บทที่ 8 มองอยู่รึเปล่า
ตั้งแต่เข้าเรียนอนุบาลหนึ่งยันโง่เป็นควาย เอ๊ย โตเป็นควายอยู่ม.ห้าครั้งนี้เป็นครั้งแรก...ที่เสียงออดเลิกเรียนมันดังก้องบีบหัวใจขนาดนี้ ความตั้งใจเมื่อพักกลางวันมลายหายเป็นฝุ่นผงไปหมดสิ้น
“ไปนะ”
“อืม บาย”เดอะแก๊งผมบอกลากัน ไอ้แชคต้องไปสืบข่าวของมันต่อ นาวกับซีซีมีเรียนพิเศษ อาร์ตปอไอซ์ไปทำกิจกรรมของส่วนกลาง เห็นว่าพวกสภานักเรียนขอตัวแทนห้องไปทำอะไรก็ไม่รู้ไม่เกี่ยวกับผม
งานอะไรที่มันต้องทำเพื่อส่วนรวมไม่เคยมีใบหน้าหล่อๆของคฑากรโรงเรียนอย่างน้ำเงินคนนี้ไปเสนออยู่หรอก ยกเว้นวันนี้วันนึง...อยากไปช่วยงานเขาขึ้นมาเลย ในวันที่มีนัดกับหนุ่มต่างห้องไว้เช่นนี้...
พูดแล้วเขิน...ซะที่ไหน
ยังไม่ทันสิ้นความคิดเจ้าตัวต้นเหตุก็เดินวิ้งๆเข้ามาในห้อง
มันยิ้มแฉ่งทันทีที่เห็นว่าผมยังนั่งง่อยอยู่ที่โต๊ะ ข้างหลังมันสะพายกีตาร์มาด้วยคิดว่ามันคงแบกมาซ้อมกับวงมัน พวกเราทักทายกันเล็กน้อยหน้ามันดูมีชีวิตชีวาผิดกับผมที่ทำหน้าเครียดยิ่งกว่าสอบแกทแพท พวกเราทักทายกันสองสามคำก่อนมันจะจับแขนผมแล้วออกแรงดึงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง...สงสัยกลัวจะหนีอีก
เปลวตะวันลากผมลงตึกเรียนไปท่ามกลางสายตาของเหล่านักเรียนที่ยังไม่กลับบ้านเหลือบมองอย่างสนใจ มันลากผมลงมานั่งแปะอยู่ที่ม้าหินอ่อนข้างๆบ่อเต่า
อะไรของมึง จะชวนกูมาดูเต่ารึไง ตำนานงี่เง่าที่เขาว่ากันว่าใครเห็นเต่าปีนขึ้นจากบ่อจะได้เกรดสี่อะไรนั่นนะกูไม่เชื่อหรอกนะ มึงจีบกูด้วยวิธีนี้กูไม่มีทางหวั่นไหวเด็ดขาด
ก่อนที่จะเตลิดไปไกลเปลวก็หยิบกีตาร์มาวางไว้บนตักถ้ามองดูดีดีแล้วจะพบว่ามันคือกีตาร์โปร่งไม่ใช่กีตาร์ไฟฟ้าแต่อย่างใด มันคือกีตาร์โปร่งสีน้ำตาลอ่อน
อ๋อออ จะร้องเพลงเรียกเต่าใช่มั้ย ขอโทษกูรู้ว่ามึงจะร้องเพลงจีบกูเมื่อกี้มุกโอเคนะ ตอนนี้กูกำลังเครียด ลุ้นตัวโก่งแล้วเนี่ย มึงจะร้องเพลงอะไรกูจะฟังก่อนหรือจะปฏิเสธรักมึงก่อนดี
ถ้าบอกไปตอนนี้จะโดนถีบลงบ่อเต่าไหม? ความคิดโง่เขลาผุดขึ้นมาในหัว เปลวไม่ทำกับผมอย่างงั้นหรอกแม้จะไม่รู้ว่าเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน แต่ในใจลึกๆแล้ว’เชื่อ’แบบนั้น
ผมมองหน้ามันที่มองผมตาปริบๆ ตอนนี้เรานั่งหันหน้าเข้าหากันบนเก้าอี้หินอ่อนตัวเดียวกัน นั่งคร่อมม้านั่งแล้วเอาเข่าชนกัน...ระยะห่างที่ไม่น้อยเกินไปกลับทำให้หายใจไม่ทั่วท้องเพราะแววตาที่จ้องกลับมานั้นไม่มีความล้อเล่นแฝงอยู่เลยแม้แต่น้อย...
เห็นดังนั้นความตั้งใจครึ่งๆกลางๆของผมในตอนแรกก็หายไป ...
โอเคกูยอมแพ้มึงก็ได้ กูจะเปิดใจให้โอกาสมึงสักครั้งถ้าเพลงที่มึงจะร้องให้กูฟังต่อไปนี้สามารถทำให้คนอย่างกูประทับใจได้หละก็...จะยอมให้จีบโดยไม่แบ่งแยกว่าเป็นเพศไหน...
แต่ถ้าไม่ประทับใจละก็....ค่อยคิดทีหลังแล้วกัน...
“เรียกกูมามีไร”เอ่ยถามหยั่งเชิง เมื่อเห็นอีกฝ่ายมือนึงถือกีตาร์มือนึงจิ้มมือถือ...อย่ามาสังคมก้มหน้าตอนนี้นะมึง
“รอแปปดิ อ่ะๆเอาไปถือก่อนกูพิมพ์ไม่ถนัด”เปลวกล่าวก่อนส่งเครื่องดนตรีที่ว่ามาให้ผมถืองงๆ
อห ที่เห็นเขาใช้ในโซเชียลย่อมาจากอะไร โอ้โห อีเหี้ย ไอ้ห่า อิห-ย ก็ไม่รู้แต่ที่รู้คือผมขอยก อห ทั้งหมดนั่นให้มัน
“โอ้โห!!! ไอ้เหี้ยนี่มึงลากกูมาเพื่อแบกของ...”ก่อนจะได้ด่าเสร็จก็ถูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เล่นตามคอร์ดนี้นะ”เปลวเอาเครื่องมือสื่อสารต้นเหตุวางแหมะไว้บนโต๊ะก่อนจะหันมาพยักเพยิดให้ผมจัดการที่เหลือต่อเลย อะไรวะงง เดี๋ยวนะเดี๋ยว!?อย่าบอกนะว่าคนที่ต้องร้องเพลงคือผม!?
แฟนมารดางง(พ่องง)มึงสิ!! “ห๊ะ! อะไรนะ”มองหน้าอีกฝ่ายตาเหลือก
“น้ำเงินดีดกีตาร์ตามเพลงนี้ ส่วนเปลวเป็นคนร้องโอเคนะ”ไม่ต้องมาแอ๊บแทนตัวเองด้วยชื่อเลยฟังแล้วขนลุก
สิ่งที่หน้าจอมือถือแสดงออกคือคือแอพลิเคชั่นโน้ตมีไว้สำหรับจดบันทึกข้อมูล ตัวอักษรภาษาอังกฤษไม่กี่ตัวบนนั้นคงเป็นคอร์ดเพลงที่มันจะให้ผมเล่น...ไม่มีเนื้อมาให้แล้วกูจะรู้ไหมว่าต้องเปลี่ยนคอร์ดตอนไหน...
...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพลงอะไร...
“...”
“...”เกิดความเงียบขึ้นอย่างกะทันหัน ตอนนี้ผมกำลังประมวลผลสถานการณ์ในสมองที่ขาวโพลน
ไอ้เหี้ย!!ตื่นเต้นชิบหาย ทั้งกลัวว่าจะเล่นผิดทั้งลุ้นว่ามึงจะร้องเพลงอะไร แผนนี้คิดนานมั้ยเนี่ย!? เซอไพรส์มากไอ่ห่าทีหลังขอธรรมดากว่านี้หน่อยกูเหนื่อย
“เอาละนะ 1 2…”เปลวสูดลมหายใจลึกเพื่อลดความตื่นเต้น มันดูตั้งสติได้แล้วเลยนับเลขเพื่อเป็นสัญญาณเริ่ม
เดี๋ยวววววววว กูยังไม่พร้อม โดยไม่ได้ตั้งตัวผมที่ตาตื่นตาแหกเกินความจำเป็นเผลอดีดคอร์ด C อันเป็นคอร์ดแรกเริ่มอินโทรไปซะแล้ว เป็นอันว่าไม่พร้อมก็ต้องพร้อมแล้วหละน้ำเงินเอ๋ย...
เพราะมันเป็นอินโทรจึงยังไม่มีท่อนที่ต้องร้อง และเพราะต้องดีดโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ต้องดีดกี่ครั้งอะไรยังไงทำให้ทำนองมันออกมามั่วๆฟังไม่ออกว่าเป็นเพลงอะไร แต่ชั่วอึดใจที่เสียงดนตรีคลาสสิกนี้ดังขึ้นผู้คนที่อยู่รอบข้างเริ่มหันมามอง
ดูเหมือนวันนี้ส่วนกลางจะมีงานอะไรสักอย่างทำให้นักเรียนเกือบครึ่งเลิกเรียนแล้วยังอยู่ในโรงเรียนทำให้บริเวณข้างบ่อน้ำตอนนี้มีนักเรียนทั้งม.ต้นม.ปลายนั่งจับกลุ่มตัดกระดาษตกแต่งอะไรสักอย่างอยู่หลายกลุ่ม...และทั้งหมดที่ว่านั่นก็หันมามอง...
ผมไม่รู้ว่าพวกนั้นหันมาเพราะเห็นคนหล่อเป็นคนเล่นหรือหันเพราะเสียงมันทุเรศมากมึงหยุดเล่นเถอะกูขอร้อง แต่เพื่อความสบายใจผมขอคิดว่าเป็นอย่างแรก
“เลิกมองนู่นมองนี่ได้แล้ว หันมาทางนี้สิ”เสียงทุ้มเอ่ยเรียกผมที่เริ่มหลุกหลิกมองรอบข้าง พร้อมกับจังหวะอินโทรที่สิ้นสุดลง
“เธอเคยรู้ไหมว่าใครเฝ้ามองตามเธอไปทุกแห่ง เก็บเธอเป็นแรงให้ใจทุกวันเก็บไว้มาเนิ่นนาน...”
เสียงทุ้มนุ่มเริ่มร้องตามทำนองที่ถูกต้องเรียกให้ดวงตาของผมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย...ไม่ได้ตกใจที่รู้ว่าตัวเองดีดมาคนละจังหวะเลยแต่ตกใจเพราะไม่คิดว่าจะเป็นเพลงนี้...
ก็เพลงนี้มัน...
“หากได้อยู่ใกล้ใกล้เธอ ฉันจะบอกกับเธอให้รู้ใจ สบตากับฉันลึกลงข้างใน ก็จะเข้าใจความหมาย...”
เด็กม.ต้นกลุ่มใหญ่ไม่รู้มาจากไหนวิ่งมาออกันอยู่ที่โต๊ะข้างๆหลายสิบคน บางคนก็ยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปได้ยินแว่วดูเหมือนจะเป็นแฟนคลับของไอ้เปลวมัน แต่ก็มีหลายคนเหมือนกันที่เป็นแฟนคลับผมแต่ผมไม่ได้หันไปมองจึงไม่รู้ว่ามีเยอะมากไหม
จะให้หันไปได้ยังไงในเมื่อท่อนต่อไปมันคือ...
“เห็นเงาในตาฉันไหม เห็นเธออยู่ในนั้นไหม รู้ใจกันบ้างไหม ว่าฉันนั้นคิดอะไร
เห็นเธอมานานรู้ไหม ไม่เคยมองใครที่ไหน ขอเพียงสักครั้งแค่หันมา สบตาครั้งเดียวก็พอ...”
เวลานี้แม้แต่คอร์ดผมก็ไม่หันไปมองแล้วคอร์ดเพลงนี้ง่ายสมองระดับผมมองปราดเดียวก็จำได้แล้ว ต่อให้ลืมผมก็ไม่หันไปมองหรอกก็ในเมื่อข้างหน้ามันมีอย่างอื่นที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วถ้าไม่ใช่ตอนนี้ให้มองอยู่
นัยน์ตาสีเข้มทอประกายระยิบระยับจับจ้องมาทางผมโดยไม่สนในเสียงรอบข้าง ไม่ว่าจะมีคนมาฟังเพิ่มอีกสักกี่คน ไม่ว่าจะมีกี่เสียงที่ตะโกนเรียกให้หันไป ดวงตาคู่นี้ก็ยังไงมองมาทางผม...เพียงแค่คนเดียว
หากคำกล่าวที่ว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจเป็นความจริงดวงตาของผู้ชายคนนี้ที่กำลังสะท้อนเพียงภาพของผมอยู่จะมีความหมายว่าอะไรกันนะ...
“เห็นเงาในตาฉันไหม เห็นเธออยู่ในนั้นไหม รู้ใจกันบ้างไหม ว่าฉันนั้นคิดอะไร
เห็นเธอมานานรู้ไหม ไม่เคยมองใครที่ไหน ขอเพียงสักครั้งแค่หันมา สบตาครั้งเดียวก็พอ...”
เนื้อเพลงท่อนสุดท้ายจบลงพร้อมกับเสียงกรี๊ดที่ดังกระหึ่ม รู้สึกตัวอีกทีพวกที่เหลืออยู่ในโรงเรียนจำนวนมากก็มายืนสุมกันอยู่ทั่วบริเวณ ตามมาด้วยเสียงปรบมือและคำเยินยอจากเด็กผู้หญิงม.ต้น
“พี่เปลวร้องเพลงเพราะจังเลยค่ะ”
“แกๆ ไปฝึกกีตาร์กันมั้ยแล้วคราวหลังมาดีดให้พี่เปลวร้องบ้าง”
“ไม่อะแก ฉันจะไปฝึกร้องเพลงจะได้ให้พี่น้ำเงินเล่นดนตรีคลอ”
“กรี๊ดดด!!หล่อทั้งคู่เลยๆๆๆ จะเอาๆๆ”เดี๋ยวนะน้องจะเอาอะไรวะครับ และอื่นๆอีกมากมายที่จะสรรหามาพ่นใส่หน้าพวกผมได้
“ครับ เอาไว้โอกาสหน้าเนอะ ตอนนี้กลับไปทำงานกันก่อนดีกว่าอู้มาดูพวกพี่อย่างงี้ระวังไอ้ประธานบ่นเอานะ”เปลวตะวันหันไปยิ้มเจิดจ้าใส่สาวๆพร้อมเอ่ยปากไล่ด้วยคำพูดสุภาพ
เหล่าเด็กน้อยรู้เท่าไม่ถึงการณ์โดนพระอาทิตย์จอมเนียนขับไล่รีบเดินกลับทางของตัวเองอย่างว่าง่าย เห็นแล้วอดสงสารไม่ได้...
ที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็มีผมกับเปลวแค่สองคน ถ้าผมไม่ได้ตาฝาดเหมือนเมื่อกี้ไอ้แชควิ่งหลบเข้าไปทางมุมตึก มันคงมาดูพวกผมแต่น่าแปลกที่ขาเสือกอย่างมันไม่เข้ามาเจ๋อ แต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลามาสนใจคนอื่น ยังมีเรื่องของมันที่ผมต้องเคลียร์ให้รู้เรื่องอยู่
เปลวเดินไปเก็บกีตาร์ใส่ซองก่อนจะหันมายิ้มให้ผมที่ทำหน้าเครียดอยู่ “ดูทำหน้าเข้า ไม่ชอบเพลงนี้เหรอ”มันถาม
“เฉยๆกับเพลง แต่เซอไพรส์มากที่ต้องเล่นดนตรีประกอบ”ยกมือยีหัวอย่างเก้อๆ ไม่รู้จะเอามือไปวางไว้ที่ไหนดี
“ดีดกีตาร์ร้องเพลงจีบสาวมันโหลแล้วมึงก็ไม่ใช่สาวด้วยกูเลยให้มึงมีส่วนรวมเผื่อมึงนั่งฟังอย่างเดียวแล้วเบื่อ”มันสาธยายเหตุผลซะผมอยากจะหนีไปช่วยผู้หญิงโต๊ะข้างๆตัดกระดาษ...โต๊ะข้างๆ...
“เห้ย!มึงพูดเบาๆเดี๋ยวคนได้ยินกูยังไม่พร้อมออกสื่อ”ผมรีบคว้าคอเสื้อมันมากระซิบเสียงแข็ง
“ตกลงจีบติดแล้วเหรอ”มันตีหน้าซื่อถามออกมาแบบหน้าด้านๆ ติดเชี่ยไรร้องเพลงแค่สามนาทีอย่ามาตีเนียน
“ติดกะผีมึงสิ เอาเป็นว่าเห็นแก่ความแหวกแนวของมึงในวันนี้กูจะยอมให้มึงจีบต่อไปอีกสักพักแล้วกัน”
“มีหมดเวลาด้วยเหรอ”เปลวตะวันพูดอย่างตกใจเมื่อได้ยินคำว่า สักพัก ของผม
“มีดิ กำหนดเวลาก็คือ...”ผมเว้นคำเอาไว้ทำให้มันตาตื่นอย่างตกใจ มือข้างที่ไม่ได้ถือของอยู่ยกขึ้นมาเขย่าแขนผมเบาๆเชิงเร่งให้บอกไทม์ลิมิตมามันจะได้ตั้งตัวถูก
ใจเย็นมึง...อย่าเร่งกู ไอ้เรื่องกำหนดเวลาอะไรนี่มึงเป็นคนจุดประเด็นขึ้นมาเองไม่มีอยู่ในหัวกูตั้งแต่แรกแล้ว แต่ในเมื่อมาถึงจุดนี้ก็ต้องเล่นตัวทำเป็นมีไว้ก่อน...รอแป๊ปดิ๊ คิดก่อน
“น้ำเงิน...”มันเรียกตาละห้อย
“เออๆ นกหวีดหมดเวลาจีบกูของมึงจะดังขึ้นในวันที่...”
“...”
“ที่...”
“...”
“ที่มึงเลิกชอบกู”
คำตอบนั้นของผมเรียกรอยยิ้มกลับคืนสู่ใบหน้าของมัน...ดวงตะวันกลับมาสดใสอีกครั้งด้วยความโล่งใจ...
“งั้นมึงคงไม่ได้ยินเสียงนกหวีดที่ว่าตลอดชีวิต”
“ปากดี กูจะรอดู”นายน้ำเงินชี้หน้าคาดโทษพระอาทิตย์ของเขาก่อนจะบอกลากัน ในทีแรกเปลวตะวันพยายามรบเร้าขอตามไปส่งถึงบ้านแต่ผมก็ขัดห้ามมันไว้เสียก่อน...ใจเย็นๆอย่าเพิ่งรุกเยอะ ขอเวลากูปรับตัวบ้างอะไรบ้าง
.
.
ช่วงเวลาสั้นๆบนรถเมล์ขากลับบ้านผมทอดมองออกไปนอกหน้าต่างรถอย่างเหม่อลอย ในใจมีเสียงเพลงที่มีคนร้องให้ฟังดังซ้ำไปซ้ำมา เนื้อเพลงนั้นกล่าวถึงความรักที่ก่อตัวอยู่ในใจมาเนิ่นนานมันอัดแน่นจนเอ่อล้น...
เหมือนคนร้องอยากจะบอกว่าเฝ้ามองมาตลอดเลยนะ ขอแค่สักครั้งช่วยหันมามองทางนี้ทีเถอะ...แต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำได้เพราะฉะนั้น...ขอแค่ฟังเพลงนี้แล้วมองมาที่ตาคู่นี้ก็พอ
แล้วเจ้าของความรักที่ว่านั้นเฝ้ามองผมมานานขนาดไหนกันนะ?
... บางทีผมอาจจะรู้คำตอบนั่นก็ต่อเมื่อจดจำวันแรกที่พบกับคนที่ชื่อเปลวตะวันได้...
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เพลงที่เปลวร้องได้ดับแรงบันดาลใจมาจากคลิปนี้เลยค่ะ
https://www.youtube.com/v/pwFSS1e22p8
ตอนแรกคิดว่าจะเอาตัวคลิปมาแปะหน้านิยายนี้เลยแต่ด้วยความอ่อนแอด้านเทคโนโลยีทำให้มันล้มเหลวค่ะ 555