:: CHAPTER 14 :: “นาย เย็นนี้ว่างป่ะ”
ผมเงยหน้าจากชามก๋วยเตี๋ยวและเส้นที่คีบค้างไว้ หันไปมองไอ้พี่พรตที่ตั้งแต่วันนั้นก็เหมือนจะเข้ามาคุยกับผมทุกครั้งที่มีโอกาสจนผมชักจะชินแล้ว อย่างวันนี้ขนาดพักเที่ยงที่เลทจนเหลือแค่ครึ่งชั่วโมงยังจะพยายามมาเลย
“ว่างครับ ทำไมเหรอ”
“จะไปขอโทษพ่อแม่น้องแล้วก็ไปคุยกับมิว”
ผมขมวดคิ้วก่อนจะหันกลับไปจดจ่อกับชามก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าโดยไม่พูดอะไร คือจริงๆ เรื่องนี้ผมไม่ควรไปยุ่งไม่ใช่เหรอ เรื่องขอโทษเป็นของพี่ ส่วนเรื่องมิวนี่จะไปยืนให้เขาตบหน้าหรือไง ถึงจะรู้ว่ามิวเองก็คบพี่พรตเพราะจุดประสงค์บางอย่างเหมือนกัน แต่การที่คนสองคนคบกันสี่ห้าปี เป็นผมก็คงรู้สึกใจหายบ้างแหละ
พูดตามตรงแล้ว ผมเองก็รู้สึกนิดๆ ว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่พรตตัดสินใจเลิกกับมิว
“เฮ้ย คิดมากเหรอๆ”
พี่พรตพูดพลางเอานิ้วจิ้มสีข้างของผมซ้ำๆ เหมือนจะแหย่เล่น
“โอ้ยพี่พรต หยุดด”
และความจั้กจี้ก็เข้าเล่นงานตามประสาคนบ้าจี้ จนผมต้องเขยิบตัวออกห่างแล้วหันไปโวยใส่พี่พรตถึงจะกินต่อได้ แอบหมั่นไส้นิดหน่อยกับท่าทีร่างเริงของพี่พรต ทีวันก่อนเครียดจนจะเป็นบ้าพอวันนี้นี่คึกจนนึกว่าเป็นบ้าไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็โล่งใจนะที่พี่พรตคนเดิมกลับมา
“ไปเป็นเพื่อนหน่อย”
“ไม่เอา”
ผมคีบลูกชิ้นเข้าปาก
“ไปด้วยกันหน่อยน่า”
“ไม่”
ผมปฏิเสธแบบไม่หันไปมอง เล็งลูกชิ้นที่เหลือเป็นลูกสุดท้ายใจชามแล้วค่อยๆ คีบขึ้นมาอย่างตั้งใจ แต่แล้วไอ้คนข้างๆ กลับก้มลงมาเร็วมากแล้วงับลูกชิ้นไปจากตะเกียบต่อหน้าผม
“เชี่ย! พี่เล่นไรเนี่ย”
พี่พรตไม่มีท่าทางรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ แถมยังยื่นหน้ามาพร้อมเคี้ยวโชว์ด้วยสีหน้าที่ดูฟินจนเกินไป ลูกชิ้นอะไรมันจะอร่อยขนาดนั้นวะครับ
ผมวางตะเกียบพาดไว้บนขอบจานอย่างจนใจแล้วหันไปคุยกับพี่พรตด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“จะให้ไปด้วยได้ยังไง มีแต่รุ่นพี่ แล้วก็มิว”
“ไม่มีใครหรอก กูคงต้องไปขอโทษคนเดียว”
ฟังมาถึงตรงนี้ผมเลยต้องยั้งตัวเองไว้ก่อนจะปฏิเสธซ้ำไปอีก ผมเกือบลืมไปแล้วว่าพี่พรตเหมือนโดนกลุ่มเพื่อนโยนความผิดมาให้ทั้งที่ควรจะรับผิดด้วยกันเป็นรุ่น ตอนที่เขาเล่าให้ฟังวันก่อนนั้นสีหน้าดูเศร้าและโดดเดี่ยวจับใจ ผมเงยหน้าสบกับดวงตาที่กำลังรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อของพี่พรต และในช่วงนาทีนั้นเองผมก็ตอบรับโดยไม่คิดทบทวนอะไรอีก
“ก็ได้”
พอผมพูดไปแบบนั้น พี่พรตก็ยิ้มออกมาทันที เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นเลยในช่วงหลายวันมานี้ มันดูสดใสเหมือนออกมาจากความรู้สึกจริงๆ เห็นแบบนี้ผมเลยยิ้มตอบเขาไปบ้าง ก่อนจะเป็นฝ่ายละสายตาออกแล้วหยิบกระเป๋าสะพายที่วางไว้ข้างๆ ขึ้นมาเตรียมไว้ นี่มันเกือบบ่ายโมงแล้ว และผมควรขึ้นไปรอบนสตูดิโอก่อนคลาสเริ่ม
“ขอกอดทีดิ”
...ฮะ? และก่อนที่ผมจะได้ตกใจไปมากกว่านี้ พี่พรตก็ดึงตัวผมเข้าไปกอดทันที ความรู้สึกแปลกๆ ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเหมือนถูกกระตุ้นขึ้นมาใหม่จนผมไม่รู้จะทำตัวยังไงดี เลยได้แต่นิ่งอยู่อย่างนั้นจนพี่พรตเป็นฝ่ายคลายอ้อมแขนออกเอง
และทันทีที่เขาปล่อยผมออกเป็นปกติ ผมก็รู้สึกได้ทันทีว่า
...เมื่อกี้ตัวพี่พรตอุ่นมาก
เป็นช่วงเวลาที่แปลกมากสำหรับผมและสำหรับพี่พรตด้วย เพราะทั้งผมและพี่พรตต่างก็นั่งเงียบๆ กันทั้งคู่ซึ่งผิดวิสัยเอามาๆ แต่แล้วเขาก็เริ่มทำลายความเงียบด้วยการล้อผมเล่นเหมือนที่ชอบทำ
“อะไรๆๆ เขินอ่ะดิ”
ผมมองหน้าพี่พรตแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ น้ำเสียงนี่ไม่เหมือนท่าทางเอาซะเลย ถ้าจะพูดว่าผมเขินพี่เขายิ่งดูอาการหนักกว่า เพราะเขากำลังหลบสายตามองไปทางอื่นแล้วเกาหัวตัวเองสองสามทีเหมือนไม่รู้จะเอามือไปไว้ที่ไหน
“พี่พรตนั่นแหละเขิน”
“โอ้ย โดนนน้องแกล้ง ไปดีกว่า”
“เออ! ไปเลย”
ผมออกปากไล่พี่พรตพลางหัวเราะกับท่าทางเด็กๆ ที่ดูตอแหลมาก ผมมองตามจนเขาเดินขึ้นบันได้ไปก่อนจะหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาเพื่อไปที่ชั้นเรียน พี่พรตวันนี้ดูต่างจากวันก่อนลิบลับจนผมไม่รู้สึกเป็นห่วงอะไรอีกต่อไป จะมีแค่เรื่องเพื่อนของพี่เขานั่นแหละที่เหมือนยังไม่ค่อยลงรอยกัน ซึ่งผมก็ได้แต่หวังว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้นเอง
“พรานตอนเย็นว่างป่ะ”
ผมหันไปตามเสียงเรียกของโอมแล้วก็ต้องส่ายหน้าให้มัน วันนี้ผมเกิดฮอทอะไรขึ้นมาวะ ทำไมมีคนมาถามคำถามเดียวกันแบบนี้ตั้งสองครั้ง
“ไม่ว่ะ ถ้ามึงถามตอนเช้าอ่ะกูจะว่าง”
“หมายความว่าไงวะ”
“กูต้องไปกับพี่พรต”
ผมอ่านความประหลาดใจในสายตาของไอ้โอมออกได้อย่างง่ายดาย
“ทำไมช่วงนี้พี่พรตดูติดมึงจังวะ”
“เอ่อ...ไว้กูจะเล่าให้มึงฟังละกัน”
ไม่ใช่ว่าอยากจะเก็บเป็นความลับอะไรหรอกนะ แค่ไม่รู้จะพูดยังไงน่ะครับ ถ้าบอกไปตรงๆ ว่า’พี่เค้าอยากลองจีบกู’ มีหวังไอ้โอมคงช็อคจนตกเก้าอี้ และส่วนหนึ่งในใจผมก็ยังไม่ชัวร์ด้วย เลยคิดว่าคงจะดีที่สุดถ้าปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปเรื่อยๆ ก่อน
ผมรวบกระดาษร่างที่ใช้ส่งแบบกับอาจารย์ที่ตอนนี้มีคอมเม้นท์แก้หลายแผ่นมาซ้อนกัน ก่อนจะม้วนใส่ลงในกระบอกซูมสีดำแล้วยกขึ้นพาดไหล่ ผมหันไปทางโอมอีกรอบแล้วโบกมือให้
“กูไปละ เจอกันพรุ่งนี้”
“อืม อย่างลืมเล่าด้วย”
วันนี้พี่พรตเอารถมามหาลัยเลยทำให้เราไปถึงโรงพยาบาลช้ากว่าที่ควร ได้ยินถูกแล้วล่ะครับ เพราะรถตอนห้าโมงกับการจราจรผ่านถนนใหญ่เป็นอะไรที่ทำให้ผมต้องคิดทุกครั้งว่าเดินเอาคงเร็วกว่า แต่เอาเถอะ ยังไงผมกับพี่พรตก็ก่อนเวลานัดประมาณห้านาที
ผมกับพี่พรตเดินเข้าไปในโรงพยาบาล ด้วยความที่พ่อของน้ำทำงานอยู่ในโรงพยาบาลนี้พอดี เลยทำให้เราต้องกลับมาขอโทษที่นี่ซึ่งเป็นที่ๆ ทุกเรื่องเกิดขึ้นและคลี่คลาย ผมเห็นสีหน้าของพี่พรตที่แย่ลงเรื่อยๆ ตั้งแต่เอารถเข้ามาจอดและเดินเข้ามา
“อย่าเครียดดิ”
สุดท้ายผมก็ทนไม่ได้ที่จะเตือนสติเขา ความจริงผมแค่พยายามจะแสดงให้พี่พรตว่ามีคนอยู่ข้างๆ เท่านั่นแหละ ถ้าอุตสาห์มาด้วยแล้วเขายังเครียดเหมือนเดิมผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะมาด้วยเหตุผลอะไร และนั่นก็ทำให้พี่พรตหันมามองด้วยสีหน้าที่กลับมาเป็นปกติ
“อือๆ ไม่ได้เครียด”
“ครับบ ครับ ไม่เครียดเลยครับ”
ผมพูดย้อนแบบลากเสียงยาว พี่แม่ง...พูดมาได้ว่าไม่เครียดทั้งที่คิ้วนี่ขมวดจนจะเป็นโบว์อยู่แล้ว
“เฮ้ย นายกวนตีนว่ะ”
“ก็ได้มาจากพี่พรตไง”
“อ้าว โดนด่าเฉย”
ผมยิ้มนิดๆ กับสีหน้าที่ดูดีขึ้นมาจากเมื่อกี้ ตอนนี้เหมือนเขาไม่ได้คิดมากแล้วซึ่งทำให้ผมสบายใจขึ้นมาบ้าง ผมกับพี่พรตเดินไปเรื่อยๆ ตามทางเดินโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก จนกระทั่งใกล้ถึงห้องทำงานพ่อของน้ำนั่นแหละ พี่พรตก็หยุดเดินแล้วหันมาหา
“พราน”
“?”
“จับมือหน่อยดิ”
...อะไรของพี่วะเนี่ย วันนี้ก็กอดไปทีนึงแล้ว นี่จะจับมืออีก ผมคงมีท่าทางลังเลอย่างเห็นชัด เพราะพี่พรตเริ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้ในระดับสายตาแล้วจ้องผมตรงๆ ด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ซึ่งมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกเหมือนทำตัวไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม
“ไรว้า แค่ขอกำลังใจเฉยๆ จะได้ไม่เครียดไง”
“ก็กอดไปแล้ว”
“แค่นั้นไม่พอหรอก เห็นมั้ยเนี่ย ยังเครียดอยู่เลย”
“หมั่นไส้พี่พรตว่ะ”
ผมพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงที่ดังพอจะให้คนข้างๆ ได้ยินชัดเจน ซึ่งนั่นทำให้พี่พรตหัวเราะออกมาแล้วเดินต่อโดยไม่เรียกร้องอะไรต่อ แต่แล้วพี่พรตกลับชะลอผีเท้าลงและชะงักไปในที่สุด ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องหยุดและมองตามไปยังเก้าอี้นั่งรอที่อยู่หน้าห้องที่นัดหมายกันไว้
...พี่กันต์ พี่จักร พี่กร กับรุ่นพี่อีกประมาณสิบกว่าคน
“มึงมาทำไมวะ”
พี่พรตเหมือนจะมีความหงุดหงิดเจืออยู่ในน้ำเสียง คงเพราะเขาฝังใจว่าตัวเองผิดอยู่คนเดียว กลุ่มเพื่อนที่มากับพี่พรตวันนั้นไม่มีใครรับผิดแทนเลยสักคน แต่อยู่ดีๆ วันนี้ ในขณะที่เขาเริ่มทำใจกับเรื่องนี้ได้แล้ว กลับกลายเป็นว่ามีเพื่อนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
และเมื่อผมกับพี่พรตเดินไปถึง รุ่นพี่เหล่านั้นก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วพากันยืนมุงกันโดยมีพี่พรตอยู่ตรงกลาง
“ไอ้พรต กูมารับผิดกับมึง”
“คนไหนจะโทษมึงก็ช่างหัวมันเถอะ”
“กูไม่ทิ้งมึงหรอกพรต”
“สอนน้องให้รักเพื่อนรักรุ่น แล้วทำไมกูจะไม่รักบ้างวะ”
“พวกเราถูกรับมาด้วยกันนะเว้ย”
มิตรภาพมากมายถูกยื่นมาในรูปแบบของคำพูด มันมีพลังจนผมสัมผัสได้แม้จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในรุ่นของพี่เขา ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนเพียงสิบกว่าคนจะสามารถมอบมิตรภาพที่มากล้นเหมือนไม่สิ้นสุดในความรู้สึกได้ บางทีจำนวนมันก็ไม่ไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย ถึงจะอยู่ท่ามกลางศัตรูจำนวนมากขอเพียงแค่มีมิตรภาพอย่างจริงใจจากคนเพียงคนเดียวก็เพียงพอที่จะลบความรู้สึกไม่ดีนั้นออกไปได้จนหมดสิ้น
อยู่ๆ พี่พรตก็ตัวสั่น
ผมรีบหันไปด้วยความตกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลย แล้วนี่เขาเครียดขึ้นมาอีกรอบป่ะวะ หรือว่าเขาจะคิดมากเรื่องเพื่อนอีก ผมมองมือที่กำลังสั่นอยู่ด้วยความลังเลว่าจะจับดีหรือเปล่า แต่ก่อนจะได้ตัดสินใจทำอะไรสายตาผมก็เหลือบไปเห็นใบหน้าของเขา
...และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นพี่พรตร้องไห้
----------------------------------------------------------------------------------------------------
กลับเข้าสู่เทศกาลอัพ 50% เพราะไม่ค่อยมีเวลาอีกแล้วค่ะ

นี่ใกล้เปิดเทอมอยู่แล้วค่ะ แต่ทำไมรู้สึกได้พักผ่อนน้อยจัง
นี่พิมพ์เสร็จแล้วรู้สึกเหมือนจะหมดแรงเลย สงสัยแก่ขึ้น 555
ขอบคุณคนอ่านค่ะ
ปล.เขียนแล้วคิดถึงช่วงรับน้องซะเองเลย ฮืออ ความเป็นรุ่นมันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ นะ