ตอนที่ ๓
ทันทีที่รู้แน่ว่าผมไม่ต้องเข้าเวรในวันอาทิตย์ ผมก็รีบโทรไปบอกรักทันที โชคดีที่เขาเองก็ได้วันหยุดในวันเสาร์และวันอาทิตย์ เราจึงนัดเจอกันที่บ้านของเขาในเย็นวันเสาร์หลังจากผมเลิกงาน เพื่อที่จะกินข้าวเย็นฝีมือของเขา ผมตื่นเต้นจนแทบจะรอให้ถึงวันนั้นเร็วๆ ไม่ไหว
เมื่อวันเสาร์มาถึง ผมก็โทรไปบอกเขาว่าจะไปถึงเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม แต่เนื่องจากมีเคสที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นก่อนจะถึงเวลาเลิกงานไม่นาน ผมจึงต้องอยู่เคลียร์ปัญหาให้เสร็จก่อน จึงจะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ ทันทีที่ผมขึ้นรถ ผมก็รีบโทรบอกเขาทันทีว่าผมจะไปช้านิดหน่อย และสุดท้ายมันก็ทำให้ผมไปถึงที่บ้านของเขาช้าไปถึงเกือบหนึ่งชั่วโมง
ผมจอดรถที่หน้าบ้านของเขาและกดออดเรียก เขาเดินออกมาเปิดประตูรับผมพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“รัก พี่ขอโทษที่มาช้า” ผมรีบพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรน่า มาๆ ยินดีต้อนรับครับ”
“จะว่าไป นี่รักตัดผมเหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ช่ายพี่ มันร้อนๆ น่ะ ก็เลยสกินเฮดซะเลย เป็นไงมั่งล่ะ พี่คิดว่าไงครับ ชอบมั้ย”
“เอ่อออ ก็ดีนะ เหมาะกับรักดี” ผมตอบ รู้สึกเขินๆ ชอบกล ที่จริงผมสั้นๆ ก่อนหน้านี้ของเขาก็ทำให้เขาดูดีอยู่แล้วนะ แต่ยิ่งเขาตัดสกินเฮดแบบนี้ ผมว่าเขายิ่งดูน่ารักและเซ็กซี่ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก “ว่าแต่ไปตัดที่ไหนมาล่ะ ร้านแถวนี้รึเปล่า”
“ไม่เลยครับ ตัดเองเมื่อกี้ตอนที่รอพี่นี่แหละ” เขาหัวเราะ “ผมมีบัตตาเลี่ยนน่ะ แต่ก่อนหน้านี้ผมก็ตัดผมเองประจำนะ เพราะเข้าร้านทีมันก็แพงว่ะพี่ บางทีช่างก็ตัดไม่ถูกใจด้วย เลยตัดเองมาหลายปีแล้วแหละครับ ผมมีครบเลยนะ ทั้งกรรไกรซอย กรรไกรธรรมดา บัตตาเลี่ยน”
“โห เก่งนะเนี่ย วันหลังตัดให้พี่มั่งสิ” ผมแซวเขาเล่น
“ได้เลยพี่ ถ้าพี่ไม่กลัวมันแหว่งน่ะนะ ฮ่าาๆ ว่าแต่พี่เก้าเหอะ เป็นไงมั่ง งานวันนี้ เหนื่อยมั้ยพี่”
“นิดหน่อยน่ะครับ แต่พี่ต้องขอโทษอีกครั้งจริงๆ นะรัก พี่ไม่คิดว่ามันจะสายขนาดนี้”
“โห ไม่ต้องคิดมากเลยพี่!” เขาหัวเราะเบาๆ พลางยกแขนขึ้นกอดคอผมพาผมเดินเข้าบ้าน “ผมรู้น่าว่างานของพี่มันเป็นยังไง ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ว่าแต่พี่เองเหอะ ไม่เหนื่อยเหรอ ไม่อยากกลับเข้าบ้านไปพักผ่อน อาบน้ำ รึทำอะไรก่อนเหรอ”
ผมรู้สึกเขินที่ได้สัมผัสร่างกายของเขาอย่างใกล้ชิดแบบนี้จนแทบจะหาคำพูดมาตอบเขาออกไปไม่ถูก “อ... เอ่ออ ก็ไม่เหนื่อยมากหรอกครับ ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่อยากให้รักรอนาน กลัวรักจะหิวด้วย”
“ฮ่าๆๆ พี่เก้านั่นแหละ หิวรึยัง มานั่งพักก่อนครับ ตามสบายนะพี่ เดี๋ยวผมยกน้ำมาให้ รึพี่จะเอาเบียร์” เขาปล่อยตัวของผมออกเมื่อเราเข้าไปถึงในบ้านแล้ว
“น้ำเปล่าก่อนก็ได้ครับ”
“โอเคเลย เดี๋ยวจัดให้” เขาพูดก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว
ผมมองไปรอบๆ บ้าน เขายังไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรือของตบแต่งบ้านมากนัก แต่ทุกอย่างก็ดูเข้าที่เป็นระเบียบเรียบร้อยดีแล้ว นอกจากโซฟาขนาดเล็กที่ผมนั่งอยู่ ก็ยังมีเก้าอี้เอนหลังอีกหนึ่งตัว มีโต๊ะรับแขก ชั้นวางหนังสือ ชั้นวางของ ทีวีขนาดประมาณ 32 นิ้วอยู่อีกเครื่องหนึ่ง และมีชุดสเตอริโอขนาดกลางตั้งอยู่บนพื้น
“ผมยังไม่มีของอะไรมากหรอกครับ” รักพูดขึ้นในขณะที่เดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่น จากนั้นเขาก็ยื่นแก้วน้ำให้ผม “ส่วนมากก็เอามาจากหอเก่าทั้งนั้น ก็มีทีวีนี่แหละครับ ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ แล้วก็พวกตู้ โต๊ะ หรือชั้นต่างๆ พวกนั้นส่วนมากก็ซื้อมาจากอิเกีย ได้ไอ้โต๋เพื่อนผมที่มาช่วยขนของวันนั้นแหละครับ ช่วยขับรถขนให้”
ผมพยักหน้าเบาๆ “แต่พี่ว่าเท่านี้ก็โอเคแล้วนะครับ มีของมากไปก็เกะกะและทำความสะอาดยากเปล่าๆ บ้านพี่เองก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ส่วนมากจะเป็นหนังสือกับกระดาษเท่านั้นแหละ”
“พี่เก้าอยากไปดูในห้องครัวมั้ย เดี๋ยวผมพาเดินดูบ้านหลังน้อยของผมก่อนกินข้าว” เขาหัวเราะ
“ไปสิครับ” ผมลุกออกจากโซฟา
บ้านของรักเป็นบ้านชั้นเดียว มีพื้นที่เล็กกว่าบ้านของผม นอกจากห้องนั่งเล่นแล้ว ถัดมาก็เป็นห้องกินข้าวที่แยกออกมาจากห้องครัว มีห้องนอน ห้องน้ำ และห้องเก็บของ อย่างละห้อง ส่วนภายนอกก็เป็นลานจอดรถและมีระเบียงบ้านที่รักบอกว่าหลังจากนี้เขาจะซื้อโต๊ะและเก้าอี้มาวางเหมือนกับที่ผมทำ เพื่อที่ว่าครั้งหน้าเราจะได้สามารถนั่งกินข้าวหรือดื่มเบียร์ที่หน้าบ้านของเขาได้บ้าง
หลังจากกลับมาที่ห้องรับแขกแล้ว เขาก็นั่งลงข้างๆ ผม เราคุยกันถึงเรื่องงานของพวกเราในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนที่เขาจะชวนผมย้ายไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว เขาเดินเข้าไปในครัวและยกอาหารที่ทำเตรียมไว้ออกมา เขาเคยบอกผมแล้วว่าเขาทำอยู่ที่ร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น อิตาเลี่ยน ไทย ฟิวชั่น และอาหารที่เขาเตรียมเอาไว้ให้ผมก็คือสเต๊กไก่ซอสขิง มีเฟรนช์ฟรายส์เป็นเครื่องเคียง เสิร์ฟพร้อมกับเชฟสลัดและซุปหัวหอมอีกอย่าง ทำเอาผมอึ้งจนแทบไม่กล้ากินเลยทีเดียว
“อ้าว เป็นอะไรอะพี่ กินเลยครับ ไม่ต้องเกรงใจ” เขานั่งลงฝั่งตรงข้ามผม “ไม่รู้จะถูกปากรึเปล่านะครับ เสียดาย ไม่มีไวน์มาเสิร์ฟด้วย”
“เฮ้ย ไม่ต้องหรอกครับ เท่านี้ก็หรูจนพี่ไม่กล้ากินแล้ว” ผมพูดไปตามที่คิดจริงๆ “นี่ใช้เวลาเตรียมนานมั้ยเนี่ย พี่รู้สึกเกรงใจมากเลยครับ”
“ไม่ต้องเกรงใจเลย พี่เก้า ลงมือได้เลยพี่ โดยเฉพาะซุปเนี่ย ต้องกินตอนร้อนๆ นะ ไม่งั้นเดี๋ยวเย็นแล้วชีสมันจะไม่อร่อย”
“ครับๆ งั้นพี่ขอชิมล่ะน่ะ”
“ลุยโลด!” เขายิ้มกว้าง
และก็เป็นอย่างที่ผมคิด รักไม่ใช่แค่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อครัวธรรมดาๆ แต่ฝีมือการทำอาหารของเขานั้นเรียกได้ว่ายอดเยี่ยม ผมจึงเอ่ยชมอาหารของเขาไม่ขาดปาก แม้จนกระทั่งเรากินเสร็จแล้วผมก็ยังไม่หยุดที่จะทำให้เขารู้ว่าผมชอบอาหารและฝีมือของมากเขาขนาดไหน เขาทำให้ผมอยากจะลองไปอุดหนุนร้านที่เขาทำงานอยู่ขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ
“ผมดีใจนะพี่ แต่ถ้าพี่อยากกินอาหารแบบนี้อีกล่ะก็ ไม่ต้องไปถึงที่ร้านหรอก เดินมาบ้านผมก็ได้ เดี๋ยวผมทำให้ แต่แค่เมนูและวัตถุดิบอาจจะไม่ครบเหมือนในร้านแค่นั้นเอง” เขาหัวเราะ
“ถ้าไปกินที่ร้านพี่จะรู้สึกเกรงใจเราน้อยกว่านะ และอีกอย่างคือพี่จะได้ไปช่วยอุดหนุนด้วยไงครับ เผื่อเจ้าของร้านรู้ว่ามีลูกค้าขาประจำมาอุดหนุนเพราะฝีมือของพ่อครัว เค้าจะได้เพิ่มเงินเดือนให้ไง”
“ฮ่าๆๆ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกพี่ เวลาอยู่ร้านผมก็แค่ทำตามสูตรที่เค้ากำหนดไว้น่ะ แต่ที่บ้านเนี่ย ผมจะปรุงเป็นแบบของผมเอง แค่พี่ชอบผมก็ดีใจแล้วครับ”
หลังจากที่เก็บจานไปไว้ในครัวแล้ว พวกเราก็ออกมานั่งคุยและดูทีวีกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ผมเล่าให้เขาฟังเรื่องปัญหาเกี่ยวกับคนไข้และระบบของโรงพยาบาลที่เกิดขึ้นในที่ทำงานก่อนผมจะออกมา รวมทั้งเรื่องการเข้าเวรและการที่บางครั้งผมอาจจะโดนตามตัวด่วนถึงแม้ว่าจะเป็นวันหยุดก็ตาม เขาแสดงความเห็นใจและออกความเห็นว่าผมควรต้องมีเวลาพักผ่อนมากกว่านี้และมีคนช่วยดูแลเขาบ้าง หัวข้อที่กำลังจะเปลี่ยนไปในทิศทางนั้นเริ่มทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเพราะกลัวว่าเขาจะถามเรื่องที่ว่าทำไมผมถึงไม่มีแฟนขึ้นมาอีก แต่สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายเปลี่ยนหัวข้อคุยกลับมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับสายงานของผมแทน ผมจึงพูดเรื่องเกี่ยวกับพวกธุรกิจเสริมความงามที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในตอนนี้ให้เขาฟัง รวมถึงเรื่องของโรคผิวหนังที่พบได้ทั่วไปแต่คนมักไม่ค่อยรู้จักหรือระมัดระวังกันด้วย เขามีท่าทีแสดงความสนใจมากและถามผมใหญ่ว่าเช่นอะไร ผมจึงยกตัวอย่างเช่นไฝหรือขี้แมลงวันที่อาจเป็นเหตุของมะเร็งผิวหนังในภายหลังได้ขึ้นมา
“จริงดิพี่ ผมไม่เคยรู้เลยนะเนี่ย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “แล้วอย่างผมเป็นคนมีไฝเยอะด้วยเนี่ย ต้องทำไงอะ”
ผมมองดูร่างกายของเขา “พี่ไม่เห็นมันจะเยอะเลยนี่ครับ”
“มันไม่ได้อยู่ในที่ที่มองเห็นนี่ พี่เก้า”
คำพูดของเขาทำเอาผมถึงกับอึ้งและรู้สึกเขินขึ้นมาเสียดื้อๆ
เมื่อรักเห็นสีหน้าของผมแล้วเขาก็หัวเราะออกมา “ผมหมายถึงบนหลังน่ะครับ บนหลัง โห พี่คิดอะไรเนี่ย”
“อ๋อ เปล่า ไม่ได้คิดอะไรหรอก” ผมโกหก “ว่าแต่เราเคยไปให้หมอตรวจดูบ้างรึเปล่าล่ะครับ”
“ไม่เคยหรอกครับ ผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นอันตรายไง แต่อย่างตามแขนผมก็มีนะ พี่ดูสิ” เขายื่นแขนซ้ายออกมาให้ผมดู “เนี่ย แค่แขนซ้ายก็สามจุดแล้ว และยังตรงขาอีก”
ผมเหลือบมองดูต้นขาของเขาแล้วก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอ “แล้วทำไมไม่ลองไปให้หมอตรวจดูล่ะ”
“โห ก็อย่างที่บอกอะครับว่าผมไม่เคยรู้ว่ามันจำเป็น และอีกอย่าง ผมไม่มีเงินด้วย พอได้เงินก้อนนึงมาจากย่า ก็เอามาลงที่บ้านหลังนี้เกือบหมด แล้วไหนจะยังค่าเฟอร์นิเจอร์ ค่าซ่อมแซมอื่นๆ อีก ผมเลยต้องบริหารเงินดีๆ หน่อยน่ะครับ”
“ถ้างั้นจะให้พี่ดูให้มั้ยล่ะ ไม่ต้องไปเสียเงินเข้าคลินิกหรือโรงพยาบาล” ผมพูดทั้งๆ ที่ใจเต้นแรง
“จะดีเหรอพี่ มันเป็นอาชีพพี่นะ พี่ควรจะตรวจแล้วได้เงินสิ”
“แค่นี้เอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับ มันก็เหมือนที่เราทำอาหารเลี้ยงพี่นั่นแหละ เอ่ออ... แต่ถ้าเกิดว่ารักลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะ”
เขาไม่ตอบ แต่กลับลุกขึ้นยืนและถอดเสื้อยืดที่ใส่อยู่ออกทันที “จะลำบากใจอะไรล่ะครับ ยังกับพี่ไม่เคยเห็นผมตอนไม่ใส่เสื้องั้นแหละ”
ก็ใช่ แต่ถึงตอนนั้นผมจะเคยเห็นเขาตอนไม่ได้ใส่เสื้อมาแล้ว ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้สัมผัสร่างกายของเขาอย่างใกล้ชิดแบบนี้นี่
เขานั่งลงที่เดิมโดยหันหลังให้กับผม ผมจึงค่อยๆ ตรวจดูไฝแต่ละเม็ดบนแผ่นหลังของเขาอย่างละเอียด ถึงแม้วิชาชีพของผม จะทำให้ผมลืมคิดถึงเรื่องความใกล้ชิดครั้งนี้ของเราไปได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่สุดท้าย ความเป็นผู้ชายโสดที่เหงามานานของผมก็ทำให้ผมรู้สึกเขินจนใจสั่นขึ้นมาจนได้ หลังจากที่ตรวจดูไฝบนแผ่นหลังของเขาเสร็จแล้ว เขาก็หันหน้ามาให้ผมช่วยดูที่แขนและต้นขาต่อ ซึ่งเมื่อผมวางมือลงบนต้นขาของเขา ผมก็ใจเต้นแรงยิ่งกว่าตอนแรกเสียอีก
“เอ่ออ พี่ว่ามันดูไม่มีปัญหาอะไรนะครับ แต่ถึงไงถ้าจะให้แน่นอนและปลอดภัย เราก็ควรจะให้หมอตรวจดูทุกๆ 2-3 เดือนนะ เผื่อมันจะมีอะไรเปลี่ยน โดยเฉพาะถ้าต้องออกแดดบ่อยๆ ยิ่งต้องระวัง ว่าแต่มีไฝตรงอื่นที่ไหนในร่างกายที่เรารู้และอยากจะให้ช่วยดูอีกรึเปล่าครับ”
“ฮ่าๆๆ ผมเคยได้ยินคนมาเล่นมุกอยากเห็นผมแก้ผ้าก็เยอะอยู่นะ พี่เก้า แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีคนบอกว่าอยากให้ผมถอดเสื้อผ้าออกเพราะอยากดูไฝของผมน่ะ สงสัยคงเป็นเพราะผมไม่เคยออกเดทกับหมอผิวหนังมาก่อนล่ะมั้งงง”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้นผมก็ต้องตกใจและเขินจนรู้สึกหน้าร้อนผ่าวไปหมดทันที “เฮ้ย! พี่ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นครับ พี่ไม่ได้พูดเพราะอยากดูเราแก้ผ้าหรืออะไรสักหน่อย คือ พี่ว่าพี่คงติดมาจากตอนตรวจคนไข้ล่ะมั้ง เลยไม่ทันได้คิดว่ามันจะฟังดูแปลกเวลาที่มันอยู่นอกห้องตรวจน่ะ พี่ขอโทษครับ”
“คิดมากน่ะพี่ ผมแค่แซวเล่นเฉยๆ” เขาหัวเราะ “เอางี้ดีกว่า ไหนๆ พี่ก็บอกว่าผมควรจะต้องไปให้หมอผิวหนังตรวจดูไฝพวกนั้นทุกๆ 2-3 เดือนอยู่แล้ว และตอนนี้ผมก็แทบจะแก้ผ้าอยู่แล้วด้วย เพราะงั้นเรามาทำข้อแลกเปลี่ยนตกลงกันดีมั้ย ถ้าเกิดผมให้พี่ตรวจผมแบบหัวจรดเท้า แลกกับผมทำอาหารแบบฟูลคอร์สเลี้ยงพี่เมื่อไหร่ก็ตามที่พี่ต้องการ หรืออย่างน้อยๆ ก็ทุกครั้งที่พี่ตรวจให้ผม แบบนี้โอเคมั้ยล่ะครับ”
“เอ่อออ... รักหมายถึงจะถอดเสื้อผ้าออกหมดตอนนี้และให้พี่ลองตรวจดูไฝที่จุดอื่นตรงนี้เลยน่ะเหรอ” ผมชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าบทสนทนานี้มันกำลังจะพาเราไปในทิศทางไหน
“ก็ใช่น่ะสิครับ พี่เคยบอกเองไม่ใช่เหรอว่าพี่เห็นของคนไข้มาเยอะแยะจนชินหมดแล้วน่ะ”
“มันก็ใช่...”
“อีกอย่าง ผมสารภาพเลยก็ได้...” เขาชะโงกหน้าเข้ามาหาผม “ว่าที่จริงผมก็มีไฝอยู่ที่ไอ้นั่นด้วยแหละ ตั้งสามเม็ดแน่ะ”
จากตอนแรกที่ผมแค่รู้สึกเขินเฉยๆ แต่เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้นแล้วก็กลายเป็นว่าไอ้น้องชายของผมมันเริ่มจะออกอาการขึ้นในทันที
“เอ่อ คือ ถ้ารักโอเค พี่ก็โอเคล่ะครับ เอาไว้พี่นัดเวลาให้เราไปตรวจที่โรงพยาบาลอาทิตย์หน้าหรืออะไรดีมั้ย”
“โห จะเสียเวลาไปถึงโรงพยาบาลทำไมครับ พี่เก้า! ไหนๆ พี่ก็อยู่ที่นี่แล้ว แถมยังเป็นส่วนตัวกว่าตั้งเยอะด้วย ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร เราตรวจกันตอนนี้ก่อนเลยก็ได้” เมื่อพูดจบ รักก็ยืนขึ้นและเริ่มถอดกางเกงขาสั้นที่ใส่อยู่ออก “ไม่ต้องห่วงครับ ก่อนพี่จะมา ผมอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เพราะงั้นหอมฉุยแน่นอน”
ตาของผมจ้องมองที่เป้ากางเกงในสีขาวที่นูนเป็นลำตรงหน้าอย่างไม่กะพริบ “เดี๋ยวนะ รักแน่ใจเหรอว่าให้พี่ตรวจให้จะโอเคจริงๆ เราไม่เขินพี่เหรอ ถ้าเป็นหมอคนอื่นจะโอเคกว่ามั้ย”
“โหพี่ ผมไม่เขินพี่หรอกครับ ตรงกันข้ามเลย ผมไว้ใจพี่ต่างหาก ถ้าเป็นคนอื่นผมคงไม่รู้สึกสบายใจที่จะให้มาดูมาจับไอ้น้องชายผมก็ได้... หรือว่าพี่ไม่สบายใจ ถ้าหากพี่ลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะ”
“เฮ้ย เปล่า พี่จะลำบากใจเรื่องอะไร พี่แค่... คือ... เอ่ออ...” ผมอึกอัก ไม่มีทางที่ผมอยากจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยผ่านไปอย่างเด็ดขาด แต่ในขณะเดียวกัน นิสัยเสียเก่าๆ ของผมก็ทำให้ผมรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก “โอเคครับ งั้นพี่จะดูให้เลยก็แล้วกัน ถอดกางเกงในออกสิ”
เมื่อสิ้นเสียงของผม รักก็จัดการดึงกางเกงในอันเป็นปราการด่านสุดท้ายลงและเตะมันออกไป ไอ้น้องชายของเขาอยู่ในสภาพกึ่งแข็งตัว เมื่อประเมินด้วยสายตาดูแล้วน่าจะมีขนาดไม่ต่ำกว่าห้านิ้วได้ ผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากมันแข็งเต็มที่แล้วจะใหญ่ขนาดไหน
รักบอกให้ผมลองตรวจดูทางด้านหลังก่อนเพราะเขาไม่แน่ใจว่าเขามีไฝที่บั้นท้ายหรือที่หลังต้นขาบ้างหรือเปล่า เมื่อเขาหันหลังให้กับผมแล้ว ผมก็ใช้มือจับแก้มก้นของเขาเพื่อสำรวจหาไฝดูอย่างเบามือ จากนั้นก็ค่อยๆ ไล่ต่ำลงมาถึงที่โคนขา เมื่อไม่พบว่ามีไฝอยู่ที่อื่นนอกจากที่เคยตรวจดูไปเมื่อตอนแรกแล้ว ผมก็บอกเขาให้หันหน้ากลับมาเหมือนเดิม แต่คราวนี้ไอ้น้องชายของเขากลับแข็งขึ้นจนสุด รักยิ้มเขินๆ พร้อมกับพูดขอโทษ ผมจึงบอกเขาไปว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ไม่ต้องเป็นห่วง แต่ผมไม่กล้าบอกให้เขารู้หรอกว่าในตอนนี้เขาไม่ใช่เพียงคนเดียวในห้องที่ไอ้น้องชายกำลังแข็งตัวอยู่แบบนี้
รักช่วยให้ผมสามารถหาไฝเจอได้ง่ายขึ้นด้วยการบอกตำแหน่งว่ามันอยู่ตรงไหน แถมยังช่วยจับไอ้น้องชายของเขาพลิกไปมาให้ผมดูอีกต่างหาก ผมเจอไฝทั้งหมดจำนวนสี่เม็ด บริเวณท่อนลำของเขาสองเม็ด ที่ไข่ของเขาหนึ่งเม็ด และตรงขาหนีบข้างขวาอีกเม็ด ผมตรวจดูไฝทั้งหมดแล้วก็พบว่ามันไม่มีอะไรที่ผิดปกติ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปหาเขา
“ทุกอย่างปกติดีครับ ไม่มีอะไรน่าห่วงนะ”
รักกำลังก้มลงมองดูผมพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย “ปกติแน่เหรอ”
“แน่สิ”
“ทั้งๆ ที่มันแข็งเด่เพราะโดนพี่จับแบบนี้ พี่ก็คิดว่าปกติเหรอ”
ผมหัวเราะเบาๆ อย่างกังวล ไม่กล้าที่จะพูดอะไรตอบกลับไป เพราะกลัวว่าเขาจะแค่กำลังล้อผมเล่นอยู่
“พี่เก้า พี่ว่ามันแปลกมั้ยที่ผมอายุก็เท่านี้แล้วยังรูดหนังหุ้มปลายลงให้สุดไม่ได้เลยน่ะ” เขาพูดพลางกำไอ้น้องชายของตัวเองแล้วรูดขึ้นลงเบาๆ
ผมมองดูภาพตรงหน้าด้วยดวงตาที่เบิกโพลง ไม่คิดว่าเขาจะทำถึงขนาดนี้ “อ... เอ่ออ... ก็ปกตินะครับ ยกเว้นแต่ว่าถ้ามันเจ็บมาก มีปัญหาเวลามีเพศสัมพันธ์หรือเวลาฉี่ ก็อาจจะขริบได้”
“ผมไม่อยากขริบอะพี่ พี่ลองช่วยดูให้ผมหน่อยสิว่ามันปกติรึเปล่า” เขาดึงมือของผมเพื่อไปจับที่ท่อนลำของเขา
ครั้งนี้ผมรีบชักมือออกด้วยความตกใจ แต่เขากลับเกร็งขืนเอาไว้ ในหัวของผมเริ่มคิดย้อนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งเมื่อตอนที่ผมอายุ 12 ผมบังเอิญเปิดประตูห้องเข้าไปเจอพี่ชายของผมซึ่งตอนนั้นอายุ 15 กำลังนอนช่วยตัวเองอยู่บนเตียง ตอนนั้นผมยังไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เขาทำคือสิ่งที่เรียกว่าการช่วยตัวเอง แต่ผมก็พอรู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เขาน่าจะอยากให้ใครเห็นแน่ๆ ผมยืนตัวแข็งด้วยความตกใจ เตรียมพร้อมที่จะโดนเขาด่าหรือไล่ออกจากห้อง แต่ทว่าแทนที่เขาจะทำแบบนั้น พี่สนกลับแค่ลุกออกจากเตียงและรีบเดินมาปิดประตูห้องลงเท่านั้น ผมมองดูร่างกายเปล่าเปลือยและไอ้น้องชายของเขาที่แข็งชี้มาทางผมด้วยความตื่นเต้น มันคือครั้งแรกที่ผมเคยเห็นของคนอื่นนอกจากของตัวเอง แถมยังเป็นของพี่ชายแท้ๆ ของผมที่ผมชื่นชมนับถือมาตลอดอีกต่างหาก
พี่สนเดินเข้ามาหาผมอย่างภาคภูมิใจในอาวุธของตน สำหรับผมในตอนนั้นมันดูใหญ่มาก และในตอนที่ผมยังมัวแต่ตกใจอยู่นั้น เขาก็คว้ามือของผมไปจับเข้าที่น้องชายของเขา ผมยังจำได้ถึงทุกวันนี้ว่าทันทีที่ฝ่ามือของผมสัมผัสโดนมันเข้า มันก็กระตุกเบาๆ ทันที แต่แน่นอนว่าด้วยความตกใจกลัว ผมจึงรีบชักมือออกและวิ่งหนีไปหลบอยู่นอกบ้านจนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น
หลังจากนั้นผมก็ไม่กล้าอยู่ตามลำพังกับพี่สนหรือแม้แต่มองหน้าเขาอีกเลยเป็นเวลาเกือบเดือน เราไม่เคยคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นอีก นอกจากนั้น ผมก็ยังไม่เคยได้ทำความเข้าใจถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองด้วยเหมือนกัน ซึ่งนั่นคงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมไม่กล้าสำรวจหรือยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็นจนกระทั่งมาถึงช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ผมกลัวและสับสนอยู่นานนับ 10 ปี มันคือความทรงจำเลวร้ายที่ผมไม่มีวันลืม แต่ถึงอย่างนั้น หลายๆ ครั้งเวลาที่ผมช่วยตัวเอง ผมก็มักจะนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เห็นและได้สัมผัสในตอนนั้นแล้วนึกสงสัยกับตัวเองว่า ‘ถ้าหากตอนนั้นเรา...’
ผมอดคิดแบบนั้นไม่ได้จริงๆ
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหน้ารักอีกครั้ง แต่คราวนี้ดวงตาและสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปแล้ว
“ลองจับดูก่อนสิ พี่เก้า ลองรูดมันดู...” เขาพูดเบาๆ และในตอนนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นน้ำหล่อลื่นหยดใสๆ ไหลออกมาจากไอ้น้องชายตัวเขื่องของเขาหยดหนึ่ง เขาใช้นิ้วชี้อีกข้างปาดมันออกพร้อมกับซี้ดปากเบาๆ “ดูดิ พี่ ผมน้ำจะเยิ้มอยู่แล้วเนี่ย อย่าบอกนะว่าพี่เองก็ไม่รู้สึกอะไรเลยน่ะ”
ผมรู้สึกว่าใจของผมมันเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกอกอยู่แล้ว แถมยังรู้สึกทั้งเขินและกลัวจนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี อีกใจผมก็อยากจะคว้าไอ้น้องชายของเขาแล้วจับมันเข้าปากทันที แต่อีกใจก็รู้สึกกลัวจนอยากจะวิ่งหนีกลับบ้านไปเสียให้ได้ ผมไม่สามารถที่จะทำแบบนั้นลงไปโดยไม่คิดถึงผลที่อาจจะตามมาก่อนได้
“เอาน่า พี่เก้า... อยากทำอะไรก็ทำเลยครับ...” เขาวางมือลงบนหัวไหล่ของผมแล้วลูบเบาๆ
ผมค่อยๆ เลื่อนมือข้างที่เขาจับเอาไว้ไปข้างหน้าเล็กน้อย เขาจึงยอมปล่อยมือของผมออก แต่ก่อนที่ผมจะทันได้สัมผัสไอ้น้องชายของเขา ผมก็รีบผุดตัวลุกขึ้นยืนและล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง แสร้งทำเป็นว่ามีข้อความด่วนเข้ามา
“ขอโทษทีนะรัก พี่มีเคสด่วนเข้ามาน่ะ พี่คงต้องรีบกลับไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ แล้วเอาไว้เดี๋ยวพี่โทรหานะครับ”
รักผงะไปด้วยความตกใจและมองหน้าผมงงๆ ส่วนผมก็รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากบ้านไปโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมองเขาที่ยังคงยืนอยู่ตรงโซฟาอีกเลย ผมรีบขับรถออกไปพร้อมกับความรู้สึกผิด กลัว ตื่นเต้น และสับสน ปนเปกันไปหมด ไอ้น้องชายที่แข็งอยู่ใต้กางเกงมาเป็นเวลานานแล้วก็ปวดตุบๆ จนผมรู้สึกทรมาน ภาพร่างกายที่เปลือยเปล่าและสีหน้ากับน้ำเสียงของเขาเมื่อครู่ ทำให้ผมตื่นเต้นจนแทบจะเป็นลม ผมตัดสินใจขับรถกลับไปที่โรงพยาบาลและจัดการช่วยตัวเองไปหนึ่งครั้ง จากนั้นก็นอนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงหัวค่ำ ผมรู้ตัวว่าผมไม่ควรจะทำอย่างนั้น ผมอาจจะทำให้รักไม่พอใจ ทั้งที่เขาเองก็เปิดโอกาสให้ผมขนาดนี้แล้ว แต่ผมกลับเป็นฝ่ายวิ่งหนีเขาออกมา ผมรู้สึกชอบเขามากจริงๆ แต่เพราะการที่อยู่คนเดียวมาตลอด 27 ปี แล้วจู่ๆ ก็มาเจอเรื่องแบบนี้ มันทำให้ผมเสียศูนย์และตั้งหลักไม่ทัน ผมต้องการเวลาให้กับตัวเองอีกสักนิด ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าผมต้องการมันไปสำหรับเรื่องอะไรก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่สุดคือหลังจากนี้ผมจะยังสามารถสู้หน้าเขาได้อีกหรือเปล่า เราสองคนจะไม่พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีก ค่อยๆ ห่างกันไป จนไม่สนิทสนมกันเหมือนเดิมแบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นผมกับพี่สนมั้ย
ผมว่าผมคงต้องรีบโทรไปขอโทษเขาให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วล่ะ เพราะไม่อย่างนั้นผมอาจจะเสียเขาไปก็ได้ และถ้าเป็นแบบนั้น ผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย
“มึงคิดว่าเค้าจะยังรับสายรึอยากคุยกับมึงอยู่อีกเหรอวะ ไอ้เก้าเอ๊ย!” ผมพูดกับตัวเองพลางยกหมอนขึ้นปิดหน้า “แม่งงงง!!”