ตอนที่ 38 Clue
หลังจากที่เภสัชกรหนุ่มนอนไม่หลับจนต้องลุกไปตั้งวงสนทนาริมกองไฟกับเพื่อนใหม่ผิวแทนนั้น ทันทีที่เขากลับมาถึงเต็นท์ที่พักของตน ชายหนุ่มก็หลับเป็นตายด้วยความเหนื่อยอ่อนที่บุกป่าฝ่าดงมาทั้งวัน จวบจนเวลารุ่งอรุณของวันใหม่ เฟี๊ยตลุกขึ้นบิดขี้เกียจอย่างเมื่อยล้า เพราะถึงแม้ว่าเบาะรองนอนของเต็นท์สนามของเขาจะนุ่มสักแค่ไหน แต่มันก็สบายสู้เตียงกว้างๆ ของโรงแรมที่เขาคุ้นเคยไม่ได้เลย เขาเหลือบมองนาฬิกาเล็กน้อยก็พบว่าขณะนี้ล่วงเข้าวันใหม่มาเกือบ 8 ชั่วโมงแล้ว และเมื่อเขาแหวกกระโจมเต็นท์ออกไป ชายหนุ่มก็พบว่าปันกำลังนั่งจิบเครื่องดื่มอะไรสักอย่างจากแก้วใบเดิมอยู่ ขณะที่มีเสียงอาบน้ำดังอยู่ไม่ไกล ซึ่งเขาคิดว่าคงจะเป็นชายหนุ่มผิวน้ำผึ้งอีกคนนั่นเอง เพื่อนของเขาทั้งสองคนต่างเก็บการ์ดสำหรับพักแรมของแต่ละคนเรียบร้อยหมดแล้ว
“ไงเฟี๊ยต หลับสบายดีไหมเมื่อคืน” ชายหนุ่มผิวขาวเอ่ยทักทายเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้
“สบายมากเลยปัน ตอนแรกนอนไม่หลับเลย แต่ไปๆ มาๆ กลับหลับปุ๋ยเลย ฮ่าฮ่า” เฟี๊ยตเกือบจะเอ่ยเรื่องที่เขาลุกขึ้นมาคุยกับเพื่อนของคนตรงหน้าเมื่อคืนนี้ แต่ก็ตัดสินใจไม่พูดมันออกไปเสีย ด้วยไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องราวที่สนทนากันเมื่อคืน อันเป็นเรื่องราวที่พาดพิงชายหนุ่มตรงหน้าเต็มๆ
“ดีแล้วเฟี๊ยต หลับสนิทก็ดีแล้ว จะได้มีแรงลุยกันต่อ” เฟี๊ยตรู้สึกว่ารอยยิ้มของปันดูเจื่อนๆ พิกล แต่เขาก็ปัดความรู้สึกนั้นทิ้ง ด้วยคิดว่าตนนั้นคิดไปเองเสียมากกว่า
“ว่าแต่ปันเหอะ ตาเป็นหลินปิงเชียว นอนไม่หลับหรอ ว่าแต่เขาแต่อิเหนาดูท่าจะเป็นเสียเองนะเนี่ย” เฟี๊ยตพูดขึ้นเมื่อสังเกตเค้ารอยอิดโรยจากดวงตาคู่งามนั้นอยู่ไม่น้อย
“เฮ้ย ใต้ตาเราดำขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย อย่าเวอร์น่าเฟี๊ยต ปันแค่นอนไม่หลับนิดเดียวเอง” ปันพูดพลางใช้มือลูบใต้ตาอย่างลืมตัว
“เป็นอะไรถึงนอนไม่หลับหรอปัน มีอะไรเครียดหรืออยากระบายบอกเฟี๊ยตได้นะ เรายินดีรับฟัง” ชายหนุ่มเสนอตัวอย่างจริงใจ
“ขอบคุณมากนะเฟี๊ยต ไว้มีอะไรให้ช่วยแล้วจะบอกนะ” ปันจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เขาก็บรรยายออกมาไม่ถูกเหมือนกัน ก่อนที่เขาจะเอ่ยอะไรออกไป ชายหนุ่มร่างหนาอีกคนก็ออกจากห้องน้ำพอดี เฟี๊ยตจึงเอ่ยขอตัวไปชำระล้างร่างกายเป็นรายถัดไป ทิ้งความสงสัยในเรื่องแววตาของชายผิวขาวไปกับสายน้ำอุ่นที่ไหลผ่านร่างเขาท่ามกลางอ้อมกอดของทิวสนในยามเช้านั้นเอง
อากาศยามเช้าบริเวณแค้มป์ที่พักของพวกเขาจัดได้ว่าเหมาะกับการพักผ่อนมาก เฟี๊ยตรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังมาตากอากาศในเดือนพฤศจิกายนอยู่แถวเขาใหญ่อย่างใดอย่างนั้น หมอกจางๆ ในยามเช้าลอยอ้อยอิ่งอยู่ไกลออกไปเหนือทิวสนใหญ่ที่มองเห็นอยู่ลิบๆ พวกเขาทั้งสามคนจัดการเติมพลังงานลงท้องให้กับตัวเองอย่างง่ายๆ ปันและเฟี๊ยตเลือกใช้การ์ดอาหารธัญพืชที่ทำมาจากข้าวโพดผสมกับนมสดเพื่อรองท้องให้กับตนเองในเช้าวันนี้ ในขณะที่แทนเลือกใช้การ์ดอาหารเช้าสไตล์อเมริกันจานยักษ์สำหรับตนเอง เฟี๊ยตยังจำความรู้สึกตัวเองได้ว่าทันทีที่เห็นแทนเรียกอาหารจานนั้นออกมา แวบแรกเขาหวนคิดไปถึงสเต็กสามย่านที่เขาไปกินบ่อยๆ ตอนสมัยยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยนั้น ขณะที่แวบที่สองเขาแอบพนันกับตัวเองอย่างเชื่อขนมกินได้เลยว่ากระเพาะคนธรรมดาไม่มีทางกินอาหารจานยักษ์นี้หมดด้วยตัวคนเดียวได้เป็นแน่แท้
‘อืมม ไอ้แทนนี่คงจะไม่จัดอยู่ในกลุ่มคนธรรมดาสินะ’
“เอาอย่างไรกันต่อไปดีเรื่องการเดินทางต่อไปของพวกเรา” เฟี๊ยตเอ่ยตั้งประเด็นขึ้น หลังจากที่เห็นว่าทุกคนพักผ่อนตอนเช้ากันมาเต็มอิ่มแล้ว
“เราต้องหาวิหารหรือสิ่งก่อสร้างที่หน้าตาคล้ายต้นสน พวกเราลงความเห็นกันว่ามันน่าจะซ่อนอยู่ในป่าแห่งนี้ เรากับแทนเคยลองบินสำรวจจากบนฟ้าดูแล้ว ไม่พบต้นสนหรืออะไรที่หน้าตาคล้ายต้นสนและมีขนาดใหญ่โดดเด่นออกมาเลย” ชายผิวขาวเอ่ยขึ้น
“พวกเราเลยคิดว่าไอ้วิหารที่ว่าเนี่ย มันน่าจะมีลักษณะเหมือนต้นสนทุกประการเลย รวมถึงขนาดของมันก็น่าจะใกล้เคียงกันจนแทบแยกไม่ออกด้วย” ปันเสริมต่อ
“แล้วตามแผนการเดิม ปันกับแทนตั้งใจจะทำอะไรต่อจากนี้” เขาถาม
“พวกเราตั้งใจจะไปที่บ่อน้ำผุดที่เป็นเหมือนโอเอซิสของป่านี้หนะเฟี๊ยต พวกเราคิดว่ามันอาจจะมีความเกี่ยวโยงกันอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย แต่ก็สารภาพตามตรงนะ มันมาจากการเดาล้วนๆ เมื่อไปถึงแล้ว เราอาจจะเจอหรือไม่เจออะไรเลยก็ได้ พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน” ปันตอบอย่างจนปัญญา
“แต่ไปยังไม่ทันถึง ก็มาจ๊ะเอ๋กับหนูน้อยลิ้นสองแฉกซะก่อน ฮ่าฮ่าฮ่า” แทนขัดขึ้นมาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เสี่ยงตายของตนขึ้นมาได้
“พูดถึงแล้วนึกขึ้นได้ อาการดีขึ้นบ้างหรือยังแทน” เฟี๊ยตถามอย่างติดเป็นนิสัย
“ดีขึ้นเยอะเลยเฟี๊ยต ตื่นเช้ามานะ หายเป็นปลิดทิ้ง เดี๋ยวโชว์ควงกล้ามให้ดูเลย” แทนยิ้มร่าตอบเขามาเป็นเด็กๆ พลางหมุนไหล่ซ้ายไปมาเป็นการพิสูจน์ถึงสมรรถนะของร่างกายที่บาดแผลใดๆ ไม่อาจมาบั่นทอนมันลงได้
“โอ๊ย!” ยังไม่ทันที่ใครจะเอ่ยห้ามให้ชายผิวคล้ำเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ แบบนั้น เจ้าตัวก็ต้องร้องออกมาด้วยเสียงที่ไม่เบานัก ดูเหมือนว่าแผลดังกล่าวจะยังไม่ค่อยหายดีเท่าไหร่
“ไหน ดูซิ๊ แผลปริหรือเปล่าเนี่ย เล่นอะไรไม่เข้าท่าจริงๆ” เฟี๊ยตรีบเดินไปหาแทน พร้อมถลกแขนเสื้อขึ้น เพื่อสำรวจแผลว่ามีอะไรผิดปรกติหรือไม่ เขาก้มหน้าก้มตาดูจนลืมสังเกตชายอีกคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลออกไปนัก ปันได้แต่เฝ้ามองเฟี๊ยตตรวจตราบาดแผล และกำชับให้แทนกินยาให้ตรงเวลาและถูกต้อง สายตาของชายผิวขาวหรี่แคบลงเล็กน้อย ก่อนจะกลบเกลื่อนอย่างแนบสนิทเมื่อเฟี๊ยตสั่งความจนเสร็จ และย้ายกลับมานั่งที่เดิม
“เราจะเอาอย่างไรกันต่อไปดีเฟี๊ยต มีความคิดดีๆ อะไรบ้างเปล่า ปันกับแทนก็จนปัญญา ไม่อย่างนั้นเราคงต้องลองทำตามแผนเดิมก่อน ถ้าไม่ได้เบาะแสอะไรเพิ่มที่แอ่งน้ำนั่น ค่อยว่ากันใหม่อีกที” ปันพูดกลับเข้าเรื่อง
“คงต้องว่าตามนั้นไปก่อน สารภาพตามตรงเฟี๊ยตก็ยังคิดอะไรไม่ออกเหมือนกัน” เขาพูดความจริง
“งั้นมุ่งหน้าตามแผนเดิมนะเฟี๊ยต อ่อ ถ้าเฟี๊ยตคิดอะไรออกระหว่างทางบอกได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ ยังไงก็ร่วมทีมด้วยกันแล้ว” ปันยิ้มให้เขาอย่างเปิดเผย เฟี๊ยตบอกตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่า ปันนี่ช่างเหมาะกับการอยู่หน้ากล้องเสียจริงๆ บางที เขาอาจจะลองแนะนำให้ปันไปสมัครเป็นพรีเซนเตอร์ของเกมนี้ดู เผื่อเขาจะได้มีเพื่อนเป็นคนเด่นคนดังกับเขาบ้าง
“โหยย ไอ้เราก็นึกว่าที่นอนไม่หลับจนต้องลุกออกมานั่งตากน้ำค้างกลางดึกนี่คือนอนคิดแผนการจนฟุ้งซ่านเสียอีก ว๊า ซื้อหวยไม่ถูกเลยเรา ฮ่าฮ่า” แทนเอ่ยหยอกล้อเฟี๊ยตอย่างสนิทสนม ประโยคนั้นทำให้สายตาของเฟี๊ยตต้องหลบจากหนุ่มร่างบางด้วยความรู้สึกผิด ที่เมื่อเช้าเขาเหมือนจงใจจะเอ่ยข้ามความจริงข้อดังกล่าวไปเสีย
“ไร้สาระน่าแทน” ปันตัดบทออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ปัน แล้วปันรู้ได้อย่างไรอ่าว่าวิหารมันเป็นต้นไม้อย่างที่ว่า ข่าวที่ได้มามันมีเนื้อหาประมาณไหนหรอ พอจะบอกที่มาได้หรือเปล่า เผื่อมันจะมีบริบทอื่นที่ช่วยให้คิดอะไรออกได้มากขึ้น” เฟี๊ยตวกกลับเข้าเรื่อง
“ความจริงเบาะแสที่ได้รับมาค่อนข้างเข้าใจยากอยู่สักหน่อย มันเป็นอะไรน๊า ไอ้ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า poem อ่าเฟี๊ยต” ปันพยายามจะหาคำศัพท์มาอธิบายเป็นภาษาไทย แต่ก็ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรดี ด้วยชายหนุ่มเรียนจบมาจากสาขานานาชาติ ทำให้ศัพท์บางคำที่เป็นไทยมากๆ ปันก็จะไม่เข้าใจ ทำให้บางที ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนคำบางคำมันมาติดอยู่ตรงที่ริมฝีปาก แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกเสียที
“กลอนครับ กลอน คุณชาย” แทนแทรกมาแบบเย้าๆ
“เออนั่นแหละๆ ไอ้แทนไปแข่งกินเหล้ากับใครมาก็ไม่รู้ในผับที่เมืองกุมภาพันธ์อ่ะ พอชนะพนันเขาก็ให้เบาะแสมา นานๆ จะทำตัวมีประโยชน์กับเขาบ้าง ปรกติเอาแต่กินๆๆ แป๊บนะ เดี๋ยวหยิบปันให้เฟี๊ยตดู” ปันค่อนขอดกลับ พลางสั่งการเรียกหนังสือเพื่อจะหยิบบทกวีดังกล่าวให้เขาดู
“Data No. 192874 (ข้อมูลหมายเลข 192874) RELEASE” ชายผิวขาวสั่งเรียกการ์ดข้อมูลใบหนึ่ง หลังจากค้นหาในหนังสือไพ่เพียงชั่วอึดใจเดียว
กระดาษใบหนึ่งลอยอยู่เบื้องหน้าพวกเขาทั้งสามคน ลักษณะของมันราวกับลายแทงขุมทรัพย์โบราณที่เขาเคยเห็นในภาพยนตร์ผจญภัยสุดขอบฟ้าฉะนั้น ทันทีที่มันปรากฏกายขึ้น เสียงกร้าวของชายผู้หนึ่งก็เปล่งออกมาจากกระดาษแผ่นนั้น ราวกับว่ามีชายร่างยักษ์ท่าทางข่มขวัญกำลังมาอ่านบทกลอนดังกล่าวให้เขาฟัง
ในเขตดิน แดนสิบสอง ของเมืองใหญ่
มีสถาน ถิ่นหลับใหล ในปริศนา
เป็นที่อยู่ ยังของสิ่ง สูงราคา
รอผู้กล้า พิชิตชัย ไปครอบครอง
ณ ประจิม ริมสีมา พาราทิศ
คงสถิต วิหารหนึ่ง ซึ่งเมืองสอง
แต่แต่งกล ยลแยบ ย้อนครรลอง
หมายปัดป้อง ผู้หมายปอง ของภายใน
ภายนอกเพียง อุปมา ว่าสนเสก
ต่างแต่ไร้ จิตปัจเจก เฉกรุกขัย
ซ่อนตนอยู่ กลางดงเถื่อน เลือนลางไกล
จากพสุธ ศิวิไลซ์ ไกลเขตแดน
ณ ตำแหน่ง ผิดแผกไป ไกลธรรมชาติ
ความผิดพลาด ปกปิดไว้ ให้หวงแหน
วิศิษฏ์สิ่ง สถิตไว้ ในเขตแดน
เสาวภาคย์ดั่ง เมืองแม้น แมนบุรินทร์
ขอกล่าวเตือน ผู้จาบจ้วง คิดล่วงเขต
ข้ามธาเรศ เพราะละโมบ โลภทรัพย์สิน
มรณกาล ที่เจ็บปวด เกินจิตจินต์
จะพรากซึ่ง ชนชีวิน ให้บรรลัย!!!
จากผู้แต่ง : พรุ่งนี้ไปเลี้ยงส่งเพื่อน คงกลับดึกมาก แอบมาแปะไว้ก่อน อิอิ
