อ่านละมันจี้ดตาม
ไม่รักไม่ต้องมาแคร์ไม่ต้องมาดีกับฉัน
ไม่รักไม่ต้องมาหวงมาห่วงใยฉัน
ไม่รักไม่ต้องมาทำอะไรๆทั้งนั้น
เพราะใจฉันยังอ่อนแอร์
โอ้ยยย เพลงนี้มันเหมาะจริงๆนะ
ฮ่าๆๆๆๆ มันโดนจริงๆ อย่างกับว่านักอ่านท่านนี้รู้แหละว่าตอนหน้านี้ต้องเป็นเพลงนี้ อิอิ
http://www.youtube.com/v/KubJ4DWXyx8 ยกที่ 2 : ไม่รัก-ไม่ต้อง “ ตื่นๆ”
“......”
“ ตื่นได้แล้ว”
“ อืม แป๊บ”
“ ตื่นได้แล้วไอ้เหี้ยจ๊อบ” คราวนี้ผมตะโกนใส่หูมันซึ่งนอนตัวเปลือยเหลือเพียงบ๊อกเซอร์ติดตัวนอนแผ่หราหมดเรี่ยวหมดแรงราวกับผ่านสงครามโลก แอ๊ะๆ อย่าคิดมากว่าผมกับมันอะไรยังไงกัน วันนี้เป็นวันอาทิตย์ซึ่งผมรับจ๊อบพิเศษมาทำความสะอาดคอนโดหรูนี้ มันเป็นประเภทลูกคนมีตั้งค์พ่อแม่เป็นหมอทั้งคู่จะหยิบจะจับอะไรก็ดูไม่เป็นเอาซะเลย โดยเฉพาะเรื่องดูแลพวกความสะอาดเนี่ยยิ่งมันมาอยู่ตามลำพังแบบนี้หาแม่บ้านทำความสะอาดก็ยากซ้ำยังแพงเอาการ ผมซึ่งอดสมเพชเวทนาตาสวยๆของมันไม่ได้เลยพลั้งเผลอตบปากรับคำมันเพื่อช่วยเก็บห้องแลกกับค่าตอบแทนครั้งละสามร้อยบาท เหอะ ถึงจะชอบมันขนาดไหนผมก็ไม่ใช่ขี้ข้าจะจะทำให้ฟรีหรอกนะ เพราะนอกจากเก็บห้องแล้วยังมีอีกสารพัดงานซึ่งผมเห็นแล้วอดจะทำไม่ได้เรียกได้ว่าสามร้อยนี่แม่งไม่คุ้มเลย
“ อืม เต้ย”
มันลุกขึ้นนั่งขยี้ตาไปมา หัวชี้ฟูไม่เป็นทรงทำตาสะลึมสะลือ แม่งขนาดเพิ่งตื่นยังหล่อขนาดนี้ชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไรวะ ผมนึกหมั่นไส้กับความดูดีของมันเลยค้อนลมค้อนแล้งไปเรื่อย
“ คอเป็นไรอ่ะเต้ย”
“....” ผมทำหน้ายุ่งใส่ไอ้ตัวต้นเหตุที่ดูไม่รู้เรื่องรู้ราว มันบ่นพึมพำอะไรไม่รู้ตอนที่ลุกขึ้นยื่นแล้วสำรวจตัวเองตอนนี้เองที่ผมเห็ยรอยข่วนเป็นทางยาวเต็มกลางหลัง เท่านั้นไม่พอรอยลิปสติกสีสวยยังประทับเด่นอยู่ตรงบ่ากว้าง ผมรีบละสายตาจากภาพตรงหน้าเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองหายใจไม่ค่อยออก
...เจ็บหว่ะ... ท่าทางว่าเมื่อคืนมันคงพาผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ว่าฟาดฟันกันสุดฤทธิ์เพราะสภาพห้องยับเยิบพอสมควร ผมถอนหายใจแล้วแค่นยิ้มให้กับตัวเอง
...ผู้หญิง แค่ ผู้หญิงคลำไม่มีทางแม่งก็ฟาดเรียบ... ยิ่งคิดยิ่งเจ็บยอกในใจ
“...แต่กูไม่ได้เป็นเกย์และคงไม่มีทางชอบผู้ชาย” เพราะไม่ชอบผู้ชายไงเลยเอาผู้หญิงจะคิดอะไรมากเล่า
“ เชี่ยเอ้ย”
ผมสถบอย่างหัวเสียตอนที่หันไปเห็นถุงยางอนามัยใช้แล้วสองอันวางเกลื่อนอยู่กับพื้น ผมทำหน้ารังเกียจก่อนจะม้วนทิชชู่เป็นกำเพื่อเขี่ยของอย่างว่าใส่ถังขยะด้วยกิริยากระแทกกระทั้น
“..แม่งเอ้ย ขอให้เป็นเอดส์ตาย” ว่าแล้วก็อดเหน็บมันไม่ได้
“ ถ้ากูตายมึงไม่กลัวว่ากูจะมาหลอกรึไง” ชอบจังเลยนะมาเข้าข้างหลัง เอ้ย มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเนี่ย ผมสถบรัวจนมันหัวเราะขำนอกจากจะไม่สลดแล้วยังยืนโชว์หุ่นซึ่งมีเพียงผ้าเช็ดตัวพันส่วนล่างเอาไว้เท่านั้นเอง นี่มึงไม่ลืมไปแล้วรึเปล่าว่ากูเคยชอบมึง และตอนนี้ก็กำลังชอบอยู่มาโชว์ล่ำอย่างงี้แปลว่าไง เดี๋ยวก็งาบซะเลยนี่
“ เฮ้ย” มันหน้าแดงเมื่อเห็นผมกำลังเก็บของใช้แล้วบางอย่าง
“ ไม่ต้องๆมึง เดี๋ยวกูเก็บเอง”
“ แหมทำอาย...ทีตอนทำนี่คงเงี่ยนน่าดู”
“ แหะๆ” มันเกาแก้มแก้เขินก่อนจะคว้าถังขยะจากมือผมแล้วเดินลิ่วออกเทรวมกับถุงดำหลังห้อง แล้วเดินย้อนกลับมาวางถังขยะไว้ที่เดิมพร้อมกับหรี่ตาพิจารณาใบหน้าผมยิ้มๆ
“ หน้ามึง...” มันชี้นิ้วสั่นระรัวทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแต่ยังไม่ขยับหนีไปไหน
“ ทำหน้าเหมือนจะแดกกูทั้งตัว” พูดจบมันก็วิ่งเข้าห้องน้ำพร้อมกับเสียวหัวเราะสมใจเสียเต็มประดา แต่มึงรู้มั้ยว่าแม่งทิ้งภาระไว้ที่แก้มกูเล่นพูดอย่างนี้แสดงว่าผมแสดงออกทางสีหน้ามากไปสิยังอาลัยอาวรณ์มึงอยู่
โอ้ยกูอาย...กูพลาดแล้วจริงๆ ..........
..........
“ ครับลูกตาล ทำอะไรอยู่”
“ ครับๆ คิดถึงเหมือนกัน”
ตอนนี้ผมเบะปากราวกับว่ากำลังสวมบททรายสุดแซ่บในละครหลังข่าวช่องสาม มือที่กำลังเก็บเศษกระดาษที่เกะกะตรงพื้นกำลังขยับมันจนแทบจะยับติดกับมือ เหอะ พอรู้ตัวผมถอนหายใจเซ็งตัวเองก่อนจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่ามันกำลังนอนเล่นอยู่บนโซฟาหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ไม่ใช่นอนธรมดาแต่นอนคุยโทรศัพท์กับแฟนสาวสบายใจเฉิบ
...หึ กูงอนมึงเนี่ย เห็นป่ะ... ผมทำหน้าทำตาราวกับกลั้นปัสสาวะก่อนจะเดินหลบเข้าไปตรงระเบียง
...แล้วกูจะเอาสิทธิ์อะไรไปหวงมึงวะ... ผมนิ่งคิดก่อนจะยืนมองท้องฟ้าตรงระเบียงคอนโค ท้องฟ้าวันนี้แจ่มใสเมฆขาวบนฟ้าครามให้ความรู้สึกว่ามีชีวิตชีวาสดใส ชีวิตคนคงจะเป็นเช่นนี้ หากว่าเราไม่เอาหัวใจไปผูกไว้ที่ใครสิทธิ์ในการครอบครองความสุขก็ยังเป็นของเราเหมือนเดิม แต่ทำไมเวลาที่เรารักใครคนเรามักใช้ให้คนๆเป็นทั้งลมหายใจและชีวิต ทั้งๆที่บ้างครั้งเขาอาจจะมีลมหายใจเพื่อคนอื่น
“ แดกข้าวกัน”
ผมพยักหน้ารับตอนที่มันเปิดกระจกมาเรียกแล้วสาวเท้าเดินตามมันไปเงียบๆ ตอนที่มันกำลังจะวาดแขนมาโอบบ่าแบบที่ชอบทำประจำผมก็เบี่ยงตัวหนี ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกันตั้งแต่วันที่ผมสารภาพความในใจกับมันผมไม่ค่อยให้มันถูกเนื้อถูกตัวเหมือนแต่ก่อน ทั้งๆที่เมื่อก่อนเล่นกันแบบสกินชิฟแนบสนิทกว่านี้อีก มันทำหน้าแปลกใจก่อนจะยิ้มนิ่งๆแล้วล็อกคอผมอย่างแรงแล้วดึงตัวให้เข้ามาใกล้ นี่ก็อีกเหมือนกันแรกๆมันก็ระมัดระวังจะเข้าใกล้ผมแต่พอนานวันเข้า ยิ่งเห็นว่าผมไม่ค่อยใกล้มันเหมือนก่อนมันยิ่งชอบแกล้งแบบนี้
“ เหี้ย หายใจไม่ออก”
“ ฮ่าๆๆ”
“ ไอ้จ๊อบปล่อยกู”
“ มึงเคยเรียนเทควันโดมาไม่ใช่หรอแสดงฝีมือหน่อยดิ” มันแกล้งจั๊กจี้เอวผมจนต้องส่ายตัวหนี แม่งไอ้เคยหน่ะเคยเรียนแต่มันตั้งแต่ป.หกแล้วโว้ยจนปูนนี้แล้วใครมันจะไปจำได้ ผมพยายามสะบัดตัวหนีแต่นิสัยขี้แกล้งของมันก็ยังทำหน้าที่ได้ดี ผมเหลือบตามองมันในระยะประชั้นชิดโครงหน้ามาดูดีชะมัดใบหน้าขาวใสกิ๊ก เหอะ ทำกูใจสั่นอีกแระ
“ มึงจะปล่อยไม่ปล่อย”
“...” มันไม่ตอบแต่ยักคิ้วกวนๆ ผมจึงหรี่ตาแล้วแสยะยิ้ม เหอะ กูเตือนมึงแล้วนะ
“ ปล่อยกู” มันถึงกับตาเหลือกเพราะผมอาศัยจังหวะที่มันไม่ตั้งตัวคว้าเอากรรไกรที่วางอยู่แถวนั้นเล็งไปที่เป้าของมัน คราวนี้มันทำตาโตหูลู่ลงน่าสงสาร ไงหล่ะเล่นกับใครไม่เล่น ดีนะอยู่ในระยะทำใจถ้าเป็นก่อนหน้านี้กูจับทำสามีแน่
“ ไง..อยากจะแกล้งกูอีกมั้ย”
“ ถ้ามีโอกาส” มันพูดยิ้มๆทำหน้ากวนตีนตามสไตส์ผมจึงยกนิ้วกลางให้ทีนึง คราวนี้มันแลบลิ้นเลียริมฝีปากยักคิ้วทำเอาใบหน้าคมคายเพิ่มความดูดีอีกเท่าตัว
“ ทำไมอยากอมของกูรึไง” แกล้งกวนตีนกลับอย่างที่บอกตั้งแต่กลับมาสนิทกันเหมือนเดิมดูเหมือนว่ามันจะเพิ่มเรเวลความเกรียนไม่มีใครยอมใคร มันคงทำทุกอย่างไปเหมือนเดิมแต่ผมที่สิพูดไปก็อายปากไป แม่งเอ้ย และผมที่ทำตัวร่าเริงหลังจากที่มันปฎิเสธไปตอนนั้นไปมันคงคิดว่าผมทำใจได้แล้วมั้ง แต่เอาเถอะไหนๆก็จะทำใจแล้วเออออตามมันไป
...อย่างน้อยๆ เราก็ยังเป็นเพื่อนกันโว้ย... “ ไม่เอาอ่ะ..” มันพูดไปหัวเราะไป
“...กลัวจะบูดเหมือนนมเปรี้ยวที่มึงกิน” “ ไอ้เหี้ยจ็อบ”
........
........
สุดท้ายผมกับมันก็มาจบเมื่อเที่ยงกันที่ห้างแถวสยามซึ่งไม่ไกลจากหอมันมากนัก หลังจากอิ่มแปร้แล้วทั้งคู่เราก็ตัดสินใจเข้าร้านหนังสือมีชื่อก่อนที่ต่างฝ่ายต่างเข้าในโซนโปรดของแต่ละคน ผมเดินเข้าในโซนพวกหนังสืออ่านเล่นเพราะชอบอ่านพวกหนังสืออ่านนอกเวลาแก้เครียดครับเพราะหนังสือเรียนที่หอพาอารมณ์เบิกบานในแต่ละวันห่อเหี่ยวเหรอเกิน ฟังดูรักเรียนแปลกๆ ฮา ส่วนมันโน่นอยู่โซนพวกหนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เหอะ มันเรียนวิศวะคอมฯครับ
ผมชอบนะเวลาที่มันดูสนอกสนใจกับอะไรบ้างอย่างเพราะสมาธิมันจะจดจ้องอยู่กับตรงนั้นไม่วอกแวกไปไหนเหมือนกับตอนนี้ที่มันสนใจหนังสือตรงหน้ายิ่งทำหน้าใบหน้าคมคายดูตรึงตาจนยากที่จะถอนสายตา ความเป็นคนมุ่งมั่นและจริงจังถูกแสดงออกจนผมรู้สึกได้เลยว่าแผ่นหลังกว้างของมันน่าค้นหา แต่พออยากจะก้าวข้ามเข้าไปหากลับเป็นเรื่องยาก เฮ้ย ผมถอนหายใจก่อนจะหันกลับมาสนใจกับหนังสือในมือ
.
.
“ อ่านอะไรวะกูเรียกตั้งนานไม่ได้ยิน”
ผมสะดุ้งสุดตัวรีบเงยหน้าจากหนังสือแนวเพ้อฝันซึ่งเนื้อหาเกี่ยวกับคนสองคนที่อยู่ใกล้กันมาโดยตลอดแต่ต่างฝ่ายต่างมีคนของตัวเองจนสุดท้ายก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งคู่ก็ได้รักกัน ตอนที่ผมอ่านผมแอบคิดเงียบๆไม่ได้ว่ามันคล้ายกับเรื่องของผมกับมันจะต่างก็แค่สุดท้ายเราก็เป็นแค่เพื่อนกัน มันทำหน้างงตอนที่ผมยื่นหนังสือในมือให้มันอ่านก่อนที่มันจะเหลือบตาอ่านคำโปรยข้างหลัง
“ ไง”
“ ไม่รู้สิ..” มันยื่นหนังสือในมือคืนให้ก่อนจะหันไปเปิดพ็อคเก็ตบุ๊คที่ชั้นวางหนังสือข้างๆขึ้นดู
“ สำหรับกูนะ ถ้าคนมันจะใช่ มันต้องใช่ตั้งแต่ครั้งแรกแล้วหว่ะ เพราะถ้าครั้งแรกไม่ใช่ครั้งต่อไปคงไม่มี” ...ผมยืนอึ้ง...
ค่อยๆวางหนังสือในมือเข้าชั้นก่อนจะเบนสายตาหันไปมองอย่างอื่น ‘นั่นสินะ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่’
กลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอก่อนจะพยายามสะกัดกลั้นความรู้สึกเสียดในใจอย่างแรง ผมรู้ว่าความหมายในคำพูดของมันไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงเพื่อบอกอะไรผมเป็นนัยๆหรอก มันพูดทุกอย่างไปตามความคิดของมันเท่านั้นเองก็แค่ว่าคำพูดของมันดับกระทบใจผมเต็มๆ มันเป็นประเภทเรียลไลฟ์คือทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ไม่ชอบความเพ้อฝันหรือจินตนาการโลกสวยแต่ทุกอย่างคือตัวตนที่แท้จริงของมัน
“ เต้ย”
“....”
“ เต้ย” มันโบกมือไปมาอยู่หน้าผมก่อนจะเขย่าบ่าเบาๆเรียกให้สติที่แตกกระจายของผมผสานเข้าหากันอีกครั้ง
“ เออ ว่า ว่าไง”
“ มึงเป็นอะไรรึเปล่า”
“ ก็ปกตินิ”
“ แน่เหรอวะ” มันหรี่ตามองอย่างสงสัย “..แปลกๆนะมึง” มันส่ายหัวก่อนจะชวนผมไปซื้อของเข้าคอนโดที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นล่าง
“ กูแปลกไปตั้งแต่วันที่กูรักมึงแล้ว” มันไม่ได้ยินหรอกครับเพราะผมพูดแค่ให้ตัวเองได้ยินก่อนจะเดินตามมันไปผมไม่ว่ามองกลับไปยังหนังสือเล่มนั้นในโซนนิยายอีกครั้ง
“ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่” ........
........
“ ลูกตาลชอบกิน” มันชูนมรสสตรอเอบร์รี่ขึ้นก่อนจะหยิบใส่ตระกร้าเสียหลายขวด
ส่วนผมหน่ะเหรอแค่ฝืนยิ้มกว้างๆก่อนจะก้าวถอยหลังไปอีกโซนหนึ่ง
“ เฮ้ย”
ผมพ่นลมหายใจออกแรงๆทั้งๆที่พยายามหลีกเลี่ยงและหนีห่างมันมาตลอดปิดเทอมที่ผ่านมาแต่พอเปิดเทอมปีหนึ่งนี่แหละที่ทำให้ผมรู้ว่าต่อให้ผมหนีไปไกลแค่ไหนแต่หัวใจผมก็ยังอยู่ที่เดิม คืออยู่ที่มันเหมือนเดิม แม่งเอ้ย เศร้าแท้ชีวิตกูเพราะทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับในสิ่งที่ได้รับและเป็นอยู่ผมจึงพ่นลมหายใจอีกครั้ง สอดส่ายสายตามองไปเรื่อยๆบรรยากาศรอบๆตัวผมมีผู้คนมากมายทั้งมาเป็นคู่ บ้างก็มาทั้งครอบครัวแต่เหนือสิ่งอื่นใดที่คนเหล่านี้มีเหมือนกันคือรอยยิ้มบนใบหน้า รอยยิ้มแห่งความสุขที่ได้อยู่กับคนที่เรารัก
...ผมยืนมองภาพเหล่านั้นเงียบๆ...
...ผมเชื่อนะว่าความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม แต่การที่คนเราทุกข์ทรมานจากความรักเพราะเราไปผูกพันธ์กับมันมากเกินไป เหอะ ความรักนี่หนอ...
นี่ผมกำลังปลงตกกับเรื่องแบบนี้ราวกับคนแก่จริงๆนะเนี่ย “ ป่ะ”
คนที่ชอบมาเงียบๆพร้อมกับเอามือมาฟาดบ่าแบบนี้มีคนเดียวแหล่ะครับ
“ อืม”
“ ของครบแล้วเหรอ”
“ เออ” มันพยักหน้ารับพอดีกับที่ผมหันเจอกับอะไรบางอย่าง
ผมกำลังทำตาละห้อยตอนที่มันพยายามฉุดมือออกจากโซนจำพวกนมและน้ำผลไม้ จะอะไรซะอีกถ้าไม่ใช่ว่าบังเอิญผมจะหันไปเจอยาคูลย์เป็นแพ็คกำลังลดราคา ผมทำตาปริบๆหมายจะเอื้อมมือไปหยิบมาใส่ตระกร้ามีมือหนาของมันดันรั้งไว้ก่อน
“ จะซื้อไปทำไม”
“ ก็กูอยากกินอ่ะ”
“ ไม่ต้องซื้อไปหรอก...” มันส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “..อยู่ที่คอนโดกูเต็ม”
“...” ผมยืนอึ้งเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้แล้ววันนี้ตอนที่พูดน้ำเสียงเรื่อยเปื่อย
“..กูรู้มึงชอบกินเลยซื้อมาตุนไว้เต็มห้องเลย เดี๋ยวมึงค่อยแบกกลับหอเอา” “ มึงซื้อเก็บไว้ให้กูเหรอ”
“ เออ”
ไม่รักไม่ต้องมาแคร์ ไม่ต้องมาดีกับฉัน ปากที่คล้ายจะเผยอด้วยความดีใจของผมรีบหุบลงเมื่อเสียงเพลงรอสายของพนักงานที่เคาน์เตอร์จ่ายตังค์ดังขึ้น จะด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็ตามที่บังเอิญผมกับมันหันมา สายตาของเราสองคนประสานกันแต่ด้วยความรู้สึกที่ต่างกันก่อนที่เราจะเบือนหน้าหนีไปปคนละทาง
ไม่รักไม่ต้องมาหวง ไม่ต้องมาห่วงใยฉัน
ไม่รักไม่ต้องมาทำอะไรๆ ทั้งนั้น
เพราะใจฉันยังอ่อนแอ “ กูขอโทษนะ” แววตาลุแก่โทษของมันทำเอาผมกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ
“...มันชิน” ใช่มันชินที่ทำอะไรแบบนี้ให้ เพราะสิ่งที่มันทำให้เป็นสิ่งที่กลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว ทุกการกระทำคือสิ่งที่เพื่อนสนิทคนหนึ่งทำให้เพื่อน ฉะนั้นผมควรบอกหัวใจตัวเองให้ชินสักทีว่า
“ เราเป็นแค่เพื่อนกัน” **** แหะๆ อาจไม่ตอบทุกความคิดเห็นแต่อ่านเม้นท์ของทุกคนนะ ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ
หนักๆหน่วงๆนะเรื่องนี้ อิอิ อย่างว่าหล่ะ อาการรักเพื่อน โดยเฉพาะเพื่อนสนิทนี่ก็เหมือน
กับอากาศนั่นหล่ะ
" รู้ว่ามีอยู่จริงแต่สัมผัสไม่ได้เท่านั้นเอง"
