ยกที่ 23 : บรรยากาศดีๆ (ครึ่งแรก)
“ ตกลงกินที่ไหนดี”
“ นั่นสิ”
แฮมหันมาถามผมแล้วว่านก็พยักเพยิบมาที่ผมอีกแรงนึง ตอนนี้พวกเรากำลังถกเถียงกันเรื่องที่ว่าเย็นนี้จะไปกินข้าวที่ไหนกินดี จริงๆไม่เชิงว่ากินข้าวหรอกแต่เพื่อนๆจะเลี้ยงวันเกิดย้อนหลังให้ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นประเด็นตั้งแต่เมื่อเช้าจนถึงตอนนี้ ตอนที่พวกเราเลิกเรียนแล้วกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดไปรเวทที่หอใน ทั้งรูมเมทของผมและเพื่อนตัวน้อยกำลังมุงดูรายชื่อร้านอาหารในแลบเล็ต ทั้งคู่ดูเข้ากันดีพากันชี้ชวนดูโน่นนี่อย่างสนุกสนาน ส่วนเจ้าของวันเกิดอย่างผมได้แต่ยิ้มน้อยๆ
“ กินใกล้ๆนี่แหละ”
“ อ้าว มัยอ่ะ” ว่านถามขณะที่คาบขนมปังเคี้ยวหนุบหนับอยู่ นี่ถ้าไอ้แท็คมาเห็นคงต้องบอกว่าน่ารักน่าหยิกผมยิ้มอ่อนก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเศษขนมปังที่ติดขอบปากอีกฝ่ายออกให้ ว่านพึมพำขอบคุณแล้วยิ้มจนตาหยีน่าเอ็นดูจนอดไม่ได้ที่จะขยี้ศีรษะเล่น
“ ไปสวนหลวงมั้ย ไม่ไกลมาก”
“.......”
...Rrrrrrrrr...
ยังไม่ทันที่แฮมจะได้ตอบก็มีเสียงโทรศัพท์เข้ามาก่อน รูมเมทส่งสัญญาณว่าขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือผมกับว่านที่เปลี่ยนจากหัวข้อร้านอาหารมาสุมหัวดูของหวานยอดฮิตในจอ หน้าตาท่าทางของว่านบอกเลยว่าดวงตาที่เปล่งประกายนั่นกำลังบอกว่ารู้สึกดีแค่ไหนที่เห็นของหวานหน้าตาน่ารักในจอแท็ปเล็ต
“ น่ากินจัง”
“ ทำไมชอบกินของหวานจังฮึ” ผมถามเมื่อก็ลูบเส้นผมอีกฝ่ายเล่น
“ ก็กินแล้วมันอารมณ์ดีอ่ะ”
“ ถึงว่า...” ว่านเงยหน้าจากจอมองผมงงๆ เลยอดแกล้งไม่ได้ “..ไอ้แท็คถึงซื้อมาเอาใจตลอดเลย”
“ ปะ เปล่าซะหน่อย”
ว่านทำปากพะงาบๆแก้มเนียนแดงก่ำทำตาประหลับประเหลือกสงสัยว่าเขินจัดขนาดพูดยังตะกุกตะกักเลย
“ นั่นแน่”
“ อะไรเล่า”
“ หึ”
“ เมื่อวานเต้ยเห็นเค้กต้นกกที่ว่านหิ้วมาอ่ะ”
“ อันนั้นว่านซื้อเอง” ปากน้อยๆเถียงผมอย่างไม่ค่อยจะเต็มคำนัก
“ อร่อยมั้ย”
“ อร่อยสิ”
“ แล้วของเมื่อวานก่อนอ่ะ” ผมยังนึกสนุกแกล้งแหย่ต่อไป “ อันนั้นแท็คซื้อ อ่ะ ไม่ใช่ๆ” และเหมือนว่าเพื่อนตัวน้อยจะหลงกลตอบอย่างเพลินปากจนหลุดออกมาจนได้
“ เต้ยอ่ะ ขี้แกล้ง” ว่านข่มความอายเอาคืนผมด้วยการเอานิ้วเล็กมาจิ้มๆแถวต้นแขนผมคงคิดว่าแรงแล้วแต่สำหรับผมเหมือนอะไรไม่รู้ว่ากดๆจิ้มๆยุกยิกเพลินดีเหมือนกัน “...ใครจะเหมือนเต้ย”
“.......” ผมเลิกคิ้วมองยิ้มๆ
“ ใส่ไม่ยอมถอดเลยนะ” ว่านเผยสีหน้ายิ้มร้ายก่อนจะชี้ไปที่คอผมซึ่งสวมใส่สร้อยที่มันให้ตั้งแต่วันนั้น งานนี้ทำเอาผมสำลักลมหายใจของตัวเอง แอบมองดวงตาใสซื่อของเพื่อนแล้วนึกไม่ถึงกับความกล้าหาญในการตอบโต้ ลำพังว่านคนเดียวคงทำอ้ำอึ้งเขินหน้าแดงลูกเดียวแต่ตั้งแต่มาสนิทกับแฮมรู้สึกว่าจะได้รับการทอดความกวนจากรูมเมทผมมาไม่น้อย
“ ว่านรู้นะ...” เพื่อนตัวน้อยทำยืดมองผมแล้วยิ้ม “...รู้ด้วยว่าเกียร์มีความหมายว่ายังไง”
“ เก่งจริงนะ” แกล้งยีหัวอีกฝ่าย
“ แน่นอน”
ผมหัวเราะขำกับท่าทางของว่านจนอีกฝ่ายทำหน้ามุ่ยอย่างน่ารัก พอดีกับที่แฮมเดินกลับเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มเผล่จนอดถามไม่ได้
“ ว่าไงแฮม”
“ ไม่ต้องไปกินที่ไหนไกลแล้ว”
“ อ้าว ทำไมหล่ะ”
“ ไปร้านพี่ต๋องพี่รหัสไอ้จ๊อบกัน”
“ หืม”
ผมกับว่านหันมามองกันอย่างงงๆก่อนที่แฮมจะชูพวงกุญแจรถยนต์ซึ่งเพียงแค่เห็นผมก็สามารถคาดเดาได้ว่าเจ้าของรถเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก
“ ไอ้เต็ปมันติดรถไอ้จ๊อบไปแล้ว เห็นว่าไปส่งงานแล้วจะเลยไปซื้อของ ฉะนั้นพวกเราไปรถไอ้เต็ปกันมันจอดทิ้งไว้ที่คณะ” ผมยิ้มล้อรูมเมทที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แกว่งพวงกุญแจเล่น นี่ก็แปลกๆบอกไม่เป็นอะไรกันแต่ไอ้เต็ปดันให้รูมเมทผมพกพวงกุญแจรถมันซะงั้น
หึ ปากแข็งกันทั้งนั้น
.......
.......
ร้านของพี่ต๋องคือร้านอาหารกึ่งผับซึ่งตรงอยู่บนถนนสายเศรษฐกิจชื่อดังกลางกรุงที่มีรถไฟฟ้าพาดผ่าน เรียกได้ว่าตั้งอยู่บนทำเลดีเพราะเป็นย่านธุรกิจซึ่งรายล้อมไปร้านอาหารและผับบาร์มากมาย แต่ร้านก็ยังมีจุดเด่นคือการตกแต่งที่ดูสบายๆน่านั่ง แฮมเล่าให้ผมฟังว่าจริงๆแล้วเป็นร้านอาหารที่เป็นธุรกิจของครอบครัวพี่ต๋องแต่พี่แกขอเอามาบริหารเองเลยมีการเปิดโซนที่เป็นบาร์โดยเฉพาะสำหรับนักท่องราตรี แล้วบังเอิญว่าทำไปทำมามันได้กำไรพี่ต๋องแกเลยลงทุนทำแบบครบวงจรทั้งร้านอาหาร บาร์และส่วนที่เป็นวงดนตรีเล่นสด
ตอนที่พวกเราก้าวเข้าไปในร้านตอนห้าโมงเย็นร้านยังดูเงียบๆเพราะเห็นว่าเปิดบริการตอนทุ่มนึงดังนั้นเวลานี้ที่มีคนเข้าร้านได้ก็มีแต่พวกวีไอพีที่รู้จักกับทางร้านเท่านั้น พอไปถึงข้างในก็เห็นเต็ปกับแท็ค และรุ่นพี่ที่ใส่เสื้อช็อปสองคน อีกคนใส่เสื้อเชิ้ตเหมือนคนทำงาน ผมกวาดตามองไปโดยรอบก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของมัน จนนึกแปลกใจ เพื่อนๆผมกวักมือเรียกจนต้องสาวเท้าเดินเข้าไปหาไม่รู้ว่าเต็ปกับแท็คมันไปสนิทกันตอนไหน เห็นว่าไปเตะบอลและซดเหล้าด้วยกันกับพวกวิศวะไปๆมาๆเลยสนิทกันเฉยอย่างว่าแหละพวกผู้ชายแค่ชนแก้วกันก็เป็นเพื่อนกันได้แล้ว พวกเราโบกมือทักทายกันก่อนจะหันไปยกมือไหว้รุ่นพี่อีกสามคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะ
“ สวัสดีครับพี่”
“ เออๆดี..” คนที่ตอบคือพี่ต๋องซึ่งเคยเห็นกันมาบ้างแกพยักหน้ารับก่อนจะตบเก้าอี้ตัวข้างๆเหมือนเรียกให้นั่งลงข้างกัน ผมทรุดตัวลงนั่งโดยมีรุ่นพี่อีกสองคนยิ้มให้คนหนึ่งหน้าสวยๆดูสูงโปร่ง อีกคนหัวสกินเฮดดูดุๆแต่เวลายิ้มแล้วก็ดูใจดีไม่น้อย
“ พวกมึง” พี่ต๋องหันมาทางพวกเราก่อนจะแนะนำรุ่นพี่ทั้งสองคนให้รู้จัก “ นี่พี่ภัทร ส่วนนั่นพี่ทิม” พี่ต๋องชี้ไปที่รุ่นพี่หน้าสวยก่อนจะหันนิ้วไปทางพี่หัวสกินเฮด “ สายรหัสกูเอง”
พวกเราพยักหน้างงๆจนไอ้เต็ปส่ายหัวคงเพราะพวกเราทำหน้าเหมือนจะเข้าใจมันเลยขยายความให้ “ พี่ภัทรกับพี่ทิมเป็นรุ่นพี่สายตรงของไอ้จ๊อบมัน พี่ภัทรนี่พี่บัณฑิตปีที่แล้ว พี่ทิมก็พี่ปีสี่ พี่ต๋องพี่รหัสมัน ส่วนพี่เบียร์เปีสามเป็นลุงรหัสมัน”
พี่ต๋องยิ้มกว้างยกนิ้วให้ไอ้เต็ปสงสัยว่าสายมันกับสายของไอ้จ๊อบคงจะสนิทกันน่าดูเพราะดูเหมือนว่าไอ้เต็ปจะรู้จักรุ่นพี่ทุกคน
“ ส่วนนี่” พี่ต๋องชี้มาที่ผมแล้วทำหน้ายิ้มกริ่ม “...น้องเต้ยแฟนไอ้จ๊อบ”
หะ
ยังซะหน่อย
ผมอ้าปากค้างนึกแก้ตัวไม่ทันได้แต่อ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูกแต่ได้ยินเสียงหัวเราะของบรรดาเพื่อนๆ ส่วนรุ่นพี่สามคนตรงหน้าแค่ยิ้มน้อยๆ
“ เข้าใจเลือกนี่หว่า” พี่ทิมพูดกลั้วหัวเราะ
“ นี่เหรอน้องเต้ย..” พี่ภัทรสำรวจใบหน้าผมแล้วยิ้มถูกใจ “...น่ารักสมกับที่มันโดดเลี้ยงสายครั้งแล้วตามไปเฝ้าถึงต่างจังหวัดเมื่อสัปดาห์ก่อนจริงๆหวะ”
หืม
ผมทำหน้าเอ๋อจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ ไม่ต้องตกใจ” พี่ต๋องยักไหล่ขำๆ “ พอดีไอ้จ๊อบมันโดดเลี้ยงสายครั้งที่แล้ว กูกับพวกพี่ๆเลยเลี้ยงย้อนหลังให้มันอีกที” ผมพยักหน้ารับสงสัยว่าที่มันโดดเลี้ยงสายสาเหตุคงมาจากผม แอบรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ที่มันต้องยกเลิกนัดของรุ่นพี่เพื่อขับรถไปส่งผมที่ต่างจังหวัดถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ไม่ยอมปริปากบอกอะไรผม
“ ว่าแต่มันไปไหนเนี่ยไอ้น้องบังเกิดเกล้าของกูเนี่ย” พี่ทิมใส่อารมณ์แบบขำๆ
“ ผมให้มันไปซื้อกับแกล้มพี่ พอดีครัวที่ร้านยังไม่เปิดขี้เกียจโทรตามพ่อครัวเลยใช้แม่งไปซื้อของ ขากลับให้มันรับพี่เบียร์มาด้วย”
“ นี่ตกลงพวกพี่นัดกันมาเลี้ยงรับไอ้จ๊อบจริงๆเหรอ โหอิจฉาหว่ะทำไมรุ่นพี่สายนี้ดีจังวะ” ไอ้เต็ปทำหน้าโอดครวญ
“ สายคนหน้าตาดีก็เงี้ย”
พี่ต๋องพูดแล้วยืดๆก่อนจะโดนรุ่นพี่ในสายตบหัวไปคนละทีสองที จะว่าไปสายมันก็หน้าตาดีจริงๆนั่นแหละแล้วแต่ละคนก็ยังมีสไตส์เป็นของตัวเองอีกด้วย
“ แม่งโครตมาเฟีย” ไอ้เต็ปแซวคนที่ไม่อยู่ในวงสนทนา “ ขนาดไม่มาเลี้ยงสายรุ่นพี่ยังอุตส่าห์ถ่อมารวมตัวกันเลี้ยงสายให้ใหม่”
“ จริงๆอ่ะนะ” พี่ภัทรกระแอมกระไอสบตากับรุ่นน้องสายตัวเองอย่างรู้กัน “..พวกกูกะมาดูหน้าน้องเต้ยแฟนมัน เห็นมันแทบเป็นบ้าเป็นหลังเมื่อเดือนก่อน”
พูดจบทั้งโต๊ะก็ส่งเสียงกันฮาครืนต่างจากผมที่ขบเม้มริมฝีปากข่มความอายไม่ต้องพูดถึงสีหน้าที่แสดงออกตอนนี้หรอก เพราะแค่นี้ผมก็รู้สึกแล้วว่าหน้าร้อนจนแทบไหม้
“ พวกมึงก็แซวจนน้องเขาไปไม่เป็นเลย”
“ หึ”
“ หัวเราะอะไรกันอ่ะ”
เสียงของใครบางคนพร้อมกับการปรากฎตัวขึ้นของรุ่นพี่ปีสามสายไอ้จ็อบที่ยืนยิ้มเผล่สะพายกล้องตัวละหลายแสนคล้ายกับเพิ่งเสร็จจากงานถ่ายภาพมา
“ อ้าวพี่”
พี่เบียร์ยิ้มกว้างก่อนจะยกมือไหว้รุ่นพี่สายตัวเอง แล้วทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆกับผม ผมยิ้มกว้างตอนที่เราสบตากันพี่เบียร์ลูบหัวผมเบาๆเป็นเชิงทักทาย
“ ไหนบอกว่าไอ้จ๊อบจะไปรับอ่ะพี่”
“ พอดีกูออกมาก่อนเลยโทรไปบอกมันว่าจะมาเอง”
“ อ๋อ”
“ ไงเรา” พี่เบียร์หันมาทัก
“ สบายดีครับพี่ แล้วพี่อ่ะ”
“ ก็ดี..”
“ จะไม่ดีได้ไงวะ..” พี่ทิมถามยิ้มๆ “...ได้ข่าวว่าจะไปได้ดีถึงสิงคโปร์เลยเหรอวะ”
สิงคโปร์เหรอ ผมหันขวับมาเพื่อเงียบฟังบทสนทนาของรุ่นพี่อย่างเงียบๆ
“ ก็ไม่ถึงขนาดนั้นพี่”
“ แล้วเอกสารเตรียมถึงไหนแล้วเบียร์ มีอะไรให้พี่ช่วยบอกนะ” พี่ภัทรถาม
“ ขอบคุณครับพี่ ไม่มีอะไรมาหรอกข้างของผมไม่เยอะนี่เพิ่งไปต่ออายุพาสปอร์ตมา”
หมายความว่ายังไงกัน
“ ไปฝึกงานไกลที่สิงคโปร์แบบนี้ผมเหงาแย่..” พี่ต๋องแกล้งสีแขนพี่ตัวเองเลยโดนพี่เบียร์ตบหัวไปที
“ เว่อร์ไปละมึง”
“ ไม่เว่อร์หล่ะพี่ เห็นอาจารย์ชมว่าผลงานออกแบบซอฟแวร์ของพี่ที่ส่งไปให้ผู้บริหารที่บริษัทแม่ที่สิงคโปร์ดูเขาชมใหญ่เลย ถ้าฝึกงานผ่านไปด้วยดีเผลอๆเขาจองตัวพี่ให้ทำงานอยู่นั่นเลยนะ”
อยู่ที่นั่น ที่สิงคโปร์งั้นเหรอ มันเหมือนหูอื้อฟังพวกพี่เขาคุยกันแล้วประมวนผลในใจ ผมไม่อยากเชื่อหรอกว่าสิ่งที่พวกเขาพูดกันมันหมายถึงการที่พี่เบียร์ต้องไปที่ไหนสักแห่งซึ่งไกลจากที่นี่และคนทางนี้
“ เป็นอะไร”
แก้มเย็นๆโดนแก้มผมจนเผลอสะดุ้ง ผมขยับตัวและจ้องมองพี่เบียร์ที่ยิ้มอ่อนๆให้ตอนนี้วงสนทนากำลังสนุกเพราะพวกพี่ๆและเพื่อนๆของผมกำลังเล่าเรื่องตลกกันอยู่ ผมมองหน้าพี่เบียร์นิ่ง
“ พี่จะไปไหนครับ”
พี่เบียร์ผ่อนลมหายใจ “ ฝึกงานหน่ะ ที่สิงคโปร์”
“นานแค่ไหนครับ” ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอรู้สึกว่าตัวเองกำลังสั่นไหว
“ ปีนึง”
“ แล้ว..” มันรู้สึกโหวงๆในใจแปลกๆ ขนาดผมซึ่งรู้จักพี่แกได้ไม่นานยังรู้สึกผูกพันกันขนาดนี้แล้วกับใครบางคนที่ผูกใจกันมานานแสนนานจะรู้สึกอย่างไร
“ พี่ไม่คิดถึงคนทางนี้บางเหรอ”
“ ใครหล่ะ”
“ ก็..”
ผมรู้ว่าพี่รู้
ผมรู้ว่าเราต่างก็รู้ว่าคือใคร
“ ไม่รู้สิ”
*************************************************************
ผมถอนหายใจตอนที่มองเข้าไปด้านหลังล่าง ผมมองเห็นแผ่นหลังของพี่เบียร์ซึ่งเจ้าตัวกำลังเหม่อมองไปไกล ริมฝีปากสวยนั่นกำลังคาบบุหรี่และพ่นควันสีเทาลอยขึ้น
ควันสีเทาลอยโขมงวิ่งวนไปมาเปรียบได้กับความสับสนวุ่นวายของชีวิต
ตอนที่ผมทรุดตัวลงนั่งที่สวนหลังร้านซึ่งเป็นพื้นที่เฉพาะสำหรับให้สูบบุหรี่ ตอนนั้นรุ่นพี่หน้าสวยเห็นผมแกรีบดับบุหรี่ลงกับกระถางทรายข้างๆก่อนจะรีบปัดควันระบายอากาศ
“ ไม่เป็นไรพี่ สูบต่อก็ได้ผมไม่เป็นอะไร”
“ หึ ไอ้จ๊อบมันเคยบอกไว้ว่าเราแพ้กลิ่นบุหรี่” พี่เบียร์กอดอกสบายๆพิงหลังไปกับพนักเก้าอี้
“อ๋อครับ”
ไม่รู้เป็นไงแค่ได้ยินชื่อมันหัวใจผมก็เต้นแรงแล้ว ยิ่งมารับรู้ว่ามันใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆของผมถึงขนาดนี้หัวใจผมก็ทรยศเจ้าของแบบนี้
“ พี่เบียร์”
“ หืม” ใบหน้าสวยหันมาสบตากับผมตรงๆ “ ว่าไงเราเรื่องอะไรจะคุยกับพี่รึเปล่า”
ผมถอนหายใจก่อนจะเหม่อมองไปเบื้องหน้าอย่างใช้ความคิด สองสามวันมานี้ผมได้มีโอกาสเห็นพี่รหัสของตัวเองลงข่าวหน้าหนึ่งมันไม่ใช่ข่าวร้ายอะไรหรอก ตรงกันข้ามมันเป็นข่าวที่น่ายินดี ผมรู้ดีว่าว่าพี่รหัสของตัวเองมีฐานะที่ร่ำรวยและเป็นลูกหลานของตระกูลดังแต่ผมไม่เคยรู้ว่าตระกูลนั้นจะมีอิทธิพลถึงขนาดนี้ว่าข่าวประกาศการหมั้นระหว่างหลายชายคนโตกับหญิงสาวจากตระกูลผู้ดีเก่าจะน่าจับตามองเสียมากมายในแวดวงสังคมคนมีระดับ
เข้าใจถูกแล้ว
พวกคุณเข้าใจถูกแล้วที่ว่าพี่ทีพี่รหัสของผมกำลังมีข่าวหมั้นหมายกับผู้หญิงคุณสมบัติเพียบพร้อมจากคนในสังคมเดียวกัน ผมไม่รู้ว่าข่าวคราวเรื่องนี้เท็จจริงยังไง ในเมื่อเจ้าตัวอย่างพี่ทีไม่เคยเอ่ยปากปฏิเสธเวลาที่ถูกเพื่อนและรุ่นน้องที่สนิทไถ่ถามเรื่องนี้
ไม่มีแม้แต่คำแก้ตัว
คำแก้ตัวซึ่งบางครั้งคนแถวๆนี้กำลังรอคอย
“ ผมเคยถามพี่ว่าถ้าพี่ไปพี่จะคิดถึงคนทางนี้มั้ย”
“ คิดถึงสิ...” พี่เบียร์พูดยิ้มแต่แววตาไม่ได้สดใสไปด้วยเลย
“ แล้ว แล้วถ้า ถ้ามีใครสักคนขอร้องไม่ให้พี่ไปหล่ะ”
“ ไม่มีหรอก” พี่เบียร์ลูบหัวผมฝ่ามือนั้นสั่นเทาเล็กน้อย เพียงแค่นี้ผมก็รู้สึกได้ถึงกระแสบางอย่างที่กำลังส่งสัญญาณออกมา
มันสะท้อนถึงความเจ็บปวด
“ ทุกคนต่างก็มีภาระหน้าที่ของตัวเอง ความคิดถึงไม่มีประโยชน์อะไรมากนักหรอกนอกจาเป็นแค่ความรู้สึกเท่านั้นเอง”
“ พี่”
“.....”
“ บางที บางทีนะ” ผมสบสายตากับพีเบียร์ตรงๆ “..เขาอาจจะเป็นแค่ แค่” พี่เบียร์ยิ้มน้อยๆพยักหน้ารับรู้ว่าผมกำลังพูดเรื่องอะไร
“ คู่หมั้น เขาเป็นคู่หมั้นกัน”
พี่เบียร์พูดย้ำน้ำเสียงราบเรียบ แต่ผมรู้ว่าลึกลงไปมันมีความหมายแฝงที่มากกว่านั้น
ผมน้ำตาร่วงเมื่อมองเห็นความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายเพียรสร้างกำแพงหนาขึ้นมาปิดทับให้เห็นแต่ความแข็งแกร่ง ผมร้องไห้เพราะกำลังทุกข์ใจเป็นที่สุดเมื่อเห็นเส้นทางของคนที่ผมรักและปรารถนาดีทั้งสองคนกำลังห่างจากกันไปเรื่อยๆ
“ เราอาจจะเข้าใจผิด”
พี่เบียร์ส่ายหน้าผมแอบมองเห็นแววหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอเพียงแวบเดียวก่อนที่มันจะจางหายไป
“ เต้ย” พี่เบียร์ลูบบ่าผมเบาๆ “...เต้ยทำดีที่สุดแล้ว”
ผมร้องไห้เงียบๆซุกบ่าพี่เบียร์แน่นโดยมีมือของอีกฝ่ายปลอบโยน “ ความรักไม่จำเป็นต้องจบลงสวยงามคือเราต้องคู่กันเสมอหรอก ความรักมีหลายรูปแบบและหนึ่งในนั้นอาจจบลงที่การจากลา”
“ ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น”
“ ไม่มีใครหวังจะให้เป็นแบบนั้นหรอก”
“ ทั้งๆที่รักกัน แต่ทำไมถึงรักกันไม่ได้” ผมสะอื้นจับชายเสื้อพี่เบียร์แน่น “...ผมไม่อยากให้มันจบแบบนี้ ฮึก พี่ทีใจร้ายทำไมถึงทำแบบนี้ ทั้งๆที่รู้ว่ามันทำให้พี่เบียร์เสียใจ ผม ผม ฮึก”
“ อย่าเสียใจ พี่รู้เต้ยหวังดี พี่รู้ว่าเต้ยทำเต็มที่แล้ว แต่เรื่องราวของพี่กับมันคงมาถึงทางตันแล้วหล่ะ เราควรยอมรับความจริงกันสักที”
ผมยอมรับว่าเสียใจกับเรื่องนี้ไม่น้อยในเมื่อผมเป็นคนนอกที่เฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ ทั้งเฝ้าดูและรอลุ้นอย่างมีหวังลึกๆแต่สุดท้ายมันกับพังทลายไม่เป็นท่า ผมรู้ดีว่าความรักมันทำให้ทรมานขนาดไหน ตลอดสี่ปี่ที่ผมรักจ๊อบมันมาข้างเดียวเจ็บปวดขนาดไหน คงเทียบกันไม่ได้กับคนที่รักกันมากแต่รักกันไม่ได้ความรักความผูกพันมากมายมหาศาลนั่นจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดสักเพียงไหน
ความรักก่อให้เกิดบาดแผลทางจิตใจ
เป็นบาดแผลที่ยากจะลบเลือน
“ พี่จะกลับมาใช่มั้ย”
เหมือนคำถามโง่ๆแต่ผมอยากถามออกไปเพราะอยากให้แน่ใจว่าพี่ชายที่ผมรู้สึกผูกพันคนนี้จะไม่ห่างหายไปจากกัน ช่วงเวลาที่ผมทุกข์ใจเรื่องมันนอกจากพี่ทีที่เข้ามาทำให้ผมรู้สึกดีแล้ว ก็มีพี่เบียร์ที่คอยอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจ
“ กลับสิ”
“.......”
“ ที่นี่คือบ้านของพี่ ต่อให้ไปไกลแค่ไหน สักวันหนึ่งพี่ต้องกลับมา”
สักวันนึงที่ไม่รู้ว่านานแค่ไหน
“ เต้ย”
“ ครับ”
“ พี่ดีใจที่มีน้องชายอย่างเรานะ”
“......”
“ ความสุขเป็นสิ่งที่ไม่ยืนยาวสำหรับมนุษย์ แต่พี่ดีใจที่เต้ยได้พบกับความสุขในตอนนี้ ยังมีคนอีกหลายคนที่ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อไขว่คว้าหาความรักที่แท้จริง ต่างกับเต้ยที่เจอมันแล้ว” ใช่ ผมเจอมันแล้ว
มันซึ่งไม่รู้ว่ามาแอบยืนอยู่ข้างหลังพวกเรานานแค่ไหน แต่ผมเห็นมันตอนที่พี่เบียร์พยักหน้าทักทายมัน มันซึ่งยืนอมยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นก่อให้เกิดความอุ่นวาบในหัวใจ
พี่เบียร์ยิ้มให้พวกเราก่อนจะผละออกไป มันจึงได้โอกาสทรุดตัวลงนั่งข้างๆพร้อมกับยื่นขวดยาคูลย์ที่เจาะให้เรียบร้อยแล้ว ผมจึงยื่นมือไปรับแล้วนั่งดูด มันเขยิบเข้ามาใกล้ๆผมแล้วเอื้อมมือมากุมกันไว้
“ รู้มั้ยว่าทำไมวันนี้ชวนมาที่นี่”
ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ส่วนมันอมยิ้มเกลี่ยน้ำรอบขอบตาผมอย่างแผ่วเบา
“ เพราะมึงสำคัญก็ถึงอยากให้มันรู้จักคนสำคัญของกูทุกคน” คุณเชื่อรึเปล่า
ว่าในช่วงเวลาไม่นานผมมีอารมณ์หลากหลายขนาดนี้ เริ่มแรกดูหนักหน่วงเสียใจไปกับความไม่สมหวังของคนที่ผมรักคู่หนึ่ง ถึงจะไม่สมหวังในตอนนี้แต่ผมก็เชื่อว่าสักวันผมต้องได้มีโอกาสแสดงความยินดีกับรุ่นพี่ที่ผมเคารพรัก และสุดท้ายอารมณ์ของผมก็อื้ออึ้งเพราะคำพูดของมัน
เหมือนว่าหัวใจถูกโอบล้อมด้วยความรู้สึกที่อ่อนนุ่ม
*****มาแล้วๆๆ หายไปนานอีกเช่นเคยจ๊ะ แหะๆ แต่มีข่าวมาแจ้งนิดนึงค่ะว่าช่วงนี้เก็บข้อมูลthesis
อาจจะมาๆไปๆ ไม่ค่อยเป็นเวลาเนอะ ยังไงรอติดตามให้กำลังใจกันด้วยนะ
ตอนนี้เอาไปครึ่งนึงก่อน แวะมาบอกว่าครึ่งหลังมันฟิน ฉะนั้นไปเตรียมหมอนเตรียมผ้าให้พร้อมนะ
จะพาไปเที่ยวฟินแลนด์ 5555

ส่วนคู่พี่เชิญร่ำไห้กันตามอัธยาศัยนะ กระซิกๆ

ปล.มีใครเคยกินเค้กต้นกกม่ะ อยู่แถวสามย่านของโปรดเค้าเอง ฮ่าๆๆ (นี่เปล่าโฆษณานะ อิอิ)
เจอกันตอนหน้าจ๊ะ
