ตอนที่39
ริว
ตอนนี้ผมพาวิสกี้ออกมาเที่ยวข้างนอก ให้เขาเลือกเองว่าจะไปที่ไหน เลือกอยู่นานจนเกือบจะมีการวางมวยกันเกิดขึ้น แต่สุดท้ายคุณชายเขาก็เลือกได้
‘เยาวราช’
เห็นบอกว่าอยากกินติ่มซำ อะไรก็ไม่รู้แต่ผมก็มีหน้าที่อย่างเดียวคือตามใจก็เลยได้มายืนอยู่ที่นี่ ที่เยาวราช เห็นบอกคิดถึงอากง อาม่า เลยอยากมาซึมซับความเป็นจีน ดูเขาพูด
“อยากกินอะไร”
ผมหันไปมองคนถาม เห็นวิสกี้จ้องมาที่ผม แต่ผมไม่รู้จะกินอะไรดีก็เลยได้แต่บอกว่าให้วิสกี้เลือกเอง
“แน่ใจนะ” มันถามอีกครั้งเพื่อยืนยัน
“อ่าห๊ะ แต่อย่าแพงมากนะ ช่วงนี้พี่จน” ผมแกล้งทำหน้าเศร้าๆ แตะไหล่มันนิดๆ ทำตัวน่าสงสาร
วิสกี้ยกนิ้วกลางใส่หน้าผม ก่อนจะยิ้มๆ แล้วเดินนำผมไป
ผมส่ายหัวให้กับความทะลึ่งของวิสกี้ ผมล้วงกระเป๋าเดินตามตูดต้อยๆ แต่ผมกลับโคตรมีความสุข
เพราะอะไรรู้ไหมครับ
เพราะผมได้อยู่กับวิสกี้
ได้เห็นวิสกี้กิน
ได้เห็นวิสกี้นอน
ได้เห็นวิสกี้ทำปากงอนๆ เวลาไม่พอใจผม
ได้เห็นวิสกี้ยิ้ม เวลาที่มันมองผม
อะไรก็ตามถึงไม่ได้อยู่ในสถานที่สวยหรู ไม่มีได้กินของราคาแพง แค่มีวิสกี้...แค่มีมันผมก็มีความสุขที่สุดในโลก
ก่อนหน้านั้นผมเคยถามตัวเองบ่อยๆ ว่า ชาตินี้ผมจะเจอใครสักคนที่เกิดมาเพื่อผมหรือเปล่า
ผมตอบเลยว่า...ไม่
ผมไม่เคยคิดว่าจะมีใครที่เกิดมาเพื่อรักและอยากใช้ชีวิตร่วมกันกับผม
จนมาเจอมัน...
ตอนแรกผมก็คิดว่านี่อาจจะไม่ใช่ความรัก เป็นแค่ความใคร่ที่ผมเผลอไปได้กับมันตอนเมาโดยที่บุพเพมันพาไป
เขม่นกันจะตาย
แต่กลับได้กันหน้าตาเฉย
แต่พอคิดจะถอยห่างอย่างที่มันบอกว่าให้ลืมๆ ไปซะ แต่ผมกลับทำไม่ได้
นอนก็คิด
ตื่นก็คิด......
ภาพร่างกายของมันลอยไปมาอยู่ในหัวของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งเห็นว่ามันกอดกับใครที่ไม่ใช่ผม ก็ยิ่งโมโหจนเลือดขึ้นหน้า ไม่สนด้วยว่าคนนั้นจะเป็นผู้หญิงเพศที่เราควรให้เกียรติ
เกิดมาผมไม่เคยรู้จักคำว่าหึงเป็นยังไง
แต่มันสอนให้ผมได้ใช้กับมันคนแรก
“วิสกี้” ผมหยุดคิดเรื่องของมันแล้วตะโกนเรียกคนที่สนใจของกินทั้งในร้านและริมฟุตบาท
“หืม” มันหันหน้ากลับมามองด้วยความสงสัย
“รีบไปไหนเดินช้าๆ สิ” ผมร้องบอก
ผมก้าวเดินไปให้เร็วกว่าเดิมอีกนิด เพื่อที่จะได้เดินไปยืนคู่กัน
“อะไร” มันถามงงๆ เมื่อผมยื่นมือตัวเองไปแบไว้ตรงหน้ามัน
“จับมือกันไง คนเยอะกลัวหลง” ผมทำใจกล้าพูดเรื่องแบบนี้ต่อหน้าคนเยอะๆ เสี่ยงโดนตีนแต่ของแบบนี้มันก็ต้องลองดู
เอาจริงๆ ปกติวิสกี้มันไม่แคร์ใครหรอกครับแต่นั่นมันกรณีที่มีคนมาถามว่าใช่ไหม เป็นแฟนกันหรือเปล่า
แต่ครั้งนี้ผมขอร้องให้มันแสดงออกก่อนที่จะมีคนถาม..
ก็ไม่รู้ว่ามันจะยอมไหมนะ
“ตลกละ” มันยื่นมือมาจิ้มหน้าผากผมเบาๆ
“จริงๆ นะ” ผมยังไม่เอามือลงและทำหน้าจริงจังขึ้นอีกนิด
มันหรี่ตามองหน้าผมด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ มุมปากยกขึ้นเหมือนจะเตรียมอ้าปากด่า แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่
หมับ!
“หึหึ ขอบคุณนะ” มันวางมือตัวเองลงมาบนมือผมก่อนจะยิ้มน่ารักๆ ให้ผมอีกทีเป็นของรางวัล
ผมได้แต่ขอบคุณที่มันยอมรับรักของผม
รักบ้าๆ บอๆ แต่มันก็ยังทนได้
คนอื่นชอบบอกผมกลัวเมีย เพราะเมียมันโหด มันก็ใช่ แต่หลายคนรู้ไหมเพราะอะไรผมถึงต้องตามใจ
เหตุผลง่ายๆ.....
ผมรักมัน....
ตัดฉับ ขอที่เพจเฟชบุค งดส่งทางเมลแล้วนะคะ
ต่อจ้า...
ตื่นเช้าลืมตาขึ้นมาตั้งใจว่าจะนอนกกกอดวิสกี้จนถึงเวลาอาหารเช้าแต่เปล่าเลยครับ เพราะทันทีที่ตื่นขึ้นมาแล้วมันเจอหน้าผม แรงมหาศาลก็สถิตเข้าร่างวิสกี้มั้งครับ มันถีบจนผมตกเตียงดัง โครม! ดีที่กระดูกซี่โครงไม่หัก
พอเงยหน้ามองวิสกี้ที่ถมึงทึงก็รู้เลยว่าโกรธที่ผมคง ‘มันส์’ มากไปหน่อย เมื่อคืนเลยจัดหนักถึงตีสี่กว่า เรียกว่าฟ้าเหลืองกันเลยทีเดียว
ยิ่งตอนที่วิสกี้มันจะลุกไปเข้าห้องน้ำแล้วร่างดันทรุดลงข้างเตียงเพราะขาไม่มีแรง สายตามันนี่แทบจะสับร่างผมให้แหลกหมื่นชิ้น หมื่นๆ ชิ้น
“น้องเป็นอะไรน่ะริว ถึงเดินแบบนั้น”
ทันทีที่ก้าวเข้าห้องอาหาร แม่ผมก็ทักเรื่องท่าเดินของวิสกี้เป็นอันดับแรก และนั่นก็ทำให้วิสกี้มันหันมามองผมด้วยหางตาก่อนจะหันไปยิ้มแห้งๆ ให้พ่อกับแม่ของผม
“เอ่อออออ” ก็นะ จะให้ตอบว่าไงล่ะครับในเมื่อมันเป็นเรื่องในห้องหอไม่ควรเอามาพูดในที่แจ้งแบบนี้
“หึหึ เจอหนักล่ะสิ” พ่อผมพูดขึ้นลอยๆ แต่รู้เลยว่าตั้งใจกระทบผมกับวิสกี้ทั้งคู่นั่นแหละ
“ครับ?” วิสกี้นี่หน้าเหวอเรียบร้อย
“พ่อๆ กินข้าวๆ” ผมเดินเข้าไปห้ามทัพกลางวงข้าว ก่อนที่มันจะติดเรทไปมากกว่านี้
“ริวนี่ใช้ไม่ได้ ใช้งานลูกคนอื่นหนักขนาดนี้ได้ยังไง” แม่ผมยังไม่จบ
แม่แซว พ่อหัวเราะ…
สนุกสนานครับบ้านนี้
“โธ่ แม่ครับพูดอะไรเนี่ย” ผมแกล้งโอดครวญ แต่ผมแกหัวเราะอย่างชอบใจไปแล้ว
ชอบจังแซวลูกตัวเองเนี่ย
“ไม่แกล้งแล้วๆ ดูวิสกี้สิจะร้องไห้แล้ว” ผมหันไปมองคนข้างตัวตามที่แม่บอก เห็นมันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้จริงๆ แต่พอมันหันมาทางผมเท่านั้นแหละ
มึง ตาย แน่!
ผมอ่านปากของมันแล้วจับใจความได้ว่าอย่างนี้
ผมว่านะแม่ ลูกสะใภ้แม่ไม่ร้องไห้ง่ายๆ หรอก แต่เป็นลูกชายแม่มากกว่ามั้งที่จะร้องไห้
เพราะเมียกะเอาตาย...
โชคร้ายจริงริว....
ผมควานหาคนข้างๆ ตัวอย่างเคยชินเมื่อรู้สึกว่าอ้อมกอดที่เคยมีใครสักคนซบนอนตอนนี้มันว่างเปล่า
พรึ่บ
แต่เพราะความว่างเปล่าของเตียงอีกฝั่งทำให้ผมเบิกตาโพลงอย่างตกใจก่อนจะร้องเรียกหาเสียงดัง
“วิสกี้ วิสกี้!”
ผมเด้งตัวนั่งนิ่งอยู่บนที่นอน พยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืดภายในห้องตัวเอง มองไปทางห้องน้ำก็พบแต่ความมืดแสดงว่าไม่อยู่ หรือว่าวิสกี้จะออกไปทำงานข้างนอกห้อง แต่ผมว่าไม่น่าจะใช่นะครับ เพราะก่อนนอนวิสกี้บอกเองว่างานเสร็จหมดแล้ว
ถ้าอย่างนั้น...วิสกี้ไปไหน
ผมลุกขึ้นจากที่นอนอย่างไว พุ่งตัวจะไปเปิดไฟอันดับแรกครับ พอสว่างเดี๋ยวสติก็มาผมคิดงั้นนะ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเอื้อมมือไปกดที่สวิตซ์ หางตาผมก็เหลือบไปเห็นใครบางคนยืนอยู่ตรงระเบียง
คนที่ผมกำลังร้อนใจที่มาหายไปจากที่นอน
ผมเลือกที่จะดึงมือออกมาปล่อยให้ความมืดปกคลุมห้องนอนเหมือนเดิม ผมยืนมองคนอีกฝั่งประตูนิ่งๆ ประตูที่ปิดสนิทตอบคำถามของผมได้ดีครับว่าทำไมวิสกี้ถึงไม่ได้ยินที่ผมเรียก แถมม่านที่วิสกี้บอกว่าให้เลื่อนมาปิดไว้ครึ่งหนึ่งของประตูกระจกเพราะไม่ชอบเวลาที่ตอนเช้าแล้วแสงมันแยงตา นี่ก็เป็นอีกเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่เห็นวิสกี้ยืนอยู่ที่ระเบียงตั้งแต่ตอนแรก
เกือบโวยวายแล้วไหมล่ะไอ้ริว
ครืดดดด
“อ้าวตื่นทำไม” ผมเปิดประตูออกไปหาร่างนุ่มนิ่มที่ผมคิดถึง ก่อนที่มันจะประหลาดใจที่เห็นผมตื่นเวลานี้
“ก็หาไม่เจอ ไม่ได้นอนกอดแล้วนอนไม่หลับ” ผมเข้าไปกอดเอวจากด้านหลังแล้วพูดอ้อนๆ
มันส่งเสียง ‘หึ’ ในลำคอเบาๆ แต่ผมอยู่ใกล้เลยได้ยิน
“แล้วออกมายืนตากลมทำไมครับ เดี๋ยวน้ำค้างกินหัวก็ไม่สบายเอาหรอก”
ผมบอก ขนาดผมออกมาไม่ถึงห้านาทียังรู้สึกเย็นๆ เลย แล้วนี่ไม่รู้ว่าวิสกี้ออกมานานหรือยัง
“พอดีนอนไม่หลับ เลยออกมาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย” มันตอบผมแต่ยังเงยหน้ามองฟ้ามองดาวของมันไปเรื่อย
ผมมองตามไปยังพระจันทร์ดวงโตที่รายล้อมไปด้วยดาวจุดเล็กๆ วันนี้เป็นวันข้างขึ้นเลยทำให้ท้องฟ้าปลอดโปร่งสดใสกว่าวันเดือนมืด
“ทำไมนอนไม่หลับ เป็นอะไรครับ” ผมวางคางเกยไว้บนไหล่ กอดเอววิสกี้ไว้หลวมๆ ส่ายไปมาเบาๆ ตามบรรยากาศรอบตัว
“แค่คิดถึงเรื่องตัวเอง ตลกดี” มันพูดและหลุดขำ
“ตลกยังไง”
ผมถามเพราะอยากรู้ แต่กลับทำให้วิสกี้พลิกตัวหันหน้ามาทางผม แต่ผมยังเนียนกอดไม่ปล่อยนะครับ ยิ่งเห็นวิสกี้ไม่ว่าก็ยิ่งไม่ปล่อยครับ ของชอบผมนี่
“จู่ๆ ก็มาได้กันกับมึง” มันพูดเหมือนไม่อายแต่จริงๆ แล้วอายนะครับ เพราะว่ามันไม่กล้ามองตาผมนะครับแสร้งทำเป็นมองไปทางอื่น
แต่ผมกลับมองว่าน่ารักนะ
“หึหึ เขาเรียกพรหมลิขิต” ผมเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะพูดเสียงเบา
“ลิขิตได้แย่มาก” มันเถียงทันควัน แต่ทำผมหน้ามุ่ย
จะบอกว่ากูไม่ดีงั้นสิ...เชอะ!
ได้แต่งอนในใจครับเพราะถ้าผมเกิดงอนมันจริงๆ สุดท้ายผมก็ต้องง้อตัวเองอยู่ดีที่งอนไร้สาระ
“เนี่ยดีสุดๆ แล้ว” ผมบอกมันเบ้ปากใส่เหมือนไม่เชื่อ
“จะอ้วก” พูดไม่พอทำท่าโก่งคอซะเหมือนจริงเลยนะ
“อ้าวๆ จะหาใครบนโลกที่รักวิสกี้เท่าพี่ริวคนนี้ไม่มีหรอกครับ”
นี่ไม่ได้ยอนะครับพูดเลย
“ฮ่าๆ....ตลกละ” มันขำใหญ่แต่แอบเห็นว่าหน้าแดง
นี่ก็เป็นความน่ารักอีกอย่างของวิสกี้เขานะครับ ชอบพูดเหมือนเหวี่ยงไม่พอใจ บางทีก็เงียบกลบเกลื่อนแต่แก้มที่แดงขึ้นกับหูที่แดงขึ้น มันบ่งบอกได้ดีกว่าเยอะครับว่าวิสกี้เขินขนาดไหน
“วิสกี้” ผมเรียกอีกคนเสียงจริงจัง จู่ๆ ก็อยากคุยแบบจริงจังบ้างไม่ค่อยมีโอกาสเลย
“หืม” มันหันหน้ามามองเหมือนรอว่าผมจะพูดอะไร
“ต่อจากนี้ไปพี่จะรักแค่วิสกี้คนเดียวพี่สัญญา”
เพราะอะไรไม่รู้ครับทำให้ผมพูดประโยคนี้ออกมา เป็นประโยคที่อยู่ลึกๆ ในจิตใจของผม ก่อนหน้านี้ก็เคยพูดหลายครั้งแต่ทุกครั้งมันดูเล่นมากกว่าจริงจังไม่เหมือนครั้งนี้
“โหมดไหนเนี่ย”
ถามเหวี่ยงกลบเกลื่อนอาการเขิน ผมบอกแล้วว่าวิสกี้น่ารักถึงจะดูเหมือนพูดจาไม่เพราะก็เถอะ
“โหมดผู้ชายอบอุ่น”
“อุ่นตายแหละ” มันเคาะหน้าผากผมเบาๆ
“พี่จริงจังนะ พี่ไม่อยากให้วิสกี้คิดว่าพี่เล่นๆ อย่างเดียว” ผมหุบยิ้มลงแล้วกลับมาพูดด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง จริงจังเช่นเดิม
“อืม” มันตอบรับเสียงเบาแล้วหันหน้าหนี
หมับ
“อื้อ”
มันร้องเมื่อผมรัดตัวมันให้ชิดผมมากกว่าเดิม แขนวิสกี้ค้ำกับราวระเบียงด้านหลังเอาไว้ มันแอ่นตัวไปด้านหลังนิดหน่อยเพื่อไม่ให้หน้าใกล้กับผมมากเกินไป
“รักพี่แค่ไหนบอกหน่อย”
ผมไม่ถามหรอกครับว่ารักพี่ไหม เคยถามไปครั้งหนึ่งคอนโดแทบแตกบอกว่าผมอ่ะโง่ ถามมาได้ว่ารักไหม เพราะฉะนั้นคราวนี้ต้องระมัดระวังนิดหนึ่ง
“มึงรักกูแค่ไหนล่ะ” ไม่ตอบแต่ย้อนถามผม
ผมทำสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเห็นสิ่งนั้นพอดี
“เท่าดวงดาวบนท้องฟ้า แต่เอาจริงๆ พี่ว่ามันก็ยังดูน้อยไปอยู่ดี” ผมตอบพร้อมยิ้มกว้างชอบใจกับคำตอบตัวเอง
และชอบกับท่าทางน่ารักๆ ของวิสกี้
“เว่อร์” มันด่ากลับ
ฮ่าๆๆๆๆ
“พูดเรื่องจริง...อ้าวถึงตาเราแล้วบอกพี่หน่อยรักเท่าไหร่”
มันมองผมด้วยหางตาแต่แอบยิ้มมุมปาก น่ารักจนใจผมสั่นเลยครับ และรอไม่นานมันก็เขย่งเท้าขึ้นกระซิบที่ข้างหูผม
“……………………………”
!!!!!!!
มันพูดจบก็เดินเข้าห้องไปทันที โดยปล่อยให้ผมยินนิ่งเป็นก้อนหินอยู่ตรงนั้นอย่างไม่คิดจะสนใจ
ผมหันกลับไปมองวิสกี้ที่กระโดดขึ้นเตียงแล้วเอาผ้าห่มคลุมโปงผ่านประตูกระจกใสก่อนจะยิ้ม...
ยิ้ม....
และเงยหน้าหัวเราะ
“ฮ่าๆๆๆๆ วู้ว มีความสุขโว้ยยยย อิจฉาล่ะสิ เหอะ สม!”
ผมตะโกนลั่นไม่สนว่าตอนนี้ใกล้จะเช้าเต็มที แล้วก็ไม่กลัวว่าใครจะปารองเท้ามาใส่หัวเขา เงยหน้าขึ้นพูดกับพระจันทร์ดวงโตเหมือนคนเสียสติก่อนจะรีบเดินตามวิสกี้เข้าห้องไป
คืนนี้และคืนต่อไปผมต้องหลับสนิทและสุขใจแน่นอน
‘รักมากกว่ามึงหนึ่งดวงดาวไง’
ก็แค่ประโยคนี้แหละ
แค่ประโยคธรรมด๊า ไม่ได้พิเศษอะไร ก็ไม่ได้ดีใจอะไรมากครับ
‘รักมากกว่ามึงหนึ่งดวงดาวไง’
ไม่ได้ดีใจจริงๆ นะครับ
คิคิคิคิคิคิคิ
นักเขียนขอเมาท์
ตอนหน้าจบแว้ววววว