ตอนที่๑๔สุดท้ายผมก็โดนภาคินหลอกจนได้ ผมไม่น่าไว้ใจมันเลย คิดผิดจริงๆ
“เอาน่า…เลิกทำหน้าบูดได้แล้ว”คินพูดเสียงอ่อนเมื่อผมยังคงทำหน้าบูดอยู่ มันกำลังหว่านล้อมให้ผมลงจากรถให้ได้
มันหลอกพาผมมาทะเลครับ!ทั้งๆที่มันบอกว่าจะพาผมไปสวนสัตว์ เห็นไหมว่ามันหลอกผม
ผมเบือนสายตาออกไปมองด้านนอกกระจกรถ เห็นหาดทรายและร้านค้าต่างอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“พี่ขอโทษ น้องเมฆลงไปกับพี่เถอะนะครับ”มันใช้น้ำเสียงนุ่มมีเสน่ห์ของมันมาหลอกล่อผม
“ก็ได้”ในที่สุดผมก็ทนเสียงหวานๆชวนเลี่ยนของภาคินมันไม่ได้ ภาคินฉีกยิ้มกว้างที่เกลี่ยกล่อมผมได้ เสียงคลื่นกระทบชายหาดดังอยู่รอบตัว ผมหยีตาสู้ลมทะเล ร่างสูงสะดุดสายตาของภาคินสวมใส่ชุดสบายตาน่ามอง ใส่ชุดไหนก็ดูดีไปหมด น่าอิจฉาจริงจริ๊ง
“เชื่อสินายต้องแปลกใจแน่ๆ”มันยกยิ้มอย่างพอใจ ผมเหลือบตามองอย่างสงสัยแค่มาทะเลทำไมถึงชื่นมื่นขนาดนี้ ผมเริ่มจะระแคะระคายอะไรแล้วสิ
“มีเรื่องอะไรดีๆงั้นเหรอ”ผมสะกิดถามขณะที่เดินตามคนตัวสูง ผมกวาดสายตาไปรอบๆ คนไม่ค่อยเยอะมากเท่าไหร่ และแต่ล่ะคนก็ดูท่าจะสนุกสนานกับท้องทะเลเกินกว่าจะมาสนใจนักร้องดังอย่างภาคิน ถ้าพูดอีกความหมายหนึ่งคือพวกเขาอาจจะไม่รู้จักภาคิน
“มีคนอยากเจอนาย”มีคนอยากเจอ? …ผมเริ่มจะปะติดปะต่ออะไรได้ นับจากวันที่แม่ของภาคินโทรมาก็ผ่านมาเกือบๆอาทิตย์ได้แล้ว อย่าบอกนะคนที่อยากเจอคือพ่อแม่ของมัน ผมเหลียวไปมองภาคินทันที
“น่า…ไม่มีอะไรหรอก สองคนนั่นใจดีจะตาย”ภาคินวางมือบ่นบ่าของผมพร้อมกับส่งยิ้มให้ผมวางใจ ผมเดินตามไปเรื่อยๆจนกระทั่งเห็นคนสองคนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ชายหาด ผู้หญิงอายุราวสามสิบกว่าๆ ใส่หมวกสานปีกกว้างโบกไม้โบกมือมาให้ เดาว่าเป็นแม่ของภาคิน ผมรู้เลยว่าภาคินได้ความหล่อมาจากไหน ดีเอ็นเอบนใบหน้าพ่อแม่มันฟ้อง
“I miss you so muchhh”เธอคว้าตัวภาคินเข้าไปกอดก่อนจะหอมแก้มทั้งสองข้างของมันฟอดใหญ่ คนเป็นพ่อเข้ามาบีบบ่ามันเบา ๆพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น
“นี่เมฆ คนที่ผมเล่าให้ฟังครับพ่อ”มันหันมาแนะนำพร้อมกับพูดภาษาอังกฤษให้แม่มันฟัง แต่ผมคิดว่าเธอคงฟังภาษาไทยออกอยู่บ้าง
“สวัสดีครับ”ผมยกมือไหว้คนทั้งสอง
“ว้าว เธอเหมือนที่เขาบอกเลย ดูสบายตา เขามีใบหน้าที่น่าเอ็นดูมาก ว่าไหม”เธอจับใบหน้าของผมพลิกไปมาพลางหันไปพูดกับสามี
“ภาษาไทยเธอไม่ค่อยแข็งน่ะ อาจจะฟังดูแปลกๆไปหน่อยนะ”พ่อภาคินกระซิบเบาๆกับผม
“เห็นไหม ผมบอกแล้วว่าพ่อกับแม่ต้องชอบแน่ๆ”ภาคินยิ้มกว้าง
“เขาเป็นแฟนผมเอง”ทันทีที่มันพูดจบ เกิดความเงียบเล็กน้อย พ่อของมันกระพริบตาอย่างงุนงง ส่วนคนเป็นแม่ยิ้มค้าง มือยังจับใบหน้าของผมอยู่ ผมกัดริมฝีปากอย่างกังวลเหลือบมองภาคินที่ทำหน้าเคร่งขึ้นมาทันที
“เอ่อ…มันน่าตกใจมากเลยใช่ไหมครับ แต่ก็อย่างที่ผมบอก ผมจริงจังกับเมฆ”
“โอ้ว…”คุณแม่ยกมือทาบอก ท่าทางดูเสแสร้งแกล้งทำแปลกๆ
“มัม…”ภาคินทำเสียงอ่อน ก่อนจะหันไปมองพ่อที่กอดอกยิ้มๆ
“จริงจัง…จริงๆใช่ไหม”เธอทำเสียงเหลือเชื่อปล่อยมือทั้งสองข้างลงข้างลำตัว ก่อนจะหันมามองสำรวจผมอีกครั้ง ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
“เขาไม่ค่อยพูดเลยนะ ว่าไหม”
“ก็คุณทำท่าแบบนั้น ใครเขาจะกล้าพูดล่ะ ตามสบายเถอะ เมฆ เราทั้งคู่แค่แปลกใจนิดหน่อย เธอคงรู้ คินมันไม่ค่อยใช้คำว่าจริงจังสักเท่าไหร่”พ่อภาคินหัวเราะก่อนจะตบบ่าผม
“ครับ ผมก็คิดแบบนั้น”ภาคินย่นคิ้วมองผม
“ฉันคิดว่าฉันดีใจนะ อย่างน้อยเขาก็รู้จักความหมายของมัน ฉันนึกไม่ถึงเลยจริงๆ คิดว่าจะได้เจอสาวสวยซะอีก”แม่ภาคินหันไปมองลูกชายก่อนจะยกยิ้มพอใจ
“แสบสมเป็นลูกฉันเลย”พูดพึมพำเบาๆ
“นี่แหละข่าวดีของผม แล้วของพ่อกับแม่ล่ะ”มันเปลี่ยนเรื่องมาถามคนทั้งสองบ้าง ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนจะยิ้มกว้างแววปลื้มปิติปรากฏชัด
“เป็นข่าวดีมากๆ พ่อคิดว่าลูกต้องดีใจกับเราแน่”คนทั้งคู่เงียบลงเหมือนต้องการให้ภาคินตื่นเต้น มันเลิกคิ้วมองพ่อกับแม่สลับไปมา
“ไม่เอาน่า…”มันทำเสียงอ่อนใจเมื่อพ่อแม่ยังไม่ยอมปริปากพูด ผมแอบยิ้มกับท่าทางนั้น
“คือ…เรา คือ…แม่”
“…”ไอ้ภาคินเหมือนจะเริ่มหมดความอดทน
“เรากำลังมีสมาชิกใหม่”ฝ่ายพ่อเป็นคนเฉลยแทน
“สมาชิกใหม่? หมายความว่าไง….โอ้ จริงเหรอ แม่ท้องเหรอ”ภาคินดูแปลกใจระคนดีใจ คงไม่คิดว่าจะได้รับข่าวดีแบบนี้
“yes!”คุณแม่ตอบรับอย่างตื่นเต้นก่อนจะลูบท้องที่ยังไม่โตอย่างเบามือ
“เพิ่งท้องได้สามสัปดาห์”
“เจ๋ง ไว้ผมขอคิดชื่อน้องเองนะครับ”ภาคินทำเสียงตื่นเต้น ผมพลอยรู้สึกยินดีไปด้วย เดาแล้วแม่ภาคินตั้งท้องแรกตั้งแต่วัยรุ่น
แน่ๆ
“แบบนี้ต้องฉลอง จริงไหม”พ่อของภาคินพูดขึ้น ก่อนที่สองพ่อลูกจะลุกไปซื้อลูกชิ้นปิ้งกับน้ำผลไม้ เหลือผมกับคุณแม่ยังสวยสองคน
“ฉันดีใจนะ ที่คินเติบโตมาได้…ถึงจะไม่เพอร์เฟ็คแบบที่ฉันหวัง แต่เขาก็ทำให้ฉันภูมิใจมากเหมือนกัน เมฆ ฉันหวังว่าเธอจะดูแลเขาให้ดี มีไม่มากหรอกที่เขาจะจริงจังกับคนที่คบด้วย”คุณแม่เอื้อมมาบีบมือผมเบาๆ
“ถึงคุณแม่ไม่บอก ผมก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้วครับ ไม่ต่องห่วงหรอก Don’t worry”ผมยิ้มกว้างไปให้ เธอยิ้มขำก่อนจะเหม่อมองท้องทะเล
“แต่ฉันก็อดกังวลนิดหน่อย กลัวจะเป็นแม่ที่ดีไม่ได้…ช่วงที่คินโต ฉันก็ไม่ได้อยู่กับเขา ถ้าฉันได้เลี้ยงเขาเอง เขาอาจจะไม่ต้องเจอปัญหาแบบนี้ก็ได้”
“อย่าคิดมากไปเลยครับ ในเมื่อมันผ่านมาแล้ว ตอนนี้คุณแม่เพียงแค่ทำให้ดีที่สุดก็พอ แค่นั้นภาคินก็ดีใจแล้วล่ะครับ ผมเชื่อว่าอย่างนั้น”ผมหันไปมองร่างสูงของภาคินที่กำลังหัวเราะกับพ่อที่เตี้ยกว่าเล็กน้อย
“พวกเขาเหมือนกันมากจริงๆ”เสียงพึมพำของอีกฝ่ายทำให้ผมยิ้ม
“ผมก็ว่าอย่างนั้น”
“นี่สำหรับคุณแม่ยังสาว”ภาคินยื่นน้ำส้มปั่นให้ ส่วนคนพ่อก็คะยั้นคะยอให้กินลูกชิ้นที่ไม่ราดน้ำจิ้ม
“อ่ะ นี่สำหรับแฟน”ภาคินส่งน้ำมะพร้าวให้ผม พร้อมรอยยิ้มกว้าง ท่าทางดูมีความสุข
“พ่อแม่นายมาพักหลายวันเหรอ”ผมได้ยินว่ามันจองโรงแรมไว้ แต่ไม่รู้ว่ากี่วัน
“สองอาทิตย์ได้ เราแค่มาค้างเฉพาะวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ก็พอ ไม่ว่าอะไรใช่ไหม”มันหันมาถามอย่างกังวล
“ก็เปล่านี่”
“ขอโทษ ที่ไม่ได้บอกตั้งแต่แรก ก็อยากให้เซอร์ไพรส์นี่นา”มันพูดเบาๆ
“ช่างเถอะน่า…”ผมอารมณ์ดีขึ้นมาได้เพราะเรื่องดีๆที่เกิดขึ้นกับมันหรอก
“ไว้ว่างๆค่อยไปสวนสัตว์ก็แล้วกัน”
“เดี๋ยวพ่อพาแม่ไปพักที่โรงแรมก่อนนะ ไว้เจอกันตอนทานอาหารเย็น อย่าเที่ยวซนมากล่ะ เมฆดูภาคินมันด้วยนะ”คุณพ่อกำชับกับผมก่อนจะช่วยประคองภรรยาที่เบี่ยงตัวออกอย่างหงุดหงิดใจ ภาคินหัวเราะหึๆกับภาพนั้น
“พ่อกับแม่ฉันเป็นไง ประหลาดดีใช่ไหม”
“ก็ไม่เห็นประหลาดตรงไหน”ผมชอบพวกเขามากกว่าที่คิดซะอีก
“ถ้าหมดเรื่องทุกอย่างฉันก็อยากใช้ชีวิตแบบเงียบๆสบายๆ ถ้าพ่อกับแม่ฉันกลับไปอังกฤษ ฉันว่าฉันจะเข้าไปเคลียร์กับเฮียเปรม”ผมนั่งฟังอย่างสนใจ
“ปฏิเสธการต่อสัญญา”ภาคินถอนหายใจก่อนจะเอนพิงเก้าอี้ ผมก็คิดไว้แล้วว่าภาคินอาจจะไม่ต่อสัญญาเพราะเมื่อคราวก่อนเหมือนมันจะเคยเปรยๆไว้
“เรื่องนี้ถือเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ฉันจะให้เขา เขาได้ประโยชน์จากฉันไปมากแล้ว เมื่อหมดสัญญาก็จบกัน ฉันอาจจะโรคจิตก็ได้ที่คิดแบบนี้ แต่ชีวิตมันต้องมีสีสันกันบ้าง ไม่งั้นก็เบื่อแย่จริงไหม”ภาคินไหวไหล่
“งั้นฉันต้องขอบคุณนายสินะ ที่ทำให้ชีวิตมีสีสันขึ้นมากกก”ผมลากเสียงยาวๆ
“แน่นอน ไม่งั้นนายก็เป็นแค่แมวขี้เบื่อใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ”มันยิ้มขำก่อนจะดึงหมวกของผมไปใส่แทน ผมเดินเล่นเตร็ดเตร่อยู่ที่ชายหาด เท้าสัมผัสหาดทรายนุ่ม พลางปล่อยความคิดไปเรื่อยเปื่อย นึกย้อนไปก่อนหน้านี้ ก่อนที่ผมจะรู้จักกับภาคิน ชีวิตของผมเป็นแบบที่มันบอกจริงๆ ผมใช้ชีวิตไปวันๆ ออกจะเบื่อกับการที่ต้องอยู่ในกรอบ ช่วยแม่ทำงานไม่มีเวลาไปเที่ยว
“ฉันเคยคิดจะจัดโครงการประกวดร้องเพลง ยังมีเด็กๆที่อยากทำตามฝันตัวเอง”
“พูดจาแบบนี้ก็เป็นด้วย”
“แน่นอน พี่จะยี่สิบหกแล้วนะน้องเมฆ”มันก้มมาพูดกับผมแบบชัดถ้อยชัดคำ ถึงผมจะรู้ว่ามันอายุมากกว่าผม แต่ก็ไม่ชินที่จะเรียกมันว่าพี่ ซึ่งมันก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมเบ้หน้า ก่อนจะหันไปทางอื่น เพราะมันเอาหน้ามาใกล้ผมมากเกินไป
“หึ ๆ”มันหัวเราะในลำคอ เมื่อผมหลบสายตา ยอมรับว่าสู้มันไม่ได้ รอให้พลังลมปราณของผมกล้าแข็งก่อนเถอะ
“ตอนค่ำมีดนตรีนี่ มาดูกันนะ”ภาคินชี้ใบปลิวที่แปะอยู่ตรงทางเข้าโรงแรม
“น่าสน”ผมตอบเหมือนสนใจ ผมไม่ค่อยจะรู้จักวงดนตรีแนวแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็ไปเป็นเพื่อนไอ้ภาคินมัน เดี๋ยวจะน้อยใจที่ผมไม่ใสใจ ผมเข้ามาสำรวจห้องพักที่ภาคินจองไว้ เปิดห้องเดียวซะด้วย ห้องก็สวยสมราคา ระเบียงด้านนอกมีวิวให้ชม ผมรื้อค้นกระเป๋าใบเล็กที่ภาคินมันเอาติดมา มีเสื้อผ้าอยู่สองสามชุด
“เออ พ่อกับแม่กูมาพักผ่อน”หูได้ยินมันคุยโทรศัพท์ ผมเหลือบไปมองร่างที่พันผ้าขนหนูไว้หลวม ๆ มันถอดเสื้อผ้าออกตอนไหนวะเนี่ย ผมกลับมาสนใจกระเป๋าเสื้อผ้าต่อ
“ไม่บอก กูก็อยากพักผ่อนเหมือนกัน ช่วงนี้กูเหนื่อยๆจากทัวร์ เดือนนี้ทั้งเดือนคิวงานแน่นเอี๊ยดเลย สงสัยจะใช้งานกูให้คุมก่อนหมดสัญญา เออ ไอ้เพชรมึงก็ระวังนะ พี่แต้วได้ข่าวแว่วๆมาว่า สื่อเจ้าเดิมเตรียมงานใหญ่อยู่ ไม่รู้จะเอาอะไรมาแฉอีก อาจจะเกี่ยวกับมึง ไม่รู้…ก็พี่เขาว่ามางั้น ไปทำอะไรไว้ล่ะ เออ แค่นี้แหละ บาย”แล้วจากนั้นมันก็วาง
“มีอะไรเหรอ”
“ไอ้เพชรอาจจะโดนเล่นงานน่ะสิ”ภาคินว่าก่อนจะล้วงเข้าไปในผ้าขนหนูถอดเอากางเกงขาสั้นออกมา ผมหน้าร้อนนิดหน่อย ไม่มียางอายเอาซะเลย
“เอ้า จริงดิ”อย่างไอ้พี่เพชรจะมีเรื่องอะไรให้เล่นงานกันนะ
“น่าสนใจใช่ไหม อยากรู้เหมือนกันไอ้เพชรมันมีอะไร”ภาคินทำเสียงร้ายกาจ ก่อนจะก้มมาหอมแก้มผมแล้วเดินนวยนาดไปอาบน้ำ ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่นานเหมือนภาคิน
ที่ห้องอาหารชั้นล่างพ่อกับแม่มันรออยู่แล้ว ดูๆไปอย่างกับคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามันยังไงอย่างนั้น
“ช่วงนี้งานยุ่งเหรอเรา”พ่อมันถามขณะที่หั่นเนื้อสเต็กไปด้วย ผมไม่ค่อยจะชินกับการหั่นเนื้อสเต็กนี่ซักเท่าไหร่ ภาคินที่นั่งข้างๆอาจจะทนมองผมหั่นแบบเก้ๆกังๆไม่ไหวจึงดึงจานไปช่วยหั่นเป็นชิ้นๆให้
“ก็นิดหน่อยครับ”
“ยุ่งก็พักบ้าง”คุณแม่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงก่อนจะยื่นหน้ามาหาผม
“ดุเขาบ้างนะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ไม่ได้นักหนาอะไร อีกอย่างเมฆไม่กล้าดุผมหรอก”ภาคินหัวเราะ ผมเลิกคิ้วทันควัน
“รู้ได้ไง”ดูถูกผมเกินไปแล้ว มันหรี่ตามองผมด้วยสายตาที่เดาไม่ออก
“ถ้างานยุ่งก็ไม่ต้องแวะมาพักอยู่กับเราหรอก เดี๋ยวทางนู้นจะว่าเอา”คุณพ่อเอ่ยเสียงกังวล
“พ่อกับแม่ผมมาทั้งที พวกเขาไม่ว่าอะไรหรอก งานก็เลื่อนออกไปได้ อีกอย่างสัญญาของผมใกล้จะหมดแล้วด้วยครับ”
“จริงเหรอ แกคงไม่ได้จะต่อสัญญาหรอกใช่ไหม”
“เปล่าครับ ผมว่าจะไม่ต่อ”ภาคินตอบชัดเจน คนทั้งคู่ดูพอใจ
“เรากำลังคุยกันอยู่เลย ว่าอาจจะกลับมาอยู่ที่ไทยอย่างถาวร แม่เขาเริ่มเบื่อกับอังกฤษแล้ว”
“จริงเหรอครับ งั้นบ้านใหญ่ก็ไม่ต้องร้างแล้วน่ะสิ ผมหวังว่านี่จะไม่เป็นการหลอกผมให้ดีใจหรอกนะ เมฆเองก็อยู่เป็นพยานด้วย”ภาคินเอาส้อมชี้หน้าพ่อกับแม่
“ไม่หลอกแน่นอน ถ้าเราจัดการกับนายทุนที่นู่นได้ แม่กับพ่อก็ตกลงกันไว้แล้วว่าจะกลับมาอยู่บ้าน นี่ก็เป็นข่าวดีอีกเรื่องหนึ่ง ว้าว แค่คิดฉันก็ตื่นเต้นแล้ว”ไม่รู้ว่าคุณแม่คิดอะไรอยู่ สีหน้าชื่นมื่นแก้มแดงเล็กน้อย ภาคินเปลี่ยนเรื่องคุย โดยวนมาที่เรื่องสมาชิกใหม่
“ผมว่าผู้ชายแน่นอน เชื้อพ่อแรงอยู่แล้ว”ผมสำลักน้ำเปล่าเมื่อได้ยินภาคินพูด เสียงหัวเราะชอบอกชอบใจดังมาจากคุณแม่
“พ่ออยากได้ลูกผู้หญิง”
“ฉันอยากได้ลูกชาย ลูกผู้หญิงน่าจะเลี้ยงยาก ถ้าได้ลูกชาย ภาคินจะได้มาเล่นกับน้องบ่อยๆ ฉันว่านี่ล่ะ ลงตัวสุดๆ”
“เมฆล่ะว่าไง ลูกผู้หญิงดีกว่าใช่ไหม”คุณพ่อหันมาถามความคิดผม สีหน้าของคุณพ่อเหมือนจะออกแนวบังคับนิด ๆ ภาคินกับแม่มันก็จ้องมองผมด้วย
“เอ่อ ลูกผู้หญิงก็ดี ผู้ชายก็เยี่ยม งั้นผมขอให้ได้ลูกแฝดก็แล้วกัน”
“โอ้ว ลูกแฝด ฉันก็ภาวนาแบบนั้นเหมือนกัน”ดูเหมือนคุณแม่จะชอบใจความคิดนี้ เธอลูบท้องเบาๆอย่างนุ่มนวล ผมเห็นภาคินมีความสุขและผ่อนคลายมากกว่าทุกครั้งเมื่อได้อยู่กับครอบครัว
“รู้ไหม ฉันว่าสมาชิกใหม่เป็นของขวัญนำโชคของฉัน”ภาคินบอกเมื่อทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว วงดนตรีกำลังจัดเวทีอยู่ ผมกับภาคินนั่งมองอยู่ใกล้ๆ
“ปกติแล้วพ่อกับแม่ไม่ค่อยได้กลับไทยหรอก ส่วนใหญ่ฉันจะบินไปหามากกว่า พวกเขาเบื่อพวกนักข่าวที่ชอบตามถ่ายรูป”
“อีกหน่อยพ่อกับแม่นายก็อาจจะย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วนี่ ดีใจด้วยนะ”
“พวกเขาฉลาด ที่พูดออกมาก็คงเพราะฉันพูดเรื่องสัญญาแน่”
“เหมือนเป็นข้อแลกเปลี่ยนกลายๆเลย”
“อืม…เมื่อตอนวัยรุ่น พ่อเคยพูดแบบนี้หนหนึ่งแต่ตอนนั้นฉันยังไม่ประสบความสำเร็จก็เลยเลือกที่จะต่อสัญญาต่อไป ตอนนั้นฉันก็แค่อยากจะพิสูจน์ว่าตัวเองก็ยืนด้วยขาของตัวเองได้ พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมาก”มันยกกระป๋องเบียร์เย็นๆมาแนบแก้ม ตะวันเริ่มคล้อยต่ำลง แสงไฟหลากหลายสีเริ่มเปิดส่องแสงละลานตา ภาคินหยิบแว่นตากับหมวกมาใส่อีกครั้ง
“แบบนี้นี่เอง ตอนวัยนั้นก็เลือดร้อนไฟแรงทั้งนั้นแหละ”เดาว่าตอนเด็กๆมันคงทะเลาะกับพ่อแม่บ่อยแน่ๆ
“แต่ตอนนี้ฉันก็ยังร้อนแรงอยู่นะ พิสูจน์อีกทีไหมล่ะ”มันฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ ผมเหลือบมองไปทางอื่น วัยรุ่นหลายๆคนเริ่มมาเกาะกลุ่มยังบริเวณหน้าเวทีมากขึ้น ทำไมมันชอบพูดให้ผมหาคำพูดโต้ตอบกลับไปไม่ได้ทุกทีเลย
“ยังไม่ถึงเวลา”ผมตอบหลังจากเงียบคิดไปนาน มันหัวเราะเอื้อมมือมาโอบรอบคอก่อนจะดึงผมเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม เสียงดนตรีจังหวะแปลก ๆเริ่มบรรเลง ผมดันปีกหมวกแก๊ปของภาคินไปด้านข้าง ริมฝีปากของอีกฝ่ายโฉบเข้ามาใกล้กดทับริมฝีปากของผมอย่างนุ่มนวล ผู้คนมากมายเริ่มโยกตัวตามจังหวะดนตรี ผมจูบตอบรับกลับไป เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าผมกับภาคินก็แค่คู่รักธรรมดาๆคู่หนึ่ง
☂☂☁☂☁☂☁☂☂
TBC.
ตอนนี้เหมือนจะสั้นๆ พอดีออัพในแท็บเล็ต เพราะโน๊ตบุ๊คพัง
ติดตามตอนต่อไปปป ขอบคุณทุกคอมเม้นค่ะ