Part 19 ปรับความเข้าใจ

ภายในโรงแรมหรูของเครือพยัคฆราชกำลังจะมีงานใหญ่โตในคืนพรุ่งนี้......หลังจากที่หยุดร้องไห้ก็ถูกจูงให้ขึ้นรถแล้วมาที่โรงแรมที่เคยมาทานข้าว..ไม่คิดจะขัดขืนอะไร...เพราะคิดว่าถึงขัดขืนยังไง สุดท้ายผมก็ต้องมาอยู่ดี.....ความรู้สึกสับสนยังวนอยู่ในหัวใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่ารู้สึกสงบขึ้นมาก...เพราะได้ร้องไห้และระบายสิ่งต่าง ๆ ที่เก็บไว้ มันน่าอายที่จะบอกว่า.. ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะอ้อมกอดของผู้นำพยัคฆราช อีกคนยอมที่จะยืนอยู่นิ่งๆ เพื่อให้ผมทุบตีให้สาสมกับความรู้สึกโกรธที่มีต่อเจ้าสัวศรันย์
“ วันนี้เราจะค้างกันที่นี่ “
“...................”
“ แปลกนะที่คุณไม่โวยวาย ปกติผมพูดอะไรก็ต้องขัดตลอด...ผมพูดเล่น..ถ้าขืนพาคุณออกมานอนแบบไม่บอกกล่าวผมถูกคุณพ่อไล่ออกจากกองมรดกแน่”
“................” ได้แต่นั่งนิ่งๆ ไม่รู้จะพูดอะไร มาถึงขั้นนี้แล้ว...และตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์ที่จะโต้เถียงกับใครทั้งนั้น มองร่างสูงที่
ยืนล้วงกระเป๋ามองบรรยากาศโพล้เพล้ด้านนอกผ่านกระจกใสในห้องของประธานฯ ....แต่ก็ยังแอบโล่งใจที่ไมได้ค้างจริงๆ ...ความเย็นของแอร์ทำให้ผมต้องลูบแขนตัวเอง...
พึ่บ!
“..ใส่ซะ ผมยังไม่อยากเห็นภรรยาตัวเองมานั่งแข็งอยู่ในห้องนี้...”
“ ขอบคุณครับ “
“ ได้เวลาแล้วล่ะ ไปทานข้าวกัน เชิญครับ..”
“...............” ถอนหายใจกับแววตาขี้เล่นที่ส่งมา บทจะร้ายก็ร้าย บทจะดีก็ทำเอาผมไม่กล้าสบตา ยอมที่จะยื่นมือไปจับมือของคนที่ยื่นมาตรงหน้า...ระยะเวลาที่ผานมาได้ยินแต่เสียงผ่านโทรศัพท์ ตอนนี้ได้เจอตัวเป็น ๆ...แต่ก็แปลกที่รู้สึกคุ้นเคยกว่าแต่ก่อน...
จากบรรยากาศโพล้เพล้ เริ่มจะมืดลง ผมกับคุณโอขึ้นลิฟท์ ..ชั้นที่กดคือชั้นสูงสุด เป็นอีกครั้งที่พี่ชัชไม่ได้ตามมาด้วย...ตอนแรกเข้าใจว่าจะไปโผล่ที่ห้องอาหารที่คุณโอเคยพามากับพวกเพื่อน แต่กลับมาโผล่ที่ชั้นดาดฟ้า...
“เชิญครับ”
“...............” ผมเดินตามแรงกอบกุมที่มือก่อนจะจ้องมองบรรยากาศตรงหน้า...ดาดฟ้าที่ถูกตกแต่งด้วยต้นไม้ที่ใส่กระถางขนาดใหญ่และดอกไม้สีสวยมากมาย...มีหินและกรวดโรยตามพื้น มีน้ำตกเล็ก ๆ อยู่ด้วย...สวยมาก...เหมือนสวนขนาดย่อมที่ถูกจัดแต่งอย่างลงตัวในพื้นที่ที่มีจำกัด...ตรงกลางมีชุดโต๊ะขนาดเล็กที่นั่งได้แค่สองคน มีเชิงเทียนและกับข้าววางไว้อยู่แล้ว...
“สวยไหม ผมจัดเพื่อคุณเลยนะ”
“จัดเพื่อผม”
“ใช่...ผมแค่อยากให้คุณหายเครียด...สามีคุณดีที่หนึ่งเลยใช่ไหมล่ะ”
“..............” กำลังเคลิ้มแต่ก็ต้องหันไปทำตาเขียวใส่คนพูด..เพราะด้านบนมีพนักงานในชุดสูทที่ตอนนี้กำลังเดินไปรินไวน์สีแดงใส่แก้วที่ตั้งบนโต๊ะ...ควรจะอายลูกน้องตัวเองบ้าง..
“ไปเถอะ...”
นั่งลงบนเก้าอี้ที่คุณโอเลื่อนให้ ก่อนจะจ้องมองอาหารหลากหลายบนจานเล็ก ๆ ที่ทำให้มีขนาดพอดีกับโต๊ะ...มาถึงตอนนี้ถึงได้รู้ว่าตั้งแต่เช้าที่ผมไม่ยอมทานอะไร มันเริ่มจะสำแดงตอนเห็นอาหารพวกนี้...
“ อร่อยนะ ผมรู้ว่าคุณชอบ”
“...................” ซูชิหน้าไข่หวานถูกวางลงบนจานผม รู้ได้ยังไงว่าผมชอบทานซูซิ...ค่อย ๆ ใช้ตะเกียบคีบจิ้มวาซาบิที่อยู่ตรงหน้าแล้วเอาเข้าปาก...
..อร่อยจัง...
“ฮ่าๆๆ...”
“................” หยุดเคี้ยวก่อนจะมองหน้าคนที่หัวเราะหลังจากที่นั่งมองผมกิน...อมข้าวปั้นอยู่อย่างนั้นไม่ยอมเคี้ยวต่อรอให้อีกคนเฉลยว่าหัวเราะผมทำไม...
“เปล่า ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าคุณจะปฏิเสธไม่ทานอะไรซะอีก ที่ไหนได้ยอมทานแต่โดยดี ท่าทางคุณเหมือนหิวซะด้วย”
“ แล้วคุณโอให้ผมทานได้ไหมล่ะครับ” อย่างนี้สินะที่เขาว่าโมโหหิว ทั้งที่พึ่งผ่านเรื่องสะเทือนใจจนไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่เช้า ถ้าปกติมีเรื่องอะไรผมก็จะไม่ทานก็ได้ทั้งวันหรือสองวัน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกหิวและอยากกินกลับถูกคนตรงหน้ามาหัวเราะใส่ซะงั้น
...ตกลงพามาหยั่งเชิงว่าผมหิวรึเปล่าใช่ไหม
“ ได้สิ อย่าโมโห ผมก็แค่ดีใจที่คุณยอมทานข้าวกับผม ผมไม่ได้เจอคุณตั้งหลายวัน ต้องทานข้าวคนเดียว...คุณว่าผมจะเหงา
ไหมล่ะ”
“ไม่หรอกครับ อย่างมากคุณโอก็หาสาว ๆ มาทานด้วยก็แค่นั้น”
“หึงเหรอ”
“ ไม่ครับ...” พูดไปก่อนจะเอาซูซิหน้าปูอัดที่อีกคนคีบมาวางให้จิ้มวาซาบิเข้าปาก...วาซาบิฉุนขึ้นจมูกจนน้ำตาคลอ..จะว่าไปพอพูดถึงผู้หญิงแล้วก็แอบหมั่นไส้ คงมีล้อมหน้าล้อมหลังแต่กลับพูดเหมือนตัวเองจะเหงา....
“อย่าร้องไห้สิ ผมไม่มีใครจริงๆ ทานข้าวคนเดียว คิดถึงคุณโทรหา”
“ผมไม่ได้ร้องไห้นะ..แค่วาซาบิขึ้นจมูกเอง..” ผงะถอยเมื่อคุณโอยื่นทิชชู่มาเพื่อซับน้ำตาให้ผม บ้ารึเปล่าผมก็แค่ฉุนวาซาบิก็เท่านั้นเอง...
“โธ่ ไอ้เราก็นึกว่าหึงจนร้องไห้...อยากทานมั่งจัง..”
“ ..................” แอบอมยิ้มเมื่ออีกคนทำหน้าผิดหวัง...และคิดอยากจะแกล้งคนขึ้นมา...ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะคีบข้าวปั้นหน้าปลาไหลจิ้มลงที่วาซาบิจนชุ่ม
“เอาสิ ผมป้อน”
“...................”
“อร่อยไหมครับ”
“ซืดด คุณแกล้งผม...คนอุตส่าห์ทำโรแมนติก ซืดดด!”
“...ก็ผมไม่รู้หนิว่าคุณไม่ชอบวาซาบิ....” ยิ้มกว้างจนอยากจะหัวเราะ เพราะคนที่อ้าปากรับมัวแต่มองหน้าผมเลยงับเอาข้าวปั้นที่ชุ่มวาซาบิเข้าปากพอเคี้ยวและตั้งสติได้ก็สายไปแล้ว วาซาบิคงฉุนขึ้นสมองเพราะตอนนี้คุณโอมีน้ำตาคลอ ๆ ที่หน่วยตาจนเกือบจะหยดไหลแล้ว...ผมคงเป็นคนแรกที่เห็นน้ำตาผู้นำพยัคฆราช ที่เกิดจากวาซาบิ...
“รับผิดชอบผมสิ..ใจร้ายชะมัด..”
“..ขอโทษครับ...” ยังไม่หยุดยิ้ม แต่ก็ยอมที่จะหยิบทิชชู่ยื่นมือไปซับน้ำตาคนที่นั่งนิ่งให้ผมรับผิดชอบ...ใครจะไปรู้ว่าหัวหน้ามาเฟียก็แพ้วาซาบิ...
“ ผมดีใจที่เห็นคุณยิ้ม ทั้งที่ปกติก็ไม่เคยเห็นอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องนี้ผมก็กังวลว่ารอยยิ้มอันน้อยนิดของคุณจะหายไป...แต่ตอนนี้ผมกลับได้เห็น...ต้องขอบคุณวาซาบิใช่ไหม...”
“..................” จู่ ๆ ก็รู้สึกเขินขึ้นมา...ใครจะคิดว่าคนตรงหน้าจะพูดอะไร ๆ เสี่ยว ๆ ออกมาอย่างนี้...ได้ยินอย่างนั้นก็จัดการคีบข้าวปั้นมาใส่จานตัวเองแล้วจิ้มวาซาบิเข้าปาก หันมองนั่นนี่ไปเรื่อย ๆ ...แก้เขิน...ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เงียบ ๆ นิ่ง ๆ หรือทำนิสัยร้ายกาจ จะกลายเป็นเหมือนคนละคนอย่างนี้...
ความขุ่นข้องหมองใจก่อนหน้านี้ ค่อย ๆ จางไปกับสายลมที่พัดเอื่อย ๆ ประทะใบหน้า...คนตรงหน้าหยุดทานอาหารแล้วเอาแต่จ้องหน้าผม ทำให้รู้สึกขัดเขินขึ้นมา...
“ซอ”
“..ครับ...”
“ที่ผ่านมาคุณโกรธผมรึเปล่า..”
“เรื่องอะไรครับ” สายตาและคำถามทำให้หัวใจผมเต้นแรงขึ้น...พยามควบคุมสติและความรู้สึกเข้าให้ที่เข้าทางที่สุด แต่มันก็ทำได้ยากเพราะน้ำเสียงทุ้ม ๆ นุ่ม ๆ ที่เคยได้ยินผ่านโทรศัพท์แต่ตอนนี้มันกลับน่าฟังกว่าเสียงตามสายนั่นซะอีก...
“ทุกเรื่อง..รวมถึงเรื่องคืนนั้นที่บ้านคุณอิฐด้วย”
“...................”
“ถ้าโกรธ..ผมขอโทษ..”
“..ฮะ..อะไร นะ...” ไม่รู้จะตอบคำถามแรกยังไง แต่พอได้ยินคำพูดต่อของคนที่ถามเมื่อเห็นว่าผมเงียบ ก็ทำเอาซูชิที่กำลังจะเข้าปากหล่นลงบนจาน..
“..ผมขอโทษในทุก ๆ สิ่งที่ทำให้คุณโกรธ...รับคำขอโทษผมด้วย..”
“เอ่อ..ผมไม่ได้..กะ..”
“ ..รับสิ...กว่าผมจะพูดได้ มันก็ยากนะคุณ...ถ้าไม่ใช่คุณ ผมไม่มีทางปริปากพูดคำพวกนี้เด็ดขาด..” เอ่อ...จะขอโทษ...ยังมีการบังคับให้ผมยกโทษให้อีก...พึ่งรู้เหมือนกันว่าผู้นำพยัคฆราชขอโทษคนไม่เป็น...แต่เท่าที่ดูสีหน้าหล่อ ๆ นั่นก็ทำหน้าเหมือนกำลังเสียจริตมาเฟียไม่น้อย...อย่าบอกว่าพาผมมาทานข้าววันนี้ก็เพื่อสิ่งพวกนี้...มันจะลงทุนไปไหม...
“ ถ้าผมไม่รับล่ะ..”
“..แล้วจะให้ผมทำยังไง..”
“..ทำไมถึงคิดว่าผมควรจะรับคำขอโทษ..” พึ่งจะเคยเห็นสีหน้าลำบากใจแบบสุด ๆ ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าสิ่งที่เห็นตอนนี้จะไม่ใช่ภาพลวงตา และกำลังจะหลอกให้ผมหลงเชื่อ...
“..เพราะผม......เอาล่ะซอ...ฟังผมนะ...ถ้าฟังจบแล้ว... ทุกอย่างก็แล้วแต่คุณคิด...ผมจะไม่บังคับ..”
“.................” พยักหน้ารับ...รู้สึกว่าลมเย็น ๆ มันกำลังทำให้หัวใจผมเต้นแรงขึ้น...ร่างสูงตรงหน้านิ่งไป...ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดเหมือนกำลังรวบรวมสมาธิและความกล้าที่จะพูดออกมา...ตาคมจ้องมาที่ผมที่นั่งนิ่งรอฟังเหมือนกัน..ถ้าผมไม่รู้สึกไปเอง สายตาที่มองมาดูวิงวอนและมีความหวัง
“....ผมอยากรับผิดชอบคุณ..ในฐานะอะไรก็ได้...ทั้งที่ผมเคยทำให้คุณร้องไห้ แต่ก็ไม่ต้องการให้ใครมาทำให้คุณเสียน้ำตา...ทั้งที่ผมเคยร้ายกับคุณ แต่ผมกลับไม่ต้องการให้ใครมาทำให้คุณเสียใจ...ผมยอมที่ทำทุกอย่างที่คุณพ่อต้องการเพื่อให้ท่านยอมรับเรา...ตอนนี้คุณก็รู้ความจริงทุกอย่างแล้ว...ผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะรั้งคุณไว้อีกถ้าคุณเกิดอยากจะไป...มีเพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือ...ความจริงใจ...ที่ผมคิดว่าผมมีเต็มร้อย..”
“...........................”
“...ผมห่วงคุณเมื่อรู้ว่าคุณทุกข์ใจ...ผมคิดถึงเวลาที่ห่างกัน...ผมทุกข์ใจเมื่อคิดว่าจะต้องเสียคุณไป...”
“........................”
“...ซอ.ฟังผมอยู่รึเปล่า..”
“......................”... พยักหน้าให้คนพูดรู้ว่าฟังอยู่...หลังจากที่นั่งนิ่งเหมือนถูกสาป...กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืน ๆ ...ถ้อยคำทุกคำ..คำพูดที่เอื้อนเอ่ยให้ผมได้ยิน...มันกำลังซึมเข้าไปส่วนนึงของร่างกาย...ไม่เคยได้รู้...ไม่เคยคิดว่าจะได้ยิน...ก้มหน้ามองจานตัวเอง...นี่ความจริง หรือแค่ความฝัน...หัวใจผมเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกมา..
“..อย่างนี้...คุณบอกผมได้ไหม...ว่าเขาเรียกว่า รัก...ใช่ไหม..”
“......................” ส่ายหัวไปมาอย่างช้า ๆ ก่อนจะเงยหน้าพร้อมหยดน้ำตาที่หล่นลง....ไม่รู้...ผมไม่รู้อะไรซักอย่าง...แต่ทุกความรู้สึกที่ส่งมาจากแววตาของคนตรงหน้า...มันบีบหัวใจ...น้ำตาพวกนี้คืออะไร...เสียใจ...ตกใจ...หรือดีใจ...
“ ..นี่คือสิ่งที่ผมต้องการจะบอกคุณ..อยากจะบอกตั้งแต่คืนนั้น...คืนที่ผมคิดว่าอาจจะใช้สิทธิครองตัวคุณได้เพราะความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น..แม้จะต้องบังคับคุณเพื่อให้อยู่กับผม ก็จะทำ...”
“..ผม ไม่รู้...”
“....ซอ....”
“.....คุณ...โอ....ฮึก....” ร่างสูงลุกจากเก้าอี้... ก่อนจะก้าวมาหยุดตรงที่ผมนั่ง....เงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ ก่อนจะยอมลุกขึ้นตามแรงฉุดที่ข้อมือ....เหมือนตัวเองกำลังละเมอ...ยอมทำทุกอย่างที่อีกคนชี้นำ...ร่างผมถูกโอบกอดจมมิดอยู่ในอ้อมกอดกอดอบอุ่น...กันสายลมหนาวเย็นที่พัดมา...ได้ยินเสียงหัวใจของคนที่กอดกำลังเต้นแรง...เหมือนหัวใจของผม...ความรู้สึกมากมายกำลังก่อเกิดโดยที่ไม่เคยรู้ว่ามันมีอยู่...
“...ให้โอกาสผมสิ...ให้ผมได้ดูแลคุณ...ให้ผมได้พิสูจน์...ว่าความรู้สึกพวกนี้...คือความรัก..”
“..ฮึก...คุณ...หลอก ผม ใช่ไหม..” กำเสื้ออีกคนแน่น...กลัว...กลัวว่าสิ่งที่ได้ยินคือคำลวงที่เป็นแค่ลมปาก...เหมือนคนใจง่ายเพียงเพราะความอบอุ่นที่ได้รับ...คำพูดที่ทำให้ใจสั่นไหว...ทั้งที่ไม่เคยรู้ตัว...แต่ก็เหมือนว่ากำลังรอสิ่งเหล่านี้อยู่...
“ รอดูผมสิ...ผม..โอฬาริศ พยัคฆราช...ขอสัญญา..ว่าทุกคำพูดคือความสัตย์จริง...ผมรวบรวมความกล้ามากมายแค่ไหนคุณรู้ไหม...ทั้งที่ถ้าเป็นเรื่องอื่นผมไม่เคยกลัวอะไร....แต่พอเป็นเรื่องนี้... ผมกลับกลัว...กลัวว่าจะเสียคุณไป ถ้าบอกออกไป...”
“..ฮึก...อือ...ผมรับ...ผมรับคำขอโทษ...”
“ และจะให้โอกาสผมที่จะดูแลคุณ”
“ อือ ผม ให้ ฮึก โอกาส..” หัวใจของคน ๆ นี้กำลังเต้นแรงจนผมสัมผัสได้อย่างชัดเจน...ผมกำลังตกหลุมพราง...หรือกำลังทำอะไรอยู่...แค่เพียงรู้สึกว่าตัวเองกำลังมีตัวตน...และบ้านพยัคฆราชก็มีไออุ่นของคุณแม่วนเวียนอยู่....ความรู้สึกจากก้นบึ้งของก้อนเนื้อที่กำลังเต้นบอกให้ผม..ให้โอกาส..และเลิกสนใจคนอื่นนอกจากหัวใจตัวเองซักที...
“ให้ผมขันหมากไปสู่ขอคุณไหม...อย่างน้อย ๆ พวกพี่ ๆ คุณก็ควรได้รับรู้..”
“...มะ..ไม่ครับ..คุณโอ...ผมยัง ไม่พร้อม...” ถึงอีกคนจะพูดกลั้วหัวเราะเหมือนพูดเล่น แต่ผมก็กลัวจริง ๆ รีบดันตัวเองออกจากอ้อมกอดแข็งแรงนั้น แล้วเงยหน้ามองคนที่ยิ้มอย่างมีเลศนัย...ก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้นมาทาบปากผมไว้...
“...พี่โอกับน้องซอ...จะดูสนิทกันมากกว่าไหม...”
“.........................”
*******************************************************
Little part OP 
“...พี่โอกับน้องซอ...จะดูสนิทกันมากกว่าไหม...”
“.........................” ผมยกมือขึ้นไปทาบปากเล็กนั่นไว้...กำลังอินอยู่กับทุกความรู้สึก...ความรู้สึกทุก ๆ อย่างมันมีมานานแค่ไหนไม่แน่ใจ รู้แค่ว่ามันสะสมมาเรื่อย ๆ และอดกลั้นจนมันแทบจะเอ่อล้น...ทำตัวเหมือนเด็ก ๆ ที่ชอบแกล้งคนที่ชอบ...จนกระทั่งเมื่อตอนเย็นที่ผมทนเห็นน้ำตาซอมากมายขนาดนั้นไม่ได้...
“...ไม่เอา....”
“...น้องซอครับ..” โอบกอดร่างเล็กนั่นไว้....ผมไม่ใช่พวกไร้เดียงสาถึงไม่รู้ว่าความรู้สึกที่บอกไปมันคือความรัก...แต่ก็แค่ไม่อยากเร่งรัดความรู้สึกของซอก็เท่านั้น....เพราะรู้ว่าความรู้สึกของคนในอ้อมกอดผมมันบอบช้ำมามากพอแล้ว...
“....ไม่...”
“ น้องซอครับ..” แอบยั่วคนที่ยังไม่ยอมเปลี่ยนสรรพนาม...ทั้งที่กับคนอื่นก็เรียกแทนตัวเองว่าซออย่างไม่ต้องบอก แต่กับผมกลับใช้สรรพนามอย่างเป็นทางการ...
“...พะ..พี่..โอ...”
“..ฮ่าๆๆ น้องซอ..” หัวเราะกับคนที่ยอมปริปากพูดในที่สุด....คนในอ้อมกอดดันอกผมออกเหมือนจะงอนที่ผมหัวเราะเจ้าตัว...แต่ในเมื่อถึงขั้นนี้มีหรือผมจะปล่อย...กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นพร้อมกับโยกตัวไปมาเหมือนจะกล่อมให้อีกคนนิ่งไป....หัวใจพองโต...เพราะวันนี้มันเกิดเพราะเหตุการณ์เมื่อตอนเย็น...ใจผมแทบจะขาดตามไปกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นและน้ำตาเปียก ๆ ที่เสื้อตัวเอง...ไม่คิดว่าคุณพ่อจะบอกความจริงให้ซอได้รู้เร็วขนาดนี้....กับคำสารภาพและสถานที่ที่จัดเตรียมในเวลาไม่กี่ชั่วโมง...ทำให้ไม่มีเวลาเผื่อใจเวลาที่ถูกปฏิเสธ...เมื่อซอตอบตกลงมันก็เลยเหมือนฟลุ๊คและเหมือนฝันไปพร้อม ๆ กัน...
“..หัว เราะ ทำไม...จะฟ้อง เจ้าสัว..”
“...คุณพ่อ..ฝากพี่มาบอกว่า..ให้หยุดเรียกเจ้าสัวซักที...เรียกคุณพ่อได้แล้ว..”
“...จริง..เหรอ...” คนที่น้ำตายังเปียกแพขนตาเงยหน้าออกจากอกผม..พร้อมกับช้อนสายตามอง....ถ้าไม่ติดว่าอยากจะรอเวลา ผมอยากจะบังคับจุมพิตปากแดง ๆ นี่อีกซักรอบ...แต่ถ้าทำจริงๆ ....คงจะถูกเกลียดโดยไม่ต้องสงสัยแน่ ๆ
“ จริงสิ...คุณพ่อเอ็นดูซอมากนะ...เชื่อไหมว่าเราเคยเจอกันด้วย...ตอนนั้นซอยังแบเบาะอยู่เลย...น้านีย์เคยพาซอออกมาเจอพี่กับคุณพ่อ...แต่แค่แป๊บเดียวเพราะกลัวว่าเจ้าสัวศรันย์จะมาเจอ...”
“...เหรอ...คุณแม่คงกำลังทุกข์ใจใช่ไหม...”
“...พี่คิดว่าอย่างนั้น...แต่คุณพ่อบอกว่าน้านีย์เป็นคนที่เข้มแข็งมาก...ทั้งที่เจ้าสัวศรันย์บอกว่าไม่ต้องการซอ...เพราะเป็นผู้ชาย...คุณพ่อเลยให้พามาอยู่ที่บ้าน...แต่เธอกลับยืนกรานว่า ซอคือสายเลือดราชสีห์เกริกไกร ...ยังไงก็ต้องอยู่ที่นั่น..พี่แอบหอมแก้มซอตั้งหลายครั้ง...”
“...ลามกแต่เด็ก...”
“...ตอนนั้นจะรู้เรื่องอะไรเล่า...สบายใจขึ้นหรือยัง...พรุ่งนี้จะต้องออกงานด้วยกันแล้วนะ...อย่างน้อย ๆ พรุ่งนี้ซอจะต้องเจอและตอบคำถามของพี่ชาย...สายตาดูแคลนจากผู้ชายคนนั้น...” ความโล่งใจและอิ่มใจทำให้ไม่ยอมปล่อยคนในอ้อมกอดง่ายๆ อยากจะเล่าความหลังที่ผมจำได้ให้อีกคนได้รับรู้...รวมถึงอยากจะให้ซอเตรียมใจกับสิ่งที่จะเจอพรุ่งนี้...อยากให้เข้มแข็ง...และยืนอยู่ด้วยกันจนถึงที่สุด...
“..แล้ว พี่โอ...จะอยู่กับซอ...ใช่ไหม..แค่ยืนอยู่ด้วย...ซอคงไม่เป็นไร..”
“....ใช่...พี่จะอยู่กับซอ....” ...แค่คำพูดไม่กี่คำทำให้รู้ว่าอีกคนเริ่มจะวางใจ...แน่นอน...จะยืนอยู่ด้วยกัน...ให้แค่ยืนอยู่ด้วย... ก็หมายความว่า อยากจะเผชิญหน้าทุกอย่างด้วยตัวเอง....แต่ก็อยากจะหันมาเมื่อหวั่นไหว แล้วเจอใครซักคนที่ยืนด้านหลัง....และตัวผมก็พร้อมเสมอที่จะกางปีกปกป้อง...คนที่ผมรัก...
มีต่อด้านล่างค่ะ