ตอนที่ 36ภูธิป “เป็นไงวะเบส ทำได้มั้ยมึง...เอ่อ แต่กูลืมไปว่าระดับมึงคงไม่ต้องถามล่ะ เรียนก็เก่ง กีฬาก็เด่น น่าหมั่นไส้ฉิบหาย ฮึ่ย!” ผมได้แต่ส่ายหน้าอมยิ้มให้ไอ้ฟูเพื่อนที่ผมสนิทที่สุดในห้อง ก่อนจะเอ่ยขอตัวมันออกมา ซึ่งไอ้ฟูก็ยังไม่วายเหน็บตามหลังผมจนได้
“ไม่เห็นต้องรีบเลยมึง ไอ้นนน่ะหมูในอวยของมึงชัดๆ กูเห็นมึงไปไหน มันก็เดินกระดิกหางตามหลังมึงต้อยๆไปซะทุกที่” ในสายตาไอ้ฟูนั้น ผมก็ไม่รู้ว่ามันเห็นนนเป็นหมูหรือเป็นหมาสำหรับผมกันแน่สิ
แต่ที่แน่ๆอย่าให้นนมาได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้วกัน เพราะผมว่าคงเกิดศึกปะทะฝีปากของทั้งคู่อย่างแน่นอน คนปากดีทั้งคู่นี่นะ แต่ก็คงเป็นไปอย่างขำๆพอเป็นสีสันของรุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียนล่ะครับ
วันนี้เป็นวันสอบกลางภาควันสุดท้ายของชั้นมอหกแล้วครับ การที่ผมดูเหมือนรีบร้อนออกจากหน้าห้องสอบหลังจากทำข้อสอบเสร็จ จนไอ้ฟูออกปากแซวนั้นก็ไม่ใช่อะไร แต่ผมต้องรีบทำเวลา เพื่อเอาหนังสือที่ยืมมาอ่านสอบไปคืนที่ห้องสมุด ก่อนที่นนจะมารับกลับบ้าน ด้วยโรงเรียนเราแต่ละชั้นจะสอบไม่พร้อมกัน ซึ่งวันนี้ชั้นมอห้าได้วันหยุดอ่านหนังสือ ทำให้เมื่อเช้านนตื่นเช้าเพื่อมาส่งผมสอบที่โรงเรียนโดยเฉพาะ ทั้งๆที่เมื่อคืนเจ้าตัวก็อ่านหนังสือเป็นเพื่อนผมอยู่จนดึกแล้วแท้ๆ และหลังจากที่นนส่งผมหน้าโรงเรียนแล้ว เจ้าตัวก็กลับไปอ่านหนังสือเตรียมสอบในวันพรุ่งนี้ที่บ้านของผม
คิดๆดูไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาที่ผมตกลงใจคบกับนนจะผ่านมากว่าครึ่งปีแล้ว นับตั้งแต่เดือนแห่งความรักเมื่อต้นปีจนถึงเดือนนี้ เราทั้งคู่ผ่านอะไรหลายๆอย่างมาด้วยกัน มีตีกันบ้างเถียงกันบ้างตามประสา แต่ก็ทำให้ผมกับนนเข้าใจในตัวตนของกันและกันมากขึ้น เพราะเราเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหากัน และนนก็ทำให้ผมรู้ว่าผมตัดสินไม่ผิดที่เลือกมันมายืนเคียงข้าง
ตลอดเวลาเกือบเจ็ดเดือน ไอ้ดำตูดหมึกเคยดูแลใส่ใจผมอย่างไรในวันแรกที่ตกลงคบกัน ณ วันนี้พฤติกรรมนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยน มีแต่ยิ่งจะมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านมาด้วยซ้ำ จนบางครั้งผมว่ามันก็เยอะไป เรียกว่าเกือบจะเจ้ากี้เจ้าการจัดการทุกสิ่งในชีวิตของผม จนเราเกือบทะเลาะกันก็มี แต่พอได้เห็นสีหน้าหงอยๆตาโศกๆทีไร ผมเองกลับเป็นฝ่ายใจอ่อนยอมมองข้ามข้อเสียนี้ไปซะทุกครั้ง และได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าสิ่งที่นนทำไปก็คงเป็นเพราะรักและหวังดี
ประกอบกับช่วงนี้ผมยุ่งๆเรื่องสอบเรื่องเลือกคณะ ทำให้ผมไม่มีเวลาใส่ใจนนมากเท่าที่เคย ไอ้ดำตูดหมึกเองก็ไม่บ่นเพียงแต่หงอยไปผิดหูผิดตา ดังนั้นเวลาที่นนคอยบงการชีวิตในกิจวัตรชีวิตประจำวันนั้น ผมจึงไม่เคยขัด อย่างเหตุการณ์ที่นนอาสาตามรับตามส่งผมในช่วงสอบ แทนที่จะเอาเวลาไปอ่านหนังสือของตัวเอง ผมจึงไม่คิดขัดใจเจ้าตัว ซึ่งนาทีนี้ก็ได้เวลาที่ไอ้ดำตูดหมึกมารับแล้ว แต่ผมยังไปไม่ถึงหน้าโรงเรียนเลย เพราะมัวแต่สนใจเลือกหนังสือที่เกี่ยวกับเนื้อหาข้อสอบของมอห้าอยู่
“เบสช้าอ่ะ มัวแต่ไปคืนหนังสือล่ะสิ นนบอกแล้วว่าเดี๋ยวเอาไปคืนให้เองก็ไม่ฟัง” แม้ประโยคดังกล่าวฟังเผินๆเหมือนว่าคนพูดกำลังหงุดหงิดไม่ได้ดังใจที่ผมผิดเวลานัด แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่กลับทำให้ผมลอบยิ้มกับตัวเอง เพราะรู้แก่ใจว่าไอ้คนขี้บ่นคนนี้ มันยอมลำบากจัดการธุระแทนผมได้ทุกเรื่อง ขอเพียงผมเอ่ยปากเท่านั้น
ผมซ่อนยิ้มไว้พลางเหลือบมองนนที่กำลังเอี้ยวตัว เพื่อวางสัมภาระของผมไว้ที่เบาะหลัง เมื่อคนช่างบ่นหันหน้าบูดๆกลับมา ผมจึงชูหนังสือในมือขึ้นโชว์ ผลก็คือนนขมวดคิ้วพร้อมส่งสายตาเป็นคำถามมาให้
“ที่ช้าเพราะมัวแต่ยืมเล่มนี้น่ะสิ เปิดดูแล้วน่าสนใจ น่าจะมีคำตอบที่นนสงสัยเมื่อคืนนะ” คำตอบของผมทำให้หัวคิ้วที่เคยขมวดกันคลายตัวลง ก่อนริมฝีปากหนาจะค่อยๆคลี่ยิ้มตามมา พร้อมดวงตาคมที่ฉายแววระยิบระยับแสดงถึงความพออกพอใจของเจ้าของ
“ขอบคุณครับที่คิดถึงนน แฟนนนนี่น่ารักเนอะ ครึๆ” มีคำไหนในประโยคก่อนหน้าที่ผมบอกว่าคิดถึงมันบ้างมั้ย คนอะไรวะขี้ตู่ชะมัด
ผมเบือนหลบดวงตาแวววาวรู้เท่าทัน และเสเปิดเครื่องเล่นเพลงในรถฟัง ด้วยอยากจะกลบเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ที่ดังขึ้น ใจจริงผมก็อยากจะเถียงคนขี้ตู่นะ แต่ก็กลัวว่าจะเข้าตัวมากกว่าจึงเลือกที่จะเงียบแทน
“วันนี้กลับไปนอนบ้านนนนะ นนบอกแม่ผกาให้แล้ว ตอนบ่ายนนไปซื้อกับข้าวสำเร็จรูปที่ร้านเดิมให้แม่ผกาแล้วด้วย ยังไงเบสโทรไปบอกแม่อีกทีนะ เพราะนนไม่แน่ใจว่าแม่ผการับรู้สิ่งที่นนบอกมากแค่ไหน” ผมไม่แปลกใจในสิ่งที่นนบอกเล่านัก ด้วยช่วงนี้แม่กำลังวุ่นๆปั่นต้นฉบับ จนไม่มีแก่ใจสนใจสิ่งรอบตัวเหมือนเคย แต่ในประโยคบอกเล่าแสนธรรมดานี้กลับทำให้ผมอบอุ่นในหัวใจจนบอกไม่ถูก
นนไม่ได้คอยดูแลเพียงแค่แฟนอย่างผมเท่านั้น แต่ตลอดมามันกลับดูแลเอาใจใส่บุพการีเพียงคนเดียวของผมอย่างดีด้วย แต่ก่อนผมในฐานะลูกชายคนเดียว จึงเป็นคนดูแลตั้งแต่เรื่องเล็กยันเรื่องใหญ่ภายในบ้าน แต่ผมต้องสละตำแหน่งที่ว่าให้ลูกชายคนใหม่ของแม่ผกาไป เพราะมันแย่งไปจัดการแทนเองซะทุกเรื่อง จนนนกลายเป็นลูกรักที่แม่ผกาถามหาเป็นคนแรก แทนที่จะเป็นลูกชายอย่างผมไปแล้ว
อย่างเหตุการณ์นี้นนรู้ว่าแม่ผกาไม่มีทางลงมือทำอาหารทานเองในช่วงวุ่นวายแบบนี้อย่างแน่นอน อย่างมากก็อาศัยอาหารแห้งสำเร็จรูปประทังหิวหากผมไม่อยู่บ้าน ซึ่งมีน้อยครั้งที่ผมจะให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น ไอ้ตัวดีของผมมันรู้ดี ว่าผมไม่มีทางยอมทิ้งแม่ให้อยู่บ้านตามลำพัง ในช่วงเวลาแบบนี้อย่างแน่นอน เจ้าตัวมันถึงเตรียมความพร้อมซะขนาดนั้น เพียงเพื่ออยากพาผมกลับบ้านชลาสินธุ์ด้วยกัน ถึงแม้ได้ฟังแบบนี้แต่ผมก็ไม่อยากทิ้งแม่ให้อยู่คนเดียวอยู่ดี และยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยแย้ง ไอ้ตัวดีมันก็สวนออกมาเหมือนนั่งอยู่ในใจผมซะงั้น
“นนรู้ว่าเบสไม่อยากทิ้งแม่ แต่นนต้องกลับบ้านจริงๆ พ่อกับพี่ๆอยากคุยด้วย ก็ถ้าวันนี้เบสไม่ไปด้วยกัน นนก็จะตีรถกลับมานอนบ้านเบส” ฟังเด็กโข่งเอาแต่ใจซะก่อนเถอะครับ
บ้านผมกับบ้านนนอยู่คนละโยชน์เลย ขับรถไปๆมาๆมีแต่เสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุ แต่ผมก็ไม่อยากทิ้งแม่ไปจริงๆนี่หน่า ดูหน้าตาเด็กโข่งที่แสนดื้อของผมยามนี้ซะก่อนเถอะ หน้างี้บูดสนิท ส่วนตาก็จ้องมาที่ผมอย่างไม่ยอมแพ้ ผมตัดสินใจวางมือทับบนหลังมือสีคร้าม ก่อนจะพูดด้วยอย่างใจเย็น
“วันนี้นนไปส่งเบสที่บ้านก่อน และกลับไปคุยกับพ่อและพี่ๆเถอะนะ เดี๋ยวคืนนี้เบสโทรหา อย่าขับรถไปๆมาๆเลย ไม่รู้รึไงว่ามีคนเป็นห่วง หืม” ผมส่งเสียงเบาๆผ่านลำคอเป็นการปิดท้าย ก่อนจะใช้มือข้างที่วางบนหลังมือนั้น ยกขึ้นไปลูบหัวเกรียนๆของแฟนหน้าบูด และระบายยิ้มเอาใจที่น้อยครั้งจะนำมาใช้เป็นการส่งท้าย
ขืนผมแข็งใส่ไอ้หมาป่าจอมดื้อ มันไม่มีทางยอมลงให้อย่างแน่นอน ผมรู้นิสัยในส่วนนี้ของนนดี จึงเลือกใช้วิธีนี้เพื่อให้ไอ้ตัวดียอมทำตามอย่างเต็มใจด้วยตัวเอง และเหมือนจะได้ผลเพราะตาแข็งๆที่เคยดื้อดึงกลับอ่อนแสงลง ใบหน้าที่เคยบูดบึ้งก็คลายลงเช่นกัน
“เบสก็เป็นซะแบบนี้ ใครที่ว่านนช่างอ้อน เทียบไม่ได้กับเบสเลยเหอะ” เป็นอันว่าไอ้หมาป่าจอมดื้อยอมทำตามในสิ่งที่ผมบอกแล้ว แต่ก็ยังไม่วายไว้ลายความเจ้าเล่ห์ ด้วยการคว้ามือข้างนั้นของผมมาประทับจูบกลางฝ่ามือ ก่อนจะยื่นหน้าส่งจมูกมาฟัดเข้าที่แก้มของผมสองฟอดใหญ่ จบด้วยการฉีกยิ้มกว้างเจิดจรัสส่งให้ผมเป็นการปิดท้าย แต่ก็ทำเอาผมแก้มร้อนไม่กล้าสบตาคมกล้าที่จ้องมาเลยทีเดียว
สุดท้ายไอ้ดำตูดหมึกก็ยอมทำตามคำพูดของผม นนมาส่งผมที่บ้านและย้ำให้ผมเอาโทรศัพท์ติดตัวไว้ เพราะมันจะเป็นฝ่ายโทรหาผมเอง มีแอบขู่ว่าถ้าผมไม่รับจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ไอ้ตัวดีจะตีรถกลับมานอนกับผมที่นี่ ก่อนจะไปมันจับผมจูบซะแทบหมดลม แถมยังมีมาทำตาละห้อยมองผมเหมือนไม่อยากไปซะงั้น จนผมต้องขู่เสียงเข้มนั่นแหละไอ้ตัวดีถึงยอมออกรถ ไอ้ดำตูดหมึกนี่นะทำตัวเหมือนว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกซะแบบนั้น แต่พฤติกรรมไม่เข้าท่าของนนกลับทำให้ผมอารมณ์ดีหุบยิ้มไม่ลงจนเดินเข้าบ้านเชียวล่ะ
เรื่องเป็นห่วงเป็นใยและใส่ใจในตัวผมและคนรอบข้างผมของนนนั้น เป็นข้อดีในตัวนนที่ผมภูมิใจที่ได้มันมาเป็นแฟน แต่คนเรามีข้อดีก็ย่อมต้องมีข้อเสีย และมีข้อเสียเพียงหนึ่งข้อของนนที่เจ้าตัวแสดงมันออกมาทีไร สร้างความปวดหัวให้ผมได้เสมอ ข้อเสียที่ว่าคือพฤติกรรมหึงหวงที่มักแสดงออกให้ผมรู้ของนนนั่นเอง
แม้ลึกๆผมจะรู้สึกดีก็ตาม แต่ส่วนใหญ่พฤติกรรมที่ว่านี้ของนนมักแสดงออกจนเกินพอดีน่ะสิ กรณีผ่านมาที่หนักหน่อยคือนายโชค เพราะรายนี้นนถึงขั้นเข้าไปต่อยจนอีกฝ่ายเลือดกบปาก ทั้งๆที่ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่ทำให้ผมกับนายโชคจูบกัน แต่ความจริงเรียกว่าแค่ปากเราชนกัน ด้วยความไม่ระวังตัวจะถูกกว่า แต่ยังดีที่พอเราได้คุยกันถึงความเป็นจริงและเหตุผล ไอ้ดำตูดหมึกก็รับฟังและพยายามที่จะทำความเข้าใจ
ปัจจุบันนนกับนายโชคกลายเป็นเพื่อนกันไปแล้ว ถ้าถามหาเหตุผลน่ะเหรอ จะอะไรถ้าไม่ใช่เพราะไอ้แปงกับโชคตกลงคบกัน ไอ้ดำตูดหมึกคงสบายใจล่ะครับ ว่าโชคคงไม่มาตอแยกับผมอีก แต่จะว่าไปแต่แรกโชคก็แค่ชื่นชมผมในฐานะนักกีฬาบาสด้วยกันเท่านั้น ที่โทรมาก็ไม่ได้มาแนวจีบหรือตื๊อขอความรักสักนิด แต่โชคคงรู้ล่ะว่านนน่ะยั่วขึ้น ต่อหน้านนทำให้นายโชคสนุกที่จะเย้าแหย่ ด้วยการแสดงออกว่าชอบผมซะมากกว่า
ส่วนกรณีของน้องฝ้ายที่คราแรกทั้งคู่เหมือนจะเป็นคู่กัดกัน เห็นหน้ากันไม่ได้ปะทะคารมกันตลอด แต่ตอนนี้ทั้งคู่กลับกลายเป็นพี่น้องร่วมสถาบันที่ดีต่อกัน เจอกันก็ทักทายกันตามปกติ อาจจะเป็นเพราะแต่แรกน้องฝ้ายก็แค่ผูกติดผมด้วยไม่มีใคร และไม่ได้นึกรักอะไรอยู่แล้ว ซึ่งโดยเนื้อแท้ฝ้ายก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่โหยหาความรัก ด้วยเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อเสียชีวิต และแม่ก็ทิ้งให้อยู่กับป้าเพื่อไปแต่งงานมีครอบครัวใหม่ ทำให้เธอทำตัวก๋ากั่นเกินเด็กรุ่นเดียวกัน เหมือนว่ากำลังเรียกร้องความสนใจของคนรอบตัว ซึ่งกับผมที่เป็นรุ่นพี่แถมเห็นหน้ากันมาตั้งแต่เด็ก ด้วยอยู่ละแวกบ้านเดียวกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะเกาะติดผมในช่วงเวลาหนึ่ง แต่พอฝ้ายได้พบเพื่อนผู้ชายที่หวังดี และพร้อมมอบความรักที่จริงใจกับเธอจริงๆอย่างนายโจ้ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ฝ้ายจะเปลี่ยนตัวเองไปเป็นเด็กผู้หญิงที่แสนน่ารักสมวัย จนเดี๋ยวนี้มีแต่คนอิจฉานายโจ้กันเป็นแถว ที่มีแฟนทั้งสวยทั้งคล่องอย่างน้องฝ้าย ผมเองก็ดีใจไปกับน้องสาวคนนี้ด้วย
ปัจจุบันเรื่องหึงหวงของนนก็เกิดขึ้นประปราย แต่ไม่ได้หนักเท่าสองกรณีแรกที่ผมว่าไปนั่นแล้วล่ะครับ เพราะไอ้ดำตูดหมึกทำตัวผูกติดกับผมตลอดเวลา เรื่องที่จะมีคนเข้าหาจึงมีน้อยมาก นอกจากพวกใจกล้าจริงๆ แต่คนเหล่านั้นยังไม่ทันได้เริ่มก็ถูกไอ้คนขี้หวงแบบเว่อร์ๆคนนี้ มันกันท่าซะไปต่อไม่ถูก แต่อะไรก็ไม่เท่า หลังจากที่ไอ้ดำตูดหมึกเป็นฝ่ายกันท่าทั้งหญิงและชายเหล่านั้นแล้ว มันกลับมาทำตัวง้องแง้งให้ผมง้ออยู่เป็นประจำ ซึ่งผมก็ง้อเป็นบางครั้งเท่านั้น ขืนตามใจไปซะทุกเรื่องไอ้ดำตูดหมึกจะยิ่งได้ใจ
หากถามว่ามีแต่นนเหรอที่คอยตามหึงหวงผม แล้วผมล่ะไม่รู้สึกหึงหวงนนบ้างเหรอ ยามมีคนเข้าหาแฟนตัวเอง เพราะระดับกัปตันทีมรักบี้ก็ไม่ใช่ขี้เหร่ แถมนนยังเป็นถึงลูกชายคนเล็กของชลาสินธุ์ บริษัทเดินเรือที่ใหญ่ติดหนึ่งในสิบของประเทศด้วย โปรไฟล์ส่วนตัวที่น่าสนใจขนาดนี้ คงไม่ต้องบอกว่ามีคนคิดจะเข้าหาไอ้ดำตูดหมึกของผมมากขนาดไหน แต่เจ้าตัวก็ดูไม่ค่อยสนใจคนเหล่านั้นสักเท่าไหร่ ซึ่งถือเป็นข้อดีและเป็นโชคดีของผมที่นนไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้
ไม่เช่นนั้นผมล่ะไม่อยากจะคิดว่าตัวเองจะวุ่นวายและเจ็บปวดใจขนาดไหน และถึงนนจะมั่นคงกับผม แต่ก็อดไม่ได้อยู่ดีที่จะมีผู้กล้าคิดจะแย่งมันไปจากผม กรณีที่เห็นชัดสุดคงเป็นกรณีของเด็กบิว ซึ่งเป็นคนเดียวกับคนที่ทำให้ผมรู้จักอารมณ์หึงหวงว่ามันเป็นอย่างไร
บิวเด็กผู้ชายที่อ่อนกว่าผมสองปี ที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ให้ความรู้สึกว่าน่ารักน่าเอ็นดู เทียบกับผมแล้วให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การที่ผู้ชายคนหนึ่งจะชอบผู้ชายด้วยกัน ย่อมต้องเลือกที่จะชอบเด็กบิวมากกว่าผม โดยเฉพาะกับนนที่มีภาวะผู้นำและห้าวหาญสมชาย ก็น่าจะชอบในความน่ารักน่าทะนุถนอมที่เด็กบิวมีอย่างเต็มเปี่ยมข้อนี้ และสำคัญที่เด็กนั่นก็ออกจะพร้อมเป็นลูกไก่ในกำมือให้ไอ้ดำตูดหมึกคอยดูแล
ผิดกับตัวผมที่นอกจากจะสมชาย รูปร่างรึก็ไม่ให้ความรู้สึกน่ารักน่าทะนุถนอมเลย เรื่องการตามใจไอ้ตัวดีนั้น ผมก็มีให้มันน้อยเหลือเกิน ทำให้ผมหวั่นใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รู้ว่าเด็กบิวมาชอบนนแล้ว แต่ผมก็พยายามไม่เอาความรู้สึกไม่ดีนี้มาใส่ใจนัก แต่พยายามเอาใจใส่คนของตัวเองให้มากขึ้นในแบบฉบับของผม และถ้าเป็นผู้ชายคนอื่น ผมก็คงโดนทิ้งในข้อหาเฉยชา จนแลดูเหมือนว่าไม่รักไปแล้ว แต่ดีที่เป็นชนนนผู้ชายที่มั่นคงในความรักคนนี้
เมื่อปีก่อนผมยอมรับอย่างไม่อายเลยว่า ผมหึงนนจนเลือดขึ้นหน้า และแทบอยากเข้าไปทำร้ายเด็กบิวเลยทีเดียว เพียงแค่เห็นว่าทั้งคู่จูบกัน แม้จะรู้เต็มอกว่าไม่ได้เกิดจากความเต็มใจของนน แต่พอได้เห็นแววตาเจ็บจนเหมือนจะขาดใจของเด็กบิว ยามที่โดนนนปฏิเสธแบบจริงจัง พร้อมการสั่งสอนไปในตัวด้วยนั้น ผมก็ใจอ่อนและได้สติคืนมากว่าครึ่ง แต่อดที่จะเคืองคนของตัวเองไม่ได้ ตัวก็ออกจะใหญ่แต่ทำไมถึงปล่อยให้คนอื่นเข้าขโมยจูบได้ง่ายนัก ทำให้ผมต้องทำตัวตึงๆไปกับนนข้ามวัน ซึ่งรู้แหละครับว่าไอ้ตัวดีมันรู้สึกผิดและสำนึกตัวไม่น้อย บวกกับที่นนได้แผลน้ำร้อนลวกด้วย ยอมรับเลยว่าตอนนั้นหายโกรธมันไปแล้ว เพราะถ้ามันไม่ห่วงผมมากกว่าตัวเอง มันคงไม่เจ็บตัวเพราะต้องการต้มมาม่าให้ผมกินหรอก
ปัจจุบันผมกับเด็กบิวเกือบจะกลายเป็นพี่น้องแท้ๆไปแล้วมั้งครับ อาจจะเกิดจากที่เด็กนั่นเป็นเด็กน่ารักจากพื้นฐานอยู่แล้ว บวกกับผมเองที่พยายามทำตัวเป็นรุ่นพี่ที่ดีกับบิว ด้วยทั้งสงสารและเห็นใจจึงยอมลงให้ก่อน ยอมที่จะยิ้มให้ยามเจอหน้า และเอ่ยทักเมื่อมีโอกาส หรือแม้แต่ให้ความช่วยเหลือทั้งๆที่เจ้าตัวเค้าไม่เอ่ยปากขอ จนตอนนั้นไอ้ดำตูดหมึกขี้หวงถึงกับเขม่นใส่เด็กบิว ด้วยนึกว่าผมสนใจเด็กบิวเข้าให้ ทั้งๆที่ตอนนั้นแหนมกับบิวเริ่มที่จะมีใจให้กัน ผมก็ไม่รู้นนมันใช้อะไรคิด จนสุดท้ายเด็กบิวก็ยอมญาติดีกับผม กลายมาเป็นน้องชายที่น่ารักจนถึงตอนนี้
นอกจากบิวแล้วผมก็ไม่เคยนึกหึงหวงนนกับใครอีก ไม่ใช่ไม่มีใครเข้าหานนนอกจากบิวหรอกครับ แต่เป็นเพราะนนต่างหากที่ทำให้ผมมั่นใจว่ามันจะไม่มีใครนอกจากผม ผิดกับนนที่หึงด่ะไม่ว่าไอ้หน้าไหนที่มีแววสนใจในตัวผม ผมก็แปลกใจว่าตัวเองทำพฤติกรรมอะไรให้นนไม่มั่นใจในตัวผมรึเปล่า เคยถามก็ได้คำตอบว่ามันไว้ใจผมมากนะ แต่ไม่เคยไว้ใจไอ้หน้าไหนก็ตามที่คิดเกินเลยกับผม เคยท้วงเคยห้ามแต่ไอ้ดำตูดหมึกก็แค่รับปาก แต่ไม่เคยเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านั้นเลย จนผมเบื่อที่จะพูด จึงแกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่บ้างบางครั้งบางคราว แต่ก็มีปรามบ้างถ้ามันดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เกินจำเป็น ผมยอมให้เกิดพอเป็นสีสันชีวิตคู่ของเราเท่านั้น...นั่นแหละความรักที่ผ่านมาของผมกับนน
“แม่ครับพักก่อนมั้ย เบสเอาข้าวกับผลไม้มาให้” ความเงียบคือคำตอบที่ผมได้รับครับ
ผมจึงเดินถือถาดใส่จานข้าวจานชมพู่ที่ถูกผ่าพร้อมทานและแก้วน้ำดื่ม เดินผ่านกรอบประตูตรงไปยังมุมห้อง ที่แม่อรนั่งพิมพ์นิยายอยู่หน้าโต๊ะทำงาน
“แม่ครับ” ผมลองเรียกแม่อีกครั้ง ผลไม่ต่างจากเดิมนักแต่ก็ยังดีที่แม่ยังอือออรับคำถึงการมาของผม
ผมถอนใจนิดก่อนจะตัดใจหมุนตัวเดินออกจากห้องนอนของแม่ และได้แต่หวังว่าท่านจะปลีกเวลามาทานอาหารที่ผมเอามาให้ท่านเหมือนทุกครั้งนะครับ
แม่ผกาก็เป็นซะแบบนี้ ถึงเวลาส่งต้นฉบับนิยายทีไร ท่านจะคร่ำเคร่งอยู่เพียงแค่หน้าจอ มีบ้างที่ลุกมาทำธุระส่วนตัว ส่วนเรื่องอาหารท่านจะลุกมาก็ต่อเมื่อท้องหิวเท่านั้น จนผมเป็นห่วงกลัวว่าร่างกายท่านจะแย่เอา ผมเคยคุยกับท่านเรื่องนี้เหมือนกัน แต่คุณรู้มั้ยว่าแม่ของผมท่านตอบว่ายังไง
‘เบสใส่ความแม่รึเปล่า แม่เนี่ยนะมีพฤติกรรมแบบนั้น...คิกๆ ไม่เอาน่าสุดหล่อของแม่ อย่ากังวลไปนักเลยลูก เดือนหนึ่งแม่ขอแปลงร่างเป็นผีดิบสักอาทิตย์ให้เบสดูแลแล้วกันเนอะ นอกจากนั้นแม่จะขอเป็นนางฟ้าดูแลลูกชายสุดหล่อของแม่แทน...ดีมั้ยครับ’ แม่อรพูดจบก็ดึงผมเข้าไปกอดพร้อมลูบหัวอย่างอ่อนโยน
สุดท้ายผมก็ต้องยอมนักเขียนมือทองสุดที่รัก และด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่อยากทิ้งแม่ให้อยู่บ้านคนเดียว จนต้องยอมขัดใจไอ้ดำตูดหมึก
ผมเคลียร์ห้องครัวเสร็จก็ไล่ปิดประตูหน้าต่าง เปิดไฟหน้าบ้านทิ้งไว้ และปิดไฟในบ้านเหลือเพียงดวงเดียวที่ชานบันได ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป ซึ่งผมก็ยิ้มออกเมื่อเห็นถาดอาหารที่ใส่จานเปล่า วางอยู่หน้าประตูห้องนอนของแม่ ผมไปแง้มประตูเพื่อส่องดูจึงเห็นว่าท่านยังขะมักเขม้นรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์ ก่อนผมจะงับประตูลงตามเดิมอย่างเบามือ กลัวว่าเดี๋ยวตัวเองจะไปกวนสมาธิคุณนักเขียนพวงชมพูเข้า พอผมเดินถึงห้องโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นมาอย่างรู้จังหวะ เหมือนว่าคนที่โทรมาจะมีตาทิพย์รู้ว่าผมว่างพร้อมที่จะคุยด้วย
“ครับ...เพิ่งขึ้นห้อง...ใช่ แม่ก็ทานแล้ว...อืม เพิ่งห่างกันไปถึงสามชั่วโมงเองนะนน” ไอ้ดำตูดหมึกนี่ก็นะขยันหยอดขยันป้อใส่ผมซะเหลือเกิน เราห่างกันไม่ถึงสามชั่วโมงดันทำเสียงออดอ่อยบอกว่าคิดถึง แล้วพอผมพูดแกมตำหนิเข้าหน่อยดันกระเง้ากระงอดสะบัดหางเสียงเข้าใส่อีกแน่ะ
“เบสอ่ะ! นนคิดถึงจริงๆนะเนี่ย อยากกอดด้วย คืนนี้ต้องนอนไม่หลับแน่ๆเลย นนไปหานะ สัญญาจะขับรถระวัง ไปนะๆ” หากถามว่าผมใจอ่อนมั้ยกับเสียงอ้อนๆที่มาตามสาย บอกเลยว่าไม่ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับนน มันไม่คุ้มกันสักนิด
แต่มันคนละเรื่องกับอาการอมยิ้มจนแก้มตุ่ยของผม ยามจินตนาการถึงผู้ชายตัวโตๆที่ทั้งล่ำทั้งดำ จีบปากจีบคอทำเสียงเล็กเสียงน้อย เพื่ออ้อนขอเหมือนเด็กๆ นี่ยังดีที่เราอยู่คนละฝั่งของสายโทรศัพท์ ไม่เช่นนั้นไอ้ดำตูดหมึกคงได้ใจว่าที่ผมเพิ่งห้ามเสียงแข็งไปนั้น ในความเป็นจริงผมกลั้นขำจนปวดแก้มไปหมดแล้ว
“ไม่เห็นต้องเสียงดังเลยนี่ แค่นี้นนก็ยอมแล้ว เบสน่ะใจร้ายมากเลยรู้มั้ย แล้วคืนนี้นนจะนอนยังไงล่ะ” ยังครับยังมีอ้อนมาอีกระลอก ผมจึงพยายามเปลี่ยนหัวข้อให้ไอ้ตัวดีมันเลิกหมกมุ่น
“ที่บ้านเรียกไปคุยเรื่องอะไร มีอะไรให้เบสช่วยมั้ยครับ” สิ้นเสียงผมเท่านั้น นนถึงกลับถอนใจพรืดใหญ่ จนผมเริ่มกังวลว่าเรื่องที่พ่อแม่และพี่ๆของนนเรียกไปคุยนั้น คงเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย
“เฮ้อออ พ่ออยากให้นนตามพี่ชนะพี่กานต์ไปดูงานที่ฮ่องกงช่วงปิดเทอมที่จะถึงนี้น่ะสิ” เท่าที่ฟังก็ออกจะเป็นเรื่องน่ายินดีนี่ครับ แล้วทำไมไอ้ดำตูดหมึกมันถึงดูหนักใจขนาดนั้นก็ไม่รู้
พอผมถามหาเหตุผลที่ทำให้นนส่งเสียงเครียดๆมาตามสาย สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมอยากเอาหัวโขกกำแพงเลยทีเดียว
“มันก็ดี แต่นนไม่อยากห่างเบสอ่ะ แค่คืนนี้นนก็ยังไม่รู้เลยจะหลับลงมั้ย แล้วนั่นตั้งอาทิตย์หนึ่ง นนจะทำไง...ถ้าเบสไม่ได้ลงเรียนไว้แล้วก็คงดี” เสียงท้ายประโยคนี่หงอยจนผิดหูเชียวครับ
ไอ้ตัวดีคงรู้แต่ต้นแล้วว่าทริปนี้ผมคงไปด้วยไม่ได้ เพราะผมลงเรียนที่สถาบันกวดวิชาไว้ตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นรูปการคงไม่ออกมาแบบนี้ เพราะผมคงโดนเจ้าตัวลากไปฮ่องกงด้วยอย่างแน่นอน
“ไม่ใช่เด็กแล้วนะนน แค่อาทิตย์เดียวเอง ไปถึงนั่นก็เรียนรู้ไว้เยอะๆนะครับ อย่าทำให้พ่อพลแม่อรผิดหวัง”
“ใช่ซี้ๆๆๆ เบสก็พูดได้ดิ เป็นนนฝ่ายเดียวนี่ที่นอนไม่หลับ” ฟังเถอะครับช่างประชดเป็นที่หนึ่ง คงไม่มีใครเกินไอ้ดำตูดหมึกแสนงอนของผมคนนี้อีกแล้ว นี่ถ้าอยู่ใกล้นะ ผมจะดึงริมฝีปากหนาช่างกล่าวหาคู่นั้นให้เจ่อเชียว
“นน! จะหาเรื่องใช่มั้ยครับ!” ไม่ได้ครับต้องดุกันบ้าง เดี๋ยวจะเหลิงจนคุมไม่อยู่ แม้ในใจผมจะไม่มีอะไรไปนอกจากความหมั่นไส้ในตัวไอ้คนขี้งอนช่างประชด
“เบสอ่า ไม่เห็นต้องเสียงดังเลย นนไม่กล้าหาเรื่องเบสหรอกครับ...แต่ตั้งอาทิตย์หนึ่งเนอะ นนแย่แน่ๆ” ถ้าไม่อ้อนคงไม่ใช่ชนนนตัวจริงหรอกครับ
“นน เราไม่ได้อยู่ยุคหินนะครับ โทรศัพท์ก็มี อินเทอร์เน็ตก็มี เราติดต่อกันได้สบายอยู่แล้ว” ผมต้องใจอ่อนกับไอ้ดำตูดหมึกอยู่ดี เสียงที่พูดออกไปจึงไม่ต่างจากการปลอบใจเด็กเล็กๆสักคนหนึ่งเลย
“นนรู้ แต่...มันก็สู้ไม่ได้กับการได้เห็นหน้ากันตรงๆ สามารถกอดได้ จูบได้นี่หน่า~” ประโยคนี้ทำเอาแก้มผมร้อนฉ่าอย่างห้ามไม่อยู่เลยครับ บวกเสียงกระเซ้าท้ายประโยคเข้าไปด้วย ผมแทบอยากจะหายตัวได้ และเอาหมอนบนตักใบที่ผมกำลังซุกหน้าอยู่นี้ ไปปาใส่หน้าไอ้คนเจ้าเล่ห์ขยันหยอดให้ผมได้อายเชียวล่ะ
ผมเงียบไปนาน อีกฝ่ายก็เหมือนรู้ใจไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก ผมได้ยินเสียงนนขยับตัวบนที่นอน ตามมาด้วยเสียงก๊อกแก๊ก ก่อนจะมีเสียงเพลงดังขึ้นคลอเบาๆ ซึ่งผมถึงกลับหุบยิ้มไม่ลง เมื่อจับเนื้อความได้ว่าเป็นเพลงอะไร
*‘...หากเธอก็รัก เธอก็รู้สึกดี ๆ เหมือนกัน แต่เธอก็เขินอายอย่างนั้น ที่จะต้องพูดมา
แค่ร้องว่าอ๊าอิยาอิยา อ๊าอิยาอิยา ก็พอ และฉันก็ขอเป็นคนนั้นที่ดูแลหัวใจ
ไม่เคยบอกรักใครคนไหนเพิ่งจะมีแค่เธอ และฉันก็อ๊าอิยาอิยา อ๊าอิยาอิยา เหมือนเธอ
แค่เพียงเท่านี้เป็นอันเข้าใจ...
ฉันไม่เคยพูดความในใจที่มีกับเธอเลยสักครั้ง เพราะฉันเขินเลยกลัวที่จะพูดไป
ถ้าปล่อยคืนนี้ผ่านไป เก็บความรักไว้อย่างนั้น ก็คงไม่รู้ว่าใจตรงกัน โอกาสอย่างนี้ ต้องพูดไป
ว่าทั้งหัวใจ มีแต่เธอนั้น อยากให้เชื่อกัน พยานคือฟ้าที่เฝ้าดู
แล้วเธอคิดอย่างไรเมื่อได้รู้บอกที อยากฟังจากปากเธอ...’........................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ7 เดือนผ่านไปไวเหมือนโกหกเนอะ
ผู้คนที่เฉียดเข้ามาในชีวิตนนเบส สร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือแม้แต่ความไม่พอใจ
ให้ทั้งคู่ไม่น้อย ก็เหมือนในชีวิตจริงที่เราได้เจอผู้คนมากกมาย บ้างพบเพียงครั้งแล้วก็จาก
บางก็คบหาจนกลายเป็นมิตรแท้ ไม่ต่างจากนิยาย เพียงแต่ชีวิตจริงอาจเลวร้ายกว่านี้
และควบคุมให้เป็นตามใจที่ต้องการไม่ได้ <<< ดราม่าเพื่อ!?

ตอนหน้ามาตามดูชีวิตสุดหล่อยามแฟนล่ำดำถึกไม่อยู่กันค่ะ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
จะมีคนทุรนทุรายมั้ยน้อ
ปล.ใกล้จบล่ะค่ะ เหลือปมสุดท้ายที่ต้องคลี่คลาย (มีด้วยหราไอ้ปมที่ว่าเนี่ย

)
+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตาม
Credit : * “อาย” สิงโตนำโชค
