ตอนที่ 17
“ครับแม่...กำลังเก็บของครับ ผมให้เบียร์มาช่วยแถมพี่คินก็ยังอาสามาช่วยย้ายอีกต่างหาก ไม่ต้องห่วงนะครับ โอเคเดือนหน้าเจอกัน คิดถึงแม่นะ”
ผมวางสายหลังจากจบบทสนทนาทางโทรศัพท์ ต้องบอกว่าวันนี้มันค่อนข้างยุ่งนิดหน่อยก็ตรงที่ผมต้องเก็บของทั้งหมดออกจากคอนโดของผู้จัดการเพื่อย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่ บ้านไม้กึ่งสตูดิโอของพี่ภูกับเพื่อน มันคงไม่ดีแน่ถ้ามัวแต่ไปๆ กลับๆ นอกจากเหนื่อยแล้ว ผมก็ยังไม่เห็นประโยชน์อะไรอีก
“ไอ้สิงหา กระเป๋าเสื้อผ้ามึงจะเอาไว้ตรงไหน” เบียร์ถามด้วยสีหน้างอหงิก เพราะกระเป๋าเสื้อผ้าของผมค่อนข้างหนัก เราเริ่มเก็บของตั้งแต่เช้ามืด จนตอนนี้เกือบเที่ยงแล้วก็ยังไม่เสร็จสักที
“วางไว้ตรงนี้ก็ได้ เดี๋ยวเราเอาขึ้นไปเอง”
“มึงจะยกไหวเหรอวะ”
“ไหวสิ แต่ตอนนี้เราไม่อยากให้ยกของอะไรขึ้นไปเกะกะข้างบนมาก”
“นี่ก็ขนมาหมดรถแล้ว มีอะไรตกค้างอีกหรือเปล่า”
“คิดว่าไม่นะ”
“โอเค เฮ้ยพี่คินของขวัญอ่ะ!” จากนั้นเบียร์ก็หันไปถามรุ่นพี่ตัวสูงเสียงดัง ย้ายบ้านคราวนี้จึงต้องเก็บทุกอย่างที่เป็นสิงหาออกมาทั้งหมด แน่นอนว่ารวมไปถึงแมวอเมริกันช็อตแฮร์อย่างของขวัญด้วย เพราะมันคือสิ่งสำคัญของผมเหมือนกัน
“อยู่ในรถ กลัวมันโดนกล่องทับตายซะก่อน”
“งั้นเดี๋ยวเราไปอุ้มของขวัญมาเอง” ผมบอกพร้อมกับย่างเท้าออกไปนอกบ้าน แค่เห็นเจ้าขนฟูโผล่หน้ามาจากกระจกรถ ผมก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ครั้งหนึ่งมันเคยอยู่บ้านหลังนี้ บ้านที่มีพ่อชื่อภูผา และคราวนี้เราทั้งคู่ก็ได้กลับมาอีกครั้ง
“เป็นไงบ้าง คิดถึงที่นี่มั้ย” สองมือช้อนร่างแมวอ้วนเข้ามาในอ้อมกอดและเอ่ยถามมันด้วยความตื่นเต้น
ถ้าของขวัญพูดได้มันคงจะตอบว่า...คิดถึงเหมือนกัน
“สิงหา เดี๋ยวพี่ไปก่อนนะ พอดีโดนผู้จัดการตามอีกแล้ว” พี่คินหันมาบอกผม
“อ้าวไม่กินข้าวกันก่อนเหรอครับ”
“ไม่ล่ะ คราวนี้รีบจริงๆ”
“แล้วเบียร์ล่ะ” หันไปถามเพื่อนสนิทที่ทิ้งตัวหมดสภาพอยู่บนโซฟา แต่ยังพอมีเรี่ยวแรงปรือตาขึ้นมามองและตอบคำถามอยู่
“กลับพร้อมไอ้พี่คินนั่นแหละ กะนอนถึงเช้าแม่งเลย” เบียร์ก็คือเบียร์ เคยเป็นยังไงก็ยังคงเป็นแบบนั้น ผมไม่ได้ขัดอะไรทั้งคู่ นอกจากเดินไปส่งพวกเขาหน้าบ้าน มองดูสองร่างแทรกตัวเข้าไปในรถและขับออกไป โดยที่ผมได้แต่อุ้มของขวัญพลางโบกมือไปมา
ขอบคุณครับ สำหรับทุกอย่างที่มอบให้ผม
เท้าสองข้างเดินกลับเข้ามาในตัวบ้าน แค่กวาดตามองก็อยากจะทรุดตัวเป็นลมเสียตรงนี้ เพราะข้าวของหลายอย่างยังไม่เข้าที่มากนัก ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกของจุกจิกซะมากกว่า ยิ่งเป็นเสื้อผ้าด้วยแล้วคงต้องใช้เวลาจัดอีกนาน ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะไม่ทำตอนนี้
ผมอุ้มของขวัญเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง วางเจ้าแมวอ้วนที่หลับอุตุอยู่ในอ้อมแขนลงบนฟูกนอนเล็กๆ และเทอาหารเอาไว้ให้ ประจวบกับมีใครคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องนอนใหญ่พอดี
“ขนของหมดแล้วเหรอจ๊ะ” เธอถาม
“ครับ ข้างในเรียบร้อยดีมั้ยครับ”
“เรียบร้อยจ้ะ”
เธอชื่อป้าจันทร์ เป็นแม่บ้านวัย 43 ที่มีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้าเสมอ คอยดูแลทุกอย่างในบ้านทั้งเรื่องอาหารการกินและการดูแล เรียกได้ว่า...ป้าคือครอบครัว
“สิงหาอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า เดี๋ยวป้าจะลงไปเตรียมให้”
“ไม่เป็นไรครับ กับข้าวเมื่อตอนเช้ายังพอมีอยู่ ตอนนี้ป้าลงไปกินข้าวเที่ยงก่อนเถอะครับเดี๋ยวโรคกระเพาะจะถามหาเอา”
“ได้จ้า มีอะไรเรียกป้าได้ตลอดนะ”
ผมพยักหน้ารับรู้ มองดูคนอายุมากกว่าก้าวลงบันไดอย่างเงียบเชียบ ส่วนตัวเองก็ตรงดิ่งไปยังห้องนอนใหญ่ซึ่งมีประตูสีขาวกั้นอยู่ สองมือหมุนลูกบิดเบาๆ พยายามทำทุกอย่างให้เงียบที่สุด
แกร็ก!
เพราะคิดว่า...
“ยังไม่หลับเหรอครับ”
ใครอีกคนคงจะหลับไปแล้ว แต่เปล่า เขาเล่นจ้องผมไม่คลาดสายตาเลยต่างหาก
“วันนี้เหนื่อยมากเลย ไม่คิดว่าย้ายบ้านทั้งทีจะวุ่นวายขนาดนี้” ว่าพลางเดินตรงไปยังข้างเตียง ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้เตี้ยๆ ซบหน้าลงกับฝ่ามือของใครอีกคน
มือของเขาอุ่นมาก
ใช่ คนที่นอนอยู่บนเตียงคือพี่ภู ภูผาคนเดิมที่ผมรักหัวปักหัวปำ เมื่อเดือนก่อนเขาหยุดหายใจ...วินาทีนั้นเหมือนโลกทั้งใบของผมถล่มลงไปต่อหน้าต่อตา ผมพยายามอย่างมากไม่ให้ตัวเองร้องไห้ แต่กลับพบว่าความจริงแล้วผมฟูมฟายเกินกว่าจะควบคุมตัวเองอยู่
หมอและพยาบาลกรูเข้าไปหาคนตัวสูง ที่เตียงของพี่มีแต่ความวุ่นวาย เขาพยายามช่วยยื้อชีวิตพี่จนชีพจรกลับมาเต้นอีกครั้ง และหลังจากนั้นผมก็ไม่เคยปล่อยให้พี่คลาดสายตาอีกเลย เราระมัดระวังทุกอย่าง ล้างมือจนแทบเปื่อยก่อนจะเข้าเยี่ยมได้แต่ละครั้ง ผมดีใจที่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้หายไปไหน เขายังอยู่ตรงนี้ อยู่ด้วยกัน...
“พี่ดีใจมั้ยที่ได้กลับบ้าน” เขานอนอยู่โรงพยาบาลเกือบสองเดือน ที่นั่นอึดอัดและหายใจไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ วันนี้พออาการดีขึ้น หมอจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้
ใบหน้าซูบผอมหลับตาพริ้ม พี่ยิ้ม ยิ้มอย่างที่คนมีความสุขคนหนึ่งจะแสดงออกมาได้
ครอบครัวของพี่ภูตัดสินใจรับผิดชอบชีวิตลูกชายคนเล็กด้วยการส่งแม่บ้านอย่างป้าจันทร์มาดูแล ผมไม่รู้หรอกว่าเขาจะแวะมาเยี่ยมเยียนพี่บ่อยแค่ไหน ผมไม่อยากแคร์ด้วยซ้ำว่าใครจะสนใจเขาหรือเปล่า ผมสนแค่วันนี้เราได้อยู่ด้วยกัน พูดคุยกัน และยิ้มให้กันเหมือนทุกวันเท่านั้น
รู้ดีว่าการหลงลืมหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นผมขอสัญญา...ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ผมจะไม่มีวันทิ้งเขา
พี่พูดไม่ได้ เดินไม่ได้ แค่ขยับตัวก็ทำได้ยากลำบาก เขาไม่ได้เป็นอัมพาต หมอก็บอกว่าไม่! แค่ต้องรอเวลาให้สมองและเซลล์ประสาทได้รับการฟื้นฟูหลังประสบอุบัติเหตุเท่านั้น ผมรู้ว่าเขาต้องสู้อยู่แล้ว เพราะหลายครั้งหลายคราพี่พยายามอย่างมากเพื่อมีชีวิตอยู่ ดังนั้นความพยายามของเขาจะไม่มีวันเปล่าประโยชน์
พี่ภูต้องได้รับการทำกายภาพบำบัดทุกวัน แน่นอนว่าผมต้องคอยช่วยเหลือเขา ป้าจันทร์ก็ด้วยเพราะเธอเคยเป็นพยาบาลมาก่อน ควบคู่กับการให้ยารักษาอาการซึมเศร้าที่ยังไม่หาย ยอมรับว่าเหมือนเป็นเรื่องเหนื่อย แต่ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนผมก็เต็มใจที่จะทำ
เพราะพี่กลับมาแล้ว เราจึงต้องเข้มแข็ง
“ของขวัญก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ตอนนี้นอนหลับอยู่ห้องข้างๆ ไว้ผมจะพามันมาหานะ” เขาหลับตาเป็นการรับรู้กรายๆ
ร่างสูงไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหรือให้อาหารทางสายยางแล้ว เพราะเขาสามารถเคี้ยวและกลืนมันได้แม้จะลำบากอยู่สักหน่อย
“เจ็บตรงไหนหรือนอนไม่สบายสะกิดผมนะ”
“...” อีกฝ่ายกะพริบตาเป็นคำตอบ
“พี่ง่วงหรือยัง”
เจ้าตัวพยักหน้าเบาๆ
“งั้นก็หลับเถอะครับ ไว้ถ้าพี่ตื่นขึ้นมาผมจะทำกับข้าวอร่อยๆ ไว้รอ” ผมลูบหลังมือคนป่วยไปมา รอคอยให้เปลือกตาของอีกฝ่ายปิดลงและหลับไป โดยที่ตัวเองก็ไม่คิดลุกไปไหน
ผมก็แค่อยากนั่งมองพี่อยู่ตรงนี้ มองโดยไม่กวนใจ เผื่อตอนไหนที่เขาฝันร้ายขึ้นมาผมจะยังสามารถปลอบใจเขาได้เหมือนทุกที พี่รู้ พี่รู้อยู่แล้ว...
นอกจากแม่กับของขวัญ ก็มีผู้ชายชื่อภูผาเนี่ยแหละที่เป็นลมหายใจของผม
ดึกแล้ว...ป้าจันทร์เข้านอนหลังจากเช็ดตัวและป้อนข้าวให้พี่เสร็จ เราสลับกันดูแลพี่ภูไปเรื่อยๆ ถ้าใครเหนื่อยก็แค่พัก ของใช้บางอย่างที่ขนมากองไว้ตรงห้องนั่งเล่นด้านล่างยังไม่ถูกเก็บให้เข้าที่ ผมรีบปลีกวิเวกด้วยการอาบน้ำแต่งตัวและเดินเข้าไปยังห้องนอนใหญ่อย่างที่ตั้งใจ
กายสูงนอนราบอยู่บนเตียงในชุดนอนสีขาว กะพริบตาปริบมองฝ้าเพดานด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผมรู้ว่าเขาคงจะเบื่อมาก ดังนั้นเราจึงต้องหากิจกรรมไว้ทำร่วมกัน นั่นคือการพูด
ผมพูดส่วนเขาก็ฟัง...
ภูผาเป็นผู้ฟังที่ดีเสมอ
“ง่วงมั้ยครับ”
“...” อีกฝ่ายเลือกส่ายหน้า ผมก้มมองฝ่ามือและเรียวนิ้วที่กำลังกระดิกไปมาเบาๆ ก่อนตัดสินใจพูดประโยคหนึ่ง
“เล็บยาวแล้ว ตัดหน่อยมั้ย”
เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงัก ผมจึงเดินไปหยิบกรรไกรตัดเล็บพ่วงด้วยครีมบำรุงผิวตรงตู้กระจก ก่อนกลับมานั่งใกล้ๆ กับร่างสูงเหมือนเดิม
“เนี่ย ต่อไปพี่ต้องจับกล้องบ่อยๆ เพราะงั้นต้องดูแลมือด้วยนะครับ” ในใจได้แต่ภาวนาว่าสักวันเขาจะหายดี สักวันเขาจะแข็งแรงพอที่จะกลับไปทำในสิ่งที่รักนั่นคือการถ่ายรูป หน้าที่ของผมคือดูแลและรอคอยวันที่พี่สามารถกลับมาทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง
ผมค่อยๆ ตัดเล็บให้เขา พยายามอย่างมากไม่ให้เข้าเนื้อเพราะพี่จะเจ็บ เล็บเท้าก็เหมือนกัน เนื่องจากป่วยและนอนโรงพยาบาลนับเดือน เท้าของพี่เลยสะอาดเพราะไม่เคยสัมผัสพื้นมาก่อน เสียงกรรไกรตัดเล็บดังเบาๆ ทำลายความเงียบ เราเหมือนอยู่ในห้วงอะไรก็ไม่รู้ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความสุขและความเศร้า
อยากขอโทษนับพันครั้งที่ทำให้พี่ต้องทรมาน แต่ผมคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา สายตาที่มองตรงหน้าค่อยๆ พร่าเบลอ ผมเหมือนจะร้องไห้แต่ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ไม่ให้พี่รับรู้ เขาเหนื่อยมามากพอแล้ว เพราะฉะนั้นผมถึงต้องฝืนทำตัวให้ร่าเริงตลอดเวลา
พี่ไม่เคยเป็นภาระ พี่ไม่เคยเป็น และผมต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เสี้ยวหนึ่งในหัวของเขามีความคิดแบบนี้
“ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง”
“...”
“เดือนหน้าจะมีงานบอลแล้วนะครับ จำได้ว่าเราเจอกันครั้งแรกที่นั่น และพี่ก็หล่อมากๆ ด้วย” ใบหน้าซูบซีดฉีกยิ้มเล็กน้อย เชื่อว่าคนตัวสูงคงพยายามจินตนาการกลับไปในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่
ภูผาในตอนนั้นมีรอยยิ้มสดใสเหมือนตอนนี้เลย
“คงจะดีถ้าเราได้ไปที่นั่นด้วยกันอีก”
“...”
“เราสองคนใส่เสื้อสีชมพู ผมมองดูปีหนึ่งขึ้นสแตนด์ ส่วนพี่ก็ยืนถ่ายรูปแปรอักษรจากอีกฝั่งของสนาม” ผมยังคงตั้งหน้าตั้งตาตัดเล็บเท้าให้อีกฝ่ายอยู่ แต่ก็จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาเป็นครั้งคราวจนกระทั่งเสร็จ
“อย่าดูถูกผมล่ะ ผมพาพี่ไปได้แน่นอน” ผมเดินกลับมานั่งข้างๆ คนตัวสูง จ้องมองสายตาของเขาด้วยความจริงจัง อย่างน้อยมันก็คือเป้าหมายในปีนี้ของเรา เป้าหมายที่เราจะค่อยๆ ทำมันไปด้วยกัน
“...”
“จริงๆ นะ มาทำเป็นขมวดคิ้วไม่เชื่ออีก”
“...”
“เกี่ยวก้อยเลยก็ได้อ่ะ งานบอลปีนี้ผมจะพาพี่ไปที่นั่น” ไม่พูดเปล่า ผมถือวิสาสะเกี่ยวก้อยกับเขาเป็นคำสัญญา พี่ภูกะพริบตาช้าๆ รับรู้ทุกอย่างที่ต้องการสื่อสาร มันก็ไม่ได้ยากอะไรหรอก ที่ไหนมีผมที่นั่นจะมีพี่ เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมมีความสุข คนที่อยู่เคียงข้างอย่างพี่ก็ต้องรู้สึกไม่ต่างกัน
เราเป็นครอบครัวกันแล้วนะ ผมเป็นของพี่นับตั้งแต่วันนั้น ดังนั้นพี่เองก็เหมือนกัน...
“ทาครีมที่มือหน่อยนะ ผมไม่อยากจะบอกเลยว่ามือพี่นิ่มกว่าผมอีก น่าอิจฉาชะมัด” เจ้าตัวทำท่าเหมือนจะหัวเราะ แต่ติดที่เขาไม่สามารถทำได้มากอย่างที่คิด เพราะยังจุกเสียดที่หน้าอกอยู่ ดีหน่อยที่อาการบาดเจ็บตรงส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ทุเลาลงบ้างแล้ว จะเหลือก็แต่เฝือกที่ดามขาข้างขวาเอาไว้อย่างเดียว
“ผมอ่านหนังสือให้พี่ฟังเอามั้ย”
เขาส่ายหัว
“เบื่อแล้วเหรอ สงสัยคงจะอ่านให้ฟังบ่อยไปหน่อย งั้น...ฟังชีวิตของผมในมหา’ลัยดีมั้ยครับ”
“...”
“โอเค ยิ้มอย่างนี้คืออยากฟัง ก็เมื่อวานใช่มั้ย อาจารย์สั่งงานให้นิสิตทำแผนการสอนเต็มรูปแบบมา ตอนแรกก็ไม่อะไรมาก แต่พอได้ยินว่าอยากให้มีกิจกรรมในห้องเรียนเพื่อให้เด็กสนใจเท่านั้นแหละ ผมนี่อึ้งไปเลย...หน้าอย่างผมเนี่ยนะจะทำให้เด็กสนใจ ฮ่าๆ”
ชีวิตประจำวันของเราไม่ได้เศร้า แม้เรื่องที่ผ่านมามันจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม แต่เมื่อมันมาเป็นบทสนทนาระหว่างเรา มันจะกลายเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ทำให้หัวเราะได้เสมอ
พี่ภู...ผมไม่เคยท้ออะไรเลยนับตั้งแต่วันที่พี่จับมือกับผมและสัญญาว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อกันและกัน
Happy Birthday to you…
Happy Birthday to you…Happy Birthday to my lover
Happy Birthday to you
“สุขสันต์วันเกิดครับพี่” ร่างสูงซึ่งกำลังนั่งพิงหัวเตียงจ้องมองแสงเทียนบนเค้กวันเกิดท่ามกลางความมืด ปีนี้...ภูผาอายุ 24 แล้ว และมันพิเศษมากๆ ตรงที่เราได้อยู่ฉลองด้วยกันสองคน รอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้าหล่อเหลา ร่างกายที่ดูมีน้ำมีนวลขึ้น ล้วนเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับวันต่อๆ ไป
“อธิษฐานสิครับ แล้วเรามาเป่าเทียนด้วยกันนะ”
เจ้าตัวพยักหน้าเข้าใจ เปลือกตาสองข้างปิดลงคล้ายกำลังขอพรอยู่ ส่วนผมก็เช่นกัน เราอวยพรเพื่อกันและกันในวันสำคัญวันนี้
ผมไม่ได้อยากขออะไรมาก แค่หวังว่าเขาจะมีความสุขก็พอ
“เป่าเทียนได้เลย” ว่าพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ และช่วยอีกฝ่ายเป่าเทียนจนดับลงก่อนจะวางไว้บนโต๊ะใกล้มือ
ความมืดปกคลุมทั่วพื้นที่ ผมมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่เดินไปเปิดไฟ อาจเพราะตอนนี้ผมกำลังกอดเขาอยู่ล่ะมั้ง กอดที่อบอุ่นเหมือนที่ผมเคยได้รับมาตลอด ผมซบหน้าลงกับอกกว้าง พูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ฟังแทบไม่ได้ศัพท์
“ผมอยากเป็นครู พี่อยากเป็นช่างภาพมืออาชีพ ผมอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง ส่วนพี่ก็มีสตูดิโอกึ่งบ้าน”
“...”
“ผมย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่เพราะผมอยากมีบ้าน ผมย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่เพราะผมอยากมีพี่”
“...”
“และผม...มีความสุขดี มีความสุขดีแม้จะอยู่ที่เดิม ตอนนี้พี่แค่เหนื่อยเราถึงยังไม่ได้เดินทาง แต่เมื่อไหร่ที่พี่แข็งแรงพอบอกผมนะ จูงมือผมไป อย่าทิ้งผมไว้อยู่ตรงนี้ อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว”
เพราะผมคงทนไม่ได้อีกแล้ว
มันจะไม่มีวันที่เราทอดทิ้งกัน ตอนนี้ชีวิตผมมีแล้วทุกๆ อย่าง มีคนข้างกายที่คอยห่วงใยอยู่เสมอ มีแม่ มีเพื่อน มีภูผา แต่สำหรับเขา...เขาไม่เหลือใครนอกจากผม ในหัวมันมีแต่คำถามว่าทำไม ทำไมซ้ำๆ ไม่จบสิ้น ทำไมคนะคนหนึ่งถึงต้องถูกคนทั้งโลกละทิ้ง ทำไมคนคนหนึ่งที่อายุแค่ 24 ถึงต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้าย มันไม่เร็วเกินไปหน่อยเหรอกับชีวิตที่ใช้ได้ไม่ถึงครึ่งและน้อยครั้งที่จะรู้จักคำว่าความสุข
“ผมคิดแพลนเอาไว้มากมายว่าถ้าพี่หายดีเราจะทำอะไรบ้าง อย่างแรกเลยก็คงชวนพี่ไปต่างจังหวัดเพื่อถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกดิน นอนดูดาวด้วยกันในที่ไหนสักแห่งก่อนจะเดินเท้าเปล่ากลับที่พัก จากนั้นเราก็จะขับรถไปเรื่อยๆ แวะกินอาหารข้างทาง พูดคุยกับผู้คนตลอดเส้นทางนั้น ร้องเพลง ดื่มกาแฟกระป๋องและสัมผัสหมอก”
“...”
“พอกลับมาถึงบ้านเราก็ต้องช่วยกันทำความสะอาด ป้าจันทร์แก่แล้วเพราะงั้นพี่ต้องกวาดพื้น ส่วนผมจะอาสาถูพื้นและซักผ้าเอง ว่างๆ เราก็ไปดูหนัง ผมขอที่นั่งแบบ Opera chair เลยนะเผื่อพี่อยากแสดงความป๋า ดูเรื่อง Inferno ด้วยกันเพราะปีหน้ามันคงจะเข้าฉายแล้ว”
ผมได้ยินเสียงหายใจติดขัดจากคนตัวสูง เสียงหายใจที่กำลังบ่งบอกว่าเขากำลังร้องไห้อยู่ ผมเงยหน้ามองอีกฝ่ายท่ามกลางความมืดแม้จะมองไม่เห็นอะไรเลยก็ตาม
“ของขวัญวันเกิดปีนี้คือผมที่ยกให้พี่ทั้งหมด สุขสันต์วันเกิดครับ” ริมฝีปากของเราสัมผัสกันโดยที่ผมเป็นฝ่ายประกบจูบก่อน มันหวานจนกลบหยดน้ำตาที่กำลังไหลลงมาไม่ขาดสาย เราไม่ได้ร้องไห้เสียใจที่ชีวิตเป็นแบบนี้ แต่เราดีใจที่สุดท้ายไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเรายังคงมีกันและกัน
“ผมกลัวผีมากเลย เพราะงั้นขอผมนอนด้วยคนนะครับ”
ไม่รู้หรอกว่าพี่ภูจะตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะสุดท้ายผมก็ยังคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ดี ปกติเราจะนอนคนละเตียงภายในห้องเดียวกัน แต่คืนนี้ผมนอนกับเขา เรานอนเตียงเดียวกัน ได้จับมือ ซบหน้าลงกับอกกว้าง
...และหลับไปพร้อมกัน...
เค้กคงไม่สำคัญแล้วสินะ เพราะมันก็แค่ตัวประกอบ
ขอให้ภูผามีความสุข ตลอดไป...
เย็นวันนี้ผมต้องทำกายภาพบำบัดให้พี่หลังกลับจากมหา’ลัย ซึ่งมันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเราทั้งคู่ ป้าจันทร์บอกว่าวันนี้พี่ไม่อิดออดที่จะกินยา หลังจากวันเกิดเมื่อวานเขาก็ดูเป็นเด็กดีขึ้น ผมขอใช้คำว่าเด็กดีเพราะพี่เป็นแบบนั้นจริงๆ
“วันนี้เรามาทำกายภาพบำบัดกัน พร้อมหรือยังครับ”
ร่างสูงกะพริบตาปริบ กระดิกนิ้วมือไปมาเพื่อพร้อมสำหรับการบริหารร่างกาย ผมวางลูกบอลเอาไว้ในมือของพี่ ก่อนจะหันไปจับเข่าของเขาพับขึ้นลงตามวิธีที่หมอได้บอกเอาไว้
“เราฝึกไปเรื่อยๆ อีกหน่อยพี่ก็จะเดินได้แล้ว”
“...”
“เดี๋ยวถ้าวันนี้เราทำกายภาพบำบัดกันเสร็จ ผมจะพาลงไปกินข้าวและอ่านหนังสือข้างล่างนะ” เรายังคงเหมือนทุกวัน พูดคุยและถามสารทุกข์สุขดิบ แม้จะไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากปากของพี่แม้แต่คำเดียว แต่คิดว่ามันก็เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้
คนเราจะต้องการอะไรมากไปกว่าเสียงหัวเราะและรอยยิ้มในวันนี้ล่ะ
ผมเช็ดตัวให้พี่ภู เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาก่อนจะพาลงไปด้านล่างโดยขอให้ป้าจันทร์มาช่วยพยุง เนื่องจากพี่ภูนอนอยู่บนเตียงมานาน ประกอบร่างกายของเขาแข็งแรงมากพอผมจึงพาออกมาที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่างได้
หน้าที่ของผมในแต่ละวันก็ไม่มีอะไรมากหรอก เช็ดตัว ป้อนข้าว บางทีป้าก็จะทำแทนทั้งหมดในวันที่ผมรับงานจนดึก กลับมาอีกทีพี่ก็นอนไปแล้ว แต่ยังดีที่เรายังได้นอนบนเตียงเดียวกัน
“กินข้าวกันครับ ความจริงผมอยากร้องเพลงให้พี่ฟังไปด้วยนะแต่ก็กลัวหูจะแตกซะก่อน” ทันทีที่พาคนตัวสูงมานั่งตรงโซฟา ป้าจันทร์ก็เตรียมกับข้าวมาไว้ให้เรียบร้อย
“พี่ครับ”
“...”
“อยากออกไปเที่ยวข้างนอกมั้ย” ดวงตาคู่เดิมหันมาจ้องผมเขม็ง พลางบีบมือของผมไปด้วย
“...”
“ผมคิดว่าจะซื้อรถสักคันหนึ่งไว้ขับพาพี่ออกไปเที่ยวไกลๆ ถึงตอนนั้นเราไม่ต้องฝันอย่างเดียวแล้ว เที่ยวทะเล ดูพระอาทิตย์ตกดิน แวะกินข้าวข้างทาง...” ยิ่งพูดพี่ก็ยิ่งบีบมือกลับแรง ริมฝีปากเหยียดตรงเผยอยิ้มอย่างคาดไม่ถึง ผมชอบช่วงเวลานี้ ชอบตอนที่เขายิ้มออกมาจากข้างในเพราะมันบ่งบอกว่าเขามีความสุขมากจริงๆ
ข้างตัวของผมมักจะมีกล้องฟิล์มตัวโปรดของพี่วางอยู่ใกล้ๆ เสมอ เอาไว้เก็บบันทึกความทรงจำระหว่างเราตอนที่การบรรยายด้วยตัวหนังสือไม่สามารถบันทึกได้ อย่างรอยยิ้มของพี่ในวันนี้...ไม่สามารถเขียนบรรยายให้เข้าใจได้นอกจาก
แชะ!
“ผมชอบยิ้มของพี่ที่สุดเลย เพราะงั้นพรุ่งนี้ผมมีของขวัญจะให้”
“...”
“เราไปดื่มกาแฟใกล้ๆ บ้านของเรากันเถอะ”
พี่ภูพยักหน้าหงึกหงักและตั้งใจทานอาหารที่ผมป้อนให้ต่อไป เขาเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เวลาที่พ่อแม่ซื้อของเล่นให้ก็จะกระโดดโลดเต้นดีใจ พี่เป็นอย่างนั้นเลย
ผมเป็นให้ได้ทั้งหมดไม่ว่าจะครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก สำหรับพี่ผมเป็นทุกอย่างให้เขาได้เสมอ...
พรุ่งนี้เราไปดื่มกาแฟด้วยกันนะ
อ่านต่อด้านล่างค่ะ