ตอนที่ 26
ไม่ว่ามองไปทางไหนรถก็แน่นขนัดไปหมด ทั่วทุกมุมถนนผู้คนต่างเร่งรีบเพื่อจะไปให้ถึงจุดมุ่งหมาย ไม่ต่างกับเมฆาที่แม้จะรีบแค่ไหนตอนนี้ก็ยังคงติดแหงกอยู่บนถนนทั้งที่ใกล้เวลาเข้างานเต็มที นั่นเป็นเพราะวันนี้ออกจากบ้านช้ากว่าปรกติ ส่วนเหตุผลที่ออกมาช้านั้นแม้คนหน้าดุไม่อยากนึกถึงมันเท่าไหร่แต่ก็ไม่อาจทำได้ เนื่องจากเมื่อมองเลยไปยังที่นั่งข้างคนขับใจก็กระหวัดไปถึงทุกที
เมฆาไม่ได้อยากโกรธ น้อยใจ หรือเสียอกเสียใจอะไรมากมาย เพราะเข้าใจว่าจงรักเป็นคนแบบนั้น เจียมเนื้อเจียมตัว ชอบเทียบกับคนอื่นและกดตัวเองให้ต่ำลงไปเนื่องจากเจ้าตัวเป็นฝ่ายแอบรักเขามาก่อน และเพราะรู้แบบนั้นเมฆาจึงพยายามพูดเท่าที่พูดได้ ปฏิบัติและแสดงออกเท่าที่จะทำได้ว่ารักแค่ไหน หากแต่น้องก็ไม่เชื่อใจสักที
ตัวเขาเองก็เป็นเพียงคนธรรมดา แม้บ่อยครั้งจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ใช้เหตุผลเหนืออารมณ์ แต่ถึงอย่างไรมันก็ต้องมีบ้างที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ยิ่งได้ยินที่จงรักพูดว่าเขาโกหก ซึ่งมันเป็นคำกล่าวหาที่ร้ายแรงเหมือนกับจะบอกว่าที่ผ่านมาเมฆาล้อเล่นกับความรู้สึกของน้องอยู่ฝ่ายเดียว เขายิ่งอดที่จะรู้สึกเสียใจไม่ได้จริงๆ
“เฮ้อ…”
ร่างสูงถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ตัวเขาเองก็ไม่ได้นับ พยายามคิดว่าคบกันมันต้องมีทะเลาะบ้างกระทบกระทั่งบ้าง ความจริงแล้วถือเป็นเรื่องธรรมดาเอามากๆของคู่รัก ตอนที่คบกับแฟนคนก่อนๆเขาเองก็เคย แต่กับจงรักแค่ยังไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อนเท่านั้น หากรอให้ใจเย็นก่อนอะไรๆก็คงง่ายขึ้น ใจเย็นในที่นี้คือไม่ใช่เพียงแค่จงรักคนเดียว แม้แต่ตัวเขาเองก็ต้องปรับอารมณ์ด้วยเหมือนกัน ย้ำกับตัวเองว่าแค่เข้าใจไม่ตรงกัน ไม่ได้คิดจะเลิกรา ถ้าน้องทำงานเสร็จอย่างไรก็ต้องกลับมาทำทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง และถึงเวลานั้นเมฆาก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าตัวดีซื้อเวลาอิดออดไม่ยอมเคลียร์เหมือนที่เกิดขึ้นในตอนเช้าอีก
“อดทนเอาไว้” บอกตัวเองให้อดทนแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นคนหน้าดุก็ตั้งสติแล้วขับรถต่อ
ณ ห้องพักพนักงานภายในออฟฟิศ
เมฆากำลังตักกาแฟใส่แก้วเป็นช้อนที่สามและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตัก กระทั่งช้อนสีเงินจ้วงกาแฟในขวดแก้วเป็นรอบที่แปด มานพ รุ่นพี่ในแผนกเดียวกันก็เอ่ยขัดขึ้นหลังจากที่นั่งมองพฤติกรรมประหลาดนั้นอยู่เป็นนาน
“ง่วงมากเหรอเมฆ”
“ครับ?” เมฆาหันมาหาเสียงที่เรียกชื่อตน แต่ไม่ทันได้ฟังคำถามให้ดีนัก “พี่นพว่าอะไรนะครับ”
“พี่ถาม ว่าเอ็งง่วงมากหรือไง” มานพสงเคราะห์รุ่นน้องโดยการถามอีกรอบก่อนส่ายหัวระอา ปรกติเขาไม่เคยเห็นรุ่นน้องผู้มีหน้าตาดุดันกว่านิสัยจริงเป็นเช่นนี้มาก่อน ดูเหม่อลอยเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“เปล่าครับ” เมฆาตอบ
“ไม่ง่วง? แปลว่าเอ็งคงติดกาแฟขมสินะ” มานพว่า
“พี่นพหมายความว่าไง ผมไม่เข้าใจ” คิ้วเข้มขมวดมุ่นเป็นปมอยู่ตรงช่องว่างระหว่างคิ้วขณะถาม
“ก็พี่เห็นเอ็งตักกาแฟใส่แก้วเป็นช้อนที่แปดแล้วนั่น ว่าจะไม่ทักหรอกตอนแรกแต่มันอดไม่ได้ว่ะ กลัวคนอื่นเขาจะไม่มีกาแฟกินเอา” ประโยคอธิบายยาวๆของมานพทำเอาเมฆาหน้าเหวอ เขารีบก้มลงมองแก้วกาแฟของตัวเองแล้วก็พบว่า ผงกาแฟถูกตักลงใส่ในนั้นจนเกินครึ่งแก้ว โชคยังดีที่ไม่ได้กดน้ำร้อนใส่ตั้งแต่แรก ไม่เช่นนั้นคงเสียดายแย่เพราะกาแฟแก้วนี้คงต้องเททิ้งเพราะดื่มไม่ไหว
เมฆาเทกาแฟคืนขวดก่อนใช้ช้อนตักใหม่ตามปริมาณรสชาติที่ดื่มเป็นประจำทุกวัน ตวงกาแฟแล้วก็กดน้ำร้อนใส่ คนให้เข้าที่พอเป็นพิธีอีกนิดก็ใช้ได้ ชายหนุ่มถือแก้วกาแฟร้อนไปวางที่โต๊ะแล้วนั่งเก้าอี้ข้างๆกันกับมานพ ยกกาแฟขึ้นจิบเงียบๆไม่พูดไม่จา จนมานพทนความอึดอัดไม่ไหวแล้วเป็นฝ่ายทำลายความเงียบด้วยตัวเอง
“เป็นอะไรวะเมฆ เอ็งดูแปลกๆนะวันนี้”
“เปล่าครับ” เมฆาปฏิเสธ เพราะถึงแม้ว่ามานพจะเป็นรุ่นพี่ที่นับถือและสนิทที่สุดในออฟฟิศ แต่เมฆาก็ไม่อยากเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังอยู่ดี
“ไม่สบายหรือไง”
“เปล่าครับ”
“ยังจะมาเปล่า เมื่อเช้าก็เข้าสายทั้งที่ปรกติไม่เคยสายเลยนี่หว่า ตอนประชุมกับทีมเอ็งดูเหม่อๆนะ ดูไม่มีสมาธิชอบกล” ตอนประชุมวางแผนโครงการก่อสร้างในช่วงเช้ามานพก็เห็นว่าวิศวกรรุ่นน้องไม่ค่อยตั้งใจฟังเท่าไหร่ ทั้งที่โดยปรกติเจ้าตัวมักจริงจังกับการทำงานมากกว่าใคร ถือได้ว่าเป็นพนักงานหนุ่มไฟแรงอันดับต้นๆของบริษัทเลยก็ว่าได้
“ผมเป็นอย่างนั้นเหรอครับ” เมฆาวางแก้วลงแล้วหันมาถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“ก็เออสิวะ ข้าจะโกหกเอ็งทำไม ตั้งสติหน่อย รายงานผลการดำเนินงานตอนบ่ายสามหัวหน้าเข้ามาฟังด้วยจะเหม่ออย่างนั้นไม่ได้นะ เดี๋ยวได้ซวยไม่รู้เรื่องหรอก”
“ขอโทษครับ ผมจะระวัง”
ถ้อยคำที่บอกออกมาก็ด้วยความเป็นห่วงทั้งนั้น เมฆารับรู้และเข้าใจดี ทั้งยังรู้ตัวอีกว่าตัวเองเป็นอย่างที่มานพทักจริงๆ ดังนั้นจึงพยายามดึงสติให้สนใจแต่งานและแยกเรื่องส่วนตัวออกไป ทว่าสิ่งที่คิดนั้นกลับกระทำได้ยากยิ่ง เมื่อตอนเช้ายังบอกตัวเองให้อดทนอยู่เลยด้วยซ้ำ หากตอนนี้กลับทนไม่ไหวและไม่อยากทนเสียแล้ว
“ทำหน้ามุ่ยอีกแล้ว แผนกเรายิ่งมีสาวๆน้อยอยู่ด้วย ถ้าเอ็งทำหน้าเบื่อโลกเพิ่มขึ้นอีกคนบรรยากาศมันจะอึมครึมนะโว้ย” มานพว่าด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังอะไร เขาพยายามจะทำให้หนุ่มรุ่นน้องตอบโต้และกลับมาเป็นคนเดิมให้มากที่สุด เพราะห่วงทั้งเจ้าตัวและงานที่ต้องรายงานในตอนบ่าย
“ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่ปวดหัวนิดหน่อย”
“ถ้าปวดหัวก็หายากรอกปากเสีย ล้มตอนนี้ไม่ได้ งานรอเราอยู่ พี่ไปล่ะ”
“รู้แล้วครับ” เมื่อเมฆารับคำแล้วมานพก็เดินออกจากห้องพักพนักงานไป แต่ไม่กี่นาทีถัดมาก รุ่นพี่พุงพลุ้ยก็เปิดประตูแล้วโผล่หน้าเข้ามาอีกรอบ
“มีปัญหาอะไรก็บอกได้นะ เผื่อช่วยได้ แต่ถ้าจะยืมตังค์ล่ะก็ขอบาย พอดีเงินเดือนอยู่ที่เมียหมด”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ แต่ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ” เมฆายิ้มบางเป็นการยืนยันให้มานพเห็น เจ้าตัวจึงปิดประตูกลับไปจริงๆ
บอกว่าไม่เป็นอะไร ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเลยสักนิด ตอนนี้เมฆาทั้งคิดมากและกระวนกระวาย ทั้งที่คิดว่าพอสงบอารมณ์ได้คงจะดีกว่านี้ ทว่ายิ่งปล่อยเอาไว้ความไม่สบายใจยิ่งกัดกินลุกลามราวไฟลามทุ่ง ไม่มีกระจิตกระใจทำงานแม้จะกำหนดตัวเองให้จดจ่อแค่ไหน
เมื่ออยู่คนเดียวเสียงเข็มวินาทีของนาฬิกาแขวนที่ข้างฝาก็ดังชัดกว่าเคย มือใหญ่หมุนแก้วกาแฟที่หมดแล้วไปกับผิวโต๊ะช้าๆ ในหัวพยายามคิดหาวิธีให้ตัวเองสงบ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งได้ประจักษ์ถึงความผิดพลาดของตัวเอง
“แต่พี่เพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาคำพูดกับการกระทำของพี่ไม่มีความหมายเพราะมันไม่สามารถทำให้รักเชื่อได้เลย”อันที่จริงเขาไม่ควรพูดแบบนั้นกับจงรักเลย ไม่ควรกล่าวเหมือนโทษให้น้องรู้สึกผิดในขณะที่เจ้าตัวดีกำลังฟุ้งซ่านเพราะเข้าใจผิดเรื่องของหนึ่งนที เขาควรควบคุมตัวเองให้ดีกว่านี้ และที่คิดได้ว่าพลาดอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เขาปล่อยให้เรื่องพวกนี้มันค้างคา เพราะคิดว่าควรเย็นลงก่อนค่อยกลับมาคุยกัน แต่กว่าจะเย็นลงป่านนี้จงรักคงคิดอะไรไปไหนต่อไหนแล้ว ยิ่งเขาพูดเหมือนเสียใจที่จงรักไม่เชื่อ คนตัวเล็กก็คงยิ่งคิดมากเป็นแน่ ดูอย่างเขาตอนนี้สิ ทั้งที่เคยมั่นใจว่าควบคุมอารมณ์ได้ดียังไม่อาจอยู่เฉยได้เลย สมองมันนึกไปถึงเรื่องแย่ๆพวกนั้นแทบทุกวินาที แล้วน้องจะเป็นเช่นไร คงเสียใจไม่ต่างหรือมากกว่าเป็นแน่
เขาพลาดแล้ว
กว่าจะคิดได้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว เคยได้ยินใครคนหนึ่งบอกว่า คนเรามันเรียนรู้และเติมโตขึ้นจากความผิดพลาด กับความรักก็คงเป็นเช่นนั้น แม้เมฆาไม่อยากให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นเลยสักนิดก็ตามที แต่ถึงอย่างไรมันก็เกิดขึ้นแล้ว และเขาก็ต้องเป็นคนคิดหาทางแก้ให้ดีที่สุด
หลังเลิกงานเมฆาตัดสินใจไปหาจงรักที่โรงแรมดังย่านสาทรซึ่งเจ้าตัวจัดแต่งสถานที่อยู่ แต่ด้วยความที่วันนี้มีประชุมจึงทำให้เลิกงานช้าพอควร กว่าจะฝ่าการจราจรติดขัดไปถึงที่โรงแรมได้ก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่ม แต่เมฆาจำได้จงรักบอกได้ว่าวันนี้เลิกงานดึกจึงไม่ได้กังวนว่าน้องจะกลับไปก่อน
เมื่อมาถึงโรงแรมเมฆาก็ต่อสายหาจงรักทันที ทว่ารอแล้วรอเล่าก็ไม่มีใครรับสาย หนุ่มหน้าดุจึงตัดสินใจเข้าไปรอที่ล็อบบี้ของโรงแรม คะเนว่าหากใครออกมาเขาก็คงจะเห็นแต่เมื่อเข้าไปถึงเมฆาก็บังเอิญได้พบกับบอสใหญ่ของ I promise Tower เข้าพอดี ไม่ต้องรอให้เข้าไปใกล้ คุณไอก็เดินเข้ามาถึงตัวเหมือนกับว่าเห็นเขาและตั้งใจเข้ามาหาก่อนหน้านี้แล้ว
“คุณเมฆ! มาได้ไงครับเนี่ย” หนุ่มหน้าสวยถามด้วยความประหลาดใจ
“ผมมาหาจงรักครับ” เมฆาตอบ
“อ้าว…ไหนรักบอกว่าวันนี้เอารถมาเองไงครับ”
“อ่อครับ แต่เขาบอกว่าจะค้างกับคุณไอถ้าทำงานไม่เสร็จ ผมก็เลยมาหาที่นี่ พอดีว่ามีเรื่องที่ต้องคุยกันน่ะครับ”
“รักว่าอย่างนั้นเหรอครับ” ไอทำหน้าฉงน เนื่องจากน้องชายไม่ได้พูดเรื่องที่จะค้างกับตัวเองเลยสักนิด แต่ไอรู้ว่าทั้งสองคนมีปัญหากัน ดังนั้นจึงเดาได้ว่าจงรักตั้งใจมาค้างกันตน แต่เมื่อบ่ายน้องคุยกับเขาเข้าใจดีแล้วเจ้าตัวจึงตัดสินใจกลับเพราะต้องปรับความเข้าใจกับเมฆาเป็นแน่
“ใช่ครับ เขาบอกผมอย่างนั้น” เมฆาตอบก่อนถามต่อ “ว่าแต่คุณไอเห็นจงรักบ้างไหมครับ พอดีผมโทรหาแต่เขาไม่รับโทรศัพท์ คงทำงานอยู่”
“รักกลับไปตั้งแต่สองทุ่มครึ่งแล้วครับ พอดีผมได้ลูกมือมาช่วยเขาเยอะหน่อย เจ้าตัวเองก็พาคนมาทำด้วย งานในหน้าที่ก็เลยเสร็จไวกว่าที่คิด เหลือมาจัดการเก็บรายละเอียดพรุ่งนี้เช้าก่อนเริ่มงานนิดหน่อยก็เป็นอันใช้ได้”
“กลับไปแล้วเหรอครับ?” เมฆาถามซ้ำ
“ครับ” ไอพยักหน้ายืนยัน
“ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อน ขอบคุณคุณไอมากนะครับ” เมื่อรู้ว่าน้องกลับไปแล้ว เมฆาจึงไม่เสียเวลารั้งรออยู่อีก ถ้ากลับไปบ้านก็ดีเพราะจะได้เคลียร์กันให้รู้เรื่อง
“ไม่เป็นไรครับ” ไอยิ้มรับ แต่ก่อนที่เมฆาจะเดินจากไปคนหน้าสวยก็ส่งเสียงเรียกเอาไว้ก่อน “เดี๋ยวครับคุณเมฆ!”
“ครับ?” วงหน้าคมตวัดกลับมามองในทันที
“คุยกันดีๆนะครับ” มองเข้าไปในตาคู่รีสวยของผู้พูด เมฆารู้สึกว่าไอคงจะรู้อะไรบางอย่างแน่ๆ
“ครับ” เมฆายิ้มรับบางๆก่อนกลับมาขึ้นรถ
ระยะทางกลับบ้านนั้นไกลเท่าเดิม แต่เมฆาตอนนี้กลับรู้สึกว่าช่างห่างไกลเหลือเกิน เขาอยากจะเหาะไปให้ถึงที่บ้านเร็วๆ ไม่รู้ป่านนี้จงรักจะเป็นไงบ้าง ใจหนึ่งก็กลัวว่าหนึ่งนทีอาจจะยังไม่กลับไป ถ้าเกิดจงรักกลับไปเจอเข้าล่ะก็ มีหวังเรื่องราวต่างๆคงไม่ลงตัวได้ง่ายๆอย่างที่อยากให้เป็น
ไม่นานรถญี่ปุ่นคันสีขาวก็เคลื่อนเข้ามาชะลออยู่ตรงประตูรั้วบ้าน มองเข้าไปด้านในเมฆาไม่เห็นรถของหนึ่งนทีแล้ว เขาเห็นเพียงรถตู้คันเล็กของจงรักที่จอดอยู่แทนที่ คนหน้าดุโล่งใจที่อย่างน้อยต่อจากนี้จะมีเพียงแค่เขากับน้องสองคน ไม่มีบุคคลที่สามหรือสี่เข้ามาป่วนให้วุ่นวายใจอีก
เมฆาลงจากรถมาเปิดประตูบ้านเองแล้วนำรถเก็บประจำที่เรียบร้อย ก่อนปิดรั้วจากนั้นจึงเข้าบ้าน ภายในบ้านเงียบเชียบราวกับไม่มีคนอยู่ มีเพียงไฟตรงกลางห้องรับแขกพร้อมกับทีวีที่ถูกเปิดทิ้งไว้เท่านั้น มองจากด้านหลังโซฟาตัวสีน้ำเงินเข้มดูอ้างว้างว่างเปล่า คะเนว่าคนที่เปิดทีวีเอาไว้คงขึ้นไปหยิบอะไรอยู่บนห้องเป็นแน่ ไม่รู้ว่าน้องจะลงมาดูอีกไหม บางทีจงรักอาจหลับไปแล้วก็ได้ คิดได้ดังนั้นเมฆาจึงเดินไปปิดไฟและทีวีตามลำดับ
แต่เพียงแค่เดินเข้าไปใกล้และยังไม่ทันได้ปิดอะไรทั้งสิ้น สายตาคมก็เหลือบไปเห็นร่างของจงรักนอนขดตัวใช้แขนหนุนหัวต่างหมอนอยู่บนโซฟา เมฆาจึงเปลี่ยนเป้าหมายแล้วเข้าไปหยุดอยู่ข้างกายคนรักแทน
ชายหนุ่มเลือกที่จะนั่งลงกับพื้นแล้วหันหน้าเข้ามาน้องซึ่งนอนหลับไม่รู้เรื่อง เดิมทีก็ว่าจะปลุกให้ขึ้นไปนอนที่ห้อง แต่เมื่อเห็นตัวเล็กหลับสนิทดีเหลือเกินเขาจึงทำใจปลุกจากฝันไม่ลง ที่ทำก็แค่ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆที่ใต้ตาบวมช้ำ จากนั้นค่อยไล้ปัดลูกผมที่ยาวปรกตาไปไว้ข้างกรอบหน้า
“ได้เวลาตัดผมแล้วล่ะมั้ง”
มีหลายครั้งที่คิดสงสัยว่าตัวเองรักจงรักจริงหรือ มันอาจเป็นเพียงแค่ความผูกพันหรือประทับใจเพราะความดีของจงรักเองก็เป็นได้ แต่หลังจากที่เฝ้าถามตัวเองหลายครั้ง คำตอบที่ได้ก็ยังคงเป็นอย่างเดิม
คือ…รัก มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกฉาบฉวย แต่มันค่อยๆบ่มเพาะขึ้นมาจนเป็นรูปเป็นร่างที่เมฆามั่นใจ เขาเริ่มจากทึ่งในความมั่นคง ชอบในความพยายาม ประทับใจในความดี จนได้ผูกพันยิ่งนานวันเมื่อมองคนคนนี้มันก็มีความรู้สึกรัก อยากดูแลและอยู่ด้วยกันไปนานๆ เขาไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่คิดว่าถ้าสามารถสร้างความมั่นใจให้อีกฝ่ายได้ชีวิตคู่คงไปได้ดีแน่ๆ
นั่งจ้องหน้าอยู่นานในที่สุดเจ้าชายนิทราของเมฆาก็ตื่นขึ้นเสียที ขนตายาวๆนั่นกระพือไหวไปมาเมื่อยามน้องกระพริบตา กระทั่งปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสงนีออนได้แล้วลูกแก้วคู่โตจึงปรากฏขึ้น
“พี่เมฆ!” เป็นเสียงทักทายของเมฆาที่ทำให้จงรักตื่นได้เต็มตา หนุ่มตัวเล็กผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรงแหน่ว สีหน้ากระอักกระอ่วนจนเมฆาเกือบไปๆไม่เป็น
“ตื่นแล้วเหรอ”
“กลับมานานหรือยังครับ”
“ก็สักพักแล้วล่ะ ประมาณห้าทุ่มนิดๆได้”
จงรักเหลือบมองนาฬิกาแขวนข้างฝาผนังพบว่าตอนนี้เวลาเกือบข้ามมาเป็นวันใหม่แล้ว จึงทำให้รู้ว่าตัวเองนั้นหลับไปนานเป็นชั่วโมงทีเดียว ทั้งที่เดิมทีตั้งใจว่าจะรอจนกว่าพี่เมฆจะกลับแท้ๆ กลับกลายเป็นว่าคนที่มาทีหลังต้องเป็นฝ่ายนั่งรอเสียอย่างนั้น
“ทานอะไรมาหรือยังครับ”
“ยังเลย พอดีวันนี้มีประชุม” เมฆาเว้นเรื่องที่ไปตามจงรักถึงโรงแรมไว้ไม่ให้เจ้าตัวรู้
“ผมทำผัดมักกะโรนีไว้ เอาไปอุ่นสักหน่อยคงใช้ได้ เดี๋ยวผมจัดการให้นะ พี่เมฆรอนี่เดี๋ยวเดียว” เพราะเห็นหน้าตาอิดโรยของอีกฝ่าย คิดว่าคงจะเหนื่อยจากการทำงานและหิวมาก จงรักจึงตั้งท่าจะลุกไปอุ่นอาหารให้เมฆาโดยลืมไปว่าตัวเองมานอนรอที่โซฟาเพื่ออะไร
“แล้วเรากินหรือยัง”
“ยังครับ” จงรักกลับมาถึงตอนเกือบๆสี่ทุ่ม เห็นว่าเมฆายังไม่กลับจึงไม่อยากนั่งรอเฉยๆให้ตัวเองฟุ้งซ่าน ดังนั้นก็เลยทำอาหารรอลดความกระวนกระวายลง
“หิวไหม”
“ไม่ค่อยหิวครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็นั่งลงคุยกันก่อนเถอะ พี่ก็ยังไม่ค่อยหิว” เอื้อมคว้ามือเล็กกว่าเอาไว้ก่อนดันให้นั่งลงบนโซฟาอย่างเดิม ส่วนตัวเองก็นั่งอยู่บนพื้น ในระดับนี้แค่เมฆาเงยหน้านิดเดียวก็เห็นหน้าน้องอยู่ในระดับสายตาแล้ว
ทั้งสองคนจ้องตากันอยู่ครู่หนึ่งท่ามกลางบรรยากาศที่แสนกระอักกระอ่วนใจ สุดท้ายผู้ที่ไม่อาจปล่อยให้ความเงียบดำเนินต่อไปได้ก็คือจงรัก คนตัวเล็กโน้มตัวลงไปหา เอื้อมไปกอบกุมมือคู่อุ่นของเมฆาเอาไว้ตรงอกของตัวเองทั้งสองข้างแล้วว่า
“พี่เมฆครับ”
“หืม”
“ผมขอโทษ” จงรักสูดหายใจรวบรวมความกล้าแล้วพูดต่อ “ขอโทษที่บอกว่าพี่โกหก ขอโทษที่ไม่เชื่อที่พี่พูด ผมไม่ดีเองที่ทำให้เรื่องบานปลายทั้งที่พี่ก็บอกผมเสมอว่าอย่าคิดมาก ผมเสียใจแต่ผมรู้ว่าพี่คงเสียใจมากกว่า”
เมฆามองลึกลงไปในดวงตาของคนพูด ในหน่วยตาคู่คมใสทอประกายความเว้าวอน ขอร้อง และรู้สึกผิดอยู่อย่างเต็มเปี่ยม หากใครจะว่าเขาใจง่ายก็ได้ แต่เพียงแค่น้องมองมาด้วยสายตาแบบนี้ และขอโทษเขาอย่างจริงใจเหมือนเมื่อกี้ ความขุ่นเคืองที่หลงเหลืออยู่เพียงเศษเสี้ยวก็ปลิววับหายไปในทันที
“พี่จะเสียใจกว่านี้ถ้ารักร้องไห้ ถ้าไม่อยากให้พี่เสียใจล่ะก็…อย่าร้องไห้เลยนะ”
“ครับ” จงรักพยายามข่มน้ำตาที่เอ่อท้นคลอเบ้าไม่ให้ไหลออกมา
“ดีแล้ว”
“ขอโทษนะครับ พี่เมฆจะ…ยกโทษให้ผมได้หรือเปล่า” จงรักขอโทษอีกครั้ง “จะให้ผมทำอะไรก็ได้ ผมยอมทุกอย่างเลย”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมกับยิ้มบาง
“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณ” จงรักยกมือหนาทั้งสองข้างที่กุมเอาไว้ขึ้นมาพรมจูบก่อนจะวางไว้แนบแก้ม คนตัวสูงมองภาพนั้นแล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปั่นป่วนในอก
“รัก”
“ครับ?” จงรักลืมตามองหน้าคนเรียก
“ความจริงพี่เองก็ต้องขอโทษเราด้วยเหมือนกัน” นี่คือสิ่งที่เมฆาครุ่นคิดมาตลอดทั้งวัน ตัวเขาเองก็ผิด ดังนั้นคงไม่ใช่มีแต่จงรักที่เป็นฝ่ายขอโทษ
“ขอโทษทำไมครับ”
“ขอโทษที่อดีตของพี่ทำให้รักต้องคิดมาก ทำให้รักต้องเสียใจ ไม่แปลกที่เราจะลังเลในความรู้สึกของพี่ แต่รักครับ ถึงวันนี้รักจะยังไม่เชื่อ แต่ต่อไปพี่จะทำให้เราเชื่อ พยายามให้มากขึ้น สักวันรักก็ต้องเห็นถึงสิ่งที่พี่ทำ รับรู้ความรู้สึกจริงๆของพี่”
เมฆาตั้งใจแล้ว และจะไม่มีวันเปลี่ยนใจเป็นอันขาด ถ้าวันนี้ยังไม่วางใจ เขาก็จะพยายามให้มากขึ้น รักให้มากขึ้น ให้มันรู้กันไปสิว่าจงรักลังเลมองว่ามันคือการเสแสร้งไม่จริงใจได้อีก
“ผมเชื่อแล้วครับ เชื่อแล้ว”
“เชื่อแล้วร้องไห้ทำไม ไหนมานี่ซิ”
คนหน้าดุดึงมือของตัวเองออกจากการเกาะกุมของน้อง ก่อนจะดึงรั้งเอวให้คนที่นั่งอยู่บนโซฟาเลื่อนลงมานั่งตักตัวเองบนพื้นแทน เขามองใบหน้าที่พร่างพราวไปด้วยหยาดน้ำตาแล้วถอนใจ ก็ไหนตกลงกันแล้วว่าจะไม่ร้อง สุดท้ายเขาก็ทำให้น้องร้องจนได้
มืออุ่นหนายกขึ้นประคองดวงหน้ารีเอาไว้แล้วใช้นิ้วโป้งทั้งสองข้างเกลี่ยเช็ดน้ำตาจนแห้งเหือด ก่อนจะประทับริมฝีปากที่เปลือกตาบอบช้ำทั้งสองข้างอย่างทะนุถนอมแล้วค่อยๆผละออกมา ตาคู่ดุจ้องใบหน้าของคนรักนิ่งนาน จากนั้นจึงเอ่ย
“ทะเลาะกันวันเดียวพี่แทบแย่เลยรู้หรือเปล่า ต่อไปมีอะไรต้องบอกเข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ” จงรักพยักหน้ารับโดยดี ใช่มีแต่พี่เมฆคนเดียวเสียเมื่อไหร่ จงรักเองก็แทบตายเหมือนกัน ดีที่มีพี่ไอช่วยเตือนสติไว้ ไม่เช่นนั้นคงเตลิดเปิดเปิงจนกู่ไม่กลับทีเดียว
“ดีใจ เสียใจ ไม่พอใจ ไม่ว่าอะไรก็ต้องบอกให้หมด”
“ครับ”
“และที่สำคัญ” ข้อนี้ต่อให้เคยพูดมาแล้วเป็นร้อยครั้งเขาก็จะยังบอกอีก “มีอะไรสงสัยให้ถามทันที อย่าเก็บไปคิดคนเดียว เพราะบางทีเราก็คิดไปไกลเกินกว่าที่พี่จะรู้ พี่ไม่อยากให้รักเข้าใจผิดแบบนี้อีกแล้ว”
“ผมรู้แล้วครับ ต่อไปมีอะไรจะบอกให้หมดทุกอย่างเลย รับรองคราวนี้พี่เมฆต้องรำคาญกันไปข้างแน่ๆ” จงรักรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะพร้อมกันนั้นยังยิ้มหวานยืนยันอีกด้วย
“หึ…เด็กโง่เอ้ย พี่ไม่รำคาญหรอก” เมฆาว่า
“พี่เมฆของผมคนดีที่หนึ่งเลย” จงรักบอกก่อนจะโน้มไปหอมแก้มซ้ายแก้มขวาของเมฆาข้างละหนึ่งทีอย่างเต็มรัก ทำเอาคนถูกกระทำทำหน้าเหวอ รู้สึกร้อนผ่าวที่แก้มสองข้าง ในหัวใจก็รู้สึกพองๆอย่างไรบอกไม่ถูก
“พี่เมฆ”
“หืม?”
“พี่เมฆเขินเหรอครับ” จงรักตั้งข้อสงสัยเพราะแอบเห็นว่าแก้มสองข้างรวมถึงใบหูของชายหนุ่มแดงก่ำหลังจากที่ถูกตนหอมแก้ม
“ไม่ได้เขินสักหน่อย เหลวไหล” พอถูกทักคนที่เคยหน้าดุก็ถึงกับไปไม่เป็น
“แต่แก้มพี่มัน—“ แต่จงรักยังพูดไม่จบเมฆาก็แย้งพูดเสียก่อน
“คิดไปเอง ผ่านอะไรมาตั้งเยอะแยะ เรื่องแค่นี้พี่ไม่เขินหรอก” เมฆารวบนิ้วที่กำลังจะจิ้มแก้มของเขาเอาไว้ ก่อนดึงตัวจงรักให้เข้ามากอดซุกอก
จงรักกระพริบตาปริบๆสองสามทีเพราะงงกับพฤติกรรม แต่เมื่อเงียบเสียงคนพูดหูที่แนบกับอกของคนหน้าดุเอาไว้ก็ได้ยินเสียงหัวใจเต้นตึกตักดังชัดเจนกว่าที่เคย พอได้ยินดังนั้นแล้วจงรักก็แจ้งแก่ใจในทันที ทว่าเลือกที่จะเงียบเอาไว้ไม่เอ่ยอะไรออกมาให้พี่เมฆได้อายอีก เขาปล่อยให้ตัวเองถูกกอดเอาไว้พร้อมกันนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะยกแขนไปกอดร่างหนากว่ากลับด้วย
ผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่ อาจจะห้านาที สิบนาที ยี่สิบนาทีหรือเป็นชั่วโมง ทั้งสองคนที่นั่งอยู่บนพื้นกลางห้องรับแขกก็คร้านจะสนใจ เพราะนอกจากคำขอโทษและคำพูดที่ระบายความในใจออกมาจนหมดเปลือกแล้ว อ้อมกอดอบอุ่นก็ยังเป็นยาสมานแผลชั้นดีให้กับความสัมพันธ์นี้ของพวกเขาด้วย
“รัก”
“ครับ”
“ยังหิวอยู่ไหม”
“ไม่ค่อยเท่าไหร่ครับ” จงรักยกหัวขึ้นมองใบหน้าคมสัน “หิวเหรอครับ”
“ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่เหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นพี่เมฆาถามทำไมครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดว่าถ้ายังไม่หิว พี่จะได้ขอกอดนานอีกสักหน่อย” จงรักตอบแทนประโยคน่ารักๆนั่นด้วยการเอนกายกลับลงไปซุกอกกว้างๆอุ่นๆเช่นเดิม ซ้ำยังแถมกอดตอบแน่นขึ้นอีกนิดให้เป็นของสมนาคุณด้วย นาทีนี้ถึงจะหิวจนไส้กิ่วก็ไม่สนใจแล้ว
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
มาต่อแย้วววววววว ~
จบดราม่ากันง่ายๆ อย่างนี้แหละ
คู่นี้ความจริงก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย
แค่คุยกันดีๆก็ปิดบัญชีแล้ว 555555
ตอนนี้เนื้อเรื่องอยู่ในระยะสุดท้ายแล้วนะคะ
กำลังจะเข้าเส้นชัยเต็มที
ยังไงก็ฝากติดตามด้วยเนอะ
ส่วนที่มีคนถามถึงนิยายเรื่องใหม่
ก็เร็วๆนี้ค่ะ ขอให้ส่งจงรักกับพี่เมฆไปถึงฝั่งก่อนเน้อ
เจอกันตอนหน้าค่ะ ^^
pungjungza
[26/04/2558 ,17:00]