┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 18
เสียงเครื่องยนต์จากรถรับส่งนักเรียนดังแว่วมาจากหน้าบ้าน จังหวะเดียวกับที่เขาเพิ่งโยนเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายซึ่งถูกถอดกองไว้ในห้องโถงก่อนหน้านี้ลงตะกร้า
ภูเมศถอนใจโล่งอกเฮือกใหญ่ ชะเง้อมองผ่านประตูออกไปยังรถตู้สีขาวที่จอดอยู่หน้ารั้ว ใช้นาทีสุดท้ายก่อนคุณลูกชายจะกระโดดหย็องแหย็งเข้าบ้าน กวาดตาสำรวจสภาพโดยรอบ
ซากดอกไม้เขาเอาไปเก็บไว้ในห้องนอนก่อน เพราะดูท่าทางแล้ว ธัญญ์คงไม่ยอมให้ทิ้งแหง ๆ แต่จะให้วางหราท้าทายสายตาลูกรักก็ใช่ที่ เสื้อผ้าที่หลุดร่วงตอนกอดเกี่ยวกันข้างนอกห้องนอนลงไปอยู่ในตะกร้ารอซักเรียบร้อย เก้าอี้ระเกะระกะกลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ควรเป็น ชุดลำลองบนร่าง(ชุดใหม่)อยู่ดีมีสุข ไม่มีอะไรสะดุดตา เว้นแต่รอยแดงบนต้นคอตัวเองที่โดนธัญญ์งับไว้อย่างจงใจ ซึ่งหากไม่ถูกจ้องหนัก ๆ คงไม่มีปัญหา
“พ่อคร้าบ!” เสียงนำหน้า ตัวยังไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ แต่ฝีเท้าตุบตับดังมาก่อนแล้ว “สวัสดีครับ!”
เขายืนยิ้มกริ่มรอท่า ในหัวเฟ้นหาถ้อยคำเตรียมแจ้งข่าวดีไอ้ตัวเล็ก
“หวัด'ดีครับ” ภูเมศทักกลับ “โรงเรียนเป็นไงบ้าง”
“ดีครับ วันนี้พี่ตังเลี้ยงไอติมด้วย”
พร้อมภูมิวางกระเป๋าบนโต๊ะ ทำจมูกฟุดฟิด เขาเองก็เพิ่งรู้สึกว่าได้กลิ่นอาหารหอม ๆ โชยมาตอนนี้เอง
อึดใจหนึ่งผ่านไป หลังจากเด็กชายมองไปรอบทิศทางแล้วไม่พบใครอื่น ก็ทำท่าเหมือนได้ตัดสินใจอะไรบางอย่าง จากนั้นเอ่ยขึ้นกับเขาด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าปกติ
“พ่อครับ”
“ครับ?”
“วันนี้ออกไปกินข้าวข้างนอกกันไหม”
“หือ?” ชายหนุ่มกะพริบตาปริบ ๆ กลิ่นน่าอร่อยลอยมาขนาดนี้ ยังแปลกใจว่าทำไมลูกชายจึงได้ชวนไปกินมื้อเย็นที่อื่น
“..ร้านพี่ธัญญ์” เด็กน้อยอ้อมแอ้ม เปลี่ยนชื่อร้านให้เสร็จสรรพแบบไม่เกรงใจเจ้าของ
ภูเมศได้ยินแล้วต้องกลั้นยิ้ม เข้าใจความคิดลูกชายในทันที เจ้าตัวยังไม่รู้เรื่องพี่เลี้ยงสุดที่รักกลับมาแล้ว เหลียวซ้ายแลขวาอยู่เมื่อครู่นี้คงมองหาธัญญ์แล้วไม่เห็นว่าอยู่ในบ้าน
เขาทำไม่รู้ไม่ชี้ถามกลับ “แต่วันนี้ทำกับข้าวไว้แล้วนะ”
เด็กน้อยดูจ๋อยลงนิดหน่อย ท่าทางคงเตรียมตัวเตรียมคำพูดมาตั้งแต่ก่อนกลับถึงบ้าน เห็นท่าว่าจะผิดแผนก็ได้แต่ทำตาละห้อย พึมพำเสียงหงอยอย่างน่าสงสาร
“...แต่ว่าอยากไปกินร้านนั้นนี่นา”
เขาเลิกคิ้ว ยกมือลูบคาง มุมปากยกขึ้นนิด ๆ ด้วยความเอ็นดู
“ทำไมล่ะ”
“...ก็พี่ธัญญ์เขา..”
ทว่าตอนลูกชายเอ่ยชื่อนั้นออกมาอีกครั้ง กลับไม่รู้สักนิดว่าเจ้าของชื่อย่องเงียบเชียบมาหยุดอยู่ข้างหลังตัวเองเรียบร้อย มัวยืนบิดนิ้วไปมาอยู่ไม่สุข ขณะที่พี่ธัญญ์หน้านิ่งคนนั้น แค่หันหลังกลับไปก็เจอแล้วแท้ ๆ
ภูเมศกำลังจะเอ่ยปากทัก ติดตรงตัวแสบซึ่งเพิ่งมาใหม่กลับยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากตัวเอง พลางขยิบตาเป็นเชิงปรามไว้ก่อน
จะว่าเขาหมกมุ่นก็คงได้หรอก แต่สีหน้าท่าทางตั้งแต่กลับมารอบนี้ ไม่รู้จงใจหรือไม่ มองมุมไหนก็ดูยั่วเย้าอย่างไรพิกล หากหลุดท่าทางมีพิรุธให้ลูกเห็น จะโทษเขาฝ่ายเดียวก็ใช่ที่ ครึ่งหนึ่งก็เพราะทางนั้นเอาแต่ทำท่าทางชวนให้หวั่นไหวด้วยนั่นละ
เขากระแอมเบา ๆ ครั้งหนึ่ง ตั้งสติไม่ให้หลุดยิ้ม ถามกลับอย่างคนไม่รู้เรื่องรู้ราว
“พี่ธัญญ์เขาทำไมหรือ”
“เขา..อาจจะรอพ่อไปง้อก็อยู่ก็ได้นะ”
ธัญญ์เลิกคิ้วอยู่ข้างหลัง
“..ถะ...ถ้าเขารอจนร้องไห้จะทำไงล่ะ”
“เอ๋?”
พอพูดถึงตรงนี้ เด็กน้อยเริ่มทำท่าฟึดฟัด ด้วยนับตั้งแต่แอบหนีโรงเรียนไปหาธัญญ์ที่ร้าน กลับมาทั้งยุทั้งตะล่อมผู้เป็นพ่อหลายวันแล้วยังไม่เห็นความคืบหน้าสักที ครั้นจะไปเองอีกหนก็ไม่ได้เรื่องได้ราวเสียอีก ข้อจำกัดของความเป็นเด็กเยอะแยะเกินกว่าจะก้าวข้ามในเวลานี้ ส่วนพ่อก็เอาแต่ยุ่งกับงานมาสองสามวันแล้ว ไม่ทันใจเอาเสียเลย
“..พี่ธัญญ์อุตส่าห์รักพ่อ”
คราวนี้ผู้ถูกพาดพิงซึ่งยืนซุ่มอยู่ข้างหลังถึงกับหน้าเหวอไปแวบหนึ่ง ส่วนภูเมศสำลักออกมาค่อกแค่ก แต่ยังไม่วายเหลือบมองคุณพี่เลี้ยง ที่แม้ผ่านไปแค่สองสามวินาทีก็คุมสติทำเป็นนิ่งจนได้ แต่กลับคุมรอยแดงจาง ๆ บนแก้มสองข้างไม่ได้อยู่ดี
เขินแต่ยังเก๊กขรึมอยู่ได้ น่ามันเขี้ยวจริง ๆ
“เหรอ” เขาลูบคอตัวเองด้วยความเผลอตัว แล้วค่อยกลับมาทำหน้าซื่อตาใส นึกสนุกขึ้นมาทันที ไหน ๆ ธัญญ์เองก็เป็นฝ่ายส่งสัญญาณเตือนไม่ให้กระโตกกระตากแต่แรก งั้นสู้ปล่อยไปตามน้ำ รอฟังที่ลูกชายจะพูดดีกว่า เผื่อได้ยินอะไรรื่นหูอย่างเมื่อครู่อีกเป็นกำไร
“ใช่สิครับ” เด็กน้อยบ่นอุบอิบ ออกจะดูเจ็บใจนิดหน่อยด้วยซ้ำ “ถ้าไม่ติดว่าเขาไม่ชอบเด็กนะ”
“หืม”
“จะยึดพี่ธัญญ์เองเลย”
คราวนี้กลับเป็นฝ่ายธัญญ์ที่ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้บ้าง ส่วนภูเมศฟังแล้วมุมปากกระตุกเบา ๆ อดคิดไม่ได้ว่าสองคนนี้มาอีหรอบเดียวกันทั้งคู่เลยเชียว ไม่รู้นัดกันหรืออย่างไร
“ยึดยังไงล่ะ”
“ก็พาพี่ธัญญ์กลับมาเองเลยไง” พร้อมภูมิยืดหลัง เอ่ยเสียงกระตือรือร้น “ตอนนี้เลย”
“ตอนนี้เลยหรือ?” มีเสียงกระซิบถามข้างหูพร้อมภูมิ
“ใช่สิครับ! ตอนนี้เลย—”
“เท่เสียไม่มี”
แต่ไม่ใช่เสียงภูเมศ
“เอ๊ะ!” ไอ้ตัวเล็กสะดุ้งโหยง หันขวับไปยังต้นเสียงด้านหลัง ยิ่งเห็นหน้าคนที่ลอบฟังอยู่ตั้งนานแล้วยิ่งตกใจแทบกระโดด
“พี่ธัญญ์!”
“พูดจาดีนี่นา” ฝ่ายนั้นย่อตัวลงนั่งคุกเข่าข้าง ๆ จะยิ้มก็ไม่ใช่ ปั้นหน้าดุก็ไม่เชิง เอานิ้วชี้ดันปลายคางเขาให้หน้าเอียงซ้ายขวาเหมือนจะสำรวจอย่างนึกสนุก “ไม่เจอแป๊บเดียว โตขึ้นนิดหน่อยหรือเปล่านี่ หืม?”
ภูเมศยกมือเสยผมพลางยิ้มแห้งอยู่ข้าง ๆ ฉากพบกันที่คิดว่าไว้คงจะชวนประทับใจน่าดู ไม่รู้กลายเป็นพี่เลี้ยงกำลังหาเรื่องแกล้งลูกชายเขา...หรืออาจจะจงใจแกล้งกระทั่งเขาด้วยอีกแล้วได้อย่างไร
“พี่ธัญญ์!” เด็กน้อยโอดครวญซ้ำ แต่พอจะโวยวายอย่างอื่นก็มัวตื่นเต้นจนพูดไม่ออก ขยับเท้าดุกดิกอย่างคิดไม่ตกอยู่สองสามครั้ง มองหน้าพ่อที มองหน้าพี่เลี้ยงที สุดท้ายหลังจากร้องเรียก “พี่ธัญญ์!” เสียงดังอีกคราว ก็โผเข้ากอดฝ่ายนั้นหมับ หน้าตาอย่างกับจะปล่อยโฮออกมาได้ทุกเมื่อ
“อะไรกัน” ธัญญ์โคลงศีรษะน้อย ๆ ลูบหลังไอ้ตัวเล็กป้อย ๆ “สรุปว่าไม่เห็นโตขึ้นเลยนี่นา”
“ก็ช่วยไม่ได้นี่” เด็กชายตัดพ้อ “คนเลี้ยงไม่อยู่ จะโตได้ไง”
“แล้วคุณพ่อนายล่ะ”
“ไม่นับพ่อสิ”
“ไม่นับเลยเรอะ” ภูเมศถึงกับรีบท้วง ลูกรักแปรพักตร์กันดื้อ ๆ ไม่รู้ควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ก็คุณพ่อเป็นพ่อนี่ครับ” พร้อมภูมิบ่นหงุง มือยังเกาะพี่เลี้ยงแน่นอย่างกับลูกลิง “พี่ธัญญ์ก็เป็นพี่ธัญญ์”
ชายหนุ่มยิ้มอ่อนใจ ดึงแก้มลูกชายเบา ๆ พลางบ่นอุบอิบ “อ้อ...ใช่ซี้ พ่อเป็นของตาย พอตามพี่ธัญญ์กลับมาได้ก็หมดประโยชน์”
“เด็กจริง ๆ เลย” ธัญญ์พึมพำเสียงเนือย
“เดี๋ยวผมก็โต” พร้อมภูมิยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ
“พี่หมายถึงพ่อนายน่ะ”
“หือ!?” คนถูกอ้างถึงอ้าปากหวอ “ไหงมาลงที่ฉันล่ะ”
ธัญญ์หัวเราะ หัวเราะออกมาจริง ๆ จนตาหยี จากนั้นเหลือบมองมาทางเขาอย่างมีเลศนัย ก่อนหันไปกระซิบกระซาบกับพร้อมภูมิ “เห็นไหม เขางอนใหญ่แล้ว”
“จริงด้วยสิ”
“ไปกอดโอ๋คุณพ่อเร็ว”
เด็กน้อยพยักหน้ารับว่าง่าย กำลังจะโผไปหาพ่อแล้ว แต่กลับชะงักกลางคัน ทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ค่อยหันกลับมาบอกคุณพี่เลี้ยง
“ให้พี่ธัญญ์โอ๋ดีกว่า”
คนฟังทำตาปริบ ๆ
“ก็พ่อรักพี่ธัญญ์ แถมทำหน้าอยากให้พี่ธัญญ์โอ๋นี่นา”
ภูเมศยกมือขึ้นจับแก้มตัวเองอย่างร้อนตัว นี่เขาออกหน้าออกตาขนาดนั้นเชียว?
“แก่แดดจริง” ธัญญ์อมยิ้ม ส่ายหน้าน้อย ๆ พลางลุกขึ้นยืน “คุณพ่อรักนายที่สุดต่างหาก รู้ไหม”
เกิดความเงียบระหว่างพวกเขาทั้งสามคนอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าไม่ได้เป็นความเงียบที่น่าอึดอัดแต่อย่างใด คล้ายว่าแต่ละคนเพียงหยุดส่งเสียงพูดคุยไปสักครู่ สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ ในบรรยากาศคุ้นเคย ซึมซับการมีอยู่ของกันและกันให้สุดปอด ต่างมีรอยยิ้มที่ไม่ได้พาดผ่านบนริมฝีปาก ทว่าสะท้อนชัดเจนผ่านแววตา อิ่มใจอย่างที่ไม่เคยได้รู้สึกมาเนิ่นนาน
“..รู้ครับ” พร้อมภูมิตอบเสียงแผ่วออกมาในที่สุด “..ผมก็รักพ่อ”
ภูเมศวางมือลงบนผมลูกชาย ยีเบา ๆ อย่างรักใคร่
“แล้วก็รักพี่ธัญญ์ด้วย” เด็กชายว่าต่อเขิน ๆ “เพราะงั้นอย่าทิ้งพ่อกับผมไปไหนนะ”
ธัญญ์ยักไหล่ ก้มตัวลงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ ใบหน้าเด็กชาย ทว่าสายตากลับจดจ้องอยู่กับคนพ่ออยู่ตลอดเวลา
“ไม่ไปไหนหรอก” สุ้มเสียงทุ้มนุ่มนั้นดังพอที่ทั้งสองคนจะได้ยินถนัด ดูจงใจแบบไม่ต้องเดา เพียงแต่คนฟังยังคาดการณ์ไม่ถูกว่าเจ้าตัวคิดจะทำอะไรต่อไปกันแน่ “..ยังไงต้องอยู่ดูนายโตเป็นผู้ใหญ่ก่อน”
“เอ๋?”
“เหมือนพ่อแน่ ๆ”
“ผมเหรอ?”
ธัญญ์พยักหน้า “รีบโตเข้าล่ะ”
พูดไม่ทันขาดคำ คนที่เพิ่งบอกอยู่ก่อนหน้านี้ไม่นานว่ายังไม่เคยรักใครอย่างภูเมศสักหน ก็วางริมฝีปากตัวเองแหมะลงกลางหน้าผากลูกชายของคนคนนั้น แถมยังตั้งใจทำเสียงจุ๊บเบา ๆ ดังกว่าปกติอีก มาทั้งภาพทั้งเสียงให้คนมองปวดเศียรเวียนเกล้าจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ
กว่าสองพ่อลูกจะตั้งตัวติด ธัญญ์ก็เดินตัวปลิวออกจากห้องโถงไปแล้ว หายกลับเข้าไปในครัวด้วยฝีเท้าเงียบเชียบเหมือนตอนเข้ามา นับว่าความสามารถสายมิจฉาชีพสูงมากตั้งแต่ทักษะตีนแมว มือเบาขโมยของชิ้นเล็กชิ้นน้อยติดตัวเจ้าของไปได้ง่าย ๆ แถมล่าสุดยังขโมยจูบบนหน้าผากลูกชายของคนที่เพิ่งตกลงเป็นคนรักกันได้ไม่ถึงครึ่งวันกันต่อหน้าต่อตาอีกต่างหาก!
หลังมื้ออาหารที่ครึกครืันกว่าปกติจบลง พร้อมภูมิแยกไปนั่งทำการบ้าน ขณะผู้ใหญ่อีกสองคนช่วยกันเก็บกวาดจานชาม แต่เอาเข้าจริงธัญญ์ก็ชิงเก็บเสียเรียบร้อยก่อนภูเมศจะได้ทำท่าเงอะงะเสร็จเสียอีก
เสียงจานกระทบกันเบา ๆ ชะงักลง ธัญญ์ปิดก๊อกน้ำไว้ก่อน ยืนนิ่งหน้าอ่างล้างจาน แต่ยังไม่หันหลังกลับไป เพียงแต่รออยู่เฉย ๆ คล้ายรู้ว่าผู้มาใหม่ต้องเป็นฝ่ายอดไม่ไหวเริ่มออกปากก่อนเป็นแน่
“ไหนบอกไม่นอกใจไง”
นั่นปะไร ไม่เพียงเสียงตัดพ้อหงุงหงิง สองแขนยังสอดเข้ามาด้านข้าง อ้อมมากุมกันไว้หลวม ๆ แถวหน้าท้องเขา
“เด็กดื้อ”
“ผมเปล่านอกใจสักหน่อย” ธัญญ์แย้ง
“เจ้าภูมิตกใจไปเลย”
เขาก้มลงมองมืออีกฝ่ายที่กอดตัวเองอยู่ จากนั้นค่อยยกมือขึ้นมาวางซ้อนเอาไว้อีกที ลูบแผ่วเบาบนหลังมือคู่นั้นพลางลอบยิ้มน้อย ๆ
“เขาเป็นลูกชายคุณนี่นา ถึงไม่ค่อยชอบเด็ก แต่ก็จะเอ็นดูเหมือนเป็นลูกชายตัวเองด้วย ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ”
“โกหก”
“หือ?”
“ไม่ได้กะเลี้ยงต้อยใช่ไหมเนี่ย”
“เหมือนคุณน่ะหรือ?”
ภูเมศไม่รู้จะสู้รบอย่างไรดีกับยุทธวิธีเถียงคำไม่ตกฟากทั้งมาดนิ่ง ๆ อย่างนี้ของธัญญ์ ได้แต่ห่อไหล่รวบแขนแน่นขึ้นอีกด้วยหมั่นไส้เหลือประมาณ ฝังจมูกลงตรงต้นคอด้านหลังฝ่ายนั้นฟอดใหญ่ ถือว่าวางใจแน่แล้วว่าเพิ่งเห็นลูกชายตั้งอกตั้งใจทำการบ้านอยู่อีกห้อง คงไม่เดินเข้ามาในครัวตอนนี้
“ช่วยไม่ได้นี่นา” ธัญญ์พึมพำ เอนตัวทิ้งน้ำหนักส่วนหนึ่งพิงอกเขา “ก็ตอนคุณทำท่าหึงแล้วน่ารักดี”
“ฉันเนี่ยนะ”
“แต่จะให้ผมไปทำตัวใกล้ชิดกับคนอื่นเกินจำเป็นเพื่อเรื่องนั้นน่ะ ไม่เอาด้วยหรอกนะครับ จะไม่ทำเด็ดขาด”
เขาเกือบฉีกยิ้มกว้างออกมาแล้วเชียว แต่รอยยิ้มเหยียดออกยังไม่ทันสุดก็มีอันต้องค้างครึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดต่อจากนั้น
“เพราะงั้น...ล็อคเป้าเป็นลูกชายคุณแล้วกัน”
“หยุดเลยเรา!”
ธัญญ์เหลียวหลังมาทางเขา เห็นเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งมีลักยิ้มปรากฏอยู่ เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังดังแผ่วปะทะผิวแก้ม
“ทำให้ผมหยุดสิครับ”
“เธอนี่น้า..” เขาโคลงศีรษะอ่อนใจ จะให้บ่นต่อก็ว่าไม่ลง “เอาว่าทำให้หยุดพูดก่อนแล้วกันดีไหม”
พูดจบก็เอี้ยวตัวพลาง เอามือประคองหน้าธัญญ์ให้หันมาทางเขา ก่อนจะกดปากตัวเองแช่ไว้บนริมฝีปากนุ่มนิ่มของอีกฝ่าย บดเบียดจนแนบแน่น แล้วค้างไว้อย่างนั้นเนิ่นนานเหมือนจะแกล้ง จนเจ้าเด็กปากดีเริ่มขยับตัวหยุกหยิกค่อยยอมปล่อย
“หยุดไหม” เขาถามยิ้ม ๆ มองกลีบปากที่ถูกบดจูบจนเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มตรงหน้าอย่างครึ้มอกครึ้มใจ
“วันนี้หยุดก่อนก็ได้”
“แค่วันนี้เองหรือ?”
ธัญญ์เหลือบตาขึ้นมอง ยกมือขึ้นเอานิ้วหัวแม่มือกดแผ่วเบาบนมุมปากเขา
“วันอื่นก็ทำให้หยุดเป็นรายวันไปสิครับ”
ตอนนั้นภูเมศไม่ได้คิดไว้จริง ๆ ว่าหลังจากวันนั้น ธัญญ์ก็ดูเหมือนจะทำดังปากว่า ด้วยการสรรหาสารพัดวิธีมาก่อกวนให้เขาต้องจับเจ้าตัวมาปิดปากสักวันละหนสองหนแทบไม่เว้นแต่ละวัน
แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ชอบหรอกนะ!
เจ้าแมวส้มถุงทองใช้เวลางงงวยอยู่ไม่นานนักกับการย้ายที่อยู่ไปมาในเวลาอันสั้น..อย่างน้อยก็ไม่นานเท่าเป๊ก
ทันทีที่รู้ว่าลูกพี่ที่นึกอยากมาก็มา คราวนี้นึกอยากไปอีกหน ก็ได้แต่ออกปากบ่นไม่หยุด เพราะรู้ว่าคงทำได้แค่บ่นนั่นเอง ลองเจ้าตัวนึกอยากตัดสินใจทำอะไร เขาห้ามได้ที่ไหน
ถึงดูหน้ามึนไปบ้าง เอาแต่ใจนิดหน่อย พูดไม่รู้เรื่องเป็นบางที แต่อย่างไรก็ช่วยเขาไว้ตั้งเยอะแยะ มาอยู่ด้วยกันหนนี้ ว่ากันตามจริงแล้ว เป๊กมีแต่ได้กับได้ พอบอกจะย้ายออกกันดื้อ ๆ ไม่มีบอกกล่าวล่วงหน้าให้เตรียมตัว ก็ให้ใจหายอยู่บ้างเหมือนกัน
“พี่จะไปไหนอีกอะ”
“บ้าน” ธัญญ์ตอบสั้น ๆ เก็บเฉพาะของที่จำเป็นลงกระเป๋าเป้ใบใหญ่ ที่เหลือตั้งใจส่งต่อให้เป๊ก
“ไหนบอกมีปัญหากับที่บ้านไง”
ลูกพี่หันมามองเขานิ่ง ๆ และที่ทำให้แปลกใจคือมีเอื้อมมือมาวางไว้บนไหล่ บีบเบา ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม ทว่าสายตาคล้ายจะมีความรู้สึกขอบอกขอบใจ..หรือไม่ก็เอ็นดูเขาอยู่นิดหน่อย มันไม่ได้ชัดเจนนัก..เขาแค่รู้สึก
“บ้านคราวนี้..ไม่เหมือนบ้านเดิม” ธัญญ์พึมพำ
จังหวะนั้น เป๊กสาบานได้เลยว่าเห็นเจ้าตัวยิ้มออกมานิดหนึ่ง รอยยิ้มอย่างที่นานทีปีหนจะได้เห็นสักครั้ง พอปรากฏขึ้นมาตอนพูดถึง
‘บ้าน’ อย่างนี้ ก็ทำเอาเขาค้านไม่ออก ได้แต่ยักไหล่อย่างปลงตก เขาเองก็เข้าใจถึงความรู้สึกมีบ้านมีช่องให้กลับไปพักกายพักใจอยู่หรอก ต่อให้จากบ้านจริง ๆ ของตัวเองมานานเต็มที แต่คิดถึงความสุขของการได้อยู่บ้านขึ้นมาทีไรก็อดยิ้มไม่ได้
ถึงจะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรของลูกพี่จำเป็นคนนี้มากนัก แต่มีบ้านให้กลับ สำหรับใคร ๆ ก็คงเป็นเรื่องน่ายินดีละมั้ง
“เอาเหอะ บ้านไหนก็ตามใจพี่ ยิ้มได้ก็ดี” แม้ปากว่าอย่างนั้น แต่เด็กหนุ่มกลับทำหน้ามู่ทู่ พูดแหย่ต่ออย่างมีความหวัง “แต่คราวนี้อย่าเปลี่ยนเบอร์หนีอีกนา ยังไงเราก็ซี้กันแล้วปะ”
“เหรอ?”
“พี่แม่ง!”
หลังกระฟัดกระเฟียดพอหอมปากหอมคอ เพราะรู้ว่าทำมากกว่านี้ลูกพี่หน้าตายก็ไม่สนอยู่ดี ค่อยหันไปเปิดประเด็นใหม่
“แล้วที่ร้านอะ ทำไง” เป๊กทำหน้าครุ่นคิด เมื่อนึกถึงร้านอาหารที่พวกเขาไปทำงานด้วยกันได้พักใหญ่แต่เป็นคนละหน้าที่ “ผมหนวกหูตายแน่ ๆ ลุงยศต้องบ่นไปอีกสามชาติเศษ”
นานทีธัญญ์จะพยักหน้าเออออแสดงความเห็นพ้อง ครั้งนี้ท่าทางจะอดไม่ไหวจริง ๆ ผงกศีรษะรับถึงสองสามครั้ง
“พี่ไปบอกเขายัง”
“ขอลาออกไปแล้ว”
“แล้วตาลุงผีนั่นยอมเรอะ!”
“ไม่ยอม”
เป๊กทำหน้าเหมือนอยากร้องว่าซื้อหวยทำไมไม่ถูก!
“จะไปยอมได้ไง ตาลุงนั่นเห็นพี่เป็นทายาทอสูรแหง ๆ ปากแม่งด่าหนักมาก แต่เคี่ยวเข็ญอย่างกับจะปั้นอนาคตพ่อครัวคนใหม่ ป้ามลยังบอกเลย พี่อยู่ต่ออีกหน่อย อาจเทคโอเวอร์กิจการเขาได้เลยนะ ไม่สนหน่อยเรอะ!?”
ธัญญ์ยักไหล่ ไม่ตอบคำ ปล่อยให้เป๊กพล่ามต่อ
“นี่ ๆ แล้วพี่ทำไงล่ะ ตกลงกับลุงแกว่าไง”
“จะทำแค่วันอาทิตย์พอ”
“โห” เด็กหนุ่มลูบคาง “แล้วแกยอม?”
ธัญญ์รูปซิปปิดกระเป๋าเป้ให้เรียบร้อย พูดเรียบเรื่อยเหมือนไม่ใช่เรื่องต้องคิดมากอะไร
“วันอาทิตย์วันเดียว หรือไม่ทำเลยสักวัน”
“เออ ยอมใจพี่เลย” เป๊กหัวเราะคล้ายพอเดาได้อยู่แล้ว “แต่งี้เดี๋ยวผมก็ยังเจอพี่ทุกอาทิตย์สินะ ค่อยยังชั่วหน่อย”
“ทำไม?”
“เผื่อเงินทองผมขัดสนอีกไง” เด็กหนุ่มพูดติดตลก แต่พอเห็นคนฟังไม่ขำไปด้วยก็ได้แต่บ่นหงุงหงิงเหมือนน้อยอกน้อยใจ “อะไร! ไม่เห็นต้องทำท่าทางห่างเหินขนาดนั้นเลย”
ทว่าธัญญ์ก็ยังคงนิ่ง...อย่างทุกทีนั่นละ ซึ่งเป๊กไม่ได้คาดหวังอะไรมากกว่านี้สักเท่าไรอยู่แล้ว อยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่ง เขาก็พอสังเกตลักษณะนิสัยฝ่ายนั้นได้บ้างหรอก ถึงจะไม่ใช่คนใจร้ายอย่างที่เห็นผิวเผินภายนอก แต่มีพื้นที่ส่วนตัวสูงน่าดู อย่างกับว่าถูกล้อมรอบไว้ด้วยกำแพงที่มองไม่เห็นตลอดเวลาอย่างนั้นละ ไอ้ครั้นจะปีนกำแพงมั่วซั่ว กลัวได้โดนสอยร่วงแล้วถูกแบนยาวแบบไม่มีข้อโต้แย้งกันพอดี
เด็กหนุ่มถอนใจเฮือก พูดเสียงจริงจังโดยพยายามไม่ให้ดูอาลัยอาวรณ์จนน้ำเน่าเกินไปหน่อย
“ยังไงผมก็นับถือพี่เหมือนเป็นพี่ชายคนหนึ่งเลยนะ”
“ไม่เห็นอยากมีน้อง”
เรื่องตัดอารมณ์นี่ก็ยกให้อีกอย่างเลย
“เออ ๆ” เป๊กรับอย่างจนใจ “ผมก็ไม่ได้อยากมีพี่หรอกวะ!”
ธัญญ์พยักหน้าขอไปที
“แต่ยกเว้นพี่ไว้คนหนึ่งแล้วกัน” เขาพึมพำ มองข้าวของที่ธัญญ์ยกให้เป็นสมบัติเขาหลังจากนี้ ชิ้นล่าสุดเป็นไมโครเวฟที่เจ้าตัวเพิ่งซื้อเข้ามา สภาพยังใหม่เอี่ยมอยู่เลย จ้องของพวกนั้นแล้วให้ใจแป้วอยู่เหมือนกัน จึงหันไปช่วยฝ่ายนั้นปิดช่องเล็กของกระเป๋าเป้ที่ลืมรูดซิปให้เรียบร้อยแทน “ไม่ใช่ว่าแช่งหรอก แต่เผื่อวันหน้าวันหลังมีปัญหาอะไร จะมาอยู่กับผมอีกรอบก็ยินดีต้อนรับนะ ถึงห้องจะแคบไปหน่อยก็เหอะ”
ธัญญ์นิ่งไปครู่หนึ่ง ดูไม่ยินดียินร้าย ก่อนจะตอบรับเสียงเบา แทบไม่หลุดออกจากลำคอ
“อืม”
“แต่ไม่ต้องเอาแมวมาแล้วนะเว้ย!”
คราวนี้จากที่นั่งก้มหน้าก้มตา ค่อยเงยขึ้นมองเขาช้า ๆ นิ่งอยู่นานจนชักระแวงว่าจะโดนสวนกลับแรง ๆ ให้หน้าหงายสักทีหรือเปล่า
ทว่าสุดท้าย ธัญญ์กลับทำหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ยังอยากรักษาระยะห่าง มีแค่แววตาที่ดูสื่ออารมณ์ออกมามากสุด แต่ก็ยังไม่พอจะอ่านให้ออกอยู่ดี บางทีเขาก็ข้องใจอยู่เหมือนกัน ว่าฝ่ายนั้นจำเป็นต้องพยายามเก็บความรู้สึกทุกสิ่งอย่างให้มิดชิดขนาดนั้นไปเพื่ออะไร
“ขอบใจนะ”
เหลือเชื่อเลย คราวนี้พูดออกมานิ่ม ๆ เนิบ ๆ ชวนฟัง จนเป๊กสงสัยว่าตัวเองหูเฝื่อนไปหรือเปล่า
“น่า..พี่น้องกัน” เขาปัดเขิน ๆ
หลังจากนั้น เป๊กก็คิดว่าตัวเองน่าจะต้องไปตัดแว่นด้วยอีกอย่าง เพราะก่อนสะพายกระเป๋าออกจากห้อง ลูกพี่หน้าตายของเขากลับชะงักฝีเท้าตรงหน้าประตู แล้วยิ้มออกมาจริง ๆ จนได้
ตาฝาดรึเปล่าวะ!?
ริมฝีปากคลี่ออกเป็นเส้นโค้ง ลักยิ้มผุดขึ้นบนแก้มซ้าย นัยน์ตาดำขลับที่หยีลงนิดหน่อยทอทอดเป็นประกาย เป๊กก็บอกไม่ถูกว่ามันเป็นรอยยิ้มและแววตาแบบไหน แต่ชวนให้รู้สึกเหมือนเห็นเด็กหลงทางได้กลับบ้าน เหมือนผู้ใหญ่ที่เจอเรื่องดี ๆ หลังวันทำงานอันเหน็ดเหนื่อย เหมือนคนแก่ที่ค้นพบว่าชีวิตนี้สมบูรณ์พร้อมในตัวของมันเองแล้ว...เหมือนอะไรกันนะ...
“ไปแล้วนะ”
แวบหนึ่งเขานึกถึงแมวจรจัดที่ยายเขาเคยเก็บมาเลี้ยงไว้ที่บ้านนอก ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่เชื่อง ไม่ยอมให้ใครแตะตัว ไม่รู้ไปเจออะไรมาบ้างจนเอาแต่หวาดระแวง คนเข้าใกล้ก็กระโจนหนี ต่อเมื่อวันเวลาผ่านไปจึงค่อยยอมให้เข้าหาทีละน้อย ยอมให้ลูบหัวลูบหาง แววตาเปลี่ยนไปจากเดิม เหมือนอย่างสิ่งมีชีวิตที่ได้รับความรัก...
“โชคดีนะพี่”
เป๊กโบกไม้โบกมือ มองอีกฝ่ายเดินห่างออกไปจนลับสายตา
...เหมือนอย่างสิ่งมีชีวิตที่ได้รับความรัก...?
คงจะเป็นอะไรคล้าย ๆ อย่างนั้นละมั้ง
ถึงจะเหงา ๆ นิดหน่อย แต่ก็รู้สึกยินดีกับธัญญ์..ทั้งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะยินดีด้วยเรื่องอะไร
เป๊กยกมือเกาหัวแกรก ถอยหลังกลับเข้าไปในห้อง ทิ้งตัวลงนอนกลิ้งไปกลิ้งมา ตั้งใจว่าไว้วันอาทิตย์ค่อยไปหาเรื่องแซวลูกพี่ดีกว่า ทำหน้าตาอย่างนั้น สงสัยกำลังมีความรักแหง ๆ อาจจะเป็นแม่สาวคนที่ส่งช่อดอกไม้มาให้ที่ร้านวันนั้นก็ได้
ทว่าแม่สาวเจ้าของช่อดอกไม้ในความคิดเป๊ก เอาเข้าจริงกลับเป็นคุณพ่อลูกติดวัยสามสิบหกปี ที่ในคืนเดียวกันนั้น หลังจากธัญญ์กลับไปที่ที่ตัวเองบอกว่าเป็นบ้าน ส่งไอ้ตัวเล็กของครอบครัวเข้านอนเรียบร้อย ก็จัดการเกี่ยวเอวลูกพี่คนเก่งล้มตัวลงบนเตียงหลังกว้าง นอนกอดไว้แน่นหนึบอย่างสุดแสนจะอิ่มอกอิ่มใจทั้งคืน
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v