บทที่ 13 “อะไรนะ?”
ผู้ชายตัวเล็ก เจ้าของผมย้อมสีน้ำตาล ขยับแว่นบนหน้าตัวเองเล็กน้อย ความรู้สึกไม่ดีตรงเข้ากระแทกอกทันทีที่ได้ยินคำบอกเล่าจากนักเรียนกลุ่มหนึ่ง เมื่อวานไม่มีใครในกลุ่มกีรติได้พบกับพะภู ทุกคนเข้าใจว่าเขาไม่ได้มา แต่ความจริงคือเขามาแล้ว...
“หมอนั่นขึ้นรถไปกับธร”
“ไปอย่างว่าง่ายเลยหรอ?”
“มองไกลๆก็ไม่ค่อยรู้หรอก แต่ดูท่าทางสนิทกันระดับหนึ่งนะ”
“อ..อืม ขอบใจมาก”
แบบนี้ไม่ดีแล้ว ทั้งที่ถูกเตือนซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอย่าไปยุ่งกับผู้ชายอย่างธร แต่เด็กธารวิทยาจอมตื้อคนนั้นท่าทางจะไม่คิดเชื่อกันเลย ทั้งที่รู้อยู่ว่าติจะต้องโกรธ แต่ก็ยังทำแบบนั้น แถมวันนี้ยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็นจริงๆซะอีก ชักจะไม่เข้าใจกันไปใหญ่แล้ว
ส่วนติเองก็ทำตัวน่ามึนงงไม่แพ้กัน ตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ ที่พาตัวพะภูไปบ้านเกต์ เขาก็มีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ออกคำสั่งเด็ดขาดกับทุกคนในกลุ่มให้กันพะภูออกไปจากรั้ววิไลวิทย์ บอกว่าไม่ต้องการเห็นหน้าอีก ทั้งที่ความจริงออกจะสนใจหมอนั่นมากกว่าใครด้วยซ้ำ
อ่า แล้วเรื่องนี้ควรจะรายงานยังไงดีล่ะเนี่ย...
“นิว!”
“เหวออ”
เสียงร้องโผงผางอันแสนคุ้นเคยดังขึ้น ระหว่างกำลังพาตัวเองขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ร่างทั้งร่างถูกมือใหญ่ของใครอีกคนผลักเข้าติดผนังอย่างง่ายดาย ผู้ชายตัวสูงเหยียดยิ้มช้าๆ ก่อนจะดึงเนคไทสีเลือดหมูของคนตัวเล็กลงต่ำ พลางทาบริมฝีปากอุ่นลงไปกับคอขาวๆ ผมชี้สั้นสีดำสนิททิ่มอยู่ใต้คางจนน่ารำคาญ การทักทายแบบฉบับของเขาสองคนเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนทุกที
“อ๊ะ..พ...”
เจ้าของเสียงเรียกเมื่อครู่ค่อยๆผละตัวออกมา เมื่อเห็นท่าทางไม่สบอารมณ์ของคนตรงหน้าก็ยิ่งพอใจ คนตัวใหญ่ไม่รอช้า รีบขยับตัวเข้าหาอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับถูกนิวรั้งไว้ด้วยแขนสองข้าง ดวงตากลมหลังเลนส์แว่นส่อแววโมโหเต็มที
“พอเถอะครับ เดี๋ยวใครมาเห็น”
“ไม่มีใครนี่ ทุกคนประชุมอยู่นะ”
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ครับ!” คิ้วสองข้างขมวดมุ่นด้วยความไม่พอใจ มือเล็กยกขึ้นจัดเนคไทให้กลับเข้าที่เข้าทาง พลางตั้งท่าจะออกเดินอีกครั้ง
“งั้นคืนนี้ขอไปบ้านนาย..”
“พี่ศิลป์!”
รีบหันกลับไปโวยใส่หน้าคนโตกว่า หูสองข้างเริ่มแดงเรื่อขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ความเหนื่อยใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ของเขา เห็นจะเป็นผู้ชายคนนี้นี่แหละ!
“ฉันล้อเล่น แล้วนี่นายกำลังจะไปรายงานเรื่องพะภูเหรอ?” ศิลป์พยายามเปลี่ยนเรื่อง รองเท้าขัดมันสีดำเงาหยุดลงข้างๆ น้ำเสียงเริ่มส่อเค้าจริงจังขึ้นมา
“ครับ”
“ถ้าจะบอกเรื่องที่หมอนั่นออกไปกับไอ้ธร ฉันว่าอย่าเพิ่งดีกว่า”
“พี่ศิลป์รู้?!”
“อ่า ฉันได้ยินจากพวกเด็กม.ต้...” คนตัวเล็กหรี่ตามองศิลป์อย่างจับผิด อีกฝ่ายได้แต่เสมองไปทางอื่น สีหน้าส่อเค้ากระอักกระอ่วนจนเห็นได้ชัด
“พี่ศิลป์ไปยุ่งอะไรกับน้องม.ต้นไม่ทราบครับ?”
“เปล่า แค่เดินผ่าน”
“พี่ศิลป์!” นิวกระชากเสียงให้ดังขึ้น มือเล็กตรงเข้ากุมข้อมือของคนตรงหน้าไว้แน่น
“ก็นายผิดเองนี่! ไปตัดผมมาใหม่ ก็มีแต่คนเข้าหา แล้วฉันสมควรจะหึงไหม!?”
ศิลป์เริ่มมีท่าทีโมโห สายตาที่เคยหลบหลีก ตอนนี้กลับจ้องเขม็งเข้าไปในตาของคนเด็กกว่า ความรู้สึกโกรธแผ่ขยายไปทั่วจนสัมผัสได้ นิวที่เห็นศิลป์เป็นแบบนี้ก็ยิ่งไม่พอใจ ยืดอกขึ้นท้าทายคนตัวใหญ่อย่างไม่เกรงกลัว
“แต่พี่ก็ไม่สมควรไปหาเรื่องคนอื่น!”
“ถ้าไม่อยากให้ฉันไปหาเรื่องคนอื่น งั้นนายก็เลิกยุ่งกับพวกมันสิ!!”
พลั่ก
พยายามผลักคนตัวใหญ่ออกห่างด้วยเรี่ยวแรงเท่าที่มี ศิลป์เพียงแค่เซไปด้านหลังก้าวเดียว ปากอ้าค้างด้วยความตกใจ คำถามคำโตถูกส่งออกไปผ่านทางสายตาดุดัน แต่เมื่อเห็นสีหน้าอดกลั้นของนิวกลับเท่าเอาเขาชะงัก เด็กม.4 กำหมัดทั้งสองข้างไว้แน่น คำพูดที่แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดถูกตะโกนออกไปอย่างลืมระวัง
“งั้นพี่ก็เลิกยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นก่อนสิ!!”
“นิว...”
ตึก ตึก ตึก..
ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ก็ต้องรีบหุบปากลง เมื่อเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่กำลังตรงลงมาจากทางบันได ไม่นานนักก็ปรากฏร่างของนักเรียนภายในกลุ่มกีรติที่กำลังแบกกระเป๋ากลับบ้าน หน้าตาท่าทางแต่ละคนดูเซ็งไม่เบา พวกรุ่นน้องส่วนใหญ่หันมาก้มหัวให้ศิลป์ซึ่งเอาแต่ยืนแข็งทื่อ ไม่มั่นใจว่ามีใครได้ยินพวกเขาสองคนคุยกันหรือเปล่า ส่วนเด็กตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้วยกันจนถึงเมื่อครู่ ตอนนี้กลับจรลีหนีหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
“ไปไหนมา ไม่เข้าประชุมวะ?” เสียงเกต์ดังขึ้นก่อนตัว มีติเดินตามหลังมาเงียบๆ
“เออ โทษที แล้ววันนี้มีอะไรสำคัญหรอ?”
“ก็..ไม่อะ วันนี้ไอ้ติอารมณ์ไม่ดีอีกแล้วว่ะ”
“เรื่องไรวะ?”
ศิลป์ทำเป็นตั้งคำถาม ทั้งที่พอจะรู้คำตอบของมันอยู่แล้ว เจ้าของผมสีทองพาดแขนหนักๆลงกับไหล่กว้างของเขา ก่อนจะดึงตัวเข้าไปไกล พลางกระซิบเสียงเบา
“หงุดหงิดที่พะภูไม่มาไง”
“อ่า..”
“มึงว่าพะภูเขาจะถอดใจไปแล้วยังวะ?”
“กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่ถ้าเป็นกูนะ กูเลิกยุ่งกับไอ้ห่านี่ไปนานละ”
ศิลป์พูดดังขึ้น จงใจให้ติได้ยิน แต่เพื่อนคนนี้ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ นอกจากตีสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนเดิม เขาล่ะแสนหน่ายใจกับหัวหน้ากลุ่มที่ดีทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องความรัก! เห็นเจ็บมานักต่อนักแล้ว ไอ้พวกปากไปทางหัวใจไปทางเนี่ย แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็พอเข้าใจอยู่ว่ามันคงยากสำหรับติที่จะยอมรับ ในเมื่อความเป็น ‘กีรติ อัครโภคิน’ มันค้ำหัวอยู่ตลอดแบบนี้
ไม่ว่าใครก็คงนึกภาพไม่ออกเหมือนกัน ว่าคุณชายอันธพาลที่หนึ่งของโรงเรียน เวลาตกหลุมรักเด็กผู้ชายแล้วจะเป็นยังไง...แน่นอนว่าเขาเองก็อาจคัดค้านเรื่องนั้น ถ้าเป็นก่อนหน้าที่จะมาเจอกับนิวน่ะนะ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเพศ ไม่ใช่ตัวกำหนดคำว่ารัก และหวังเป็นอย่างมากให้เพื่อนสนิทคนนี้ได้เข้าใจในไม่ช้าเช่นกัน
“แต่อาทิตย์หน้าก็จะสอบแล้ว ถ้าปิดเทอมไปทั้งที่เป็นแบบนี้ กูว่าพะภูหลุดชัวร์”
เกต์เองก็เริ่มที่จะไม่ส่งเสียงกระซิบกระซาบอีกต่อไป แล้วคราวนี้ก็ได้ผลกว่าที่คิด ระยะการก้าวขาของติเร่งขึ้นจนเริ่มทิ้งระยะห่างจากอีกสองคนด้านหลัง คนนำหน้าล้วงเอาหูฟังในกระเป๋าขึ้นมาต่อกับโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะเปิดเสียงเพลงดังระดับทำลายโสตประสาทได้เลยทีเดียว
“เออ แล้วกูจะรอสมน้ำหน้าแม่งเอง”
พะภูไม่มาปรากฏตัวที่วิไลวิทย์อีกเลยจนถึงช่วงเวลาแห่งการสอบวันสุดท้าย นักเรียนหลายคนรู้สึกได้ถึงความหงุดหงิดที่แผ่ออกมาจากตัวของติในระดับที่ไม่ธรรมดา แม้ว่าบรรยากาศการสอบของโรงเรียนนักเลงแห่งนี้จะไม่ได้กดดันเท่าโรงเรียนพันธมิตรใกล้ๆ แต่ว่าออร่าน่ากลัวจากหัวหน้าอันธพาลกลุ่มใหญ่ก็ทำเอาทั่วโรงเรียนเกิดความตึงเครียดขึ้นมาได้อย่างไม่ทราบสาเหตุ
ยิ่งเวลาที่กลุ่มของติกับกลุ่มของธรต้องโคจรมาเจอกันภายในรั้วสีดำสนิท ทุกอย่างรอบตัวนักเรียนคนอื่นๆก็ยิ่งดูไม่ปลอดภัย แม้ว่าจะเป็นที่กล่าวขานกันดีว่าสองกลุ่มนี้ไม่ถูกกันจนถึงขั้นเกลียดเข้ากระดูก แต่พักหลังมานี้ ความรู้สึกชวนคลื่นไส้มันยิ่งปะทุรุนแรงจนน่าผวา มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่น่าสงสัยระหว่างเด็กธารวิทยาจอมตื้อกับสองขั้วอำนาจใหญ่แห่งวิไลวิทย์ ว่ากันว่านั่นคือสาเหตุที่ทำให้ติกับธรเหม็นขี้หน้ากันยิ่งกว่าเดิม
ในสายตาของนักเรียนส่วนใหญ่ซึ่งหมายถึงคนกลาง ผู้รับรู้เหตุการณ์ทุกด้านมาโดยตลอด ถือว่าเป็นโชคดีอย่างเหลือล้นที่ทั้งสองคนไม่ค่อยเปิดปากเสวนากันมากมายนัก เพราะทุกครั้งที่มีคำพูดหลุดออกมาจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง นั่นมักจะเป็นบ่อเกิดแห่งสงครามขนาดหย่อมแทบทุกครั้งไป คราวนี้ก็เช่นกัน มีเพียงสายตาเยาะเย้ยจากธรที่จงใจส่งมาให้ติเท่านั้น แม้ไม่มีคำพูดใดๆ แต่ก็น่าโมโหไม่ใช่น้อย..
“มันจะยิ้มทำหอกอะไรวะ!?” คนนำขบวนพูดลอดไรฟันออกมา จนเพื่อนทั้งสองคนซึ่งเดินขนาบข้างมาด้วย ต้องรีบตรงเข้าตบบ่าเป็นเชิงให้ใจเย็น
“ช่างแม่งเหอะ เหลือสอบอีกวิชาเดียวก็ไม่ต้องทนเห็นหน้ามันแล้วเว้ย”
“เออ จะว่าไป.. พวกม.4 สอบเสร็จแล้วสินะ?” เกต์พยายามเปลี่ยนเรื่องไปทางนิวที่ยังคงทำหน้าเหรอหรา จับทางไม่ทัน คนตัวเล็กเอ๋อไปสองสามวิ ก่อนจะขยับแว่นให้เข้าทางและพูดเสียงดัง
“ครับ! สอบแค่ช่วงเช้า เสร็จไปแล้ว”
“แล้วจะกลับเลยเหรอ?”
“ผมต้องไปไปรษณีย์อะครับ”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ทุกคนในกลุ่มเริ่มหันมองหน้ากันเลิ่กลั่กทันทีที่ติหยุดฝีเท้าลงเสียเฉยๆ เพราะรู้ดีว่าไปรษณีย์ที่ใกล้ที่สุด ตั้งอยู่ข้างกับโรงเรียนธารวิทยา.. โรงเรียนของพะภู โจทก์คนสำคัญของกีรติในคราวนี้
“เอ่อ ถ้าเสร็จแล้วก็กลับมาประชุมตอนเย็นด้วยล่ะ” เกต์รีบพูดขึ้นมาเพื่อทำลายบรรยากาศมาคุ เขาหันไปรอบๆกลุ่มเพื่อบอกผ่านข้อความเดียวกันนี้ไปถึงนักเรียนม.4ทุกคน
ติออกเดินอีกครั้ง พยายามไม่คิดอะไรนอกจากข้อสอบวิชาสุดท้ายของวัน ก็แค่เรื่องที่เด็กในกลุ่มจะแวะไปไปรษณีย์ ที่ตั้งอยู่ติดกับธารวิทยา ไม่ได้มีความสำคัญอะไรสักหน่อย ไม่ว่าจะไปที่ไหน หรือแม้แต่จะไปหาพะภูคนนั้น มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย หลายวันมานี้ที่ไม่ได้เห็นหน้าหมอนั่น มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรสักหน่อย...ใช่ ไม่รู้สึกอะไรเลย..
การสอบช่วงบ่ายเริ่มขึ้นในไม่กี่นาทีต่อมา เสียงติวหนังสือของเพื่อนในห้องก่อนหมดเวลาพัก ไม่ได้เข้าสมองของติแม้แต่น้อย ข้อสอบวิชาภาษาไทยตรงหน้าถูกกามั่วไปแทบจะหมดชุด ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลยจนหมดเวลา ทั้งที่บอกกับตัวเองไว้ซะดิบดี แต่สุดท้ายก็มีเพียงแค่ใบหน้าของเด็กคนนั้นที่ลอยเข้ามาในหัวตลอด
หลังจากนี้ไปคือช่วงเวลาของการปิดเทอมหนึ่งเดือนครึ่ง มันจะเป็นอย่างที่เกต์ว่าจริงๆใช่ไหม.. ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ พะภูก็จะหลุดลอยหายไปจากเขาจริงๆ เด็กที่เคยนึกรำคาญ ในวันนี้กลับกลายเป็นอะไรไปแล้ว.. ทำไมต้องเข้ามาวนเวียนจนทำเอาปวดหัวใจแบบนี้
บ้าชะมัด...
“นักเรียน”
เสียงดุๆของอาจารย์คุมสอบดังขึ้นเรียกสติ คนตัวใหญ่หันมองหน้าหงุดหงิดของเธอครู่หนึ่งเหมือนไม่เข้าใจ จนอาจารย์ต้องเป็นฝ่ายเข้ามาดึงข้อสอบบนโต๊ะไปเสียเอง เสียงกริ่งหมดเวลาดังออกจากลำโพงทุกตัวภายในรั้วโรงเรียน ท่ามกลางเสียงร้องโหวกเหวกของนักเรียนหลายร้อย เกต์กับศิลป์เดินเข้ามาแตะไหล่ติเบาๆ เป็นสัญญาณให้เก็บของออกจากห้อง ไม่นานนัก ทุกคนในกลุ่มกีรติก็มารวมกัน ณ ห้องสามชั้นสอง อาคารเรียนหลังแรกเช่นทุกวัน
ศิลป์กับเกต์เป็นคนออกหน้า สรุปทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดหนึ่งเทอมที่ผ่านมา ปล่อยให้คนเป็นหัวหน้านั่งง่อยอยู่บนเก้าอี้อาจารย์ เกต์เป็นคนกล่าวเตือนไม่ให้ไปมีเรื่องกับใครระหว่างช่วงหยุดยาว ส่วนศิลป์รับหน้าที่แนะนำเกี่ยวกับการทำงานพิเศษ ทุกคนนั่งฟังอย่างตั้งใจจนจบก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน มีเพียงหนึ่งคนที่เพิ่งจะได้ฤกษ์โผล่หัวเข้ามาในห้องที่เกือบจะว่างเปล่า สายตาของเกต์กับศิลป์จับจ้องไปยังผู้มาใหม่อย่างมีความหวัง
เด็กผู้ชายตัวเล็กวิ่งหอบเข้ามาหยุดอยู่หน้าโต๊ะไม้สีโอ๊ค มีติกำลังฟุบหน้าอยู่บนนั้น ท่าทางเบื่อหน่ายเต็มทน กล่องช็อกโกแลตยี่ห้อดังถูกเลื่อนเข้าไปใกล้ จนคนแกล้งหลับต้องขยับตัวขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบลงมองของบนโต๊ะ พอดีกับที่หัวใจเต้นถี่ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
ภายในหัวมันโล่งเปล่า มือใหญ่ตรงเข้าคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ไวยิ่งกว่าความคิด ร่างสูงพรวดพราดลุกขึ้นทันทีอย่างลืมตัว สายตาดุดันจ้องมองไปยังภาพเบื้องหน้า
“พะ...”
“อ..เอ่อ”
คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันจนยุ่งเป็นโบ ติค่อยๆคลายแรงบีบที่มือออกอย่างช้าๆ สายตาส่อแววผิดหวังอย่างที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักจากผู้ชายคนนี้ถูกส่งออกมา อีกสามคนมีสีหน้าเห็นใจไม่ต่างกัน ได้ยินเพียงเสียงของติที่ฟังดูแผ่วเหลือเกินดังก้องอยู่ในห้องเล็กๆ
“นิว..”
ดูท่าว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ...เด็กคนนั้นกำลังจะหายไปจริงๆ...----------------------------------------------
มาต่อแบบไวๆ ให้ทุกคนรุมตอกย้ำพี่ติเพิ่มเติม (เอ้ย) 55555
คือเดี๋ยวจะไปต่างจังหวัด เลยปั่นมาลงไว้ก่อน
ชอบศิลป์กะนิวง่ออออ 555
ทุกคนอย่าว่าติเลย คนมันกำลังสับสน!
จริงๆมันแทบเป็นบ้าอยู่แล้ว เห็นไหมมมม ฮุฮุ
ว่ากันว่าคนแบบนี้ พอยอมรับว่ารักเมื่อไร ก็รักมากๆเลยนะ
ต้องลองมารอดูกัน.......
ขอบคุณทุกคอมเม้นเช่นเดิมนะคะ
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วย แอบดีใจ (มากกก)