Fic TaoKacha : In the DARKNESS. จบแล้วนะคะ เอามาลงเพราะจะรวมเล่ม :) ขอฝากไว้ในอ้อมใจ .
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Fic TaoKacha : In the DARKNESS. จบแล้วนะคะ เอามาลงเพราะจะรวมเล่ม :) ขอฝากไว้ในอ้อมใจ .  (อ่าน 21805 ครั้ง)

BKAFFEE

  • บุคคลทั่วไป
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

Share This Topic To FaceBook

BKAFFEE

  • บุคคลทั่วไป
- IN THE DARKNESS -


STORY BY กาแฟ
HOPELESS ROMANTIC







๑. โมงยามของความรัก



มีความปรานีเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ ‘ความรัก’ หยิบยื่นให้เรา
ซึ่งมันช่างน่าแหนงหน่ายในความหนาวยะเยือกครั่นคร้ามประสาทไขสันหลังซึ่งไม่อาจทานทนต่อสิ่งเศร้าสลดที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน จะว่าไป ความรัก บ่อยครั้งก็ฆาตกรรมเราอย่างเลือดเย็น ฉับไว คล้ายการชำแหละของฆาตกรซักคนผู้เลื่องชื่อ ฆาตกรที่ไม่ลืมจะเย็บปิดปากแผลก่อนจะหายตัวเข้าไปในซอกหลืบมืดทึมของเงาตึกซึ่งหลบเร้นจากเสียงอึกทึก ปะปนไปในความปกติได้อย่างปกติธรรมชาติ ทิ้งคราบฝังบนพื้นทางเดินซึ่งเราไม่อาจล่วงรู้ ย่ำย้ำเหยียบทับบนรอยก้าวย้ำวนของเรา เพราะเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่เดินผ่านตรอกเปลี่ยวร้างนั้น เพราะมันเป็นทางกลับบ้าน บ้านที่น่าอยู่ ด้วยเราคิดอยู่เสมอว่านั่นคือที่ที่สงบสุขและแสนอบอุ่นใจ

ความรัก คือสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือสถานที่แห่งหนึ่งในตัวเราที่นอกเหนือจากคำมายาว่า ‘ความสุข’ แล้ว ล้วนอุดมไปด้วยความทุกข์ทน ป่วยไข้ เจ็บปวดรวดร้าว ตะเกียกตะกาย ตะกรุมตะกรามช่วงชีวิตซึ่งลุ่มหลงขดเงาในเขาวงกตของความสัมพันธ์ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ความรักมักไม่ยอมให้เราตาย ความรักปรานีเรามากพอ พอ ๆ กับที่ทารุณเรามากกว่านั้น การมีชีวิตอยู่มักทารุณกว่าการตายไปเสมอ ดังนั้น ความรักจึงมักโบยตีเราให้ซมไข้ ครึ่ง ๆ กลาง ๆ อยู่ระหว่างช่วงเวลาการตายทั้งเป็น คาบเกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่อย่างตายซาก ผุพัง

ความรัก สร้างซ้อนมิติความรู้สึกได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ทำให้บางครั้ง คนเราสามารถรุมเร้าบ้าคลั่งภายในตัวตนของตัวเองเพียงผู้เดียวได้ และแปลกแยกที่จะปฏิเสธมัน อวลอากาศในความรักทำให้เราคลั่งขมอย่างขื่นเงียบ บางครั้ง เราสูดความสำนึกผิดเข้าไปโดยทำอะไรไม่ได้นอกจากดำเนินสิ่งที่กำลังเป็นไปให้มันไปต่ออย่างไม่ลดละ แต่ก็นั่นแหละ ใช่ว่าความรักจะไร้รสอ่อนหวาน ความรักยังมีเยื่อใยบอบบางแห่งความปรานีที่ค่อย ๆ ขยายรายละเอียดของปากแผลและการเย็บปิด

ในที่สุด เปลือกตาแห่งความรักก็ถูกฉีกไปอีกเปลือกหนึ่ง บางครั้งบางครา ความมืดก็ลอดผ่านแสงเข้ามาอย่างน่ากังขา กระทบนัยน์ตาอ่อนล้าหน่ายเนือย ขับเน้น สะท้อนภาพ ซึ่งเราไม่อาจหลบพ้นด้วยการหลับตา

แสงสว่างและความมืด ในโมงยามของความรัก



ตอนที่พื้นใต้เท้าสะเทือนไหว รู้สึกเหมือนหล่นวูบลงจากที่สูงทั้งที่ยังนั่งอยู่กับที่ จู่ๆ เขาก็หวนคิดถึงความหลัง ความสะเทือนสะท้านที่รับรู้เชื่อมต่อเขาเข้ากับบางสิ่งอีกครั้ง
เขาและเต๋า
การสั่นไหวจอมปลอมของพื้นที่ที่เหยียบยืน
คชาเอเอฟแปด
นนทนันท์ อัญชุลีประดิษฐ์
เขา

เขาแค่นหัวเราะอย่างไม่รู้จะทำสิ่งใด การเดินทางของความทรงจำเกิดขึ้นได้ง่ายดาย เราคัดเลือกสถานที่จากสถานที่ที่เราเดินทางไปพบด้วยสายตาและการได้ยิน ซึ่งบางครั้ง ก็ผ่านมาโดยบังเอิญ เราเลือกการเดินทางซื่อบื้อทำนองว่าซื้อตั๋วไปใต้แล้วค่อยวกกลับมาเหนือสุดของประเทศด้วยขบวนรถไฟเชื่องช้าหม่นเศร้า หรือรถทัวร์เกรดต่ำแออัด พร้อมหนังสือสองสามเล่มที่ยิ่งเพิ่มเติมการเดินทางของความทรงจำให้ยิ่งวิ่งฉิวขึ้นไปอีก เสียบหูฟังฟังเพลงที่ไม่ได้ฟังมานานแล้ว รื้อเพลงออกมาฟังทีละเพลง ทีละเพลง กระตุ้นเตือนความทรงจำระหว่างกันและกัน

เงียบใบ้ไร้ความรู้สึก
การเดินทางของความทรงจำรัดรึง และปิดปาก ปิดหู ปิดตา ปิดกั้นมัดรั้ง ตัวเรา
เขาเดินทางไปถึงโดยไม่อาจขยับตัวได้ นอกจากร้องไห้เงียบๆในความมืดเพราะถูกแสงสว่างซัดซ้ำจัดจ้าพร่ามัว



คนที่เป็นเหมือนแสงสว่าง

“ผมห่วงคชาที่สุดเลย ห่วงที่สุดเลยในเนี้ย ห่วงคชาคนเดียว...”
เขาดึงสติของตัวเองที่กำลังครุ่นคิดถึงอะไรหลายอย่างกลับมาทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นจากคนผิวขาวจัดข้างตัว สีหน้าคชายังคงนิ่ง ทั้งที่ในใจกำลังขึงตึงได้ที่
ยุ่งอะไรกับเรื่องของเขา หมอนี่คิดว่าเขากับมันสนิทกันซักเท่าไรเชียว
“เลิกทำไม่ได้เหรอแบบเนี้ย”
“อะไร”
เขากระชากถามเสียงห้วน จะแสดงอะไรออกไปมากก็ไม่ได้ ในเมื่อนี่เป็นรายการเรียลลิตี้ และตอนนี้กล้องก็กำลังจับภาพมาที่เขาสองคน รวมทั้งเพื่อน ทั้งคุณครู ที่รอฟังคำอธิบายอย่างใจจดใจจ่อ
“ก็ไอ้หน้าแบบเนี้ย หน้าไม่รับแขกเนี่ย เลิกไม่ได้เหรอ”
เกี่ยวอะไรกับมึง
ในใจเขาสวนกลับออกไปทันที แต่สิ่งที่แสดงออกไปยังคงเป็นความเงียบ ไม่กล้าพูดอะไรซักคำแม้แต่ตอนที่มือขาวๆเอื้อมมาจับหน้าเขาเบาๆ เขายังคงคอนเซป “คชาหน้าเดียว” อย่างปกติเป็นที่สุด อีกฝ่ายมองหน้าเขาไม่วางตา และอาจรวมถึงสายตาทุกคู่ในห้อง เขาจึงฝืนยิ้มฝืดเฝือออกไปบ้างไม่ให้ผิดสังเกต

นี่เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในบ้านแมคโนเลียที่เขานึกหงุดหงิดและไม่เข้าใจ
คนที่จุดประเด็นขึ้นมายังคงพูดเปิดใจอะไรต่อมิอะไรออกไปอีกนิดหน่อย ก่อนที่เป้าความสนใจจะพุ่งตรงไปยังคนอื่นต่อไป แต่สมองของเขากลับพุ่งตรงไปแต่คนๆนี้อย่างห้ามไม่อยู่
เต๋า วียี่สิบสาม
เขากับมันไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเข้าบ้าน เข้ารอบยี่สิบสี่คนมาด้วยกันแต่ก็ใช่ว่าจะสนิทอะไรกันมากมาย เวลาในบ้านตอนนี้ก็เพิ่งผ่านมาเพียงอาทิตย์เดียว แต่ทำไมมันถึงต้องพุ่งตรงมาที่เขา เอาจุดด้อยของเขาที่ครูทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าให้ปรับปรุงขึ้นมาพูด ไหนจะคำว่าเป็นห่วงนั้นอีก พูดทำไม
คชาไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเอ่ยถาม
หรือจะพูดให้ถูก คือไม่รู้จะเข้าไปพูดเช่นไรเพื่อให้ได้คำตอบนั้นมา
เขาไม่รู้วิธีเข้าหาคนอื่น บางครั้งก็เพราะคิดว่าไม่จำเป็น บางครั้งก็เพราะไม่กล้าพอ ใช่ว่าไม่อยากเปิดใจ แต่เปิดใจที่ใครต่อใครบอกมันต้องทำอย่างไรเล่า เขาไม่รู้... ไม่รู้เลย... จึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ หวังว่ามันจะเลือนหายไปได้เอง

แต่เหมือนไอ้คนที่จุดประเด็นนี้ขึ้นมา จะไม่ยอมปล่อยให้เขาได้ลืมเลือนความสงสัยนั้นออกไปได้เลย
“ไปนอนได้แล้วชา”
เขาไม่แม้แต่จะเงยมองหน้าคนพูดซะด้วยซ้ำ แต่ใจที่จดจ่ออยู่กับเปียโนก็แตกกระเจิงไปหมดแล้ว ไม่มีกระจิตกระใจจะเล่นต่อ เพียงแต่ไม่อยากทำตามคำสั่งที่ดูเหมือนการขอร้องกลายๆของคนๆนี้
“ชา...”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก
ไม่รู้กี่คืนต่อกี่คืนแล้วที่เขาต้องยึดหน้ากาก “หน้าเดียว” ติดหน้าอย่างเหนียวแน่น กลัวว่าจะหลุดสีหน้าไม่พอใจออกไปให้คนทางบ้านเห็น พยายามใช้ความนิ่งเงียบไล่ไอ้คนที่ชอบตามเซ้าซี้ตามเขาไปนอนทุกคืนๆถอยทัพยอมแพ้กลับไปเสียที แต่มีหรือที่จะได้ผล
“ไปนอนได้แล้ว เร็ว คชา ... ลุก”
ไม่ทราบว่าตัวติดกันหรือยังไง
อยากต่อปากต่อคำออกไปใจจะขาด อยากตะโกนถามใส่หน้าว่ายุ่งอะไรกับเขากันนักกันหนา แต่ปากก็หนักเกินกว่าจะถามออกไป เขายังหน้านิ่งหน้าเดียวเหมือนทุกที แต่ในใจกลับหงุดหงิดเต็มพิกัด ละปลายนิ้วจากคีย์เปียโน ยกมือสองข้างขึ้นขยี้ผมจนยุ่งด้วยความเคยชิน แล้วถอนใจแรง ลุกขึ้นเดินเฉียดผ่านหน้าร่างสูงออกไปเตรียมตัวขึ้นนอนโดยไม่มองหน้าขาวจัดนั่นซักนิด
รำคาญ รำคาญมาก
เต๋าตามติดเขาไปทุกที่ นั่งกินข้าวข้างกันบ้างล่ะ ตรงข้ามบ้างล่ะ ซ้อมร้องเพลงซ้อมเต้นใกล้ๆบ้างล่ะ
หรือไม่ว่าจะจับคู่เล่นเกมส์หรือทำอะไร ก็มักลงเอยมาคู่กันโดยบังเอิญเกือบตลอด อย่างกับโชคชะตาเล่นตลกยังไงอย่างงั้น ไม่เว้นแม้แต่เวลานอนที่ยังต้องนอนติดกัน นี่ขนาดจะขึ้นนอนแล้ว ก็ยังจะเดินมาตามเขาให้ขึ้นไปนอนพร้อมกัน

เขาหวงแหนความเป็นส่วนตัว และหมอนี่ทำเหมือนรู้ เลยตั้งใจทำนั่นทำนี่เพื่อวัดความอดทนของเขาซะอย่างนั้น
“ชาชอบกิเหรอ”
ยังไม่ทันขาดคำ คำพูดทดสอบความอดทนก็ตามมาอีกระลอก
เต๋านอนตะแคงหันหน้ามาทางเขา กระซิบคำพูดนั้นเบาๆ
เขารู้ว่าทำไม
คงเพราะวันนี้ เมื่อครูถามเขาว่า เขาคิดถึงใครที่ออกจากบ้านไปแล้วบ้าง แล้วคำตอบที่เขาตอบไปต่อหน้าเพื่อน คือยูกิวีสี่ เสียงโห่ฮิ้วก็ดังตามมาไม่ขาดสายกลายเป็นกระแสภายในบ้านทันที ซึ่งแน่นอน กระแสนี้ต้องดังกระฉ่อนไปยังคนดูด้วยแน่
“คงงั้นมั้ง”
ใช่ เขาไม่แคร์หรอกว่าใครจะพูดยังไง เขายอมรับ เขารู้สึกดีกับยูกิ และรู้สึกใจหายที่ยูกิต้องออกจากบ้านไปก่อน แต่ชอบไหม...  ไม่ เขาไม่รู้ และยิ่งไม่รู้เข้าไปอีก ว่าทำไมนายเศรษฐพงษ์ เพียงพอ คนนี้ ถึงได้สงสัยใคร่รู้และสนใจอะไรเรื่องของเขานักหนา

เพราะเต๋าเป็นแบบนี้ ทุกคนในบ้านจึงคิดว่าเขาสองคนสนิทกัน
สนิท ... งั้นเหรอ เขาแค่นหัวเราะขึ้นมาในใจ
ไม่ ไม่ใช่เลย ไม่ใช่เฉพาะแค่เต๋า แต่เขาเป็นอย่างนี้กับใครต่อใครมากมายหลายคน เขาแทบไม่สนิทกับใครเลย ทั้งที่เขาก็คุยได้กับทุกคน แต่บางคนก็ยังรู้สึกว่าเขามีเปลือกอะไรบางอย่างครอบเอาไว้ ถูกครูเรียกไปคุยก็หลายครั้งหลายหน ด้วยกลัวว่า เขาจะทำให้เวลาที่ได้เข้ามาอยู่ที่นี่เสียเปล่า
ใช่ว่าเขาไม่อยากเปลี่ยน…
เขาพยายามจะแงะบานประตูหัวใจของตัวเองออก พยายามทุบกำแพงบางอย่างให้พังทลาย แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไร ก็ทำไม่ได้เลยซักที เขาได้แต่คิดอย่างนั้น โดยที่ไม่รู้ตัวหรอก ว่าใครคนหนึ่งกำลังพยายามช่วยเขาเปิดประตูหนาหนักบานนั้นอยู่

แสง ขอเพียงมีช่องว่างซักเพียงเล็กน้อย ก็เพียงพอแล้วที่จะแทรกตัวออกไป
แสงที่เล็ดลอดผ่านประตูบานใหญ่ หากแสงนั้นมีน้ำหนัก คงจะเป็นเหมือนเรี่ยวแรงมหาศาลที่กำลังช่วยดันประตูให้เปิดออกช้าๆ
ในโมงยามเหล่านั้น เต๋าคือแสงสว่างนั้น

คล้ายว่าประตูในใจ ค่อยๆถูกดันเปิดออกไปโดยไม่รู้ตัว
เพียงไม่นานที่มีคนบางคนตามติดแจไปในทุกที่ของตัวบ้าน เพียงไม่นานที่มีคนมาเอาแต่ใจใส่ เซ้าซี้ให้หยิบนู่นหยิบนี่ให้ ยาบ้างล่ะ ของกินบ้างล่ะ เพียงไม่นานที่คนๆนั้นพยายามง้างปากคนพูดน้อยอย่างเขาให้ต้องพูดมากเพราะหาเรื่องให้ต้องเถียงกันตลอดเวลา เพียงไม่นานเลย ที่เขาเริ่มชินกับการถูกกอดคอ กอดไหล่ โอบเอว หรือถูกดึงไปกอด ถูกดึงไปนั่งเกยตัก เพียงไม่นานจริงๆ ที่เขาชินกับการมีใครบางคนถือวิสาสะดึงเขาไปนวดแก้ความเมื่อยขบก่อนนอนทุกคืน และเอาแต่ใจบังคับให้เขานวดให้กลับบ้าง ไม่นานเลย ไม่นานจริงๆ ที่เขาเริ่มชินกับสิ่งเหล่านี้จนกลายเป็นเรื่องปกติประจำวัน
ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ที่เขายิ้มมากขึ้น หัวเราะมากขึ้น เป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ออกมาจากใจ

เวลาที่เดินผ่านไปแต่ละอาทิตย์ พาเพื่อนที่อยู่ด้วยกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงออกไปทีละคน ทีละคน แรกๆเขาแค่ใจหาย นานไป จากความใจหายกลายเป็นความเสียใจ เพราะความผูกพัน กลั่นเป็นหยดน้ำตา
“ไม่เป็นไรชา อย่าร้องไห้ ...”
เสียงที่เขาคุ้นเคยดีกระซิบข้างหูยามที่แขนอุ่นๆคู่นั้นโอบรัดร่างเขาเข้าไปสวมกอด เต๋าปาดน้ำตาที่ค้างบนแก้มออกให้เบาๆ และกอดเขาเอาไว้จนแน่น อุ่น... ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรากอดกันบนเวที การแสดงความสนิทสนมและความห่วงใยด้วยการแตะเนื้อต้องตัวเช่นนี้เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน แม้ว่าจะพอรู้มาบ้างถึงกระแสข่าวเต๋าคชา ที่แฟนคลับบางกลุ่มก็ชื่นชอบ บางกลุ่มก็แอนตี้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจ ยังคงทำทุกอย่างเหมือนปกติ ด้วยพวกเขาบริสุทธิ์ใจต่อกัน
หรือไม่ก็ ... พวกเขาก็แค่แกล้งไม่สนใจ แกล้งลืมมันไป

แต่บางครั้ง เขากลับไม่ค่อยแน่ใจเสียแล้ว ว่าเราบริสุทธิ์ใจต่อกันจริงหรือ

“ยังเก็บรักนั้น อยู่ในหัวใจ เธอจะรู้ไหมฉันยังคงพร่ำเพ้อ หลับตาทุกครั้ง ก็ยังเห็นเพียงแต่เธอ ฉันยังคิดถึงเธอเสมอ เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ... “
เขาร้องเพลงนี้พร้อมกับเล่นเปียโน โดยมีเต๋านั่งชิดอยู่ข้างๆ แล้วทันทีที่จบเพลง จอย สาวลั่นของบ้านที่เขาชอบแซวก็ถามขึ้นมาว่าเพลงเมื่อครู่ชื่อเพลงอะไร ยังไม่ทันได้ตอบ แพรวาก็สวนขึ้นมาเป็นเชิงหยอกล้อว่า
“ชื่อเพลง Thinking of you ยูอะไรนะ ยูอะไรรรร...”
“ยู...กิ รึเปล่าาาาา”
แล้วสองสาวก็ทำท่า “ชง” ส่งเสียงโห่แซวเสียงดัง เขาได้แต่ยิ้มน้อยๆแล้วส่ายหน้าไม่ถือสา แต่คนข้างตัวที่นั่งชิดอยู่กับเขากลับขยับแขนขึ้นโอบรอบตัวเขาแน่น
“โหยยยยย พี่เต๋าทำหวงงงงง”
และนี่ไม่ใช่แค่ครั้งแรกที่เต๋าแสดงออกกับเขาแบบนี้
“ทำไมต้องกอดกันด้วยอ้ะ”
แพรวาสาวเจ้าคนเดิมเอ่ยแซว เมื่อเต๋าเดินมากอดเขาจากทางด้านหลังขณะที่กำลังนั่งทานข้าว เพียงแค่เขากำลังคุยหยอกล้อกับต้นสนุกสนาน หากไม่ได้เข้าข้างตัวเองจนเกินไปนัก เขาก็พอจะเดาได้ว่านี่เรียกว่าอาหารหวง แต่จะหวงเพราะอะไร คงมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้

ทุกอย่างยังครุมเครือ แต่กลับไม่มีใครคิดจะเอ่ยคำพูดใดใดออกมาซักครั้ง ต่างคนต่างเงียบ ยิ้มรับคำเย้า ทำทุกอย่างเป็นปกติอย่างที่เคยเป็นมาตลอดสองเดือน เขาเองก็สงสัย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถาม เพราะยังหาคำตอบที่แน่ชัดให้ตัวเองไม่ได้เช่นกันว่าทำไมหัวใจเขาถึงชอบสั่นนัก
โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้
ในคลาสเต้นลีลาศที่เขาสองคนคู่กัน แล้วเขาต้องเต้นท่าผู้หญิง
การแตะเนื้อต้องตัว จับมือและโอบเอว ตามขนบการเต้นที่เขาไม่คุ้นเคย มันทำให้เขาเกร็งจนเต้นผิดเต้นถูกหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เท่ากับความรู้สึกที่ต้องสบสายตากันตรงๆกับคนตัวสูงกว่าในระยะประชิด โดยมีกล้องจับภาพตลอดเวลา เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการห้ามตัวเองไม่ให้หน้าแดง ทั้งที่รู้สึกตัวเต็มที่ว่าเลือดกำลังสูบฉีดจนเห่อร้อน สติที่มี จึงไม่หลงเหลือมาควบคุมหัวใจตัวเองให้ไม่สั่นไหวได้อีก
ใจเขาเต้นแรง แรงมาก เต้นดังจนน่ากลัวว่าคนที่อยู่ใกล้เพียงเท่านี้จะได้ยินมันเข้า
เขารู้ว่านั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกแบบนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก และไม่ใช่ครั้งเดียว เขาใจเต้นทุกครั้งที่เต๋าโอบกอด เต๋าสบสายตา หรือหยิบยื่นความเป็นห่วงเป็นใยที่แสนอบอุ่นมาให้
กอดของเต๋าอุ่นสำหรับเขาเสมอ

วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า อีกหนึ่งคืนที่กำลังจะผ่านไป
เต๋าหลับไปแล้ว ตั้งแต่ไฟในห้องยังไม่ถูกปิด ร่างสูงนอนคว่ำหน้าแนบลงกับหมอน ถีบผ้าห่มไปกองอยู่เสียปลายเท้า จนเขาต้องเอื้อมหยิบมาห่มคลุมให้ เขาเอนตัวลงนอนข้างๆ ขยับผ้านวมหนาขึ้นห่มสูงจนแทบปิดหน้าตัวเองจนหมด แสงไฟสว่างจ้ายังแยงตาอยู่ทำให้ไม่อาจข่มตาหลับได้ลง แต่เพียงไม่นาน...แสงสว่างที่มีก็มืดดับ เวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วไม่รู้เมื่อคนข้างตัวขยับพลิกไปมา
“กอดหน่อย”
ไม่ใช่ประโยคขอร้อง แต่เป็นประโยคคำสั่ง เต๋าตะแคงหันหลังให้เขา ขยับมาจนชิด เขาจึงพลิกตัวนอนตะแคง แล้วขยับแขนขึ้นโอบอีกฝ่ายแนบแน่น อากาศในห้องเย็นจัด แต่ตัวเขาอุ่น เช่นเดียวกับใบหน้าที่อุ่นจนร้อน ภายในห้องมืดสนิท แทบมองไม่เห็นสิ่งใดเพราะไฟถูกปิดลงจนหมด แต่เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เพราะคนที่เป็นเหมือนแสงสว่างอยู่ใกล้เขาเพียงแค่นี้ และเขาก็เอื้อมมือคว้าจับไว้ได้จนแน่น
เขารู้ ... คืนนี้เขาจะฝันดี



เต๋าเป็นพี่ใหญ่
อาจจะไม่ได้โตที่สุดด้วยอายุ แต่ในแง่ของความเป็นผู้ใหญ่แล้ว เต๋าโตกว่าใครเกือบทุกคนในที่นี้มาก
เต๋ามีความรับผิดชอบสูง เต๋าชอบที่จะดูแลคนอื่น เต๋าคอยดุเฟรมให้อาบน้ำ ให้ตั้งใจ อย่ามัวแต่เล่นกีตาร์ เต๋าคอยดุจอยเวลาที่หลุดพูดจาไม่เพราะออกมา เต๋าพร้อมที่จะดุน้องๆหากน้องคนไหนก็ตามชักเกเรนอกลู่นอกทางไม่ตั้งใจเรียนเท่าที่ควร และน้องทุกคนเหล่านั้น ก็พร้อมที่จะเชื่อฟัง
แต่ช่วยบอกหน่อยเถอะว่า เต๋าที่โตแสนโตคนนั้น กับเต๋าที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ ใช่คนเดียวกันจริงหรือ
“ชา...ไปว่ายน้ำกัน”
“อืออ...ไปเลย ไปก่อนเลยครับ แป๊บนึง”
เสียงเซ้าซี้เงียบไปวูบหนึ่ง เพราะอยู่ด้วยกันเกือบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงมาไม่รู้กี่วีคหรอกเขาถึงรู้ ที่เงียบไม่ใช่เพราะยอม แต่เพราะกำลังขัดใจ และพยายามหาทางเอาแต่ใจให้ได้อยู่ต่างหาก
“เต๋าไปว่ายเลย เต๋าเปลี่ยนชุดเลย”
“...”
“เต๋าไปว่ายเลย”
ยัง ยังไม่ยอมไป
เต๋ามองหน้าเขานิ่ง เขาก็เสหลบตาไม่ยอมสบด้วยง่ายๆ จนต้นที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเดาะลิ้นไปมาแล้วยิ้มยียวนกวนประสาท รายนั้นก็ฉลาดเป็นกรด รู้ดีนักเรื่องไม่เป็นเรื่อง หรือจะพูดให้ถูก คือทุกคนในบ้านรู้สึกแปลกๆกับความสัมพันธ์ของเขาสองคนมานาน แต่ที่มีให้เห็นก็แค่แซวกันไปตามเรื่องเหมือนไม่จริงจังอะไร จะมีก็แต่คนที่ประสบปัญหาใกล้เคียงกันอย่างมันนี่ล่ะที่ชอบทำตัวเหมือนรู้ทันเขากับเต๋าอยู่ได้ตลอด
ต้นชงวีเก้า ขวัญใจแม่ยกเต๋าคชา
ก้มหน้าก้มตาสนใจรูปบนโต๊ะอยู่หลายอึดใจ อยากแกล้งหักหน้าคนเอาแต่ใจที่ใครๆมองไม่ออกซะบ้าง จนเงยหน้ามาอีกที เต๋าอยู่ในสภาพครึ่งตัวบนเปลือยเปล่า ครึ่งตัวล่างสวมกางเกงว่ายน้ำสีแสบตาลายจิ๊กซอเรียบร้อยแล้ว
“ชา...”
“อือ ไปเลย”
ตอบปัดอย่างไม่สนใจ หรือจะพูดให้ถูก คือ แกล้ง ไม่สนใจ นั่นแหล่ะ
“ชา..ป้ะ...ไปว่ายน้ำกัน”
แต่นี่ก็จะตื๊อกันเกินไปรึเปล่าวะ เขาหันหน้าไปมองวูบหนึ่งก็หันกลับมา ทันเห็นใบหน้าขาวพองลมอย่างกับปลาทองในตู้จนอดที่จะขำอยู่ในใจไม่ได้ เออ ดี เอาแต่ใจเข้าไป ขัดใจทีไรเป็นอย่างนี้ทุกที
คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้ไปแล้วที่เห็นเขาดื้อแพ่งไม่ตามใจเหมือนเคย จนเขาเดินออกมารับลมแถวสระว่ายน้ำ เจ้าคนเอาแต่ใจคนเดิมถึงได้ออกคำสั่งอีกหน
“ชา ไปเอาโน้ตบุคมาเล่นตรงนี้”
สั่งได้สั่งดี สั่งสั่งสั่งจนเพื่อนร่วมบ้านมองกันด้วยสายตาแปลกๆ แล้วไอ้เขาก็บ้าจี้ตามมันจนไปแบกโน้ตบุคมาเล่นริมสระว่ายน้ำตามที่มันบอกด้วยนะ
“เฟรม อย่าเตะน้ำแรง เดี๋ยวน้ำโดนโน้ตบุคคชา”
แล้วมันก็ยังมีหน้าไปสั่งไอ้เจ้าเฟรม ถ้าจะต้องระวังขนาดนั้น ให้เขากลับไปเล่นข้างในบ้านไม่ดีกว่ารึไง
ท่าจะบ้า แต่เขาบ้ากว่ามันมากนัก ถึงได้ตามใจมันไปแทบซะทุกอย่างแบบนี้
“อื้อ..”
ขนมปังหอมกรุ่นถูกยื่นมาจนติดริมฝีปาก เค้าสะดุ้งเล็กๆเพราะกำลังเล่นเกมเพลินๆ จึงไม่ทันดูว่ามีคนมายืนซ้อนหลังจนชิดแบบนี้ ลังเลอยู่เพียงวูบเดียวก็อ้าปากงับขนมปังนั้นเข้าไปจนเต็มแก้ม ความรู้สึกมันบอกว่าอีกฝ่ายมองเขาอยู่ เป็นเขาเองที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตา ได้แต่ใช้หางตาเหลือบมองซึ่งก็พบเพียงผิวขาวจัดที่มีหยดน้ำเกาะพราวพร่าง ท่อนบนยังคงเปลือยเปล่า เต๋าคงเพิ่งขึ้นจากน้ำมาสดๆร้อนๆ ถึงได้ไม่มีเสื้อคลุมอาบน้ำปิดบังหุ่นที่ใครต่อใครก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าโคตรดีเป็นบ้า ผิวนั้นขาว ขาวมาก ขาวสว่างจ้าเสียจนเขาอยากจะหยีตามองให้รู้แล้วรู้รอด
เขายังนั่งกดอะไรเรื่อยเปื่อยต่อไป แต่สมาธิมันหายกระเจิดกระเจิงไปจนหมดแล้ว เต๋ายื่นหน้าเข้ามาใกล้จอมากขึ้น เมื่อเขาออกจากเกมส์ เปลี่ยนไปเปิดโฟลเดอร์อัลบั้มรูปขึ้นดู และขนมปัง...ที่ถูกยื่นมาจรดกลีบปากอีกครั้ง เขางับเข้าไปอีกคำ รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก แต่จะเรียกว่าพะอืดพะอมก็ไม่ใช่ ...
คงเพราะขนมปังนั่น...
ไม่ใช่เพราะความรู้สึกหวานเลี่ยนปะแล่มในอก อย่างที่คล้ายว่าจะตีขึ้นมาจางๆนี่หรอก
“เข้าไปเล่นในบ้านไปคชา”
ขนมปังเกือบติดคอกะทันหัน มันยังคงสั่งเขาให้ทำนั่นทำนี่อย่างไม่ลดละ และเขาก็ยังบ้าบอเหมือนเคย ที่รีบเก็บของเดินตามหลังไอ้ผู้ชายนิสัยเสียคนนั้นไป
ใครหน้าไหนจะพูดอะไร ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ ไม่ใช่คนที่อาวุโสกว่า เขาไม่เคยเชื่อฟัง มักดื้อรั้นคัดค้าน
แต่คนๆนี้กลับแตกต่างออกไป ไม่ว่าเต๋าจะพูดอะไร เขาเชื่อฟังและทำตามเสมอ
เขาเชื่อเต๋าเสมอ เชื่อใจว่าจะไม่มีวันหลอกลวงกัน

ในโมงยามเหล่านั้น เขารักทั้งแสงสว่างทั้งความมืดในเวลาเดียวกัน
กลางวันเขามีเต๋า กลางคืนเขามีเต๋า มันทำให้ช่วงเวลาที่สว่างที่สุดจนเขารู้สึกเหมือนตัวเองจะถูกกลืนหายไปได้ในแสงสว่าง กลายเป็นความอบอุ่นกำลังพอดี ไม่มากไป ไม่จ้าไป ไม่ร้อนเกินไป มันทำให้ช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุด แสนหนาวเหน็บจนเขาเคว้งคว้าง ไม่หลงเหลือความอ้างว้างอีกต่อไป
ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ความสุขแทรกซึมเชื่อมทุกช่วงเวลาให้แนบสนิทหารอยต่อไม่เจอ

ในความลางเลือนของค่ำคืนหนึ่งที่กำลังจะผ่านไป เต๋าขยับสอดมือมาจับมือเขาแน่นที่ใต้ผ้าห่ม เกลี่ยนิ้วไปมาเบาๆบนหลังมือจนเขารู้สึกจักจี้ ไม่ใช่แค่คืนแรก ไม่ใช่แค่คืนที่สองหรือสาม แต่เหมือนเป็นกิจวัตรประจำวันที่ทำจนติดเป็นนิสัย กล้องคุณภาพดีที่ติดอยู่ทั่วทุกที่ในบ้านไม่มีทางถ่ายทะลุผ้าห่มลงมาได้ จึงไม่มีใครมองเห็นยามที่นิ้วอุ่นๆขีดเขียนตัวหนังสือลงบนฝ่ามือเขา ย้ำๆ ซ้ำๆ คำเดิมๆ ...
คชา คชา คชา คชา คชา
คชา คชา คชา
คชา
เต๋าเขียนชื่อเขา
ไม่มีคำที่พิเศษกว่านั้น แต่เท่านั้น หัวใจเขาก็เต้นไม่เป็นจังหวะ เหมือนจะหลุดลอยไปได้ไกลแสนไกล โดยที่เราไม่ได้พูดอะไรต่อกันแม้แต่คำเดียว และเพียงแค่หันหน้าไปสบสายตา ความมั่นใจก็เอ่อท้นขึ้นมาโดยไม่ต้องมีคำสัญญาใดใด
ทั่วทั้งตัวอุ่นรื้น ซึ่งใบหน้าเขาคงเป็นที่เดียวในร่างกายที่ร้อนเห่อไปหมดอย่างควบคุมไม่อยู่
เรากำลังจ้องมองกันและกัน ด้วยสายตาแบบเดียวกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2013 15:17:33 โดย BKAFFEE »

BKAFFEE

  • บุคคลทั่วไป
(ต่อ)


เวลายังคงล่วงผ่าน เร็วจนแทบไม่มีเวลาตั้งตัว
ทั้งบ้านเหลือสมาชิกเพียงเจ็ดคน บ้านเงียบลงไปอีกหลายอึดใจเมื่อแพรวาไม่อยู่ ความสนิทสนมระว่างทุกคนเพิ่มพูนจนไม่อยากให้มีใครอีกแม้แต่คนเดียวต้องออกไป เขาเองจึงยิ่งหวาดกลัวอยู่ในใจลึกๆตลอดเวลา หากวีคนี้เต๋าที่มีคะแนนอยู่ปากเหวมาตลอดต้องออก หากเป็นเต๋า... เพียงแค่คิด หัวใจก็ไหวสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่เสียแล้ว



“อย่าเยอะเจมส์...”
“ก็ทำไมผมจะทำไม่ได้ พี่ต้นไม่เข้าใจหรอกว่าผมรู้สึกยังไง”
“แกยังเด็ก แกไม่เข้าใจหรอก...”
“ใช่ ผมไม่เข้าใจพี่ พี่เองก็ไม่เคยเข้าใจผมเหมือนกัน”
เสียงทะเลาะกันที่เบาเหมือนเสียงกระซิบ
คชาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เขารู้ ทุกคนรู้ ความสัมพันธ์แค่พี่น้องที่สองคนนั้นพร่ำบอกออกสื่อมันไม่ได้ช่วยให้ใครต่อใครเชื่อหรอกว่าจะเป็นกันเพียงเท่านั้น แต่นั่นคงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่จะพูดออกไปได้
เขารอจนเสียงเถียงกันเงียบลง จึงค่อยเปิดแง้มประตูห้องอาบน้ำออกมา น้องหมีกับพี่กระต่ายยืนชิดกันอยู่ในซอกหนึ่งของมุมประตู บิดบังตัวของทั้งคู่ให้พ้นจากมุมกล้อง ไวเลสก็ถูกถอดออกเมื่อถึงเวลาอาบน้ำ
ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครได้ยิน พวกเขาทำบ่อย เมื่อต้องการคุยอะไรซักอย่างที่ไม่อาจให้กล้องจับภาพและเสียงไปเผยแพร่ได้ ห้องน้ำเป็นที่ที่ดีที่สุด
“ทนอีกนิดเจมส์ ไม่กี่อาทิตย์เท่านั้นเอง”
เสียงต้นอ่อนลงเมื่อเจมส์ซบหน้าลงบนบ่า เพื่อนเขาลูบหัวน้องเบาๆ สองคนนั้นกระซิบอะไรกันอีกคำสองคำก็ผละออก เจมส์เดินเข้าห้องน้ำไป ส่วนต้นทำเพียงหันมาสบตาแล้วยิ้มให้เขาจางๆ ดวงตาคู่นั้นแดงจัดและเอ่อท้น
“น้องมันเด็ก”
เขาพูดได้แค่นั้น ในอกรู้สึกเสียวยอกจนต้องเม้มปากแน่น
“แต่ก็อิจฉามันที่เพราะมันยังเด็กนี่แหล่ะ”
สายตาของต้นเหมือนจะมองทะลุเข้ามาในใจเขาได้ ก้อนเนื้อในอกเต้นรวนจนจุก เขารู้ว่าต้นต้องการจะบอกอะไร
เจมส์เด็กที่สุดในนี้ การแสดงออกที่ดูเหมือนมากเกินไป ทั้งที่ความจริงก็แค่ทำอย่างที่อยากจะทำ
เพราะน้องยังเด็ก ถึงได้กล้าทำสิ่งที่พวกเขาไม่เคยทำได้ ...การแสดงความรัก
เจมส์กล้าพูดออกมาตรงๆ กล้าแสดงออกตรงๆ กล้าที่จะน้อยใจ กล้าที่จะง้อ กล้าที่จะกอด กล้าที่จะหึงหวงให้รู้ว่านี่คือคนสำคัญ แต่พวกเขาได้แต่กลบซ่อน สิ่งที่ออกมาไม่เคยถึงครึ่งหนึ่งที่ต้องการ คำที่อยากพูดไม่เคยได้หลุดจากปาก แม้แต่สายตา...บางครั้งก็ต้องหลุบลงต่ำปิดบังเอาไว้
“ทนอีกนิดเจมส์ ไม่กี่อาทิตย์เท่านั้นเอง”
คำที่ต้นพูดกับน้องเมื่อครู่แวบเข้ามาในความคิด ไม่ใช่แค่สำหรับสองคนนั้น แต่สำหรับเขาด้วยเช่นกัน
ไม่กี่อาทิตย์เท่านั้น กรอบที่ต้องอยู่จะลดหายไปอีกกว่าครึ่งหนึ่ง

เขากอดต้นหลวมๆ ลูบหลังให้คลายกังวล ต้นพยักหน้าอยู่กับบ่าเขาเป็นเชิงว่าโอเคดี กระซิบคำขอบคุณเบาๆแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอีกคน เขาที่กำลังจะผละออกมาแต่งตัวเพราะตอนนี้อยู่ในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวครึ่งล่างโดยท่อนบนเปลือยเปล่ากลับเป็นอันต้องชะงัก เมื่อสายตาคมมองจ้องเขาเขม็งอยู่ตรงหน้า
เต๋าไม่พูดอะไรซักคำ มองเขาอย่างคาดคั้น เขาที่ไม่รู้ว่าสายตานั้นต้องการอะไรจึงไม่อาจเอ่ยปากออกไปได้ และเมื่อเขาไม่พูด ร่างสูงกว่าจึงทำท่าจะผละออกไป
เขาดึงแขนนั้นไว้โดยไม่ทันคิด ทันที่ที่มือเขาแตะลงที่แขนขาว เต๋าก็หันกลับมาอย่างเร็วแล้วกดไหล่เขาแนบกับผนัง เบียดตัวเข้ามาจนชิด ชิดมาก...จนสัมผัสได้ถึงกลิ่นเหงื่อชื้น กลิ่นน้ำหอมที่แสนคุ้นเคย และลมหายใจผะผ่าวบนใบหน้า ภาวนาทั้งที่ใจกำลังสั่น ขออย่าให้มีใครผิดสังเกต ขออย่าให้กล้องจับภาพทัน ขออย่าให้ใครรู้เห็น ...
“กอดต้นทำไม”
“ต้นทะเลาะกับเจมส์”
“รู้ แต่ไม่ให้กอด ทำไมต้องกอด”
เขาเกือบหลุดยิ้มกับคำพูดที่โพล่งสวนมาตรงๆแบบนั้น แต่สีหน้าที่แสดงออกมาคือความนิ่งเฉย
“นั่นเพื่อนนะต๋าววว”
“...”
“เต๋า..ต๋าว...”
เขาเรียกซ้ำ เมื่ออยู่ดีๆเต๋าก็นิ่งไป แล้วก็ต้องสะดุดลมหายใจตัวเองเมื่อเต๋าแนบความนุ่มหยุ่นลงมาที่มุมปาก ไล่ขึ้นมาที่แก้มนุ่ม ค้างไว้อย่างนั้นแล้วขยับเข้าสวมกอดเขาแน่น เต๋ายังไม่ได้อาบน้ำ มีเพียงเขาที่ท่อนบนเปลือยเปล่า เสื้อของเต๋าที่แนบสนิทกับเขาทั้งตัวทำให้ขนลุกซู่เหมือนหนาวเหน็บ ทั้งที่ร่างกายเห่อร้อนจนแทบจะไหม้

เขาพูดอะไรไม่ออก ไม่มีแรงขยับตัว ไม่มีแรงปัดออก ทำอะไรไม่ถูกทั้งนั้น ไม่ทันตั้งตัว ไม่คิดว่าเต๋าจะกล้า แล้วก็ไม่คิดว่าประโยคต่อจากนี้เพียงประโยคเดียวจะทำให้ใจเต้นจนแทบจะหลุดออกมาจากอก
“ฉันเป็นเพื่อนคนเดียวเท่านั้นที่ทำอย่างนี้ได้”
ฝ่ามือที่โอบรัดตรงแผ่นหลังเลื่อนลงมาที่เอว เขาสะท้านไปทั้งตัวแต่ก็ไม่มีแรงปัดออก แล้วเต๋าก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นนอกจากแนบแก้มเข้ากับแก้มเย็นๆของเขา กระซิบคำหนึ่งซ้ำๆ ย้ำ...จนเลือดสูบฉีดไปมาทั่วทั้งตัวหัวจรดเท้า
“คชา คชา คชา ...”
“...”
“ชา...ชาจ๋า...”
เขินจนจะบ้าตายอยู่แล้ว
จะยกมือขึ้นปิดหน้าที่คงแดงไปถึงไหนต่อไหนก็ไม่มีแรงมากพอ คชาหน้าเดียวที่ใครต่อใครยกให้เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวเขาหลุดรุ่ยไม่เหลือชิ้นดี ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสาวน้อยที่ไม่ประสีประสา แค่ถูกแตะนิดหน่อย ถูกพูดแหย่ไม่กี่คำ แก้มก็ร้อนฉ่าเหมือนเนื้อจะไหม้
ไอ้ต๋าว ไอ้บ้า ไอ้เอ๋อ ไอ้..ไอ้...
คิดคำด่าไม่ออกอีกเลย เมื่อสายตาคมที่เจ้าตัวกล้าพูดออกมาเองว่ามีสเน่ห์ที่สุดในร่างกายมองสบมาตรงๆ เขาหลบตาเสมองไปทางอื่น แต่หางตาก็ยังคงมองเห็น ว่าอีกฝ่ายทอดมองเขาด้วยแววตาแบบไหน
บรรยากาศเลี่ยนๆนี่มันอะไร ไม่สิ ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่เขายืนนิ่งให้มันทำอะไรอยู่ได้นานสองนานต่างหาก
คชากัดฟันกรอด โกรธมันก็โกรธไม่ลง โกรธตัวเองไปก็ช่วยอะไรไม่ได้
เต๋าพยายามให้เขาหันมามองสบตามัน ซึ่งเขามองได้เพียงแป๊บเดียวก็ต้องก้มหลบเพราะทนความร้อนบนหน้าตัวเองไม่ไหว แล้วเมื่อสัมผัสหนึ่งแตะลงมาที่ริมฝีปากเพียงแผ่วเบาก่อนจะผละออกไป...
เขาก็ไม่อาจทำใจให้มองหน้าเต๋าได้อีกเลยตลอดทั้งคืน



และแล้ว เราสองคนก็ผ่านเข้ารอบหกคนสุดท้าย
ความพยายามสามปีของเขาเป็นจริง อีกทั้งยังมาได้ไกลอย่างไม่น่าเชื่อ
ทุกครั้งที่มองเห็นแฟนคลับมหาศาล เห็นป้ายไฟ เห็นผ้าเชียร์ ได้รับดอกไม้ สิ่งของ โพสอิท มันมีค่ายิ่งใหญ่ในใจเขาจนความสุขล้นปริ่มไปหมด ความรู้สึกที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้รับ คนแปลกหน้ามากมายที่ตะโกนบอกรักและส่งเสียงให้กำลังใจ ... จนเขาไม่รู้จะตอบแทนพวกเขาอย่างไรดีถึงจะเพียงพอ

และเมื่อรู้สึกถึงคนข้างตัวที่กำลังขยับหามุมที่จะนอนได้อย่างสบายที่สุด ใจเขาก็เอ่อท้นไปด้วยความดีใจและอุ่นใจ ขอบคุณอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ ที่ทำให้เต๋ายังอยู่ตรงนี้
...ข้างๆเขา

“โห ป้ายไฟเต๋าคชาเยอะมากเลยพี่คชา”
กะปอมน้อยเอเอฟแปดพูดกับเขาอย่างตื่นเต้นและยั่วล้อ เขามองผ่านกระจกรถไปยังกลุ่มแฟนคลับที่ยังคงยืนออรอส่งพวกเขากลับบ้านแมคโนเลีย ท้องฟ้ามืดสนิท มีเพียงแสงไฟอ่อนจาง ป้ายไฟสารพัดสีสารพัดรายชื่อจึงโดดเด่นขึ้นมาเป็นพิเศษ
“ป้ายไฟเฟรมวาก็เยอะนะเฟรม”
เขากัดกลับไปบ้างอย่างหมั่นไส้ ทั้งที่รู้ว่าไม่เคยได้ผล เฟรมยกมือขึ้นทำท่าชงตัวเองเหมือนทุกที ไม่ว่าใครจะแซวอะไรก็ทำให้กะปอมน้อยของพวกเขาเขินอายไม่ได้ ดูน่าหมั่นไส้จนอยากแกล้งอยากแซวให้หน้าหงายบ้าง แต่ก็ไม่เคยสำเร็จซักครั้ง
“เฟรมกด้วยพี่เฟรมก”
“เฟรมกิหรอก”
ต้นสวนขึ้นมาแล้วยักคิ้วให้เขา ส่วนคนที่เคยอ่านป้ายไฟตัวเองผิดกลับหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ
“ไม่ได้พี่ นี่สิตัวจริงผม เฟรมแหลมๆ”
ไม่พูดเปล่า ยังเอื้อมแขนไปโอบแพรวแน่นเหมือนประกาศความเป็นเจ้าของ แต่พวกเขาที่รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไรก็ทำได้แค่หาอะไรตบหัวมันคนละทีสองที
“เออ ใช่ซี่ ใครจะไปเหมือนต้นเจมส์ ผมชงต้นเจมส์คร้าบท่านผู้ชม ผมเป็นแฟนคลับคู่นี้ สตูดิโอต้นเจมส์”
น้องหมีกับพี่กระต่ายไม่พูดอะไร ได้แต่หัวเราะหึหึในคอกันทั้งคู่
สองคนนั้นยังนั่งด้วยกันเหมือนเคย ไม่ว่าจะทะเลาะกันหนักเบาแค่ไหน ก็ไม่เคยงอนกันได้เกินสองวันหรอกคู่นี้
แล้วไม่นาน เสียงเอะอะคุยกันดังลั่นรถค่อยๆลดลงเหลือเพียงเสียงกระซิบคุยกันบ้างไม่กี่คำ ทุกคนเหนื่อย ง่วง ล้า และยังใจหายกับผลการแข่งขันที่ออกมา เขาจึงขยับหูฟังขึ้นครอบหูบ้าง... อีกซักพักจึงจะถึงบ้าน พักสายตาหน่อยก็คงจะดี
แต่แล้ว คนที่นั่งหลับมาตลอดทางข้างๆเขาก็เอนหัวลงมาซบที่ไหล่ ...เต๋าหลับตา แต่แรงบีบของมืออุ่นที่กุมมือของเขาเอาไว้ทำให้รู้ว่าเต๋าไม่ได้หลับ ริมฝีปากอ้าออกนิดหน่อยเหมือนจะพูดอะไร แต่แล้วก็ปิดลง แล้วเม้มแน่น เหมือนเต๋าต้องการบอกอะไรซักอย่าง แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา
“หลับเถอะ เดี๋ยวถึงแล้วปลุก”
เขาไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่เมื่อยังไม่อยากบอก เขาก็ไม่คิดจะเร่งถาม ไม่ว่าอะไรก็ตาม เขารอเต๋าได้เสมอ

ในโมงยามเหล่านั้น คืนนั้น เขายังฝันดีเหมือนเคย
แสงสว่างจากหลอดไฟมืดดับลง ค่ำคืนที่มืดมิด อากาศที่หนาวจัด แต่แสงสว่างในใจเขาอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมคว้า ซึ่งเขาก็คว้าเอาไว้ในมือได้จริง ๆ เต๋าจับมือเขาเหมือนทุกที มือเขาอุ่น ใจเขาอุ่น ช่วงเวลาที่มีความสุข ตื่นอยู่ก็เหมือนฝัน หลับนั้น...ก็ยังเหมือนจริง

เต๋าเป็นความฝัน ที่เขาไม่อยากตื่นเลย



The way you look at me
เพลงของสัปดาห์สุดท้ายนี้ ที่เขาไม่ได้เป็นคนเลือก
ทั้งที่ไม่ได้เลือกเอง แต่ยิ่งฟังซ้ำๆเท่าไร หัวใจก็ยิ่งเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก

‘cause there’s somethin’ in the way you look at me
It’s as if my heart knows you’re the missing piece
มีบางสิ่งบางอย่าง ในแววตาที่เธอมองมาที่ฉัน
ราวกับหัวใจจะรับรู้ได้ ว่าเธอ...คือส่วนที่ขาดหายไป

คนที่เข้ามาเติมเต็มทุกสิ่งทุกอย่าง?
ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าเขาในตอนนี้ กับเขาเมื่อเกือบสามเดือนก่อนนั้น ช่างแตกต่างกันจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม เขาไม่ใช่คนหน้าเดียวซีดเซียวทุกข์ทน หลังค่อม มนุษยสัมพันธ์แย่ อย่างที่เขาบอกใครๆอีกแล้ว เขารู้จักการเข้าหาคนอื่น เปิดใจให้เพื่อนๆรับรู้ถึงตัวตน เขายิ้มมากขึ้น หัวเราะมากขึ้น กล้าพูดเล่นจิกกัดคนนั้นคนนี้ ไม่ใช่คนพูดน้อยไม่น่าเข้าใกล้คนเก่า
เพราะแสงสว่างของเขา...
เพราะเต๋า...

I don’t know how or why I feel different in your eyes
All I know is it happens every time …
ฉันไม่รู้...ว่าฉันรู้สึกถึงความแตกต่างในแววตาของเธอได้อย่างไร...ไม่รู้ ว่าทำไม
ฉันรู้แค่...มันเกิดขึ้น...ทุกครั้ง...

ไม่ว่าจะวนเพลงนี้ฟังอีกกี่ครั้ง ร้องเพลงนี้อีกกี่หน ...
ในอกมันเอ่อล้น.. .

 ราวกับหัวใจจะรับรู้ได้ ว่าเธอ...คือส่วนที่ขาดหายไป



ทุกครั้งที่เราจับมือกัน เขาภาวนาเสมอ ทุกครั้ง ... ให้มือเต๋าอุ่นอย่างนี้เรื่อยไป ให้เป็นเขาที่สามารถจับคว้ามือขาวจัดที่แสนอ่อนโยนเอาไว้ได้... เพียงคนเดียว

“พี่คชาหลับแล้วเหรอพี่”
เสียงเฟรมที่เพิ่งคลานขึ้นมาบนเตียงดึงสติเขาที่กำลังจะจมลงในความฝันให้กลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง
ความเงียบปกคลุมอยู่นาน จนเขาคิดว่าทั้งเต๋าทั้งเฟรมคงจะหลับไปแล้ว แต่แล้ว คนที่จับมือเขาอยู่ก็ขยับตัวเล็กน้อย เขาได้ยินเสียงเต๋ากระซิบอะไรบางอย่างอู้อี้กับหมอน คงพูดให้เฟรมฟัง ... คนเดียว
เพราะ...เบาเหลือเกิน เบาจนเขาจับใจความไม่ได้
“วันนั้น...”
เสียงเฟรมดังขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบ แต่ห้องที่เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจแบบตอนนี้ ให้กระซิบเบาแค่ไหน คนที่อยู่ห่างออกมาเพียงเต๋านอนคั่นอย่างเขาก็ยังได้ยินอยู่ดี
แล้วแปลก...ที่ยังไม่ทันที่เฟรมจะได้พูดอะไรต่อ เต๋าก็ปลดมือตัวเองออกจากมือเขาแผ่วเบา พลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าหาเฟรมอย่างเคย ใจเขาวูบหล่นลงไปครู่หนึ่ง มือที่ถูกปล่อยจึงเผลอบีบเข้าหากันแน่น ...
“ผมเห็นคนนั้นของพี่เต๋าด้วย”
“...”
เขาหวังขึ้นมาในนาทีนั้น ว่าเขาอาจจะหูฝาดไป อาจจะกลั่นกรองอะไรผิดพลาด
“พี่เค้ามาดูทุกอาทิตย์เลยเปล่าพี่”
“เปล่า”
“แล้ว...”
เฟรมพูดอะไรต่อไม่รู้ เขาฟังไม่ได้ยินเสียแล้ว เหมือนลมหายใจขาดหายเป็นห้วงๆ เขาหายใจอย่างปกติได้ลำบากเหลือเกิน... ชาไปทั้งร่าง... แล้วมือก็สั่นขึ้นมาจนต้องบีบนิ้วเข้าหากันให้แรงกว่าเดิม เขาจิกเล็บลงไปในมือตัวเอง มือเขาไม่มีความรู้สึกเลย มันชืดชา และสั่นพร่า

“ผมเห็นคนนั้นของพี่เต๋าด้วย”
“ผมเห็นคนนั้นของพี่เต๋าด้วย”
“ผมเห็นคนนั้นของพี่เต๋าด้วย”
“ผมเห็นคนนั้นของพี่เต๋าด้วย”

“ผมเห็นคนนั้นของพี่เต๋าด้วย”

คนนั้นของเต๋านี่ คือใครกันนะ
นึกถามขึ้นมาในใจแล้วก็แทบหลุดหัวเราะด้วยทุเรศตัวเองเหลือเกิน เขาไม่ได้โง่ แม้ตอนนี้เขาอยากเป็นคนโง่ซักแค่ไหน เขาก็ไม่ได้โง่ จึงได้นึกรู้ขึ้นมาเพียงแค่ได้ยินประโยคนั้นประโยคเดียว หรือ...ที่จริงแล้ว เขาอาจจะเป็นคนที่โง่เฉพาะบางเรื่องก็ได้

คืนนั้นทั้งคืน เขาไม่ได้หลับเลยจนถึงเช้า
ตาเขาแสบแดง ไม่ใช่เพราะร้องไห้ แต่เพราะอาการจุกเสียดในอกมันตีตื้นขึ้นมาถึงคอ เขาหายใจไม่ออก กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แต่กลับไม่มีน้ำตาซักหยด อีกทั้ง...ยิ่งเช้านี้ ที่ไฟในห้องถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ความสว่างก็พุ่งกระทบดวงตาของเขาให้ยิ่งเคืองหนัก จนแทบจะลืมตาเต็มที่ไม่ได้
เขานั่งเรียนในคลาสด้วยสติที่มีเหลือน้อยเต็มที
ใจมันฟุ้งซ่านเกินกว่าจะได้ยินสิ่งที่ครูกำลังพูด และเพราะไม่ได้นอน ตอนนี้สมองจึงยิ่งรวน ซ้ำยังเต้นตุบๆเหมือนเตือนให้รู้ว่าไมเกรนกำลังพยายามโจมตีร่างกายของเขาอยู่ แอร์เย็นจัดและแสงไฟยิ่งเร่งให้เขาปวดหัวขึ้นทุกที แต่เขาก็ยังนั่งเฉยไม่บอกใคร และพยายามข่มความทรมานนั้นไว้ข้างในไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า
เขาปวดหัว ปวดมาก ... แต่กลับเป็นครั้งแรกที่เขาอยากจะปวดให้มากขึ้นไปอีก
ให้มากพอที่จะกลบความเจ็บปวดในอก ปวดให้มากกว่าตอนนี้ที่เขากำลังปวดหัวใจจนแทบจะทนไม่ไหว
“...ครูมีของขวัญจะให้พวกเธอทุกคน”
สติเขากลับมาในประโยคนั้น พร้อมกับประตูห้องวอยซ์ที่เปิดออก...
เพื่อนทั้งสิบแปดคนกรูเข้ามาในห้อง พวกเขามองไปยังเพื่อนๆด้วยความตกใจ ก่อนที่ต้นเจมส์เฟรมและแพรวจะวิ่งเข้าไปกอดทุกคน เหลือเพียงเขา...กับเต๋า ที่ยังคงนิ่ง คนขาวจัดเอื้อมมือมาโอบไหล่เขา ดึงให้ลุกขึ้น เขาเกร็งไหล่ขืนตัวโดยอัตโนมัติ รู้สึกเสียวแปลบในอกขึ้นมาอีกครั้ง เขาถอยห่างออกมาก้าวหนึ่ง เต๋าทำท่าจะเดินเข้ามาหา แต่พายุฝูงชนที่กรูเข้ามาก็ทำให้เขากับเต๋าถูกใครมากมายกั้นกลางเอาไว้
เขาเห็น...สายตานั้นมองตรงมาด้วยความไม่เข้าใจ แต่เพื่อให้เขายังสามารถยืนอยู่ตรงนี้ต่อไปได้ จึงจำเป็นต้องหันหน้าหลบไปอีกทาง...
ยูกิ
 เธอมองเขาอยู่ ด้วยสายตาที่เขาแปลความหมายไม่ออก และเชื่อว่าถ้าเขาหันกลับไป ก็คงพบกับสายตาของเต๋าที่กำลังจ้องมองมาเช่นเดียวกัน ความอึดอัดจู่โจมเข้ามาฉับพลัน จนคล้ายว่าเขาจะไม่มีแรงเหลือไว้ทำสิ่งใดได้อีก เขาเหนื่อย เขาปวดหัว
ภาวนาให้ช่วงเวลากลางวันที่แสนยาวนานนี้หมดลงเสียที



ทุกเช้า แสงสว่างมักจะเสียดแทงเข้ามาทำลายโลกแห่งความฝัน
ถ้าเต๋าเป็นความฝันที่เขาไม่อยากตื่น
ตอนนี้ แสงนั้น...ก็คงแทรกตัวเข้ามาระหว่างพวกเขาสองคนเสียแล้ว



คนมากขึ้น ช่องว่างระหว่างเขาสองคนก็มากขึ้นตามไปด้วย
เมื่อวานเราแทบไม่ได้คุยกันซักคำ
แต่ดีแล้ว เขาไม่อยากคุยกับเต๋าตอนนี้ แค่ต้องฝืนยิ้มฝืนหัวเราะก็ย่ำแย่เต็มทน แค่ต้องกล้ำกลืนรสชาติขมปร่าไว้ภายใน แล้วตั้งใจฝึกซ้อมโชว์วีคสุดท้ายให้ดีที่สุด ก็แทบทำให้เขาทนไม่ไหว ... ถ้าต้องฟังเต๋าพูดออกมา ... จากปาก เขาอาจล้มทั้งยืนตรงนั้นก็ได้ และเขาเอง ก็ไม่ได้ต้องการคำอธิบายใดใด ...
จะต้องมีอะไรมาอธิบายกันอีกเล่า ทุกอย่างชัดเสียยิ่งกว่าชัด เขาเองต่างหากที่เป็นไอ้โง่ที่ไม่เคยรับรู้เรื่องราวอะไร

“No one ever saw me like you do all the things that I could add up too. I never knew just what a smile was worth. But your eyes see everything without a single word…”

เนื้อเพลงที่ดังออกจากปากครูเมย์ดังผ่านเข้ามาในหัวเขา...ช้าๆ...
“โอเค...คุณน่ะ เห็นเราแท้จริง ไม่เคยมีใครเห็นเราอย่างนี้ เราอาจจะเป็นผู้ชายหน้าเดียวซีดเซียวแต่คุณเห็นลึกกว่านั้น...อ่า ประมานนั้นนะคะ...”
คชาก้มหน้ามองเนื้อเพลงในมือ เขาพยายามอย่างมากในการควบคุมตัวเองให้มีสมาธิ และซึมซับเนื้อร้องและความหมายเข้าไปให้มากที่สุด
“แค่สายตาของแฟนคลับหรือคนที่รักเรา แค่เนี้ย... คุณไม่ต้องพูดเราก็รู้สึก ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด แค่สายตาก็พอ...”
จบประโยคนั้น สายตาครูเมย์ก็มองเลยไปยังประตูห้องแอ็คติ้ง เขานึกรู้ขึ้นมาโดยไม่ต้องหันไปมอง... ว่าคนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดคงกำลังเดินเข้ามาในคลาสเพื่อรอเรียนเป็นคนถัดไป ซึ่งนั่นก็จริง... เต๋าเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังเขาเพียงครู่เดียว กลิ่นที่คุ้นเคยตีขึ้นมาจางๆจนหัวใจชักจะปวดหนึบ เมื่อเต๋าเลยผ่านหลังเขาไป ความรู้สึกบางอย่างที่ทนไม่ไหวก็ทำให้เขาเผลอปรายหางตาตามไปโดยไม่รู้ตัว
” ‘cause there’s somethin’ in the way you look at me… เพราะวิธีที่คุณมองฉันน่ะ... คือเพลงนี้มันกำลังสื่อถึง..ไม่ต้องพูดน่ะ บางทีแฟนคลับไม่ต้องพูดอะไรกับเรา แค่เค้าส่งยิ้มส่งเสียงกรี๊ดส่งสายตา เราก็รู้ได้...”
เขาไม่มีสมาธิ หน้าเขายังนิ่ง ตัวเขายังนิ่ง แต่ใจมันไม่สงบอีกแล้ว มันกำลังสั่น... สั่นเสียจนเขาต้องกดใบหน้าตัวเองลงต่ำเพื่อข่มอารมณ์
“หรือใครที่เรารัก...ไม่ต้องบอกรัก...แค่มอง...นะคะ”
“ครับ...”
เนื้อเพลงท่อนต่อไป...ต่อไป...ดังไล่เข้าหูเขาเรื่อยๆ
เขาพยายามนึกถึงแฟนคลับที่รักเขา เชียร์เขา ครอบครัว เพื่อน ... มุ่งสมาธิไปที่กลุ่มคนเหล่านั้น กลั่นกรองความหมายของเนื้อเพลงให้แทรกลึกลงไปในใจ
“เคย...อยู่กับใคร แล้วรู้สึกเหมือนอยู่บ้านมั้ย แม้จะอยู่ไหนก็ตาม”
คำถามที่ดังขึ้นมากะทันหันทำให้เขาชะงักไปวืดหนึ่ง
“อบอุ่นน่ะ...”
“…”
“เดินเขา นอนกลางป่า ...แต่ถ้ามีคนๆนี้อยู่ข้างๆเรา มันก็คือบ้าน”
ครูเมย์พูดจบแล้วก็นิ่ง รอฟังคำตอบ...
คำตอบ...ที่ผุดขึ้นมาทันทีโดยไม่ต้องคิดไตร่ตรอง เพียงประโยคคำถามแล่นผ่านสมอง ใจก็ตะโกนชื่อคนๆหนึ่งออกมาประจานตัวเขาจนหน้าชาแล้ว
“หรือ...เหมือนเราอยู่บ้านเรา เรารู้สึกปลอดภัย เราหลับได้จริงๆ หลับแล้วเราจะตื่นมามีความสุข...”
คำอธิบายให้เขาเข้าใจความหมายของเพลงยังคงดังต่อไปไม่หยุด ยิ่งครูเมย์อธิบายมากเท่าไร ชื่อคนบางคนก็ยิ่งดังวนเวียนในหัวมากขึ้นเท่านั้น
คงจะดี ถ้าเรื่องที่เขาได้ยินคืนนั้น เป็นเพียงฝันไป



‘cause there’s somethin’ in the way you look at me
It’s as if my heart knows you’re the missing piece
มีบางสิ่งบางอย่าง ในแววตาที่เธอมองมาที่ฉัน
ราวกับหัวใจจะรับรู้ได้ ว่าเธอ...คือส่วนที่ขาดหายไป

เขากำลังซ้อมเพลงนี้ เนื้อเพลงที่ถูกถอดความหมายรอบแล้วรอบเล่าเพื่อให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งวนเวียนอยู่ในหัว

You make me believe that there’s nothing in this world I can’t be
เธอทำให้ฉันเชื่อว่า...ไม่มีอะไรในโลกใบนี้ที่ฉันทำไม่ได้

คนที่เข้ามาเปิดประตูหัวใจ
ยิ่งใหญ่เหลือเกิน... ทำได้ยังไง... ทำให้คนหน้าเดียวซีดเซียวอย่างเขากลายเป็นเขาที่มีรอยยิ้มอย่างทุกวันนี้

I never know what you see
But there’s somethin’ in the way you look at me
ฉันไม่อาจรู้ได้เลยว่าเธอมองเห็นอะไร
แต่ฉันแน่ใจ...ว่ามันมีบางสิ่งบางอย่างแฝงอยู่ในนั้น... ในแววตาที่เธอมองมาที่ฉัน

ความมั่นใจที่ไหวคลอน…
อะไรกันนะที่อยู่ข้างในนั้น เต๋ามองเห็นอะไรในตัวเขา เต๋ามองเขาด้วยสายตาแบบไหน
ห่วงเขาที่สุด ห่วงกว่าใครทุกคน... ใช่ไหมเต๋า เป็นความจริงใช่ไหม ไม่ได้มองเขาเป็นแค่ไอ้โง่งั่งคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้อะไร จะหลอกอะไรก็เชื่อ...ไม่ใช่ใช่ไหม
เขาอยากพูดคำว่าใช่ ให้ตัวเองได้มั่นใจ แต่เขาไม่อาจเอ่ยคำพูดใดใดออกมาได้เลย...

BKAFFEE

  • บุคคลทั่วไป
(ต่อ)



คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เราทั้งยี่สิบสี่คนจะได้อยู่ด้วยกันในบ้านหลังนี้
พรุ่งนี้ เพื่อนทั้งสิบแปดคนต้องออกจากบ้านไป และอีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น การแข่งขันก็จะสิ้นสุดลง พร้อมกับชีวิตในโลกเสมือนจริงที่พวกเขาใช้มาร่วมสามเดือนที่จะสิ้นสุดตามลงไปด้วย
พวกเขาพูดสิ่งที่อยากพูด บอกอะไรที่ไม่เคยบอก หัวเราะ ร้องไห้ และกอดร่ำลากันอีกครั้ง
เขาผละออกจากอ้อมกอดอ้น คนที่กอดให้กำลังใจเขา และสอนอะไรเขามากมาย น้ำตาที่หยดลงมาใหม่รอบแล้วรอบเล่าถูกเขาใช้แขนเสื้อปาดเช็ดออก เขายิ้มให้เพื่อนอย่างขอบคุณเต็มหัวใจ อ้นตบบ่าเขาเบาๆก่อนจะหันไปกอดคนรอบตัวคนอื่นบ้าง
ความอึดอัดที่จุกแน่นมาหลายวันคลายออกไปบ้างบางส่วน เขากอบโกยลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ กำลังใจที่ล้นเหลือจะทำให้เขาผ่านทุกอย่างไปได้ เขาใช้เวลาไม่รู้ตั้งเท่าไรกว่าจะมีวันนี้ แค่ความรู้สึกบิดๆเบี้ยวๆในใจที่มีต่อคนๆนึง จะทำให้ทุกอย่างที่เขาตั้งใจและพยายามพังลงไม่ได้
คชาพยายามที่จะยิ้ม แล้วเขาก็ยิ้มได้จริงๆเมื่อไม่ว่าจะหันไปทางไหน เพื่อนๆก็ส่งรอยยิ้มให้กำลังใจมาให้ ซึ่ง...หนึ่งในนั้น เขาแกล้งมองไม่เห็นร่างสูงผิวขาวจัดที่ปรายสายตามองมาที่เขาแทบจะตลอด คชารีบหันหนีไปอีกทางเมื่อเต๋าทำท่าจะเดินเข้ามาใกล้
ขณะที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเดินไปหาใคร ผู้หญิงที่เขากล้าบอกเลยว่าตรงตามสเปคของเขาที่สุด ก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้า
“กิ...”
เขากอดเธอ...
เรากอดกัน...
แขนเล็กๆของยูกิคล้องรอบคอเขา แล้วฝ่ามือนุ่มก็ลูบที่หลังเขาเบาๆเหมือนผู้ใหญ่กำลังปลอบใจเด็ก ทั้งที่เขาแก่กว่าเธอหลายปี
“สู้ๆนะพี่ กิรู้ว่าพี่ทำได้...”
เขาไม่ได้พูดอะไรกลับไปมากกว่าเสียงอืออารับคำในลำคอ เขาเคยชอบเธอ เคยชอบมาก จนถึงตอนนี้ เขาก็อาจจะยังชอบอยู่ เธอตรงตามสเปคผู้หญิงของเขาทุกอย่าง เขาชอบสาวหมวย ชอบผู้หญิงเก่ง ชอบคนเข้มแข็ง และยูกิเป็นแบบนั้น
แต่น่าแปลก ... ทั้งที่กอดของยูกิอุ่นแสนอุ่น เป็นเมื่อก่อน เขาคงดีใจ คงตื่นเต้น คงใจสั่น คงอยากกอดเธอเอาไว้อย่างนี้ให้นานเท่านาน แต่ตอนนี้ หัวใจมันสงบเกินไป นิ่งเกินไป กอดที่ชืดชา... ตลกดี ที่วันนี้ หัวใจเขาไม่ได้เต้นแรงเหมือนอย่างเคย
“กิรู้นะ รู้ทุกอย่าง...”
แต่แล้ว เขาก็สะดุดลมหายใจตัวเองขึ้นมาในวินาทีนั้น เสียง...ที่เบายิ่งกว่าเสียงกระซิบ
ตึก ตึก ตึก ...
ใจเขาเต้นแรง เหมือนมันหวาดกลัว
ตึก ตึก ตึก ...
ใจเขาสั่นไม่ยอมหยุด เหมือนมันรู้อนาคตในวันพรุ่งนี้
“...”
ยูกิผละออกมาจากอ้อมกอดอย่างแนบเนียน มองหน้าเขาแล้วยิ้มให้อย่างปกติจนเหมือนประโยคเมื่อครู่นี้เขาเพียงหูฝาดไป
 “...”
แต่ยังไม่ทันที่จะได้กลั่นกรองถ้อยคำใดใด สัมผัสอุ่นที่เขาจดจำขึ้นใจก็โถมเข้ามา
คนที่เขาพยายามหลบหน้ามาตลอดหลายวันกอดเขาเอาไว้ทั้งตัว เขาเห็น กล้องประสิทธิภาพเยี่ยมกำลังแพนมาทางนี้ นี่เป็นไม่กี่ครั้งที่เต๋ากอดเขาแบบนี้จะจะต่อหน้ากล้อง ไม่ใช่กอดไหล่กอดคอเหมือนปกติที่ชอบทำ โชคดีเหลือเกินที่เขาหันหลังอยู่ ไม่อย่างนั้น ก็ไม่รู้เลยว่าเขาจะทำหน้าแบบไหนออกไปให้คนดูเห็นบ้าง
“ชา...”

เต๋าเพียงเรียกชื่อเขา ไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่อ้อมกอดที่รัดเข้ามาแน่นกว่าทุกที ก็ทำให้เขารู้ ว่าไม่ใช่ไม่มีอะไรจะพูด แต่เพียงเต๋าพูดออกมาตอนนี้ไม่ได้ก็เท่านั้น
“ไม่เป็นไรนะ...”
เป็นสิเต๋า เป็นมากด้วย... ความรู้สึกของคนที่รับรู้ทุกอย่างเป็นคนสุดท้ายมันย่ำแย่เหลือเกิน ความรู้สึกของเขาที่ถูกหยิบไปล้อเล่นอย่างสนุกสนาน มันคืออะไรกันเต๋า... เขาอยากร้องถามออกไปใจจะขาด ทั้งหมดคืออะไร... หรือนี่มันถึงเวลาที่เขาต้องตื่นแล้ว ที่ผ่านมาคือฝันไป นี่ใช่ไหมคือความจริง...ใช่ไหมเต๋า...
ในเมื่อเต๋ามี คนนั้น เป็นคนพิเศษ... แล้วเขาเป็นอะไร
เพื่อนสนิท...
คำตอบนั้นง่ายนิดเดียว สั้นๆ ได้ใจความ นิยามความสัมพันธ์ทั้งหมด
“ฉันเป็นเพื่อนคนเดียวเท่านั้นที่ทำอย่างนี้ได้”
เพราะมันเป็นคนเดียวที่เขาจดจำทุกคำพูดได้ขึ้นใจ และทำตามที่มันบอกทุกอย่างอย่างที่ไม่เคยทำให้ใคร
เพราะอย่างนั้น ..เมื่อมันบอกว่ามันเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ทำทุกอย่างแบบนั้นได้ ถ้อยคำนั้นก็ฝังลึกลงกลางใจทันที ตอกย้ำและประทับแน่น...
“อีกแค่ไม่กี่วัน ทำโชว์ให้ออกมาดีที่สุด...ทำให้เต็มที่...”
มันคลายอ้อมแขนออก เขามองผ่านม่านน้ำตา เห็นสายตาคู่เดิมที่ยังอบอุ่นเหมือนเดิม จริงใจเหมือนเดิม ไม่ต่างไปจากที่เคยแม้แต่สักนิด ในอกเจ็บหนึบ ร้าวยอกและไหวสั่น เต๋าถอนใจแผ่วแล้วดึงเขาเข้าไปกอดอีกครั้ง กอดแน่นกว่าเดิม ลูบหลังเขาผะแผ่ว อุ่น...เหมือนทะนุถนอมเขาเสียเหลือเกิน เหมือนเขามีความสำคัญมากมาย เหมือนกอดเขาเอาไว้ราวกับกลัวว่าเขาจะหายไป
เขาไม่หายไปไหนหรอกเต๋า... ในใจกำลังร้องบอก
หัวใจจดจำคำพูดของมันไว้อย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ มันบอกว่ามันจะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่มีสิทธิในทุกอย่าง ใจเขาก็สั่งให้เขายกทุกสิ่งทุกอย่างที่มีให้มันเพียงคนเดียว...โดยไม่อิดออด ขัดขืน แม้แต่น้อย
น้ำตายังไหลเป็นทาง... เขาพยายามเก็บกลืนทุกหยดน้ำตา เพราะรู้ว่าในอีกไม่กี่วินาที ความอบอุ่นที่มีจะต้องผละออกไป



ปวดหัว
เพราะร้องไห้หนักเกินไป ไมเกรนถึงได้กำลังเล่นงานเขาอีกแล้ว
แต่ไม่เป็นไรหรอก เขาคงไม่เจ็บไม่ปวดไปมากกว่าข้างในที่กำลังเป็นอยู่ และคิดว่านับจากนี้ คงมีอะไรอีกมากให้เขาต้องเหยียบเพื่อเดินผ่าน ทั้งกลีบกุหลาบและหนามแหลม คงมีอะไรอีกมากให้เขาต้องอดทนเก็บกอดเอาไว้... แล้วกอดนั้นก็ผละออก หัวใจไหววูบ เคว้งคว้างอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก
คชา ไอ้โง่ โง่ แกมันโง่
ในโมงยามเหล่านั้น มันคงเรียกว่าความรัก... สำหรับความรู้สึกนี้... ความรู้สึกที่...หากไม่มีมัน เขาจะอยู่ไม่ได้ ขนาดตอนนี้ยังไม่ใช่กอดสุดท้าย เขายังใจหาย ขนาดแค่คิดว่านี่เป็นอ้อมกอดเดียวกับที่มันกอดคนพิเศษของมัน เขาก็อยากสะอื้นออกมาให้คลายความทรมาน
มันจะรู้บ้างไหม มันจะคิดอะไรบ้างไหม... แคร์เขาไหม หรือว่าไม่เลย
เจ็บอย่างที่เขาเจ็บรึเปล่า หรือยังมีความสุขดี...
เขาร้องไห้ออกมาอีกหลายต่อหลายรอบ ร้องจนคิดว่าหมดแล้ว...หยดน้ำตา แต่เพียงมีใครเดินเข้ามากอด เอ่ยถ้อยคำให้กำลังใจ น้ำใสๆก็เอ่อท้นขึ้นมาอีกรอบแล้วรอบเล่า ร้องไห้อย่างหมดความอาย อยากระบายเอาความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลออกมาให้หมด
แต่ไม่ว่าจะร้องเท่าไร ก็เหมือนสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจไม่ได้รับการระบายออกมาเสียที .



วูบหนึ่ง เขาคิด
สามปีของความพยายามกำลังพังลงจนยับ

วันหนึ่งในขณะที่เขากำลังซ้อมใหญ่ ตัวเขา...ไม่อาจเป็นตัวเขาได้อีกต่อไป
วินาทีเดียวเท่านั้นที่สมาธิถูกดึงออกไปจากเนื้อเพลง ก็เหมือนบางส่วนของตัวตนกำลังพังทลาย คล้ายยืนส่องกระจกบานใหญ่ แล้วจู่ๆกระจกตรงหน้าก็ร้าวแยก ตกแตกเป็นเสี่ยง...
เหมือนครูพี่ดี้จะรู้ ... ขณะที่เขากำลังเก็บกลืนความขมบาดคอไว้ภายใน คำพูดเหมือนมองทะลุผ่านกลางใจก็ดังเข้ามา
“ตอนนี้ไม่อยู่ในสภาวะนั้นแล้วล่ะ ไม่เป็นไร... ถึงวันนั้น พี่เชื่อว่าทำได้ มันเป็นที่ตัวเอง ไม่ได้เป็นที่เทคนิก ไม่ได้เป็นที่อะไรเลย มันเป็นที่แบบ..ฉันไม่พร้อมตอนนี้ นะ...ไม่เป็นไร”
คชากดแน่นที่หว่างคิ้ว น้ำตากำลังจะไหล เขาไม่อยากให้มันไหลออกมาประจานตัวเองอีก แต่ก็ยากเย็นเกินไปที่จะห้ามปราม
“อย่าเครียดลูกอย่าเครียด”
สามปีของเขา สามปีของเขากำลังจะพังรึเปล่า
เขาร้องเพลงด้วยความรู้สึกเดิมไม่ได้ ความคิดมันตีกันยุ่งไปหมด เขาควรจะจดจ่อสมาธิกับเนื้อเพลงที่ร้อง แต่ใจเขายังประหวัดถึงคนอื่นตลอดเวลา
“พี่เต๋า พี่เต๋า... พี่เต๋า พี่ พี่เต๋า... พี่เต๋าหาย...”
ทั้งที่น้ำตากำลังนองหน้า เขากลับอดหัวเราะหึในลำคอออกมาไม่ได้ เจมส์หนอเจมส์ รู้ไหมว่าคนๆนั้นมันทำให้เขาหลุดพ้นจากความรู้สึกที่แสนหนักอึ้งนี้ไปไม่ได้ น้องเรียกหามันไม่หยุด ยิ่งได้ยินชื่อมัน น้ำตาก็พรั่งพรูออกมาอย่างห้ามไม่ไหว ใครต่อใครเดินเข้ามากอดคอ จับบ่า ลูบหลัง เขาไม่รู้ว่าใครบ้าง... สัมผัสที่ได้รับคงจะอุ่นดี แต่นาทีนี้ เขาก็ยังหนาวเยือกและเคว้งคว้าง
“ปล่อยยาวไป ปล่อยให้หมดคชาปล่อยให้หมด ไม่ต้องไปปลอบ ให้เค้าปล่อยออกมาให้หมด แล้วหมดแล้วหมดเลยแล้วแข็งแรงขึ้น ร้องออกมาให้หมดเลย ระบายความกดดันทุกสิ่งทุกอย่าง ระบายออกมาให้หมดเลย”
ครูรักพูดย้ำเข้ามา... แล้วเขาก็ร้องไห้ออกมาจนแทบจะหมดน้ำตาจริงๆ ร้องไห้หมด ออกมาให้หมด เพื่อจะไม่มีหลงเหลือให้ได้ร้องอีก น้ำอุ่นๆพรากลงสองข้างแก้ม สะอื้นฮักอย่างหมดอาย แต่ใครๆก็คงชินแล้ว
เขาก็ประกาศชัดต่อทุกคนแต่แรก ว่าเขาก็แค่คนขี้แยคนหนึ่งเท่านั้นเอง



คชายืนนิ่งอยู่หน้ากระจก
กระจกบานใหญ่ในห้องน้ำสะท้อนตัวเขาให้เห็นแทบหมดทั้งตัว
ดวงตาก่ำแดง จมูกแดงจัด ไม่มีน้ำตา มีแต่ร่องรอยเหลือให้รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาร้องไห้หนักขนาดไหน
เขายังตกใจกับสภาพตัวเองที่ได้เห็น ไม่แปลกเลยที่คนตัวโตซึ่งแทบไม่รับรู้เรื่องราวอะไรในใจเขาจะตกใจยิ่งกว่า
เต๋ายืนอยู่ตรงกรอบประตู ตลกดีไหม ที่เขารู้ ว่ามันจะต้องมา

เพราะ... มันห่วงเขาอย่างกับอะไรดี มันเคยบอกไว้ และทำอย่างที่พูดเสมอ เขารู้... เขาสัมผัสได้... เขาจำทุกครั้งที่มันคอยปาดเช็ดน้ำตาให้เขาได้ดี และสิ่งเหล่านี้ทำให้ฝุ่นคลุ้งในใจกำลังตกตะกอน ทีละน้อย
“เรา...ต้องซ้อมอีกรอบ รอบแรกพังหมดเลย ไม่มีสมาธิ”
เขากับเต๋า สบตากันผ่านกระจก ดวงตาคู่นั้นที่เขาเคยคิดว่ามีไว้มองเพียงแต่เขาเท่านั้น ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ...เรื่อยๆ... มันเดินมาหยุดยืนอยู่ด้านหลัง ไม่ชิดเหมือนทุกที และนั่นก็ทำให้ใจเขาไหวโคลงเคลงอีกระลอก
วูบหนึ่ง เขาหวังอยู่ลึกๆให้เต๋าสอดมือเข้ามาโอบกอด กอดเขาทั้งตัวอย่างที่ชอบทำ กอดแน่นๆให้เขารู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย เหมือนทุกที... แต่ความเป็นจริงคือเต๋าทำเพียงแค่ลูบหัวเขาเบาๆ ...เท่านั้น
กล้องมากมายในบ้านที่ติดอยู่ เหมือนสิ่งแปลกปลอมที่แทรกเข้ามา ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าอีกไม่นาน...
ไม่นาน...

“ผมเห็นคนนั้นของพี่เต๋าด้วย”
เหมือนได้ยินเสียงเฟรมตะโกนประโยคนี้ให้ฟังข้างหู เขาเผลอจิกเล็บลงในเนื้อ ลมหายใจที่สูดเข้าไปก็เหมือนจะลืมวิธีถอนออกมาชั่วขณะ
คนนั้น ผู้หญิงคนนั้น
“ชา...ชา...”
ผู้หญิงคนนั้นของเต๋า
“ค...คชา...ชา...”
เต๋าบีบที่ไหล่เขาแน่น เขย่าเรียกเสียงสั่นเมื่อจู่ๆเขาก็นิ่งไป เอาแต่มองสบตาตัวเองในกระจกไม่หือไม่อือเหมือนคนสติหลุดลอย
คน...นั้น...
“อย่า...”
ค...น...
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิเต๋า...”
กังวล เป็นห่วง กลัว... มันมองเขาแบบนั้น และลึกลงไปภายในก็ยังคงมีความหมายอะไรมากมายกว่าที่เห็น และมีเพียงเรา ...สองคน เท่านั้น ที่เข้าใจ
“ไปกันเถอะ เราต้องซ้อมใหญ่อีกรอบ...”
“...ชาทำได้”
“…”
ยิ้มเถอะคชา ยิ้มสิ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง
“…”
“อื้อ ชาต้องทำได้แน่ๆ ชาทำได้แน่นอนอยู่แล้ว คอยดูชานะเต๋า...”
แล้วเขาก็ยิ้ม ดูฝืดเฝือนเต็มที คล้ายยกมุมปากเป็นรูปบิดเบี้ยว แห้งแล้งและหม่นเศร้า แต่ความรู้สึกอยากจะร้องไห้ไม่มีอีก เมื่อเขาขยับมือลูบหน้าตัวเอง ก็พบว่าแก้มที่เคยชื้นแห้งสนิท ไม่มีหลงเหลือน้ำตาซักหยด และนั่น ทำให้เขาฉีกยิ้มได้กว้างกว่าเดิมจนแทบจะเป็นปกติ
เขาต้องทำได้แน่ๆเต๋า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม

การซ้อมรอบที่สองผ่านไปได้ด้วยดี
เขาทำได้อย่างที่พูดทุกอย่าง รอบรันทรูก็ด้วย และเขาก็เชื่อมั่นว่า วันนี้ ต้องผ่านไปได้ด้วยดี เช่นกัน
“ตื่นเต้นเนอะ”
เต๋าถามขึ้นมายิ้มๆ เขายิ้มตอบแล้วเอามือวางแปะลงบนใบหน้าขาวจัด ความเย็นและชื้นเหงื่อทำให้เต๋าเบ้หน้า ก่อนจะทาบมือลงทับกับมือของเขา
“อุ่นยัง”
หน้าเขาไม่ร้อน ไม่ขึ้นสีเหมือนสมัยที่มันทำแบบนี้กับเขาใหม่ๆ แสดงความห่วงใยจนเกินพอดี แต่ใจเขาอุ่นรื้น และเขาก็กล้าพอที่จะมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้น
ดวงตาคู่เดียวที่สื่อความหมายนับร้อยพัน
เขาไม่ได้คิดไปเองแน่ ที่ว่าช่องว่างระหว่างปลายจมูกของเขาสองคนแคบลง แต่ที่ไม่รู้คือเป็นเพราะอีกฝ่ายโน้มหน้าลงมา หรือเป็นเขาที่ขยับเข้าไปใกล้กันแน่ แค่อยากจะมองให้ชัดกว่านี้ ดวงตา จมูก ริมฝีปาก ไม่ว่าจะมองยังไงเต๋าก็ดูดี ใบหน้าขาวสว่างหล่อจัดอย่างที่สามารถไปเป็นพระเอกได้สบายๆ
ถ้าไม่ยิ้มจนเห็นฟันล่ะก็นะ
นึกแล้วก็เผลอหลุดหัวเราะออกมาจนคนตรงหน้าขมวดคิ้วสงสัย เขาส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไรทั้งที่ยังไม่หยุดหัวเราะ และนั่นทำให้เต๋าส่งสายตาดุๆมาให้
“อะไรชา”
“เปล่า...”
มือที่ทาบทับมือเขาอยู่จับดึงมือเขาออกมา ...และกุมเอาไว้แน่น
“ที่นี่ห้องแต่งตัว”
สายตาของเต๋าบอกเขาว่าเขาควรจะเอ่ยคำห้ามปราม เผื่อว่าจะได้ผล…
“ไม่เห็นจะมีใครซักคน”
ซึ่งไม่มีครั้งไหนที่ได้ผลหรอก... เราสบตากันโดยที่ไม่มีใครคิดจะเบือนหลบ จนกระทั่งปลายจมูกโด่งกดชิดเข้ามา เหมือนทุกสิ่งหยุดนิ่งไป เสียงใดใดไม่อาจลอยเข้าหู
“บอกชาสิเต๋า ว่าพรุ่งนี้เราก็จะเหมือนเดิม...”
คชาพึมพำเหมือนละเมอ
“เต๋าจะเหมือนเดิม...เราจะเหมือนเดิม...”
จบประโยคนั้น ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก
เราจูบกันทั้งที่ยังลืมตา
เขาไม่กล้าแม้แต่จะกระพริบตา ด้วยกลัวว่าเต๋าจะหายไป



เสียงเปียโนดังขึ้นมาก่อน
อาจจะพลาดไปนิด แต่เขาก็รีบดึงทุกสิ่งกลับมา
เสียงเชียร์ที่ดังก้องช่วยดันหลังเขาไว้ไม่ให้ล้ม เขารู้ได้ในทันทีว่าต่อจากนี้ เขาจะไม่ได้เดินตามความฝันเพียงคนเดียวอีกต่อไป

No one ever saw me like you do
All the things that I could add up too.
 I never knew just what a smile was worth.
But your eyes see everything without a single word.

‘cause there’s somethin’ in the way you look at me.
It’s as if my heart knows you’re the missing piece.
You make me believe that there’s nothing in this world I can’t be.
I never know what you see
But there’s somethin’ in the way you look at me.

If I could freeze a moment in my mind
It’s be the second that you touch your lips to mine.
I’d like to stop the clock, make time stands still
‘Cause, baby, this is just the way I always wanna feel

I don’t know how or why I feel different in your eyes
All I know is it happens every time.

ป้ายไฟละลานตา แฟนคลับนับไม่ถ้วน เสียงร้องเชียร์กึกก้อง เขามองอย่างต้องการจะซึมซับ มองอย่างรู้สึกขอบคุณเต็มหัวใจ ก่อนเปล่งเสียงร้องเพลงท่อนสุดท้ายส่งออกไป

‘cause there’s somethin’ in the way you look at me.
It’s as if my heart knows you’re the missing piece.
You make me believe that there’s nothing in this world I can’t be.
I never know what you see
But there’s somethin’ in the way you look at me.

และยิ้มสุดท้ายในวันนั้น คือรอยยิ้มที่ทุกคนบอกว่าสว่างไสวที่สุด
คชาวีสาม
รองชนะเลิศอันดับสอง ทรูอคาเดมี่แฟนเทเชีย

สามปีของความพยายาม ทำให้เขามีเส้นทางที่จะเดินต่อแล้ว



ในโมงยามเหล่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เหมือนมองดูทุกสิ่งจากชั้นบนสุดของตึกสูง ได้แค่จ้องมอง แต่เบลอเบือนและไม่อาจเข้าใจได้

วันนี้ เขาก็แค่เดินทางกลับไปเพราะอยากจะพบอีกครั้ง อดีตอบอุ่นเลือนราง แต่เขาก็รู้อยู่เต็มอก ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ช่วยอะไร พริบตาหนึ่ง เขารู้สึกเหมือนได้เคลื่อนที่ไปในอีกดินแดนและคิดถึงอะไรมากมายจนจุกแน่น พื้นที่เหยียบยืนกระเพื่อมไหวไปมา หมอกพร่าในจินตนาการลอยอ้อยอิ่ง หมอกเศร้าสร้อยโอบล้อมทุกอย่างเอาไว้ โอบรัดเขาเอาไว้... ความว่างเปล่าข้างในตัวเขา

ยังคงมีร่องรอยหลงเหลือจากสิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดขึ้น ร่องรอยของถนนที่ปริแตก ร่องรอยของอากาศที่แยกร้าวจากสิ่งที่ไม่มีอยู่อีกต่อไป ซากปรักหักพังของความมั่นคง ในขั้นที่ร้ายแรงที่สุด บางทีบางอย่างอาจสูญสลายไปได้ในชั่วพริบตาเพียงการสั่นคลอนเบาๆของพื้นที่เหยียบยืนอีกเพียงครั้งเดียว

ยังคงมีเสียงครั่นครืนจากที่ไหนซักแห่งลึกลงไปข้างใน ดังเลื่อนลั่นทั้งกลางวันกลางคืน แต่ทั้งหมดกลับเกิดขึ้นในความมืด มืดจนไม่อาจมองเห็นอะไรได้เลย ทุกอย่างลดรูปลงเหลือแค่เสียงซึ่งเพียงแค่ดังขึ้นแล้วก็เงียบไป พื้นที่ใต้ฝ่าเท้าสั่นระรัวหนึ่งครั้ง เขาหวาดกลัว... กลัวทุกอย่างจะหายสูญ กลัวคนที่เคยรู้จักและไม่เคยรู้จักจะถูกซัดสาดกวาดหายไปต่อหน้าต่อตา แต่เขาก็มองไม่เห็นหรอก เพราะทุกอย่างมืดสนิท มันสั่น... สะเทือนสะท้าน... พื้นที่ที่เขาเหยียบอยู่มันสั่นอีกแล้ว สั่นจนตัวเขาเองสั่นเทิ้ม สั่นไหวอยู่ตลอดระยะเวลายาวนาน แต่ที่ผ่านมาเขาบอกตัวเองไปเองต่างหากว่าเขากำลังยืนอยู่บนพื้นที่ที่มั่นคง

บางทีถ้าเขาลืม ทุกอย่างคงง่ายดายกว่านี้
ไม่สิ บางที ถ้าทุกสิ่งไม่เคยมีโอกาสได้เกิดขึ้นและดำเนินไป เขาคงจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขที่สุดเท่าที่คนๆหนึ่งจะมีได้โดยไม่ต้องทุกข์ทรมานกับโมงยามใดใด

แต่เขาก็ต้องยอมรับ ไม่มีสิ่งใดแก้ไขคลายคืนได้
ไม่มี...

BKAFFEE

  • บุคคลทั่วไป

- IN THE DARKNESS -


STORY BY กาแฟ
HOPELESS ROMANTIC






๒. เขาและเขา



สรรพสิ่งใดใดระหว่าง ‘เรา’ ดูคล้ายใยแมงมุมชนิดหนึ่งซึ่งมีตัวเขาหรือมันอยู่ตรงกลาง เราผลัดกันถักทอเส้นใยบางอย่าง ใยใสบางๆยืดยาวเกี่ยวพันกับละอองฝุ่น เฝ้ารอแมลงเล็กๆบินมาติดกับ เมื่อได้ที่ เราต่างลงมือพ่นใย ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของโครงข่ายอ่อนนุ่มนี้ จนวันหนึ่ง เราต่างก็ค้นพบความเปราะบางของมัน แมลงบางชนิดที่บินมาติดกับ หากมันดิ้นรนจนใยขาดสะบั้น ร่วงหล่นลงสู่พื้นแข็งกระด้างเยียบเย็น มีเพียงเส้นใยที่เราต่างเกาะเกี่ยวกับมันอยู่เท่านั้น นั่นคือสิ่งที่เราต่างกระทำต่อกัน

เราต่างกระทำต่อกันและกันเพื่อทำให้อีกฝ่ายร่วงหล่น การร่วงหล่นที่งดงามที่สุดที่เคยเกิดขึ้น แผลที่เราต่างลงมือทำ หายแห้งตกสะเก็ด และเราก็ลากเล็บกรีดซ้ำเพื่อให้เลือดพรากลงอีก แผลฉีกเปิดอีก และจูบรอยแผลนั้นทุกค่ำคืนจนมันค่อยๆเหือดแห้งลงอีกครั้ง จนแผลประสานกันด้วยการเกาะตัวของเกล็ดเลือดระเกะระกะ จนมันเป็นแผลที่ลบไม่ออก

เหมือนขึ้นสวรรค์ เหมือนตกนรก
บางครั้งทรมานเหมือนถูกโบยตี บางครั้งอุ่นรื้นเหมือนถูกชโลมด้วยหยาดน้ำใส
แต่ก็ยังขอหลับหูหลับตา

เรานั่งอยู่ข้างกันบนรถตู้ของบริษัท มุ่งหน้าไปยังสตูดิโอเพื่อถ่ายแบบลงนิตยสารและสัมภาษณ์เล็กๆน้อยๆอย่างที่มีมาสม่ำเสมอ เขานั่งเล่นมือถือไปเรื่อยเปื่อย ส่วนเต๋า... รายนั้นนั่งมองฟ้าที่แทรกตัวระหว่างช่องตึกสูงอย่างไม่ละสายตา เหมือนมีอะไรมากมายให้คิด เหมือนมีอะไรมากมายที่คิดไม่ตก
“หิวไหมเต๋า...”
และเขาก็ขอเลือกที่จะไม่ถาม
“เต๋า... หิวไหม...”
ไม่ได้ยินเสียงเขาเลยหรือ แค่ผ่านหูแล้วลอยผ่านไปใช่ไหม ถึงต้องคอยย้ำ ถึงต้องคอยเขย่าให้รู้สึกตัว
“เต๋า... ต๋าว...”
“ห..หืม... ชา...”
“ถามว่าหิวไหม กินขนมที่แฟนคลับซื้อมาให้ก่อนไหม...”
เต๋าส่ายหน้า แต่พอเขานิ่ง เม้มปากเป็นเส้นตรง ท่าทางที่เต๋ารู้ดีว่าเขาไม่ชอบ ไม่พอใจ อีกฝ่ายจึงเปลี่ยนมาเป็นพยักหน้าหงึกหงักแต่โดยดี
“เอาอันไหน”
ขนมปังสองแบบชูขึ้นตรงหน้าให้เลือก เต๋าหยิบอันที่อยู่ในมือซ้าย แต่ไม่ได้หยิบเอาไปแค่ขนม กลับจับมือเขาไปด้วยทั้งมือ พอเขาดึงมือกลับ ก็ยังไม่ยอมปล่อย
“หาเรื่องอ่อ...”
หน้าหล่อๆยิ้มจนตาหยีเป็นขีด แต่ก็ยอมปล่อยมือเขาในที่สุด แกะขนมปังออกกินแต่โดยดี เป็นเขาเสียอีกที่อยู่ดีๆก็วูบโหวงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่ชอบเวลาที่จับมือกันจนแน่นแล้วปล่อยออก เหมือนกับเวลากอดแล้วต้องผละออกไป... ไม่รู้ทำไม แต่เขาไม่ชอบเลย
“วันนี้คนนั้นไม่เห็นโทรมาเลย”
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ถามออกไปอย่างนั้น แต่ก็เป็นคำถามที่เขาถามเสมอ เป็นประจำ คนนั้นของเต๋าทำอะไรอยู่ คนนั้นเค้ารู้ไหมว่าเต๋าอยู่กับชา คนนั้นจะลงมากรุงเทพอีกเมื่อไร และคำถามอีกมากมายร้อยแปดที่เขายกขึ้นมาถามตลอดเวลาที่นึกได้ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่เรากำลังทำอะไร แม้จะเป็นนาทีที่เรากำลังกอดกัน ถ้าเขานึกสงสัยขึ้นมา เขาก็จะเอ่ยปากถาม... และคำถามของเขาจะต้องได้รับคำตอบ...
ไม่ต้องเป็นคำตอบที่เขาพอใจก็ได้ เขาขอแค่ความจริง ขอแค่คำตอบ
“ทำไมวันนี้คนนั้นไม่เห็นโทรมาเลยล่ะเต๋า”
ถามย้ำเข้าไปอีก รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเศษแก้วเคลื่อนขยับ บาดอยู่ข้างใน โดยที่ใครๆก็ไม่อาจรู้
เต๋าขยับปากจะตอบ แต่แล้วก็หุบริมฝีปากฉับ ล้วงไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกง ยื่นส่งมาให้เขา
“ปิดเครื่องไว้...ตั้งแต่เช้าแล้ว”
“ปิดทำไม เดี๋ยวใครๆตามตัวไม่ได้ก็พากันเป็นห่วง ไหนจะเพื่อน ไหนจะที่บ้าน แล้วไหนจะค...”
“ทุกคนรู้ว่าอยู่กับชา มีอะไรด่วนก็โทรหาชาก็ได้”
“...”
“วันนี้ผมอยู่กับคุณ ผมจะปิดเครื่องไม่รับสายใครไม่ได้หรือไงครับ...”
สรรพนามคุณๆผมๆที่เขาสองคนชอบใช้เวลาออกสื่อด้วยกันถูกหยิบมาพูด ไม่บ่อยนักหรอก... และเพราะความไม่บ่อยของสรรพนามที่เลือกใช้ เขาจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากนิ่งเงียบ
“คำตอบไม่น่าพอใจเหรอครับ เงียบเชียว”
“...”
“หืม...”
เขาไม่ตอบ แต่เทศีรษะไปทางขวา เอนพิงลงบนไหล่กว้าง แล้วหลับตา...
แสงแดดนอกรถสว่างเกินไป แม้จะมองผ่านฟิล์มทึบ แต่จ้องมองนานๆก็ยังทำให้แสบตา
ขอพักสายตาหน่อย... เว้นระยะการมองสบกับแสงสว่างบ้าง... ห้านาที สิบนาที พักเดียว...ก็ยังดี
แต่วินาทีที่หลับตาลง เขาก็รู้อยู่เต็มอก...
 คชาขยับรอยยิ้มบาง โดยตอบตัวเองไม่ได้ว่ายิ้มด้วยความรู้สึกเช่นไร
สุดท้าย ...เขาก็ยังเห็นแสงสว่างอยู่หลังเปลือกตาตัวเองอยู่ดี



นาฬิกา...
คชานอนนิ่งบนเตียงนุ่ม สายตาไล่ตามเข็มวินาทีบนหน้าปัดนาฬิกาที่ฝาผนัง
นาทีแล้ว นาทีเล่า
วันแล้ว วันเล่า
เขาไม่เคยนึกถึงวันเวลาเลย ว่าผ่านมานานเท่าไร ว่าใช้เวลาไปนานแค่ไหน
กับ...กับมัน...
เขากลัวที่จะต้องรับรู้ว่านาน
นาน...ก็แปลว่ายิ่งผูกพัน แปลว่าเขาเอาชีวิตตัวเองไปผูกไว้กับมัน เอาความรู้สึก เวลา อะไรต่อมิอะไรที่ควรจะพาเดินไปข้างหน้า... แต่...แต่กลับ... หยุดอยู่ตรงนี้
ที่ที่ เคลื่อนไปไหนไม่ได้
ไม่มีอนาคตอะไรให้เฝ้ารอ ไม่มีพรุ่งนี้ให้หวัง แม้แต่วันนี้ก็ยังซีดจางลางเลือนเหมือนจะแตะไม่ได้
ชีวิตของเขาในเส้นทางการร้องเพลงกำลังมีอนาคต ยังไปได้อีกไกล เขามีแฟนคลับมากมายที่ยังดันหลังกันอยู่ไม่ห่าง มากมายเหมือนวันแรก ไม่เคยลดน้อย และยังเพิ่มขึ้น...
แต่ความรู้สึกของเขากลับหยุดลงในที่ที่หนึ่งมา...นาน มากแล้ว

มือถือเต๋าวางอยู่ในระยะที่มือเอื้อมถึง เขาไม่ได้แตะต้อง แม้ว่ามันกำลังสั่น เรียกร้องให้คนมากดรับ
เขาไม่แม้แต่จะมอง แม้มันจะกรีดเสียงแผดร้องลั่นห้อง ไม่กดปิดเสียง ต่อให้เสียงของมันจะดังเข้าไปถึงในใจของเขา บาดจนเหวอะ... ถ้าเป็นมีด... เขาคงไม่มีชีวิตรอดจนนาทีนี้
รูปคู่โชว์หราบนหน้าจอ แวบเดียวที่เห็น ก็ต้องเบือนหน้าหนี เคยอดทนเพื่อจ้องมอง แต่มองได้แค่ไม่กี่วินาทีก็ต้องเบือนหลบ เขาทนไม่ได้...
เขามีอนาคตนะ... เขามีทุกอย่างนะ...
เขามีทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากมีแล้ว...นะ...นะ...เต๋า...
หรือเราควรจะ...

ปัง!

“ทำไมไม่ปิดเสียงล่ะชา!”
เขาสะดุ้งกับเสียงประตูห้องน้ำที่ถูกกระชากเปิดออกและปิดลงอย่างรวดเร็ว เต๋าสาวเท้าแค่ไม่กี่ก้าวก็มาถึงปลายเตียง มือขาวชื้นรีบคว้าไอโฟนไปกดปิดเสียงแล้วโยนลงกระเป๋า
เสียงที่ดังก้องทั่วห้องเงียบลง เงียบสนิท... เขานอนนิ่งเหมือนเดิม ไม่ขยับตัว ไม่เบือนหน้าไปมองตรงอื่น
ไม่มองเต๋า... แต่ใบหน้าขาวจัดพร่างหยดน้ำก็เคลื่อนมาอยู่ในคลองสายตาจนได้
แปะ...แปะ...
น้ำหยดลงกระทบแก้มเขา...
จากปลายผมของเต๋า... ไม่ใช่จากดวงตาคู่นั้นหรอก...
“เป็นอะไรคชา”
เขามีอนาคตที่ต้องก้าวต่อไปข้างหน้า เขาไม่อยากหยุดอยู่ตรงนี้
กับ...กับที่ที่...ไม่มีอะไรให้ยืน ไม่มีอะไรให้เดิน...
“ชา...ชาตอบเต๋าหน่อย...”
เขาไม่อยากอดทน...
“คชา...”
เขาอยากมีความสุข ทั้งตอนหลับตา ทั้งตอนลืมตา ทั้งในฝัน ทั้งตอนตื่น
อยาก...จะ... อยากที่จะ...
“คิดถึงตอนอยู่ในบ้าน...”
แต่เขาก็ไม่ได้พูดทั้งหมดนั้นออกไป...
พอเลื่อนสายตากลับมามองสบกับดวงตาคู่นั้น มันวาวด้วยหยดน้ำจนเขากลัวว่าจะหยาดลงรดแก้มเขา
ไม่อยากได้... ไม่อยากเห็น...
“แค่คิดว่า คิดถึงตอนอยู่ในบ้านเนอะต๋าว ออกมาเจอโลกข้างนอกแบบนี้ ขยับตัวทำอะไรก็มีแต่ข่าว เจอเยอะๆก็เหนื่อยเหมือนกัน ตอนอยู่ในบ้านวันๆก็เรียน ร้องเพลง อยู่กับเพื่อน...”
เขาต่อประโยคจนจบไม่ได้ เพราะความชื้นฝังลงมาที่ซอกคอเขา
เต๋าซบหน้าลงมา ผมสั้นเปียกชื้นทาบลงบนเนื้อที่ตากแอร์เป็นเวลานานทำให้เขาเริ่มหนาวนิดๆ พอขยับมือสะกิดคนที่ทาบตัวอยู่ด้านบน จึงได้รู้... ว่าไอ้คนผิวขาวจัดอย่างกับแวมไพร์มันเนื้อตัวด้านบนเปลือยเปล่า
“เต๋า...หนัก”
มีเพียงเสียงอือตอบรับ แต่ไม่มีวี่แววว่าจะขยับตัว
“อ้อนทำไม ไม่ได้เป็นอย่างนี้มานานแล้วไม่ใช่รึไง ลุกเร็วเต๋า เมื่อย... แบบนี้ไม่ชิน...”
เขากำลังชั่งใจว่าควรจะผลักเต๋าออกดีไหม เพราะเขาหนักขึ้นมาแล้วจริงๆไม่ใช่แค่ข้ออ้าง ก็เล่นทับลงมาทั้งตัวแบบนี้ เขาแทบจะหายใจไม่ออก แต่แล้วก็ต้องหยุดมือ...เพราะร่างของอีกคนกำลังสั่น... แม้จะแค่น้อยนิด แต่ความใกล้ก็ทำให้เขารู้สึก...
“ร้องไห้ทำไม กูสิต้องร้อง ไม่ใช่มึงซะหน่อย...”
สรรพนามเรียกขานเปลี่ยนไป แต่จะว่าไปก็ใช่ว่าจะไม่เคยพูดกูมึงใส่กัน พวกเขาพูดบ่อยพอๆกับพูดจาเรียกกันด้วยชื่อชาต๋าวนั่นแหละ เพียงแต่เมื่อหยิบมาพูดกลางความรู้สึกตอนนี้ คงทำให้เต๋าสัมผัสได้ถึงอะไรหลายๆอย่าง
“กูเคยรักเค้า...”
ถ้าคนนั้น... แค่เคย...
แล้ว...
“...มากกว่านี้”
“...”
มัน...
มันรักแฟนมัน...
เขารู้...
ความจริงที่รู้มานานแล้ว ตั้งแต่ออกจากบ้าน แล้วโดนข่าวมากมายโหมใส่ จากข่าว จากปากเพื่อน พี่ น้อง แม้กระทั่งจากปากมัน... ควรจะดีใจไหมที่มันรักแฟนมันน้อยลงแล้ว หรือควรจะหัวเราะให้ความโง่เง่าของตัวเองที่ยังอยู่ตรงนี้ทั้งที่มันยังรักแฟนมันอยู่
แล้วเขาก็หัวเราะออกมา...
“ชา...”
เต๋าลุกขึ้นในที่สุด แต่ยังท้าวแขนคร่อมตัวเขาเอาไว้ สายตาคู่นั้นมองมาอย่างต้องการคำตอบ ซึ่งเขาปล่อยให้ตัวเองหัวเราะออกมาจนสาแก่ใจจึงเริ่มต้นพูด
“ถ้ากูบอกมึงบ้างว่ากูรักยูกิ ตอนนี้กูยังคุยกันอยู่ แล้วกูกำลังคิดว่าจะกลับไปคบกัน มึงจะว่ายังไง”
“ไม่!”
“แต่มึงไม่มีสิทธิ!”
เต๋าเอ่ยทันควัน และเขาก็ตอบกลับไปทันทีเช่นกัน
“มึงไม่มีสิทธิอะไรเลย ไม่มีใครรู้เรื่องของเรานอกจากพวกไอ้พี่ต้น ที่ที่เราทำงานก็ไม่มีใครรับรู้ แล้วก็รับรู้ไม่ได้ บ้านมึง บ้านกู ไม่ว่าใครก็ไม่รู้เลย มึงกับกูเป็นแค่เพื่อนกัน มึงเข้าใจได้แล้วแล้วก็รู้เอาไว้ว่ามึงไม่มีสิทธิ!”
หางเสียงเขาดังขึ้นด้วยแรงอารมณ์จนคล้ายเสียงตะคอก เขาพ่นคำพูดออกมารวดเดียวจนหมด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพูดจาแบบนี้ มันเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนตลอดเวลานานเท่าไรก็ไม่อยากจะนับนับตั้งแต่ออกจากบ้าน เขาเหนื่อย เขาอยากพูดบ้าง เขาไม่ใช่คนที่พร้อมจะยิ้มตลอดเวลา เขาไม่เคยเป็นคนแบบนั้น
ก่อนหน้าที่จะเจอมัน เขาเป็นยิ่งกว่านี้ซะด้วยซ้ำไป...
“ขอโทษ...”
มันพูดขึ้นมาก่อน เสียงแผ่ว... แล้วยันตัวลุกขึ้นไปใส่เสื้อผ้า จนเรียบร้อยถึงกลับมานั่งที่ปลายเตียง
โดยที่เขายังคงเงียบ...
“โทรกลับสิ ปิดเครื่องเอาไว้ทั้งวัน เค้าคงอยากคุยด้วยแทบเป็นแทบตาย...”
“...”
“ดูแลผู้หญิงดีๆหน่อยมึง... เค้าเป็นแฟนมึง... แค่คืนนี้มึงมานอนบ้านกูแบบนี้ กูก็แทบจะได้ชื่อว่าเป็นชู้พออยู่แล้ว”
“...”
“ไม่โทรไปล่ะวะ”
“...”
เมื่อมันยังเงียบเข้าใส่ เขาจึงย้ำเข้าไปอีก
ทั้งที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้ามันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร ถ้า...มันคุยกับ...คนๆนั้น...ในห้องนี้... ห้องของเขา... เขาจะตายไหม...
ใช่ว่าจะไม่เคย บ่อยไป ฟังมันคุยโทรศัพท์กับแฟน ไม่จุก ก็ชา... ไม่ค่อยรู้สึกเจ็บเท่าไร... แต่เพราะไม่เจ็บ ก็เลยคิดไกลไปถึงจังหวะที่ว่า... อาจจะข้ามขั้นถึงตายเลยก็ได้ หากต้องฟังซ้ำๆ ซ้ำๆ บ่อยๆ ซ้ำๆ... และมันก็คงพอเข้าใจอยู่บ้าง ถึงได้พยายามหลบเลี่ยง...
หึ...พ่อคนดี...
กูไม่ใช่คนดีเหมือนมึงนี่เต๋า
“ตีสอง... มานอนได้แล้วมึง หน้าโทรม โดนช่างแต่งหน้าด่าไม่รู้ด้วยนะ”
แต่มันก็ยังนั่งนิ่งอยู่แบบนั้น
“...”
 “ต๋าว... เด็กชายต๋าวเอ๋อ... มานอนได้แล้วครับ ผมง่วงแล้วครับ...”
เขาสอดมือประสานกับมือของมันที่ทาบอยู่บนที่นอนนุ่ม แล้วกุมเอาไว้ บีบเบาๆให้รู้สึกตัว
เต๋าหันมามอง ดวงตาแดงก่ำ... เขารู้... มันร้องไห้...
“นอนนะ...”
ออกแรงดึงมือนั้นให้ร่างที่สูงกว่าเขาเล็กน้อยขยับตัวขึ้นมาบนเตียง เต๋าไม่ขัดขืน ดึงให้อยู่ตรงไหนก็ไปตามนั้น แม้แต่ตอนที่ดันตัวลงเอนราบบนที่นอน ก็ทำตามอย่างว่าง่าย
“นอนกันเถอะ...”
เขาสองคนนอนตะแคงข้างเข้าหากัน เต๋ามองหน้าเขาไม่วางตา แล้วไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาฉีกยิ้มกว้างกลับไปให้ รอยยิ้มที่แฟนคลับบอกว่ามันน่ารัก และสว่างไสว ความเย็นทาบลงที่แก้ม เต๋าจับแก้มเขา ลูบเบาๆ...
“อย่าเล่นแบบนี้อีกนะชา...”
อ้อมกอดโถมเข้ามา มันอุ่น... แต่ไม่รู้ว่าใจเขาจะอุ่นขึ้นหรือยิ่งหนาวเยือก แต่เขาก็กอดตอบกลับไป...
“ฉันกลัว... แล้วก็เหมือนจะตายได้เลยจริงๆ...”
ใบหน้าเต๋าซุกอยู่ตรงซอกคอ ลมหายใจร้อนรินรด เขารับรู้ได้ถึงริมฝีปากที่แนบลงมา และเมื่อเขาไม่ขยับหนี ความหยุ่นนิ่มก็ทาบลงใหม่ที่แก้ม... ที่มุมปาก...
“ฉันไม่ได้เล่น...”
คำพูดเดียวจากปากเขาที่ทำให้อีกคนนิ่งค้าง เขายิ้มอีกครั้ง ก่อนจะทำสิ่งที่ไม่ค่อยได้ทำบ่อยนัก... คือการกดใบหน้าตัวเองลง แนบริมฝีปากทาบกับของอีกคน
ความอุ่นรื้นขึ้นมา... แต่ไปไม่ถึงหัวใจ...


เราอาจจะคิดว่าก่อนหน้านี้คือการร่วงหล่น แต่ตอนนี้ หรือต่อจากนี้ต่างหากที่คือการร่วงหล่นของจริง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาทั้งคู่จมอยู่ในความมืด ทั้งเขาทั้งมัน... เรา...ต่างอยู่ตรงนี้ ในความมืดที่น่ารังเกียจ ยังไม่มีใครตื่นจากฝัน ยังไม่มีใครยอมตื่นจากฝัน ยังคงติดอยู่กับวันคืนเหล่านั้น วันคืนที่แสงสว่างเบียดแทรกเข้ามา ทำลายภาพลวงตาแห่งความสุขจนทลายพังลงในชั่วพริบตา

ห่อหุ้มกันและกันเอาไว้ด้วยใยแมงมุมที่เราอาจจะโง่เง่าหลอกตัวเองกันไปว่าเป็นเส้นใยของตัวไหม พรุ่งนี้เราสองคนอาจจะกลายเป็นผีเสื้อบางชนิดขึ้นมาได้ แน่นอน เราเป็นได้ แต่เป็นได้แค่ผีเสื้อที่มีปีกพิกลพิการและสีสันผิดแปลกประหลาด และไม่มีทางได้โบยบินออกไปสู่แสงแรกของวันใหม่ เราจะทำเพียงพากันบินย้อนกลับ หวนไปในหนทางที่มืดทึบ

แต่... เราต่างเป็นแค่แมงมุม ใยของเราไม่อาจทำให้ใครหรือใครกลายเป็นผีเสื้อ มันเป็นตัวช่วยในการฆ่าสิ่งอื่นต่างหาก และอย่างมาก ก็แค่สร้างการร่วงหล่นที่งดงามขึ้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2013 15:18:14 โดย BKAFFEE »

BKAFFEE

  • บุคคลทั่วไป
(ต่อ)



ไม่ใช่ความสุข ไม่มี และไม่ใช่

คชาเกลียดการโกหก การต้องทำสิ่งที่เกลียด มันไม่สนุกเลย
โกหกแฟนคลับ โกหกทีมงาน โกหกเพื่อน โกหกพี่ โกหกน้อง โกหกแม่ โกหกที่บ้านเขา โกหกที่บ้านเต๋า โกหกทุกคน โกหกใครๆแทบหมดทั้งโลกของเขา ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวเขาเอง
บางครั้งก็เคยนึกเล่นๆ หากวันนึงที่ถูกถามคำถาม แล้วเขาตอบกลับไปว่าใช่ พวกเขาไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกัน เต๋าคชาไม่ใช่แค่คู่ที่แฟนคลับจินตนาการ สิ่งที่เห็นทั้งในบ้านและนอกบ้านบางครั้งบางคราไม่ใช่การเซอร์วิส พวกเขาเคยกอดกันนับครั้งไม่ถ้วน เคยจูบกันนับครั้งไม่ถ้วน เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป...
เต๋าจะเลิกกับแฟน ไม่มีผู้หญิงคนไหนทนได้หรอกที่เห็นแฟนตัวเองมั่วอยู่กับผู้ชายอีกคนลับหลังเธอ เต๋าจะไม่มีพันธะอะไรอีก เต๋าจะเป็นของเขา แฟนคลับพร้อมจะสนับสนุนเขาสองคนอยู่แล้ว ฐานแฟนคลับของสว่างหน้าเดียวแน่นพอที่ไม่ต้องกลัวอะไร พวกเขาไม่ต้องทำแบบนี้อีก หลบซ่อน...ทำผิด... ผิดกับใครมากมาย...
ถ้าเขาทำอย่างนั้น...

ประสาท
คิดอะไรบ้าๆ... คิดอะไรตื้นๆ... คิดทำไม ในเมื่อมันทำไม่ได้ ไม่ใช่แม้กระทั่งสิ่งสุดท้ายที่คิดจะทำ เพราะไม่อาจทำมันลงไปได้เลย ไม่มีวัน... ไม่มีวันนั้น...

เวลาค่อยๆเดิน ค่อยๆผ่าน ตอนนี้เขาเป็นนักร้องอย่างที่อยากเป็น เป็นคชาที่ได้ร้องเพลงอย่างมีความสุขต่อหน้าใครมากมายอย่างที่ฝัน มีซิงเกิลใหม่ออกมาเรื่อยๆ แม้ไม่มากมาย แต่ก็อยู่ได้ และงานอื่นๆกำลังตามมาหาเขา... ใช่ ตอนนี้เขามีทุกอย่าง...
แต่ทุกอย่างที่มีพร้อมก็ยังเติมความต้องการให้ตัวเองไม่ได้
สิ่งที่เติบโตขึ้นมาพร้อมความสัมพันธ์ที่ดำเนินไปคือความอยาก... อยากจะให้นาน... อยากจะกอดเอาไว้... อยากให้คงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ...
เขายิ้มให้ตัวเองที่หน้ากระจก
...ก็ดูมีความสุขดี
จับหน้าตัวเองหันไปมาซ้ายขวา
...ไม่มีร่องรอยของความเศร้าซักนิด ไม่มีใครรู้หรอกคชา...ไม่มี...

“โอเคใช่มั้ย”
“ต้น...”
ต้นมายืนซ้อนหลัง จับไหล่เขาแล้วบีบเบาๆ สบตาคู่นั้นผ่านกระจก แล้วจึงได้รู้... ไม่มีใครรู้หรอก... เว้นก็แต่คนที่ผ่านเรื่องที่คล้ายคลึงกันมา...
เขากวาดสายตาไปรอบตัว พี่ๆช่างแต่งหน้าทำผมออกไปหมดแล้ว ในห้องนี้มีแค่เขา ต้น ส่วนไทด์กับแพรวที่จะขึ้นร้องเพลงในงานวันนี้ด้วยกันก็นั่งคุยเล่นกินขนมกันอยู่สุดมุมห้อง ห่างมากพอที่จะไม่ได้ยินสิ่งที่เขาสองคนกระซิบคุยกันอยู่เลย
“ถามตัวเองดีกว่า ไหวไหม...”
ดวงตาแดงก่ำ ไม่รู้ว่าข่มอาการอยากร้องไห้ หรือเพิ่งผ่านการร้องไห้มากันแน่
“มันโทรมาอีกแล้ว ฉันไม่รับ...”
มัน... ที่เขารู้ดีว่าใคร และที่ไม่รับ เขาก็รู้อีกเช่นกันว่าทำไม
“น้องมันยังเด็ก”
เขาพูดออกไปได้แค่นั้น เพราะต้นพยักหน้ารับอย่างยากลำบาก สูดลมหายใจลึก และระบายออกมาเหมือนกำลังทำสิ่งที่หนักหนา... เห็นแบบนั้น จึงพูดอะไรต่อไม่ออก...
“เด็กนิสัยเสีย...”
“ว่าแต่มัน พวกเราเองก็ทำตัวไม่ได้ต่าง... ก็ยังทำอะไรไม่รู้จักโตพอกัน...”
ว่าทั้งต้น ทั้งตัวเอง และทั้งอีกคนที่ไม่อยู่
ไม่ได้ขึ้นร้องเพลงกับเต๋าในงานอีเวนท์นานมากแล้ว นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ไม่ได้ร้องเพลงบนเวทีเดียวกัน คล้ายว่าถูกจับแยกด้วยความตั้งใจ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด... เพราะอย่างที่บอก เต๋าชัดเจนและไปได้ดีกว่าในทางการแสดง ไม่แปลก ที่เรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นซักวัน
“ไปเตรียมตัวเถอะต้น เดี๋ยวคงมีคนมาตามแล้ว ฉันโอเคดี...”
เดอะวินเนอร์ของพวกเขาก็เป็นคนอ่อนไหว ไม่ใช่จะแค่ปากร้ายไปวันๆอย่างที่ใครเข้าใจ
ต้นต้องการพลัง ต้องการกำลังใจ เขารู้... มันเป็นสิ่งที่เราต่างโหยหา... ในช่วงเวลาที่ใช้พลังชีวิตตัวเองไปกับเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดจนแทบไม่เหลือ
อย่างน้อยเขาก็ยังมีเต๋าอยู่...
อย่างไหนดีกว่ากันก็ไม่อาจรู้ ระหว่างคนสองคนที่ยอมหลับหูหลับตาเพื่อความอุ่นในหัวใจชั่วครั้งชั่วคราว กับคนอีกสองคนที่ยอมทนลืมตาเพื่อมองความจริงตรงหน้า แม้ว่าความจริงจะทำให้มองกันและกันไม่ได้อีกต่อไป
แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความสุข...
คิดได้แค่นั้นก็เป็นเขาเองที่ต้องปิดเปลือกตาลงบ้าง...ชั่วครู่หนึ่ง... เพื่อบรรเทาความเจ็บที่ตีขึ้นมาถึงคอ



เสร็จงานแล้ว มองนาฬิกาในจอโทรศัพท์ ...เกือบสามทุ่ม
พรุ่งนี้เขาไม่มีงาน วันนี้ไม่ต้องรีบเข้านอน แล้วพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องรีบตื่นเช้า ความว่างที่ทำให้แบ่งเวลามานึกถึงใครอีกคนจนได้ คนที่...ไม่เจอหน้ากัน และไม่ได้คุยกันมาสี่วันแล้ว
ไม่ใช่อีกคนหรอกที่ไม่โผล่หน้ามาให้เจอ เขาเองต่างหากที่ไม่... โทรมาไม่รับ บีบีมาไม่ตอบ วอทแอป ไลน์ สารพัดช่องทาง เขาไม่ตอบกลับเลยไม่ว่าจะทางไหน กระทั่งมันมาหาที่บ้าน เขาก็บอกหม่าม้าไปว่าปวดหัว ขอนอนพัก
อย่าว่าแต่ต้นเลย เขาเองก็ไม่ต่าง
แล้วในขณะที่ยังคิดไม่ได้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป โทรศัพท์ในมือก็สั่นครืด รูปคู่ที่ถ่ายด้วยกันโชว์หรา เขารับรู้ได้ถึงมือตัวเองที่สั่น...สั่นอย่างรุนแรง จนต้องขยับมืออีกข้างขึ้นมาจับไว้... ไม่ได้สั่นเพราะแรงโทรศัพท์ แต่สั่นเพราะคลื่นบางอย่างมันโถมเข้ามาโดนไม่ทันตั้งตัว เหมือนมีคนมาปลดล็อกสลักอะไรซักอย่าง เขารู้สึกถึงความหนาวทั้งที่อากาศร้อนอบจนเสื้อชื้นเหงื่อ หนาวเยือก และเคว้งคว้าง... ต้องการคนโอบประคองให้มั่นคง
เขาคิดถึงมัน
และไม่รู้ว่าอดทนทรมานตัวเองอยู่ทำไม
ทนมาได้ถึงสี่วัน เพื่อมาพบว่าที่สุดแล้วก็ทนไม่ได้
“...”
อะไรไม่รู้ดลใจให้ทำอย่างนั้น อาจเป็น... คำว่าคิดถึง... เป็นครั้งแรกในรอบสี่วันที่เขากดรับ...
“ฮัลโหลชา...ชา...”
ปลายสายเสียงสั่น เรียกชื่อเขาดังจนก้องหู เขาได้ยินชื่อตัวเองซ้ำๆ ด้วยน้ำเสียงที่แสนเคยคุ้น
“อืม... ว่าไงเต๋า...”
เสียงเรียบๆนิ่งๆของเขาคงทำให้มันไปต่อไม่ถูก ถึงได้เงียบไปหลายอึดใจ แม้แต่เสียงหายใจก็แทบไม่ได้ยิน
“เปล่า...”
“...”
“คิดถึง”
คำที่ได้ยินแล้วควรจะมีความสุข แต่เขากลับจุกจนพูดไม่ออก
ท้ายเสียงสั่นพร่า เศรษฐพงษ์คนดีเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้ ส่วนเขาเป็นคนใจร้าย ที่นิ่งดูดายปล่อยให้มันวิ่งตามจนแทบหมดแรง
มือชื้นเหงื่อกำโทรศัพท์แน่น บีบจนเหลี่ยมแข็งๆกดลงในเนื้อ มือสั่นรุนแรงขึ้นทุกที ถ้าขอบสันนั้นคม มือเขาคงพรากด้วยเลือด แต่วินาทีนั้นคชาไม่เจ็บ... มันชา...
เขาสิ...
เขาต่างหากที่ต้องร้องไห้ เขาต่างหากที่กำลังร้องไห้ เขาต่างหากที่ร้องไห้นับครั้งไม่ถ้วน
มันมีแฟนที่มันรักและรักมัน แต่เขาไม่มีใครเลย เขารักมัน รักมันจะเป็นจะตาย มันต่างหากที่ไม่เคยรักเขาเลย...
“ไปหานะ...”
เขาเงียบ
“ไปหาชาได้ไหม...”
“เต๋า...อย...”
“ไปนะ นี่เพิ่งเลิกงานใช่ไหม บอกหม่าม้าไม่ต้องมารับนะ เดี๋ยวไปหา เต๋าไปรับเอง...”
“ไม่ต้องม...”
“โอเคนะ รออยู่ที่นั่นนะ”
มันลนลาน แล้วตัดสายไป เหมือนไม่ต้องการได้ยินคำปฏิเสธ แล้วทำไมเขาไม่ปฏิเสธออกไปให้มันหนักแน่น ถ้าพูดให้ชัด ขัดมันให้ทัน มันต้องตามใจเขาอยู่แล้ว
คชาหลับตาลงช้าๆ หายใจลึก
มันไม่ใช่ความสุข
เขาอยากสัมผัสความสุข แบบนี้มันไม่ใช่ แค่เศษเสี้ยว มันไม่ช่วยอะไร
ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตากล่ำแดง ลำคอแห้งผาก เขากดมือถือโทรออกอีกครั้ง รอสัญญาณอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีคนรับสาย
“หม่าม้า... ไม่ต้องมารับนะ เดี๋ยวคชากลับเอง... ไม่เป็นไร กำลังจะกลับแล้ว งานเสร็จแล้ว คชากลับเองดีกว่า...ครับ ครับม้า”
พอวางสาย เขารีบเดินออกจากตึกที่มาทำงาน โบกเรียกแท็กซี่ที่วิ่งผ่าน พอบอกจุดหมายปลายทางเรียบร้อยก็เอนหลังพิงเบาะอย่างหมดท่า
ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังทำอะไรอยู่ อาจจะเป็นกลไกปกป้องตัวเองตามสัญชาติญาณมนุษย์ พอรู้ตัวว่าเจ็บ ก็ทำทุกอย่าง อะไรก็ได้ให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าและมีเรี่ยวแรง มีพลังหลงเหลือที่จะจุนเจือตัวเองให้ดำเนินชีวิต เห็นเต๋าร้องไห้ เขารู้ว่าเขาเองก็กำลังร้องไห้ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าพบว่าตัวเองกำลังร้องไห้ จะเป็นจะตายที่เราต้องเจ็บ โดยที่ไม่มีใครเจ็บเหมือนกันกับเรา
เห็นแก่ตัวใช่ไหม?
แต่ถ้าไม่เห็นแก่ตัวแบบนี้ เขาจะอยู่ต่อไปยังไง



หลังจากหาทางหลบหลีกกับมื้อเย็นของหม่าม้า เพราะนาทีนี้เขากลืนอะไรลงคอไม่ได้จริงๆ จนเข้ามาในห้องนอนของตัวเองได้ คชาก็ลงกลอนประตู โยนเป้หนักลงกองพื้น แล้วทรุดตัวลงนั่งอยู่ตรงนั้น พื้นสั่น... สั่นเพราะโทรศัพท์ที่เขาโยนไปกองไว้ที่ก้นกระเป๋า มันสั่นเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่อาจนับ มันโทรมาตลอดทาง จนถึงบ้าน จนถึงตอนนี้ มันไปรับเขาจริงๆอย่างที่มันบอก มันไปหาเขาจริงๆ
ครั้งแรกในรอบ... อาจจะมากกว่าหนึ่งเดือน ที่เขารู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาเอามากๆ ลำคอแห้งเป็นผง แสบ เจ็บจุกด้วยก้อนสะอื้น และ คชารู้สึกว่าตัวเองกำลังสะอื้นฮัก โดยไม่มีน้ำตา
เขากำลังทำอะไร ทำไปเพื่ออะไร
ความคิดแล่นย้อนกลับไป ภาพนับร้อยนับพันวิ่งเข้ามาในหัว วันแรกที่รู้จัก นาทีแรกที่เต๋าก้าวเข้ามาในชีวิต รอยยิ้มแรกที่เขาได้รับ ความอุ่นของมือที่สัมผัสลงบนผม ความอุ่นของอ้อมกอด ความอุ่นของริมฝีปาก คำพูดมากมายนับไม่ถ้วน สายตาที่ซื่อตรงและเปิดเผยยิ่งกว่าสิ่งใด.
อะไรอีก มีอะไรอีก
นิ้วที่คอยปาดหยดน้ำตา กอดที่อุ่นเสมอไม่ว่าวันคืนไหนๆ คำปลอบประโลมใจให้อุ่นรื้น ภาพนั้นซ้อนทับกับภาพนี้ ภาพนี้ซ้อนลงบนภาพอีกภาพ ทุกฉาก ทุกตอน ทับกัน เหลื่อมล้ำ ลงมากลางใจจนตัวเขาสั่นเทิ้ม... ยิ่งย้อนกลับไป ก็ยิ่งตอกย้ำให้รู้ ว่าคนคนนั้นเหมือนเดิมทุกอย่าง อ้อมกอด รอยจูบ ทุกสายตา โหมสาดเข้ามาไม่หยุด... ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากวันแรก อุ่นเท่าเดิม มองกันด้วยสายตาแบบเดิม ลึกซึ้ง ห่วง หวง โหยหา ตรงมาอย่างมั่นคง ชัดเจนยิ่งกว่าใครใครหรือสิ่งใดในโลก
ไม่มีอะไรเลยที่โกหก ความเจ็บปวดที่เขาเหยียบอยู่เป็นของจริง แต่ทุกอย่างที่เขาได้รับมาก็เป็นของจริงเช่นกัน
“เต๋า...”
หลุดเรียกชื่อมันออกมาเบาหวิว... คงจะดีถ้าตอนนี้มันอยู่ตรงหน้า
เขาจมอยู่กับงานและคำว่าความฝันที่เป็นจริง เพื่อประคองตัวเอง เพื่อให้เข้มแข็งมากพอที่จะปัดเรื่องมันออกไปจากความคิด หยุดคิดได้วูบเดียว ก็กลับมานึกถึงใหม่ ทำใจแข็งเพื่อกลบฝังไว้ในส่วนที่ลึกที่สุด แต่สุดท้ายก็ยังผุดขึ้นมาระลอกแล้วระลอกเล่า
“คิดถึง”
มันพูดคำนั้นออกมาง่ายดาย ชัด ตรง... ตรงเข้ามาถึงกลางใจ
แต่เขาไม่แม้แต่จะปริปาก
 “กูคิดถึงมึง...”
ทำไมเขาถึงไม่พูด...
“เต๋า...”
เต๋าที่เป็นของคนอื่น
แล้วจากเสียงสะอื้นฮักที่ไม่มีแม้หยดน้ำตา ก็กลายเป็นเสียงหัวเราะหึในลำคอ คชากำลังแค่นหัวเราะ เย้ยเยาะตัวเองที่เป็นได้แค่นี้ และก็เหมือนจะมาได้เพียงเท่านี้ มันเป็นของคนอื่น ความจริงตอกหน้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เราไม่มีวันได้รักกัน เราไม่อาจข้ามผ่านปัญหาไปได้ เราไม่มีวันรักกันได้ ในกรอบที่ไม่มีใครอยากให้รักกันแม้เพียงซักคน คิดได้แบบนั้น แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนคำในหัวเสียใหม่
เราไม่ได้รักกัน เพราะมันไม่เคยบอกว่ารักเขา เพราะไม่เคยรัก หรือเพราะบอกว่ารักออกมาไม่ได้ เขาเองก็ไม่อาจรู้ แต่เราก็ไม่อาจข้ามพ้นปัญหาไปได้ ไม่มีวันรักกันได้ แม้ว่าเต๋าอาจจะรักเขา ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไปนัก ทุกอย่างชัดเจนที่สุดเพียงแค่ไม่เคยมีคำพูด แต่นั่นจะไปสำคัญอะไร ในเมื่อไม่อาจจะมีวันนั้น อย่าว่าแต่ใครจะห้ามไม่ให้เรารักกัน เพราะเราไม่อาจบอกออกไปให้ใครรับรู้ได้เลย
คชาแย้มรอยยิ้มฝืดเฝือน ทุเรศสิ้นดี
เขาอยากร้องไห้ แต่ก็ไม่มีน้ำตา พออยากจะกดรอยยิ้ม ก็ยังยิ้มกว้างออกมาไม่ได้
แต่ก็อาจเพราะแบบนี้ เพราะ...เรารักกันไม่ได้ จึงทำให้เขาทนได้ เราไม่มีวันได้รักกัน เป็นเหตุผลไม่เข้าท่า ที่เข้าท่าที่สุด จึงบอกตัวเองเป็นพันครั้ง ถามก็แล้ว ปลอบแล้ว ด่าแล้ว ให้ฟัง ให้คิด ไม่ได้ก็คือไม่ได้ แล้วจะได้เลิกคิดที่จะ...เป็นอย่างฝัน
ไม่พูดคำว่ารัก ไม่วิ่งตาม อยู่เฉยๆ หันหน้าเข้าไปหา กวักมือและส่งเสียงเรียก แล้วมันก็เดินตามมา เขาถอยหลัง มันก็ยังวิ่ง เขาหยุด มันดีใจ เข้ามาใกล้ เข้ามากอด แล้วเขาก็หนี แล้วเขาก็ทิ้ง ให้มันตามต่อจนแทบหมดแรง
ทำร้ายทำลายไปเพื่อสิ่งใดก็ไม่อาจรู้
ส่วนหนึ่งอาจเพื่อเยียวยาตัวเอง แต่อีกส่วน คงต้องโทษที่เขา เป็นคนดีแบบมันไม่ได้
มันร้องไห้ซ้ำๆ เหนื่อยและเจ็บ เขายิ้ม... มันคิดแน่ว่าเขาใจร้าย ก็ใช่ เขาใจร้าย แต่เต๋าก็ไม่เคยหยุด
แล้วมันจะรู้ไหม เขาเจ็บเท่าเดิม คิดถึงเท่าเดิม แค่ไม่ร้องไห้ เขากินข้าว นอนพัก ยิ้ม หัวเราะ ทำทุกอย่าง ทำงาน อยู่กับแฟนคลับ อยู่กับเพื่อน แต่ไม่มีความสุข
อยู่เพื่อทำร้าย ทำลายแต่ก็ยังหวัง ว่าซักวันเขาจะหายเจ็บ แต่ตอนนี้เขาก็ยังไม่หาย เขาทำร้ายมันทุกวัน ทุกวัน จนวันนี้ จนตอนนี้ แต่มันไม่เคยหยุดเลย

แต่แล้ว สติที่จับได้ถึงความสั่นของโทรศัพท์ซึ่งหายไปได้พักใหญ่ ก็ทำให้ใจเขากระตุก วูบโหวงเคว้งคว้าง
หรือมันจะหยุดแล้ว...
และเท่านั้น
น้ำตาหยดแรกที่คิดว่าคงไม่อาจไหล ก็พรากลงมาเป็นสาย
ความรู้สึกเย็นเยียบว่างโหวงเกิดขึ้นในอก เหมือนมีใครควักหัวใจออกไปครึ่งดวง เขารู้สึกราวกับจากนี้จะถูกทอดทิ้งให้เดียวดายในดินแดนแปลกหน้า เหมือนคนสุดท้ายที่อยู่ด้วยกัน ณ ที่แห่งนั้นหลบลี้เพื่อเดินทางไกล และไม่มีวันจะกลับมาอีก
คชาบีบมือตัวเองแน่น รู้สึกหนาวเหน็บจนต้องลากผ้าห่มจากปลายเตียงขึ้นมากอด ไม่ เขาจะต้องหยุดร้องไห้ คชาอาจขี้แย แต่จะไม่ยอมฟูมฟาย เขาขยับมือขึ้นปาดน้ำตา ดึงสติที่มีเพื่อบอกตัวเองให้สงบ สงบเดี๋ยวนี้
โทรศัพท์อยู่ก้นกระเป๋า ก็อาจจะแค่แบตหมด มันถึงติดต่อมาอีกไม่ได้ หรือมันอาจจะแบตหมดซะเอง หรือมันอาจจะแค่คิดว่าเขาไม่มีทางรับแล้วแน่ๆในวันนี้ ก็เลยถอดใจวางสายไป
ไม่มีอะไรเลยคชา ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว มันวิ่งตามเขามาไกลมากแล้ว ไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ เขาหลับตา สูดลมหายใจลึก
ครืด...ครืด...
แล้วพลัน โทรศัพท์ก็สั่นขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยมือที่ไปไวกว่าความคิด คชารีบรูดซิปเป้ใบใหญ่ ล้วงมือควานหาอุปกรณ์สื่อสารที่ทิ้งตัวอยู่ข้างใต้ มือเขาสั่นมาก รีบล่กจนของในกระเป๋ากระจุยกระจาย แต่เมื่อคว้าเอาไว้ได้ และมองที่หน้าจอเพื่อกดรับ ชื่อของคนที่โทรเข้ามา กลับไม่ใช่คนที่เขาคิดถึง
YUKI
“ว่าไง”
“ดูรับสาย...”
“ว่าไงครับกิ มีอะไรครับ”
เสียงเขาคงจะประชดจนรู้สึกได้ อีกฝ่ายถึงพ่นลมหายใจใส่เสียงดัง
“จะให้พี่เซ็นลายเซ็นกับเขียนข้อความลงรูปพี่ให้หน่อย ไอ้บัวเพื่อนกิเป็นแฟนคลับพี่ อาทิตย์หน้าวันเกิดมัน...ชื่อบัวนะ พี่ฝากไว้ที่บริษัทก็ได้ กิผ่านไปจะแวะเข้าไปเอา...”
“...”
“เฮ่ ฟังอยู่รึเปล่าพี่คชา”
“ครับ ฟังอยู่ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่เอาไปฝากไว้ให้”
“ขอบใจ...”
ยูกิเงียบไป เขาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ แล้วก็เหนื่อยมาก แทบอยากล้มตัวลงนอนซะเดี๋ยวนั้นจนเต็มกลืน
“มีอะไรอีกไหม พี่จะนอนแล้ว”
“...ยัง...ไม่พออีกรึไง”
เขาไม่รู้ว่าเธอพูดคำนั้นด้วยความรู้สึกแบบไหน สงสาร ...หรือสมเพช
“ก็ไปบอกคนอื่นสิ ทีมงาน แฟนคลับ บอกให้หมด”
“พี่ก็รู้ว่ากิไม่ทำ”
“ทำไม”
ใช่ นั่นสิ ทำไม เขาสงสัยมาตลอดว่าทำไม เธอรู้ แต่ปิดปากเงียบ ทั้งที่เขาคิดและกลัวหลายต่อหลายครั้งว่าเธออาจจะบอก แต่ก็ไม่...
“ไม่อยากหาเหาใส่หัว”
ตามมาด้วยเสียงหัวเราะที่เสียดเข้ามาในหู
“ทุกวันนี้แฟนคลับพี่ก็เกลียดกิเข้าไส้พออยู่แล้ว ปัญหาของพวกพี่พวกพี่ก็จัดการกันเอาเองแล้วกัน ยอมรับนะว่ากิเบื่อ กิรำคาญ รักกันอยู่ได้ อยากจะให้จบๆเลิกๆกันไปได้แล้ว แต่พวกพี่ก็ไม่เลิก แล้วกิจะทำอะไรได้”
“พี่...”
“พี่เต๋าก็บ้า พี่ก็บ้า พวกพี่กำลังทำอะไรบ้าๆ ไม่รู้รึไง”
เสียงเธอดังขึ้นเรื่อยๆตามระดับอารมณ์ เขาแค่นยิ้ม ซึ่งอีกคนไม่มีทางเห็น
“รู้สิ...”
“แล้วยังจะ... เออ ช่างมันเถอะ ไม่ยุ่งก็คือไม่ยุ่ง พี่อย่าลืมของขวัญเพื่อนกิล่ะ”
“ครับ”
แล้วสายก็ถูกตัดไป
จะด้วยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ตัวยูกิที่แสดงออกมาทำให้แฟนคลับมากมายไม่ชอบ ตัวเขาเองเฉยๆ เป็นเธอที่ถอยห่างมานานมาก นานมากแล้ว เราแทบไม่ได้คุยกัน และแปลก...ที่เขาไม่แม้แต่จะรู้สึกอะไร
แต่วูบนึงเมื่อครู่กลับทำให้เขารู้สึก
กิถูกคนมากมายเกลียด เพราะเธอเด็ก...เด็กเอาแต่ใจ การกระทำถูกแสดงออกแบบเด็กๆ หลายเรื่องที่กิถูกเกลียดด้วยเรื่องของเขา แต่ความจริงแล้วเธอไม่ได้ทำความผิดอะไรเลย ไม่มีอะไรร้ายแรง ไม่ได้ทำให้เขาหรือใครเจ็บช้ำน้ำใจ บางเรื่องเกินเลยไปบ้างแต่เขาไม่เคยโกรธ...นิสัยแบบนั้นเขารู้และเห็นมาแต่ไหนแต่ไร
คชาหัวเราะออกมาแผ่วๆ
ยูกิแค่ทำผิด เขาสิกำลังทำบาป บาปของการทำร้ายหัวใจผู้หญิงคนนึงลับหลัง ด้วยการจับมือแฟนของเธอคนนั้นเอาไว้ไม่ยอมปล่อยแบบนี้
เปลือกตาหนักอึ้งปิดลง โลกทั้งโลกมืดสนิทลงฉับพลัน
ความมืดที่เหมาะสมสำหรับเขา

BKAFFEE

  • บุคคลทั่วไป
(ต่อ)




สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก
เขาเผลอหลับไปโดยที่ไม่ได้อาบน้ำ ข้าวของกองกระจายอยู่ข้างเตียง ลำตัวพาดขวางเตียงนุ่ม และใช้แขนตัวเองรองหนุนต่างหมอนจนชาไปทั้งข้าง ไฟในห้องไม่ได้ถูกเปิดไว้ตั้งแต่แรก ตอนนี้รอบตัวจึงสลัวราง เขากระพริบตาถี่ๆเพื่อให้ชินกับความมืด บางอย่างร้องบอกไม่ให้เปิดไฟ
ไม่อยากอยู่ในแสงสว่าง
คชายกมือลูบหน้าตัวเองให้หายมึนงง จึงได้รู้ ว่าแก้มตัวเองชื้นน้ำ แล้วก็เหมือนทำให้รู้สึกตัว เพราะจากวินาทีนั้น เขาก็พบว่าลำคอตัวเองแห้งผาก แสบ เจ็บจนต้องกล้ำกลืนก้อนอะไรซักอย่างลงไป หน่วงหนักและปวดหนึบในหัวใจ
เขาร้องไห้อีกจนได้ ร้องออกมาทั้งที่หลับไป บางทีในตอนนั้น เขาอาจจะฝันถึงอะไรซักอย่างที่ตอนนี้จำไม่ได้ อาจจะฝันถึงมัน...
รู้แล้ว เขารู้แล้ว ว่าความคิดถึงมากมายขนาดไหน
“คิดถึง” คำนั้น ที่มันพร่ำพูด เขารู้แล้ว เข้าใจแล้วอย่างชัดเจน
แต่มันจะยังคิดถึงเขาอยู่ไหมนะ?
แล้วพลัน มือก็เลื่อนป่ายปะไปโดนมือถือที่โยนไว้ข้างตัว เมื่อกดดูจึงพบว่าแบตหมดเกลี้ยง เขาคุ้ยสายชาร์ตจากในกระเป๋าขึ้นมาเสียบ รอซักพัก... แล้วเริ่มเช็คข้อความโซเชียลเน็ตเวิร์กในเครื่อง
คชา
คชาอยู่ไหน
อยู่ไหนครับ
ขอโทษครับ
...
อยากเจอ
อยากเห็นหน้า
อยู่ไหนครับ ตอบหน่อย
อยากเจอคุณ
อยากเจอชา
...ชา
คชา...
อยากกอด...
ตอบหน่อยนะ รับสายหน่อยนะ
คชา
คชา
คชา
คชา
คชา
คชา
คชา
คชา
ชา...
ทุกทางที่จะติดต่อได้ มันทำมาจนหมด พิมพ์ข้อความเดิมๆซ้ำๆ แล้วตอนนี้มันอยู่ไหนนะ อยู่ไหนกันนะเต๋า ยังคิดถึงอยู่ไหม อยากเจอ อยากกอด อยากเห็นหน้าคชาที่ต้องคอยเรียกซ้ำๆอยู่ไหม
รู้สึกเหมือนลมหายใจติดขัด หายใจอย่างยากลำบาก หรือความคิดถึงจะมีลมหายใจของตัวมันเอง ลมหายใจของความคิดถึง ถึงได้ชอบข่มเหงลมหายใจของเราเสมอ เขาอยากหายใจได้คล่องปอด อยากสูดเอาอากาศเข้าไปโดยไม่เจ็บ และอาจจะด้วยเหตุผลนั้น นิ้วจึงพิมพ์บางคำตอบกลับไป
...เหมือนกัน
และ ยังไม่ทันได้ขยับตัวทำอะไรต่อ มือถือก็สั่นครืด หน้าจอโชว์ชื่อคนที่คุ้นเคย รูปเราสองคนเด่นหรา
สั่น...สั่นอีกแล้ว...
ไม่ใช่ที่มือ แต่เป็นที่ใจ
ใจเขาสั่นรุนแรง แกว่งวูบ ยากจะบอกได้ถูกว่ามันคือความรู้สึกแบบไหน ความคิดถึงรุนแรงได้ขนาดนี้?
“ต...เต๋า...”
ละล่ำละลักรับโทรศัพท์เสียงสั่นเครือ ไม่ใช่เพราะจะร้องไห้ สิ่งที่อัดแน่นอยู่ข้างในมันมีมากกว่านั้น
มากมายราวจะทะลักทลาย…
“ฉัน...ผม........ ชา ชาลงมาเปิดประตูให้เต๋าหน่อย เต๋าอยู่หน้าบ้าน...”
เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่มือรีบควานหากุญแจในกระเป๋า ค่อยๆเปิดประตู ย่องลงบันไดอย่างเงียบเชียบ ไขกุญแจด้วยเสียงที่พยายามให้เบาที่สุด ถ้าหม่าม้าตื่นมาตอนนี้คงต้องอธิบายกันยาว เขาไม่มีแรงเหลือจะทำแบบนั้น เพราะเพียงแค่ประตูถูกเปิดออก เขาก็ยอมให้อีกคนดึงตัวเข้าไปกอดโดยไม่ขัดขืนใดใด
หมดแรงแล้ว เขาหมดแรงหนีแล้ว ตามทันจนได้ อีกครั้ง และอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ...ทุกที
“คิดถึงจะบ้าตาย”
“อือ...”
“คิดถึงจริงๆนะ”
“อือ รู้...”
“คิดถึง คิดถึง คิดถึงจริงๆ...”
“อือ...”
ครางอือตอบไปในลำคออีกหน เต๋ากอดเขาแน่นไม่ยอมปล่อย กอดจนเขาจมลงไปในเสื้อคลุมแขนยาวหนาอุ่น ส่วนสูงที่ต่างกันไม่มากทำให้เต๋าฝังหน้าลงตรงซอกคอเขาได้ถนัด เสียงหอบหายใจแรงมาพร้อมอาการสั่นน้อยๆที่เขารู้สึกได้ และเต๋าเองคงรู้สึกได้เช่นกันว่าตัวเขาก็กำลังสั่น
เรากำลังร้องไห้
ความรักทำให้เราสองคนร้องไห้



ภาพวันคืนเก่าๆย้อนกลับมาในความทรงจำ
เรานอนหันหน้าเข้าหากัน มืออุ่นที่เขาแสนจะคุ้นเคยและแสนจะคิดถึง สอดประสานกับมือของเขาอย่างพอดิบพอดี กุมเอาไว้แน่น ดวงตาคู่นั้นจ้องลึกเข้ามาในดวงตาเขา แรงบีบที่มือเน้นย้ำ...บางอย่าง จนสะท้านไปทั้งใจ แขนอีกข้างของมันที่ว่างอยู่วาดมาโอบเขาเข้าไปชิด เราสองคนขยับตัวเข้าหากัน ใกล้จนได้ยินเสียงหายใจ ใกล้จนเห็นว่าตาของมันสะท้อนภาพเขา และมันก็คงได้เห็น ว่าตาของเขาก็กำลังสะท้อนภาพมันอยู่
“ชา...อย่าไปไหนอีกนะ อย่าไปไหนอีกเลย ได้ไหม”
แต่เขาเลือกตอบคำถามด้วยคำถาม
“มึงจะอยู่ตรงนี้ใช่ไหม...”
“เต๋า...”
“เต๋าจะอยู่ตรงนี้ใช่ไหม...”
ใบหน้าที่ขาวจัดแม้ในความมืดขยับเข้ามา ชิดจนปลายจมูกโด่งแตะเบาๆข้างแก้ม
“บอกสิ ว่าเต๋าจะอยู่ตรงนี้...”
“เต๋าอยู่ตรงนี้...ตรงนี้เสมอ...”
“บอกอีกสิ เต๋าอยากให้ชาอยู่ตรงนี้ใช่ไหม”
“เต๋าอยากให้ชาอยู่ตรงนี้”
เขาพึมพำเหมือนละเมอ ในขณะที่เต๋าตอบเน้นย้ำชัดเจน ดังเข้ามากลางใจ
“คิดถึง...”
“...........”
คำตอบกลับมาคือรอยจูบ
สัมผัสที่คุ้นเคยทาบเข้ามา นิ่ง... นาน... ขยับเบาๆ ซับที่มุมปาก ข้างแก้ม ขมับ หน้าผาก เปลือกตา สันจมูก และที่ริมฝีปากของเขา อีกรอบ และอีกรอบ
ก่อนจะค่อยๆลึก ค่อยๆดำดิ่ง มากกว่าทุกครั้ง มากกว่าที่เคย
เต๋าไม่เคยจูบเขาแบบนี้ แต่ตอนนี้มันกำลังทำ และเขาก็สนองตอบ
ครั้งแรกที่ลงลึกไปในรอยจูบ โดยไม่ได้เป็นคนเริ่ม เพียงอยู่นิ่งๆ เดินตาม...ตามแต่อีกคนจะพาเดินไป
กับผู้ชาย กับมัน
และเพราะเป็นมัน เขาก็หยุดคิดว่านี่เขากำลังจูบอยู่กับใคร กำลังทำอะไร
เหมือนตัวจะลอยขึ้นจากพื้น เหมือนหัวใจจะบินไปได้ไกลแสนไกล อ้อมแขนอุ่นโอบเขาอยู่ และเขาเองก็กอดตอบ ริมฝีปากแนบสนิท ลึกซึ้งและนุ่มนวล  นานเท่าไรไม่รู้ ซ้ำ ซ้ำ ซ้ำอยู่อย่างนั้นไม่มีใครผละออก
วูบหนึ่งเขานึกขึ้นมา จูบเขา รสชาติต่างจากจูบเธอคนนั้นมากไหมนะ
แล้วก็เป็นเขาเองที่ทนความสงสัยนั้นไม่ไหว เพราะบางอย่างโถมเข้าใส่ โบยหัวใจจนปวด จนเจ็บ เขาดันไหล่มันออก บีบแรงๆจนมันยอมปล่อย ไม่รู้ว่าสายตาที่มันเห็นตอนนี้แสดงความรู้สึกสะท้อนออกมาแบบไหน แววตาเต๋าถึงวูบไหว และกอดเขาไว้ชิดอก
“จูบแล้วต่างกันมากไหม จูบของเธอคนนั้นรู้สึกดีกว่านี้มากรึเปล่า...”
เต๋าเงียบไปนาน แต่กอดนั้นยังแน่น จนวินาทีหนึ่ง มันผละออก จ้องหน้าเขา สบตาเขา แล้ว... ทาบลงมาอีกหน ทาบความอุ่นนั้นลงมาอีกครั้ง บางเบา
“เต๋าไม่เคยจูบเขาอีกเลยตั้งแต่เราเจอกัน...”
ประโยคเดียว หยุดทุกสิ่งทุกอย่าง เขาไม่รู้สึกถึงสิ่งใดอีกเลยนอกจากความรู้สึกอยากร้องไห้ที่ซัดเข้ามา
แล้วพอเต๋าจูบลงตรงเปลือกตา เขาจึงรู้ ว่าน้ำตาเขาพรากลงเป็นสาย ไหลออกมาไม่หยุด สะอื้นฮัก ทุกอย่างปนเป ประดังประเด ไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้คืออะไร เขากำลังทำหรือรู้สึกอะไร รู้แต่ว่าอยากจะร้องไห้ และมันดีเหลือเกินที่ตอนนี้เขากำลังร้องไห้ในอ้อมกอดมัน ไม่ต้องทนร้องไห้อยู่คนเดียวในความมืดที่ว่างเปล่าจนเคว้งคว้าง เขาได้ร้องไห้ออกมาจริงๆ มีจูบมันซับหยดน้ำตา มีมือมันลูบเบาๆที่ศีรษะ
เขารักมันจริงๆ รักมาก มากกว่าใครที่เคยรักมาทั้งหมด
ด้วยสติที่เลือนไปพร้อมหยาดน้ำ เขากุมใบหน้าขาวสว่างนั้นเอาไว้ กดจูบลง ย้ำซ้ำๆเหมือนที่มันทำ จูบอย่างลึกซึ้ง จูบให้รู้ทั้งหมดของสิ่งที่เขารู้สึก... มือเขาบีบอยู่บนไหล่กว้าง แนบลำตัวเกยอยู่บนร่างอีกคน
จูบอยู่นานแค่ไหนไม่รู้ จากคนเริ่ม กลายเป็นถูกรุกไล่ จากทาบอยู่ด้านบน กลายเป็นถูกพลิกลงมาอยู่ด้านล่าง เต๋าคร่อมเขาเอาไว้ทั้งตัว กดจูบแนบแน่น...แน่นกว่าที่เขาจูบ ลึกกว่าที่เขาจูบ และร้อน...กว่าที่เขาจูบ ร้อนวูบวาบไปหมดทั้งตัวหัวจรดเท้า และยิ่งร้อนเข้าไปอีกเมื่อจูบนั้นไม่หยุดอยู่แค่ริมฝีปาก ความอุ่นชื้นลากลงมายังซอกคอ บางอย่างบอกเขาว่าเขาควรจะผลักออก แต่มือก็ไม่ยอมขยับ เต๋าจูบวนและเล็มอยู่อย่างนั้น มือที่กอดเขาขยับลูบไปทั่วตัว...
“อือ...ต๋าว...”
เขาเรียกชื่อมัน ทันทีที่จูบเริ่มลดต่ำลงเรื่อย...เรื่อยๆ... ความชื้นแตะลงทั่ว ตั้งแต่คอจนถึงหน้าท้อง ไม่รู้ตัวเลยว่าความชื้นนั้นประทับลงตรงหน้าท้องชิดขอบกางเกงได้อย่างไร เหมือนสมองประมวลผลไม่ทัน... คิดไม่ทัน... ไม่ทันได้ใช้ความคิด... มวนท้อง ร้อน ...ร้อนวูบวาบเหมือนจะขาดใจ
ทั้งมือ ทั้งริมฝีปาก สัมผัสตัวเขาเหมือนอยากจะจับจะแตะให้ครบหมดทุกตารางนิ้ว
เขารู้...เขาต้องทำอะไรซักอย่าง ตัวเขาร้อนขึ้นทุกที แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร รสจูบก็ป้อนเข้ามา อ่อนหวาน เนิบช้า ต่างจากมือที่ลากลูบแนบแน่นไปทั่วตัว
“อืม...อือ...”
ไม่ใช่เขา แต่เป็นเสียงมัน
เต๋าครางแผ่วเมื่อเขามัวเมาไปกับรสจูบจนเบียดตัวเข้าไปชิดไม่เหลือช่องว่าง
อย่างกับกำลังโดนมอมเหล้า
มันจับมือเขาโอบรอบคอ เขาก็ทำ มันบอกให้เขาลืมตาเพราะอยากจ้องมอง เขาก็ทำ ทำหมด หมดทุกอย่าง ไม่มีสติ มีแต่ความอุ่น ความหวาน แทรกลึก แทบจะจมลงไป แล้วริมฝีปากก็ผละออกอีกครั้ง สติเขาลอยกลับเข้าร่างเล็กน้อย แต่ยังอ่อนแรงและทำอะไรไม่ถูก จนเมื่อขาที่อ่อนแรงไม่แพ้กันถูกขาของมันแทรกเข้ามาตรงกลางจนแยกออก และมือที่ไล้ลูบตรงต้นขา ขยับขึ้นมายังขอบกางเกงแล้วยังเลื่อนสอดเข้าไป เขาจึงรับรู้เสียทีว่านี่เขากับมันมากันจนไกลขนาดไหน...
ดวงตาคู่นั้น เขาสบตา แววตาเต็มไปด้วยความปรารถนาที่เว้าวอนและแสนจะอ่อนหวาน เขาขยับตัวไม่ได้ในทีแรก ความอุ่นจากมือจึงขยับต่ำลง...และต่ำลง...

ไม่
ไม่ใช่แบบนี้หรอก

“อย่า...”
เขาห้าม เสียงแผ่ว...แผ่วมาก... ไม่มีแรงผลัก ไม่มีแรงตะโกนร้องห้ามเสียงดัง เบาหวิวจนมันไม่น่าจะยอมหยุด... แต่เต๋ากลับหยุด...
ทุกอย่างหยุดลงแค่นั้น เขามองมันด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เต๋าหลับตาแน่น แล้ววูบเดียว ร่างนั้นก็ลุกออกไปอย่างเร็ว ก้าวพรวดเดียวถึงห้องน้ำ ประตูงับปิดลง เขานอนนิ่ง ตัวเขายังร้อนไม่ลดไม่จาง เหมือนยังมึนเมาไม่สร่าง
“หะ...อือ...อืม...”
จนเมื่อความเงียบแหวกทางให้เสียงครุมครางผะแผ่วลอดออกมาจากช่องประตู เขาถึงได้สติลุกพรวดขึ้นนั่ง หน้าร้อนจนเหมือนจะไหม้ และใจเต้นแรงจนต้องเลื่อนมือไปจับ... ทำให้สัมผัสกับผิวตัวเองที่เปลือยเปล่า ติดกระดุมที่หลุดลุ่ยเสียใหม่ กางเกงที่ถูกรั้งลงก็ดึงมันให้เข้าที่
ไม่รู้...ต้องทำอะไรต่อ...
เสียงที่รู้ว่าเสียงอะไรเงียบไปแล้ว แต่แล้วก็ดังขึ้นอีกครั้ง
คชารู้สึกว่าตัวเองมึนและเบลอมาก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเต๋าเข้าไปในห้องน้ำนานแค่ไหน และออกมาตอนไหน อะไร ต้องทำอะไร... อะไรต่อดี... สติเขาเหมือนจะหลุดหายไปแล้วจริงๆ คิดอะไรไม่ออกเลย แทบไม่รู้สึกตัวแม้แต่ตอนที่เต๋าดึงเขาลงนอน กอดเขาไว้แนบอกและกระซิบอะไรบางอย่างแผ่วเบาริมหู เขาหลับไปด้วยความเบลอเบือน เหมือนถูกดูดดึงพลังออกไปจนหมด

ความมืดของค่ำคืนเข้มข้นล้นทะลักโอบกอดเราเอาไว้ ห่อหุ้มเรา ปกป้องเรา ปิดบังเราจากโลกภายนอก หรือ อาจจะกำลังกลืนกินเราเข้าไป ย่อยสลายเราทั้งคู่ ในความมืดอันอบอุ่นและชุ่มชื้น คล้ายเรากำลังหลอมเข้าหากัน รวมเข้าหากัน ทั้งรักกัน ทั้งเกลียดชังกันและกันอยู่ภายใน

ตอนนั้นเขาไม่ได้ทันคิด เพราะมีเพียงสิ่งเดียวที่นึกได้ตอนตื่นมา
คืนนั้น เขาหลับฝันดี

BKAFFEE

  • บุคคลทั่วไป
- IN THE DARKNESS -


STORY BY กาแฟ
HOPELESS ROMANTIC






๓. เปลือยเปล่าเศร้าสร้อย



Love is like a poison weapon.
You can be destroyed as easy if you choose to listen by heart.
Sex is like a sin if once you dose it, you gonna go back for more.
I have to remind you before; we are in a sweet pain.



เขาลืมตาขึ้นมาพบดวงตาอีกคู่อยู่ใกล้แค่คืบ
“มองอะไร”
“คชา...”
ไม่ได้เขิน และหน้าไม่ได้ร้อนวูบวาบเหมือนสาวน้อยแรกรัก เพราะเขาเป็นผู้ชาย... ใช่... เขา... เขา...
“มองทำไมนัก ไม่ได้น่ามอง ฉันเป็นผู้ชาย”
เต๋ากอดเขาแน่นขึ้น ถูกแล้ว เขาตื่นขึ้นมา เพื่อพบกับดวงตาอีกคู่ และกอดที่ไม่ยอมปล่อย
“ฉันก็เป็นผู้ชาย...”
มันบอก กดตัวเขาเข้าไปใกล้อีก
เต๋าตาสวย สวยมาก ผิวขาวจัด สูง ขาว หุ่นดี ทุกอย่างดูดี การกระทำ การวางตัว นิสัย หน้าตาท่าทาง ทุกอย่างแทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ เหมาะสมกับผู้หญิงน่ารักแสนดีซักคนจนน่าอิจฉา
เขาเจ็บอีกแล้ว แปลบขึ้นมาในอก จุกถึงคอ จนต้องเค้นเสียงแหบแห้ง
“เต๋าเหมาะกับเขามากนะ...”
เขาเจ็บ ทั้งที่เมื่อคืนฝันดี ตอนนี้สิ ยิ่งกว่าฝันร้าย
“อย่ากอดเลย ถ้ามองเห็นตัวเราสองคนตอนนี้ได้ คชาว่ามันไม่น่าดูเลย...”
ดวงตาคู่นั้นวูบไหวชัดเจนจนเขารู้สึก เต๋ากำลังรู้สึกอะไรกัน
“อยากกอด”
กอดแล้วจะได้อะไรขึ้นมา
“กอดแล้วจะได้อะไรขึ้นมา เต๋า... เราสองคนเป็นผู้ชาย”
เขาพูดตามที่คิด มันตอบกลับด้วยการขยับหน้าเข้ามาใกล้ ริมฝีปากกำลังจะแตะลง แต่เขาทนความรู้สึกบิดเบี้ยวพวกนี้ไม่ได้ จึงขืนตัวออกด้วยแรงที่มี และลุกขึ้นนั่งหันหลังให้
มันเป็นผู้ชาย และเป็นผู้ชายที่มีแฟนแล้ว
“พอเหอะ”
“...”
“จะทำอะไรหัดคิดซะบ้าง”
“…”
“นึกถึงหน้าพ่อมึงเอาไว้ให้มากๆ แฟนมึงด้วย แฟนคลับมึง บริษัท คนนอก นักข่าว... มึงพอเถอะ...”
“...”
เราสองคนมากันไกล แต่อย่าให้ไกลจนหาทางกลับไม่เจอเลย
“ห้องนี้มีแค่เรา...”
“แต่นอกห้องนี้มีแม่กูอยู่! มึงอย่าเอาแต่ได้จะได้ไหม!”
เขาหันหน้าไปตวาด ไม่ได้ดังลั่นห้อง แต่ชัดพอที่มันจะได้ยิน และตกใจ...
มึงตกใจ แต่กูเสียใจ... เสียใจมานาน และยังเสียใจต่อเรื่อยๆ
ตั้งแต่เมื่อไรที่เขาทั้งรักทั้งเกลียดเวลามันกอด เกลียดที่มันกอด และเกลียดตัวเองที่รักช่วงเวลาที่มันกอด
หลับตาซึมซับความฝัน ลืมไปหลายครั้งหลายหน ว่ามันเป็นผู้ชาย เขาเป็นผู้ชาย มันมีแฟน เราสองคนยืนอยู่กลางคนอีกมากมายที่มองเราอยู่ ผู้ชายสองคนนอนกอดกันบนเตียงแบบไม่บริสุทธิ์ใจมันทุเรศ ผู้ชายสองคนจูบกันมันเรียกว่าวิปริต เรารักกันไม่ได้ เรื่องมันบ้าบอตั้งแต่เขารักมันแล้ว เขารักมันได้ยังไง แล้วมันจะรักเขาขึ้นมาได้ยังไง
“อย่าแตะ!”
เขาตวาดอีกหน แต่หนนี้ปัดมือขาวจัดนั้นทิ้งไป
“กูไม่ได้รักมึงหรอก มึงแค่เป็นเพื่อนที่กูรักมาก แล้วเราก็อยู่ด้วยกันในบ้านนานเกินไป เจอกันทุกวัน นอนด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน มันก็แค่ผูกพัน กูเลยเข้าใจว่ากูรัก แต่ถ้ากูเจอผู้หญิงซักคนที่กูชอบ กูก็คงชอบเขา...และรู้ว่ากูก็แค่บ้าบอไปชั่วคราว...”
ฟังไว้นะ บอกทั้งมัน บอกทั้งตัวเอง
“มึงก็เหมือนกัน มึงไม่รู้สึกทุเรศตัวเองรึไง จูบกับผู้ชาย นอนกอดกับผู้ชาย... คิดสิเต๋า เวลาจูบกูกับจูบแฟนมึง มันไม่เหมือนกันหรอก... แล้วถ้ามึงคิดได้ มึงจะรู้ว่าเราสองคนแค่บ้ากันไปเอง”
เขาไม่ได้มองหน้ามัน และมันก็ไม่พูดอะไร เขาไม่รู้หรอกว่ามันรู้สึกอะไรอยู่ แต่มันไม่เจ็บเท่าเขาหรอก เต๋ามีแฟนแล้ว มันมีคนที่พร้อมรอให้มันกลับไปหาได้ทุกเมื่อ เจ็บนิดแสบหน่อย มีคนปลอบเดี๋ยวก็หาย... แล้วก็จะลืมว่าเคยจะเป็นจะตายแค่เพื่อนอย่างเขาไม่ยอมเจอหน้า ความรู้สึกที่อยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแบบนี้ ไม่ใช่ความรักที่ดี ความรักผิดรูปผิดร่างแบบนี้ มันไม่ใช่ความรัก
“ฮึก...”
แต่เขาก็ยังบ้าเหมือนเคย ที่กลืนก้อนสะอื้นลงไปไม่หมดจนแทบจะร้องไห้ออกมา เสียงเบาลอดริมฝีปาก เขากัดฟันแน่น นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน เราสองคนทำอะไรอยู่ เขาร้องไห้ซ้ำซากทำไม...
“ป...”
“...”
“ปล่อย...”
กว่าจะเค้นแต่ละคำออกมาได้ดูยากเย็น มันโถมตัวมากอดเขาเอาไว้แน่น
ปล่อยเถอะ อย่ากอดกันเลย
น้ำตาไม่ได้ไหล เขาแค่สะอื้น แต่ไม่ได้มีน้ำตา เต๋ายังกอดเขาแน่น และริมฝีปากนั้นก็ฝังลงบนผม เลื่อนลงที่กกหู ไล่ลงมาที่คอ มือข้างหนึ่งเกี่ยวรัดที่เอว มืออีกข้างลูบเน้นหนักลอดชายเสื้อเข้ามา เขาจึงรู้ ว่ามันกำลังจะทำอะไร
“ปล่อยกู ถ้ามึงอยากมากนักมึงก็ไปเอากับเมียมึงนู่น! อย่ามายุ่งกับกู!”
เขาคว้ามือมันไว้ หันกลับมาเผชิญหน้าแล้วผลักเต็มแรงจนแผ่นหลังกว้างนั้นกระแทกกับหัวเตียง
“มึงออกไปเดี๋ยวนี้...”
เขาพูดพร้อมสูดหายใจลึก กดทุกความรู้สึกที่พรั่งพรูให้จมลง
“จะโกหกแม่กูว่าอะไรก็ได้ แต่รีบออกไปเดี๋ยวนี้...”
ก่อนที่เขาจะร้องไห้...
“ไป...ไปตอนนี้เลย...”
เพราะพบว่าเขาไม่ได้มีคุณค่าเพียงพออะไรสำหรับมันแม้ซักนิด
“...”
ไม่มีคำพูดใด ประตูเปิดออกหลังจากนั้นไม่นาน ก่อนจะงับปิด และเขาก็ต้องยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเช่นกัน
เพราะกลัวเสียงสะอื้นจะหลุดลอดคอออกมา และเป็นตัวเชี่ยอะไรซักตัวในสายตามันเท่านั้นเอง

โลกมีกลางวัน มีกลางคืน แสงสว่างเสียดแทงเข้ามาทำลายโลกแห่งความฝัน เราต่างตื่นขึ้น หลังจากหลับหูหลับตาหลอกตัวเองกันมาเนิ่นนาน หรือคงมีเพียงมันเท่านั้นที่ตื่น เขายังฝันอยู่ จมอยู่ในความมืดที่น่ารังเกียจต่อไป ใช่ไหม?



เต๋าไปขอนแก่น
ตารางงานแน่นแทบกระดิกตัวไม่ได้ แต่แค่ช่องว่างเล็กน้อย ไฟลท์บินก็ถูกจอง และมันก็บินไปทันที
คชายกโกโก้ร้อนในมือขึ้นจิบ หัวเราะแกนๆให้คนที่เอาเรื่องมาบอก
“ช่างมันสิต้น มันก็ไปหาเมีย... เอ้อ... ไปหาแฟนมันนั่นแหละ ไม่เห็นจะแปลกอะไร”
เขายังพูดกลั้วหัวเราะเหมือนไม่รู้สึกอะไร ก็เพราะ...จะให้เขารู้สึกอะไรล่ะ... คนมีแฟน ก็ต้องไปหาแฟน ก็ถูกแล้ว
“แล้วนี่อะไร”
เสียงนั้นเข้มขึ้น ต้นเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาขยับผ้าพันคอเขาที่เริ่มคลายออกให้เข้าที่ เขานั่งตัวตรงด้วยความตกใจ
“เดี๋ยวเราต้องไปให้สัมภาษณ์กัน แกระวังหน่อยสิคชา”
“...”
“อย่างนี้ยังจะบอกอีกมั้ย ว่าช่างมัน”
เท่านั้น เขาก็หัวเราะหึออกมาเบาๆ ละเลียดความอุ่นร้อนในถ้วยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ต่อคำ และไม่สบตาคนตรงข้าม นาน... จนต้นเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาด้วยความลังเล
“แกกับมัน...เคย...”
เขาลากสายตาขึ้นไปสบ แล้ว...ยิ้ม...
“คชา...”
เขาเดาสีหน้าต้นไม่ออก แต่ในนั้นมีความสงสารเจืออยู่ เขาดูน่าสงสารขนาดนั้นเลยหรือไง
คชาวางแก้วในมือลง ท้าวศอกลงกับโต๊ะ ประสานมือไว้ใต้คาง ขยับหน้าเข้าไปให้ใกล้เพื่อเอ่ยถ้อยความให้เบาเท่าเสียงกระซิบ
“รู้ไหมต้น...”
รอยยิ้มของเขายังปรากฏอยู่บนใบหน้า เขาพยายามอย่างมากที่จะยิ้ม ...อย่างเคย อย่างที่เป็นมาเสมอ...
“...ฉันทนมันไม่ไหว แต่ฉันก็อยากให้มันรั้งฉันให้มากกว่านี้ อยากบอก...ว่าอย่าไป... แต่... แต่ฉันเอง ก็อยากไปแล้ว”
เขาแสดงสีหน้าแบบไหนไปก็ไม่อาจรู้ ทั้งที่พยายามยิ้ม แต่ต้นคงไม่ได้มองเห็นเป็นอย่างนั้น หน้าของมันถึงฝืดเฝือเต็มกลืน
“ฉันสับสน... และ ทุกอย่างก็จบ... เกมส์โอเวอร์...”
“...”
“เมื่อวานนี้ ฉันไล่มันออกจากบ้าน...”
เขาเผลอขยับมือข้างหนึ่งแตะลงบนผ้าพันคอ ใต้ผ้าบางๆที่กั้นอยู่ มีรอยแดงที่เริ่มจาง และใต้เสื้อที่เขาสวม รอยนั้นก็ปรากฏอยู่ไม่ต่าง...
“ความจริง ฉันไม่ต้องไล่มันก็ได้ เต๋าไม่ไปไหนหรอก มันวิ่งตามฉันมานานแล้วแกก็รู้นี่ต้น... แต่แกรู้ไหม ฉันกลัวฉันเองนี่แหละที่จะทนไม่ได้...”
“…”
“ฉันกลัวตัวเองต้องเสียใจซ้ำซาก แล้วก็มากขึ้นเรื่อยๆ... เพราะเราไม่มีวันรักกันได้...”
“...”
“เราจะรักกันได้ยังไง...”
“...”
ยิ่งพูด ก็ยิ่งเว้นช่วงนานขึ้น หายใจลึกขึ้น แล้วถอนหายใจยาวขึ้น
“แต่ฉันก็ออกมาแล้ว...”
“...”
“ถึงสุดท้ายจะเหมือนว่าเราถูกมันทิ้ง แต่ฉันเป็นคนออกปากไล่ และฉันก็จะได้ไม่ต้องอดทน...”
น่าแปลก ที่ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล ก็แค่เหนื่อย อึดอัด เหมือนอกร้าวยอก แต่ก็แค่นั้น
“แน่ใจเหรอว่าตอนนี้แกไม่ได้อดทน...”
จนเมื่อต้นถามคำถามนั้นออกมา
เขาลุกพรวด บอกต้นว่าจะไปเข้าห้องน้ำ เดินดุ่มออกจากร้านกาแฟใต้อาคารที่จะมาสัมภาษณ์
เขาเป็นอะไรไปนะ...
เขาน่ะ...
ในห้องน้ำมีคนอยู่คนเดียว เขายืนนิ่งอยู่หน้ากระจก รอจนชายคนนั้นเดินออกไป คชาจับแก้มตัวเอง ลูบเหมือนละเมอ หน้าเขาสะท้อนอยู่ในกระจก... คชา... นายกำลังทำหน้าแบบไหนกัน...
เขากำลังส่องกระจกเพื่อมองตัวเอง มองใบหน้าตัวเอง มองดูตัวเอง
แต่ทำไม... เขาถึงมองอะไรไม่ชัดเลย



เมื่อคืนเขาฝันร้าย
ฝันว่าว่ายน้ำไม่เป็น แล้วตกลงไปในทะลสาบ สำลักน้ำเจียนตาย มือปะป่ายคว้าคว้าง จะหาอะไรเพื่อเป็นหลักยึด ...ก็ไม่มี ตื่นมาด้วยอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ทัน เขากลัว
แต่มันก็แค่ฝัน ฝันที่ว่าร้าย ยังไม่เท่าความจริงของเช้านี้ที่ต้องเจอ คชาต้องไปขอนแก่น ไปแทนแพรวที่ป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลกะทันหัน และ... มันเป็นงานคู่... คู่กับเต๋า...
ไม่มีสิทธิอิดออด งานต้องเป็นงาน
คงเป็นแผนเรียกกระแสอย่างหนึ่ง เต๋าคชาขายได้เสมอ และขายดีเสียด้วย ไม่แปลก ที่เมื่อตารางเขาว่างตอนนั้นพอดี จึงถูกจับลงแทนแพรวแบบไม่มีสิทธิต่อรอง ลมหายใจพรูออกหนักหน่วง… ถ้าทำให้อะไรดีขึ้นไม่ได้ เขาอาจจะขาดใจตายเข้าจริงๆซักวัน



...
บ้าเอ๊ย!
คชาฟึดฟัดอยู่บนเตียงนอนในโรงแรมที่พัก ขยี้ผมตัวเองจนยุ่งไปหมด
รูปคู่ในงานวันนี้ปลิวว่อนทวิตเตอร์ จะไม่เป็นไรเลย ถ้าเป็นมุมกล้อง ถ้าเป็นรูปคู่บนเวทีทั่วไป จะไม่เป็นไรเลย ถ้าทุกรูปในนั้น...มันจะไม่ได้มองแต่เขา มองเหมือนจะอ้อนวอน มองเหมือนตั้งคำถามว่าทำไม ทำไม ทำไม ในหัวตลอดเวลา
บ้าจริง...

คชาไล่สายตาอ่านเมนชั่นจากแฟนคลับอยู่นานจนปวดตา
มากกว่าครึ่งกระเซ้าถึงภาพในงานวันนี้ เดาไปต่างๆนานา บ้างก็ว่าเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า ทะเลาะกันรึเปล่า งอนกันหรือ หรืออะไร แม่นอย่างกับตาเห็น เพียงแต่รายละเอียดมันซับซ้อนแล้วก็แย่จนเกินจะเดาไหว ไม่อย่างนั้นสงสัยถ้าปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดคงเล่าออกมาได้เป็นฉากๆ
ช่างเถอะ... ก็แค่ภาพ... มากกว่านี้ หลุดออกมาเป็นคลิป ก็มีมาแล้ว

หลังทวีตราตรีสวัสดิ์ตามสเต็ป คชาก็หาวหวอด
เดินทางแต่เช้า เมื่อมาถึง ยังไม่ทันได้พักเหนื่อยจากการเดินทาง เขากับเต๋าก็มีคิวออกไปให้สัมภาษณ์ เสร็จจากงานนึง ก็มีอีกงานนึงรอต่อ แล้วตอนเย็นก็ยังมีคิวไปร้องเพลง กว่าจะเลิก กว่าจะถึงที่พัก... ตาแทบจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่
คชาดูเวลาในจอโทรศัพท์ อีกสิบนาทีเที่ยงคืน แต่ห้องยังว่างเปล่า ในนี้มีเขาเพียงคนเดียว และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาหาวเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน แต่ตาไม่ยอมปิด ร่างกายไม่ยอมหลับ
ด้วยเพราะเป็นเพื่อนสนิทกัน ทีมงานจึงจัดห้องให้นอนด้วยกัน เป็นเมื่อก่อนเขาคงดีใจมาก แต่เพราะตอนนี้ไม่ใช่ตอนนั้น เพราะมันเป็นที่นี่ เพราะมันเป็นเวลานี้
รูปคู่ที่แฟนคลับถ่ายพรูเข้ามาในหัว
มองเขาอย่างมีความหมายไปเพื่ออะไร สุดท้ายก็เหมือนเดิม มันคงไปค้างที่อื่น ที่อื่นที่เขารู้ดีว่าที่ไหน
อยากร้องไห้ ถ้าร้องไห้ออกมาอีกซักครั้งอาจจะดีก็ได้ อืม... อาจจะดีกว่านี้
คิดแบบนั้น แล้วก็ขำตัวเอง
คชา มึงอ่อนแอขนาดนี้เลยหรือ หืม...

ความเหนื่อยอ่อนทำให้เขาหลับไป
เป็นอีกครั้งที่ฝันร้าย
กลางเวิ้งน้ำที่ไม่มีสิ่งใดปรากฏให้เห็นได้ในคลองสายตา เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นวางเขาลงไปกลางที่แห่งนั้น ที่ที่เงียบงันและว่างเปล่าจนดูอ้างว้าง แสนจะเดียวดาย วูบหนึ่ง ความเดียวดายขยับเคลื่อนไหว กลายเป็นเงาร่างที่สัมผัสได้ มันเข้ามาสวมรอย ยืนอุดช่องว่าง และตัวเขาเอง ก็ไม่อาจปฏิเสธสิ่งนั้นอย่างไร้เยื่อใย
ความเดียวดายสอนให้เขาว่ายน้ำเป็น ด้วยตัวเอง
แต่ความเดียวดายก็เหมือนเป็นดาบสองคม มีพิษสงเหลือร้าย คมหนึ่งกรีดเนื้อเถือหัวใจเขาจนเป็นแผลแหว่งวิ่น เขากำลังเคว้ง กำลังอ้างว้าง เพราะหลายสิ่งหลายอย่างพังทลาย อย่างที่ความห่วงใยของมันก็กอบเก็บเศษเล็กเศษน้อยของเขากลับขึ้นมาประกอบใหม่ไม่ได้
ขณะหนึ่งในความฝันนั้น เขารับรู้ถึงการถูกรบกวน นาทีหนึ่งที่เขากำลังว่ายน้ำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ว่ายเท่าไรก็ยังไม่เห็นขอบฝั่ง ก็มีสัมผัสอุ่นร้อนจับประคองเอาไว้ ความอุ่นท่ามกลางสายน้ำเหน็บหนาวที่ทำให้เขาแทบจะร้องไห้ มือที่กำลังกระเสือกกระสนเขยื้อนขยับไปต่อไม่ได้ ทุกอย่างหยุดลง เขากำลังจมลง... ร่วงหล่น...

“ชา.. ชา... เป็นอะไร คุณเป็นอะไร...”
เขาสะดุ้งสุดตัว หายใจหอบ เสียงเรียกชื่อเขาดังอยู่ริมหู
“เต๋า...เต๋า...”
“ครับ คชา... ผมอยู่นี่... ไม่เป็นไร คุณแค่ฝันร้าย ไม่เป็นไร...”
เขาจึงรู้สึก ว่าถูกกอดเอาไว้แนบแน่นทั้งตัว... ชิดจนแทบไม่เหลือช่องว่าง... มือขาวจัดที่อบอุ่นพอดีมาเสมอลูบลงที่กลุ่มผมและแผ่นหลัง เสียงทุ้มนุ่มปลอบประโลมไม่ห่าง คงจะดีถ้านี่เป็นความจริง
เขาซุกหน้าลงกับอก กลิ่นน้ำหอมที่แปลกไปทำให้เขาต้องกัดฟันแน่น
มือเขากอดตอบ กอดจนแน่น แน่นจนเหมือนจะกดลงไป จะจิกลงไป ให้ลึกถึงข้างในร่างกายนั้น ว่าภายในเนื้อหนังนั้นมีอวัยวะที่เรียกว่าหัวใจวางอยู่จริงรึเปล่า ตัวเขาขยับอยู่ตลอดเวลา เพราะอยากจะกอดให้แน่นอีก... แน่นขึ้นอีก... ร่างกายเราสองคนที่แนบชิดสนิทเสียดสีกัน... และเขารู้ว่าเต๋ารู้สึก...

เสื้อของเขาถูกถอดออกและโยนออกไปตรงไหนซักแห่งในห้อง ความเจ็บจี๊ดระคนวาบหวามทำให้รู้ว่าร่างกายนี้กำลังถูกตีตราแสดงความเป็นเจ้าของ พรุ่งนี้คงจะขึ้นรอยแดงจนทั่วตัว แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยคำห้ามปราม ผิวเนื้อถูกสัมผัส คลึงเคล้าฟอนเฟ้น ลูบไล้เหมือนจะตรวจตราให้ครบทุกตารางพื้นที่ จูบถูกป้อนเข้ามา ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ซ้ำแล้ว...ซ้ำอีก...
“เต๋า... อืม... อะ... เต๋า...”
เขาครางเรียกชื่อมันเสียงแผ่ว และนั่น ทำให้กางเกงนอนของเขาถูกร่นลง และดึงจนหลุดพ้นปลายขา ใบหน้าขาวกลับมาอยู่ในคลองสายตาของเขาอีกครั้ง เขาสบตากัน แล้วพลัน จูบร้อนก็ไล่ลงจากกกหู ต่ำลง... ลงไป... ลงไป... กดผ่านอก... ลากผ่านหน้าท้อง... แล้วเขาก็ผละมือออกจากรอบคอของเต๋า เพื่อจับปกเสื้อเชิ้ตนั้นเอาไว้แน่น
เต๋าชะงัก เงยหน้ามองตรงมา ไม่มีใครเอ่ยถ้อยคำใด เขาเพียงดึงตัวเขาขึ้นมา เกาะเกี่ยวปลายนิ้วลงที่สาบเสื้อ ไล่ปลดกระดุมออก... ทีละเม็ด... ทีละเม็ด... ลากปลายนิ้วผ่านแผ่นอกขาว ลงมาถึงขอบกางเกง ขยับปลดเปลื้องเข็มขัดหนังเส้นหนา รูดออกช้าๆแล้วโยนไปนอกเตียง เลื่อนมือลงอีก ลูบสัมผัสผ่านเนื้อผ้าราวยั่วเย้า เขาสองคนยังสบตากัน แววตาเต๋าฉายชัดถึงความปรารถนา
ความปรารถนาที่อาจยังไม่มอดดับ ใช่... เพราะความจริงเป็นแบบนั้น...
“ไปเอากับเมียมึงมายังไม่หายอยากใช่ไหม”
คงเหมือนถูกน้ำเย็นจัดสาดหน้าในฤดูหนาว เต๋าเบิกตากว้างค้างอยู่อย่างนั้น
“เอาสิ กูอ้าขารอมึงอยู่นานแล้ว... ยังอยากเอาต่อใช่ไหม มึงเริ่มสิ เข้ามาสิ... เอาเลย...”
“ชา...”
เสียงแผ่ว เบาหวิว เรียกเพื่ออะไร เพื่ออะไรกัน
“อย่าทำอย่างนี้...”
เสียงมันสั่นพร่า เขากดจูบลงที่ต้นคอ ลากลงยังแผ่นอก และยังคงขยับมือสัมผัสผ่านเนื้อผ้าหนาไม่หยุดหย่อน
“มึงอยากมึงก็เอากูสิ มึงจะกลัวอะไร หรือกลัวเมียมึงรู้... กูไม่บอกเมียมึงหรอก...”
“...หย...หยุด...หยุดนะคชา...หยุด...”
“มึงบอกให้กูหยุด แล้วไอ้ที่แทบจะทะลักกางเกงออกมาเนี่ยคืออะไร... ไม่เป็นไร กูจะช่วยมึงเอง... นึกซะว่ากูเป็นแค่คู่นอนมึงก็ได้...”
มือเขาสั่นพร่า เพิ่งรู้ตัวว่ามันสั่นแค่ไหนตอนที่พยายามจะปลดกระดุมกางเกงและรูดซิปลง เขาออกแรงจนแทบจะเรียกได้ว่ากระชาก ด้วยสติที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สมองสั่งเพียงให้ทำ... ทำต่อ... อย่าหยุด... ทำให้มันจบ...
“หยุดเดี๋ยวนี้นะชา!”
เขาสะดุ้งสุดตัว เต๋าตวาดดังลั่นห้อง
“ทำบ้าอะไร!”
มือของเขาถูกจับเอาไว้แน่นทั้งสองข้าง บีบที่ข้อมืออย่างแรงจนเจ็บ เต๋ากดเขาเอาไว้กับเตียงให้เลิกพยายามปีนคร่อม แล้วตวัดผ้าห่มผืนหนามาคลุมตัวเขาเอาไว้จนกลายเป็นก้อนกลม ปิดบังเนื้อตัวเปลือยเปล่า เขาหมดแรงดิ้น นอนนิ่ง... รู้สึกเหมือนน้ำตากำลังจะไหลออกมา...
“พอนะ... อย่าทำแบบนี้นะ...”
“...”
“...อย่า...อย่าทำเหมือนกำลังจะไปเลยได้ไหม...”
คือคำขอร้องรึเปล่า มึงกำลังบอกอะไรกูอยู่เหรอเต๋า
“ถ้ามึงไม่รักกู ก็ไม่ควรทำให้กูรักมึงเลย...”
เขาเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น ลำคอตีบตันแห้งผาก และหัวก็ปวดจนแทบลืมตาไม่ไหว
“มึงกลัวตัวเองเจ็บ แต่มึงไม่ได้กลัวกูเจ็บหรอก”
“...”
“มึงขอกูว่า อย่าไป... แต่สำหรับกู มึงอาจจะไปในนาทีไหนนาทีนึงก็ได้”
“...”
“มึงบอกสิว่ามึงเลือกกู...”
“...”
“อย่า... ไม่ต้องพยายามหรอก กูรู้ว่ามึงพูดออกมาไม่ได้ เพราะมึงต้องมีเขา... มึงเองก็รู้”
“...”
“มึงคาดหวังอะไรจากกูกันเหรอ”
เขาเป็นอะไรกันนะ เพิ่งนึกได้ว่าควรจะต้องถาม ถามทั้งมัน ถามทั้งตัวเอง ว่าแล้วสุดท้ายเราเป็นตัวเชี่ยอะไรสำหรับมันกันแน่
“กูพยายามถามตัวเองว่ามึงต้องการอะไรจากกู คาดหวังอะไร”
“ชา... ผม...”
“กูเกลียดมึง”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2013 15:19:06 โดย BKAFFEE »

BKAFFEE

  • บุคคลทั่วไป
(ต่อ)




บางที เมื่อเวลาผ่าน เราอาจไม่ได้ทำทุกอย่างเพื่อความรักอีก แต่ทำเพื่อตัวเอง หาเหตุผลให้ความเห็นแก่ตัว
ยิ่งเหตุผลซับซ้อน ก็ยิ่งรักกันน้อยลง
หรือความจริงแล้ว ความรักไร้เดียงสามันไม่มี มันมีแค่ช่วงเวลาที่ถูกแกว่งไกวอยู่ระหว่างความดีงามของการให้อย่างไม่จำกัด และการพยายามครอบครองเป็นเจ้าของ? และหากเปิดเปลือยความรักออกมาจนหมด ตัวตนแท้ๆของความรักที่ไม่ได้ปรุงแต่งด้วยศีลธรรมจรรยา มันจะงดงามอิ่มเอิบ หรือเหี้ยมเกรียมโหดร้าย?

“กูเกลียดมึง”
เต๋านิ่งไป เขาพบความเจ็บปวดมากมายในดวงตาคู่นั้น กอดที่สวมอยู่คลายออก มันยันตัวขึ้นนั่ง เขาเองก็เหมือนกัน เราสองคนนั่งอยู่ด้วยกันบนเตียง สายตายังสบกันไม่มีหลบ และได้แต่ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่อยู่อย่างนั้น
ผ้านุ่มหนาห่อเนื้อตัวเปลือยเปล่าของเขาเอาไว้ ทั้งที่น่าจะอุ่น... แต่ไม่... ไม่เลย... เขาหนาว เย็นเยือก เหมือนก้อนเนื้อในอกถูกน้ำแข็งห่อหุ้ม เหมือนมีผลึกความเย็นมากมายทาบเกาะทั่วตัว อาจเป็นการอุปาทานไปเองว่าหนาว เขาเองก็ไม่แน่ใจ แต่ในชั่วอึดใจที่แสนยาวนานในความรู้สึกนั้น เขาหนาวเสียจนสั่นไปทั้งร่าง
เจ้าของผิวกายขาวจัดนั่งนิ่งราวหุ่นปั้น ความอึดอัดปกคลุมทั้งห้องจนแทบหายใจไม่ออก เขากำลังจะขาดใจ... ถ้ามันหันหลังไปช้ากว่านี้อีกซักหน่อย เขาอาจจะต้องตบหน้าตัวเองแรงๆซักทีเพื่อให้หยุดทรมาน และตื่นจากฝันยาวนานซักที
เต๋าขยับตัวหันหลัง ไม่เห็นแม้แต่เสี้ยวหน้า ทำไมไม่รู้ แผ่นหลังที่เคยกว้างขวางอบอุ่นเสมอ กลับดูเหมือนถูกบีบให้แคบลงจนดูเศร้าสร้อย เขามองมันอยู่อย่างนั้น มองมันนั่งนิ่งไม่ขยับตัวไปไหนหรือพูดคำใดอีก และเขาเองก็ไม่มีคำพูดอะไรออกจากปากเช่นกัน
เจ็บ... นอกจากใจแล้ว ตัวเขา มือเขา มันเจ็บ... เจ็บจากการจิกเล็บลงไปในเนื้อเพื่อระบายความเจ็บข้างใน
มือชื้นเหงื่อ แสบ... เลือดคงซึมออกมา เพราะเขาลงแรงกดไปไม่ยั้ง เจ็บ แล้วก็หนาว...
คชาพยายามสูดลมหายใจลึก แต่ก้อนสะอื้นก็ตีตื้นจนแทบกระอัก หายใจไม่ออก และอยากออกไปจากห้องนี้ เสื้อผ้าเขากองอยู่ที่พื้นห้อง หยิบมาสวมอย่างรีบเร่ง ไม่เอา... เขาเกลียดความรู้สึกนี้ ทนความอึดอัดแบบนี้ต่อไปอีกนาทีเดียวก็ไม่ได้ แต่... เมื่อเดินไปจนถึงประตู มือจับลงที่ลูกบิด ความเย็นของเหล็กแนบชิดกับเนื้อ ใจเขาเต้นแรงบ้าคลั่ง... มันเต้นแรงด้วยความหวังน้อยนิด... ว่าเต๋าจะหันกลับมา และรั้งเขาเอาไว้ให้อยู่ต่อไปอีกซักวินาที
บ้าและโง่แท้ๆ
ไปเถอะนะคชา ถ้าเหนื่อยก็ต้องหาทางลง อย่าหาทางไปต่อ ในห้องนี้ไม่มีอากาศให้หายใจ ตรงนี้ไม่มีซักตารางเมตรให้เขาเหยียบยืน
ประตูถูกเปิดออก อากาศอุ่นที่ต่างจากแอร์เย็นเฉียบในห้องสี่เหลี่ยมวูบเข้าสัมผัสผิวหน้า เขาโกยอากาศเข้าปอดเหมือนโหยหาเหลือแสน

“อย่าไปเลยนะ...”

และ... น้ำตาที่คิดว่าจะไม่มีทางไหลก็หยดลงเป็นทาง อาจจะเพียงหยดเดียว เพราะความเย็นวิ่งผ่านแก้มเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
ความอดทนของคนเรามีขีดจำกัด แต่เขารู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าความอดทนของเขามีมากมายเพื่อมันเสมอ และก็เป็นอีกครั้งที่เขายอมอดทนหายใจในพื้นที่ที่มีอากาศเพียงน้อยนิด เพียงแค่เต๋าร้องขอ ขอให้เขาหลับตา
ความรักที่ตกแตกเป็นเสี่ยง เขายังทนเจ็บและกอดเอาไว้
ประตูที่เปิดออกแล้วงับปิดลง เขาไม่พูดอะไร แต่นั่นชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใดใด มันรู้ดี...
“นะ...”
“...”
“...อย่า... อย่าไปเลย...”
ฟังดูเหมือนคำร้องขอ กอดที่โถมเข้ามาจากด้านหลังแน่นจนน่าจะอึดอัด... แต่เขากลับไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะผลักออก... ใช่... เขาชอบให้มันกอด... วันแรกเป็นยังไง ตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น...
“เรา... เป็นเหมือนเดิมได้ไหม...”
“...”
“...นะ”
เหมือนเดิมของเราสองคนคือแบบไหนกัน คิดแล้วก็นึกขำ เกิดคำถามที่ทั้งอยากหัวเราะต่อด้วยการตะโกนร้องไห้ แต่... คชาก็รู้... จะกี่ร้อยกี่พันคำถาม มันไม่มีประโยชน์อะไรให้สงสัย เมื่อที่สุดแล้ว... คนหนึ่งก็ไม่อาจเดินจากไปไหน ตราบใดที่อีกคนยังยืนยันว่าไม่อยากให้ไป
เขาเหมือนเดิมเสมอนะเต๋า... เผื่อมึงจะไม่เคยรู้... แต่นั่นก็เพียงคิดอยู่ในใจ ไม่ได้เอ่ยออกมา เมื่อเคยเจ็บแทบเป็นแทบตายแล้วซักครั้งหนึ่ง จะมีคนอยู่สองประเภท คือคนที่เข็ดแล้วกับความเจ็บ กับคนที่ไม่กลัวความเจ็บอีกแล้ว เขา... คนที่เจ็บซ้ำเจ็บซาก... เขาคือคนประเภทไหน...
คำตอบของคำถาม คือการหันหลังไปกอดมันเอาไว้ กอดกลับไป เพราะไม่อยากให้มันสั่นเหมือนหวาดกลัว ไม่อยากให้มันร้องไห้... ร้องไห้เหมือนจะขาดใจ... เขาเองก็อยากจะร้องไห้ออกมาดังๆเหมือนกัน... รู้ไหม?
เรื่องมันผิดพลาด และเราต่างเป็นส่วนหนึ่งของความผิดพลาด คล้ายว่าจะหลงรักและไม่คิดจะถอนตัว
“เต๋า... มึงต้องการอะไรจากกูกันเหรอ...”
เขาถามออกไปอีกครั้ง และครั้งนี้ เขาคาดหวังว่าต้องมีคำตอบ
“บอกสิ”
ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่เราสลับกันทำลายมันลง แล้วก็เจ็บปวด แล้วก็เฝ้าหวังว่าจะไม่อีก แล้วก็ทำอีก แล้วก็พัง แล้วก็เจ็บปวด ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ครั้งแล้ว... ครั้งเล่า...
“มึงต้องการอะไร... แค่บอกออกมากูจะได้รู้ซักทีว่ามึงทำทุกอย่างไปเพื่...”
“รัก”
คำพูดของเขาถูกตัดบท
“อยากให้ชารักเต๋าเหมือนเดิม...”
“...”
“รักให้มากๆ... และอย่าไปเลย...”
คชาหัวเราะออกมาผะแผ่ว เขาแพ้...
เรื่องทั้งหมดมันผิดพลาดที่สุด ตรงที่เราปล่อยกันและกันไปไม่ได้ จะเจ็บจะปวดยังไงก็ทำได้แค่อดทน อย่างน้อยก็ตอนนี้

มีใครมากมายชอบเปรียบน้ำตาลเทียบเท่าความรัก
อาจเพราะมันเหมือนเป็นโศกนาฏกรรมสำหรับคนที่หลงลืม... ลืมว่าความหวานไม่อาจคงอยู่ตลอดไป น้ำตาล... ความหวาน... ในที่ที่ไม่เคยพบเจอ ความสุขเหมือนติดปีกบินได้ แต่คล้ายว่าปีกพร้อมจะหักลงทุกเวลา กลัวว่าจะสูญเสียมันไป... ความหวานที่อยากเก็บไว้นานเท่านาน…
อีกครั้ง และอีกครั้ง ที่เขายอมหลับตา



ผู้ชายตัวโตๆสองคนนอนกอดกันมันคงไม่น่าดูเท่าไร ถึงแฟนคลับจะชอบแซวชอบบอกว่าเขาตัวเล็กกว่ามันก็เถอะ แต่เขาก็ไม่เห็นว่าเขาจะตัวเล็กบอบบางอะไรตรงไหน แต่เขารักกอดแบบนี้ ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
แขนที่สอดเข้ามาพอดีกับช่วงตัวเขา แรงกอดกำลังพอดี ความอุ่นกำลังพอดี มืออุ่นที่ลูบอยู่ที่กลางหลัง ความอุ่นของริมฝีปาก ความอุ่นของลมหายใจ และเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ เมื่อเขาแนบแก้มลงไปบนอก
หาก ความพอดีในตอนนี้เพิ่มขึ้นหรือลดลงอีกครั้ง เรายังพร้อมจะทำทุกอย่างให้กลับมาสู่ช่วงเวลานี้ด้วยกันใช่ไหม?

ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เต๋าแค่กอดเขาเอาไว้ และเขาก็กอดกลับไปไม่ต่างกัน แต่เขาก็ยังไม่อยากหลับ กลัวว่าถ้าหลับไปตอนนี้ เมื่อลืมตาขึ้นอีกที จะไม่มีช่วงเวลานี้เกิดขึ้นอีกแล้ว ...จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่อยากให้ทั้งหมดจบลง ก้อนสะอื้นตีขึ้นมาจุกที่คอ
มันจริงมาก จริงอย่างที่สุด ความอุ่นของร่างกายที่โอบกอดเขาอยู่ มันมากกว่าแค่กอด เหมือนเขาถูกโอบประคอง เหมือน...ช่วงเวลาที่ถูกปล่อยคว้างกลางน้ำทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็น จบลง เขาสัมผัสได้ถึงแผ่นหินขนาดใหญ่ที่รองรับตัวเขาทั้งตัวเอาไว้ ยืนได้อย่างมั่นคง ไม่ต้องกลัวล้ม ไม่ต้องกลัวจมลงไป แทบไม่ต้องนึกกังวลถึงสิ่งใด เคยถามตัวเองว่ามันมากมายขนาดไหน แล้วก็ได้รู้ ว่ามันมากมาย... มาก... มากมายจริงๆ
ครั้งหนึ่งตอนอยู่ในบ้าน ครูเคยถาม ต้องการความรักแบบคนรักไหม เขาตอบ ต้องการสิ ต้องการ ความรู้สึกที่ต่างไปจากที่หม่าม้าให้ กำลังใจที่ต่างจากครอบครัว พี่น้อง เพื่อน ครู แฟนคลับ คนที่พร้อมจะสบตากันอย่างไม่รู้เบื่อ เหมือนเขาโอบกอดจักรวาลของเรา
“อย่าร้องไห้...”
นิ้วเย็นๆปาดลงใต้ขอบตา เขาสะดุ้ง และจึงรู้สึกตัว... ว่าน้ำตากำลังไหล ใบหน้าเต๋าพร่าเลือน เขากระพริบตาถี่ ไล่หยดน้ำออกไป เพื่อมองคนตรงหน้าให้ชัด
“ก็กูบอกแล้วว่ากูขี้แย”
เขาคว้ามือเย็นๆของเต๋าเอาไว้ จับไว้อย่างนั้นไม่ปล่อย มือขาวจัด แนบลงที่แก้มเขา ความเย็นเจอความเย็น แต่เพียงไม่นาน ก็รู้สึกได้ถึงความอุ่น แล้วคชาก็เอียงหน้าแนบลงอีกนิด กดทาบลงไปในฝ่ามือที่แสนคุ้นเคย
“แฟนคลับคงอยากเห็นภาพนี้”
เต๋าเอ่ยออกมา เขานึกภาพตามแล้วก็หัวเราะ
“เอาไว้กูมีแฟนกูจะทำแบบนี้อัพลงอินสตาแกรมแม่งเลย”
รอยยิ้มเต๋าหุบฉับ แบบที่คาดเดาได้
“ทำไมล่ะ จะให้กูถ่ายรูปตอนนี้แล้วอัพลงรึไง”
“รู้... ว่าทำไม่ได้”
“อือ... รู้ก็ดี... กูก็รู้เหมือนกัน ว่าทำไม่ได้...”
แล้วความเงียบชั่วอึดใจที่แสนยาวนานก็เคลื่อนตัวเข้ามา วูบหนึ่ง เขาคิดว่าเขาเห็นหยดน้ำในดวงตาของเต๋า
“อีกครั้งสิ บอกอีกที... มึงต้องการอะไรจากกู...”
“อยากให้คชารักเต๋า... รักให้มากๆ... และอย่าไปเลย...”
สายตาคู่นั้นทำให้เขาสั่นไหวจนต้องหลับตา ก่อนจะปรือขึ้นใหม่ ลูบที่แก้มขาว สบตากลับไปอีกหน ดวงตาที่เหมือนหลุมลึก... เขาจ้องมอง และตกลงไป ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก

เมาจูบ
เขาเป็นคนเริ่ม เพราะอยากมากกว่านี้ อยากเข้าไปให้ใกล้กว่านี้ ก่อนจะถูกตอบกลับมาด้วยรสชาติที่มอมเมากว่า ทุกครั้งที่ริมฝีปากถอนออกจากกัน เต่าจะกระซิบแผ่วให้เรียกชื่อ แล้วเขาก็เรียกตามนั้น เหมือนไม่มีสติจะคิดถึงสิ่งไหนอีกแล้ว เขาร้องเรียก คำเพียงคำเดียวในใจ ซ้ำๆ วิธีการแสดงความเป็นเจ้าของที่เขายินยอมพร้อมใจ

“เต๋า... โทรศัพท์...”
เครื่องมือสื่อสารแผดเสียงดังลั่นห้อง เสียงเพลงที่ต่างไปจากสายเรียกเข้าสายอื่น มันหยุดสิ่งที่กำลังทำทันที ไม่รู้ว่าเพราะเพิ่งรู้สึกตัว หรือเพราะอะไร
“ไปรับสิ...”
จากความสุขที่แทบสำลัก กลายเป็นความเศร้าลอยฟุ้ง อีกฝ่ายลังเล ครั้งแรกที่มันลังเล...จนเห็นได้ชัด และเต๋าก็ส่ายหน้า
“ทำไม...”
“...”
“รับสิ...”
มันส่ายหน้าอีกหน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาดีใจ
“ไม่...”
เสียงเต๋าชัดเจนมาก หนักแน่นอย่างที่เขาไม่เคยได้ยิน และน้ำตาเขาก็ไหลออกมา อีกรอบ และอีกรอบ ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันมาจนวินาทีนี้ เขาน่าจะร้องไห้รวมกันมากกว่าที่เคยร้องมาทั้งชีวิต เหมือนกับ หลังจากที่เราสลับกันทำร้ายทำลายกันมาจนสาแก่ใจ ที่สุดแล้ว ก็คงมีแค่เราที่ทนกันและกันได้ มันรู้ว่าอะไรที่เขาเจ็บปวด แม้พยายามที่จะไม่ทำ แต่เขาก็ยังพบเจอและเจ็บปวด เขาเอง ก็รู้ดีว่าแทงย้ำลงไปตรงไหนให้มันเจ็บปวดที่สุด และก็พร้อมจะทำลงไปซ้ำๆ ไม่อยากจะเจ็บ โดยที่มันไม่เจ็บเหมือนเขา ทั้งที่เมื่อมันเจ็บ เขาเองก็เจ็บกว่ามาก
“ที่ตรงนี้ไม่ใช่ของกู”
เขาพูดออกไปตามความจริงที่เป็นอยู่และรู้สึก
“ที่ตรงนี้เป็นของคชา”
แต่มันก็สวนกลับมาอย่างหนักแน่นจนเขาสั่นไหว
“ไม่ใช่...”
“ใช่สิ... ที่ตรงนี้เป็นของชา...”
“ไม่... เขาเป็นความจริงของมึง ไม่ใช่กู...”
“ไม่ช...”
“กูมาแย่งที่คนอื่นยืน มาแย่งที่นอนคนอื่นนอน กูรู้ตัวเต๋า”
“...”
อีกหน ที่เขาผละตัวออกมาจากอ้อมกอดอุ่น ฝันดีไม่เคยอยู่ได้นาน
“อย่าให้กูโกหกตัวเอง มึงอย่าทำให้กูสมเพชตัวเองมากนัก เพราะถ้ากูทนความคิดตัวเองไม่ไหว... วันนั้น ต่อให้มึงร้องไห้... กูก็จะไป...”
“แต่เต๋ากับเขาไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆนะชา...”
เต๋าคว้าแขนเขาเอาไว้ มันมองมาเหมือนอยากเข้ามากอด เขามองที่มือนั้น ดูซีดขาวกว่าเคย ดูเปราะบาง... ทั้งที่เขาเองต่างหาก ที่เป็นสิ่งที่แตกหัก
“รู้อะไรไหมเต๋า”
“...”
“กูรักมึงมาก... มากซะจน ต่อให้มึงโกหก กูก็พร้อมจะเชื่อ...”
เราต่างรู้ว่าเรานั้นโง่เขลา จมปลัก และมืดบอดเกินกว่าจะมองเห็นปากหลุม ยิ่งตะเกียกตะกายปีนขึ้นไป ยิ่งรู้สึกว่าจมลึกลงกว่าเก่า ...เราต่างเป็นกันทั้งนั้น ไม่อาจรู้ ไม่อาจหวัง ว่าเราจะปีนป่ายพ้นขึ้นมา

แทบไม่ต้องคาดเดาว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป ที่นอนยวบลงเพราะเขาทอดตัวนอน อ้อมกอด รอยจูบ เหมือนทุกครั้ง บอกไม่ได้ว่าใครเป็นฝ่ายเริ่ม แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าเขาก็ต้องการ และสายตาคู่นั้นก็บอกชัด... เราต่างเข้าใจตรงกัน ปรารถนาในสิ่งเดียวกัน แต่... ชั่วขณะที่กางเกงกำลังถูกร่นลงอีกครั้ง เขาก็เอ่ยขึ้นมา ราวกับตัวเขา กำลังบอกตัวเขา
“หยุดเถอะ...”
“...”
“ขอ... เหลือไว้ซักอย่าง ซักอย่างเดียว... ที่ไม่ได้ให้มึงไป...”



ประตูระเบียงถูกเปิดออก ลมเย็นจึงพัดลอดเข้ามาในห้อง คชาลืมตาตื่นด้วยแสงแดดอ่อนจางที่กระทบเปลือกตา มองผ่านช่องประตูที่ถูกเปิดแง้ม ก็พบแผ่นหลังของเต๋าอยู่ที่ตรงนั้น เขาลุกเดินเข้าไปหา ไม่ลืมลากผ้าห่มอุ่นติดไปด้วย แต่ยังไม่ทันจะถึงตัว เต๋าก็หันกลับมา เงาทาบผ่าน จนมองใบหน้าอีกฝ่ายไม่ถนัด
และ... มือเย็นๆจากลมแรงๆ ก็จับที่ต้นแขนเขา ดึงเข้าไปใกล้
“เป็นอะไร”
มันส่ายหน้า วางคางลงมาบนไหล่ รู้สึกจักจี้นิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ผละออก แบบนี้ก็อุ่นดี
“อยากกอด”
“นี่ไม่ได้กอดเหรอ”
เขาพูดกลั้วหัวเราะ เสียงเต๋าเศร้าสร้อย แต่เขาไม่อยากเศร้าไปกว่าที่เป็นอยู่อีกแล้ว
“อยากกอดแน่นกว่านี้”
เสียงนั้นอู้อี้อยู่ที่ซอกคอ เขาถอนใจหนึ่งเฮือก แล้ววาดมือโอบกอดตอบแนบชิด
“ก็กอดสิ กอดให้แน่นๆ”
“อือ...อือ...”
มันรับคำ และขยับแขนโอบรัดเข้ามาอีก แนบสนิทจนรู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจ
“แน่นพอรึยัง...”
“ยัง...”
ได้คำตอบแบบนั้น ทั้งที่เขาแทบจะหายใจไม่ออก จึงแกล้งเตะขาขาวจัดที่โผล่พ้นบ็อกเซอร์นั้นแรงๆไปซักที
“กูจะหายใจไม่ออกอยู่แล้วโว้ย”
“...”
แต่เต๋ายังเงียบ และไม่คลายแรงกอดลงแม้แต่น้อย
“ถามจริง เป็นอะไร เราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ”
“อือ...”
“อย่าเอาแต่อือสิ ไอ้นี่”
“อือ...”
เมื่อมัน ‘อือ’ กลับมาอีกหน เขาจึงทุบหลังมันไปแรงๆอีกหนึ่งที คงเจ็บไม่น้อย ถึงได้ส่งเสียงลอดคอออกมาแผ่วๆแบบนั้น
“เต๋า... เต๋ากำลังกอดชาอยู่...”
เขาพูดเสียงอ่อนลง เมื่อพบว่าความเงียบปะปนความเศร้ากำลังเคลื่อนที่เข้ามา ได้ยินเสียงถอนใจยาวข้างหู เขาจึงลูบแผ่นหลังนั้นเบาๆ
“กูรักมึงนะ”
รักจริงๆ รักมากกว่าที่เคยรักใครที่ไหน จะเป็นจะตายยังไง เขาก็ยังรักมันอยู่ดี
“รู้ไหม...”
“...”
“...เหมือนเต๋าเพิ่งเคยกอดชาจริงๆวันนี้”
“...”
“เหมือนชาพร้อมจะหายไป กอดแน่นเท่าไร ก็เหมือนเกาะเกี่ยวไม่เคยติดมือ”
“...”
“...อย่าไปเลยนะ”
เขาขืนตัวออก ดันลงไปสุดแรงที่ไหล่หนา เต๋าทำท่าจะกอดกลับมาอีกไม่ยอมปล่อย จนต้องร้องบอก
“หายใจไม่ออก ปล่อยก่อนนิดนึง แค่จะมองหน้ามึง ไม่ได้จะหนีไปไหน”
“ชา...”
“กูไม่เคยไปไหนเลย...”
ไม่เคยเดินหนีไปไหนพ้นเลย
เขายกมือขึ้นแนบแก้มมัน ลูบผะแผ่ว มันหล่อมาก ใบหน้าที่ทุกคนหลงใหล สายตาที่ทุกคนบอกว่าแสนจะมีเสน่ห์ ทุกคนหลงรักมัน เขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เมล็ดพันธุ์ความรักบิดเบี้ยวค่อยๆเจริญเติบโต จากวันนั้น จนวันนี้ รากความรู้สึกฝังลึก มั่นคง สุดจะหยั่งถึงอีก เกินกว่าจะดึงถอนได้หมดจรดถึงโคนราก ไม่มีอะไรทันอีกแล้ว เขาลงไปในหลุมรัก ใหลหลงจนหมดทั้งตัว...ทั้งใจ...
“ทำไมกูไม่เกิดมาหล่อเหมือนมึงบ้างนะ”
เขาพูดด้วยเสียงที่ติดจะหมั่นไส้ จะองศาไหน มุมไหน ก็ดูดีไปซะหมด แบบที่เขาเทียบไม่ติดฝุ่น ทุกคนมีแต่ชมว่าเขาน่ารัก หนึ่งในร้อยคำนั้น ถึงจะมีคำว่าหล่อหลุดมาให้เขาฟังซักที
“หัวเราะอะไร”
คชาขู่ฟ่อ แต่คนฟังกลับยิ่งหัวเราะดังขึ้นอีก
“อย่างชาน่ะ เขาเรียกน่ารัก”
รู้สึกว่าหน้าเริ่มร้อน มันอาจจะแดงแล้วก็ได้ จนเขาต้องผลักมันออกเต็มแรง สายตาแบบนั้น เขาคิดว่าเขาชาชินจนไม่น่าจะรู้สึกอะไรอีกแล้ว แต่พอได้ยินมันพูดแบบนั้น ก็ยัง...
“ผมเริ่มยาวแล้ว...”
“กูจะไปไถสกินเฮดแม่ง”
“ไม่เอา... ปล่อยให้ยาวเถอะ จะตัดอีกแล้วเหรอ”
“เออ”
“แต่เต๋าชอบแบบเมื่อก่อน...”
“มึง...มึงก็ไว้ยาวเองสิ”
“จะตัดจริงเหรอ”
“เออ”
“จริงเหรอ”
“ไอ้เต๋า!”
“นะ...”
มันไม่สนใจเสียงตวาดเขาเลย เป็นเขาเองที่ใจอ่อนยวบยาบ
“กูไม่ใช่ผู้หญิงนะ”
“ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นผู้หญิง”
“...”
“...แค่ชอบแบบเมื่อก่อนมากกว่า”
“...”
“น่ารักดี”
คชาเอเอฟแปดรู้สึกเหมือนตัวเองแพ้ราบคาบ เพราะความคิดที่จะหนีไปตัดผมให้สั้นกุดกว่าเดิมได้ถูกเตะกระเด็นออกไปจากความคิด เขาแพ้อีกแล้ว ยอมมันอีกแล้ว ตลอดเลย
“หนาว...”
“...”
“กอดอีกสิ”
ไม่ได้ตั้งใจจะอ้อนหรือว่าอะไร ก็แค่ เขารักช่วงเวลาแบบนี้ แล้วเต๋าก็โอบเขาเข้าไปชิดอีกครั้ง
“อยากกอดกูมากไหม”
แต่จบประโยคนั้น มันกลับดันตัวเขาออกมา ย่อตัวลงนิด เพื่อให้ระดับสายตาเท่ากัน
“มากสิ อยากกอดคชามาก”
“มึงยืนหนาวอยู่ตรงนี้แหละ กูจะไปนอนต่อ!”
สายตามันเปิดเผยความนัยแบบไม่ต้องเดา เขาปิดประตูระเบียงดังปัง กระแทกใส่เสียงหัวเราะยั่วเย้าที่ดังตามหลัง
“มึงเงียบเลยไอ้เต๋า ไอ้โรคจิตเอ๊ย”
เขากระโดดขึ้นเตียง ลากมานวมหนามาห่มตัวจนมิด ปิดแม้กระทั่งใบหน้า เสียงประตูเปิด เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา จนรู้สึกถึงที่นอนที่ยวบลง
“ไปนอนห่างๆเลยสัด”
“พูดดีๆหน่อยสิ”
“ไม่”
“ชา...”
“ก็กูเป็นของกูอย่างนี้”
และ มันก็โถมตัวกอดเขาผ่านผ้าห่มอุ่น
“อึดอัด...”
“อยากกอด”
“กอดแบบไหน พูดดีๆ”
“กอดเฉยๆ... อยากกอด...”
เขาจึงโผล่หน้าออกจากที่กำบัง หน้ามันอยู่ใกล้แค่ลมหายใจกั้น ดวงตาคู่นั้น... เหมือนมีความหมายนับร้อยพันที่เขาแปลไม่ออก
“ทำไม...”
“หืม”
“ทำไมอยากกอดกูนักล่ะ”
“กลัวจะไป แล้วไม่ได้กอดอีก”
เขารู้ว่าคำพูดนั้นมันไม่ได้โกหก เต๋าไม่ได้โกหก
“แล้วกอดอีกแบบ ทำไมอยากกอดนัก”
“เพราะเป็นชา...”
เขานิ่งไปนิด บางความรู้สึกตีตื้นขึ้นมา วูบหนึ่ง คล้ายน้ำตาจะสามารถไหลออกมาได้
“กูเป็นผู้ชาย…”
“…”
“...”และมึงเป็นผู้ชาย และมึงมีแฟนแล้ว และกูก็ชอบผู้หญิง”
จบคำนั้น มันเลื่อนหน้าเข้ามา แตะความหยุ่นนุ่มลงบนริมฝีปากเขา...แผ่วเบา...ก่อนผละออก
“แล้วทำไมไม่หลบ...”
“เพราะ... เพราะ...”
เขาสรรหาคำพูดไม่ออก ติดอยู่แค่ริมฝีปาก แต่ไม่รู้จะพูดอะไร
“อยากกอด เพราะว่าอยากกอด...”
“...”
“และเพราะ...ว่าเป็นคชา...”
เขากระพริบตาถี่ เหมือนเขาจะร้องไห้ออกมาได้จริงๆซะแล้ว จึงต้องเสเรื่องไปทางอื่น
“นี่ถ้าเป็นผู้หญิง คงเสร็จมึงไปแล้วล่ะ พูดขนาดนี้”
และมันก็ยิ้ม จางกว่าที่เคยยิ้ม เขาไม่รู้เลยว่ามันกำลังคิดหรือรู้สึกอะไร
“จูบได้ไหม”
“แค่จูบเฉยๆนะ...”
“อือ”
“อือ...”
เขาหลับตา รู้สึกได้ถึงความเย็นที่ผิวแก้ม แต่ความอ่อนนุ่มก็เก็บกลืนสิ่งนั้นไปจนหมด เขาร้องไห้ น้ำตามันไหล หัวใจเจ็บแปลบ แต่ก็อุ่นรื้น... มีบางอย่างรินรดลงมา คล้ายสิ่งที่มีชื่อเรียกว่าความสุข เขายังคงหลับตา และยังคงอยู่ตรงที่นั้น ในนั้น คล้ายว่า จู่ๆก็ไม่ใช่แรงโน้มถ่วงที่ยึดตัวเราเอาไว้กับผิวโลก มันเท่านั้น...สิ่งอื่นหมดความหมาย เขายอมทำทุกอย่าง เป็นทุกอย่าง เพื่อมันคนเดียว
บางชั่วขณะของชีวิต อาจถึงเวลาต้องยอมรับ กับการสร้างโลกอีกใบเพื่ออยู่กับใครซักคน ในเมื่อโลกของความเป็นจริงมันไม่มีที่เหลือเพียงพอ

BKAFFEE

  • บุคคลทั่วไป

(ต่อ)



เรากำลังเดินทางกลับกรุงเทพ
ความรู้สึกขามากับขากลับต่างกันราวขอบฟ้ากับขอบเหว มีหลายอย่างในอกได้รับการบรรเทาออก เขาหายใจได้คล่องขึ้น ลึกขึ้น อย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานาน จนกลัวว่าจะยกยิ้มให้แฟนคลับเห็นมากไป แล้วจะเอาไปต่อยอดท็อปปิกกันได้ จึงต้องเก๊กหน้าขรึมกว่าเดิมสองสเต็ป
“เมื่อย”
เขาบ่นกับลมกับฟ้าไปอย่างนั้น แต่คนฟังคนเดียวที่ได้ยินเพราะนั่งข้างกันขยับมือไล่ผ่านเบาะที่นั่งโดยสารมาแตะลงที่ไหล่ของเขา... และบีบนวดให้ด้วยน้ำหนักมือที่คุ้นเคย เหมือนตอนอยู่ในบ้านเลย... นั่นอาจจะเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดและมีความสุขที่สุดที่เขาจะสามารถพบเจอและจดจำเอาไว้ได้ก็ได้ แล้วคชาก็ยิ้ม...
“ความจริง... แค่จะบอกว่าเมื่อยแก้มน่ะ...”
เขามองหน้าเอ๋อๆของเต๋าด้วยความสนุก แต่พอมือที่จับอยู่ตรงไหล่ทำท่าจะเลื่อนขึ้นมาที่หน้า ก็ต้องรีบคว้าข้อมือนั้นเอาไว้
“หยุดเลย...”
เค้นเสียงลอดไรฟัน มันจะทำอะไรไม่ดูหน้าดูหลังอีกแล้ว เต๋าหลุบตาลงต่ำ ผละมือออก และผละตัวเองออกไปทั้งตัว เอนพิงพนักนิ่ง เขากำลังคิดว่ามันโกรธ แต่เสียงทุ้มก็เอ่ยบอก
“ไม่ได้โกรธนะ แค่รู้แล้วว่ามันเป็นยังไง”
ริมฝีปากเต๋าขยับยิ้ม เขานิ่งไปอย่างจนคำพูด แล้วก็นึกขึ้นมาได้... ในช่วงเวลาแบบนี้ มันคงจะดีถ้าได้มือมาประคองเน้นย้ำความมั่นใจ จึงเลื่อนกระเป๋าไปวางไว้บนตักเต๋าครึ่งหนึ่ง แล้วสอดมือลงใต้นั้น และ...มืออุ่นอีกข้างก็ตามมาเข้า สอดประสานนิ้วมือลงกลางหว่างนิ้วของเขา บีบแน่นๆ...
เราสบตากัน
วูบหนึ่ง เขาอยากกอดมันเหลือเกิน

หลังจากรับของจากแฟนคลับ พูดคุยนิดหน่อย ขอบคุณ ถ่ายรูป และกล่าวลาทีมงาน ก็ได้เวลาพักผ่อนเสียที แค่ไม่กี่วัน แต่ยาวนานและเหน็ดเหนื่อยเหมือนผ่านอะไรมามากมาย
“เต๋าไปค้างด้วยนะม้า”
พูดได้แค่นั้น พอหามุมดีๆได้สำเร็จ เขาก็ซุกตัวนอนทันที ตื่นอีกทีก็ตอนที่หม่าม้ามาเขย่าตัวปลุกให้ตื่น
“เต๋าช่วยแม่รับของหน่อย ฝากชาด้วยนะ ไล่ไปอาบน้ำด้วยล่ะ”
ได้ยินเสียงเต๋ารับคำ ตามมาด้วยแรงฉุดที่ข้อมือ เขายังง่วงงุน สติยังไม่เข้าที่ โดนลากไปไหนก็ตามไปทั้งอย่างนั้น รู้ตัวอีกที ก็ได้มานอนแผ่หลาอยู่บนเตียงแล้ว
“ชา อาบน้ำ”
“จะนอน”
เขางึมงำตอบ พลิกตัวเข้าหาไออุ่นจากผ้าห่มหนา
“ไปอาบน้ำก่อน เหนียวตัว เร็ว ลุก!”
“ไม่เอา!”
คราวนี้ไม่ได้มาแต่เสียงดุ แต่เต๋าโถมตัวลงมาทั้งตัว กอดเขาที่กำลังตั้งท่าหลับแน่นซะจนแทบหายง่วง
“ปล่อยเลย เหม็น”
“เหม็นอะไร เต๋าอาบน้ำแล้ว”
“ชาเนี่ยเหม็น ไม่เอา อย่ากอด...”
“...เหม็นจริงๆด้วย”
มันหอมแก้มเขา ฝังจมูกกับปากลงมาที่หน้าและคอ จนต้องพยายามเลื่อนหนี
“หื้อ... เหม็นก็อย่ามายุ่งสิวะ”
ความหยุ่นนุ่มแตะลงที่กกหู เขาตื่นเต็มตาแล้ว แต่จะลุกก็ลุกไม่ได้
“ปล่อยเลย”
“ปล่อยแล้วต้องไปอาบน้ำเลยนะ”
คราวนี้เป็นที่มุมปาก...
“อือ... ปล่อย ปล่อยเลย”
แขนที่รัดแน่นปล่อยออก แต่จูบยังกดลงเน้นๆที่แก้มอีกหลายทีจนต้องร้องประท้วง
“พอแล้ว! บ้าเอ๊ย!”
เขาฟึดฟัดให้กับเสียงหัวเราะที่ดังไล่หลังมา ไม่ได้เขินหรอก แค่หมั่นไส้... แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่าเขามีความสุข และก็หุบยิ้มไม่ลง ถ้านี่เป็นความฝัน ก็ขอ...ขออย่าให้เขาเพิ่งตื่นเลย แต่พอ... ลองหยิกเนื้อที่แขนตัวเองดูจนขึ้นรอยแดง ความเจ็บนั้น ก็บอกเขาว่า... นี่ไม่ใช่ความฝันเสียหน่อย มันคือความจริงชัดๆ ช่วงเวลาตอนนี้เป็นความจริง ความจริงของเราสองคน



เราจะรับมือกับความสุขยังไง เคยมีคนถามตัวเองแบบนี้ไหม
เขาหวาดกลัวกับบางห้วงขณะจนต้องตั้งคำถามนั้นถามตัวเองบ่อยครั้ง และ ก็ได้คำตอบ
ไม่ต้องทำยังไงหรอก เพราะไม่นาน ความจริงก็จะวิ่งเข้ามาตบหน้าเราจนตื่นเอง



เหมือนภาพเก่าฉายซ้ำ
เสียงโทรศัพท์เสียงเดิมแผดร้องขึ้นในความมืด... ในความเงียบ... เขาสะดุ้งจนสุดตัว ตื่นจากฝัน ในฝัน เต๋ากอดเขา ความจริงตรงหน้า เต๋ากอดเขา ในฝัน เต๋าเป็นของเขา ความจริงตรงหน้า เต๋าเป็นของเจ้าของสายเรียกเข้านั้น

“รับสิ”
คำพูดเดิม ด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไป ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ชิงชัง แต่รู้สึกผิด เต๋าเป็นของเขามาหนึ่งคืนหนึ่งวันเต็ม สมควรแก่การส่งกลับคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว เขาผละออกมาเอง ลุกขึ้นจากอ้อมกอดอุ่น ก้าวลงจากเตียง ถอยหลังไปจนชิดประตู
“รับสิ... แล้วไปคุยที่ระเบียงก็ได้...”
มันมองหน้าเขา ไม่สนใจโทรศัพท์ที่กำลังสั่นและส่งเสียงร้องเรียกแม้แต่น้อย
“รับเถอะนะ...”
เขาพูดด้วยเสียงที่คล้ายจะเป็นคำอ้อนวอน
รับซะทีเถอะ เขาจะทนฟังไม่ไหวแล้ว และจะทนพูดคำนี้ซ้ำๆไม่ได้แล้วเช่นกัน รับสิ รับเถอะ ได้โปรด
มือขาวเอื้อมคว้า เขาหลับตา เสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป เสียงประตูระเบียงเปิดออกและงับปิดลง คชากำมือที่ลูกบิดแน่นเพื่อประคองตัวเอง เขากำลังล้มลงอีกครั้ง

ถ้ามันเป็นความฝันที่เกิดขึ้นในห้องห้องหนึ่ง คืนหนึ่ง และแล้วก็มาถึง ประตูปิดดังปัง ความฝันจบลง เขาตื่นขึ้นมา คชาทิ้งห้องของตัวเองไว้เบื้องหน้า สายตาจับจ้องยังประตูไม้คุ้นตา ในห้องนั้นที่จำต้องทิ้งเอาไว้ เพราะมีกลิ่นของความรักที่ผุกร่อนล่องลอยอยู่ในอากาศ มวลของมันหนักและกดทับเขาทุกลมหายใจเข้าออก หายใจไม่ถนัด เหนื่อย เอียน กระเสือกกระสน
คำว่าเมื่อวานมันมักหวดฟาดเราอย่างทารุณ ในหลายครั้งหลายคราว จนเขาล้มลงและจมอยู่ตรงนั้น ต้องเดินย่ำไปมาบนขอบแห่งความหมายที่ไร้ความหมาย หมดความหวัง แตกสลาย เหมือนถ้วยแก้วหลุดตกจากมือแตกกระจาย เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ความจริงแล้วสามารถรักตัวเองได้มากที่สุด ตามใจตัวเองได้มากที่สุด เห็นแก่ตัวเองได้มากที่สุด แต่... แต่ก็ยัง... เขาอยู่ตรงไหนกันนะตอนนี้...
ต้องทนความเจ็บปวดของปีกที่หักลงข้างหนึ่ง แต่ก็พยายาม กระเสือกกระสนจะบินขึ้นไป ก้าวออกไป... เพื่อไขว่คว้าหาความหวังต่อ ถ้าหากว่ายังพอจะมี แต่... ก็ไม่แน่ใจเลยว่าสิ่งนั้นจะยังพอมี เหมือนตกอยู่ในสภาวะบางอย่างที่ควบคุมไม่ได้ พยายามจะปล่อยมัน สลัดมันออกจากมือซ้ำๆ แรงขึ้น... แรงขึ้น... เพื่อให้หลุดออกและพ้นตัวไปให้ไกล... แต่จนแล้วจนรอดก็ยังรู้สึกว่ายังคงอยู่ ไม่เคยไปไหนได้ไกล ความพยายามไม่เคยมีความหมาย ทุกอย่างร้อยโยง ติดอยู่ในนี้ ฝันว่าจะลืมไป ฝันว่าจะผ่านไปในชั่วข้ามคืน ในชั่วนาทีที่หลับตาแล้วลืมขึ้นใหม่ แต่ก็ไม่เลย…

“ฮึก...”
สะอื้นแรกหลุดลอดลำคอ คำถามหนึ่งเกิดขึ้น ทำไมความสุขไม่เคยอยู่กับเราได้นาน? น้ำตาไม่ไหล แต่เขากำลังร้องไห้... ในใจ... ซ้ำๆ อีกครั้ง อีกครั้ง อย่างไม่อาจหาจุดสิ้นสุดได้เจอ
แล้วพลัน เสียงเรียกชื่อเขาก็ดังขึ้น เพียงวินาทีแรกที่เสียงนั้นแล่นเข้าประสาทหู เขาก็ภาวนาให้เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง
“หม่าม้า...”
ไม่มีคำถามใด มีเพียงสายตาห่วงใยระคนสงสารที่ส่งผ่าน เขาเคยกลัว กลัวมาก ว่าซักวัน วันนี้จะมาถึง เขาจะไม่ใช่ลูกที่ดีสำหรับหม่าม้า ไม่ใช่พี่ที่ดีสำหรับน้องๆ...อีกต่อไป
“ม้า... ชา... ผม... ข...”
“แม่รู้ตั้งนานแล้ว”
แล้ว... ผิดหวังไหม... ผิดหวังมานานแล้วใช่ไหม...
“...”
เขาทำได้แค่ยืนนิ่ง ก้มหน้า พูดอะไรไม่ออก มีคำแก้ตัวเป็นสิบเป็นร้อย ที่พูดออกไปเท่าไรก็จะเป็นได้แค่ข้อแก้ตัว เพราะว่าทั้งหมดนั้น คือความจริง ในขณะที่ร่างเขากำลังสั่นไปทั้งร่าง และคล้ายจะยืนไม่อยู่ อ้อมกอดจากคนที่รักเขามากที่สุดในโลกใบนี้ก็โอบล้อมเข้ามา เขายังทำได้แค่ยืนนิ่ง ชาไปทั้งร่างจนแทบไม่รู้สึกถึงความเป็นเลือดเนื้อและเสียงเต้นของหัวใจ
แม่กอดเขา ลูบหลังลูบหัวเหมือนตอนเขาเป็นเด็ก หกล้มร้องไห้ เสียงนั้นพร่ำเอ่ยข้างหู
“ไม่เป็นไรนะลูก...”
เท่านั้นเอง สลักบางอย่างถูกปลด เขาทิ้งตัวที่แทบไร้เรี่ยวแรงโถมกอดผู้หญิงคนเดียวที่ไม่เคยทำให้เขาเสียใจจนลงไปนั่งกับพื้นด้วยกันทั้งคู่
“ฮึก...ฮือ...ฮ...ฮือ...”

ย้อนกลับไปในกองความทรงจำที่ทับถม
ไม่มีซักครั้งที่แม่จะทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจ ไม่มีซักครั้งที่ครอบครัวเขาจะทำให้เขาร้องไห้ เขามีแต่แม่ แค่แม่คนเดียว ผู้หญิงคนเดียวที่รักเขากว่าอะไรทั้งหมดในโลกนี้ ดูแลเขาอย่างดี ประคับประคองเขาอย่างดี รินรดความสุขให้เขาจนอุ่นรื้นและเอ่อท้น แต่เขาก็ยังพาตัวและใจที่แม่หวงแหน มาวางใส่มือให้คนเพียงคนเดียวทำร้ายทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
รวมถึงทำร้ายทำลายมันลง... ด้วยมือของตัวเขาเอง



เขากลับเข้ามาในห้อง พบเต๋านั่งอยู่ที่ปลายเตียง เขาเดินผ่านมันไปโดยไม่หันมอง เข้าไปอาบน้ำจนเรียบร้อย คลานขึ้นมานอนเตียงด้านหนึ่ง พลิกตัวออก ไม่มีคำพูดใดระหว่างกัน เหนื่อย เขาเหนื่อยมาก วันนี้ขอพอแค่นี้ ไม่อยากรับรู้หรือเอ่ยคำใดอีกแล้ว
เขาหลับตาเมื่อเตียงยวบลง รู้สึกได้ถึงผ้าห่มที่กองลวกอยู่ที่เอวถูกดึงขึ้นมาให้จนถึงคอ ความห่วงใยสม่ำเสมอที่เขาต้องกัดกรามกันความรู้สึกอยากร้องไห้ ถ้าเพียงแต่มันจะเลว มันจะแย่ มันจะแคร์เขาให้น้อยกว่านี้ เขาก็คงรักมันน้อยกว่านี้
“ผม...”
“...”
“...ขอกอดได้ไหม”
มีซักคนเถอะ ที่จะเหยียบยืนบนพื้นได้มั่นคง ไม่ไหวโคลงเคลงเช่นที่เขาเป็นอยู่ คำขอของมัน... ทำไมต้องเศร้าขนาดนั้น... ทำไมถึงสั่น... เหมือนว่ามันจะร้องไห้...
“ไม่...”
แต่เขาก็ปฏิเสธออกไป ความเงียบเนิ่นนานปกคลุมระหว่างเรา และเป็นเขา ที่อึดอัดจนต้องทำลายมันลง
“เพราะมันเจ็บ... เวลามึงปล่อย...”

“เต๋าจะเลิกกับเค้า! เต๋าบอกเค้าไปแล้วว่าเต๋าเองที่ไม่เหมือนเดิม”
มันโพล่งขึ้นมา พร้อมโอบกอดเขาเอาไว้แน่น
ซุกซบใบหน้าลงที่แผ่นหลัง
“แล้วเราสองคนก็จะเป็นอะไรบางอย่างของกันและกัน...”
เขาพลิกตัวเข้าหาอีกฝ่าย มองใบหน้านั้นด้วยดวงตาที่บวมช้ำ
“...ไม่ได้อยู่ดี”
“ไม่! เต๋าจะเลิกกับเขา! อย่าไปนะชา...”
“...”
“เราจะเป็นอะไรก็ได้ อะไรก็ได้ที่ชาต้องการ ...นะ”
“กูก็จะเป็นคนที่มาแย่งของของคนอื่นน่ะเหรอ ใช่ไหม”
“ไม่...ไม่ใช่... เต๋าผิดเอง ทั้งหมดเลย”
“เราผิดกันทั้งคู่เต๋า... ไม่ใช่แค่คนเดียว ไม่ใช่แค่ใครหรือว่าใคร แต่เป็นเรา”
“ต...”
“เราทำร้ายคนอื่น พวกเราทำร้ายคนนั้นของเต๋า แล้วกูก็ทำร้ายความหวังความภาคภูมิใจทั้งหมดที่หม่าม้ามีให้”
“...”
“แล้ว...กูก็ทำร้ายมึง... และทำร้ายตัวเอง...”
เขาลุกขึ้นนั่งหันหลัง หลบซ่อนหยดน้ำที่รื้นขึ้นมาที่ขอบตา
“ถ้า... ความรัก คือความสุข...”
“...”
“...บางที ความรู้สึกของเราสองคน ก็อาจจะไม่ใช่ความรัก”

ความสุขประกอบไปด้วยอะไร?
ถ้าบางความรู้สึกเป็นส่วนประกอบในความสุข แต่เราไม่สามารถจะพาสิ่งนั้นเข้ามาประกอบร่างสร้างความสุขให้เกิดมีกับตัวเองได้ เราควรจะต้องทำอะไร?  หรือเราต้องตามหาเศษชิ้นส่วนอื่นที่มันพอจะทดแทนได้ขึ้นมาแทนที่ อย่างนั้นใช่ไหม? แล้วสิ่งนั้นมันคืออะไรกันล่ะ?

ครั้งนี้เขารู้สึกอย่างชัดเจนที่สุด ว่าคำว่ารักของเขามันช่างแผ่วเบาลางเลือนเหลือเกิน
“แล้ว...ยังอยากให้กูรักมึงอยู่รึเปล่า”
จนอยากจะเอื้อมมือออกไปให้สุดแขน เผื่อจะคว้าจับอะไรเอาไว้ได้บ้าง
“แค่อย่างเดียวที่ผมอยากขอ คือขอให้ชาอยู่ตรงนี้”
ใบหน้าเต๋าแทรกเข้ามาระหว่างก้อนความคิดที่มืดมัวสับสน มันยื่นมือส่งมาตรงหน้า เขาชั่งใจอยู่นาน แล้วความสั่นไหวของพื้นที่ที่เหยียบยืนก็ทำให้เขาเอื้อมมือไปจับไว้
“กูอยู่ตรงนี้...”
“...”
“กอดเอาไว้สิ... แล้วบอกกูที ว่าตอนนี้กูอยู่ตรงไหน”
เตียงนุ่มรับน้ำหนักคนสองคนที่ทอดตัวลงนอนจนอ่อนยวบ ตาเขาพร่ามัว สมองชาวาบ และมือไม้ก็ไร้เรี่ยวแรง
“เราอยู่ด้วยกัน”

เสื้อถูกริดกระดุมออกช้าๆ ถอดออกแล้วทิ้งไว้ข้างเตียงเช่นเดียวกับกางเกง เมื่อร่างกายเปลือยเปล่า ความอุ่นของริมฝีปากก็พร่างพรมลงมา ดับความหนาว ความเหงา ความคลอนแคลนในหัวใจ ปลิดมันออกจนหมด หัวใจเขาอุ่น อุ่น... อุ่น แต่ก็ยังสั่นไหว เมื่อได้สัมผัสความรู้สึกวาบหวาม เขาหายใจหอบ แทบขาดใจ ไม่คุ้นเคยกับบางสิ่งที่แทรกเข้ามา ยิ่งเกร็งรับก็ยิ่งเจ็บ เขาเจ็บ... แต่ความเจ็บกลับลบร่องรอยความร้าวรานในหัวใจออกไปอย่างง่ายดาย
เขาลืมหมดทุกอย่าง เขาลืมจนหมดสิ้น หัวสมองขาวโพลน ถูกชักพาดำดิ่งสู่โลกใหม่ที่ไม่เคยพานพบ ครั้งแล้วครั้งเล่า ซึมลึกในอารมณ์ปรารถนา โลกที่เปื้อนเปรอะคราบคาวเลอะแน่นฝังลึกซึ่งไม่มีทางขจัดออก เขารู้ดี แต่เขาห้ามตัวเองไม่ได้
เหมือนคนใกล้จมน้ำ กิ่งไม้ที่ยืนมาแม้จะมีหนามแหลมคอยทิ่มแทงให้เลือดไหลซึม แต่ก็ยังคว้าเอาไว้จนสุดแรง เจ็บ... แต่ก็ยังไม่ตาย

คนที่ทาบทับอยู่ข้างบน แต่เขากลับไม่ได้มองหน้ามัน เขามองเลยไปบนเพดานสีขาวสะอาด ฟังเสียงเฉอะแฉะและเสียงครึมคราง ทำให้ความขาวของเพดานที่เขาจ้องมองมีความขุ่นหมองปรากฏอยู่ตรงนั้นตรงนี้
มีไฟสองดวงในห้อง ดวงหนึ่งบนเพดาน ดวงหนึ่งตรงโคมไฟที่หัวเตียง แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าห้องมืดทึบราวกับความมืดดำรงคงอยู่ และความสว่างทำได้เพียงรุกคืบเพื่อล่าถอย พ่ายแพ้สูญเสียเป็นจำนวนมาก คล้ายอยู่ในสงครามยาวนานที่ความมืดเป็นผู้ชนะ ความมืดไหลซึมลงในผนังห้อง ผ้าปูเตียง เพดาน ที่ล้วนมีสีสันและถูกสาดสว่างด้วยแสงสีขาว แต่ทุกอย่างก็หม่นหมองลงได้ มืด มืดทึบ
เขากำลังปลดพันธนาการหนึ่งด้วยอีกพันธนาการหนึ่ง อีรุงตุงนังอยู่ในการปลดและผูกอันแสนเศร้า เขายังจ้องมองแต่เพดาน ไม่ว่าอะไรกำลังดำเนินไป รู้สึกไม่มั่นคง ไม่เลยซักนิด แต่เขาก็มาถึงแล้ว ในอีกดินแดนแปลกถิ่นที่เพิ่งเคยพานพบ

“เต๋า... อีก... อีกสิ... ลึกอีก...”

เขารู้สึกบางอย่างอยู่ลึกๆ เหมือนกำลังเดินทางไกลอยู่ที่ไหนซักแห่ง แสงนีออนที่มองเห็นราวกับไม่ใช่แสงไฟที่เขามองเห็นมานานเป็นเวลาหลายปี มีความรู้สึกลึกล้นคุมคามเขาเงียบเชียบไม่รู้กี่หนต่อกี่หน

“ตรงนั้น... ตรงนั้นแหละ... อีกหน่อยเต๋า... อีก...”

มีหลายสิ่งก่อตัวเกิดขึ้นภายใน เหนือการควบคุมของตัวเขาเอง เขามองดูแสงที่ตกกระทบทั่วห้องจนเห็นฝุ่นผงที่สร้างรูปเงาประหลาดล้ำ รู้สึกทั้งแปลกแยกและเป็นส่วนหนึ่ง ความแปลกแยกลึกลับ

เต๋าถอนตัวออก ลุกไปปิดไฟ ห้องทั้งห้องจมอยู่ในความมืด เหมือนสถานที่แปลกหน้า แต่ในค่ำคืนแบบนี้ ความสว่างนั้นคุกคามและทำร้ายเขา ความมืดสิที่โอบอุ้มและคุ้มครอง ความมืดทำให้เขาสบายตัวมากกว่าการเปลือยตัวเองออกท่ามกลางแสงสว่างกระด้างแข็ง

เราร่วมรักกันไม่หยุดหย่อน เราต่างกระหายหิว เรากำลังลิ้มลองกับสิ่งที่เหมือนกันทว่าแตกต่าง ความแข็งขืนยื่นยาวและช่องทางเว้าลึก เหมือนรอยบาปที่ติดมาพร้อมร่างกายเราตั้งแต่เกิด เราถูกสั่ง ถูกสอน ถูกทำให้เชื่อ ให้ภาคภูมิในความมีอยู่ของมัน และถูกทำให้ปฏิเสธกับความมีอยู่ในอีกรูปแบบหนึ่งของมัน แต่สุดท้าย ช่วงเวลานี้ เราก็ตัดทอนมัน ควบคุมมัน บิดเบือนมัน หรืออาจทำให้มันเป็นไปในอีกวิถีหนึ่ง

พายุความมืดสีดำถาโถมมาสู่เราทั้งคู่ เขารู้สึกเหมือนมีผีเสื้อนับล้านตัวกระพือปีกอยู่ในอก ปีเสื้อที่ปีกกร่อนกระจายฉีกขาด สีสันแปลกประหลาดผิดรูป มันคือการร่วมเพศในนิยามอันบิดเบี้ยวใช่ไหม เรากำลังฉีกทึ้งเนื้อตัวกันและกัน กินเข้าไปทั้งที่ยังสดอุ่น ดื่มเลือดกันและกันอย่างหิวกระหาย ถมเติมช่องว่างในท้องน้อยที่ไม่มีวันเต็ม  มันคือหลุมดำที่กลืนกินไม่รู้จบ และไม่คายสิ่งใดออกมาแม้สิ่งอันไร้ประโยชน์

บางคราว เขารู้สึกอึดอัดราวกับจมอยู่ใต้น้ำอันหนืดข้นเหนอะหนะ ราวกับคลานกลับเข้าไปอยู่ในซอกหลืบของอะไรซักอย่าง ความรู้สึกกระอักกระอ่วนถั่งท้นหลั่งไหล มันคือจุดสุดยอดทางกามารมณ์หรืออาจเป็นเสี้ยวหนึ่งของความตาย ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่อาจอธิบายความรู้สึกอันเป็นสุขและหวาดหวั่นพรั่นพรึงในตอนนี้ได้เลยแม้แต่น้อย

น้ำตาของเขาไหลลงมาหนึ่งหยด มือเย็นเฉียบของเต๋าปาดมันออกและเลื่อนลงกอบกุมมือเขาไว้
ที่จริงแล้วมือเขาต่างหากที่เย็นเฉียบยิ่งกว่า และไขว่คว้าความอบอุ่นจากมือคู่นั้น

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






BKAFFEE

  • บุคคลทั่วไป
- IN THE DARKNESS -


STORY BY กาแฟ
HOPELESS ROMANTIC






๔. มืดบอดโง่เขลา



จะมีซักกี่ฝัน ที่ทำให้เราไม่อยากตื่น แต่อะไรก็ดูจะไม่ทันไปซะหมด เขาตื่นแล้ว ตื่นมาในโลกของมัน
ทำตัวเองหายไปแล้วเมื่อคืนนี้ รู้สึกผิดซักเท่าไรก็ยังไม่พอ

เขาตื่นขึ้นมา พบดวงตาอีกคู่ ราวฝันซ้อนฝัน โดยไม่มีคำพูดใดใดระหว่างกัน โดยไม่รู้ว่าใครขยับเข้าหาใครก่อน แต่ในที่สุด ความนุ่มหยุ่นก็แตะกัน ค่อยๆ ค่อยๆ ผะแผ่ว แล้วแนบขึ้น แน่นขึ้น เรายังคงจูบกันทั้งที่ยังลืมตา อย่างเคย
เขาสบตามันแล้วนิ่งไป ขยับมือประคองไว้ที่แก้มขาวซีดนั้น แล้วริมฝีปากของเต๋าก็ทาบลงมาอีกหน กดแนบ ค้างไว้เนิ่นนาน... ผละออก แล้วประกบลงมาใหม่ คราวนี้เป็นที่มุมปาก ก่อนจะย้ายมาที่กลีบปากล่าง ดูดดึงจนเขาแยกออก ให้ความรู้สึกฉ่ำชื้นแทรกตัวเข้ามา... นุ่มนวล อุ่นซ่าน เหมือนเต๋าพยายามอย่างมากที่จะค่อยๆแตะ ค่อยๆจูบ ค่อยๆเลาะชิมและส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลออกมาให้เขารับรู้... เมื่อมันเอียงปรับองศาใบหน้า ด้วยการเคลื่อนตัวขึ้นมาทาบทับเขาเอาไว้ ตาของเราสองคนก็ประสานสบกันใกล้กว่าเดิม... ในนั้น... คือภาพใบหน้าของเขา... เขาโอบกอดมันเอาไว้แน่น กดแนบจูบที่อ่อนหวานละมุนละไมให้ดิ่งลึก

เรามากันจนไกลแสนไกล
เหนื่อย
วิ่ง
หกล้ม
ลุกใหม่
หลงทาง
เดินต่อ
ถูกทิ้ง
เดินวน
กลับมา
เดินไกลกัน
เดินด้วยกัน
เหนื่อย
เหนื่อย... แล้ว... ทำไมไม่หยุด
ดูโง่เง่าบ้าบอและไม่น่าจะมีอยู่ แต่มันก็เป็นไปแล้ว กับการตระหนักได้ว่าเราได้เอา คนบางคน เข้ามาเป็นส่วนประกอบของคำว่า ความสุข และมันมีอยู่จริง ความรู้สึกของคนที่...ไม่เคยต้องการใครหรือสิ่งใดในโลกไปมากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม ทุกอย่างปล่อยให้มันเป็นไป เกิดขึ้นและจบลง
ไม่มีทางปฏิเสธได้อีก ว่าเต๋าไม่ใช่ความสุขของเขา

รสชาติขมปร่าของน้ำตาในรอยจูบ อาจจะเป็นน้ำตาเขา หรืออาจจะน้ำตาเรา
...ไม่แน่ใจ



เขา...เราสองคนออกมาจากห้องในตอนเที่ยง ทานข้าวพร้อมกับหม่าม้า เขาไม่อาจสบตาแม่ของตัวเองได้ในนาทีแรก แต่เพียงครู่เดียว ความปกติที่ดำเนินไปก็ทำให้เขาคลายความกังวล ทุกอย่างเหมือนเดิมในความรู้สึก ไม่ก็... อาจจะคล้ายว่าเหมือนเดิมได้อย่างแนบเนียน
“แม่จะออกไปซื้อของข้างนอก วันนี้ไม่มีงานก็พักกันนะลูก”
เขาพยักหน้ารับ รอปิดประตูบ้านให้เรียบร้อย หันไปทางอีกคนที่ยืนรออยู่ ยังไม่ทันจะถามอะไรว่าหลังจากนี้เต๋าจะไปไหนหรือทำอะไรต่อ ฝ่ายนั้นก็คว้าข้อมือเขาเอาไว้
“ไปเที่ยวกัน”
“หา...”
“ปะ ไปเที่ยวกัน”
“ตลก”
“ไม่ตลกดิ นานๆจะว่างพร้อมกัน ไปเที่ยวกัน กลับมืดๆก็ได้”
“...”
“นะ...นะ...นะชา...”
ตลกเหรอ จะไปเที่ยวกันยังไง จะไปกันได้ยังไง
“บ้าแล้ว ไปให้เป็นข่าวเหรอ”
“ก็ไปที่ที่ไม่มีใครเห็นไม่มีใครรู้จักสิ”
“ที่ไหนล่ะ...”
“แสดงว่าไปนะ...”
“...”

ขับรถมาสองชั่วโมงจากกรุงเทพ เพื่อมาสูดกลิ่นเค็มของไอทะเล
...ก็ดีเหมือนกัน
ฟ้ากว้าง... กว้างมาก... ท้องฟ้าเหนือสีฟ้าของน้ำทะเล...
“ชอบใช่มั้ยล่ะ”
เต๋าทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เรานั่งกันอยู่บนพื้นทราย เขาทอดสายตาไปข้างหน้า ฟ้ากว้างขนาดนี้ เขาไม่ได้มองมานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้...
“แค่นี้ก็ไม่มีใครรู้แล้ว”
“จะรู้ได้ยังไง โลวซีซั่น สุดขอบหาด ไม่มีใครซักคน...”
“จะได้ไม่มีใครเจอเราไง”
“...อืม ไม่มีใครหาเราเจอได้เลยก็คงดี”
เต๋าดึงมือเขาไปจับไว้ แค่นั้น ไม่มีคำพูดใดอีก เรานั่งมองฟ้ามองน้ำกันอยู่อย่างนั้น ตั้งแต่ดวงอาทิตย์คล้อยลงเพียงนิด จนตอนนี้เคลื่อนลงต่ำและเปลี่ยนสี ย้อมหาดทั้งหาดให้ดูแดงเรื่อ... เศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูก
“กลับกัน...”
คชาบอก แต่ไม่มีคำไหนตอบกลับมา นาน...จนต้องหันหน้าไปมอง สายตาคู่นั้นจับจ้องเขาอยู่ นิ่งและเนิ่นนานจนเหมือนแววตาทั้งคู่นั้นมีแต่เขา สะท้อนเพียงเขา
“จูบได้ไหม”
อีกฝ่ายร้องขอ แต่เขาส่ายหน้า
“ไม่ได้หรอก”
“...”
“ที่ที่ไม่ได้มีแค่เรา เราทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก”
และเขาก็ปลดมือตัวเองออกมา... ยิ้มให้...
“ปะ กลับกันเถอะเต๋า จะมืดแล้ว”
เต๋าดูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนอยากจะพูดอะไรซักอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
“เร็ว ลุกสิ”
เขาปัดทรายออกจากกางเกง ยิ้มยิงฟันให้เต๋าที่ยังคงนั่งนิ่ง เงยหน้ามองเขาอยู่อย่างนั้น
“ดึงหน่อย”
มันยื่นมือมาข้างหน้าส่งให้ รอยยิ้มของเต๋าที่เขาคิดว่าไม่ได้เห็นยิ้มแบบนี้มานานทำให้เผลอนึกไปถึงเมื่อก่อน ตัวติดกันเป็นปลากระป๋อง กอดกันได้แบบไม่สนใจสายตาใคร พร้อมจะกอดคอ เกาะไหล่ เดินเล่นซื้อของ ทำอะไรก็ได้... อะไรก็ได้จริงๆที่อยากทำ...
ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เพราะแสนจะมีความสุขจริงๆ... แต่วินาทีเหล่านี้มันคืออะไร?
เผลอคิดไปจนตาพร่า คล้ายว่ามีหยาดน้ำคลอหน่วง จุกจนต้องหันเหความสนใจตัวเอง
“หนักก็หนัก มาเลย ลุกขึ้นมา”
เขาบ่น แต่ก็คว้าข้อมือขาวๆนั้นให้ลุกขึ้นมายืน เรายิ้มให้กัน และเต๋าก็เอื้อมมือมาขยับหมวกบนศีรษะให้เขา เราเดินกลับไปขึ้นรถที่จอดไว้ไม่ไกลนัก โดยไม่ได้จับมือ ทั้งที่แขนและข้อมือชนกันหลายครั้งหลายหน แต่ก็ไม่มีใครคว้าจับ... เขาอยากจับ แต่รู้ว่าไม่อาจทำได้ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันรู้สึกแบบนี้ไหม... แต่สุดท้ายเราก็ทำได้แค่เดินข้างกันมาตามทางแบบนั้น...ฃประตูรถปิดลง ไฟถูกเปิดจนสว่างจ้า และ แสงของวันก็หมดลงแล้ว
“พรุ่งนี้ทำงานกี่โมง”
“เช้า”
“เต๋าก็เช้าเหมือนกัน กลับไปแล้วรีบนอนนะ อย่าเล่นเกมส์ดึกล่ะ”
“รู้แล้วน่า...”
“อือ...”
เต๋ามองหน้าเขา ในขณะที่เขาจับจ้องความมืดด้านนอกอย่างไม่รู้จะมองสิ่งใด
สัมผัสหนึ่งแตะลงตรงปกเสื้อเชิ้ต ดึงรั้งลง
“อย่าใส่เสื้อคอกว้างนะชา”
เขารีบตะปบเสื้อตัวเองเอาไว้ จิ๊ปากอย่างหงุดหงิดขึ้นมาหน่อยๆ
“รู้น่า”
“...”
“ยังจะมีหน้ามายิ้ม”
และมือที่สัมผัสตรงคอของเขาก็ย้ายตำแหน่ง เกี่ยวขอบคอเสื้อให้แหวกเปิดออกจนเห็นไหล่โผล่พ้นออกมา เขาครางฮื่อเมื่อเต๋าประทับจูบลงไป ขืนตัวเล็กน้อยเมื่อรู้ว่ากำลังถูกทำให้เป็นรอย
“จูบนะ...”
ไฟในรถปิดลง เขาไม่ได้อนุญาต แต่ก็ไม่ได้บอกปฏิเสธ แล้ว... จูบก็ป้อนเข้ามา...เขาถอยหนีจนติดกระจกเมื่อจูบนั้นเริ่มจะร้อนเกินไป และระยะห่างระหว่างกันก็แทบไม่เหลือ เต๋าแทบจะขึ้นมาทาบทับเขาเอาไว้ทั้งตัว รวมถึงเนื้อใต้เสื้อที่กำลังถูกสัมผัส
“พอ...อือ...พ...พอ...พอก่อน...”
“อยากให้พอก็อย่าจูบตอบสิ”
“อือ...อ...ไอ้บ้าเอ๊ย มันทำได้ที่ไหนกันล่ะ...”
“ฮาๆๆ..หะหะ...”
มันถอนจูบออกไปในที่สุด แต่ยังกอดเขาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“กลับกันเถอะ มืดแล้ว”
“อื้อ”
“อื้อก็ปล่อยสิ”
“...”
 “กูรักมึง...มาก...มากๆ... เราจะมาเที่ยวกันใหม่ หมดเวลาของวันนี้แล้ว กลับกันเถอะ...”
ไม่มีคำพูดใดกลับมานอกจากรอยจูบที่หน้าผาก หนักแน่นจนเขาสั่นไหว

หากเวลาไม่ได้หมุนผ่านไปอย่างที่เราเพิ่งจะยอมรับ แต่หมุนเวียนเป็นวงกลม คงไม่แปลกอะไรที่เราจะสามารถตกหลุมรักคนๆเดิมได้ซ้ำๆ ตกลงไปในความรู้สึกชวนฝัน ลึกลงไปแม้ในส่วนไม่ดีที่เขามี และคงไม่ยากอะไรที่ไม่ช้าไม่นานมันก็จะวนไปยังจุดสิ้นสุดอีกครั้ง อย่างเคย
แล้วเราจะทำอะไรได้? ก็เพราะทำอะไรไม่ได้ จึงทำได้เพียงมีความสุขกับมัน ทรมานให้ถึงที่สุด เพื่อพบความสุขอย่างที่สุดในบางครั้ง สุขให้ถึงที่สุด เพื่อพบความทรมานอย่างที่สุดในบางครั้ง เช่นกัน ความสุขของการได้ละเลียดจิบความสุข ความทุกข์ของการกลืนความทุกข์ลงคออึกใหญ่อย่างมูมมาม ความทุกข์ของการละเลียดจิบความทุกข์ ความสุขของการกลืนความสุขลงคออึกใหญ่อย่างมูมมาม เช่นเดียวกัน
สุดท้าย ความสุขอาจจะเป็นสิ่งที่หลอกลวงเรามากที่สุดบนโลกใบนี้ก็ได้
แต่วินาทีนี้ เขาก็ยังยินดีหลับตา



แต่ก็นั่นแหละ การหลับตา นอนนิ่ง บางครั้งบางคราวก็เป็นการพูดคุยกับตัวเองที่ดี ซึ่งมักจะดีเกินไป
เพราะเราจะรู้ ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น คำถามที่ว่า เรากำลังทำอะไรอยู่? คือคำถามที่โบยเฆี่ยนเราได้แสบแปลบลึกล้ำเสมอ

ข้างในตัวเขา อาจกำลังมีบางอย่างแตกสลาย โดยไม่มีวันรู้ จนกระทั่งวันหนึ่ง ที่โลกรอบตัวสั่นสะเทือน เศษแก้วเคลื่อนขยับ และเริ่มรู้สึกตัว
“ไปหานะ...”
เสียงเขาเอง เขาเป็นคนพูดคำนั้น พอวางสายจากเต๋า เขานั่งนิ่งอยู่อีกพักใหญ่ อากาศเย็นยะเยือกภายในห้องนอนของเขาสงบนิ่งเลื่อนลอย แสงจากโคมไฟหัวเตียงนวลตาเสียดเย้ย มองผ่านหน้าต่างออกไป แสงกระพริบของป้ายไฟและรถบนถนนกำลังขยับเคลื่อนเลื่อนไหลอยู่ด้านนอก หัวใจเขาเต้นหน่วงหนัก พลัน สายฝนก็ร่วงหล่น ลมกลางดึกพัดผ่านเข้ามาตามช่องหน้าต่างที่ไม่ได้ปิด หนาว เยือก
เขากำลังกระหายบางอ้อมกอด แค่บางอ้อมกอดเท่านั้น กอดเดียว... ที่เศษแก้วในตัวเขาจะบาดอีกอ้อมแขนจนเป็นแผลเหวอะ วูบหนึ่งเขาอยากปิดโทรศัพท์เพื่อปฏิเสธการไปหา และปิดห้องนอนห้องนี้ให้สนิทมิดชิด ให้มืดทึบและชื้นฝน อย่างน้อย ถ้าอยู่ในที่ที่ไม่มีลม ไม่มีสิ่งใด ไม่มีเสียง ไม่มีใคร อาจจะพอทำให้เขาสามารถปล่อยให้ความมืดที่มีหนามแหลมโอบกอดตัวเขาเองเอาไว้ได้บ้าง... ทิ่มแทงเขากลับคืนบ้าง
แต่ก็ทำไม่ได้
ในคอนโดคุ้นตา เราปิดไฟทุกดวงในห้อง แทบจะมืดสนิท เหลือเพียงแสงมัวซัวที่เลาะผ่านริมผ้าม่านหนาเท่านั้นที่แทรกตัวเข้ามาได้ เรา เราสองคน เขากับเต๋า บนเตียงนอนยับย่น บนรอยเปื้อนที่ไม่มีทางซักออก เราแยกออกจากร่างของกันและกัน แล้วเขาก็พลิกตัวนอนคว่ำโดยทันที ซุกหน้าลงกับหมอน ความรู้สึกผิดล้นทะลักพรั่งพรูราวน้ำเชี่ยว...
เขารู้สึกตัว ไม่สิ... เขารู้สึกตัวมานานแล้ว... นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน

“เป็นอะไรไป เจ็บเหรอ...”
มันถาม เขาส่ายหน้า และตะแคงกลับมาเพื่อมองหน้ามันให้ชัด ใบหน้าคม ดูดีไม่เคยเปลี่ยน สมบูรณ์แบบเสียจนเขากลายเป็นตัวอะไรซักอย่างที่ชำรุดน่าเกลียด ราวตัวเขากำลังจะพัง
เขาลุกขึ้นทั้งที่ร่างกายเปลือยเปล่า เต๋าทำท่าจะลุกตามมา แต่สายตาเขาทำให้มันต้องกลับลงไปนอนอยู่อย่างนั้น คชาแหวกม่านเพียงนิด แล้วขยับเปิดหน้าต่างกระจกออก ลมเย็นพรั่งพรูเข้ามาในห้องเหมือนน้ำเชี่ยวอีกสายหนึ่ง
เราไม่ได้คุยกัน ต่างเปลือยเปล่า และเงียบเชียบ เครื่องปรับอากาศครางหึ่ง เสียงลม เสียงรถวิ่งอยู่ไกลๆ ไกลมาก... ลอดไหลเข้ามา... และอาจรวมถึงเสียงอะไรบางอย่างในอกเขาที่กำลังแตกหัก
 “กอดได้ไหม”
เต๋าถาม เขาปิดหน้าต่าง คืบเคลื่อนขึ้นไปบนเตียงอีกหน
“ไม่...”
เรานอนอยู่ข้างกันแบบนั้น เพียงแค่นั้น โดยไม่มีบทสนทนาใดใดระหว่างกันยาวนานหลายนาที
“เป็นอะไรไปชา...”
“เปล่า”
“อย่าตอบแต่คำว่าเปล่าสิ ก็เห็นกันอยู่ว่าเป็น เป็นอะไร พูดออกมาสิ”
“...”
“คชา...”
เจ็บแปลบ…
“ที่ถาม เพราะไม่รู้จริงๆน่ะเหรอเต๋า”
...ที่ในที่สุดก็พูดมันออกมา
“ชา...”
“...”
“...ผม”
เขาไม่ตอบ เพราะแทบไม่มีคำตอบใดหลงเหลืออีกแล้ว จะมีก็แต่คำถาม เขากำลังทำบ้าอะไร

บางที ความสุขก็หลอกลวงเราจนติดกับ ทำทุกอย่างโดยไม่ลืมหูลืมตา มองว่าเพียงความรักคำเดียวก็เพียงพอเพื่อผ่านพ้น เป็นเหตุผลสำคัญผลักดันให้ทุกอย่างดำเนินไป ความจริงตกตะกอนนอนอยู่ก้นพื้น ลึกจนควานไม่ถึง
แต่แล้วนาทีหนึ่ง อะไรบางอย่างก็สามารถก่อกวนตะกอนความจริงลอยฟุ้งขึ้นมาจนได้ ความจริงไม่ใช่เพียงวิ่งเข้ามาตบหน้า แต่ผลักจนล้มกระแทกพื้นกรวด ถลอกปอกเปิกหมดทั้งตัว เขาถามตัวเองว่าจะตื่นได้รึยัง
เหมือนจะมีความสุข แต่ไม่มีเลย

กอดกัน เขาอุ่นมาก แต่ความจริงแล้ว เขาอบอุ่นจากอ้อมกอดนั้นได้จริงหรือ ยิ่งกอดก็ยิ่งกระหาย กระหายมากกว่ากอดจนยอมจมในรสจูบ ยิ่งจูบก็ยิ่งกระหาย กระหายมากกว่าจูบจนยอมถูกชำแรกกายผ่านเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขามีความสุขจริงหรือ เรามีความสุขด้วยกันจริงหรือ

ถ้าเขาหยุดเรื่องทั้งหมดนี้ตั้งแต่วันที่ยังไม่ถลำลึก เราก็จะเป็นเพียงเพื่อนสนิทกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันได้อย่างสนิทใจ เขากำลังเดินตามความฝันอย่างมีความสุข เขาคงสามารถยิ้มให้หม่าม้าเห็นได้ทุกวัน บอกให้หม่าม้าฟังว่า “ม้าครับ ภูมิใจในตัวผมไหม คชาทำได้แล้วนะ...” ในที่สุดเขาก็เป็นพี่ที่ดีให้น้อง ทุกอย่างไปได้ดีมาก แฟนคลับพร้อมสนับสนุน งานมีมาไม่ขาดสาย อาจไม่ได้โด่งดังอยู่แถวหน้า แต่ก็มาไกลเกินฝันมากแล้ว...
เขามีความสุขมาก เขาคงกำลังมีความสุขมาก เขาอาจจะมีผู้หญิงซักคนที่เขาชอบและชอบเขา เดินเข้ามาในชีวิต เราอาจกำลังคุยกัน และรอวันที่จะมั่นใจมากพอที่จะบอกทุกคนว่าเขามีคนรู้ใจแล้วและเขาก็จะไปเกทับเต๋าได้ว่าเขามีแฟนแล้วนะเว่ย มึงไม่มีสิทธิแซวกูเรื่องผู้หญิงแล้วนะ เขาคงจะแหย่มันเล่นว่าแฟนเขาต่างหากคือผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก เขาคงกำลังมีความสุข...
เขามองเห็นภาพตัวเองกำลังมีความสุข... แต่เมื่อกระพริบตา ทุกอย่างก็หายไป

 “เต๋า... กูเจ็บ...”
มันขยับเข้ามา จะกอดเขา แต่เขาขยับหนี
“ไม่...”
อีกครั้งที่เอ่ยคำปฏิเสธ

ราวกับ มีบางสิ่งกำลังเคลื่อนที่ เชื่องช้า...เข้าสู่จุดจบ... คล้ายเรือโดยสารแล่นทวนน้ำ บรรทุกความหวังในวันเก่าๆมาจนเต็มลำ ความหวานที่เขา...หรืออาจะเป็นเรา... พยายามยื้อยุดสุดกำลังไม่ให้เลือนหายไปจากปลายลิ้น...โดยที่รู้ดีว่าไม่มีทางทำสำเร็จ ทุกอย่างเคลื่อนห่างไปจากการควบคุมของเขาทีละน้อย นับวันจะยิ่งเหลือเพียงความปวดร้าวเท่านั้นที่เขาจะสามารถเป็นเจ้าของ... บนถนนเศษแก้วที่ร่วงโรยลงมาจากเนื้อตัวของเขาเอง เขายังดุ่มเดินไป หวังเหลือเกินว่าจะพบพานดอกกุหลาบซักดอก ที่จะยังบานรอคอยอยู่ แต่... ไม่มี... ไม่มีเลย... อะไรแบบนั้น... มีเพียงร่องรอยของเลือดซึ่งไหลออกจากปากแผลของวันวาน ที่เขาเผลอพลั้งทำหลายอย่างตกแตก... พังทลาย...
เขากำลังคิดเหมือนที่เคยคิดมานับหลายร้อยครั้งตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ทำไมเราไม่หยุด ทำไม... เขาแตกสลายแล้ว แทบไร้การเยียวยา ความรู้สึกผิดยังคงพรั่งพรูเข้ามาถมทับ แย่งพื้นที่อากาศภายในห้องไม่หยุดหย่อน แม้ปิดหน้าต่างลงไปแล้ว ถะถั่งหลั่งล้น เช่นเดียวกับร่างกายของเราที่เพิ่งผ่านการแนบสนิทกัน

คชาลุกไปอาบน้ำ ชะคราบรอยทุกอย่างออกจากตัว วูบหนึ่ง เขารู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาจนอยากจะอ้วก แต่มันก็อาจเป็นเพียงการอุปาทาน ในห้องน้ำที่ฟุ้งไปด้วยหมอกของน้ำอุ่น เหมือนเขาถูกโบยตีด้วยมวลน้ำของฝักบัว โลกสั่นไหว เศษแก้วแสนเศร้ากระจัดกระจายอยู่ภายใน ร่องรอยจากการร่วมรักอบอวลอยู่ในละอองฝ้ากระจก เขามองแทบไม่เห็นหน้าตัวเอง แต่รอยแดงเป็นปื้นเหล่านั้นกลับเด่นชัดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด น้ำอุ่นจนขึ้นควันราดรดตัว แต่เขาหนาวเยือก

เรากลับมานอนข้างกันอีกครั้ง ในห้องมืดสนิท ความมืดเข้มข้นราวกับหลุมดำ ความอยากถูกถอนออกไปจนหมดแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่ามืดตื้อ อีกแล้ว... มีเสียงบางอย่างหักแตกเลื่อนลั่นอยู่ในร่าง

“กูรักมึงนะ...”
ราวปากเขาขยับไปเองโดยไม่รู้ตัว ทำไมไม่รู้... อาจจะพูดไปอย่างนั้น เพียงเพื่อยืดความทรมานนี้ออกไปอีกหน่อย
“กูรักมึง...”
อีกครั้งและก็อีกครั้ง เขาพูดออกไปซ้ำๆด้วยอาการของคนที่พร้อมจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ เต๋ายื่นมือมาลูบหน้าเขา แต่เขาเบือนหนี เขาบอกรักมัน แต่เขาไม่อยากให้มันแตะตัวเขาอีกในตอนนี้ มือเต๋าชะงักค้างไป...
“ให้กูไปได้ไหม...”
เขาพูดออกมาในที่สุด แต่ยังไม่ทันจะได้ยินคำตอบอะไร เขาก็โผเข้ากอดเต๋าเอาไว้แน่น แน่นจนได้ยินเสียงร่างของตัวเองกำลังโดนทิ่มแทงครั้งแล้วครั้งเล่า ใช่แล้ว... บ้ามาก... นี่มันคือเรื่องบ้าอะไรกัน... เขาหลับตาลงในความมืดมิด รู้สึกถึงร่างกายตัวเองที่สั่นน้อยๆตลอดการร่วมกันกันอีกหลายครั้งหลายหน ราวร่างทั้งร่างทำจากกระจกบางชนิดที่เปราะบาง
บอกตัวเองให้ตื่น แต่เขายังฝัน ว่าเขายังฝันอยู่เลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2013 15:20:04 โดย BKAFFEE »

BKAFFEE

  • บุคคลทั่วไป
(ต่อ)




เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง คชาคิดได้ว่า เขาอาจพร้อมยอมรับความสุขที่มีความเจ็บปวดแทรกมาตามรอยแยกได้แล้ว และหวังว่าซักวัน จะมากพอจนกลบทับรอยแยกเหล่านั้นได้ ท่ามกลางบรรยากาศเคยคุ้น ไม่ว่าต่อหน้าคนอื่นจะเป็นยังไง แต่เรารู้สึกถึงความหมาย ทุกครั้งที่สบสายตาแนบเนียนอย่างไม่น่าเชื่อ คล้ายว่าทุกอย่างกลับสู่สภาวะเดิมที่แสนสงบสุข และดำเนินไป
คล้ายว่า... ใช่... คล้ายว่า... เขารู้ในที่สุด เมื่อมันก็แค่ คล้ายว่า... เท่านั้นเอง

คงเคยใช่ไหม พออ่านหนังสือไปถึงหน้าหนึ่งตรงกลางเล่ม เมื่อชีวิตตัวเอกทำท่าจะสุขสม เราชั่งน้ำหนักกระดาษด้วยมือขวา หวังว่าจะเหลืออีกเพียงไม่กี่หน้าให้ผู้เขียนสรุปทิ้งท้าย แต่กลายเป็นว่าเรายังอ่านมาได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น และเราตระหนักได้ในทันที ว่าต่อจากนี้ชีวิตของตัวละครมีแต่จะจมดิ่งลงเหว ตรงนั้น นั่นแหละ คือจุดนั้นของเรื่องราวของเขา

เขาได้รับอีเมล์ฉบับหนึ่งในเช้าวันที่อากาศกำลังเย็นสบาย
ดวงอาทิตย์หลบเร้นในปุยเมฆ ท้องฟ้าสีฟ้าสด สัมผัสแทบไม่ถึงความร้อนผลาญเผาของไฟแดด
“...”



เด็กชายคชาเคยถามหม่าม้าว่า ทำไมท้องฟ้าตอนเย็นถึงมีสีแดง
หม่าม้ายิ้มตอบ เพราะว่าก้อนเมฆแถวนั้นติดไฟ
“แล้วทำไมชาไม่เคยเห็นไฟลุกบนท้องฟ้าเลยล่ะครับ”
“เพราะเราอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ไงลูก”
เด็กชายคชาเป็นเด็กฉลาด เขาจำได้ว่าโลกกลมเหมือนผลส้ม และเวลาเย็นของไทยก็ตรงกับเที่ยงวันของที่ไหนซักแห่ง แสดงว่าต้องมีซักที่ที่ดวงอาทิตย์เฉียดใกล้โลกพอให้ก้อนเมฆติดไฟได้ เด็กชายคชาเห็นภาพทะเลทรายในหนังสือรวมรูปภูมิศาสตร์ คุณครูบอกว่าเป็นพื้นที่ร้อนแห้งแล้งตลอดทั้งปี จึงทึกทักเอาว่าบริเวณนั้นโลกโคจรใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด และทุกเวลาเที่ยงตรงอันแสนร้อนระอุ ก้อนเมฆจะติดไฟ
เด็กชายคชาเชื่อเช่นนั้นจนอายุแปดขวบ
ต่อจากนั้น แม้จะรู้แล้วว่านั่นเป็นเพียงเรื่องในจินตนาการ แต่เขาก็พอใจที่จะจดจำ



 “...”
เมื่อเราเจ็บปวดเนิ่นนานซ้ำๆ เราจะเคยชิน จนเมื่อได้สัมผัสความสุข เมื่อนั้น เราจะจดจำ และเมื่อความสุขถูกทำลายลง เมื่อนั้น เราจะทรมานจนแทบลืมหายใจ
ถ้าจะเปรียบเทียบความรู้สึกของเขาในวินาทีนั้น… วินาทีที่เห็นรูปถ่ายของร่างขาวจัด ท่อนบนเปลือยเปล่าพ้นผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม ข้าวของที่ถ่ายติดมา คือห้องบนคอนโดที่เขาไปค้างไม่มีผิดเพี้ยน และ... มือขาวผ่องเรียบเนียน มือผู้หญิง... สัมผัสอยู่บริเวณคอ จับไล้ที่สร้อย กำทับแหวนที่เกี่ยวร้อยเอาไว้แน่น...
ถ้าจะเปรียบเทียบความรู้สึก... คชาบอกได้เพียงเช้าวันนั้น ดวงอาทิตย์ตกดินในใจเขา




วัฏจักรโง่ๆบ้าบอกลับมาอีกหน ไปทำงาน ไปพบเจอผู้คน ยิ้ม หัวเราะ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แค่วูบเดียวเท่านั้น ตอนไหนซักตอนที่อยู่คนเดียว เขารู้สึกเหมือนก้อนเนื้อข้างในมันแหลกสลายไปแล้ว และมันเจ็บลึกทบทวีคูณ เมื่อฝ่ายที่เป็นสาเหตุสำคัญ ทำทุกอย่างปกติราวไม่รู้เรื่อง หรือ... แน่ล่ะ เต๋าคงจะไม่รู้เรื่อง... แต่นั่นก็ยิ่งทำให้อกร้าวยอก

“เต๋าจะเลิกกับเขา! อย่าไปนะชา...”
“...”
“เราจะเป็นอะไรก็ได้ อะไรก็ได้ที่ชาต้องการ ...นะ”

เขาแค่นยิ้ม
โกหก
มีความไม่จริงใจแฝงอยู่ในคำโกหกเสมอ เขาไม่เคยโกรธไม่เคยเกลียดใครด้วยเหตุผลที่ว่ามาโกหกกัน แต่เขาเกลียดสิ่งนั้น เกลียดเพราะว่าสิ่งนั้น... มันไม่มีวันจริงใจ
ยากนักใช่ไหม เขานึกถาม ทั้งที่ไม่เคยขอ ไม่ต้องรักกันก็ได้ แค่อย่าทำร้ายกันก็พอ เขายังแค่นยิ้มต่อไปแม้เต๋าจะยืนอยู่ตรงหน้า มองคอนโดคุ้นตาด้วยสายตาว่างเปล่า นึกสงสัย ตรงไหนกันที่เราร่วมรัก ตรงไหนกันที่มันและเธอร่วมรัก เตียงนี้ใช่ไหม โซฟาตัวนี้ พื้นตรงนั้น หรือที่ไหน

“หิวไหมชา เต๋าเอาของกินไปอุ่นให้มั้ย”
เขาส่ายหน้า
แล้วก็เปลี่ยนเป็นพยักหน้า
“มานั่งสิ”
คชาเดินไปนั่งตามคำบอก ตาจับจ้องอยู่แค่แผ่นหลังกว้าง
“ไม่กินด้วยกันเหรอเต๋า ไม่หิวเหรอ”
“ไม่หิวครับ”
“อือ... คงกินมาจนอิ่มแล้ว...”
อีกฝ่ายดูงุนงง ไม่ใช่แค่เต๋าหรอก เขาก็ไม่คาดคิด ว่าคำพูดธรรมดาจะมีความหมายอย่างคาดไม่ถึง
“เต๋า...”
“หืม”
“สร้อยไปไหนเหรอ”
เชื่อไหม ว่าไม่มีแม้แววตระหนกในดวงตาคู่นั้น เต๋าคลายยิ้มแล้วส่ายหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ ...เขาเกือบเผลอเชื่อ
“หายไปไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ไม่มีแล้ว”
“เหรอ... อือ...”
สีหน้าเศร้าสร้อย เขาหัวเราะขึ้นมาโดยไร้เสียง
“เต๋า...”
“ครับ”
“ลุกมานี่หน่อยสิ...”
แม้จะไม่เข้าใจ แต่เต๋าก็ลุกมาหา เขาดึงแขนอีกฝ่ายให้ขยับเข้าไปใกล้ รั้งให้ย่อตัวลง
“ชา...”
เสียงเรียกชื่อเขาดังได้ไม่นาน ก่อนที่ริมฝีปากเราจะสัมผัสกัน เขาแตะลงแนบแน่น แล้วปล่อยให้มันละเลียดจูบ จูบที่คุ้นเคย รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลออกมา แต่...ไม่มี ไม่มีหรอก น้ำตาเขาแห้งเหือดแล้ว เขาคิดว่าเขาร้องมามากพอ ทั้งในใจ ทั้งนอกใจ เราจูบกันนานเท่าไรไม่รู้ อ่อนหวาน แล้วก็ร้อนเร่า แล้วก็กลับมาอ่อนหวาน แล้วก็เปลี่ยนเป็นร้อนเร่า
รู้ไหมเต๋า… ทุกๆขอบฟ้ายามเย็นงดงาม มีหัวใจอย่างน้อยหนึ่งดวงมอดไหม้เป็นจุลเสมอ

“โอ๊ย!”
เต๋าเซถอยหลังออกไปนิด เมื่อโดนเขากัดเข้าที่ลิ้นอย่างแรงแล้วผลักออก
“เจ็บนะชา เล่นอะไร”
“เปล่า ไม่ได้เล่น...”
เลือดคงไหลไม่น้อย เต๋าแตะนิ้วลงที่ลิ้นแล้วเบ้หน้า มันลุกยืน แววตาจ้องมองมาที่เขา คล้ายไม่เข้าใจ
“เจ็บไหม”
“...เป็นอะไร”
“กูถามว่าเจ็บไหม”
“...”
“แต่กูเจ็บกว่ามึงอีก...”
มันก้าวเข้ามา แต่เขาลุกถอยหนีไปจนสุดผนังห้อง
“เจ็บมากเหรอ แค่นี้เองเดี๋ยวก็หาย...”
“...”
“กูสิ... กูอยากแทบตายที่จะเจ็บแบบมีแผลให้เห็น มีเลือดออกให้เช็ด... อย่างน้อยกูก็ยังรู้ว่าจะรักษายังไง... ต้องใช้เวลานานแค่ไหน...”
“ชา...”
“ไม่ต้องเรียกชื่อกู!”
เราสบตากัน เขาจ้องมองมัน มันทอดสายตากลับมา เราจ้องมันอยู่อย่างนั้น อยากพูดอะไรมากมาย อยากบอกอะไรมากมาย  แต่...
“เชี่ยเอ๊ย!”
เพล้ง!
ไม่มีคำพูดใดหลุดจากปากอีกแล้ว เขาพูดอะไรไม่ออก อึดอัดคับแน่นจนปะป่ายมือสะเปะสะปะ คว้าปัดเอาแก้วน้ำบนเคาท์เตอร์เล็กๆร่วงลงแตก
มีความหวังน้อยนิดที่คาบเกี่ยวอยู่กับคำว่าโง่เง่า อยากให้สายตาคู่นั้นแปลความหมายได้ว่าเต๋าไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่เลย... เขาถูกแกล้ง... นั่นมันนานมากแล้ว... ไม่ใช่เมื่อวานนี้ เมื่อวานซืน หรือช่วงเวลาใกล้ๆที่เพิ่งเกิดขึ้น เราล้วนถูกปั่นหัว เราทั้งคู่... คชา... ถูกคนอื่นหลอกยังไม่พอ ยังต้องหลอกตัวเองเพิ่มด้วยเหรอ... เขามองเศษแก้วกระจายเกลื่อนพื้นเหมือนมองดูตัวเอง สงสารระคนสมเพชซะจนหมดแรงทรุดลงกับพื้น
“มึงพูดทำไม...”
“...”
“ทำไม่ได้ก็อย่าพูด...”
ไม่มีเสียงตอบกลับมา มันอาจนึกหาคำพูดไม่เจอเหมือนกัน เขาจึงเลือกถาม คำถามที่เขารู้คำตอบจนอกปวดร้าว
“เคยรักกันไหม”
“...”
“ถ้าอย่างนั้น...”
 “...”
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมถึงอยู่จนถึงตอนนี้...”
 “ขอโทษ”
คำขอโทษ... งั้นเหรอ... เขานึกอยากรู้ขึ้นมาในใจ ว่านั่นสำหรับอะไร แล้วก็คิดได้ในวินาทีต่อมา... ว่านั่น... คือสำหรับความรัก ที่มันไม่รัก... มันก็แค่ จำเป็นต้องมี แต่นั่นไม่ใช่ความรัก
ชั่ววูบ เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังแล่นพล่านไปทั่วร่างกายเขา อะไรบางอย่างที่ทำให้เขาแสนชิงชังกับบทสนทนาตรงหน้า คชาขยับยิ้มกว้างจนดูเหมือนยิ้มเยาะ หยุดไปเล็กน้อย เพื่อสูดหายใจเข้าปอดให้ลึกและยาว บรรเทาบางอย่างที่ตีตื้นขึ้นมา ...บางอย่างที่ยิ่งกว่าคำว่าเจ็บปวด

ได้โปรด... เขาอยากฉีกหน้ากระดาษเรื่องราวน่ารังเกียจพวกนี้ทิ้ง…
...แล้วหายไปจากบางพื้นที่อย่างถาวร




เต๋าเคยบอกว่าเขาเหมือนลม... เวลากอดต้องกอดแน่นๆ... เพราะดูเหมือนเกาะเกี่ยวได้ไม่เคยติดมือ
เขามองว่าเต๋าเพอร์เฟ็คมาตั้งแต่แรกพบ สูงโปร่ง ผิวขาวจัด ผมสั้นสะอาดตา แผ่นหลัง ต้นขา ส้นเท้า ตั้งฉากกับพื้น ดูดีสง่าราวหุ่นลองเสื้อ ไหล่กว้างชันราวพร้อมแบกรับทุกสิ่ง เขาเคยเป็นทุกอย่างที่ตรงข้าม แต่ตอนนี้มันจะแค่ เคย

ความเงียบที่น่าอึดอัด คชาไม่รอให้อีกฝ่ายออกไป เขาลุกขึ้น เก็บของหลายชิ้นของตัวเองที่เอามาทิ้งไว้ที่นี่ ห้องนี้ ไม่พูดอะไรซักคำ และเดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผย เต๋าทัดทานไหมเขาไม่รู้ หูแทบไม่อาจรับเสียงใดใด แต่ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลไหน ยามพูดกับแผ่นหลัง ก็ไม่ต่างอะไรกับการตะโกนใส่หน้าผา สิ่งที่ตอบกลับมามีได้เพียงเสียงสะท้อน เขาเดินจากมา พบทางออกให้กับบางอย่าง แม้จะเหมือนถูกบีบคอให้เดินออกมาก็ตาม
ความสุขคืออะไร? เขาถามตัวเองอีกครั้ง อย่างที่เฝ้าถามมาเนิ่นนาน ความสุขของเขาคือการร้องเพลง มันเป็นอย่างนั้น เขาคิดมาตลอดว่าเป็นแบบนั้น และนั่นก็น่าจะใช่

วันนี้คชามาที่ตึก มีนัดคุยเรื่องซิงเกิลใหม่ อะดรีนาลีนแล่นพล่านเสียจนเขารู้สึกเปี่ยมสุขอย่างบอกไม่ถูก แต่เมื่อก้าวเข้าไปถึงชั้นที่นัดพบ สถานที่คุ้นตาผ่านเข้ามาในคลองสายตา เขาก็รู้สึกได้ถึงความต้องการลึกๆที่ถาโถมแทรกเข้ามา... เผลอหันมองซ้ายขวา หวังจะเจอคนที่คุ้นตา ทั้งหมดนั้นเป็นไปโดยอัตโนมัติ ความยาวนานของความสัมพันธ์ทำให้เขาเผลอลืมตัว กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็คล้ายว่าเขากำลังเดินหามันเสียแล้ว

คนที่มีความรัก มักลุ่มหลงกับการพบปะกันโดยบังเอิญ เชื่อฝังใจว่ามีบางอย่างแฝงตัวอยู่ ถึงกับทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดเรื่องบังเอิญขึ้น... อาจเพราะ ความรักเป็นสิ่งยากเข็ญไม่แน่นอน แค่คนสองคน ไม่อาจที่จะผ่านพ้นไปได้ จึงต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากชะตาฟ้าลิขิต... ฟุ้งซ่านไปตั้งไกล ลืมอีกแล้วว่าสำหรับเรา... มันไม่ใช่ความรัก

เสร็จจากงาน คชาลงมานั่งรอหม่าม้าที่ร้านกาแฟ นึกครึ้มใจสั่งนมเย็นสีชมพูละมุนตามาดื่ม อยู่คนเดียว ไม่รู้จะเอาสายตาไปพักไว้ไหน เขากวาดสายตาไปเรื่อยๆ จนหยุดที่เด็กชายวัยไม่กี่ขวบที่นั่งกินขนมอยู่กับแม่
คิดถึงตอนเด็ก... เด็กที่เด็กแบบเด็กจริงๆ เด็กน้อยวัยไม่รู้ประสา ไม่ใช่ผู้ใหญ่ไม่รู้จักโต ไม่ใช่ผู้ใหญ่โหยหาอดีต

และเขาก็ฝันอีกแล้ว…
เหมือนคชากำลังเดินย่ำหาดทราย สุดปลายอ่าวเป็นแหลมยืดยาว ต้นไม้ใหญ่บดบังทิวทัศน์  เขาอยากรู้อยากเห็นว่าจะมีอะไรอยู่ถัดออกไป ถึงจะรู้ดีว่าก็คงจะเป็นอ่าวอีกนั่นแหละ ชายฝั่งก็คืออ่าว อ่าว อ่าว และอ่าว ติดๆกัน โดยมีแหลมคั่นตรงกลาง ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะธรรมชาติของคลื่นซัดทรายไว้เว้าเวิ้งเสมอ

สมัยเด็ก เด็กชายคชาเชื่อว่าถ้าตั้งหน้าตั้งตาเดินดีๆ จากฝั่งอันดามันคงจะสามารถทะลุไปยังประเทศอื่นได้ และถ้าเดินต่อไปเรื่อยๆ ซักสิบปี ยี่สิบปี สุดท้ายเราอาจจะไปถึงยุโรป แล้ววนกลับมาบรรจบที่ไทยได้ เด็กชายคชามองไม่ออกเลยว่าจะมีอุปสรรคใดขัดขวางการเดินทางครั้งนี้ ความจริง เดินเลียบชายหาดอาจจะง่ายกว่าขับรถผ่ากลางทวีปด้วยซ้ำไป

ในที่สุด คชาก็เดินมาถึงปลายแหลมของชายหาด อย่างที่คิดไว้ เจออ่าวเล็กๆ สุดปลายอ่าวก็เป็นแหลมอีกแหลมหนึ่ง หนหนี้มีหินก้อนใหญ่บดบัง และเขาก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้ว่าอ่าวแบบไหนรอคอยเขาอยู่ เขาเดินไปได้ซักพัก หกล้ม... เขาก้มมองเท้าตัวเอง ถลอกนิดหน่อยแต่ไม่รู้สึกเจ็บซักนิด เดินไปล้างเท้าในน้ำทะเล หย่อนก้นลงนั่ง แล้วเอนตัวนอน แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนแรง แต่ยังจ้าพอจะทำให้เขาเป็นลมแดดได้ นอนอยู่แบบนี้ ต่อให้เป็นลมไปจริงๆ จะล้มไปไหนได้อีก

เขาหวนคิดถึงครั้งสุดท้ายที่เจอเต๋า แล้วก็ย้อนกลับไปครั้งก่อนหน้า ก่อนหน้า ก่อนหน้า ก่อนหน้ากลับไปเรื่อยๆ ย้อนไปจนคล้ายว่าใกล้จะถึงวันแรก เขารู้สึกตัวว่ากำลังใกล้หมดสติ ความรู้สึกสุดท้ายคือพื้นทรายเปิดออกโอบกอดตัวเขา นี่ใช่ไหม ถ้าคนเป็นลมแดดขณะนอนอยู่บนพื้น ตัวเขาจะหนักขึ้นและหายลงพื้นทราย... เขาอ่อนแรง แต่ไม่ลุกหนี ไม่ต่อต้าน... เขากำลังถูกสูบลงไป เพื่อให้อีกสองคนที่เหลือใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

เขาเคยคิดว่าการได้ฟังความจริงจากกันและกันคือทางออกสำหรับทุกอย่างแต่เปล่า... แท้จริงความจริงก็เป็นได้แค่หน้ากากอีกประเภท หน้ากากแห่งความซื่อสัตย์ที่ผู้สวมใส่ใช้หลอกลวงใครต่อใคร

และภาพก็ตัดมาเป็นตัวเขากำลังนั่งเล่นเปียโนในสถานที่คุ้นตา ที่ที่เราเคยนั่งเล่นร้องเพลงด้วยกันเมื่อนานมาแล้ว... ขณะกรีดนิ้วไปตามบันไดเสียง คชารู้สึกเย็นยะเยือกที่ปลายเล็บ ชั่วจังหวะที่หยุดตามจังหวะโน้ต แอบยกมือขึ้นสำรวจ ประหลาดใจที่พบว่านิ้วเปียกชุ่ม ไม่ช้า... เขาก็รู้สึกตัวว่ามีน้ำกำลังไหลออกมาจากเปียโน ยิ่งเขากดแป้นแรงเท่าไร น้ำก็ยิ่งซึมออกมามากเท่านั้น เสมือนเลือดรินไหลจากบาดแผล แต่เขาก็ยังไม่อาจหยุดมือ เขาต้องเล่นมันให้จบ เขาจะเล่นจนจบ เข้าท่อนสะพานโน้ตยืดยาว คชาหวังว่าน้ำจะไหลออกมาน้อยลง แต่กลับยิ่งทะลักทลายจนน้ำสูงท่วมเอว พอท่อนรัวกลับมาหนที่สอง น้ำก็ไต่ระดับไหลเข้าปากเข้าจมูก เขาหายใจไม่ออก แต่เขาหยุดเล่นไม่ได้ เหลืออีกสิบกว่าห้อง แต่เขากำลังจะขาดใจ...

ทันใดนั้นเขาก็พลันตื่นขึ้น... จากฝันยาวนาน... แก้มเปียกชุ่ม เขาร้องไห้ยามหลับ
ถ้าเขาทรมานขนาดนี้ แน่นอนว่าที่ไหนสักแห่ง ใครบางคนอาจกำลังมีความสุขอยู่ ไม่เธอคนนั้น ก็อาจจะเป็นเต๋า...
ใครก็ได้สักคน...



มันน่าตลกดีที่ช่วงนี้ไม่มีงานคู่ ไม่มีนัดสัมภาษณ์ ตลกและขอบคุณ... ขอบคุณอะไรก็ตามที่จังหวะเวลาประจวบเหมาะขนาดนี้ แต่แม้จะไม่มีเหตุบังคับให้ต้องทำงานร่วมกัน เขาก็เจอเต๋าจนได้ในบ่ายวันหนึ่ง ซึ่งเขาพยายามหลบเลี่ยงจนมันน่าจะดูออก มันทำท่าจะเข้ามาหลายครั้งหลายหน แต่ก็นิ่งไป เมื่อเขาเย็นชามึนตึง... แทบจะว่างเปล่า... แม้แต่ลิฟต์ตัวเดียวกัน เขาก็ไม่เข้าไปยืนอยู่
อาจจะดูเหมือนเล่นอะไรเป็นเด็ก แต่ลึกๆแล้วเราทุกคนก็มีความเป็นเด็กไม่ใช่เหรอ แม้จะทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองได้ แต่ทำอะไรก็ยังดื้อด้านใช้อารมณ์เป็นหลัก

จากตรงนี้ เขามองเห็นเต๋าอยู่ไกลๆ มันยกโทรศัพท์ขึ้นมาคุย ยิ้มไป พูดไป เหมือนคุยกับใครซักคนที่พิเศษ แต่พอเห็นว่าเขาทอดสายตามองมา ก็หน้าเคร่งเครียด พักเดียวก็วางสาย... อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนตัวเองพร้อมจะร้องไห้
ทำไมอะไรๆต้องยุ่งยากขนาดนี้... คิดแบบโง่ๆคงต้องบอกว่า ถ้าใครตายไปซักคนคงดีใช่ไหม เป็นตัวเขาเองก็ได้ คนที่เหลือคงมีความสุข

เรื่องราวของเราเหมือนเงื่อนตายอุดมคติ ปกติแล้ว ปมเชือก ไม่ว่าจะยุ่งยากซับซ้อนแค่ไหน จุดเริ่มต้นมันก็มาจากเชือกยาวตรงสองปลาย ดังนั้นย่อมกลับคืนสู่สภาพเดิมได้โดยไม่ต้องอาศัยการตัดซึ่งจะทำให้เชือกสั้นลง แต่เงื่อนอุดมคติไม่ใช่แบบนั้น ทันทีที่มันผุดขึ้นมาบนโลก เงื่อนอุดมคติก็อยู่ในสภาพผูกมัด นั่นคือธรรมชาติของมัน ดังนั้นจึงไม่มีใครแก้ปมออก ความสัมพันธ์ของเราสองคนก็เช่นเดียวกัน เหมือนเป็นสุดยอดเงื่อนตายอุดมคติที่ไม่มีทางสะสาง ไร้ทางแก้
เราไม่อาจแม้กระทั่งทบทวนคำพูดใดต่อกันอีก เหลือไว้ได้เพียงความทรงจำที่เหตุและผลไม่เคยต่อตามลำดับเวลา เหมือนหมดสิ้นแล้วซึ่งการกลับมาต่อเนื่องและเชื่อมโยงกันได้ใหม่ ทว่า ก็ยังหลุดออกจากกันและกันไม่ได้ ต้องตัดทิ้ง... แต่จะตัดทิ้งได้ยังไง ในเมื่อเรามองไม่เห็นเงื่อนที่ว่านั้นด้วยซ้ำ

เขาฟุ้งซ่านซะจนต้องหลบออกมาหาที่สงบอยู่
คชานั่งลงตรงขั้นบันไดหนีไฟ หยิบมือถือขึ้นมาเลื่อนหน้าจอดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรผ่านเข้าหัว เหนื่อยและโคลงเคลงซะจนอยากตะโกนออกมาดังๆเพื่อบรรเทาหลายอย่างในอก
งี่เง่าชะมัด
เขารู้สึกเหมือนเส้นเลือดบริเวณขมับเริ่มเต้นตุบๆ และปวดหน่วงนิดหน่อยบริเวณกระบอกตา อาการปวดหัวไมเกรนกำลังจะมา จึงพยายามหาอะไรทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นอีกหน่อย ด้วยการเข้าไปไล่อ่านเมนชั่นของแฟนคลับ หวังจะจับคว้ากำลังใจและแรงผลักดันเพื่อให้ตัวเองยังยันอยู่ต่อไปได้ แต่ผลที่ได้ก็ยังเป็นไปในแบบเดิม...

TaoPhiangphor
TaoPhiangphor
TaoPhiangphor
TaoPhiangphor
TaoPhiangphor
TaoPhiangphor
TaoPhiangphor
TaoPhiangphor
TaoPhiangphor
TaoPhiangphor
TaoPhiangphor
TaoPhiangphor
TaoPhiangphor
TaoPhiangphor
TaoPhiangphor

ในบรรดาเมนชั่นมากมายที่ส่งตรงถึงเขา ต้องมีชื่อนั้นประกอบอยู่ด้วยเสมอ แทบจะครึ่งต่อครึ่งด้วยซ้ำไป
วูบหนึ่ง เขาอยากทำอะไรก็ได้ให้แฟนคลับรู้ เลิกเถอะ เลิกจับคู่ เลิกจินตนาการ เลิกพยายาม เลิกแซว เลิกขอให้ถ่ายรูปคู่ มีงานคู่ คุยกัน เมนชั่นหากัน ไปเที่ยวด้วยกัน เลิกเถอะ... เลิกได้แล้ว... เลิกขอให้เขาและมันเหมือนเดิม...
ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ทั้งหมด ทุกอย่าง ไม่มีความรู้สึกอุ่นรื้นในอกเหมือนค่ำคืนก่อน ไม่มีการโอบกอดโอบประคองมั่นคงเหมือนในวันวาน ไม่มีแล้ว... ไม่มี

แสงแดดลอดเข้ามาตามช่องอิฐ ละอองฝุ่นที่ลอยฟุ้งในอากาศ ทำให้เขามองเห็นแสงนั้นเป็นลำชัดเจน
แสงสว่าง มันเป็นแสงสว่างสำหรับเขา หรืออาจจะ เคยเป็น เต๋าสว่างสดใส และเผื่อแผ่สิ่งนั้นมาถึงเขาได้เสมอ ดึงเขาขึ้นมาจากความสลัวราง ยื่นมือเข้ามา ประคองกันไว้ ในช่วงเวลาที่เขาทดท้อและเคว้งคว้างอย่างที่สุด
แต่แล้ววันหนึ่ง มันก็ผลักเขากลับเข้าไปสู่ความมืด แล้วเดินจากไปยังที่ที่มีแสงสว่างที่มันอยู่มาเสมอ วินาทีนี้เขาจึงเกลียดทั้งแสงสว่าง และเกลียดคนที่เคยเป็นเหมือนแสงสว่างสำหรับเขา
เหมือนตื่นจากการถูกกระชากความฝัน ไม่ทันตั้งตัว เคยคิดว่าจะตั้งตัวได้ ...แต่ก็ทำไม่ได้
ทุกอย่าง ผิดพลาดไปตั้งนานแล้ว... ตั้งแต่วันที่เขาและมันสองคนก้ามข้ามบางอย่างมาด้วยกันจนไกล วันที่ประตูในใจเขาเปิดออก วันที่เขาทิ้งทุกอย่างที่ตัวเองยึดถือลงจนหมด แล้วเขาก็ไม่รู้ว่า จะปิดประตูในใจของเขายังไงดี มันถึงทำให้กลายเป็นว่า เหมือนพื้นที่ที่ยืนอยู่สั่นโคลง ไหวเอน โลกเหมือนเกิดรอยร้าว โลกลวงตาของคำว่าความสุข... เพียงเพราะ ไม่อาจมีคำว่า เรา อีกต่อไป
พูดเรื่องความสุขแล้วก็หิวกระหายความสุข พอได้กินได้ดื่ม พอหมดไปจากมือก็ทุรนทุรายจะเป็นจะตาย พูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วก็ยิ่งหายใจไม่ถนัด แต่ก็เพราะเป็นแบบนี้ ถึงได้คิดว่า มันคงถึงขั้นต้องพยายามแล้ว พยายามที่จะมีความสุข... พยายาม...
และสรุปแล้ว ทั้งหมดนี้ ผิดที่เขาเผลอหลับไป หรือผิดที่เต๋าเผลอตื่นขึ้นมา...?



 “...”
พลัน คนในความคิดก็ยืนอยู่ตรงหน้า เหมือนฝัน แต่คงเป็นฝันร้าย เขาไม่อยากพูดคุยอะไรกับมันแม้เพียงซักคำในตอนนี้
 “ชา...”
ไม่... ไม่อยากให้มันเรียกชื่อเขา เขาไม่อยากได้ยิน
“คชา...”
อย่า อย่าเรียกชื่อเขา อย่าทำหน้าแบบนั้น
เขาลุกพรวด เดินสวนผ่านมันไปเพื่อให้ไม่ต้องอยู่ด้วยกันสองคนในพื้นที่คับแคบ แต่อะไรก็ไม่เคยเป็นไปอย่างใจหวัง เต๋าคว้าต้นแขนเขาเอาไว้ และก็เหมือนร่างกายเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ เขาสะบัดให้หลุดออกจากการเกาะกุม แล้วผลักไหล่มันเต็มแรงจนร่างสูงโปร่งกระแทกเข้ากับผนัง
“อย่ายุ่งกับกู”
เสียงนั้นแผ่วเบาและแหบพร่าราวไม่ใช่เสียงเขา เราสองคนยืนหันหน้าเข้าหากัน ห่างกันเพียงฟุตเดียว แต่มันเหมือนไกลมาก ไกลจนใบหน้าเต๋าพร่าเลือน
 “อย่าร้องไห้”
“กูไม่ได้ร้อง...”
“อย่าร้องไห้...”
“กูบอกว่ากูไม่ได้ร้อง!”
เรายืนกันอยู่อย่างนั้น เขาชาไปทั้งร่าง ถ้าก้าวขาซักก้าวอาจจะล้มลงไปบนพื้นก็ได้ เขาเห็นมือของเต๋ากำแน่นเข้าหากัน ภาพนั้นเบลอเบือนเหมือนมองผ่านหมอก เขาเห็นมันขยับมือเคลื่อนขึ้นมา ไหวสั่นเหมือนลังเล... และก่อน... ก่อนที่มือนั้นจะแตะลงตรงแก้มเขา ร่างกายไม่รักดีก็ขยับเองอีกหน มือเขาคว้ามือเต๋าเอาไว้ แล้วโถมร่างทั้งร่างกอดมันเอาไว้แน่น เขารับรู้ถึงความอุ่นจากอ้อมแขนที่เคลื่อนขึ้นโอบรัดเขาเอาไว้แน่นเช่นเดียวกัน เต๋ากอดเขาแน่นมาก มากกว่าทุกครั้ง แน่นจนเขาขยับตัวไม่ได้ แน่นจนอึดอัด แต่เขาก็ไม่ได้ดันตัวเองออกหรือบอกให้ปล่อย

ทำไมคนเราถึงยอมอดทนกับอะไรโง่ๆ ยอมเผชิญหน้าและจ่อมจมอยู่กับอะไรโง่ๆมากมายขนาดนี้ ทำไมเขาถึงไม่พอซักที... ทำไมกัน... ถ้าถามว่าเขาปรารถนาอะไร เขาอยาก... อยากรักมัน อยากมีมัน... แต่เขารู้ ว่าเขาก็ทำได้แค่อยาก... และความอยากกำลังฆ่าเขาอย่างเลือดเย็นที่สุด



เราไม่มีทางกลับมาใช้คำว่าเหมือนเดิมร่วมกันได้
คำว่า เหมือนเดิม แค่คำพูดลอยคว้างในอากาศ เมื่อไรที่เราปรารถนาการกลับมาเป็นอย่างเดิม แสดงว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วจนหมด ไม่มีทางหวนกลับมา นอกจากความรู้สึกทุเรศทุรังในใจที่มีต่อตัวเองแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เพิ่งระลึกได้ว่ามันบ่อนเซาะความรู้สึกเขาแค่ไหน ก็คือเพลงของตัวเอง... เป็นครั้งแรกที่เขาไม่อยากฟังเพลงตัวเอง ...แต่ก็ต้องฟัง ไม่อยากร้อง แต่ก็ต้องร้อง
ร้องเพลงเดิมซ้ำๆ ทุกเวทีที่ไป ทุกงานที่เล่น เขาร้องเพลงของตัวเองซ้ำๆ ซ้ำๆ และเนื้อเพลงทุกท่อนก็บาดลึกลงมาในใจซ้ำๆ ซ้ำๆ

ที่ผ่านมาเขารู้สึกว่าเขาปวดหัวบ่อยขึ้น ไมเกรนเล่นงานหนักขึ้นเรื่อยๆ เป็นสัญญาณบอกว่าเขาควรจะหยุด เขากำลังเครียดมากไป มันสะสมมานานและกำลังทำร้าย... ทุกครั้งที่เรื่องของเขากับมันวิ่งเข้ามาในหัว ไม่นานเลย อาการปวดหัวจะแล่นพล่าน เป็นไปโดยอัตโนมัติ ย่ำแย่มากซะจนสงสารตัวเอง เจ็บมากไหม... มากไหมคชา... มากไหม...

BKAFFEE

  • บุคคลทั่วไป
(ต่อ)




 “กูเจ็บ...”
“...”
“...มากอย่างที่คำขอโทษร้อยพันครั้งของมึงก็ทดแทนไม่ได้”
เขาดันตัวเองออกมาจากอ้อมกอด เมื่อรู้สึกว่ากำลังทำอะไรอยู่ เป็นมัน ที่ไม่ยอมปล่อย เขาพยายามออกแรงเท่าไรมันก็ไม่ยอมปล่อย... จึงได้แต่พูดคำนั้นอู้อี้อยู่ที่อกมัน...
 “มึงรู้ไหม... กูเจ็บกูปวดมากเท่าไร”
“...”
“กูทนได้ มึงอยู่กับเขา รักเขา กูทนได้...และบอกตัวเองว่า อย่ามีความหวัง...”
“...”
“จนวันที่มึงบอกกู ว่าให้อยู่ด้วยกันนะ... อย่าไปเลย... มึงจะเลิกกับเขา เราจะอยู่ด้วยกัน... กูถึงได้เริ่มมีความหวังขึ้นมา...”
“...”
“...มันอาจจะเป็นไปได้ก็ได้ โดยไม่ต้องให้ใครรับรู้... เพราะกูรักมึงมาก มากซะจน จะเป็นอะไรก็ได้ จะต้องปิดใคร จะต้องหลบใคร จะต้องบอกใครต่อใครว่าอะไร... ก็ไม่เป็นไรเลย... และก็คิดว่า... มึงอาจจะรักกูบ้างซักนิด...นิดเดียวก็ยังดี...”
“...”
“มึงทำให้กูเริ่มหวัง อย่างที่ไม่เคยหวัง และไม่ควรจะหวัง... แล้ว วันนึง ทุกอย่างก็พังลงจนหมด...”
มาถึงคำนั้น เขากัดกรามแน่น พูดต่อไม่ได้ ต้องพักหายใจ เพราะหลายอย่างท่วมท้น พังลงจนหมด... พังลง... พังจนหมด...
“มึงคงไม่เชื่อกูหรอก... แต่เขาส่งรูปมาให้กูดู รูปมึง... กับ...เขา... แล้วกูก็รู้... มึงกับเขารักกันมาก่อน กูต่างหากที่ไม่ควรอยู่ตรงนี้...”
“...”
“กูถามตัวเองว่ามึงหลอกกูทำไม ให้ความหวังกันทำไม...”
“...”
“...บอกว่าเราจะอยู่ด้วยกันทำไม บอกว่าให้กูอยู่ตรงนี้ทำไม...”

เขารู้ตัวเองดีว่าเขากำลังพูดวนไปวนมา ไร้การปะติดปะต่อและความเชื่อมโยง เขาแค่อยากพูดออกมา... อยากเอาออกมา… เพียงไม่กี่วันที่ทุกอย่างจบสิ้นลง หลังจากวันนั้นที่เขาถูกตบหน้าให้ลืมตาตื่น เขาแทบไม่รู้ตัวเลยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่บ้าง คชาไปทำงาน ไปร้องเพลง ไปอัดรายการตามปกติ แต่เมื่อจบจากงาน บ่อยครั้ง เขาเดินเตร็ดเตร่ไปบนถนนบางเส้น เข้าไปนั่งในร้านกาแฟทั้งที่ไม่ดื่มกาแฟ เพียงแค่เพราะเป็นร้านกาแฟที่เต๋าเคยจอดรถแวะซื้อบ่อยๆ โต๊ะตรงนี้ที่ชอบนั่งรอ หนังสือแบบนี้ที่ชอบหยิบมาเปิดอ่าน และเมื่อเปิดหนังสือฆ่าเวลาจนเบื่อ เขาก็จะคิดถึงมันอีกครั้ง รำลึกถึงคำพูดที่เคยพูดคุยกันได้เป็นส่วนๆ ไม่ช้า เขาก็เริ่มนั่งอยู่คนเดียวในที่ที่นั้นไม่ไหว แล้วเริ่มต้นออกเดินใหม่

บางครั้ง ก็เป็นระหว่างที่กำลังนั่งรถไปไหนซักที่ มองถนน มองตึกและร้านค้า มองดูผู้คน สถานที่ที่คุ้นเคยดูซึมเศร้าและว่างเปล่าอย่างน่าประหลาด ตึกต่างๆดูคล้ายถล่มทลายลงมา ต้นไม้ทั้งหมดดูไร้สีสัน และผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็ดูไร้ความรู้สึก ไร้ความฝัน เหมือนทุกสิ่งถูกกร่อนสีจนซีดจาง กลายเป็นความรู้สึกของอดีต
บางครั้ง เขาเกิดอยากดูหนังที่คนไม่ค่อยนิยมซักเรื่อง จึงเข้าไปในโรงคนเดียวแล้วตั้งใจดูอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เมื่อหนังจบ ก็ออกมาหาอะไรกินคนเดียว เดินผ่านร้านอาหารที่เราเคยมาด้วยกัน มองคนเดินสวนไปมาที่นอกร้าน มองความเร่งรีบที่กำลังกลืนกินฝูงชนฝูงแล้วฝูงเล่าเหมือนหนังที่ฉายอย่างรวดเร็ว

พลัน ก็นึกขึ้นมาได้ ตรงนั้นเอง ร้านนั้นจากตรงนี้ ที่เราเคยมาซื้อของด้วยกัน เต๋าสวมเสื้อตัวที่เขาเลือกให้ เขายังจำได้ติดตา แต่เรื่องราวเหล่านั้นราวกับว่าเกิดขึ้นมานานแสนนานแล้ว ทุกสิ่งหวนคืนกลับมาหาเขา คำที่เต๋าชอบพูด ที่ที่เราชอบไป ทุกหัวมุมที่เราชอบเลี้ยว ท้องฟ้าครึ้มเมฆที่เราเคยมอง กาแฟแบบไหนที่เต๋าชอบสั่ง ทุกอย่างประเดประดังเข้ามาพร้อมความเศร้าสีหม่นที่ป้ายลงบนตัวเขาช้าๆ ในความหวังโง่งั่ง ยังมีเสียงเล็กๆร้องก้องหูอยากให้ทุกอย่างหวนกลับมา

แต่ความจริงที่แสนเศร้าอย่างหนึ่ง บางสิ่งเมื่อได้เริ่มต้นเดินไปข้างหน้า ไม่มีวันที่สิ่งนั้นจะกลับมาเป็นอย่างที่เคยเป็นได้อีก

เหมือนเขามองเห็นสายฝนร่วงหล่นลงในเวิ้งน้ำกว้าง ว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ ไม่มีใครเห็นนอกจากเขา เม็ดฝนจู่โจมพื้นผิวของท้องทะเล และไม่ช้า ฝนก็โปรยลงมาถึงยังที่ที่เขายืนมองอยู่ เปียกปอน ไม่ใช่น้ำฝนหรอก แต่เป็นหยดน้ำตา
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้ถึงความอ่อนไหวสะท้านที่มากมายขนาดนั้น ไหล่เขาเปียกชุ่ม น้ำตาซึมผ่านเนื้อผ้าเข้ามาถึงเนื้อหนัง เต๋าร้องไห้หนักมาก มากแบบที่เขาไม่เคยเห็น และก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะเห็น มันกอดเขาเอาไว้แน่นแล้วเริ่มต้นร้องไห้ กอดแน่นมาก แน่นจนเจ็บ เขายืนนิ่ง แขนที่ปล่อยตกลงข้างตัวก็ยังคงแช่นิ่งอยู่อย่างนั้น ยังคงว่างเปล่าและคิดอะไรไม่ออก
อยากจะบอกมันว่า เลิกร้องเถอะ เขาร้องไห้แทนมันมากมายจนแทบประมานไม่ได้มานานมากแล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรที่มันต้องร้องไห้ซักนิด แต่...ลิ้นก็ชาแข็งพูดคำใดออกไปไม่ได้ เพราะเต๋ายังคงร้องไห้ต่อไปอย่างนั้น เขาได้ยินเสียงสะอื้น ได้ยินเสียงลมหายใจ เสียงหัวใจเต้น เสียงครางสั่นเหมือนสัตว์บาดเจ็บดังลอดออกมาไม่หยุดหย่อน...ยาวนาน...
จากความว่างเปล่า กลายเป็นความกังขา จากความกังขา กลายเป็นความเจ็บปวด เขาเจ็บปวดกับน้ำตาของมันที่รินรดลงบนไหล่ราวน้ำตานั้นผลิตออกมาจากร่างกายและความรู้สึกเดียวกัน
เขาเจ็บ... เขาเจ็บเหมือนจะขาดใจ...

 “กูบอกให้มึงหยุดร้องไง!”
เขาออกแรงทั้งหมดที่ยังมีเหลือ ผลักเต๋าออกจนได้ หลังเต๋ากระแทกเข้ากับผนังเปื้อนฝุ่นอีกครั้ง ใบหน้าขาวจัดที่เลอะเปรอะไปคราบน้ำตาก้มลงแทบชิดอก

เขาอยากออกไปจากตรงนี้ อยากไปจากตรงนี้ เขาอยากไป... อยากไปแล้ว... เป็นเรื่องประหลาด ที่ราวกับอีกฝ่ายรู้ว่าเขากำลังร้องตะโกนสิ่งใดอยู่ในใจ เต๋าเก็บกลืนก้อนสะอื้นลงคอ... ในชั่ววินาทีที่เขาไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี อย่างเดียวในหัวที่มีคือการหันหลังเดินจาก มันก็เอ่ยคำพูดออกมา แหบแห้งและเบาหวิว...

“ได้โปรด... อย่าไป...”



ไม่มีใครสามารถมีความรักไปพร้อมความฉลาด เรายอมโง่เพื่อมันเสมอ ปิดหูปิดตาแม้เพียงซักข้าง เพื่อมันเสมอ ความรักมักบอกให้คอย ความรักมักบอกให้รอ ความรักมักบอกให้มีความหวัง แต่... นอกจากคำว่ารอคอยแล้ว โลกใบนี้ยังมีคำว่า สายเกินไป อยู่ด้วยอีกคำ



เขาเคลื่อนตัวถอยห่างเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมของคำพูดนั้น
 “อย่า... ได้โปรด... อย่าไป...”
ครั้งที่เท่าไรไม่อาจนับ โดยที่ไม่รู้ว่าแท้จริง คำนั้นมีความหมายว่าอะไร เต๋าดูรวดร้าวราวจะพังทลาย... แต่เขาพังทลายลงไปแล้ว...
“ถ้าพูดได้แค่คำนี้ มึงควรจะรู้... ว่ากูไม่อยากฟังอีกแล้ว”
ความเงียบที่น่าชิงชัง อึดอัด แสนเศร้า ความเงียบที่ดังจนแสบแก้วหู ร้องตะโกน บอกว่าไม่มีอะไรเลย ทั้งหมด ไม่มีแต่แรก ความเงียบเป็นทุกคำตอบ เขาเริ่มออกเดิน

แต่... เขาเคยบอกใช่ไหม ว่าเวลาของเขาเหมือนกับว่ามันหมุนเวียนเป็นวงกลม คชานึกรู้ขึ้นมาในใจ ถ้าเขาหันหลังเดินจากไปได้ในตอนนี้ ทุกอย่างจะจบลงอย่างถาวรแม้จะบอกว่านั่นคือสิ่งที่ปรารถนา แต่ขายังเหมือนถูกถ่วงหนัก ก้าวเคลื่อนได้ยากเย็น และเขาก็รู้ว่าเวลาของเราหมุนเวียนเป็นวงกลม

 “เขาเคยถามเต๋าว่า เราจะรักกันจนถึงเมื่อไร... ตอนนั้นเต๋าคิด วันนึงอาจจะมีใครซักคนเข้ามาทำให้ความรักของเราลดลงก็ได้ ก็เลยไม่กล้าตอบอะไรออกไป... และตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้น จนถึงวันนี้ เต๋าคิดมาตลอด... ทำไมคนๆนั้นต้องเป็นคชา...”
“...”
“ทุกอย่างจะง่ายดายแค่ไหนถ้าไม่ใช่ชา...”
“...”
“ทุกครั้งที่เต๋านึกถึงชา จะเห็นภาพ สิ่งที่แทรกขึ้นมา เสมอ และตลอดเวลา... เต๋าก็พยายามปิดกั้นสิ่งที่แทรกขึ้นมาด้วยวิธีต่างๆ พยายามทำให้เรื่องของเราเป็นแค่เสี้ยวความฝันมากกว่าจะเป็นก้อนความจริง... เต๋าย้ำตัวเองตลอดเวลาว่านี่คือความสัมพันธ์ที่ถูกสาป...”
“...”
“วันนี้คชาบอกรักเต๋า... แต่วันหน้า คำนั้นจะเป็นของใคร... ถ้ามันจะไม่ยืดยาว... สู้เปลี่ยนตัวเองกลับไปเป็นอย่างเดิม... กลับไปรักเขาอย่างเดิม เท่าเดิม อาจจะดีกว่า...”

เวลาของเราหมุนเวียนเป็นวงกลม เพราะเราต่างรู้ดี วิธีที่จะยึดรั้งกันและกัน

“ผมถามตัวเองว่า ผมรักคชารึเปล่า เพื่อจะตอบตัวเองว่าเปล่า ไม่รัก... ผมถามตัวเองว่า ผมเคยรักคชาบ้างไหม เพื่อจะตอบตัวเองว่าไม่เคย... ผมถามตัวเองว่า ผมจะรักคชาได้ไหม เพื่อจะตอบว่าไม่ได้...”
“...”
“เพราะผมรักคุณ”

เต๋ามองลึกเข้ามาในดวงตาเขา เท่านั้น ก็เหมือนเขาแทบจะลืมเลือนช่วงเวลายากเย็นที่ผ่านมา

“เต๋าเลิกกับเขารึยัง”
“เลิกแล้ว”
“เต๋ายังนอนกับเขาอยู่ใช่ไหม”
“ใช่...”
 “เต๋ายังรักเขาอยู่ใช่ไหม”
“ใช่...”
 “เต๋าให้แหวนเขาไป?...”
“ผมไม่ได้ให้ เขาเอาไปเอง...”



“รักกันมั้ย”
“รัก...”



“เรารักกันใช่มั้ย”
“รัก...”



เขาหลับตาลง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าความมืดนั้นอ่อนโยน มันบ้าบอมากที่เหมือนเราต่างหลับหูหลับตาดุ่มเดินไป หลงทาง... ยอมหลงทาง ...ดีกว่าไม่รู้จะไปที่ไหน แต่เมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่ายขยับตัว เขาก็ชิงพูดขึ้น

“อย่า...”
“...”
“ขอเวลาหน่อย...”
“...”
 “กูรักมึงนะ...”

เราไม่ได้กอดกัน แม้เขาจะเห็นว่ามันกำมือแน่นจนสั่น และเขาเองก็ไม่ต่าง แต่... เราก็ไม่ได้กอดกัน
และนั่นคือคำพูดสุดท้ายของวันนั้น


BKAFFEE

  • บุคคลทั่วไป
- IN THE DARKNESS -


STORY BY กาแฟ
HOPELESS ROMANTIC







๕. โลกที่ไม่ใช่โลกของเรา



คชาคิดว่าเขาในตอนนี้ ตัวเขาไม่ได้กำลังเติบโตขึ้น
เพียงแต่เขาถูกสภาวการณ์บางอย่างผลักให้ตกลงจากยอดผา ร่วงหล่นลงยังหุบเหวไร้ก้น ไม่สิ เขาคิดว่าเขาหยั่งถึงมันได้ และเขาลงไปถึงจุดที่ต่ำตมตรงนั้นแล้ว เขาเงยหน้า เขายืนขึ้น เขาเห็นแสงวิบวับเรื่อเรืองในดวงตาตนเอง แต่เขาไม่มั่นใจ... นั่นอาจเป็นเพียงภาพหลอน มันอาจยากเกินไปที่เขาจะปีนป่ายกลับคืนขึ้นไปได้ในเวลานี้ ...ไม่ก็อาจไม่มีทางอีกเลย

นั่นทำให้โลกของเขาหมุนกลับด้าน
คชาคือคชา แต่คือคชาที่ไม่เหมือนเดิม

เขาได้ยินเสียงกระซิบ แผ่วเบา แต่ดังก้อง เสียงกระซิบโรแมนติกร้าวรานที่กรีดสายเยียบเย็นและร้อนผ่าวสลับจังหวะ ก้องกังวานวิกาลทอดลึกดำหม่นจนต้องเพ่งมองอยู่ภายในร่างกายตนเอง มันทำให้เขามองทุกสิ่งอย่างในคลองสายตาไปในอีกรูปแบบหนึ่ง ในใจบรรยายความรู้สึกที่มีต่อวัตถุ ใบหน้า สายลม แดดแย้ม เงาไม้ ด้วยคำพูดควบทำนองครวญเยือก
เขาไม่เหมือนเดิมแล้วจริง ๆ



คำว่างานพาเราออกห่างจากกันอีกครั้ง
เต๋าวนอยู่แถวกรุงเทพเพื่อถ่ายละคร ส่วนเขาต้องพึ่งเจ้านกยักษ์บินไปไกลหลายร้อยกิโลเมตรเพื่อร้องเพลง
สายงานที่เริ่มชัดเจน แยกเราจากกันทุกที

ตอนนี้เขาอยู่ที่ทะเลทางใต้ มาทำงานกับต้น ซึ่งนั่นนับว่าดี เพราะมันแทบจะเป็นไม่กี่คนที่เขาเป็นเขาได้เท่าที่อยากเป็น และมันก็เป็นมัน เป็นมันที่เข้าใจ
เรามีเวลาพักจนถึงช่วงค่ำ ตอนนี้ห้าโมง เราจึงนั่งอยู่ด้วยกันในร้านกาแฟร้านหนึ่ง ต้นฟังเพลง กดมือถือยิกตามประสาพวกมีสังคมเยอะ ส่วนเขา กำลังเพ่งมองน้ำในกาน้ำชา มองดูใบชาที่คลายคลี่จากกัน ทั้งที่ทุกอย่างดูปกติ แต่พักเดียวเท่านั้น เอาอีกแล้ว จู่ ๆ เขาก็รู้สึกไม่เหมือนวินาทีก่อนหน้า รู้สึกว่าพื้นที่นั่งยังมั่นคง แต่ตัวเขาเองกลับแตกออกเป็นสอง ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครผิดสังเกต ก็แน่ล่ะ ใครจะคาดคิดว่าเขาจะมีความคิดอะไรแบบนี้ หรือจะรู้สึกอะไรอย่างนี้

ถ้าความคิดถึงมีลมหายใจของตัวมันเอง
ลมหายใจของความคิดถึง ก็คงข่มเหงลมหายใจของเราอยู่เสมอ
เขาคิดถึงเต๋า สรรพสิ่งเชื่อมต่อ ผ่านการสั่นไหวจอมปลอมของแผ่นพื้นใต้ฝ่าเท้า
คิดถึงจนจะเป็นบ้า



“เต๋าเลิกกับแฟนแล้วนะ”
ต้นพูดกับเขาในกลางดึกคืนหนึ่ง ขณะที่กำลังแยกย้ายกันเข้านอน
“แล้วไง”
“ก็มันเลิกกันแล้ว”
และเขายังคงแค่นหัวเราะ
“เลิกจริงหรือสร้างข่าว”
“คชา...”
“ฉันจะนอนแล้วต้น”
“...”
แล้วก็พลิกตัวไปอีกทาง ไม่ตอบคำใดใดอีก

คชากอบกุมมือตัวเองในความมืด มือที่เปลือยเปล่าคู่หนึ่ง มนุษย์ล้วนมีมือที่เปลือยเปล่าคู่หนึ่งเช่นนี้อยู่กับตัว มือที่เปลือยเปล่าซึ่งมีไว้หยิบจับทุกสิ่ง เขียนหนังสือ หรือเหนี่ยวไกปืนในจินตนาการเพื่อสังหารอะไรซักสิ่งหรือใครซักคน ทุกอย่างล้วนกระทำด้วยมือเปลือยเปล่าคู่หนึ่งนี้
หากเขากำลังคิดถึงมือเปลือยเปล่าอีกคู่ที่ขาวจัดแต่อุ่นรื้น มือเปลือยเปล่าที่ไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนของผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้หยาบกระด้าง มือที่หนักแน่นมั่นคง และประสานสอดเข้ากับมือเขาได้อย่างพอดี
มือคู่นั้นลากจูงเขาเดินไป เริ่มต้นอย่างไร้จุดประสงค์ จนมือคู่นั้นกลายเป็นจุดประสงค์ของทุกสิ่งในท้ายที่สุด

และแล้วความมืดก็ชินตาจนกลายเป็นสีเทาขมุกขมัว
เขานอนไม่หลับยาวนานจนมองเห็นรอบกายเป็นเช่นนั้น แสงสลัวเคลื่อนไหวเอื่อยสร้อยจับต้องทุกสิ่งอย่างในห้องที่เขาพักเป็นคืนที่สอง มันซีดหม่นด้วยตัวของมันจนทำให้ทุกอย่างยิ่งหมองหม่นลงไป ราวกับจะบีบ หรืออาจร้องขอ ให้เขาโอบรัดตัวเองให้แน่นขึ้นอีก ในขณะนั้น คชามองเห็นทุกอย่างที่ผ่านมาได้กระจ่างชัด ไม่ลืมเลือนสิ่งใดไปเลยแม้แต่น้อย ความทรงจำจ้าจัดเหมือนแสงแรกของฤดูร้อน แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะบอกเล่าแก่ใครได้นอกจากตัวเอง
เขาอยากลืมเลือน
เหมือนตัวเขาตอนนี้ที่ถูกความมืดมัวโอบรัดครั้งแล้วครั้งเล่า เศร้าสร้อยรีดเร้น คงจะดี ถ้าสิ่งที่ถูดรีดเร้นออกไปคือความทรงจำ... ไม่ใช่ความสุข จนเขาเหลือเพียงซากร่างบรรจุความทุกข์โผเผไปมาอยู่ระหว่างถนนเส้นหนึ่งที่ต่อกับถนนอีกเส้นและตัดไปมากับถนนอีกเส้น อีกเส้น และอีกเส้น... แบบนี้
เขาอยากถูกลืมและอยากลืมเลือน

นานเท่าไรไม่รู้ แสงเช้าค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาในที่สุด เขายังไม่ได้หลับตาแม้แต่น้อย ความมืดที่โอบกอดเขากำลังถอยหาย เขาเห็นผนังห้อง เห็นผ้าปูที่นอน เห็นของทุกอย่างที่ตั้งวางแข็งกระด้าง
และตัวเอง... ที่หายลับไปในดินแดนแสนเศร้างดงามในแมกหมอกแห่งแสงที่ไม่รู้จัก



นานขึ้นอีกนิด เราก็ยังไม่ได้คุยกันซักคำเดียว หน้าที่การงานทำให้เราสองคนสวนกันไปมา เขารู้ว่าเขากำลังหนีปัญหา และอีกฝ่ายที่ดูสงบนิ่งราวอดทนรอคอยตามคำที่เขาบอกไว้ในวันนั้น แต่เขาก็กลับมองออกว่ามันกระสับกระส่ายร้อนรนแค่ไหน
เขายังทนได้เพราะอยากเห็นมันอดทน เขาทนได้เพราะรู้ว่าความอดทนของมันจะสิ้นสุดก่อนเขา ซึ่งนั่นก็ยังไม่ถึงครึ่งเดือนด้วยซ้ำไป

“มีอะไร”
คชาตวัดเสียงถามห้วน เขาถูกคว้าจับข้อมือเอาไว้แน่นหนา เขาเพิ่งเลิกงาน ดึกมากแล้ว เลยเวลาที่บอกหม่าม้าว่าจะกลับมาได้พักใหญ่ และข้างนอกตึกนี้ ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว แฟนคลับยังคงรออยู่ประปราย เขาควรจะรีบกลับ แต่ถ้ากลับตอนนี้เต๋าก็จะเดินตามออกไป
และ... เขาไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น
“มีอะไร”
เขาถามย้ำเข้าไปอีกครั้ง และสะบัดมือออก
เต๋ามองตรงมา เขาเองก็มองกลับ ไม่มีใครหลบสายตาใคร
“คิดถึง”
หัวใจกระตุกสั่น เขาคิดว่าพอจะเดาได้ แต่ก็ยังยากที่จะบอกตัวเองให้นิ่งเฉย
“แล้วยังไง”
เขาถาม นั่นสิ แล้วยังไงล่ะ
“อยากกอด”
“...”
“อยากจูบ”
“...”
“อย...”
“คิดบ้างไหมว่ากำลังพูดอะไรออกมา”
เขาพุ่งเข้าไปปิดปากนั่นเอาไว้ก่อนที่ใครจะมาได้ยิน กระซิบลอดไรฟันแล้วกระชากแขนเต๋าให้ไกลมาจากบริเวณทางเข้าออก
“เป็นบ้าอะไร”
“ฉัน...”
“อย่าทำให้เราต้องมาพังไปด้วยกันนะเต๋า มึงก็กำลังมีอนาคตที่ดี กูก็ด้วย อย่าทำแบบนี้...”
เขาพูดด้วยเสียงกดต่ำ พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ตะโกนใส่หน้าคนที่ทำอะไรไม่รู้เรื่อง อีกฝ่ายทำเพียงก้มหน้า นิ่งงัน ค้างอยู่เช่นนั้นไม่มีคำไหนหลุดจากปาก
“ทีตอนนี้ทำไมไม่พูดล่ะ”
ถามย้ำเข้าไปอีก แต่เต๋าก็ยังเงียบ หม่าม้ารออยู่ พรุ่งนี้เขาก็มีงานต่อ เขาควรจะได้พักผ่อนซักที… พอคิดอย่างนั้น เขาจึงเลิกรอคำพูดใดอีก หันหลังจะเดินกลับออกไป
ตอนนั้นเอง ที่เต๋าก็เปิดปากคายคำพูดออกมาซักที

“ทำไม... เราถึงเป็นเหมือนเดิมไม่ได้...”

เขาคิดว่าเขาอาจจะฟังผิด เขาคิดว่าเขาอาจจะหูฝาดไป เขาหวังให้เป็นอย่างนั้น แต่ไม่... ความจริงคือมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น คำนั้นออกมาจากปากเต๋า เขาได้ยินชัดเจน ชัดซะจนต้องยกยิ้มเยาะหยัน เย้ยหยันสิ่งใดก็ยังไม่รู้ อาจเป็น... ตัวเขาเอง...

“เหมือนเดิมคืออะไรเหรอเต๋า”
เขายิ้ม แน่ใจว่าครั้งนี้ไม่มีหยดน้ำตา
แน่นอนว่า ไม่มีคำตอบ

“แล้วสองปีที่ผ่านมายังไม่พอสำหรับยืนยันคำว่าเหมือนเดิมอีกรึไง!”
เขากำลังโมโห โมโหมาก

“มึงจับกูไว้ไม่ได้ตรงไหน มึงกอดกูเอาไว้ไม่ได้ตรงไหน กูไม่เคยไปไหนเลย ไม่เคยหายไปไหนเลย!”
“ชา...”
“ไม่... ไม่เคยไปไหนได้เลย...”
“ชา... ผม...”
“ทำไมเราถึงไม่เคยเข้าใจกันเลยวะ!”
เขาผลักมันอย่างแรงจนเต๋าเซไปกระแทกผนัง แล้วรีบเดินจนเกือบจะกลายเป็นวิ่งเพื่อออกไปจากที่นี่ เพื่อกลับบ้าน ถึงเวลาที่ต้องพักผ่อนแล้วคชา พักผ่อนแบบที่จะได้นอนหลับสนิท ไม่ต้องฝัน ไม่ต้องจดจำ ไม่ต้องนึกถึง และไม่ต้องร้องไห้
แม้ใจเขาจะร้องไห้เป็นร้อยเป็นพันครั้งไปแล้วก็ตาม



คชาคิดมาเสมอว่า หากความรักคือความสุข ความรู้สึกของเขาสองคน คงไม่ใช่ความรัก
แต่ หากทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความรัก จะมีเหตุผลไหนกันที่ทำให้เราต่างวิ่งวนจนเหนื่อย วิ่งวนจนล้มลุกคลุกคลาน วิ่งไปมาบนขอบแห่งความหมายที่ไร้ความหมายกันได้เท่านี้
เขารักเต๋า และนั่นคือความจริง
บ่อยครั้ง ที่รอยยิ้มของเต๋าทำให้เขาทุกข์ใจ เพราะเขาหวาดกลัวและปวดแปลบ ที่เขาจะต้องเจ็บ โดยที่มันไม่เจ็บเหมือนเขา แต่บ่อยครั้งกว่า ที่เขารับรู้ถึงกลิ่นเค็มเศร้าสร้อย กลิ่นของน้ำตา รสขมปร่าจากความทรมานที่สัมผัสผ่านตัวเต๋า และนั่นไม่เพียงทำให้เขาปวดร้าว แต่ราวโลกนี้จะพังครืนถล่มทลาย เขาปรารถนาเหลือเกิน ให้ความรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ ของความเจ็บยอกทั้งหมดนี้จางหาย ถ้าไม่ได้มา ถ้าไม่มีหนทางไหนหรือโลกใบใดให้เราได้อยู่ด้วยกัน การที่เต๋าจะกลายเป็นเพียงคนหนึ่งซึ่งเขาแค่รู้จัก ไม่มีความหมายใด ไม่เหลือความอาลัยใด นั่นก็เป็นอีกสิ่งที่เขาเฝ้ารอ
อยากจะให้ใครซักคนอยู่ตรงที่ที่หนึ่ง อีกคนอยู่ในที่อีกที่ ไม่ได้เสียอะไรไปและไม่ได้อะไรกลับคืน แค่เพียงสาบสูญไม่เหลือร่องรอย เป็นครั้งแรกที่ยอมจะเผชิญหน้ากับการขาดออกจากโลกของกันและกันอย่างแท้จริง ให้การเดินทางทั้งหมดสิ้นสุดลง
แต่ ไม่มีเลย ไม่มีอะไรจางไป
จากวันแรกจนวันนี้ ทุกอย่างไม่เคยจางหาย ความคิดถึงมหาศาลโหมซัดจนร่างทั้งร่างแทบพลัดพราย เขายังทรมานกับความคิดถึง ไม่มีวันไหนหรือวินาใดที่จะไม่คิดถึง อ้อมกอด รอยจูบ รสชาติของการร่วมรัก เขาคิดถึงจนแทบจะกลายเป็นทุรนทุราย

มีความลับหนึ่งที่ไม่เคยบอกใคร แม้กระทั่งตัวเองก็ยังพยายามกลบมิดฝังไว้ไม่ให้ใจไหวคลอนรับรู้ เพียงเต๋าวิ่งตามเขาก้าวเดียว เพียงวินาทีเดียวเท่านั้นที่สายตาคู่นั้นจะมองสบมา สื่อความหมายให้รู้ว่า เขาเป็นที่รัก คือคนสำคัญ และไม่อยากปล่อยมือ เพียงนิดเดียว นิดเดียวจริง ๆ ที่เขารู้สึก เพียงแค่นั้น ใจเขาไม่อาจก้าวหนีได้อย่างที่ขาของเขากำลังพาร่างกายหนีจากเลย
นี่ก็เช่นกัน

เขาบอกแล้วว่า เวลาของเราสอง หมุนเวียนเป็นวงกลม

ยิ่งเราทำร้ายกันจนสาแก่ใจเท่าไร สายใยมืดมัวแสบร้อนก็ยิ่งพันรัดเราแน่นเท่านั้น ต่อให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะพยายามกระโจนหนี สายสัมพันธ์แสนเศร้านั้นก็จะกระชากเรากลับมา อีกครั้งเช่นกันที่เขาเป็นฝ่ายหนี และหนีไปไม่ได้ไกล ในเมื่ออีกฝ่ายวิ่งตามอย่างน่าสงสาร และเขาก็ไม่อาจตัดเส้นใยที่มองไม่เห็นแต่แสนแข็งแรงนั้นได้

ทะเบียนรถคุ้นเคยวิ่งตามอยู่ข้างหลัง เขาเลือกจอดข้างทางถนนเส้นหนึ่งที่ร้างไร้ผู้คนและแทบไม่มีรถสวนทาง นั่งรออยู่อย่างนั้น หลับตาฟังเพลงในไอพอดรอเวลา
โน้ตเพลงเพลงเดิมถูกเล่นซ้ำไปซ้ำมา เมื่อเล่นไปถึงบางจุด เขาก็กดให้มันวนกลับไปเล่นจุดเดิมซ้ำ ซ้ำไปซ้ำมา เกิดเป็นร่องรอยปริแตกแปลกแยกผลักตัวโน้ตที่จบสิ้นไปแล้วให้กลับมาเล่นซ้ำ สะท้อนก้องเหมือนเป็นเสียงของวันเวลาที่ไม่เคยจางหาย วนซ้ำท่อนเดิมอย่างไม่อาจแก้ไขคลายคืนได้อีกต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2013 15:29:33 โดย BKAFFEE »

BKAFFEE

  • บุคคลทั่วไป
(ต่อ)



ไม่นาน เต๋าก็ตามมา เปิดประตูฝั่งข้างคนขับ เข้ามานั่ง และนิ่งเงียบ ในความเงียบและความมืด ที่มีเพียงแสงสลัวจากไฟรายทาง กลิ่นเค็มแสนเศร้าที่เขาว่าลอยกรุ่น
ใช่ มันคือกลิ่นของน้ำตา น้ำตาเต๋า
ผิวของเต๋าขาวจัดเสียจนความสว่างน้อยนิดก็ยังทำให้มองเห็น
ทว่า นี่อาจเป็นครั้งแรก ที่เขาตระหนักได้ว่า แสงสว่างของเขาหม่นมัวได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ



‘ การพบเจอกันระหว่างเราเรียกได้ว่าเป็นสิ่งไม่คาดฝัน แต่เราก็เจอกันจนได้

ผู้ชายวัยยี่สิบปี ตัวบางกะหร่อง แก้มซูบตอบ มักนั่งเงียบในมุมหนึ่งของบ้าน เป็นผู้ฟังมากกว่าคนเริ่มบทสนทนา หลายคนมองว่าคชาเย็นชาและมีระยะห่างให้ต้องรักษา แต่ผมค้นพบอะไรมากกว่านั้น
ผมพบว่ามีความอบอุ่นและเปราะบางอยู่ภายใต้รูปลักษณ์นั้น บางสิ่งคลับคล้ายเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังเล่นซ่อนหา มีบางสิ่งอยู่ข้างในนั้น ในตัวคชา รอวันที่จะมีคนมาพบ
ในที่สุด คชากลายเป็นจุดเดียวที่ผมจ้องมอง

“เป็นห่วงคชาที่สุด ห่วงที่สุดเลยในเนี้ย ห่วงคชาคนเดียว”
ผมพูดออกไป แล้วเห็นร่องรอยไม่พอใจฉายวาบ เขากำลังโกรธ เพียงแต่ข่มเอาไว้ภายใต้ท่าทีนิ่งเฉย
ผมรู้ และยิ่งรู้สึกสนุก

ผมไล่ตามเขา ตามไปในทุกที่ที่เขาไป ร่วมทำในทุกอย่างที่เขาทำ สร้างความคุ้นเคยทีละน้อย นานวัน ความมึนตึงที่เคลือบอยู่ก็จางไป เขายอมให้ผมเข้าใกล้ได้โดยไร้ระยะห่างใดใดกั้น คชายิ้มมากขึ้น หัวเราะมากขึ้น พูดเก่งขึ้น ตบมุกแกล้งคนนั้นคนนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผมทำสำเร็จ ผมผลักดันหลายอย่างในตัวเขาออกมาจนได้
จากแรกเริ่มที่มีความรำคาญเจืออยู่ มาจนตอนนี้ ทุกอย่างหายไปสิ้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คชามักจะพยายามยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ช่วยบรรเทาใจคนอื่น ให้กำลังใจ “ไม่เป็นไรหรอก” เหมือนรอยยิ้มของคชากำลังพูดแบบนั้น “อดทนอีกนิด” แล้วผมก็อดทนจนทุกสิ่งผ่านไปเรียบร้อยดีได้เสมอ
เมื่อไรก็ตามที่ผมคิดถึงเขา ผมจะคิดถึงรอยยิ้มเขาก่อนเป็นอย่างแรก

เราอายุเท่ากัน ชอบอะไรคล้าย ๆ กันตามประสาผู้ชาย ชอบฟุตบอล ชอบร้องเพลง และมีความฝันเราคุยกันได้ทุกเรื่อง ยิ่งเข้าใกล้กันเท่าไร ผมยิ่งรู้สึกว่าในตัวคชามีทั้งส่วนที่เป็นผู้ใหญ่และส่วนที่ยังเป็นเด็ก และทั้งสองส่วนนี้ยังผสานกันไม่ลงตัว
ความไม่ลงตัวนี้เอง ที่อาจทำให้คชาดูมีช่องว่างในความรู้สึกของคนอื่น
แต่สำหรับผม สิ่งนั้นยิ่งยั่วยุให้ผมเดินเข้าไป

คชามีเสน่ห์ในการดึงดูดผู้คนอย่างประหลาด
ผมเป็นหนึ่งในนั้น เผลอวูบเดียว ก็จมดิ่งลงไปทั้งตัว

ครั้งแรกที่เราจับมือกัน ความรู้สึกถึงมือของคชาที่อยู่กับผมไม่จางหาย
มือนั้นต่างจากมือใครอื่นที่ผมเคยจับ ต่างจากสัมผัสทั้งหมดที่ผมเคยรับรู้ มืออบอุ่น ที่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ผมสับสน ว้าวุ่น และทรมาน จะปฏิบัติต่อความอบอุ่นนั้นยังไง แล้วจะเก็บความอบอุ่นนั้นไว้ที่ไหนดี
ผมชอบมองรอยยิ้มคชา ยิ้มพราวที่ริมฝีปาก ยิ้มที่คล้ายกลุ่มควันบางเบาล่องลออยอย่างเงียบงันขึ้นสู่ฟ้า... ในวันที่ไร้ลม
เมื่อมองจนนานพอ ในหัวก็แทบจะไม่มีความคิดอะไรเหลืออยู่อีก ผมค่อย ๆ รู้สึกได้ว่า ร่างกายร่วงลงในภวังค์ หลุดหล่นจากโลกความจริง ราวพลังสะกดจิต
ผมหลงรักเขา

ความรู้สึกบางอย่างทำให้เราเจ็บปวดเพราะมันดำรงอยู่
เขารักผม
แต่คำว่าแฮปปี้เอนดิ้งอาจจะมีอยู่เพียงในนิทาน
คชาเหมือนคนที่ติดฟิวส์ความสุข ถ้าความสุขพุ่งสูงเอ่อท้น ไฟจะตัด เจ้าตัวหาเรื่องมาทำลายบรรยากาศได้เสมอ แต่เขาจะรู้ว่าเพราะอะไร แต่เขาไม่เคยเข้าใจ พยายามเท่าไร ก็ไม่เข้าใจ
เขาไม่เคยขอให้ผมรัก ไม่เคยฉุดรั้ง ไม่เคยดื้อดึง มาเมื่ออยากเดินเข้ามา ร้องไห้เมื่อเจ็บปวด ทำท่าจะจากไป แต่ก็ไม่ คชาเหมือนลม... ผมบอกเขาหลายต่อหลายครั้ง คชาเหมือนลม กอดแน่นเท่าไร เกาะเกี่ยวเท่าไร ก็เหมือนไม่เคยจับติดมือ

บ่อยครั้งที่คชาอยู่กับความเงียบ ดวงตาจ้องลึกเข้ามา แต่เหมือนเหม่อมองไปยังที่ที่ไกลแสนไกล ห่างไกลจากโลกของผม หรือบางที ก็อาจเป็นผมเองที่อยู่ไกลเหลือเกิน ห่างไกลไปจากโลกของเขา มีระยะทางที่ไม่อาจจินตนาการได้แยกเราออกห่างจากกัน และมีบางอย่างแฝงอยู่ในแววตาคชาเสมอ บางอย่างที่เรียกว่า ความเศร้า

ครั้งแรกที่เราจูบกัน จูบที่เรียกว่าจูบ สัมผัสแนบชิดลึกล้ำ ผมรู้สึกว่าตัวเองหายใจติดขัด ไม่สามารถคิดลำดับเหตุผลใดใดได้อีก เขาต้องการผม ผมต้องการเขา แต่เราต้องหยุดตรงที่ที่เรากำลังก้าวอยู่ เพราะหากเราก้าวไปอีกเพียงขั้นเดียว จะไม่มีอะไรหวนกลับคืนมาได้อีก

ครั้งแรกที่เรากอดกัน กอดแนบแน่นลึกซึ้ง การไปถึงยังจุดที่ไม่สามารถถอยกลับได้อีกต่อไป สิ่งที่ผมปรารถนาแต่เขาบอกว่าไม่ให้ สิ่งที่ผมคิดอย่างงี่เง่าว่าอาจจะพอดึงรั้งเขาเอาไว้ได้บ้าง แต่เขาบอกว่าอยากขอเอาไว้เป็นสิ่งสุดท้ายที่ยังไม่ได้ให้ไป

ผมนอนกอดผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ผมกำลังคิดถึงคนอีกคน
ความรู้สึกผิดติดตามเป็นเงา นาทีที่ร่างเปลือยเปล่าแนบชิดกัน ผมร้องไห้บ่อย ๆ ลำพังในห้องมืด คืนแล้วคืนเล่า พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะเป็นคนดีเพื่อที่จะรู้ว่าตัวเองเป็นไม่ได้ ความรักทำลายความยับยั้งชั่งใจลงจนหมด ความรักกัดกินผม ทำลายผมจนแทบถึงเยื่อกระดูก จนเหมือนผมได้ยินเสียงกร่อนสลายนั้น วินาทีหนึ่ง ผมคิดว่ามันจะเป็นเสียงที่ดังไปอย่างนั้นไม่เลือนหาย

ผมหลับตา... อีกฝ่ายรั้งผมเข้าหา กอดเอาไว้แน่น เหมือนกับว่าถ้าไม่ทำอย่างนั้น ผมจะหายไป
เธอรู้ผมไม่รักเธอแล้ว ผมร่วมรักกับเธอแต่ผมไม่รักเธอแล้ว ผมเยือกเย็นทุกข์เศร้า ผมรักสิ่งอื่น ซึ่งเธอรู้ดีว่าคืออะไร ความรักกัดกินเธอจากข้างในเช่นกัน และผมติดค้างเธอครั้งแล้วครั้งเล่า เธอบอกผมว่าเธออยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีผม ไม่ได้รับความรักจากผม ความรักจอมปลอมน้อยนิดก็ยังดี
กอดเธอ... เวลาสัมผัสที่หัวไหล่ เส้นผม เนื้อตัว ทั้งหมดเป็นของจริง อบอุ่นและอ่อนนุ่ม ใต้ฝ่ามือของผมรับรู้ได้ถึงชีวิตของเธอ ในขณะที่เวลาผมกอดคชา ผมรู้สึกเหมือนร่างนั้นพร้อมจะแตกหักและสูญสลาย
สุดท้ายผมอาจคว้าจับเขาได้แค่เพียงเงา
แต่ผมก็ยังยื่นคว้า
ผมร้อนทุรนอยู่ภายใต้ท่าทีสงบเงียบซึ่งกลายเป็นจักรวาลของการกดข่มความปรารถนา ผมเรียนรู้อย่างช้า ๆ ว่าผมตกหลุมรักคชามากเพียงใด

“ไปแล้วนะ”
คชามักพูดคำนั้น พร้อมรอยยิ้มที่ถอดความไม่ได้

ผมไม่รู้ว่าเขาจะเศร้าที่เราต้องห่างกันอีกแล้วรึเปล่า หรืออาจโล่งอกที่จะได้มีเวลาหยุดคิด ผมไม่รู้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทุกครั้งที่พูดคำนั้น คชาจะกลับมาสู่อ้อมกอดผมอีกไหม ผมไม่อาจลบภาพคชาออกไปจากใจแล้วแทนที่ด้วยภาพของผู้หญิงคนเดิมได้ เหมือนที่ผมไม่อาจบอกได้ว่าคชาคิดอะไรอยู่ ทุกคนก็บอกไม่ได้เช่นกันว่าผมมีอะไรอยู่ในใจ
คชามีกลิ่นที่ผสมปนเประหว่างน้ำตากับความเศร้า
คชาย้ำตลอดเวลาว่าชอบผู้หญิง ชอบคนน่ารัก อยากมีแฟน อยากมีความรัก จะควงแฟนอวดแฟนคลับ อวดเพื่อน ต่าง ๆ นานาที่พูดออกมา เขาบอกว่ารักผม แต่ก็เหมือนแค่รอเวลาที่ความอดทนจะสิ้นสุด หรือบางความรู้สึกจะหมดไป แล้วคชาก็จะจากไป ถ้าเป็นอย่างนั้น สู้ผมกลับมารักเธออย่างที่เคยรักไม่ดีกว่าเหรอ

ผมเปิดดูรูปในโทรศัพท์ ทั้งรู้ของผมกับเขา และรูปของผมกับเธอ
คชากำลังบอกรัก
แต่ไปเถอะ เพราะตัวเขาเองก็อยากไปแล้ว
รักเต๋านะ แต่เราพอแค่นี้เถอะ พอเถอะ
เธอคนนั้นก็กำลังบอกรัก
รักเหมือนอธิษฐานวิงวอนให้ผมรักตอบ
รักฉันสิ แววตาเธอบอกผมอย่างนั้น
ได้โปรดเถอะ รักฉัน แล้วเราจะมีความสุขกัน

คชาเป็นของผม แต่ก็ไม่เคยเป็นของผม
ผมได้ความรัก ได้หัวใจ ผมสัมผัสร่างกายนั้นได้ราวกับร่างกายตัวเอง แต่คชาก็เหมือนกลุ่มก้อนอากาศที่ว่างเปล่าตลอดเวลา ครั้งหนึ่ง ในขณะที่เราสองคนกำลังร่วมรัก ผมรู้สึกได้ถึงหยดน้ำตา คชาร้องไห้อย่างเงียบงัน ไม่ฟูมฟาย ไม่โวยวาย แค่ปล่อยให้น้ำตาไหล ไปพร้อมกับร่างกายที่ถูกผมชำแรกผ่าน ผมยังทำทุกอย่างให้ดำเนินไปตามเดิม ไม่เอ่ยถาม คล้ายไม่เคยนึกสงสัย
คชาอาจจะคิดไปว่า ผมอยากได้เพียงตัวเขา
เปล่า
ไม่ ไม่ใช่ ...ไม่เคยใช่
ผมเพียงอยากให้เขาอยู่ตรงนี้ ในที่ที่ผมไม่ต้องคอยหวาดกลัวอยู่เวลาว่าเขาพร้อมจะจากไป ’



เหมือนคนมีความรักแต่ความรักคือคำสาป จนต้องกดข่มความรักใด ๆ ไว้ภายในร่างอันทุกข์ระทมในทุกโมงยาม บ่อยจนชิน ที่ใบหน้าแย้มยิ้มคือฉากหน้าเศร้าสร้อยซึ่งคลี่คลุมลงทับความขื่นขม
คชาทำให้ตัวเองกลายเป็นน้ำแข็งอย่างเชื่องช้า จนถึงจุดหนึ่ง ก็พบว่าไม่ใช่ตัวเขาหรอกที่ถูกสูบเลือดออกไปจนหมดตัวจนเยือกชาเหมือนก้อนน้ำแข็ง แต่พวกที่มีหัวใจอบอุ่นงดงามพวกนั้นต่างหากที่โกหก การค้นพบเช่นนี้ทำให้ตัวเขายิ่งเลิกโบยตีตัวเองไม่ได้

“เริ่มสิ”
“...”
“อยากพูดอะไรก็พูดสิ”
เขาถาม และต้องการคำตอบ แม้จะรู้ว่าในวินาทีนั้น อีกฝ่ายคงไม่อาจเอ่ยคำใดได้

มันเหมือน พอเรารักใครซักคน เราจะพูดกับเขาไม่ได้อีกต่อไป การสื่อสารของเราจะล้มเหลวในทุกทิศทาง เราแทบไม่อาจพูดสิ่งที่เราต้องการกันออกมาอย่างตรง ๆ ได้อีก เรากลับกระหายต้องการให้อีกฝ่ายจับสังเกตท่าทีเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเรา จับสังเกตจากสิ่งที่เราไม่ได้พูดออกมา มองให้เห็นสิ่งที่อยู่ระหว่างบรรทัดของความเงียบ เรามักจะคิดว่าอีกฝ่ายจะมองเห็น สัมผัสได้จากสิ่งที่เราไม่ได้พูด
เมื่อเรามีความรัก เราแทบจะกลายเป็นคนพิกลพิการที่สื่อสารได้เพียงในรูปแบบเสียงของสัตว์ การพูดทำให้เราแตกสลาย เราสื่อสาร เรียกร้องความต้องการตรง ๆ เอากับเฉพาะคนแปลกหน้า กับคนที่เราไม่แยแส แต่กับคนที่เราห่วงใยใส่ใจ เรากลับกลายเป็นคนพร่องขาด เพราะเราต้องการให้เขาแยแสเรา
การเรียกร้องไม่จบสิ้น ไม่ได้รับการตอบสนอง ทำให้เราทุกคนจมในห้วงทุกข์ การพูดทำให้เราสูญเสียเยื่อใยเปราะบางนั้นไป เราจึงมักเลือกความทุกข์ เลือกที่จะหูหนวกเป็นใบ้และไม่รู้จักภาษามนุษย์ เลือกใช้อาการดื้อดึงและเสียงครวญครางที่ไม่มีความหมายของสัตว์ที่ป่วยไข้... คิดว่าเป็นศักดิ์ศรีของการไม่ได้พูดออกไป
การไม่ได้พูด การพูดไม่ได้ โอบรัดเราราวกับสัญญาทาสที่ไร้ทางต่อสู้ เราสิ้นไร้ความสามารถในการสื่อสาร คามทุกข์ทำให้ทุกข์ทนป่วยไข้ แต่ก็ทำให้เปล่งปลั่ง ความป่วยไข้ทำให้จับไข้ร้าวราน แต่ก็ทำให้เรารู้สึกพิเศษ นี่คือโรคของความรัก... อาการของโรคที่คนมีความรักต่างเป็น
เขาและมันก็ต่างเป็น

เต๋ายังคงไม่พูดอะไร มีเพียงน้ำตารินไหล มากมายจนแทบจะท่วมหัวใจกัน ฉะนั้น เราควรหาวิธีหยุด ก่อนจะทรมานจนตายในทะเลน้ำตา

“รักผมไหม”

เขาใช้สรรพนามที่ห่างเหินกันมานานอีกครั้ง การได้กลับย้อนไปในรอยจำ ทำให้ภาพของอดีตโหมซัดราวน้ำหลาก เจ็บคอ และแสบตา ช่วงเวลาที่แสนดีของเราสองคนมากมายได้ถึงขนาดนั้น? ถามตัวเอง แล้วก็ได้คำตอบ ทำไมจะไม่มากมายเท่านั้น ในเมื่อหากไม่มากมาย ก็คงไม่รักมากมายขนาดนี้

“รักผมไหมเต๋า”

คชารู้สึกว่าเสียงตัวเองสั่นมาก แต่ยังไม่สั่นพร่าเท่าคำตอบอีกคน สั่นจากการกลั้นสะอื้น แผ่วเบา แต่เขาได้ยินชัดเจน ชัดไปทั้งใจ...

“ผมรักคุณ”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่เต๋าพูดคำว่ารัก แต่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่านี่คือความรักจริง ๆ

“คุณรักผมจริง ๆ นะ”
“ผมรักคุณ”
“รักจริง ๆ นะ”
“รัก... ผมรักคุณ...”
“...”
“...ผมรักคุณ”
“…”
“ผมรักคุณ”
“...”
“ผมรัก...”
“...”
“รัก”

คชาประคองแก้มเต๋าไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างยึดเกาะบนไหล่กว้าง โน้มตัวลงไปแตะริมฝีปากที่ข้างแก้ม เรื่อยมาจนริมฝีปาก อีกครั้ง... ที่จูบของเราคละเคล้าด้วยหยดน้ำตา... เขาหลับตา เมื่อเต๋าย้ำริมฝีปากกลับคืน
มืดมิด ภายใต้ดวงตาที่ปิดสนิท มืดมิดและมองไม่เห็นสิ่งใด แต่เหมือนทุกครั้ง เหมือนแรกเริ่ม แม้คล้ายว่าเขากำลังกระโจนลงไปในความกลวงเปล่าและมืดบอดแค่ไหน หรือแม้ว่าตอนนี้ เต๋าจะเป็นเพียงแสงพร่ามัวที่แทบไม่อาจส่องทางให้สิ่งใด แต่เขารู้สึก รู้สึกได้ถึงความมืดที่แสนอ่อนโยน

“ผมรักคุณมากกว่านั้นอีกเต๋า...”

คำตอบรับคืออ้อมกอดที่ทำให้คชายิ่งรู้ว่าความมืดนั้นอ่อนโยนแค่ไหน



IN THE DARKNESS………….
I LONG FOR A HUG, A HUG IN WHICH THE BROKEN GLASS IN ME WILL SCORE YOUR ARMS WITH GAPING WOUNDS.

I NEED YOU IN THE DARKNESS.

BKAFFEE

  • บุคคลทั่วไป
จบแล้ว :) .



ฝากไว้ในอ้อมใจด้วยนะจ๊ะ
กำลังจะรวมเล่มค่ะ (แต่ตอนนี้ติดภารกิจธีสิสอยู่ ฮือๆ)
พูดคุย/ เมนชั่นมาติชม ได้ที่ @BKAFFEE ค่ะ :) .


กาแฟ.

ออฟไลน์ lovenadd

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-11
 :pighaun: :pighaun: :pighaun: :pighaun: :pighaun:   ส่งเรื่องนี้ขึ้นหน้าหนึ่งแทนดีกว่า  เบื่อนักเขียนที่ชอบทิ้งเรื่องที่ตัวเองแต่งอ่ะ บอกตรงๆ

ออฟไลน์ pogpax

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

ออฟไลน์ GMT101

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด