ”
“นั่นสิน้า นึกแล้วเชียว”
ครั้นเติบโตขึ้นมา เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าเขาชอบดอกไม้นั่นด้วยตัวเอง หรือชอบเพราะถูกบอกว่าเขาชอบมัน..
รู้ตัวอีกครั้ง ไฮเดรนเยียสีน้ำเงินบ้าง ม่วงบ้าง ก็คอยประดับอยู่ตรงนั้นตรงนี้ของตัวบ้านและสวน นานวันเข้าธัญญ์ก็เลิกคลางแคลงสงสัย ว่าความชอบนั้นเกิดจากตัวเองหรือถูกบอกให้ชอบกันแน่ เพียงแต่คิดว่ามันสวยดี และเขาไม่ได้เกลียดก็เท่านั้น
พวกเขาดื่มนมอุ่น ๆ คนละแก้ว นั่งข้างกันพลางพูดคุยเรื่อยเปื่อย เรื่องราวที่โรงเรียนเป็นอย่างไร ตอนนี้สนิทกับใครบ้าง เข้ากับเพื่อนให้ห้องได้ดีหรือเปล่า มีแฟนหรือยัง จริงหรือ? ยังไม่มีเลยหรือ ลูกพ่อน่ารักขนาดนี้แต่ไม่มีสาวไหนมาจีบเลย เป็นไปได้ยังไงกัน?
ตอนนั้นธัญญ์ไม่ได้บอก ความจริงแล้ว ก็ไม่เชิงว่าไม่มีใคร อาจยังเด็กเกินกว่าจะนับเป็นคนรัก ไม่ได้คิดไกลว่าที่เป็นอยู่คือคบกันแล้วหรือยัง แต่ก็มีรุ่นพี่คนหนึ่งที่ต่างมีความรู้สึกดี ๆ ให้กันอยู่
เพียงแต่รุ่นพี่คนนั้นไม่ใช่ผู้หญิง
เด็กหนุ่มถอยมานั่งเต็มเก้าอี้ให้เท้าลอยขึ้นจากพื้น แกว่งขาไปมาพลางเป่านมในแก้วไปด้วย ครุ่นคิดว่าคุณพ่อจะตกใจหรือเปล่านะ ถ้ารู้ว่าเขาไม่ได้ชอบเด็กผู้หญิง แต่กลับรู้สึกอุ่นใจมากกว่าเวลาอยู่กับรุ่นพี่ผู้ชายคนนั้น
พี่อามเป็นคนใจดี เขาพอรู้จักชื่อเสียงเรียงนามบ้างตั้งแต่ก่อนได้เจอกับตัว ใคร ๆ ก็พูดถึงพี่อามว่าเป็นคนตลก ร่าเริง อัธยาศัยดี แต่คล้ายว่าที่เริ่มมาสนิทกันมากขึ้นนั้น คงเป็นช่วงที่เขาเพิ่งเสียคุณแม่ไป
ตอนนั้นร้องไห้ตาบวมอยู่เกือบเดือน โดยเฉพาะช่วงแรก ๆ ที่ร้องไห้ทุกวัน บางครั้งขนาดอยู่ที่โรงเรียนก็ยังกลั้นไม่ค่อยอยู่ จนถึงกับต้องโดดบางคาบเรียน ซึ่งคุณครูก็ดูจะเข้าใจ ไม่ได้ถือสาสักนิด เห็นว่าเขาไม่เคยมีปัญหาเรื่องการเรียนหรือคะแนนสอบ ทั้งยังรู้สถานการณ์ของเขาดีและสุดแสนเห็นใจ จึงพอทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ให้ได้บ้าง
เขาหนีไปนั่งเศร้าซึมเสียไกลผู้ไกลคน อยู่ตรงซอกมุมลับตาในเขตรั้วโรงเรียน แต่วันดีคืนดี พี่อามก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ ย่อตัวนั่งลงเคียงข้าง
เพื่อนคนอื่นมักปลอบว่าอย่าร้องไห้เลย เงียบเสียนะ พลางลูบหลังอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
แต่พี่อามกลับตบไหล่จนหน้าแทบคะมำ บอกว่าร้องออกมาดัง ๆ เลย จะเช็ดน้ำตาให้
เขามองงง ๆ แต่พี่อามพยักหน้ายืนยัน
ก็เลยร้องไห้เสียงดังตรงนั้น ร้องจนเสียงแหบแห้ง โชคดีที่หนีมานั่งเสียไกลจึงไม่มีใครตามมาดู
ครั้งแรกนั้นเขานั่งร้องไห้อยู่นาน จนแม้แต่แรงจะสะอื้นก็หมดเกลี้ยง แล้วพี่อามก็คอยเช็ดน้ำตาให้จริง ๆ ด้วยเสื้อยืดซกมกที่ตัวเองเพิ่งใส่เตะบอลเมื่อตอนเที่ยง สวมไว้ด้านในใต้เชิ้ตขาวเครื่องแบบชุดนักเรียนอีกที
“เหม็นเหงื่อ” เขาบ่น
“ปากเสีย” ฝ่ายนั้นว่ากลั้วหัวเราะ ขณะที่เพื่อนคนอื่นไม่มีใครกล้าหัวเราะตอนเขาร้องไห้สักคน “คำพูดไม่เข้ากับหน้าสวย ๆ เลย”
“หมายถึงผมหรือ?”
“แล้วแถวนี้มีหมาแมวที่ไหนอีกล่ะ” พี่อามยังยิ้ม “เอ้า สั่งน้ำมูก”
“ไม่เอา”
“เร็ว” ฝ่ายนั้นเร่ง เอามือช้อนใต้ชายเสื้อตัวเองแล้วดึงขึ้นบีบจมูกเขาผ่านเนื้อผ้าเน่า ๆ “จมูกตันหมดแล้ว เสียงอู้อี้เชียว”
“แหวะ เหม็น” เขาบ่นอุบ แต่ก็หลับหูหลับตาสั่งน้ำมูกใส่เสื้อพี่อามไปฟืดหนึ่ง
“ยังไม่หมด”
“อือ” เขาขยับหน้าหนี ที่เดิมเลอะน้ำมูกยืด ๆ ไปหมดแล้ว เงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ แต่แล้วก็คิดว่าช่างเถอะ จัดการดึงชายเสื้ออีกฝั่งของพี่อามที่ยังสะอาดอยู่ แล้วสั่งน้ำมูกลงไปอีกฟืด
“โอ๊ย ซกมกผิดกับภาพลักษณ์คุณหนูอีกต่างหาก” ยังมีหน้ามาร้องแซว
“ก็พี่อามเสนอเองแต่แรกนี่” เขาถอยกลับมานั่งดี ๆ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า ตั้งใจจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าเช็ดตา
นึกได้ตอนนั้น ว่าทำไมไม่หยิบมันออกมาใช้แต่แรกกันนะ..จะใช้เสื้อเน่า ๆ ของอีกคนไปทำไมกัน
“ก็พี่เสนอเสื้อมาเองนะ” เขาพึมพำซ้ำ เหลือบมองหน้าอีกฝ่ายสลับกับเสื้อยืดเลอะ ๆ ไปด้วย แต่คราวนี้คล้ายพูดกับตัวเองมากกว่า ตัดสินใจปล่อยผ้าเช็ดหน้าทิ้งไว้ในกระเป๋าอย่างนั้น ยกหลังมือขึ้นเช็ดตาแทน
หลังจากนั้นเขาก็ทำเสื้อยืดพี่อามเปื้อนน้ำตาน้อยลง ไม่ได้ฟูมฟายหมดสภาพเหมือนวันแรก ๆ ส่วนน้ำมูกไม่เอาไปป้ายแล้ว แค่ครั้งเดียวก็รู้สึกน่าอายเกินพอ ไม่รู้ตอนนั้นบ้าจี้ทำตามเข้าไปได้อย่างไร
นอกจากคุณพ่อที่คอยช่วยประคับประคองให้ผ่านพ้นความเศร้าโศกในช่วงเวลานั้น ก็มีพี่อามอีกคนนี่ละที่เขานึกซาบซึ้งตลอดมา
กระทั่งทำใจยอมรับได้แล้ว เลิกร้องไห้คร่ำครวญ สภาพจิตใจดีขึ้นเป็นลำดับ เขาจึงเอาเงินเก็บมาซื้อของตอบแทนเป็นเสื้อยืดหน้าตาดูดีตัวหนึ่ง พร้อมคำขอบคุณและขอโทษที่ทำเสื้อเลอะไปหลายตัว
พี่อามได้ปุ๊ปก็แกะออกดูปั๊บ เท่านั้นไม่พอ ยังถอดเสื้อตัวเดิมออกแล้วสวมของใหม่เลยตั้งแต่ยังไม่ทันได้เอาไปซัก ท่าทางดีใจมาก ยิ้มกว้างจนปากจะฉีกถึงหู ถามเขาซ้ำไปซ้ำมาว่าอยากได้อะไร เกิดวันที่เท่าไร ไว้ถึงวันเกิดเขาจะซื้อของตอบแทนให้บ้าง
เขาเห็นแล้วก็เผลอคิด ถ้ารู้ว่าจะดีใจขนาดนี้ ซื้อให้สักสองสามตัวก็ดีหรอก
“หน้าแดงอะไรน่ะ”
“หา?” เขายกมือขึ้นแตะแก้มตัวเอง ใจหวิว ๆ อย่างไรพิกล
คงเป็นตั้งแต่ตอนนั้น...ที่รู้สึกว่าอาจจะ...อาจจะชอบคนคนนี้
แต่ทำไมถึงมารู้สึกกับผู้ชายกันนะ
“เขินหรือ?” พี่อามยิ้ม ยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“เปล่านี่!”
“ตาสวยจัง”
เขาอ้าปากหวอ “หา!?”
พี่อามหัวเราะร่า เอานิ้วดีดหน้าผากเขาทีหนึ่งแล้วถอยกลับไปอยู่ที่ระยะห่างเท่าเดิม
“หลอกง่ายนะเรา”
“นิสัยไม่ดี”
“หึ ๆ น่ารัก”
ธัญญ์ชะงัก คราวนี้ตั้งหลักอย่างดี จึงรีบโพล่งสวน “...ไม่โดนหลอกหรอก!”
อีกฝ่ายนิ่งไป เอามือเท้าคาง เอียงคอมองเขายิ้ม ๆ ครู่หนึ่งก็ยกนิ้วขึ้นถูจมูก ท่าทางเขิน ๆ ถูกจนปลายจมูกเป็นสีแดง แล้วยังลามไปถึงที่แก้มอีก งึมงำเสียงต่ำแทบไม่หลุดออกมาจากลำคอ
“อันนี้พูดจริง ๆ นะ”
เขาเกือบอ้าปากเถียงอีกครั้งแล้ว ติดที่อีกฝ่ายหลุบตาหนีเสียก่อน ทั้งสีแดงเรื่อบนใบหน้าก็ชัดขึ้นเกินกว่าจะเป็นเพราะแค่เอานิ้วไปถูตรงจมูก
วันนั้นเลยนั่งอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ กันสองคน จนหมดพักเที่ยง พูดอะไรไม่ค่อยออก แค่ปลายนิ้วบังเอิญเฉียดกันก็ใจสั่นแปลก ๆ
ตอนแรกนึกว่าเป็นอยู่คนเดียว แต่ครั้นเหลือบมองพี่อามเอง ก็เห็นนั่งหยุกหยิกอยู่ไม่สุข ทั้งยังคอยลอบมองเขาเป็นระยะ เมื่อบังเอิญสบตาเข้าก็หน้าขึ้นสีแดงแจ๋ ยกมือขึ้นเกาทายทอยพลางปั้นรอยยิ้มเขิน ๆ
รู้ตัวตอนนั้น ว่าคงจะชอบเข้าจริง ๆ นั่นละ...
“เหม่อแล้ว” เสียงทุ้มต่ำลอยมาเข้าหู มือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นมาช่วยประคองแก้วนม กุมซ้อนมือเขาไว้อีกที อุณหภูมิอุ่นพอกับนมที่ยังเหลือค้างในแก้ว “ง่วงละสิ”
ธัญญ์กะพริบตาปริบ ๆ จากนั้นพยักหน้า “สงสัยจะอย่างนั้นครับ”
แต่นั่นก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เขาง่วงด้วยตัวเองจริง ๆ หรือแค่ถูกบอกว่าง่วงก็เลยง่วง คล้ายเป็นความคาดหวังทางอ้อมจากอีกฝ่าย จึงไม่อยากทำให้ผิดหวัง
“กินให้หมดนั่นแล้วไปแปรงฟันนอนเถอะ”
เขาพยักหน้า ละเลียดดื่มนมที่เหลืออีกครู่หนึ่งก็วางมือ เหลือบมองคนข้างกาย เอ่ยเรียกเสียงแผ่ว
“คุณพ่อครับ..”
“หืม?”
ธเนศยิ้มอบอุ่น โน้มตัวมาทางเขาน้อย ๆ คล้ายกำลังรอฟัง
“...ผม...ไม่ค่อยมีความรู้สึกว่าชอบเด็กผู้หญิงเลย..”
“เอ๋?”
ธัญญ์ชะงักไป รู้สึกตัวขึ้นมาว่าพูดอะไรแปลก ๆ แต่คล้ายจะกลับหลังไม่ทันแล้ว สายตาคุณพ่อที่จ้องมองมาดูกดดันอย่างน่าประหลาดจนไม่สามารถหยุดกลางคันได้
เขาตัดสินใจว่าต่อ แต่พยายามเบี่ยงประเด็นไปทางอื่น
“..คือ ที่คุณพ่อชอบถามว่ามีแฟนหรือยัง คบกับใครอยู่หรือเปล่า”
ซึ่งอาจได้ผล คนฟังหัวเราะ วางมือข้างหนึ่งบนศีรษะเขาแล้วลูบเบา ๆ
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก พ่อแค่ถามเพราะอยากรู้เฉย ๆ” ชายหนุ่มทอดเสียงอ่อนโยน “ต่อให้บอกว่าชอบผู้ชายขึ้นมาก็ยังไม่เห็นเป็นไรเลย”
ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ถึงกลับเผลอกลั้นหายใจไปพักใหญ่ นั่งนิ่งตัวแข็งทื่อ ได้แต่เบิกตากว้างมองหน้าอีกฝ่าย
ทำไมถึงพูดเหมือนกับว่ารู้?
“...คุณพ่อ...”
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ”
“...ผม...ไม่ได้...”
แต่ธเนศยังคงยิ้มละมุน บรรจงปัดนิ้วแผ่วเบา เสยผมเขาให้พ้นหน้าผาก ถามต่อเสียงนุ่มนวล
“หรือว่าเป็นเจ้าหนุ่มนักบอลที่เคยมาบ้านเราคนนั้น?”
ธัญญ์ในช่วงเวลานั้นยังเยาว์วัยเกินกว่าจะรู้ว่าถูกหลอกถาม ใสซื่อเกินกว่าจะเก็บสีหน้าท่าทางให้มิดชิด
“ใช่จริงด้วยสินะ”
และธเนศในช่วงเวลานั้น ก็ยังอยู่ในบทบาทผู้ชายที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจที่สุดในชีวิตอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง คุณพ่อผู้แสนดีที่จะไม่มีวันทำร้ายเขา
“ชื่ออามใช่ไหม”
เขาก้มหน้าก้มตา ตอบเสียงเบา
“ใช่ครับ..”
ไร้ร่องรอยของความประหลาดใจ ธัญญ์คิดว่าบางทีคุณพ่ออาจระแคะระคายอยู่แล้ว
เมื่อโตขึ้นมองย้อนกลับไป จึงตระหนักได้ว่าเขาเดาถูก ธเนศรู้อยู่แล้วจริง ๆ นั่นละ ทุกการเคลื่อนไหวของเขาไม่เคยหลุดรอดจากสายตาอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”
ธัญญ์เงยขึ้นมองคนพูด นึกสงสัยว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหน
“เอ้า ยิ้มหน่อยเร็ว”
เพราะถูกบอกอย่างนั้น เขาจึงยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอก” คุณพ่อบอก กระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู สางปลายนิ้วเข้ามาในเส้นผม
ทั้งหมดนั้นเหมือนเป็นภาพช้า ตั้งแต่นิ้วยาว ๆ ของอีกฝ่ายลากจากโคนผมลงมาถึงผิวแก้ม ประคองใบหน้าเขาไว้ด้วยสองมือร้อนผ่าว แล้วโน้มตัวลงจรดริมฝีปากแนบลงบนหน้าผากเขาเนิ่นนาน
“ก็เราเป็นพ่อลูกที่รักและสนิทสนมกันมากนี่นา” ลมร้อนเป่าลงเบา ๆ บนใบหน้าเขาเมื่อคุณพ่อเอ่ยถ้อยคำนั้น
ธัญญ์ยกมือลูบหน้าผากตัวเอง ยังรู้สึกได้ถึงความร้อนบนผิว
ใจหนึ่งนึกหวาดหวั่นกับแววตาเปี่ยมสิเน่หาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อีกใจยังลังเลสับสน ปลายนิ้วสั่นระริกจนต้องวางแนบไว้กับต้นขาตัวเอง
หลังจากนั้น ก็ยังถูกบอกอีกซ้ำ ๆ ว่าพวกเขารักและสนิทสนมกันมากขนาดไหน
ทุกครั้งจะได้กลิ่นคล้ายน้ำหอมจาง ๆ หอมหวานจนเขารู้สึกผะอืดผะอมในลำคอ แต่ยังรับคำเสียงแผ่วด้วยสีหน้าเหม่อลอย
“นั่นสินะครับ”
“พ่อรักธัญญ์นะ”
“ผมก็รักคุณพ่อ”
เพราะเขารู้สึกรักคนคนนี้จริง ๆ หรือรักเพราะถูกบอกให้เชื่อว่าเขารัก..
เขาไม่แน่ใจเรื่องนั้น
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v