(ต่อจ้า)
วันที่สองของการนอนโรงพยาบาลของพี่ชายข้างบ้านดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากรู้ว่าป่วยเป็นอะไร ไข้เลือดออกไม่ใช่เรื่องตลกเลยครับ เมื่อวานอุณหภูมิของพี่ธันอยู่ที่ 40 เกือบ 41 องศา ถ้าอยู่คนเดียวมีโอกาสช็อกสูงมาก พอถึงมือหมอได้ยาพารากับเช็ดตัวเป็นระยะถึงดีขึ้นมาหน่อย ส่วนอาหารช่วงนี้ก็ให้ทางน้ำเกลือไปก่อน
ผมฟุบหน้านอนอยู่กับเบาะเตียงผู้ป่วย จับมืออีกฝ่ายวางลงบนหัว เวลาส่วนมากพี่ธันจะหลับ ผมเองก็หลับ ๆ ตื่น ๆ โชคดีที่ปิดเทอม แล้วก็ไม่มีงานอะไรด้วยเลยมาเฝ้าได้ตลอด สลับกับแม่กับพี่ป่านมาเยี่ยม ส่วนใหญ่สองสาวจะมาช่วงที่พ่อมารับผมกลับไปอาบน้ำที่บ้านตอนเย็น ๆ ส่วนไอ้ป้อนบางทีก็ติดรถมากับพ่อ หรือมากับพี่สาวตามสะดวก
ผมเพิ่งรู้ตอนนี้ว่าที่บ้านผมทั้งรักทั้งเป็นห่วงพี่ธันขนาดไหน ไม่ใช่แค่ผม แต่สีหน้าของคนอื่นก็ดูไม่ดีเลยสักนิดที่เห็นพ่อยักษ์ตัวโตสุดแสนจะอารมณ์ดีล้มหมอนนอนเสื่อ
พี่ธันไม่เคยป่วย
อย่างน้อยก็ไม่เคยป่วยจนเข้าโรงพยาบาลแบบนี้
ก๊อก ก๊อก...เสียงเคาะประตูห้องพักดังขึ้น ผมขยับตัวลุกทำให้มือข้างที่ไม่ได้เจาะสายน้ำเกลือร่วงแผละลงบนเบาะที่นอน พี่มี่กับพี่กร แล้วก็ผู้ชายตัวสูงใหญ่อีกคนเดินเข้ามา ผมไม่เคยเห็นเขาแต่คงเป็นเพื่อนที่ทำงานเก่า เมื่อเช้าพี่กรโทรตามเอางานจากพี่ธันพอดี ผมเลยถือวิสาสะรับให้แล้วแจ้งข่าว ส่วนแม่พี่ธันที่สวิซผมไม่ได้โทรบอก กลัวว่าจะขนขโยงกันมาเยี่ยมเสียเปล่า ๆ
“ธันหลับเหรอคะน้องปอ”
“ครับ” ผมตอบพลางยกมือขึ้นไว้พี่ ๆ ทีละคน พี่ผู้ชายที่ผมไม่รู้จักยกกระเช้าของฝากมาให้ ผมเลยไปช่วยถือแล้วจัดวางเข้าตู้ให้เรียบร้อย
“เห็นเจ้ากรบอกว่าป่วย พวกพี่เลยแวะมาเยี่ยม ว่าแต่เป็นยังไงบ้างล่ะ”
“ไข้ยังสูงอยู่ครับ รอดูอาการเรื่อย ๆ พ้นวันนี้น่าจะดีขึ้นแล้ว”
“มีคนดูแลดีเดี๋ยวก็คงหายล่ะ มันน่ะ” พี่กรกระเซ้า ผมไม่ตอบแต่ขยับไปนั่งโต๊ะตัวไกล ๆ พี่คนแปลกหน้ากับพี่กรนั่งบนโซฟา ขณะที่พี่มี่เดินไปวัดอุณหภูมิคนป่วยด้วยหลังมือ พี่ธันปรือตาเปิดก่อนกวาดตามองไปรอบห้อง
“มี่กับกร แล้วก็เต้มาเยี่ยมจ้ะธัน เห็นน้องบอกว่าธันเข้าโรงบาล”
พี่ธันพยักหน้า พอปรายตามาเจอผมก็ถอนหายใจเล็กน้อย “ไม่กลับบ้านอีกเหรอปอ”
“ครับ?”
“ตื่นมาทีไรก็เจอทุกที เดี๋ยวก็ป่วยไปอีกคน”
ผมไหวไหล่ ใครจะเหมือนพี่ธัน ตัวก็ออกโตแต่ดันเป็นโรคที่ส่วนมากจะเป็นในเด็ก “ถ้าผมเป็นไข้ผมจะบอกแม่ครับ ไม่แอบไปซื้อยามากินเองจนเป็นหนักเหมือนพี่ธันหรอก ดีที่เป็นแค่ไข้เลือดออก อีโบล่ากำลังเป็นเทรนด์เสียด้วย”
“บ้าแล้ว อยู่แต่ที่บ้าน ไม่ได้เข้าข่ายผู้ติดเชื้อเลย แล้วใครจะไปรู้ นึกว่าป่วยเฉย ๆ”
“เอ้า ตื่นมาก็ทะเลาะกันเลยหรือไง สองหนุ่ม” แม่เปิดประตูเข้ามาได้ยินเสียงแหบห้าวเอาแต่เถียงก็บ่นกลั้วหัวเราะ ผมเบ้ปากกอดอกมองไปที่อื่น ใครใช้ให้ไล่ผมกลับบ้านก่อนล่ะครับ
“ตาธัน เดี๋ยวจะมีคนไปพ่นยากำจัดยุงในหมู่บ้านนะจ๊ะ แม่กับป่านเลยพาหมาไปพักโรงพยาบาลชั่วคราวก่อน พรุ่งนี้เช้าจะรีบไปรับมาให้”
“ขอบคุณมากครับ รบกวนแม่เลย”
“ไม่เป็นไรจ้ะ เราก็เหมือนบ้านเดียวกันนั่นล่ะเนอะ เพื่อน ๆ มาเยี่ยมพอดีเลย แม่ทำขนมมาเยอะไปหมด ช่วย ๆ กันกินนะลูก”
แม่พูดพลางไปหยิบจานชามของโรงพยาบาลมาแบ่งขนมแจก พี่มี่ผละจากพี่ธันไปช่วยแม่ ผมเลยถือวิสาสะกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม มองมือพี่ธันเพราะยังไม่กล้าจ้องหน้า
ป่วยก็ป่วยเถอะ แต่เรื่องงอนนั่นไม่รู้ว่าหายหรือยัง
แต่ถึงพี่ธันจะไม่อยากเห็นหน้า ผมก็ทำเป็นใจแข็งไม่สนใจพี่ธันเหมือนที่เขาทำใส่แบบหลายวันมานี้ไม่ลงจริง ๆ
“ขอบใจ ที่แวะเข้ามาดู”
ผมพยักหน้า เม้มปากเข้าหากันแน่น “วันหลังถ้าป่วยบอกผมนะ”
“เป็นหมอหมาคิดจะมารักษาคนหรือไง”
“ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะครับ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าผมไม่เอะใจพี่ธันไม่ช็อกคาบ้านไปแล้วเหรอ หมามันช่วยอะไรพี่ไม่ได้นะ มีอะไรก็บอกผมสิ”
“เป็นห่วงเหรอ” ผมละสายตาขึ้นจากฝ่ามือหนามามองหน้าคนถามแต่ต้องหลุบสายตาลงเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่จ้องตาหยาดเยิ้ม ไม่ใช่หวานฉ่ำด้วยพิษไข้ แต่เป็นหวานแบบที่ผู้ชายคนหนึ่งใช้มองคนที่รัก
ผมรู้...ว่าพี่ธันรู้สึกยังไง
“ไม่เจ็บคอหรือครับ พูดมากอยู่ได้”
“เปลี่ยนเรื่องทำไมล่ะ เหมือนคุ้น ๆ ว่าเมื่อวานมีคนร้องไห้ด้วยหรือเปล่าน้า”
“อย่าแซวสิครับ เพื่อน ๆ ก็อยู่ แถมแม่ยังอยู่อีกต่างหาก”
หน้าพี่ธันซีด ปาดแห้งผากแต่ยังผุดยิ้ม ผมยกมือขึ้นนวดแขนไม่ให้อีกฝ่ายเมื่อยเบา ๆ
“ก็ปอไม่ตอบ...”
ผมเหลือบตาขึ้นมองเจ้าของคำถามเป็นระยะ บอกตรง ๆ ว่าเขิน เขินทุกครั้งที่ถูกพี่ชายข้างบ้านมองด้วยแววตาแบบนี้ กึ่ง หยอกล้อ กึ่งเกี้ยวพาราสี แสร้งทำเป็นเฉไฉสักพักมือใหญ่ก็ยกขึ้นมาลูบหัวผมผะแผ่ว ผมชอบความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่เหมือนกับมีพี่ธันคอยดูแลตลอดเวลา
“อย่าให้พี่คิดไปเองได้ไหมปอ”
“ก็บอกว่าแม่ยังอยู่...”
“กระซิบก็ได้”
ผมไม่ได้กระซิบ ไม่ได้ตอบเสียงดังฟังชัดแต่พยักหน้าแทนคำตอบ พี่ธันฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี พี่กรหันมาเห็นพอดีรีบแกล้งกระแอมไอเหมือนมีอะไรติดคอ
“อะไรกัน สองคน อะไรกานน”
“อะ...อะไรครับพี่กร”
“ไอ้ธัน มึงแกล้งป่วยลองใจน้องหรือเปล่าเนี่ย”
ไอ้พี่กร ไอ้ปากเปราะ! ผมตวัดมองเพื่อนพี่ธันตาเขียวสลับกับมองแม่ด้วยสีหน้าหวาด ๆ แม่ยังอยู่ที่โต๊ะรับรองโดยช่วยกันกับพี่มี่แบ่งขนมใส่จานใบสุดท้ายก่อนหันมายิ้มให้อย่างใจดีไม่มีแววของความเคลือบแคลงผ่านแววตา ผมลอบถอนหายใจแผ่วโดยมีเสียงหัวเราะของพี่มี่ลอยแทรกประกอบ สักพักแม่ก็หันกลับมาหา
“แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะธัน รู้สึกดีขึ้นไหม”
“มึนครับ สงสัยนอนมากไปหน่อย”
“ทนเบื่อหน่อยนะ หมอเขาอยากให้อยู่ดูอาการ ช่วงนี้หยุดหลายวันพอดีเลย เจ้าปอจะได้มาเฝ้าได้สะดวก”
“ให้น้องกลับไปพักก็ได้ครับ” พี่ธันพูดยิ้ม ๆ “เดี๋ยวป่วยไปอีกคน”
“ยุ่งน่า”
“ก็แบบนี้ล่ะจ้ะ” แม่ส่ายหัว ผมลุกจากเก้าอี้ไปกอดเอวคนบ่นเอาไว้ “กลับไปบ้านก็กระสับกระส่ายห่วงธันจนอยู่ไม่สุขแม่ว่าเอามาทิ้งไว้โรงบาลนี่แหละดีแล้ว จะได้ไม่ต้องกลัวว่าพี่ชายสุดที่รักจะเป็นอะไรไป”
พี่ธันเลิกคิ้วล้อ ๆ ที่แม่ฟ้องว่าผมเป็นห่วง ยิ้มยียวนเหมือนคนไม่เคยโกรธกันมาก่อน เมื่อสองสัปดาห์ก่อนใครกันวะที่โมโหปึงปัง พาลมาไม่คุยกับผมตั้งนานสองนาน “ไม่ต้องห่วงพี่ขนาดนั้นหรอกปอ ยังอยู่อีกนาน”
“อาจจะไม่นานก็ได้นะครับ นี่ก็แก่มากแล้ว”
“ถ้าจะตายก็น่าจะตายด้วยโรคอกหัก” พี่กรพูดขึ้นมาบ้างพลางลูบคางตัวเองไปด้วย เรียกเสียงหัวเราะครืนได้จากทุกคนยกเว้นผม แม่เองก็ด้วย ยิ้มแย้มหน้าบานแบบนี้ถ้ารู้ว่าคนถูกพาดพิงเป็นผมจะยังมีความสุขแบบนี้หรือเปล่า
“ทั้งหล่อ รวย ใจดี ขี้เล่นแบบนี้ ใครจะหักอกลูกชายคนโปรดเจ้าของร้านอาหารไทยในสวิซซ์ลง”
ทำไมแม่ไม่นับเรื่องกะล่อน เจ้าชู้กับลามกเข้าไปด้วยล่ะครับ จะได้มีข้อด้อยที่ทำให้คนอื่นไม่มั่นใจเขาบ้าง กับพี่ธันน่ะอวยตลอด ลองเป็นผมสิ เหยียบยังไงให้จมดินนะทำหมดแหละ
“ใครมันจะเพอร์เฟ็คไปทุกอย่าง แม่ก็...คนเราก็ต้องมีข้อเสียบ้างล่ะครับ”
ด้วยความหมั่นไส้นิด ๆ ผมเลยแขวะไป แม่ดึงผมมากอดแล้วลูบหัวใหญ่ “เหมือนจะเห็นเด็กเรียกร้องความสนใจอยู่แถวนี้เลยเนอะ”
ได้ทีผมก็อ้อนสิครับ เอาหัวมุดบ่า กอดมารดาไว้ทั้งตัว เห็นผมตัวเล็ก ๆ แบบนี้ก็ยังสูงกว่าแม่นะ สูงกว่าประมาณสองสามเซนติเมตรได้ พอกอดกันเลยไม่ลำบากเท่าไร
“มี่ว่าเดี๋ยวมี่กับเพื่อน ๆ กลับแล้วดีกว่า ธันจะได้พักผ่อน ขอตัวเลยนะคะคุณแม่”
“จ้ะ” แม่ยกมือรับไหว้ก่อนคนอื่น ๆ จะไหว้ตามหญิงสาว พี่กรขยิบตาให้ผมนิด ๆ เดินออกไปเป็นคนสุดท้าย ผมเลี่ยงออกมาจัดกระเช้าของฝากบางอย่างเข้าตู้เย็น ส่วนแม่ก็จัดเก้าอี้ที่ระเกะระกะให้กลับที่เดิม
“แม่ไม่ได้โทรบอกคุณกานดาเลยธัน ไม่รู้ว่าจะให้โทรหรือเปล่า”
“อ้อ ครับ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวจะวุ่นวายกันเปล่า ๆ ขอบคุณนะครับที่เป็นธุระให้ เอ่อ...แล้วคุณแม่มายังไงน่ะครับ ผมนึกว่ามาพร้อมป่านเสียอีก”
“ยัยป่านแวะมาส่งจ้ะ มีนัดกินข้าวกับเพื่อน ยัยป่านก็แบบนี้แหละ ติดเพื่อนเป็นที่หนึ่ง”
“วัยล่ะมั้งครับ” พี่ธันพูดกลั้วหัวเราะ แม่เองก็ไม่ได้เถียงอะไร
“แต่ว่าทีหลังถ้าป่วยธันรีบบอกแม่นะ บอกเจ้าปอก็ได้ เป็นอะไรขึ้นมาจะได้ช่วยกันดูแลทัน ยิ่งอยู่บ้านคนเดียวด้วย”
ผมเบะปากแล้วหันกลับมาแขวะ “แถมยังอายุมากแล้วอีกต่างหาก”
“นี่เราก็แซวเรื่องพี่เขาแก่จังเลยตาปอ เดี๋ยวเถอะ ทีเมื่อวานนะจะเป็นจะตาย วันนี้ทำไมพูดจาไม่น่ารักอยู่ได้”
“ก็หมั่นไส้นี่ครับ อายุปูนนี้ยังดูแลตัวเองไม่ได้ ถ้าเมื่อวานผมไม่เอะใจ...”
“ห่วงกันก็พูดตรง ๆ ก็ได้นี่นา พูดแบบนี้ชักน้อยใจนิด ๆ แล้วสิ” คนน้อยใจยิ้มกรุ้มกริ่ม ผมเลยเดินหนีไปนอนโซฟา แม่หยิบหนังสือที่วางทิ้งไว้บนหัวเตียงพี่ธันขึ้นมาอ่านเป็นการจบบทสนทนา อีกนัยหนึ่งคือให้พี่ธันพักผ่อนบ้างหลังจากแขกมาเยี่ยมเสียล็อตใหญ่
พักเดียวคนป่วยก็หลับสนิทอีกครั้ง ผมผุดลุกขึ้นมานั่งแล้วมองแม่ที่ก้มหน้าอ่านหนังสือเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกหลาย ๆ อย่าง
“มีอะไรลูก จ้องอยู่นั่นแหละ”
“ที่จริง...” ผมเงียบไปหนึ่งอึดใจแล้วพูดต่อ “...ปอมีเรื่องจะปรึกษา”
แม่ลุกจากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ ผม แรงยวบบนเบาะที่ยุบลงไปทำให้ผมแกล้งไถลตัวลงนอนตักอุ่น ๆ ได้อย่างแนบเนียน มือของแม่ลูบบนเส้นผม สายตาทอดลงมาไม่เคยเปลี่ยนไปตลอดอายุที่ผมเกิด มันคือความห่วงหาอาทรและเปี่ยมไปด้วยความรักโดยไม่ต้องพร่ำบอกกันตลอดเวลา
แม่ผมเป็นคนผิวขาว ขาวแบบคนจีน ขาวพอ ๆ กับพ่อ สีผิวของผมเองก็ไม่ต่างกันมากนัก เมื่อก่อนแม่ไม่ต้องใส่แว่น แต่พออายุมากขึ้นสายตาก็ยาวเหมือนคนอื่น ๆ สวมแว่นกรอบทองบาง มีสายรยางค์คล้องขาทั้งสองข้างไว้
“แม่จำเตยได้ไหม”
หญิงวัยพลางคนรับคำในลำคอ ความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งของแม่คือจำชื่อเพื่อน ๆ ลูกได้ทุกคน แม้แต่ผมยังจำเพื่อนพี่ป่านบางคนไม่ได้ น่าแปลกที่คนอายุขนาดนี้จะมีความจำดีกว่าเด็ก ๆ ผมว่ามันเป็นเรื่องของความใส่ใจด้วย แม่เป็นห่วงพวกเราเสมอไม่ว่าจะไปที่ไหนกับใครเมื่อไร บางทีไม่ได้ถาม แต่ก็ยังรอฟังลูก ๆ คอยรายงานอยู่ตลอด
ผมใช้ปลายนิ้วเล่นหัวเข่าแม่แล้วเล่าต่อ “เตยมาบอกชอบปอแหละแม่”
“แล้ว...ปอว่ายังไงล่ะ”
“เตยก็น่ารักดี แต่ปอมีคนที่คุยอยู่ด้วยแล้วอะแม่...” ผมเว้นจังหวะเพื่อสังเกตสีหน้าบุพการี แม่ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่รับฟังเพื่อให้ผมเล่าต่อ “แต่ก็ยังไม่ใช่แฟนกัน ปอเลยคิดว่า ลองคุยไปเรื่อย ๆ ก็ไม่น่าเป็นอะไร คือ มันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไร แค่สนิทกันมากขึ้น แล้วทีนี้ คนที่ปอคุยอยู่ก่อนเขาก็รู้ขึ้นมา”
“ปอชอบคนไหนมากกว่าล่ะจ๊ะ”
“ปอคิดกับเตยแค่เพื่อน เป็นเพื่อนที่น่ารักคนหนึ่ง”
แม่ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วลูบหัวผมด้วยจังหวะเดิม เสียงหวานไม่ได้ดุแต่กล่าวเชิงสอน “ปอจะลองคุยกับใครก็ไม่ผิดหรอกนะ แต่ควรคุยทีละคน ถ้าคิดว่าคนเก่าเขาไม่ใช่ก็พูดกับเขาไปตรง ๆ ทำแบบนี้มันเหมือนคบเผื่อเลือกรู้ไหม”
“...ครับ...แต่ปอสับสนนี่ครับ ปอไม่รู้ว่าคิดกับคนก่อนหน้านี้แค่ไหน บางทีเราอาจจะสนิทกันมากเกินไปถึงได้เป็นแบบนี้”
“แล้วตอนนี้รู้หรือยังล่ะ”
“นิด ๆ” ผมตอบเสียงอ่อย ยกนิ้วชี้กับนิ้วโป้งขึ้นมาจรดกันประกอบคำรับสารภาพ “แต่ปอกลัวว่า...แม่จะไม่ชอบเขา...”
“แม่จะไม่ชอบได้ยังไงล่ะปอ พี่ธันเองก็เหมือนเป็นลูกแม่คนหนึ่งเหมือนกัน ถึงไม่มีปอ แม่ก็รักพี่ธันอยู่แล้ว ยิ่งปอทั้งรักทั้งห่วงพี่เขามากขนาดนี้จะให้แม่รังเกียจได้ยังไง”
“มะ...แม่รู้?”
“เขารู้กันทั้งบ้านแล้วจ้ะ ดูออกไม่เห็นยากเลย ตาธันก็เอาใจเราจนแทบเสียคน ตอนแรกก็ไม่อยากพูดหรอกกลัวเราลำบากใจ แต่ไหน ๆ ก็ปรึกษามาเสียขนาดนี้แล้วนี่เนอะ”
ผมก้มหน้าลงบนตัก รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาทั้งตัว เสียงหัวเราะใสของมารดาดูไม่น่าฟังเอาเสียเลยเพราะมันทำให้หัวใจผมเต้นรัว รู้ตัวอีกทีก็เอาแต่ซุกหน้าเข้าหาพุงแม่ใหญ่
“เอ้า เขินหูแดงหน้าแดงหมดแล้ว”
“กะ...ก็แม่....ฮื้ออออออ” ผมร้องออกมาไม่เป็นภาษา ครวญครางโดยหวังว่าจะช่วยให้ใบหน้าที่เห่อร้อนตอนนี้บรรเทาอาการลงบ้างแต่ก็ไม่ นิ้วเรียวหยิกหูผมเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยวอย่างที่แม่ชอบทำบ่อย ๆ
“ทีหลังก็อย่าไปทำให้พี่ธันเขาเสียใจอีกล่ะ”
“ก็ปอไม่อยากเป็นเกย์นี่”
“โธ่ ตาปอ...ถ้ารักเขาก็รักไปสิจ๊ะ เรื่องแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้ แม่เข้าใจ พ่อเองก็เข้าใจ พี่ป่าน เจ้าป้อน ทุกคนเข้าใจเราหมดนั่นแหละ”
“ปอกลัวจะทำให้ทุกคนเสียใจนี่ครับ”
“ก็คงเสียใจถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่พี่ธันล่ะมั้งจ๊ะ” ผมพลิกตัวขึ้นนอนหงาย ยังรู้สึกว่าแก้มร้อน ๆ อยู่เลย แววตาของแม่ที่ทอดมองลงมาไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด มีรอยยิ้มจุดที่มุมปากทั้งสองข้าง “ถ้าจะเสียใจก็เพราะห่วง กลัวลูกไปเจอคนไม่ดี แต่เพราะเป็นพี่ธัน พ่อกับแม่เลยสบายใจว่าเขาดูแลลูกชายของแม่ไม่ทำให้เสียใจแน่ ๆ”
“แม่...”
“เพราะฉะนั้น ปอเองก็ห้ามทำให้พี่ธันเสียใจบ่อย ๆ นะ ไม่อย่างนั้นคุณพ่อคุณแม่ของพี่ธันเองจะเสียใจไปด้วย พ่อแม่ทุกคนรักลูกหมดแหละปอ จุดประสงค์สุดท้ายของพ่อแม่คือเห็นลูกมีความสุข เรื่องอื่นไม่ต้องกังวลเลย”
ผมพยักหน้าขึ้นชิดคาง ดึงมือแม่มาจูบที่ฝ่ามือเบา ๆ “ปอโชคดีมากเลยที่ได้เป็นลูกแม่”
รอยยิ้มของแม่ฉีกกว้างขึ้นกว่าเดิม สายตาทะลุแว่นทอดมองผมด้วยความเอ็นดู แก้มผมร้อนขึ้นอีกแล้ว แต่ตอนนี้สาเหตุไม่เหมือนครั้งก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง
นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้บอกรักแม่...
ไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่เพราะเขินเกินกว่าจะบอกต่างหาก
ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแล้วพลิกตัวซุกเข้าพุงกะทิอีกครั้ง “ปอรักแม่นะ”
หน้าท้องที่เป็นแหล่งพักพิงของผมกระเพื่อมตามเสียงหัวเราะ แม่ผมไม่ตอบ แต่ลูบหัวผมผ่านกลุ่มผมสีเข้มเบา ๆ
ความรู้สึกที่ผ่านมือคู่นั้นถ่ายทอดมาอย่างอ่อนโยน
ความรู้สึกที่แม่กำลังบอกผมว่า แม่ก็รักผมเหมือนกัน....
สุขสันต์วันแม่ค่ะ อยากเขียนโมเมนต์เด็กผู้ชายออดอ้อนออเซาะแม่มานานแล้ว อ้อนแบบให้รุ้สึกว่าไม่ว่าอายุเท่าไรกับแม่เราก็ยังเป็นเด็กได้แบบไม่น่าเกลียดเสมอ แอร๊ยยย
ทุกวันนี้เวสต์ยังอ้อนแม่ค่ะ แต่ออกแนวอ้อนทีนมากกว่า
มาช้้าหน่อย เมื่อคืนหนีเที่ยว สารภาพแต่โดยดี TvT หยุดหลายวันใครเดินทางก็เดินทางกันด้วยความปลอดภัยนะคะ
อย่าลืมบอกรักแม่ด้วยเนอะ เอาให้เขินกันไปข้างเลย

เจอกันเดือนหน้าค่าาา